คำสารภาพของวิญญาณบาป ตอน หลวงพ่ออ่ำ วัดวงศ์ฆ้อง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Aek9549, 23 มกราคม 2011.

  1. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD>คำสารภาพของวิญญาณบาป

    หน้า: 1/38
    (20348 คำในบทความ)
    (15473 ครั้ง) [​IMG] [​IMG]



    <CENTER>คำสารภาพของวิญญาณบาป</CENTER>
    เริ่มเรื่อง
    เจ้าฝรั่งมังฆ้อง สุนัขแสนรู้
    วิญญาณ คุณหลวง
    วิญญาณพยาบาท
    วิญญาณบอกมรดกคุณปู่
    รอย กรรม
    อัตวินิบาตรกรรม
    วิญญาณ ง่อย
    คุณยายแม้น ผู้เสียสละ
    อาจารย์ฟ้อน ชดใช้กรรม
    วังเปรต
    <CENTER>เริ่มเรื่อง </CENTER>
    [​IMG] ท่านผู้อ่านที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป หรือว่าร่วมๆ 60 ปีที่อยู่แถวอยุธยา คงจะได้รู้จักหรือได้ยินกิตติศัพท์อันสมควรแก่การเคารพคารวะอย่างยิ่งของพระภิกษุรูปหนึ่ง ท่านคือ พระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพุทธวิหารโสภณแห่ง วัดวงษ์ฆ้องคลองเมือง ในเขตอำเภอเมืองอยุธยานี่เอง แต่ชาวบ้านใกล้ๆ วัด เรียกท่านว่า “หลวงพ่อ อ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง”
    ท่านได้ถึงแก่มรณภาพไปเมื่ออายุของท่านประมาณ 90 ปีโดยสภาพที่นั่งหลับทำสมาธิในกุฏิ ประมาณ พ.ศ. 2488 ในสมัยที่ประเทศเรายังอยู่ในระยะสงครามโลกครั้งที่ 2
    ก่อนที่จะถึงมรณภาพ ท่านได้บอกลูกศิษย์ลูกหา ของท่านที่รับใช้ท่านอยู่ว่า
    “พรุ่งนี้ไม่ฉันเช้า ไม่ฉันเพล ไม่ต้องปลุก เพลแล้วจึงค่อยเข้าไปหาในกุฏิ ก่อนจะไปหาในห้อง ให้หาอาหารนก ให้ไก่ ให้แมว ให้สุนัข และสัตว์ที่ซื้อชีวิตเขามาเลื้ยงไว้ในถุนกุฏิ ให้อิ่มเสียก่อนด้วย” (ทั้งนี้เพราะสัตว์เป็นอันมากที่ท่านสงเคราะห์ชีวิตไว้ อยู่กันเต็มไปหมดทั้งบนกุฏิและใต้กุฏิ)
    วันรุ่งขึ้น ลูกศิษย์ก็ปฏิบัติตามที่ท่านสั่งอย่างเรียบร้อย เหมือนกับที่ปฏิบัติมาทุกวัน แต่ก็นึกแปลกใจว่า “วันนี้ทำไมหลวงพ่อไม่ตื่นออกมาฉันเช้าและฉันเพล” ทั้งๆ ที่อยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าถามท่าน
    พอได้เวลาเลยไปแล้ว คณะลูกศิษย์ก็เปิดประตูกุฏิเข้าไปหาท่านตามสั่ง จึงพบว่า ท่านได้ถึงแก่มรณภาพแล้ว ในลักษณะนั่งสมาธิบนเบาะพิงหมอนขวาน มือทั้งสองของท่านวางที่หน้าตัก ศีรษะเอียงไปข้างหนึ่ง
    จากนั้น ข้าวก็กระจายไปทั่วเกาะอยุธยา ลูกศิษย์ลูกหาและผู้เคารพนับถือในตัวท่านต่างก็หลั่งไหลไปที่วัดเพื่อกราบนมัสการด้วยความเคารพและอาลัย
    ข้าวนี้ยังได้ทราบมาถึงลูกศิษย์ลูกหาที่กรุงเทพฯ ทำให้ วัดวงษ์ฆ้องในระยะนั้นแน่นขนัดไปด้วยสาธุชนที่เคารพในตัวท่าน บุคคลที่เคยได้รับอนุเคราะห์จากท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ที่ไปขอความเมตตาจากท่านนับด้วยสิบ ๆ ปี เพราะท่านได้แผ่เมตตาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่เลือกว่ายากดีมีจน ร่ำรวยหรือยาจกเข็ญใจ
    แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน จะเห็นได้ว่า ทั้งเป็ด ทั้งไก่ ทั้งหนู เต็มไปทั้งใต้ถุนกุฏิ รวมทั้งวัว ควาย ที่เขาจะฆ่า พอท่านทราบเข้า ท่านก็จะขอบิณฑบาตชีวิตไว้ ถึงจะต้องเสียปัจจัยในการซื้อชีวิตนี้เท่าใดก็ตาม
    ประกอบกับท่านเป็นแพทย์แผนโบราณ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปเรียนที่อินเดีย ท่านไปอินเดียด้วยการเดินธุดงค์ เมื่อหลายปีมาแล้ว ไปอยู่อินเดียหลายปี เรียนวิปัสสนากรรมฐานที่อินเดียโน่นด้วย ท่านก็ใช้วิชาแพทย์โบราณที่เรียกว่าช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ที่เจ็บไข้ได้ป่วย เพื่อการกุศลอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องกระดูกหัก ท่านเก่งมาก ที่ใต้ถุนกุฏิของท่านจะมีกองเฝือกที่แกะออก ผ่าออก จากแขน ขา ลำตัว คนไข้กองโตพะเนินเทินทึก กิตติศัพท์ของท่านได้ทราบกันทั่วไปในสมัยนั้น
