คำสอนหลวงปู่ดูลย์

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย oatthidet, 12 มีนาคม 2012.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ต้องขออภัย ท่านอธิเดช อย่างสูงเลย ตรงนี้ผมเข้าใจผิด อยากสนทนาต่อครับ..พอจะยกโทษให้ผมได้ไหมครับ
     
  2. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ความรู้สึกคือ เวทนา การเพิกเฉยกับเวทนาได้ต้องมีกำลังสติ สมาธิ สูงทีเดียว..คุณอธิเดช ..ไม่ยกโทษให้ผมรึครับ ไหนว่าไม่โกรธยังไง.
     
  3. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ขอข้อเห็นนิดนึงนะครับคุณโอ คือว่าผมเห็นคุณเห็นจิตและรู้เรื่องราวของรูปอะไรนั่น ผมเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญนักแต่ก็สนใจในเรื่องนี้ เมื่อก่อนผมติดค้างในหลายๆสิ่ง เกี่ยวกับรูป แต่ตอนนี้ก็ค้างนะไม่ใช่ไม่ค้าง มันมีสิ่งหนึ่งที่ตามมาอีกคือ รูปสัญญา และ นามสัญญา บางครั้งเราคิดว่ามันไม่ได้เชื่อมโยงต่อกันแต่ว่ามันมีบางอย่าง คือ เมื่อรูปกระทบหากจิตเพิกเฉยจริงก็จะไม่เกิดการรับรู้แต่ทำไมมันถึงมี รูปสัญญาและนามสัญญา อยู่อีกละถ้าจิตมันเกิดการเพิกเฉย หรือการเพิกเฉยของจิตคือทางที่จะไม่ทราบอะไรๆหรือทางที่จะไม่รับรูในอะไรๆ อันนี้เพียงอยากทราบข้อคิดเห็นครับ แล้วมันจะตามด้วยเวทนาหรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ ไม่รู้เหมือนกันครับ อยากทราบข้อคิดเห็นเช่นกันครับ
     
  4. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ขออภัยท่านเก่ง..ผมเองก็สงสัยจะถามต่อจากคำถามท่านเก่งอยู่เหมือนกันครับ เพียงแต่ คุณอธิเดช แกโกรธหรืองอนผม ก็ไม่ทราบที่ไปด่าแก..หายเงียบสูญไปเลย แล้วบอกไม่โกรธ:'(
    ผมพอเข้าใจการเพิกเฉยของแกคือ การใช้สติตัด การรับรู้ กั้นสังขารไม่ปรุงแต่งต่อไปครับ
     
  5. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..............ทุกข์กำหนดรู้.....ที่ละคือสมุทัยครับ เจ่ก ความยินดีความพอใจทั้งหลายหรือตัณหานั่นแหละ.....ที่สำคัญคือทุกข์ควรกำหนดรู้นั้น คือ บางคนไม่ทราบ หรือ ไม่ยอมรับว่า ที่ตัวเองรู้สึกอยู่ขณะนี้นั้นคือทุกข์ที่ควรรู้ครับ(ปัญจุปาทานักขันธิ์ และ ขันธิ์5 อันเป็นที่ตั้งของอุปาทาน):cool:
     
  6. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ต้องถามคุณ เก่ง ก่อนครับ ว่าเพิกเฉยได้กี่ครั้งแล้วน่ะครับ

    เพราะในช่วงแรกๆ การเพิกเฉยจะไม่สมบูรณ์ครับ จะยังมีค้างคาอยู่น่ะครับ

    แต่จะไม่เกิดเวทนา ตัวอย่างครับ การที่ผมถามเรื่องมือเกาหลัง

    โดยปกติมนุษย์จะเห็นภาพที่นิ้วเกาหลัง และ จะรู้สึกว่านิ้วเกาหลังอยู่ครับ

    การที่รู้สึกนั้นเป็นการรับรู้ความรู้สึกว่านิ้วเกาหลังอยู่ครับ จะเรียกว่าสัมปชัญญะ

