คำสอน นำปฏิบัติ ทำจริงๆ หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย อัสนี, 25 ธันวาคม 2012.

  1. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    คำสอน นำปฏิบัติ ทำจริงๆ

    หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน ณ สำนักปฏิบัติอัญญาวิโมกข์โพธิรังษี (วัดป่ากล้วยไม้ดิน) บ้านหนองฟักทอง ต.ปากช่อง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    นำเอาพระธรรมคำสอนหลวงพ่อมาให้ทุกท่านได้อ่านและศึกษา ครับมาจากหนังสือที่ทางคณะผู้จัดทำ : อัญญาวิโมกข์
    เป็นการถอดเทป คำเทศนาของหลวงพ่อ ครับ

    [​IMG]
    PHOTO BY Paron Yodkraisri


    “คำ” สอนในหนังสือเล่มนี้...
    “นำ” ท่านไปสู่ความตรองตามให้เห็นจริงได้
    ด้วยการกระ “ทำ” เพื่อประโยชน์
    ตามความมุ่งหมายสูงสุดแห่งความรู้แจ้ง
    และบันเทิงในธรรม นำลงสู่สายธารธรรมแห่งอมตรส
    ซึ่งมีแดนเกษมคือพระนิพพานเป็นที่สุด
    คำสอนทั้งหลายจะนำท่านไปสู่ความรู้ ความเข้าใจ
    ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เพื่อให้เกิดความสุข ความเจริญ ในชีวิตสืบไป
    คณะผู้จัดทำ : อัญญาวิโมกข์
    เป็นการถอดเทป : พิมพ์ครั้งที่ 2
    30 สิงหาคม 2552



    ติดตามธรรมหลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน ได้ ที่http://www.facebook.com/#!/kubajaophet ครับ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ธันวาคม 2012
  2. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    การมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก จิตจะสงบ
    รู้ทันกับกิเลสที่มากระทบ หูได้ยินเสียง ตาเห็นรูป
    สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่เราได้ยินนั้น ไม่ใช่กิเลส
    แต่เป็นเครื่องต่อติดที่ทำให้จิตเราเข้าไปยึด
    ทำให้เราเป็นทุกข์ ทำให้ต้องติดภพติดชาติ
    เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักจบสิ้น
    ถ้าเราไม่มีสติ จะทำให้รู้ไม่ทัน กิเลสจะเข้าครอบงำ
    กิเลสที่เข้ามากระทบก็คืออารมณ์ แล้วทำให้เราหลงไป
    กับมัน หลงไปกับสิ่งนั้น ชอบในสิ่งนั้น รักในสิ่งนั้น
    มีคณะก็ทำให้เกิดการแตกสามัคคี
    ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
    ไม่ใช่กิเลส แต่เมื่อเราเข้าไปยึดเมื่อไหร่
    นั่นก็คือกิเลส ที่ทำให้ใจเราเป็นทุกข์ทันที


    เราเข้าใจว่าการรักตัวเอง การทำให้ใจเป็นสุข
    คือ การดูหนัง ฟังเพลง การช็อปปิ้ง การเที่ยว
    แต่จริงๆ แล้ว...ไม่ใช่
    คำสอนของพระพุทธเจ้า 84,000 พระธรรมขันธ์
    ก็อยู่ตรงนี้ จิตที่สงบ จิตที่ว่างจากการยึดติด
    กับอะไรทุกอย่าง ก็เป็นวิมุตติ คือ แนวคำสอน
    ของพระพุทธเจ้าที่เราค้นหากัน จงมีใจที่แน่วแน่
    ตั้งมั่น แล้วเราจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง ไมีมีโอนเอียง
    เอนเอียงไปกับกิเลสที่มากระทบในใจเรา
    ความสามัคคีก็จะเกิดขึ้นในหมู่คณะเล็กๆ
    จนไปถึงบ้านเมืองก็ไม่ขัดแย้งกัน
    เทศน์ที่ศูนย์พัฒนาม่วงน้อยปูนซีเมนต์ไทยท่าหลวง จังหวัดสระบุรี
    วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2551
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2012
  3. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    นิยามของบัณฑิต ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่าเป็นสิ่งที่น่า
    นำมาพิจารณา เพราะว่าเป็นเครื่องเปรียบเทียบธรรมะ
    ของพระพุทธเจ้าได้ แล้วก็เป็นเครื่องประกอบการดำเนินชีวิต
    ของเราได้ ธรรมของศาสดาดูเหมือนว่าจะเป็นศาสน
    สุภาษิตด้วย
    ท่านว่าไว้ว่า “ไม้กฤษณาเป็นของหอม เป็นไม้
    ที่หอมที่สุด เมื่อเราเอาใบตองไปห่อเอาไว้ กลิ่นของ
    กฤษณาก็ยังติดใบตองด้วย” อันนี้ท่านหมายถึง

    การคบคนดี การคบบัณฑิต ได้พบพระสัจธรรมคำสอน
    ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้เรื่องอะไรทั้งหมดก็ตาม แต่สิ่งที่
    ไม่เคยรู้มาก่อนก็จะได้รู้ สิ่งที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนก็จะ
    เข้าใจ เหมือนอย่างเช่นใบตองที่ห่อต้นกฤษณา หรือ
    เปลือกของกฤษณา
    อีกความหมายหนึ่ง ท่านว่ามีปลาร้า แล้วเราเอา
    ใบตองไปห่อปลาร้า กลิ่นปลาร้าย่อมติดใบตอง ที่นี้ก็
    หมายถึง การที่ไม่ได้เห็นพระสัจธรรม ไม่ได้พบสัตตบุรุษ
    การคบหาสมาคมกับคนพาล การคบหาสมาคมกับคนชั่ว
    ก็ทำให้เราเป็นคนพาลไปด้วย เป็นคนชั่วไปด้วย และก็
    ไม่รู้พระสัจธรรม หรือเรียกว่าความจริง ความหมาย
    ทั้งสองอย่างนี้ จะเห็นได้ว่ามีเหมือนกันอยู่ ก็คือใบตอง
    ใบตอง คือ เปรียบเสมือนเราท่านทั้งหลาย ขึ้นอยู่
    กับว่าเรานั่งใกล้ คลุกคลี หรือได้คบค้าสมาคมกับอะไร
    แต่ถ้าเป็นใบตองมันเลือกไม่ได้ แต่คนคือเรา สามารถ
     