    ดังตัวอย่างก็คือ คุณวิลาศ โอสถานนท์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (ในสมัยนั้นเรียก กรมโฆษณาการ) ไปขี่ม้า บังเอิญตกจากหลังม้ากระดูกสันหลังหัก ได้เข้ารับการรักษาตัว ณ โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งโดยนอนเข้าเฝือกลำตัวไว้ ต่อมาญาติของท่านได้ทราบถึงความสามารถของหลวงพ่อ จึงขึ้นรถไฟไปหาท่าน (สมัยนั้นไม่มีทางรถยนต์ มีแต่ทางรถไฟทางเดียว)
    หลวงพ่อบอกว่า “เดี๋ยวก่อนไม่ต้องบอกว่าป่วยเป็นอะไร” ว่าแล้วท่านก็จุดเทียนขึ้นเล่มหนึ่ง ตั้งเทียนไว้ที่ปากบาตร ที่สำหรับทำน้ำมนต์ พอท่านนั่งหลับตาอยู่ครู่เดียว ท่านก็บอกว่า “คนไข้ กระดูกสันหลังหักเสียแล้วให้เอาใส่เรือมาจอดที่หน้าวัดเลย จะรักษาให้” ญาติๆ ถึงกับตะลึงเพราะไม่ได้มีใครบอกท่านก่อนเลยว่า จะพาใครมาหาท่าน มาเรื่องอะไร
    เมื่อ พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ นอนในเรือมาถึงหน้าวัด (ท่านได้รับยศพันตรีในระหว่างสงคราม พร้อมๆ กับ คุณควง อภัยวงศ์) หลวงพ่อก็สั่งให้เอาเฝือกที่เข้าไว้ตั้งแต่บั้นเอวจนถึงหัวเข้าทั้งสองออก แล้วก็ทำการรักษาตามวิธีที่ได้ร่ำเรียนมา
    เนื่องจากกระดูกสันหลังหักและเคลื่อนไปจากที่เดิม หลวงพ่อจึงต้องทำการรักษาอยู่ 3 ครั้ง คือ 3 วัน พอครบ 3 วัน กระดูกที่หักของคุณวิลาศ ก็ติดเป็นปกติ หลวงพ่อจึงสั่งให้ผู้ป่วยยืนขึ้น และเดินมาหาท่านผู้ป่วยก็ปฏิบัติตามด้วยอาการปกติ เหมือนกับไม่เคยมีอาการหัก ณ ที่ใดมาก่อนเลย
    หลักจากนั้น คุณวิลาศก็ลากลับและไปตรวจเอกซเรย์อีกครั้งที่โรงพยาบาลที่ท่านเคยเข้าไปรับการรักษาในครั้งแรกที่กระดูกหักใหม่ๆ แต่ปรากฏว่ากระดูกไม่มีรอยหัก ณ ที่ใด ยังความประหลาดใจแก่แพทย์ผู้ทำการรักษาทุกท่านเป็นอย่างมาก ตอนนี้จึงทำให้กิตติศัพท์ของหลวงพ่อยิ่งกระฉ่อนไปอย่างไม่มีใครยั้งได้
    บัดนี้ คุณวิลาศผู้นั้นอายุ 87 ปีในปี พ.ศ. 2532และยังเดินเล่นกอล์ฟบางพระ จังหวัดชลบุรีได้
    </TD></TR><TR><TD align=middle> หน้าถัดไป (2/38) [​IMG]

    [ กลับไป กฎแห่งกรรม | สารบัญเรื่องพิเศษ ]


    ที่มาแหล่งข้อมูล:http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=112


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มกราคม 2011
  2. trirut

    trirut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,420
    ค่าพลัง:
    +1,499
    ขอบคุณครับ สาธุ สาธุ ตามไปอ่านมายาวมากๆแต่อ่านไม่เบื่อเลย ^^
     
  3. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>เจ้าฝรั่งมังฆ้อง สุนัขแสนรู้</CENTER>
    หลวงพ่อ ตื่นแต่เช้ามาก เมื่อเสร็จธุระส่วนตัวของท่านแล้ว ท่านจะมานั่งในที่ที่จัดไว้ จากนั้นท่านจะมาสวดมนต์ทำวัตรเช้าอยู่ราวๆ ครึ่งชั่วโมง พอเสร็จท่านก็จะนั่งที่นั่นต่อไปในท่าขัดสมาธิ สองมือประสารกันวางที่หน้าตัก ท่านจะนั่งอยู่อย่างนี้นาน…..นานมาก ประมาณเวลาสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง แล้วผมก็จะเข้าไปประเคนของ อันมีภัตตาหาร ดอกไม้ ธูป เทียน
    ตอนนี้ พี่ๆ น้องๆในบ้าน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ทำงาน ก็จะเข้ามากราบนมัสการหลวงพ่อทุกคน
    จากนั้นท่านจะฉันจังหันที่จัดถวาย ซึ่งท่านฉันน้อยมาก เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว ท่านก็อนุโมทนาให้ศีลให้พร คือ ยะถาสัพพี ตามปกติ ก็เห็นจะเป็นเวลาร่วมๆ 09.00 น.