    ส่วนการเห็นภาพนิ้วเกาหลังนั้นเรียกว่าสติครับ เห็นในมโนนะครับไม่ใช่ตาเนื้อ

    สองสิ่งนี้เป็นพลังงานของจิตครับ เพราะจะรับรู้ในสองอย่างนี้ที่เกิดขึ้น

    สาธุครับ
     
  7. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ สับสน ครับ ผมต้องไปทำงานครับ และ ยังต้อไปออกกำลังกายอีกครับ

    ผมจำเป็นต้องไป ผมจึงได้ปิดคอมครับ ต้องขอโทษที่ไม่ได้บอกกล่าวครับ

    สาธุครับ
     
  8. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พี่ทริกว่า ต่างกันอย่างไร ในการกำหนดรู้ทุกข์ กับการละ ตรงนี้ละที่ไหนครับ
     
  9. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ..................ส่วนตัวนะครับ อุปาทานขันธิ์ห้า หรือขันธิ์ห้าอันเป็นตัวทุกข์ นั้น ตัวอุปธิ เกิดจากตัณหา(ความอยากความเพลินพอใจในขันธิ์)...ผมว่าการเจริญสติ เป็นการรู้ทุกข์...และเป็นการเจริญมรรคในการละตัณหาไปด้วยกัน...:cool:
     
  10. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ขออภัย คุณอธิเดช..ต้องขอบคุณ ที่ยังมาคุยกับผม ขอบคุณมาก
    ..ผมมาอ่านตามเรื่องที่คุณยกมาอีกครั้ง จากคำตอบของคุณนี่ ทำให้มองลึกไปได้ว่าคุณกำลังแยกเวทนากับจิตอยู่ก็เป็นได้ทีเดียว..แต่วิธีการไม่สมเหตุผลเท่าใดนัก..มีเหตุผลดังนี้ครับ
    ในเหตุที่คุณตอบท่านเก่งในกระทู้นี้มันไม่ชัดเจนเลย กาย เวทนา จิต..หากตั้ง3ส่วนนี้ คุณใช้จิตเพิกเฉยต่อเวทนาได้แบบไม่สมบูรณ์ ไม่สมบูรณ์ยังมีค้างตา ก็เห็นได้ชัดเจนว่าคุณ ใช้สติเพิกเฉยต่อเวทนาที่เกิดโดยนำสติไปจับที่อื่นแทน สติไม่แกร่งและแรงพอในกรณีนี้ คุณเอาสติ(จิต)ไปจับที่ใดแทนครับ:'(
    :'( อีกอย่าง นี่ไม่ใช่การ วิปัสสนา พิจราณาแยกขันธ์5 เลย เพราะคุณไม่ได้ค้นลงไปถึงการสัมผัสสัมพันธ์กันของ เหตุ-ปัจจัย ที่ทำให้เกิดอุปทานขันธ์5 จิตเขาไม่ได้ข้อมูลตรงนี้..
    การเพิกเฉยของคุณในกรณีนี้ นานไปอุปทาน ก็จะกำเริบเกิดอุปทานขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อสติอ่อน
    วิธีการของคุณที่ทำโดยเพิกเฉยนี้ เป็นการละ ไม่ใช่รู้..จิตจึงไม่เข็ดไม่จำ เพราะขาดเหตุผล ในการวิปัสสนาให้แจ้ง วันใดสติอ่อน อุปทานก็กลับมาครอบงำอีกครั้งครับ
    วิปัสสนา คือ รู้แจ้ง รู้ยิ่ง ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ทังตปหารไปเลย
    สรุปได้ตามเหตุผลว่า ที่คุณแยกกายและจิตได้ ตามที่กล่าวมาจึงไม่ใช่การแยกขันธ์5 ครับ เป็นการใช้สติกั้น ละ เพิกเฉย ไม่รับรู้เท่านั้นเอง แลกเปลี่ยนกันครับ:'(
    เป็นแค่ กำลังของ สมถะสมาธิ เท่านั้นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มีนาคม 2012
  11. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    คุณ สับสน มองดูที่ขันธ์ 5 นะครับ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