  4. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    เลือกได้ที่จะคบ ที่จะหา ที่จะศึกษากับท่านผู้นั้น
    เหมือนบทมงคลสูตรว่า อเสวนาจพาลานัง การคบ
    คนพาล สนทนากับคนพาล สนิทสนมหรือชิดเชื้อกับ
    คนพาล ย่อมพาลไปหาความผิด บัณฑิตกานังจเสวนัง
    การคบหาสมาคมกับบัณฑิต ย่อมทำให้เกิดความรู้
    ความเข้าใจ เกิดความสุขความเจริญในชีวิตได้
    “การคบคน การสมาคมกับคน พระพุทธเจ้า
    ท่านตรัสว่า...เป็นที่สุด เป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
    หมายถึง พรหมจรรย์คือความบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว”
    ทำไมถึงว่าพระพุทธเจ้าท่านเน้นเรื่องการคบค้า
    สมาคม หรือเรียกว่าการคบเพื่อน ทางบาลีเรียกว่า
    “กัลยาณมิตร”
    การคบเพื่อนที่ดี เป็นทั้งหมดในพรหมจรรย์ คือ
    การทำจิตของเราให้บริสุทธิ์ ทำจิตของเราให้ผ่องแผ้ว
    เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าเราปฏิบัติ
    คนเดียวไม่ได้ จะต้องมีหมู่ มีคณะ มีพวก มีพ้อง

    เพื่อจะได้มีการแลกเปลี่ยน การสนทนา การขบคิด
    ปัญหาทางการปฏิบัติ หรือทางการศึกษา สิ่งใดที่เรา
    ไม่เข้าใจก็จะเข้าใจด้วยการสนทนา พูดคุย การแลก
    เปลี่ยนความรู้ เมื่อเราติดขัดแนวทางการปฏิบัติธรรม
    กัลยาณมิตรนั่นแหละจะเป็นผู้ที่ช่วยให้เราคลายจาก
    ปัญหานั้นได้ กัลยาณมิตรจึงว่าเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์
    นี่คือสิ่งที่เรียกว่า พรหมจรรย์ อย่างที่เปรียบ
    ข้างต้นว่า ใบตองห่อกฤษณากับใบตองห่อปลาร้า
    เห็นได้ชัดว่ามันต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งลักษณะ และกลิ่น
    ของมัน
    ฉะนั้น คนดี...เรามอง...เราก็รู้
    คนชั่ว...เรามอง...เราก็รู้
    บางครั้งก็ต้องอาศัยการคลุกคลี การพูดคุย เราก็
    ทราบได้ว่า คนนี้เป็นคนดีหรือเป็นคนชั่ว สามารถเลือกได้
    คบได้ มีสิทธิ์ที่จะคบ มีสิทธิ์ที่จะเลือก
     
  5. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    ...ขึ้นอยู่กับว่า เราเห็นประโยชน์ในทางประพฤติ
    พรหมจรรย์ของเราหรือไม่
    ... ขึ้นอยู่กับความใส่ใจในการบำเพ็ญกุศลของเรา
    หรือไม่
    ... ขึ้นอยู่กับความปรารถนาในการที่เราเข้ามา
    ในพระพุทธศาสนานั้น มีปฏิปทาอย่างไรนั้น
    ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้
    เราท่านทั้งหลาย เป็นผู้ถูกความทุกข์หยอกเอาแล้ว
    หยอกล้อเอาแล้ว ด้วยความไม่รู้คือโมหะ ความหลง
    สำคัญผิด ความเข้าใจผิด เพราะมีฝ้าคืออวิชชาได้บดบังไว้
    มีตัณหา คือ ความทะยานอยาก, มีมานะ คือ ความถือตัว
    ถือตน, มีสังขาร คือ ความปรุงแต่ง ให้ผูกพันและยึดติด
    มั่นหมายในสิ่งนั้นๆ ดูเหมือนว่ามนุษย์เราท่านทั้งหลาย
    จะเป็นผู้พ้นจากข่ายแห่งพญามัจจุราชยาก ถ้าเราไม่รู้จัก
    สิ่งเหล่านี้ พระพุทธองค์จึงแสดงบัญญัติลักษณะและชื่อ
    ของกิเลสทั้งหลาย เพื่อให้เราทราบ รู้ และมีการป้องกัน

    พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ แบบแผน การปฏิบัติตน
    ตั้งแต่ชนชั้นฆราวาส ครองเรือน ประกอบอาชีพการงาน
    สมณะ ชี พราหมณ์ ผู้ออกบวช ศึกษาพระธรรมโดยตรง
    พระองค์ทรงวางบัญญัติ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ทั่วถึง
    ไม่ว่าเด็กหญิงเด็กชาย หนุ่มสาว และวัยกลางคน ชรา
    แม้คนใกล้จะตาย ให้รู้วิถีทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง
    ให้ประสบพบกับสันติสุข คือความสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
    พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้อุบัติเกิดขึ้น
    ในโลก เพื่อนำเหล่าสัตว์ทั้งหลายให้พ้นไป
    จากข่าย ได้แก่ ความทุกข์ เป็นผู้ไกล
    จากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง
    พระองค์ทรงเป็นผู้แจ้งเจนจบในสามแดนโลกธาตุ
    เป็นผู้ที่มนุษย์ เทวดา มาร พรหม ทั้งหลายสักการะ
    บูชา เป็นผู้มาดีไปดี เป็นผู้เจริญแล้ว เป็นผู้มีลาภ
    พระองค์ทรงอุบัติเกิดขึ้นในโลก พร้อมไปด้วยลักษณะ
     