    ช่วงนี้บิดาผมจะเข้ามากราบแล้วคุยกับท่าน ก็ไต่ถามการจำวัด การขบฉัน ว่าสะดวกหรือไม่อย่างไร ในการที่ท่านได้กรุณามาจำวัดที่บ้านเราในโอกาสนี้
    บิดาผมเรียกหลวงพ่อว่า “ท่านเจ้าคุณ” หลวงพ่อก็เรียกบิดาผมว่า “เจ้าคุณ” เหมือนกัน
    ขณะที่ผมนั่งปฏิบัติรับใช้ท่านอยู่ก็ได้ฟัง “เจ้าคุณ” ฆราวาสสนทนาธรรมกับ “เจ้าคุณ” พระภิกษุ อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง คือ เช้า เย็น และกลางคืน
    ในระหว่างคุยกันไป ถามกันไปตอบกันมา ผมนั่งฟังอยู่ด้วย ก็รับฟังด้วยความตื่นใจตื่นตาในเรื่องที่ทั้งสองท่านคุยกัน
    ตอนนั้นบิดาผมนมัสการถามท่านว่า
    “คนและสัตว์นี้เกิดมาแล้วก็ตายปัญหามีว่า ตายแล้วจะไปไหน จะเกิดอีกหรือไม่ ? บางคนว่า ตายแล้วก็เลิกกัน...สูญไป บางคนว่าตาย แล้วก็ไปเกิดใหม่ ท่านเจ้าคุณจะกรุณาอธิบายให้เกิดความเข้าใจ และเกิดความเชื่อถือได้หรือไม่”
    “ตายแล้วดับ ไม่เกิดอีก มีอยู่คือท่านที่หมดกิเลส เป็นพระอรหันต์เท่านั้น นอกนั้นต้องเกิดทั้งสิ้น ไม่มีเว้นส่วนที่ไปเกิดที่ไหน...อย่างไรนั้นอีกเรื่องหนึ่ง”
    “แล้วตายแล้วไปไหนล่ะขอรับ”
    “การตาย คือการละทิ้งร่างกายไป ก็เหมือนเราลงจากบ้าน จะนั่งเรือไปยังอีกที่หนี่ง การที่จะลงเรือนั้นเราก็ต้องจากบ้านที่เราอยู่ไป”
    บ้านที่เราอยู่เปรียบเหมือนร่างกายของเราในตอนนี้ เรือก็คือพาหะที่จะพาเราไปตามที่ต่างๆ จะเอาบ้านใส่เรือไปนั้น มันไม่ได้
    ส่วนเรือที่นั่งอยู่จะไปทิศใด ทางใดนั้น ก็แล้วแต่ลมและหางเสือจะพาเรือไปในทะเล
    หางเสือและลมในทะเลที่จะพัดพาเรือไปนั้นคือ วิบาก ซึ่งได้แก่ ผลแห่งกรรม จะไปสู่เกาะอันเปล่าเปสี่ยว ลำบาก มีแต่ภัยอันตราย หรือจะไปสู่บ้านเมืองอันเจริญศิวิไลซ์ น่าอยู่น่าอาศัย ก็แล้วแต่หางเสือเรือและลมคือวิบากนี่เท่านั้น
    เจ้าคุณ ทุกชีวิตไม่ว่าคนหรือสัตว์ เมื่อดับขันธ์ก็ต้องลงเรือนี่ทั้งนั้นไม่มีเว้น เมื่อลงเรือไปแล้ว ก็จะไปถึงจุดๆ หนึ่ง ที่ทุกจิต ทุกวิญญาณจะมาพบที่จุดนี้
    พบอะไร ?
    ก็พบกับกรรมที่กระทำไว้ โดยเจตนา
    การที่จะไปถึงจุดนี้ ไม่ใช่ลงเรือไปอย่างที่ยกเป็นอุทธาหรณ์ แต่ไปเองไปด้วยแรงกรรม กรรมจะพาไปยังจุดนี้ก่อนที่จะแยกย้ายไปจุติในที่ต่างๆ
    “แล้วชาติที่แล้ว คือชาติก่อนชาติหน้า มีจริงหรือไม่...ท่านเจ้าคุณ จะกรุณาอธิบายว่ากระไร”
    “ชาตินี้มี ชาติก่อนก็ต้องมี เมื่อมีชาติก่อน มีชาตินี้ ชาติหน้าก็ต้องมีซิเจ้าคุณ”
    “ท่านเจ้าคุณทราบได้อย่างไร ?”