    คุณลองเทียบเคียงการทำงานของจิตสิครับ ที่มีบอกกล่าวไว้เป็นผลที่เกิดขึ้น

    หากมองที่เหตุ ขันธ์ 5 จะเป็นรูปแบบนี้ครับ วิญญาณ สังขาร สัญญา เวทนา รูป

    วิญญาณ มาจาก การกระบจนเกิดความรู้สึก และ รับรู้ความรู้สึก

    สังขาร มาจาก ผลแห่งการรับรู้ความรู้สึก(วิญญาณ) เกิดการปรุงแต่ง

    สัญญา มาจาก การปรุงแต่งโดยมั่นหมาย บันทึกลงเป็นความทรงจำ

    เวทนา มาจาก การหมายมั่นจนเกิดเป็นอารมณ์ มีทั้งทุกข์ สุข เจ็บปวด ดีใจ เสียใจ ฯ

    รูป มาจาก อารมณ์ที่แสดงออกทางกาย ทางวาจา ทางใจ

    ผมได้อ่านพระไตรปิฎกมาเพียงเล็กน้อย ที่ผมเห็นส่วนใหญ่กล่าวถึงผล

    ไม่ได้กล่าวถึงเหตุที่ทำให้เกิดผล ฉนั้น หากร่ำเรียนแล้วก็ควรที่จะปฎิบัติภาวนาครับ

    เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมาครับ จึงจะเป็นผลสำเร็จครับ

    ลองพิจารณาดูครับ แล้วจะเข้าใจที่ผมบอกกล่าว หากคุณยังโต้แย้งอยู่

    ผมคงต้องหยุดแล้วครับ เพราะคุณไม่เข้าใจครับ ขอบคุณที่สนทนาครับ

    สาธุครับ
     
  12. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    OK..ผมก็ยอมแพ้แล้วครับ
     
  13. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ขออภัยนะครับคือผมฟังแล้วมันแม่งๆชอบกลอะครับ ตรงสีดำนี่ มันคืออะไรครับ ถ้าอ่านตามความเข้าใจในข้อความนี้ก็เท่ากับว่า รูป ทำให้เกิดเวทนา เวทนาทั้งหลายที่อาศัยความยึดมั่นถือมั่นกลายเป็นสัญญา แล้วก็กลายเป็นสังขาร และก็กลายเป็นวิญญาณ แบบนี้หรือเปล่าครับที่หมายถึง ตรงนี้ผมขอย้นถามลงไปที่คำว่า วิญญาณ ที่คุณโอเข้าใจนิดหนึ่งคับว่า
    วิญญาณ มาจาก การกระทบจนเกิดความรู้สึก และ รับรู้ความรู้สึก ผมรู้สึกแม่งๆ ยังไงไม่ทราบครับในข้อความตรงนี้ อย่าว่างั้นว่างี้เลยนะครับ คือ ผมไม่เคยทราบมาก่อนว่า วิญญาณเป็นแบบที่คุณโอกล่าวมาครับ ไม่รู้สิครับเพียงมีความรูสึกว่า อะไรก็ตามที่เป็นเพียงทางเชื่อม มันไม่น่าจะรับรู้อะไร เหมือนกับถนนกับคนเดิน คนเดินจะรู้สึกใกล้หรือไกลเหนื่อยเพียงไหน ถนนก็เป็นเพียงทางเชื่อมจากจุดหนึ่งสู่จุดหนึ่ง คือ สำหรับผมวิญญาณเป็นเพียงทางเชื่อมอะครับ ไม่มีสิทธิ์จะรับรู้อะไรทั้งนั้น มันไม่ใช่ตัวที่จะรับรู้ คือ ผมถามเพียงนึกสงสัยครับ ยังไงก็รบกวนชี้แนะ ก็ได้ครับ ตามสะดวก ผมเองก็ไม่ได้รู้มาจากตำราหรืออะไรมากมายนักเพราะฝึกๆไปเรื่อยๆ มีเวลาก็ฝึกปลงๆ ตามสะดวกเช่นกันครับ
    ขอบคุณครับ
     