  6. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    ของมหาบุรุษ มีอาการสามสิบสอง และอนุพยัญชนะ
    อีก 108 พระองค์ทรงดำเนินพระชนม์อยู่ก่อน 2552 ปี
    มีการประกอบกิจทั้งทางฆราวาสวิสัยคือ มีการศึกษา
    เล่าเรียน ในสมัยนั้นที่มีความนิยม คือเรียนไปให้มี
    ความสามารถในการปกครองบ้านเมือง มีความสามารถ
    ด้วยบารมีของพระองค์จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์
    ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางพิมพา ผู้อยู่นครเทวทหะ
    ทรงมีพระราชโอรสนามว่า พระราหุล ทรงเป็นผู้ที่
    จะเจริญ และไม่มีเสื่อม พระพุทธองค์ทรง
    เป็นผู้มองเห็นสัจธรรมพระองค์แรก
    เห็นการแก่ การเจ็บ การตาย และสมณะ
    พระองค์ทรงออกบวชจากศากยะตระกูลราช ทรง
    บำเพ็ญเพียรทุกขกิริยาถึง 6 ปี ทรงบรรลุเป็นอนุตร
    สัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ได้โดยพระองค์เองในพระชนม์
    35 ปี ทรงประกาศสัจธรรม เป็นธรรมอันบั้นต้น ชื่อ

    ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันไพเราะเสนาะจับหัวใจ ทำให้
    อัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุเป็น
    พระโสดาบัน เป็นพระสงฆ์องค์แรกของโลก ในวัน
    อาสาฬหบูชา คืนวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 พระองค์
    ทรงแสดงธรรมด้วยอาทิกัลยาณัง งามในเบื้องต้นด้วยศีล
    มัชเฌกัลยาณัง คืองามในขั้นกลางด้วยสมาธิ ปริโยสาน
    กัลยานัง คืองามในบั้นปลาย คือที่สุด ได้แก่ ปัญญา
    พระองค์ทรงถ่ายทอดพระสัจธรรม คือ พระ
    ธรรมจักรนี้ไปโดยลำดับให้เห็นทางว่า
    อันใดเป็นทาง...อันประเสริฐ
    อันใดเป็นทาง...อันไม่ประเสริฐ
    ทางไม่ประเสริฐนั้นมี 2 ทาง คือ
    û กามสุขัลลิกานุโยค คือการพัวพันอยู่ใน
    ความสุข ติดอยู่ในกามคุณ,
     
  7. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    û อัตตกิลมถานุโยค คือการเข้าไปพัวพัน
    ในการทรมานกาย ในการที่อยู่ในความทุกข์ทรมาน
    ในการบำเพ็ญเพียร ได้แก่ โยคะ เป็นต้น พระองค์ทรง
    ตรัสทางสายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา
    ตรัสทางแห่งมรรค คือทางอันประเสริฐ
    คือ วิสุทธิมรรค ได้แก่ สัมมาทิฐิ ความเห็นชอบ,
    สัมมาสังกัปโป ความดำริชอบ, สัมมาวาจา การพูดเจรจา
    ชอบ, สัมมากัมมันโต การกระทำชอบ, สัมมาอาชีโว
    การเลี้ยงชีวิตชอบ, สัมมาวายาโม ความพากเพียรชอบ,
    สัมมาสติ ความระลึกชอบ, สัมมาสมาธิ ความตั้งใจ
    มั่นชอบ
    พระองค์ทรงตรัสทางดำเนินการปฏิบัติเพื่อให้เห็น
    พระสัจธรรม ทั้ง 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์เป็นของ
    มีอยู่จริง เป็นของควรกำหนดให้รู้จัก
    เป็นของควรละ และควรทำให้แจ้ง

    ตัณหา คือความทะยานอยาก, นิโรธ คือความ
    ดับทุกข์, มรรค คือการดำเนินให้ถึงซึ่งความดับทุกข์
    พระองค์ทรงตรัสแล้ว สะเทือนเลื่อนลั่นสวรรค์ทุกชั้น
    พรหมทุกชั้น รับทราบพระธรรมจักรครั้งแรก ทำให้
    เหล่าเทวดาและพรหมทั้งหลาย ได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้า
    เป็นจำนวนนับโกฏิทุกท่าน นี่คือการเกิดของพระสัมมา
    สัมพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐเอกในสามแดนโลกธาตุ เป็นผู้ที่
    มนุษย์ เทวดา มาร อินทร์ พรหม เคารพศรัทธา
    เป็นผู้นำสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากข่าย ได้แก่ ความทุกข์
    พระองค์ทรงดำเนินพระกรณียกิจทางพระพุทธศาสนา
    ถึง 45 ปี พระชนม์มายุได้ 80 จึงละสังขารดับขันธ์
    เข้าสู่ปรินิพพาน ในวันเพ็ญเดือน 6 ขึ้น 15 ค่ำ
    นับเป็นพุทธศักราชที่ 1 พระพุทธองค์ทรงแสดง
    พระธรรมเป็นส่วนมาก และแสดงธรรมแก่บรรดาสาวก
    ของพระองค์เป็นจำนวนมากด้วยคำเพียงสั้นๆ ง่ายๆ ว่า
     
  8. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    “รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง
    สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์
    เวทนาเป็นทุกข์ สัญญาเป็นทุกข์ สังขารเป็นทุกข์
    วิญญาณเป็นทุกข์ รูปไม่ใช่ตัวตน เวทนาไม่ใช่
    ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขารไม่ใช่ตัวตน
    วิญญาณไม่ใช่ตัวตน สัพเพธรรมมาอนัตตาติ
    ขึ้นชื่อว่า ธรรมทั้งหลายไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน
    ไม่ใช่ของเรา สัพเพสังขาราอนิจจัง สังขาร
    ทั้งหลายไม่เที่ยง”
    พระองค์ทรงแสดงพระธรรมนี้ให้แก่บรรดาสาวกและ
    พุทธบริษัททั้งหลาย ตั้งแต่ขัตติยะบริษัท พราหมณ์บริษัท
    อุบาสก อุบาสิกาบริษัท คฤหบดีบริษัท ให้ได้ทราบ
    พระสัจธรรมซึ่งชื่อว่าความเป็นจริง

