ความเป็นไป

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย MUSAFA, 1 มีนาคม 2020.

  1. MUSAFA

    MUSAFA MUFASA AL-AMYADH

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +164
    เริ่มแรกจากความว่างเปล่า เกิด Chaos (ความโกลาหล ของ สตริงและควาร์กจำนวนมาก เบียดเสียดกัน) ครานี้บิ๊กแบงค์ แล้วเวลาก็ผ่านไป เกิดการวิวัฒนาการเป็นขั้นเป็นตอนไปตามระเบียบ มนุษย์ในอดีตก็ได้วิวัฒนาการจนมีเทคโนโลยีที่เจริญก้าวหน้า ก็ได้ทำการย้อนเวลาไปในอดีต(กลายเป็นไทม์ไลน์ใหม่ เป็นอีกเอกภพ(ต่างความถี่ ที่โลกเก่ามองไม่สามารภมองเห็นและไม่สามารถได้ยิน) ไปพัฒนาปรับปรุงสายพันธ์ นัยว่าเป็นการเร่งวิวัฒนาการ แล้วก็เกิดโลกใหม่ขึ้น ครานี้ก็แบบเดิมอีก โดยผู้ย้อนเวลาไป จะไปโดยตายไม่รู้ตัวไปด้วย แต่จิตยังคงอยู่ ณ โลกธาตุของตน (โดยทางพุทธ จักรวาล หมายถึง แกแล็กซี่ นะครับ เอกภพ ก็คือ เอกภพ(Universe)) วนไปเรื่อยๆ ๆๆ จากเลข 6 ลิงมีหาง วาดวนซ้ำๆ ๆๆ จนกลายเป็น 0 (ไร้หาง โดยชอบธรรม(ธรรมชาติ)
    โดยที่ สเปซไทม์ ที่ว่างเปล่า ณ จุด ที่ยังไม่มีการบัญญัติหรือมีผู้รู้จักการนับการรอ ยังมีอยู่เป็นอนันต์ 0.0 จะไปซ้ายหรือไปขวา มันก็ไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด (การบัญญัติ จุด นัด พบ เวลา วัน เดือน ปี บัญญัติ ชื่อ ชื่สถานที่ เพียงเพื่อให้สามารถนัดเจอกันได้ตรงกัน ณ จุดนัดพบ และเพื่อให้เข้าใจตรงกัน เป็นอันดับแรก ของเหตุผลการบัญญัตินั้น) ครานี้อย่างได้บอก ว่าสเปซไทม์มีเป็นอนันต์ และความถี่ที่มากมายอย่าง เรื่อง ซ้ายขวาของ 0.0
    มนุษย์เรามีวิวัฒนาการและความสามารถที่จะสรรค์สร้างสิ่งต่างด้วยมันสมองและสองมือสองเท้า ต.ย. การย้อนเวลาของหน่วย ซาราเยต (ปฏิบัติการพิเศษของอิสราเอล) ได้ย้อนไปซ่านบีมูฮัมมัด ในยุคอดีต ทำให้โลกนั้นไม่มีอิสลาม แต่ด้วยความอัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่มีความถี่มิติเป็นอนันต์ และกฏฟิสิกส์ พื้นฐานเรื่องแรง f< = f> (แรงซ้ายเท่ากับแรงขวา) ได้กลายเป็นต้นเหตุเรื่องหนึ่งของทางพุทธคือ กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง
    ทำให้ มิติความถี่นั้นคงอยู่ โดยไม่ไปยุ่งกับมิติความถี่อื่น(เอกภพอื่น) ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกที่ได้ไปนั้นก็ไปอย่างสาปสูญ(จะไปไหนทำอะไรเป็นอย่างไรก็เรื่องของมัน ของๆเราไม่เสียหายก็ไม่ต้องไปสน)
    ตัวอย่าง มิตความถี่เฉพาะ (โลกธาตุเฉพาะ ของใครของมัน) เช่น การอิงตามระบบที่ราชกาชกำหนดเรียก อย่าง รหัสประชาชน
    จขกท.ถามถึงโอปปาติกะ พวกที่ย้อนเวลาไปก่อนตนเองเกิด(ตามเวลาเกิด) และไปผุดได้โดยไม่มีพ่อแม่ พวกนั้นนั่นแหละคือ โอปปาติกะ
    อย่างของพุทธ ที่ว่าไว้ในเรื่องเวรกรรม ทุกคนย่อมมีของตนเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ แค่หายใจก็ฆ่าเชื้อโรคไปเท่าไหร่? หากจิตมันมีภูมิปัญญา จะเอาเรื่องเอาคืนก็ย่อมได้
    ในขณะที่ โลกธาตุ ก็คือร่างกาย ตายไปจิตก็หดอยู่ในโลกธาตุ(ร่างกายตนเอง) โดยวนเวลาไปซ้อนทับกับแรกเกิด ซึ่งจะเพื่มหลักหน่วยเป็นหลักสิบ มิติแรกผ่านไป 1 วินาที ตายไปอยู่ มิติที่ 2 เวลาเดินไป 10 วินาที ซึ่ง ซ้อนทับกับมิติแรกที่ผ่านไป เพียง 1 วินาที เท่านั้น ซึ่งจะเกิดในไทม์ไลน์มิติ ที่ 6 ซึ่งต้องยกระดับจิตใจไปเอง ของใครของมัน บางรายเดินทางข้ามกาลเวลา อยู่จนถึงเวลาที่ตนเองเกิด ก็จะอยู่เหมือนเป็นผีเฝ้าร่างตนเองแล้วกระซิบกระซาบจิตใจร่างTierใหม่ของตนในการตัดสินใจต่างๆ แต่ก็มักปล่อยให้เดินตามรอยตน จะแก้ก็เพียงบางเรื่อง(เพราะอย่างไรก็คนละเอกภพความถี่กัน ) ตัวเองจะเห็นคนอื่นไปในรูปแบบที่อิงกับการเกิดแก่เจ็บตายและการเกิดใหม่ โดยเมื่อเข้ามิติที่ 7 ทุกจิตคือหนึ่งเดียวกัน และการเห็น จิตอื่นๆสามารถไม่เห็นเป็นคนเดิมหรือสิ่งเดิมได้ (จะเหมือนการหักเหของแสง ที่เมื่อนำน้ำใส่แก้วใสแล้วใส่หลอดลงไป จะเห็นหลอดในแก้วมันเอียง)
    #แนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมในเรื่อง อาบาดัน ของอิสลาม การก้าวข้ามขีดจำกัดของจิตใจของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นการดำรงค์อยู่ในแบบเดียวกับการดำรงค์อยู่ในลักษณะ นิพพาน ของพุทธ โลกธาตุอื่นอาจเข้าใจว่ากลายสภาพเป็น อรูปพรหม แต่ตัวเอง อยู่กับจิตตนเอง ในโลกธาตุตัวเอง ในสภาวะ ที่เรียกว่า รูปพรหม
     

แชร์หน้านี้

Loading...