    “พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในชาดกชัดเจน พระพุทธองค์เองก็เสวยชาติต่างๆ มามากมายก่อนที่จะอุบัติมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
    “ก็ถ้าไม่อ้างถึงชาดกล่ะขอรับ ท่านเจ้าคุณจะทราบได้อย่างไรว่าชาติที่แล้วมีจริง ชาติหน้ามีจริง”
    “ก็การระลึกชาติไดัยังไงล่ะเจ้าคุณ ถ้าไม่นานเกินไป หรือไปเกิดเสียหลายๆ ชาติเสียก่อนจนลืม บางทีท่านได้ฌานแก่กล้า ท่านก็จะรู้เรื่องชาติภพก่อนๆ ของเราได้..ดังอาตมาจะเล่าให้ฟัง”
    ณ ที่แห่งนั้นเป็นลานกว้าง รื่นรมย์ด้วยมวลไม้ทั้งต้น และดอกนานาชนิดมันร่มรื่นน่าพิควง ภายในแดนนั้นมีสิ่งที่เรียกว่า จิตวิญญาณเหลือคณานับ จิตวิญญาณนี้ล่องลอยมาพบกัน สนทนากัน ก่อนที่จะไปจุติตามกรรมลิขิตแห่งตน
    บางพวกก็เพิ่งลอยละล่องมามายังที่นี้เพื่อมาคอยรับวิบาก ผลแห่งกรรมที่กระทำไว้ก่อนที่จะมาสละเรือนร่างในชาติภพที่ผ่านไปหมาดๆ
    จิตวิญญาณนี้มีทั้งจิตวิญญาณของมนุษย์นานาชาตินานาพวกเหลือคณานับและยังจิตวิญญาณแห่งสัตว์ในอบายที่ผ่านมาจับสัตว์ในอบายที่หมดเวรหมดกรรมแล้ว คอยเวลาที่จะไปรับใช้กรรมในชาติภพต่อๆไป
    ในขณะที่จิตวิญญาณทั้งหลายล่องลอยอยู่ ณ ทีนี้ ก็จะมีจิตวิญญาณที่ละทิ้งเรือนร่างในชาติภพแห่งตนแล้วล่องลอยมารวมกลุ่ม ณ ที่นี้ทุกขณะและบางพวกก็ล่องลอยจากไปทุกขณะเช่นกันแต่ละวิญญาณก็พบกันสารภาพต่อกัน ก่อนที่จะจากไปรับกรรมตามสภาวะ
    ขณะนั้น วิญญาณหนึ่งก็ล่องลอยมารวมกลุ่ม วิญญาณในกลุ่มก็เอ่ยถามขึ้นว่า
    “มาแล้วรึ ไหนว่าจะไปจุติยังไงล่ะ”
    “ไปกลับมาแล้ว เกิดเป็นสุนัขใช้กรรมแล้ว หมดกรรมแล้ว จึงกลับมาที่นี้ เพื่อจุติต่อไปอีก”
    “ทำไมเร็วนัก ชั่ววันเดียวเท่านั้นเอง”
    “ก็ไม่เร็วนะ มัน 10 ปี ของโลกมนุษย์เชียวละ...ต่อไปนี้จุติเป็นมนุษย์ละ”
    “เหตุไรและด้วยกรรมใดจึงทำให้ท่านต้องเกิดเป็นสุนัข และกรรมใดจึงทำให้ท่านจะไปจุติเป็นมนุษย์” จิตวิญญาณอีกดวงหนึ่งถาม
    วิญญาณที่มาใหม่ได้สารภาพถึงกรรมที่ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้ว่า
    “สองชาติที่แล้วมาเราก็เกิดเป็นมนุษย์ด้วยความคึกคะนอง เราเห็นสุนัขเป็นไม่ได้ ต้องเฆี่ยน ต้องตี ต้องเตะ ต้องทำร้ายนานัปการเป็นนิสัย
    ด้วยสัญชาตญาณสุนัขทุกตัว เมื่อเห็นเราเข้าก็จะต้องหลบทันที ถ้าหลบหนีไม่ทันก็ต้องต่อสู้ โดยแสดงอาการจะทำร้ายเราเช่นกัน แต่สุนัขมันสู้คนไม่ได้หรอก สุดท้ายมันก็ถูกดาบของเราฟัน ถูกตีจนต้องหนีไปด้วย อาการสาหัสมาหนักต่อนัก”
    “ไหนเป็นยังไง ลองเล่าให้ฟังบ้าง”
    “ก็ที่ บ้านทุ่งเสมอ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เราไปเกิดเป็นลูกของ ทิดฉ่ำ นางแก้ว ชาวนา ที่มีอันกินในแถบนั้น เราชื่อ เฉิ่ม เป็นลูกชายคนแรกของพ่อแม่ พ่อแม่ก็รักมาก ตามใจทุกอย่าง
    พอโตขึ้นหน่อยเราก็เป็นหัวโจกในหมู่บ้านนั้น ใครๆ ก็รู้จักเจ้าเฉิ่ม
    พอเป็นหนุ่มก็บวชพระพรรษาหนึ่ง ลาออกมาก็ช่วยพ่อทำนา รับซื้อข้าว ขายข้าวกับพ่อ ต่อมาก็แต่งงานกับ ลูกสาวทิดสุกพ่อตาก็เป็นชาวนาพื้นบ้านเหมือนกัน เมียชื่อ แม่ม้าย มีลูก 3 คน
    ตอนหลังเพื่อนฝูงก็ชวนไปเที่ยวเตร่ตามประสาคนหนุ่ม พอมึนได้ที่ก็กลับบ้าน มันก็เดินเซๆ เอียงไปเถียงมาเพราะฤทธิ์ที่กินเหล้าเข้าไป ทีนี้สุนัขมันก็เห่า ก็มันดึกแล้วนี่ เราก็ต้องทะเลาะกับสุนัขทุกคืนทุกวัน จนมันจำาหน้าได้
    ทีนี้พอกลางวันเดินผ่านบ้านใครสุนัขมันก็เห่าแทบทุกบ้าน เราก็เป็นศัตรูกับสุนัขเรื่อยมาตั้งแต่นั้น พอมันเห่าก็ไล่เตะ ไล่ตี ไล่ขว้างมัน มีดดาบที่ถือในมือก็เหวี่ยงไปที่คอมัน หัวมัน ถูกบ้าง ผิดบ้าง ที่ถูกก็เจ็บปวด ร้องลั่นวิ่งหนีไปมันก็ไปเจ็บ ไปตาย สุดแล้วแต่ จนเมียเรา แม่เรา ทนไม่ได้