    พระองค์ทรงตรัสว่า “ชาติเป็นทุกข์, ชราเป็นทุกข์,
    มรณะได้แก่ความตายเป็นทุกข์, ความพลัดพรากเป็น
    ทุกข์, ความคับแค้นใจเป็นทุกข์, ความไม่สบายกาย
    ไม่สบายใจเป็นทุกข์, ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก
    ที่พอใจเป็นทุกข์, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ
    เป็นทุกข์, ความทุกข์ทั้งหลาย เป็นทุกข์ประจำขันธ์
    ของสัตว์โลกทั้งหลาย สัตว์โลกทั้งหลายต้องประกอบ
    กับทุกข์อย่างนี้ และมีทุกข์อีกที่ปรากฏขึ้นแก่มนุษย์
    และสัตว์ทั้งหลายได้แก่ เมื่อคราวมีความสุขก็ประสบ
    ความทุกข์ เมื่อคราวมีลาภก็ประสบความเสื่อมจากลาภ
    เมื่อคราวมียศก็ประสบกับความเสื่อมไปจากยศ
    เมื่อคราวมีความสรรเสริญก็ประสบความเสื่อมความ
    สรรเสริญ ได้แก่คำนินทา” นี่คือความทุกข์ในโลก
    และความทุกข์อีกจำพวกหนึ่งที่พระองค์ตรัส
    ได้แก่ ความเป็นหนี้ ความเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลกเช่นกัน
    เราท่านทั้งหลายเป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว หยอก
     
  9. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    เอาแล้ว เป็นผู้ถูกพญามัจจุราชช่วงชิงเอาชีวิตเสียแล้ว
    เป็นผู้รอวันที่จะตาย เป็นผู้ถึงความตายแล้ว รอเวลา
    ลงอาญาประหารชีวิตเท่านั้นเอง
    ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้มีบุญ มีบารมี ได้เกิดใน
    ประเทศสยาม และได้พบพระธรรมขององค์พระศาสดา
    ได้ศึกษาพระธรรมของพระศาสดาและเป็นผู้กระทำลงมือ
    ปฏิบัติตามทางของพระศาสดา ย่อมเป็นผู้มีโชค
    ย่อมเป็นผู้มีชัย ท่านทั้งหลายจงสำเหนียก
    และนึกไว้เสมอว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้โชคดี
    จงนำโชคของท่านให้สำเร็จประโยชน์
    ให้ถึงแดนพระนิพพาน อย่าใช้โชคของท่าน
    ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และมาพบพระพุทธศาสนา ได้เกิด
    ในประเทศสยามไปในทางที่ผิด ไม่ถูกทางแห่งกุศลกรรม
    อย่าดำเนินไปในทางที่เรียกว่า อกุศลกรรม คือทาง
    ตรงกันข้าม ทางทั้งสองอย่างนี้ มีทางเข้าทางออก

    สามทาง คือ ทางกาย ทางวาจา ทางใจ รวมเรียกว่า
    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นกรรมบถศีล 10
    ศีล เหมือนประตูพระนคร ตา หู จมูก ลิ้น
    กาย ใจ เหมือนกับบ้านในพระนคร ประตูพระนครเปิดไว้
    แม้แต่ประตูในบ้านปิดก็ตาม ก็ไม่สามารถพ้นไปจากโจร
    ผู้ร้ายได้ เพราะประตูเมืองใหญ่เปิดขึ้น หมายความว่า
    ถ้าเราสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่
    ไม่สนใจเรื่องของศีลธรรม ความประพฤติ
    เรื่องของความงดงามของการปฏิบัติ ความ
    เสงี่ยมเจียมตัว ปล่อยจิตให้มีความโกรธ
    ปล่อยจิตให้มีความหลง ปล่อยจิตให้มีความรัก
    ปล่อยจิตให้ทะเล่อทะล่า ทำกิริยาทางกาย
    ไม่เหมือนกับนักปฏิบัติ ก็ได้ชื่อว่าเปิดประตูเมืองแล้ว
    โจรย่อมปล้นบ้านภายในเมืองได้ฉันนั้น ถ้าเราปิดประตู
     
  10. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    เมืองดีทั้งสี่ทิศ แต่ประตูบ้านเราเปิดไว้ หน้าต่างเราเปิดไว้
    ก็เหมือนกับว่าเราเป็นผู้รักษาศีลดี ทั้งโคจรและ
    อาจาระ ได้แก่ การไม่ประพฤติอันที่ไม่เหมาะสม คือไป
    ในที่ที่ไม่เหมาะสม กระทำตนเองอนาจาร คือไม่งดงาม
    ตามแบบของสมณะ ตามแบบของนักปฏิบัติธรรม
    ถ้าเราทำศีลให้บริสุทธิ์ แล้วเราก็ทำโคจร คือ
    ที่ที่ควรจะไป ทำอาจาระ คือ ระเบียบความประพฤติ
    ที่ดีงาม การประพฤติปฏิบัติด้วยการเสงี่ยมเจียมตัว
    งดงามดั่งสมณะ งดงามอย่างนักปฏิบัติ แต่ว่า ตา หู
    จมูก ลิ้น กาย และใจ ถึงแม้จะเปิดไว้ไม่สำรวมถึง
    ขนาดเต็มที่ก็ตาม ก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีประตูรักษาไว้แล้ว
    โจรขโมยไม่สามารถปล้นบ้านเรือนได้ เพราะประตู
    พระนคร ได้แก่ศีลถูกปิดไว้แล้ว ฉันนี้เหมือนกัน

    ศีลเป็นของสำคัญ ศีลเป็นของประเสริฐ
    บุคคลใดจะรักษาศีลได้ ต้องประกอบไปด้วยปัญญา
    3 ระดับ û ชาติปัญญา คือ การกำเนิดมาพร้อมกับ
    ปัญญาหรือเกิดมาพร้อมกับปัญญา
    û วิปัสสนาปัญญา คือ ความรู้แจ้ง
    แทงตลอดในปัญญา
    û ปาลิหาริกะปัญญา คือ ปัญญาบริหาร
    ปัญญา แสดงความเป็นผู้นำในกิจนั้นๆ
    ปัญญาทั้งสามอย่างนี้เมื่อเกิดในผู้ใดแล้ว คนผู้นั้น
    ย่อมเป็นผู้ถ่ายทุกข์ ถ่ายโรค ถ่ายภัย ถ่ายวัฏฏ
    สงสาร เป็นผู้พ้นแล้วจากความทุกข์ทั้งหลาย
    ได้ถึงซึ่งฝั่ง คือ พระนิพพาน ความเสงี่ยม
    เจียมตัว ความเรียบร้อยในนักปฏิบัติ ในสมณะ
    เป็นศีล
     
