คาเฟอีน-โคเคน ภัยเงียบในกาแฟ

<TABLE class=text1 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=578 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=0>

คาเฟอีน-โคเคน ภัยเงียบในกาแฟ

<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 align=center bgColor=#537ac0 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#aec7f4><CENTER></CENTER></TD></TR></TBODY></TABLE>

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="2%"></TD><TD background=images/line.gif colSpan=2></TD><TD width="2%"></TD></TR></TBODY></TABLE>​

</TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width="22%"><CENTER></CENTER>
<CENTER></CENTER>

</TD><TD class=detail vAlign=top width="78%">ยุคโลกาภิวัฒน์แห่งความทันสมัยสำหรับคนรุ่นใหม่กาแฟดูเหมือนจะเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตที่นิยมดื่มสูงสุดก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นสังคมในเมืองหลวงที่ต้องเร่งรีบในการดำเนินชีวิต ทำให้กาแฟถ้วยเดียวกลายเป็นอาหารเช้าที่สำคัญต่อร่างกายเพื่อสร้างความกระปี้กระเปร่าในการทำงานหรือสังคมต่างจังหวัดความนิยมดื่มกาแฟก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

กาแฟ 1ถ้วยตอนเช้าก่อนออกจากบ้านอีกหนึ่งถ้วยเมื่อถึงที่ทำงานอีกหนึ่งถ้วย ตอน 10 โมง อีกหนึ่งถ้วย หลังอาหารกลางวันอีกหนึ่งถ้วย ตอนบ่ายแก่ ๆ และอีกหนึ่งถ้วยหลังอาหารเย็นลองสำรวจดูว่าในแต่ละวันตัวคุณเองมีความต้องการดื่มกาแฟมากเช่นนี้หรือไม่ หรือน้อยกว่านี้

รู้หรือไม่ว่าขณะนี้หลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งอเมริกากำลังพยายามทุกวิถีทางในการปราบปรามยาเสพติดไม่ว่าจะเป็น ฝิ่น เฮโรอีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโคเคนที่กำลังระบาดในอเมริกาและแพร่หลายไปยังหลายประเทศ จะมีใครรู้บ้างว่าสารที่เราๆท่านรู้จักกันซึ่งเรียกว่า คาเฟอีน ที่ผสมอยู่ในกาแฟชานั้นมีผลในการกระตุ้นประสาทและสมองไม่ต่างไปกว่าโคเคนโดยผลการวิจัยสารคาเฟอีน

อันตรายจากสารดังกล่าวระบุว่า คาเฟอีนเป็นสารที่พบได้ในใบ เมล็ด หรือผลของพืชมากกว่า 63ชนิดแต่ที่รู้จักกันดีก็คือในเมล็ดกาแฟ ใบชาเมล็ดโกโก้ และเครื่องดื่มหลายชนิด โดยปริมาณที่มีสารคาเฟอีนผสมอยู่ระบุไว้ว่า ปริมาณในกาแฟ150 มิลลิกรัมจะมีคาเฟอีนประมาณ 60-130 มิลลิกรัม (ขึ้นกับชนิดของกาแฟ)ใบชา150 มิลลิกรัมมีคาเฟอีนประมาณ 20-90 มิลลิกรัมส่วนในเครื่องดื่มน้ำอัดลม180 มิลลิลิตรจะมีคาเฟอีนประมาณ15-30มิลลิกรัม

สำหรับผลดีที่ร่างกายได้รับสารดังกล่าวพบว่าค่าความปลอดภัยอยู่ที่ 100-300 มก.ซึ่งทำให้กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต เพื่อไปเลี้ยงสมองมากขึ้นกระตุ้นประสาทส่วนกลางทำให้รู้สึกตื่นตัว ไม่ง่วงนอนกระตุ้นการหลั่งของกรดเกลือในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะอย่างอ่อน แต่ถ้าดื่มกาแฟเป็นประจำและได้รับคาเฟอีนมากกว่า 300 มก.ต่อวันก็มีโอกาสเพิ่มอัตราเสี่ยง ต่อโรคหัวใจ

โดยผลวิจัยพบว่าเกิดอัตราเสี่ยง 2-8 เท่าของคนที่ ไม่ดื่มกาแฟ หรือหากดื่มจนเป็นนิสัยแล้ว หากไม่ได้ดื่มในวันหนึ่งวันใด ก็จะมีอาการโหยหาเมื่อต้องการ และมีอาการคล้ายคนขาดยาจำต้องเร่งหามาดื่มและขาดไม่ได้ในการดำรงชีวิตประจำวัน แต่หากดื่มกาแฟชงแก่ๆ 5-6 ถ้วยต่อวันก็อาจมีอาการกระวนกระวาย ปวดศีรษะหรือถ้าหากร่างกายได้รับสาร คาเฟอีน ในปริมาณที่มากเกินความพอดีอาจทำให้เกิดโรคต่างๆตามมามากมายเช่นกันทำให้หลอดเลือดหดตัว เลือดไปเลี้ยงสมองและหัวใจได้ไม่สม่ำเสมอความดันโลหิตสูงขึ้น ไตทำงานน้อยลง กรดในกระเพาะหลั่งมากขึ้นน้ำตาลในเลือดต่ำลงเพราะตับอ่อนจะขับอินซูลินออกมากขึ้นนานๆไปอาจเป็นมะเร็ง ตับอ่อนได้ หรือในหญิงมีครรภ์อาจทำให้เกิดความพิการกับเด็กในครรภ์ได้โดยอาการที่จะปรากฏก็แล้วแต่ความไวต่อฤทธิ์คาเฟอีนของแต่ละบุคคล ซึ่งจะแตกต่างกันตามความสมบูรณ์ แข็งแรงของร่างกาย

หากวิเคราะห์อย่างไม่เข้าข้างตัวเอง ดูจะเห็นถึงข้อเสียมากกว่าข้อดีเฉพาะฉะนั้น ยังไม่สายเกินไปที่เราละลด ละเลิก ดื่มกาแฟแม้จะเป็นเรื่องที่ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายจนเกินไป เพราะคนบางคนเลิกดื่มกาแฟได้ทันทีที่คิดจะเลิก แต่หากเป็นการหักดิบเกินไปค่อยๆลดปริมาณลงแล้วจะเลิกได้ค่ะ

สำรวจตัวท่านเองซิว่าท่านดื่มกาแฟวันละกี่ถ้วยถ้าเพียงวันละ1-2ถ้วยเล็กๆก็คง ไม่เป็นไรแต่ถ้ามากกว่านั้นพยายามลดเสียจะดีกว่า

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>