  14. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    วิญญาณเป็นผลแห่งจิตที่รับรู้ความรู้สึกครับ หากคุณ เก่ง เห็นจิต

    ก็จะไม่สงสัยครับ ที่เป็นสีฟ้านั่นแหละครับ วิญญาณ

    ก่อนที่จะมองว่าไม่มีตัวตน ต้องถามว่าเคยเห็นรึยังครับ

    สาธุครับ
     
  15. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    การนึกคิดของมนุษย์ จะนึกคิดได้เฉพาะที่ได้เรียนรู้มา ไม่ว่าจะร่ำเรียนมา

    ประสบการณ์ในชีวิต การได้ยิน ได้ฟังมา แม้แต่ความรู้ที่เกิดขึ้นมาในการกระทำในสิ่งต่างๆ

    แต่บางสิ่งที่อยู่เหนือการนึกคิดที่ตนมี จะไม่สามารถนึกคิดได้ เว้นเสียแต่ได้พบเห็นด้วยตนเอง

    สาธุครับ
     
  16. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อันนี้ยิ่ง งงเข้าไปใหญ่เลยครับ วิญญาณเป็นผลของจิต คือ เท่าที่รู้คือ จิต มีสภาพรู้เพราะถือเอาวิญญาณเป็นสื่อ เป็น วิญญาณยตนะ แต่วิญญาณมันไม่ใช่ผลของจิตเพราะผลของจิตไม่ได้เกิดเป็นความรู้สึก ความรู้สึกเป็นอย่างอื่น เป็น เวทนา เป็น สัญญา และความรู้สึกนั้นก็เกิดขึ้นโดยตรงจาก สังขาร คือ เรื่องเคยเห็นหรือไม่นั้น คือ ผมตอบแบบตรงๆเลยคือ ไม่เคยเห็นแบบที่คุณโออธิบายครับ เรื่องที่ผมเห็นคือ นามทั้งหลายมิได้มีตัวตนใดๆ เลย แต่เป็นเพียงสื่อให้รับรู้ได้ และสิ่งที่รับรู้คือจิต ลักษณะของสิ่งที่รู้แตกต่างกันไปเพราะอาศัยความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นโดยจิต เมื่อเกิดความพอใจ ไม่พอใจ สรุปคือ เวทนาเกิดขึ้น ก็นำพามันมาเป็นสัญญา เพราะเห็นว่าเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ คือ ผมคิดว่า ผมไม่เคยเห็นจิตเป็นแบบที่คุณโอเห็นครับ และก็ไม่เคยปรุงไปว่าวิญญาณเป็นผลของจิต แต่ปรุงไปว่าวิญญาณเป็นสื่อเพื่อการรับรู้ของจิต โดยจำแนกเป็นส่วนต่างๆตามลักษณะหน้าที่ ครับ หากไม่ตรงก็ขออภัยครับ เพราะก็รู้เพียงเท่านี้แหละครับ
    ขอบคุณครับ
     
  17. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    ก็ใช่เพราะ หมายถึง สิ่งที่คิดไม่ถึงก็มี สิ่งที่คิดถึงก็มี ดังนั้น ความเป็นไปได้ก็มี ความเป็นไปไม่ได้ก็มี มันหมายถึง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน สำหรับคนธรรมดา แต่คนธรรมดาก็สามารถเรียนรู้และศึกษา หาความจริงได้ด้วยความเพียรด้วยสคิด้วยปัญญา หาใช่ด้วยความฝันความนึกคิดแต่เพียงอย่างเดียว ไม่เช่นนั้น ธรรมมันก็จบลงไปตามคนที่เวียนว่ายตายเกิดไปแล้ว แต่ทำไมมันถึงไม่จบ น่าสงสัยจริงๆ
     