  11. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    การพิจารณาอาหารก่อนรับประทาน การพิจารณา
    เครื่องนุ่งห่มทุกวันเช้าเย็น การพิจารณาเสนาสนะที่พัก
    อาศัย การพิจารณายารักษาเภสัชทั้งหลายทุกวัน ได้ชื่อว่า
    ศีลเหมือนกัน การสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
    ก็ได้ชื่อว่าศีลเหมือนกัน
    การไปในสถานที่ที่ควร และการไม่ไปในสถานที่
    ไม่บังควร เช่น ไปในสถานที่ที่หญิงแพศยา ไปในสถานที่
    ที่หญิงให้บริการ ไปในสถานที่ผู้หญิงเป็นหม้าย ไปใน
    สถานที่ผู้หญิงไม่มีคู่ครองอยู่จนแก่ ไปในสถานที่คนนั้น
    เป็นกระเทย ทอม หรือเรียกว่าบัณเฑาะก์ ไปสถานที่
    เอิกเริกบันเทิง สถานที่โอ่อ่า เป็นห้าง ผับ เป็นสถานที่
    ที่เค้ากำลังรวมพลซ้อมรบกัน สิ่งเหล่านี้เรียกว่า อโคจร
    ไม่ควรไป หรือทำกิริยาอาการใดที่ไม่งดงาม เช่น การใช้
    สิ่งของบางอย่างในที่สาธารณชน ซึ่งไม่เหมาะแก่สมณะ
    หรือนักปฏิบัติ การยืนนำหน้า การยืนหน้าครูบาอาจารย์
    การเดินแซงครูบาอาจารย์ การเดินผ่านครูบาอาจารย์

    โดยไม่ขอโอกาส การเดินจงกรมสูงกว่าครูบาอาจารย์
    การสวมรองเท้าเดินบนทางเดินจงกรม ในขณะที่ครูบา
    อาจารย์ไม่สวมรองเท้า การเดินเข้าออกผ่านไปผ่านมา
    โดยไม่ขอโอกาสจากครูบาอาจารย์ การจัดของสำรับ
    ต่างๆ โดยเบียดบังเพื่อนสมณะด้วยกัน หรือเพื่อน
    นักปฏิบัติด้วยกัน หรือแม้กระทั่งการทำกิริยากระด้าง
    กระเดื่องต่อเพื่อนนักปฏิบัติธรรม ต่อพ่อแม่ครูอาจารย์
    หรือการทำกิริยาในการล้างจาน ในการตากผ้า ในการ
    เก็บกวาด ทำความสะอาดวัดวา หรือสถานที่อยู่ในที่
    ปฏิบัติของตน ไม่มีความเคารพ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า
    การประพฤติเป็นศีลเหมือนกัน
    ต้องสำรวม ต้องระวัง โคจรก็เป็นศีล
    อาจาระก็เป็นศีล การสำรวมอินทรีย์ก็เป็นศีล
    การพิจารณาอาหารนี้เพื่อดับเวทนาเก่าให้หาย ไม่ให้
    เวทนาใหม่บังเกิดขึ้นก็เป็นศีล การห่มผ้าเพื่อบดบังกาย
     
  12. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    และเพื่อกันเหลือบ ยุง แดด ริ้น ไร ก็เป็นศีล การอยู่
    ในเสนาสนะทั้งหลาย เพื่อบดบังร้อนแดด ฝน สัตว์
    เลื้อยคลานทั้งหลาย...ก็เป็นศีล การพิจารณาเภสัช คือ
    ยารักษายาทา พิจารณาทุกครั้งว่าเรารักษากายให้อยู่ได้
    เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำให้แจ้งเพื่อพระนิพพาน
    อันนี้ก็เป็นองค์ของศีลเช่นกัน
    ศีลมีอยู่หลายที่ในพระไตรปิฏก แม้ในวิสุทธิมรรค
    ก็กล่าวองค์ศีลไว้จำนวนมาก นับแล้วสองร้อยกว่าหน้า
    ด้วยกัน ศีลจึงได้ชื่อว่าเป็นประตูพระนคร การปฏิบัติ
    ธรรม การเจริญสมาธิ การเจริญปัญญา
    ได้ชื่อว่าเป็นบ้าน เป็นประตูของบ้าน ความสำคัญมีทั้ง
    ประตูพระนคร ประตูบ้าน ตัวพระนคร ตัวของบ้าน
    ท่านทั้งหลาย อย่ามัวแต่ว่าตั้งใจปฏิบัติ แต่ไม่
    ตั้งใจรักษาศีล ไม่ตั้งใจรักษาอาจาระและโคจรของท่าน
    การหลับนอน การห่มผ้าของท่าน การรับประทานอาหาร

    หรือฉันอาหาร หรือการรับประทานหรือฉันเภสัชยารักษา
    หรือใช้เภสัชรักษาทางกาย ผิวหนัง หรือทางภายใน
    ร่างกายก็ตาม พึงพิจารณาสิ่งเหล่านั้นเสมอ ได้ชื่อว่า
    ท่านเป็น ผู้กระทำศีลให้บริบูรณ์ บริสุทธิ์สิ้นเชิง
    เรียกว่า ปาริสุทธิศีล
    ถ้าท่านประกอบอาชีพ คือ ชีวิตของท่านด้วยการ
    ไม่เบียดบัง ไม่เบียดเบียน ไม่กระทำให้คนอื่นเดือดร้อน
    ด้วยอาชีพ ไม่กระทำตนเองไปละเมิดศีล ฆราวาสศีล 5,
    ผู้บำเพ็ญเพียรอยู่วัดเป็นพราหมณ์ ศีล 8, สามเณร
    ศีล 10, พระภิกษุสงฆ์ 227 ข้อ, ไม่ละเมิดศีล
    เหล่านั้นด้วยอาชีวะ คือ ด้วยอาชีพ ด้วยชีวิต
    ของตน เป็นผู้ประกอบด้วยการแห่งความไม่ละเมิดแล้ว
    เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “เพราะอาชีวะนี้แหละ
    เป็นตัวการ เป็นสาเหตุแห่งการผิดศีล ผิดธรรม”
     