    เมียเราทนไม่ได้ก็พูดขอร้องว่า “พี่เฉิ่ม ฉันขอทีเถอะเรื่องกินเหล้านี่ พอพี่เฉิ่มกินเข้าไปแล้วต้องไล่ทำร้ายหมาทุกที ขนาดไอ้ด่างหมาของฉัน พอพี่เฉิ่มกลับบ้านมันดีใจ....วิ่งไปรับตะกุยหน้าตะกุยหลังกระดิกหางดีใจที่นายมา พี่เฉิ่มเตะมันเสียคอหักขาหัก เดินไม่ได้จนบัดนี้ มันบาปกรรม เป็นเวรนะพี่ ฉันขอทีเถอะ
    เราก็ตอบแม่ม้ายว่า “เฮ้ย ! หมูหมาสิงสาราสัตว์ไม่มีความหมายอะไรหรอก รำคาญนักก็เตะมันไปก็สิ้นเรื่อง”
    เมื่อได้ยินเราพูดเช่นนั้น แม่ม้ายก็ได้แต่นั่งร้องไห้ไป
    ต่อมา สุนัขตัวเมียข้างบ้านมันอาศัยเศษๆ อาหารที่แม่ม้ายเขาให้ทานมันกิน มันก็มาคลอเคลียอยู่ที่บ้าน เรารำคาญเป็นที่สุด ต่อมามันออกลูกมาหลายตัว เสียงลูกมันร้องลุดแสนที่จะรำคาญ เราอุตส่าห์ทนมาตั้งเดือน ก็เพราะเห็นแก่แม่ม้ายนี่แหละ
    หนักๆ เข้าทนไม่ไหว มันร้องหนวกหูนัก เราก็เลยจับลูกสุนัขทั้งหมดโยนลงไปในน้ำ ก็คลองหน้าบ้านนั่นแหละ น้ำกำลังเชี่ยวอยู่ด้วย มันลอยตามน้ำไปกำลังจะตายอยู่แล้ว พอดีแม่ม้ายเมียตัวดีกลับมา ก็เดาเหตุการณ์ออก รีบโดดลงไปในคลอง เอาลูกสุนขขึ้นมาได้รอดตายไป
    อีกวันหนึ่ง มืดๆ เดินถือไต้กลับบ้าน สุนัขที่ไหนก็ไม่รู้วิ่งไล่เห่ามาเรื่อย เห่าอยู่ได้ พอมันมาใกล้ๆ เราก็เอาไต้ที่ติดไฟลุกโชนอยู่นั่นทิ่มไปที่หน้ามัน ที่ปากมัน หลบไม่ทัน ได้ผล ! วิ่ง ร้องบ้านแตกไปเลย ทั้งๆ ที่เศษไต้ติดลุกโชนอยู่ที่หัว มันวิ่งร้องไปสามบ้านแปดบ้าน
    โอ๊ย เราทำกับสุนัขสารพัด”
    วิญญาณที่ฟังอยู่ก็เลยเสริมว่า “ถึงได้มีตัวเหมือนพวกเรา แต่มีหัวเหมือนหมายังงี้” “เออ...ก็คงเป็นยังงั้น”
    วิญญาณที่ฟังอยู่ถามต่ออีกว่า “แล้วบุญล่ะเจ้าทำอะไรมามั่ง”
    “เรามีการทำบุญให้ทานอยู่อย่างหนึ่ง ทำทุกวันพระนั่นแหละ ก็คือเราใส่บาตรทุกเช้า เวลาใส่บาตรก็อธิษฐานว่า ขอให้ได้พบพระ ได้พบพระพุทธศาสนาทุกชาติ ก่อนที่เราจะละทิ้งสังขารในโลกมนุษย์ในไม่กี่เพลาเราออกไปใส่บาตรอย่างเคย แล้วก็อธิษฐานอย่างเครียด ค่ำวันนั้น โจรมาปล้นบ้าน เราก็ถูกโจรฆ่าตาย ก็เลยนึกออกว่า ชาติก่อนเราเคยฆ่าเคยปล้นเขาไว้
    ทีนี้กรรมตามทัน ก่อนจะตายก็ได้ยินเสียงสุนัขหอน ใจก็เลยมีแต่พะวงเรื่องสุนัข พอตายก็มานี่ แล้วก็จะต้อง ไปเกิดเป็นหมา ใช้กรรมใช้เวรต่อไป...มาแล้ว วิบากมาเอาตัวไปแล้ว”
    ว่าแล้ววิญญาณนายเฉิ่มก็ติดตามตัววิบากไปตามวิถี
    ทั้งหมดนี้คือคำที่วิญญาณนายเฉิ่มสารภาพ
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (6/38) [​IMG] หน้าถัดไป (8/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>วิญญาณ คุณหลวง </CENTER>
    ณ แดนอัศจรรย์ ดวงจิตวิญญาณต่างๆ ที่กำลังรอไปเกิด ไปจุติตามวิบากแห่งตน กำลังรอผลแห่งกรรมของตนที่ประกอบไว้ในโลกมนุษย์ ได้มาชุมนุมกันอยู่ต่างก็มองดูวิญญาณที่มาใหม่ และมองดูวิญญาณที่กรรมของตนกำลังพาตัวไปรับวิบาก ซึ่งมีการจากและการมาใหม่ทุกนาที
    ดวงวิญญาณดวงหนึ่งได้เอ่ยขึ้นว่า “มาอีกดวงหนึ่งแล้ว มาในร่างเปรตที่มีนแต่ซี่โครง ผอมซีดโซ”
    ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ดูเหมือนจะเคยรู้จักในมนุษยโลก ก็เอ่ยขึ้นว่า “ดูเหมือนจะเป็นคุณหลวง”
    ทันใดนั้น ดวงวิญญาณของคุณหลวงก็หันมาพบกับดวงวิญญาณทั้งหลายที่ชุมนุมกันอยู่ พลางกล่าวทักกับดวงวิญญาณที่เอ่ยว่าดูเหมือนจะเป็นคุณหลวงว่า
    “ใช่แล้ว เมื่อก่อนมานี้ผมเป็นข้าราชการ มีบรรดาศักดิ์เป็นคุณหลวง”่
    อีกดวงหนึ่งก็ถามว่า “ทำไมคุณหลวงจึงลงมาในที่นี้ และมีลักษณะอย่างนี้ มีกรรมอะไรในชาติก่อนหรือ?”