  18. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    ความรู้สึกเกิดก่อนจิตครับ คือ เกิดก่อนการรับรู้ครับ

    เวทนานั้นจะมีได้ต้องปรุงแต่งก่อนครับ ที่ผมกล่าวนี้ไม่ต้องนึกคิดแต่อย่างใดครับ

    เพียงแค่เฝ้ามองดูเท่าานั้นครับ และ คอยสังเกตุการทำงานของจิตครับ

    วิญญาณนั้นเป็นผลที่มาจากจิตครับ วิญญาณจะมีได้ต้องมีการรับรู้ความรู้สึกครับ

    ไม่อย่างนั้น จิตจะมีสภาพว่างเปล่า เมื่อจิตมีการรับรู้ความรู้สึก จะเกิดเป็นพลังงานครับ

    พลังงานที่ว่านี้ คือ วิญญาณครับ สามารถพิสูจน์ได้ครับ

    สาธุครับ
     
  19. oatthidet

    oatthidet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    3,498
    ค่าพลัง:
    +1,876
    หากได้พบเห็นด้วยตนเอง ย่อมเข้าใจมากกว่าการนึกคิดขึ้นมาครับ

    รู้แต่ไม่เคยกระทำ ย่อมไม่มีทางเข้าใจได้ ถึงความละเอียดในการกระทำนั้น

    หากได้ทดลองกระทำด้วยตนเอง ย่อมเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่ได้กระทำนั้น

    การนึกคิดขึ้นมา จะหาที่สิ้นสุดไม่เจอ เว้นเสียแต่หยุดเท่านั้น จึงพบเจอที่สิ้นสุด

    การไม่ปรุงแต่ง ความสงบนิ่งย่อมเกิดขึ้น เมื่อสงบนิ่ง ย่อมเห็นการเคลื่อนไหวครับ

    สาธุครับ
     
  20. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อือ งั้นก็แล้วแต่ครับ ยังต้องเดินทางอีกไกลมากๆๆ เลย
    1.เหตุที่ความรู้สึกเกิดก่อนการรับรู้เพราะอะไร ข้อนี้ผมทราบดี...แต่ไม่ขอกล่าวอะไร...ยังต้องเดินทางอีกไกลมากๆๆเลยครับตัวผม
    2.เวทนานั้นจะมีได้ต้องปรุงแต่งก่อนครับ ที่ผมกล่าวนี้ไม่ต้องนึกคิดแต่อย่างใดครับ ข้อนี้ผมทราบดี...แต่ไม่ขอกล่าวอะไร...ยังต้องเดินทางอีกไกลมากๆๆเลยครับตัวผม
    3.วิญญาณนั้นเป็นผลที่มาจากจิตครับ วิญญาณจะมีได้ต้องมีการรับรู้ความรู้สึกครับ ข้อนี้ผมทราบดี...แต่ไม่ขอกล่าวอะไร...ยังต้องเดินทางอีกไกลมากๆๆเลยครับตัวผม
    4. ไม่อย่างนั้น จิตจะมีสภาพว่างเปล่า เมื่อจิตมีการรับรู้ความรู้สึก จะเกิดเป็นพลังงานครับ

    พลังงานที่ว่านี้ คือ วิญญาณครับ สามารถพิสูจน์ได้ครับ ข้อนี้ผมทราบดี...แต่ไม่ขอกล่าวอะไร...ยังต้องเดินทางอีกไกลมากๆๆเลยครับตัวผม
    ก็ต้องพิจารณาในข้อที่ทราบโดย โยนิโสมนสิการ ในความเป็นจริงว่า จริงหรือที่เป็นแบบนั้น ผมคงต้องขอตัวครับ ขอบคุณที่สนทนาในข้อสงสัยครับ
    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...