  13. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    เราจึงต้องหันมาสนใจเรื่องศีล วัตร หรือข้อปฏิบัติ
    แต่ละท่าน...แต่ละท่าน และพินิจพิจารณาตัวเองว่า
    ศีลของเราเป็นอย่างไร ถ้าศีลของเราไม่ดี ศีลของเรา
    ไม่บริสุทธิ์อย่างที่กล่าวมา มีศีลเบื้องต้นที่เรารู้จักกัน
    จนถึงโคจร อาจาระ และอินทรีย์ การพิจารณาปัจจัย 4
    ควรเสพ ไม่ควรเสพ เราจึงเห็นได้ว่า
    เรายังอยากอยู่...
    การปฏิบัติธรรมของเราจึงไม่คืบหน้า
    จึงไม่เกิดผล เพราะขาดศีล ศีลไม่บริสุทธิ์
    บริบูรณ์นั่นเอง เมื่อเราทำศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว
    สมาธิก็เกิดขึ้นตั้งมั่นขึ้นเอง ท่านทั้งหลายลองใช้ดู
    สำหรับท่านที่เป็นฆราวาส เช้าตื่นขึ้นมาก่อนจะไปประกอบ
    อาชีพการงาน ขอให้ท่านตั้งสติ สมาทานศีลทั้ง 5 ข้อ
    ตั้งแต่การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลักทรัพย์ การไม่ผิดลูก
    ผิดเมีย การไม่พูดโกหก การไม่ดื่มของมึนเมา เราตั้งใจ

    สมาทานศีลวันนี้ ตลอดวันจนถึงกลางคืน จนกว่าจะ
    รุ่งอรุณใหม่ วันนั้นเมื่อถึงเวลากลับบ้านอาบน้ำอาบท่า
    ทานข้าว ทำกิจต่างๆ เสร็จแล้ว จะเข้านอนพึงน้อมจิต
    ประนมมือแล้วนึกถึงศีลวันนี้ว่า ข้อไหนบ้างเราพลาดไป
    ด้วยเจตนา ถ้าบริสุทธิ์ดีทั้ง 5 ข้อ ให้กล่าวคำว่า
    สีลังเมปาริสุทธัง ศีลของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ สีลังเม
    ปาริสุทธัง ศีลของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ สีลังเมปาริสุทธัง
    ศีลของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ กล่าวคำสาธุ 3 ครั้งว่า
    สาธุดีแล้ว สาธุประเสริฐแล้ว สาธุสมควรแล้ว
    จิตของท่านจะตั้งมั่นทันที จิตของท่านจะอิ่มเอิบ
    เบิกบานใจ มีความสุข ในขณะนั้นให้ท่านแผ่เมตตา
    ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณจงเป็นสุขเป็นสุขเถิด
    อย่ามีเวรมีภัยต่อใครๆ และใครๆ ก็อย่ามีเวรมีภัย
    ต่อท่าน อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย และขอใครๆ
    อย่าเบียดเบียนท่าน ท่านก็อย่าเบียดเบียนเขา ขอท่าน
     
  14. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    และสรรพสัตว์ทั้งหลายจงประสบพบแต่สันติสุข มีความ
    เจริญตลอดอายุไข จงมีสติ สมาธิ ปัญญา มีความเพียร
    จงมีความตั้งมั่นดี เมื่อกิเลสของท่านยังปรากฏอยู่
    ยังไม่หมดไป ขอให้ท่านปรากฏขึ้นที่สวรรค์หลังจาก
    ท่านละสังขารไปแล้ว
    เมื่อการแผ่เมตตาของท่านปรากฏขึ้นในขณะนั้น
    ถ้าจิตของท่านยังไม่ผ่องใส ให้น้อมนึกว่า การแผ่เมตตา
    ของเรากว้างใหญ่ไพศาลหาประมาณมิได้ แม้แผ่นดิน
    ก็สะเทือนเลื่อนลั่นรับทราบการแผ่เมตตาของเรา ต้นไม้
    ที่ตั้งต้นก็อ่อนไหวอย่างลำเทียนที่โดนไฟแผดเผารับรู้
    การแผ่เมตตาของเรา น้ำก็ให้ระลอกตีเป็นคลื่น รับรู้การ
    แผ่เมตตาของเรา แม้อากาศนี้เล่าก็ปั่นป่วน ปรวนแปร
    ด้วยรับทราบการแผ่เมตตาของเรา อย่าเลย...สิ่งเหล่านี้
    แม้ไม่มีชีวิตยังรับทราบการแผ่เมตตาของเรา ใยเลย
    สัตว์ทั้งหลายจะไม่ทราบการแผ่เมตตาของเรา

    เมื่อเรานึกอย่างนี้จิตของเราจะผ่องใสเป็นประกาย
    น้อมเข้าสู่สมาธิขั้นปฐมฌานทันที จิตของท่านจะมี
    ความสงบ มีความสุข ก็ให้นั่งทำสมาธิ รู้ลมหายใจ
    เข้าออก ตอนนั้นพุทโธอาจจะไม่ปรากฏก็ได้ แต่ให้รู้
    ลมหายใจเข้าและออก ยกเว้นว่าจิตของท่านเริ่มถอนตัว
    เกิดความคิดขึ้นจึงนำพุทโธขึ้นมาภาวนา มีสติอยู่กับ
    ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก พุทหายใจเข้า...โธหายใจออก
    นี่เรียกว่า การปฏิบัติตั้งแต่ศีล เมตตา
    สมาธิเป็นที่สุด น้อมลงสู่กาย พิจารณา
    กาย ตั้งแต่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น
    กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม ตับ ไต ปอด เป็นต้น
    แยกแยะให้เห็นว่าร่างกายเราไม่ใช่แท่งทึบเป็นแท่งโปร่ง
    มีสิ่งปฏิกูลอยู่ภายใน เป็นของไม่สะอาด ปะปนไปด้วย
    โลหิตหรือเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำลาย น้ำเสลด
    น้ำเหงื่อ น้ำมันข้น น้ำคูด น้ำมูตร อุจจาระ ปัสสาวะ
     
  15. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    อยู่ในร่างกายของเรา ชำแหละแล่ออกมาให้เห็น ซี่โครง
    เป็นอย่างไร เครื่องในเป็นอย่างไร หนังกำพร้าเป็น
    อย่างไร ชิ้นเนื้อเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์
    ทั้งหลายต่างหลงใหลชอบพอ เราพิจารณาให้เห็น
    ตามความเป็นจริงว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นอะไร
    กันแน่...มันเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา
    หรืออย่างไร
    แต่ถ้าจิตของท่านเริ่มจะสงบรวมตัวลง ก็กำหนด
    ลงที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งที่เราเห็นว่าชัดเจนที่สุด
    นิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมกับลมหายใจ และองค์บริกรรม
    ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับผู้รู้ สงบอยู่อย่างนั้น
    เป็นอยู่เวลานานเท่าไหร่ก็ตาม ขึ้นอยู่กับสมาธิของท่าน
    จะทรงตัวได้แค่ไหน