    คุณหลวงก็ตอบว่า “ก็เห็นจะต้องมี ถึงได้มาในลักษณะอย่างนี้... เรื่องเป็นมาอย่างไรนั้น ก็จะเล่าให้ฟัง”
    และแล้วก็เป็นคำสารภาพของวิญญาณดวงนี้ ซึ่งผมจะเล่าให้ๆ คุณผู้อ่านได้ฟังต่อไป แต่ต้องเท้าความกันเสียหน่อยก่อน
    ในประมาณ ปี พ.ศ. 2484-2485 ผมเรียนเตรียมแพทย์อยู่ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเตรียมเรียนวิชาแพทย์ต่อไป ในคณะแพทยศาสตร์ผมมีเพื่อนร่วมรุ่นอยู่คนหนื่ง เรียนห้องเดียวกันมาตลอดรูปร่างหน้าตาพ่อคนนี้หล่อเหลาเอาการ
    เพื่อนคนนี้ชื่อ สำเริง นามสกุล หอยสังข์ ซึ่งอาจารย์บางท่านเคยเปลี่ยนนามสกุลให้ใหม่ว่า “หอยโข่ง” ในกรณีที่ตอบคำตอบผิดๆ หรือทำอะไรเซ่อๆ ซ่าๆ แถมยังถูกเพื่อนๆ เรียกตามอาจารย์เสียอีกว่า “หอยโข่ง” ส่วนผมสนิทกับเขามาก เลยไม่เรียกอย่างนั้น แต่เรียกเขาว่า “ไอ้หอย” นั้นหมายถึงลิงเช่นลิงวอก ลิงกังแม้ผมจะเรียกเขาอย่างนั้นบ่อยๆ เขาไม่โกรธแถมยังเพิ่มความสนิทสนมากขึ้นอีก
    ปกติ สำเริงเป็นคนเรียบร้อยหน้าตาสะอาดหมดจด คมคาย จึงมักจะถูกเพื่อนกระเซ้าเย้าแหย่บ่อยๆ ว่า เป็น ชิ้นกับคนนี้ คนโน้น ซึ่งคำว่า “ชิ้น” ในสมัยก่อน หมายถึง “คนรัก...คู่รัก”
    เดี๋ยวนี้มักใช้คำว่า แฟน แทน พอพูดถึงแฟน ก็แฟนตามๆ กันไปกลายเป็นคำคำหนึ่งที่ใช้ในภาษาไทย ในความหมาย ของคนรัก หรือสามีภรรยาไป ซึ่งที่จริง แฟน ถ้าเป็นคำนินามก็คือ พัด พัดธรรมดานี่แหละครับแต่ความหมายจริงๆ ของคำนี้ น่าจะเป็นแฟนาติค หรือ แฟนนาติซิซึ่ม ซึ่งหมายความว่า คลั่งไคล้ไหลหลง เพ้อฝันถึง ไม่ใช่แฟนเฉยๆ ซึ่งบางทีฟังแล้วมันขัดหูพิกล เช่น “ฉันอยากให้แฟนมันฉันตายๆ ไปเสียก็จะดี มันเมาวันยังค่ำ” อย่างนี้มันจะเป็นแฟนตามความหมายของเขาได้ยังไงก็ไม่ทราบ
    ในที่สุด ผมและสำเริงก็ข้ามฟากไปเรียนแพทย์ปีที่ 1 ที่ศิริราช
    ตอนหนึ่งในระหว่างเปิดภาคเรียน สมัยนั้นไม่มีการเรียนที่เดี๋ยวนี้เรียกว่า “เรียนซัมเมอร็” ปิดก็ปิดกันจริงๆ ให้นักเรียนได้พักผ่อนหย่อนใจไปเปิดหูเปิดตาพักสมอง ไม่ต้องมีการมาเสียค่าเรียนซัมเมอร์ให้กับครู แต่ถ้าคนไหนเรียนอ่อนจริงๆ ครูท่านก็จะเรียกไปกวดกันเอง โดยไม่มีการเสียค่าเรียน
    พอถึงตอนปิดภาค สำเริงก็ชวนผมไปค้างที่บ้าน ที่อยุธยาเพราะเขาเป็นคนอยุธยาโดยกำเนิด บิดา ชื่อ หมื่นคล่องคำนวณการ เป็นข้าราชการบำนาญ บ้านท่านอยู่เลยหัวรอไป ใกล้ๆ กับวังจันทร์เกษมผมอยากไปอยู่แล้ว ก็เลยรีบรับปากทันทีเพราะทุกครั้งที่ไป ก็ไปแต่วัดวงษ์ฆ้องเท่านั้น อื่นๆ ไม่เคยเห็นเลย
    ผมขึ้นรถไฟไปกับสำเริงในเช้าวันหนึ่ง พอถึงอยุธยาก็เข้าบ้าน เขาเลยพาไปพบพ่อแม่พี่น้องของเขาก่อนผมก็กราบไหว้ท่านตามระเบียบ เราได้พักในห้องเดียวกัน คือ ห้องของสำเริง
    พอตื่นเช้าเราก็ไปเที่ยวที่โบราณสถานกัน เช่น พระราชวังโบราณ วังจันทร์เกษม พิพิธภัณฑ์ในพระราชวังโบราณ ซึ่งตอนนั้นมีแต่ต้นพุทราเต็มไปหมด ลูกพุทราหล่นลงมาเรี่ยราดเก็บกินกันได้สบาย