    และให้เห็นว่า...สิ่งเหล่านี้เป็นทุกขังเมื่อมัน
    มีชีวิตอยู่ เป็นอนิจจัง คือความไม่เที่ยง
    แปรเปลี่ยนไปไม่แน่นอน เป็นอนัตตา ไม่ใช่
    ตัวเรา ไม่สามารถบังคับบัญชาอ้อนวอน
    ขอร้องอะไรได้เลย ให้เห็นไตรลักษณ์ในนั้น
    นี่เรียกว่า การปฏิบัติขั้นศีล เมตตา สมาธิ
    ปัญญา วิปัสสนาเป็นที่สุด
     
  16. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    ขอท่านทั้งหลายจงทำความนอบน้อมพระรัตนตรัย
    ตั้งกาย วาจา ของท่านให้สงบเป็นศีล พร้อมกับ
    การตั้งใจฟังธรรมให้เป็นสมาธิ พิจารณาสิ่งที่ได้
    รับฟังด้วยปัญญา
    พระธรรมคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น
    พระธรรมที่ละเอียด สุขุม ละเมียดละไม ต่างจาก
    คำสอนในศาสนาอื่นๆ แม้ว่าคำตรัสคำสั่งสอนของ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าจะมีความละเอียด หากท่านทั้งหลาย

    มีสติ ตั้งใจฟังดังที่กล่าวมาในข้างต้นว่า ให้พึงสำรวม
    กาย วาจา ด้วยศีล ตั้งใจฟังด้วยสมาธิ พิจารณาสิ่งที่
    รับฟังด้วยปัญญา มีสติอยู่เฉพาะหน้า ท่านก็จะมีความ
    เข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังคำที่มีไว้ในพระสูตรว่า
    คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อบุคคลได้ฟังแล้ว
    อาจตรองตามให้เห็นจริงได้
    คำว่า “ตรองตามให้เห็นจริงได้” คือ
    จิตมีความคล้อยตาม จิตมีความเห็นตาม
    รู้ตาม นั่นก็ต้องประกอบไปด้วยว่าธรรมที่พระผู้มี
    พระภาคเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นไปตามลำดับคือ
    อาทิกัลยาณัง คือ งามในเบื้องต้น
    มัชเฌกัลยาณัง คือ งามในท่ามกลาง
    ปริโยสานกัลยาณัง คือ งามในที่สุด
     
  17. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    คำว่า “งาม” หมายความว่า ทรงแสดงธรรม
    เป็นระเบียบ สละสลวย ฟังแล้วให้เกิดเหมือนกับกลอน
    มีความสัมพันธ์สอดคล้องกัน ทั้งอรรถและพยัญชนะ
    มีความสมส่วนกัน ไม่เหลื่อมล้ำสูงต่ำ พร้อมด้วย
    พระภาษิตของพระองค์นั้น ก็เป็นไปด้วยความราบเรียบ
    สุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ก็เป็นเสียงอันเสมอภาค
    ไม่ดังเกิน ไม่เบาไป คนใกล้และคนไกลสุดได้ยินเสมอกัน
    เมื่อบุคคลที่ได้รับคำตรัส คำสั่งสอน
    ของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีจิตอันเกษม คือมี
    จิตเบิกบาน อาศัยความเลื่อมใส ความศรัทธา
    ก็จะเกิด...ความสว่างในจิต ความซาบซึ้ง
    ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
    บุคคลที่จะรับฟังพระธรรมนั้น จะต้องทราบ
    คุณของพระธรรม ทราบคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า
    เสียก่อน เหมือนบุคคลจะทำงาน ต้องทราบคุณของงาน

    ก่อนว่าทำงานแล้วจะได้อะไร ได้สิ่งนั้นแล้ว สิ่งนั้น
    ให้ประโยชน์อะไรกับเรา อย่างนี้เป็นต้น อุปมานี้ฉันใด
    อุปมานี้ก็ฉันนั้น...เหมือนกัน ฉะนั้นพึงทราบว่าพระธรรมนี้
    มีประโยชน์อย่างไร
    พระธรรมนี้นำเราออกจากความทุกข์ได้ เมื่อบุคคล
    ได้รับฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
    ในขณะมีความเศร้าโศกอยู่ ย่อมคลายจากความเศร้าโศก
    นั้นได้ บุคคลใดมีความหวงแหนในสิ่งของอยู่ เมื่อได้
    รับฟังแล้ว ย่อมคลายออกจากความหวงแหนในสิ่งนั้นได้
    บุคคลใดมีความปริวิตกคร่ำครวญในสิ่งที่จากไป อย่างเช่น
    ญาติที่จากไป เป็นต้น ย่อมคลายจากความปริวิตก
    คร่ำครวญในญาตินั้นได้ บุคคลใดมีกิเลสดั่ง
    เนินเทิน คือ มีกิเลสใหญ่โต ย่อมคลายกิเลส
    จากความใหญ่โตลงได้
     
  18. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    “บุคคลใดมีกิเลสเพียงเล็กน้อย...ย่อม
    สลัดกิเลสเล็กน้อยนั้นได้ จิตนั้นหลุดพ้นได้
    เพราะอาศัยได้ฟังพระธรรม และรู้ว่า...
    คุณของพระธรรมนั้นเป็นอย่างไร
    จิตของผู้นั้นย่อมถึงคราวเกษม เพราะ
    อาศัยเกิดจากการฟังธรรมนั้น ธรรมจึงมี
    คุณประโยชน์อย่างนี้”
    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม คือ พระธรรมของ
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว สันทิฏฐิโก อะกาลิโก
    ธรรมของพระองค์นั้นเป็นของกลาง ไม่มีกาล ไม่มีเวลา
    ปฏิบัติได้ทุกเมื่อ
    เอหิปัสสิโก คือ น้อมธรรมนั้นเข้ามาใส่ตน
    เมื่อธรรมนั้นบังเกิดขึ้นในตนแล้ว พึงประกาศบอกบุคคลอื่น
    ให้มาดูธรรมของพระพุทธเจ้า

    ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิติ คือ บุคคลที่เป็น
    ปราชญ์ เป็นบัณฑิต หรือบุคคลที่ปฏิบัติ นั่นแหละ
    จึงจะเป็นผู้รู้เห็นธรรมนั้นได้ บุคคลอื่นนอกจากนี้
    ไม่สามารถรู้ธรรมได้ นี้เรียกว่าคุณของพระธรรม
    ส่วนคุณขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เราควรทราบ
    ว่ามีคุณอย่างไร เมื่อรู้คุณแล้วควรรู้ว่ามีประโยชน์
    อย่างไร เมื่อเรามีความศรัทธาพระพุทธเจ้าขึ้นด้วยว่า
    อิติปิโส ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เกิดขึ้นหรืออุบัติ
    ขึ้นในโลกนี้แล้วหนอ พระองค์นั้น
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ เป็นผู้ไกลจากกิเลส
    ไม่กลับมาสู่กิเลสแล้ว พระองค์ทรงตรัสรู้เองโดยชอบ
    พุทโธ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
    วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นผู้ที่มีจรณะ 15 คือ
    มีการประพฤติทางกาย ทางวาจา ทางใจ บริสุทธิ์
    วิชชา หมายถึง ความรู้ความสามารถ ได้แก่ อนุตรสัมมา
    สัมโพธิญาณ
     
  19. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    สุคะโต เป็นผู้ที่มาดีแล้ว คือมาเป็นพระศาสดา
    นำสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากความทุกข์ และไปดีแล้ว
    คือเป็นผู้ไปดีแล้ว หมายถึง พระนิพพาน
    โลกะวิทู คือ เป็นผู้ที่รู้ไตรโลกนาศ ทั้งสามแดน
    โลกธาตุ ไม่มีที่ใดที่พระองค์ไม่ทราบ ทรงรู้แจ่มแจ้ง
    ในโลกนี้และโลกหน้า ทรงรู้แทงตลอดถึงเวไนยสัตว์
    ทั้งหลาย ผู้เกิดและผู้ตาย ไปเกิดที่ใด...เพราะอาศัยกรรม
    อะไร, ผู้มาเกิด...เกิดเพราะกรรมอะไร อาศัยกรรมอะไร
    จึงมาเป็นบุคคลร่ำรวยหรือยากจน เกิดในฐานะตระกูลใด
    พระองค์ทรงเป็นผู้รู้ โลกะวิทู คือแจ้งโลก เป็นผู้สอน
    เทวดา มาร พรหม และมนุษย์ทั้งหลายให้รู้ตาม คือเป็น
    สาระถี คือ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
    คือเป็นผู้มีโชคเป็นผู้มีชัย เป็นผู้กำชัยชนะไว้เสียได้
    นี่เรียกว่า คุณของพระพุทธเจ้า

    “บุคคลใดมีความศรัทธาในพระพุทธเจ้า
    แล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่ตกไปสู่ที่ต่ำ เป็นผู้ที่
    เจริญไปสู่ที่สูงเสมอ”
    นี่เรียกว่าคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม
    ส่วนคุณของพระอริยสงฆ์นั้น ขึ้นด้วยว่า
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ คือพระ
    สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ผู้ปฏิบัติ
    ชอบแล้ว คือ ผู้ปฏิบัติดี คือ ดีตามคำสั่งสอน
    ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามหลักพระธรรม
    และพระวินัย ผู้ปฏิบัติชอบแล้ว คือ ปฏิบัติ
    ตามมรรคมีองค์แปด โดยมีสัมมาทิฏฐิเป็นที่ตั้ง
    สัมมาสมาธิเป็นที่สุด
     
  20. อัสนี

    อัสนี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,401
    ค่าพลัง:
    +3,566
    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เป็น
    ผู้ปฏิบัติตรงต่อคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติ
    ตรงสู่...โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี และ
    อรหันต์ ถึงพระนิพพาน จึงเรียกว่าเป็น
    ผู้ปฏิบัติตรงดีแล้ว
    ญายะปะฏิปันโน ภะคะโต สาวะกะสังโฆ เป็น
    ผู้ปฏิบัติปราศจากมายา ปราศจากการกระทำที่เป็นโทษ
    ทั้งหลายแล้ว
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เป็น
    ผู้ปฏิบัติและเป็นผู้ที่มีความดีเลิศสูงสุด ไม่มีความดีใด
    เท่ากับพระอรหันต์ทั้งหลายแล้ว เป็นผู้ที่ควรรับทักษิณาทาน
    ควรกราบไหว้ ควรเคารพ ควรบูชา ควรรับทักษิณาทาน
    ของทายกทายิกาทั้งหลาย พระองค์ทรงตรัสว่าสาวก
    ทั้งหลายมีสี่จำพวก แบ่งเป็นแปดบุคคล เรียกว่า
    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ทรงตรัสอย่างนี้

    พระธรรมของพระองค์ตรัสอย่างนี้ คือตรัสตั้งแต่
    พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุณของพระสงฆ์เป็น
    อย่างนั้น
    ประโยชน์ของพระสงฆ์ คือ นำให้เรารู้แจ้ง
    ตามความเป็นจริง เพราะพระสงฆ์ทั้งหลายได้
    ธำรงรักษาพระธรรมวินัยไว้ได้ และนำมาเผยแผ่สอนแก่
    บรรดาทายกทายิกา อุบาสกอุบาสิกา และต่อชาวโลก
    ทั้งหลาย ให้รับทราบว่า
    “พระพุทธมีจริง พระธรรมมีจริง
    พระอริยสงฆเจ้ามีจริง สิ่งเหล่านี้เป็นของ
    ประเสริฐ เป็นของละเอียด เป็นของสุขุม และบรรดา
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลายที่จะปฏิบัติธรรมให้บังเกิดโสตติผล
    คือ เกิดความเจริญรุ่งเรืองในการปฏิบัติในสมถะภาวนา
    และวิปัสสนาภาวนานั้น จะละเลยเสียมิได้นั่นก็คือ
     

แชร์หน้านี้

Loading...