    ผมเพลิดเพลินอยู่กับความเจริญในอดีตทั้งวัน ดูเศษปรักหักพังของปราสาทราชมณเฑียรต่างๆ พร้องกันก็มีความรู้สึกเสียดาย เหมือนๆ กับคุณผู้อ่านที่อ่านถึงตอนนี้
    เราไปกราบบูชาพระมงคลบพิตร ซึ่งถูกเผาลอกเอาทองคำไปเหลือแต่ปูนฉาบไว้ พระพาหาคือ แขนที่ถูกข้าศึกตัดทิ้งไปข้างหนึ่ง ได้รับการต่อเติมเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ ท่านเจ้าคุณโบราณราชธานินทร์เป็นสมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลกรุงเก่า แต่ก็ยังมีริ้วรอยแห่งการถูกทำลายอยู่ ส่วน มากก็แสดงถึงความปรักหักพัง เจดีย์ยอดด้วน ฐานเจดีย์กร่อนแหว่งจากการถูกขุด ถูกเจาะหาทรัพย์สมบัติที่อาจจะถูกบรรจุไว้แทบทุกองค์ โดยนักขุดค้นขโมยของโบราณ
    ผมได้เที่ยวดูสิ่งต่างๆ ด้วยความตื่นตาตื่นใจและเสียดายอย่างบอกไม่ถูก จนเย็นเราจึงกลับบ้านพัก
    ท่านหมื่น บิดาของสำเริง ท่านโอภาปราศรัยประหนึ่งผมเป็นบุตรท่าน ท่านถามว่า “อยากจะไปดูอะไรที่ไหนอีก ที่อยุธยามีอะไรๆ ให้ดูแยะ”
    ผมก็เลยเรียนท่านว่า “ผมอยากไปคุยกับหลวงพ่อวัดวงษ์ฆ้องคลองเมืองตอนค่ำๆ” ท่านหมื่นร้อง “อ๋อ” ทันที แต่ก็ประหลาดใจว่า “ทำไมผมจึงรู้จักท่าน”่
    ผมได้เรียนให้ท่านทราบถึงเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับผม ตลอดจนเรื่องที่หลวงพ่อท่านเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังอาทิ เรื่องเจ้าฝรั่งมังฆ้อง ท่านบอกว่าท่านทราบเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ก็นานมาแล้ว ทั้งนี้เพราะท่านเป็นคนอยุธยาอยู่ที่อุธยามาตั้งแต่เกิด สำเริง บุตรชายท่านก็เหมือนกัน เกิดที่นี่ แล้วก็อยู่ที่นี่มาจนโตเป็นหนุ่ม
    ผมเรียนท่านหมืน บิดาของสำเริงว่า “ผมอยากไปกับท่านตอนกลางคืนหลวงพ่อท่านมีเวลาว่าง จะได้คุยกับท่าน ฟังเรื่องราวประหลาดๆ จากท่านอีก”
    ท่านว่า “ดี”
    ตกลงผมก็ชวนสำเริงไปกราบหลวงพ่อในคืนวันรุ่งขึ้น เวลาประมาณสองทุ่ม โดยนั่งสามล้อไปเช่นเดิม
    พอไปถึงวัด ก็ต้องตะโกนเรียกเรือหน่อย เพราะค่ำๆ อย่างนี้ไม่ค่อยมีใครไปวัด ตาคนที่แจวเรือจำได้ ก็ถามว่า “ทำไมวันนี้มาหาหลวงพ่อตอนค่ำๆ”
    ผมก็บอกแกว่า “จะมากราบท่านมาคุยกับท่านพร้อมกับเพื่อนบ้าน เขาอยู่หลังวังจันทร์เกษมนี่เอง ถึงได้มาค่ำๆ อย่างนี้”
    “อ้อ” คำเดียวคือคำตอบจากตาคนแจวเรือ
    สำเริงกับผมก้าวขึ้นบริเวณกุฏิของท่าน ลุนัขเห่าเลียงขรมไปหมด ศิษย์หลวงพ่อรีบออกมาดู พอเห็นผมเข้า เขาก็แสดงความประหลาดใจว่ามาได้อย่างไร ผมเลยรีบบอกเขาเสียก่อนว่า “มาค้างบ้านเพื่อนที่อยุธยานี่ ไม่ได้มาจากกรุงเทพฯ หรอก”
    ว่าแล้วเราก็เดินเข้าไปกราบหลวงพ่อที่ห้องนาฟิกา ซึ่งท่านจะนั่งอยู่เป็นประจำ เราไม่กล้ารบกวนเพราะเห็นท่านนั่งหลับตาเฉยอยู่ เราก็เลยต้องนั่งสงบเฉยอยู่ด้วย
    ประมาณเกือบๆ ชั่วโมง ท่านจึงลืมตาขึ้น หันมาทักผมว่า “มานี่ตั้งแต่วานนี้หรือ?”
    เพียงแค่ท่านทักท่านถาม สำเริงถึงกับสะดุ้ง หันมามองหนัาผมซี่งกำลังก้มลงกราบ แล้วนมัสการท่านว่า “ครับผม มาเมื่อวานนี้ พักทีบ้านเพื่อนผมคนนี้ คุณสำเริง ลูกท่านหมื่นคล่องคำนวณการ”
    ท่านก็ร้อง “อ้อ รู้จักกันดี”
    เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่สำเริงเรียนแพทยไม่จบ เขาไปมีครัวเรือนในระหว่างที่ศิริราชต้องหยุดการสอนการเรียนเพราะสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตอนนั้นสถานีรถไฟบางกอกน้อย ซึ่งอยู่ติดกับโรงพยาบาลศิริราชที่เราเรียน ถูกระเบิดจากฝ่ายพันธมิตรแทบทุกวัน ตึกพยาธิวิทยายังโดนลูกหลงเข้า 1 ลูก พังทลายไป
    ผมก็หยุดเรียนเหมือนกัน แต่ไปช่วยประเทศชาติทางอื่น มหาวิทยาลัยแพทย็ศาลตร์ คณะแพทย์ โรงพยาบาลศิริราชจึงปิดเรียนไป 2 ปีเต็ม
    ตอนนั้นสำเริงกับผมกำลังเรียนอยู่ที่ศิริราช ปีที่ 1 อีก 3 ปีก็จะจบเป็นแพทย์แล้ว เลยทำให้จบช้าไป 2 ปีเต็มๆ
    ตอนที่กลับมาเรียนนั้น อาคารที่ใช้สอนว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ คือ วิชาพยาธิวิทยานั้น เป็นอาคารชั่วคราว เรือนไม้ หลังคามุงจาก พอกันแดดกันฝนเท่านั้น (ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามอย่างไม่มีเงื่อนไขในวันที่ 7 สิงหาคม 2488)
    ผมได้จังหวะก็กราบนมัสการคุยกับท่านถึงเรื่องต่างๆ ที่เราไม่เคยได้ยินถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษต่างๆ วิญญาณต่างๆ อยากทราบถึงเรื่องเปรต อสุรกายและเทพต่างๆ ว่ามีจริงหรือไม่...เป็นอย่างไรซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังถึงเรื่องๆ หนึ่ง คือเรื่องดังที่ผมเปรยนำไว้ตั้งแต่ต้นนั้น
    สำเริงนั่งฟังอย่างตื่นเต้น เพราะเขาไม่ความสนใจในทางมาก่อน ผมเองก็นั่งฟังนิ่งอย่างสนใจที่สุดเท่าเช่นกัน..ลองฟังท่านคุยกับผมต่อไปซิครับ
    คุณหลวง ในเรื่องนี้นั้น เป็นข้าราชการมีบรรดาศักดิ์จริงๆ และเป็นเรื่องจริงๆ ด้วย แต่ผมขอสมมุติชื่อผู้นี้ว่า วรณ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชทินนามของท่าน
    เด็กชายวรณ์ เกิดในตระกูลผู้ดี ตระกูลข้าราชการชั้นสูง เรียนหนังสือในโรงเรียนที่ดีมีชื่อ เก่งฉลาด เรียนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์อย่างรวดเร็ว แต่ท่านบิดาบุญน้อย ไม่ทันเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบุตร ก็หมดอายุไปเสียก่อน ทีนี้ก็เหลือแต่มารดาผู้เดียวที่ต้องกระเหม็ดกระแหม่ส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบ
    ต่อมา นายวรณ์ ได้เข้ารับราชการในกรม กรมหนึ่ง ด้วยความเฉลียวฉลาด รับราชการเพียง 2 ปี ก็สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนต่อยังประเทศ-อังกฤษได้
    ก็ในลมัยรัชกาลที่ 5 ปลายๆ ถึงสมัยรัชกาลทึ่ 7 ถ้าผู้ใดได้ไปเรียนจบมาจากต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี หรือสหรัฐอเมริกา นับว่าโก้เก๋ที่สุด เรียกว่า นักเรียนนอก พอเสร็จการศึกษาได้ปริญญา ไม่ว่าปริญญาใด กลับมับราชการ ก็มักจะได้รับพระราชทานบรรดาศักด์เป็นหลวงทันที ไม่ต้องเป็นขุนก่อน
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (9/38) [​IMG] หน้าถัดไป (11/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>วิญญาณพยาบาท </CENTER>
    รุ่งขึ้นจากคืนที่ได้กราบนมัสการ และฟังหลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้องเล่าอะไรๆ แปลกๆ ให้เราฟังแล้ว สำเริงตื่นเต้นมาก เขาได้เข้าหาท่านหมื่นผู้เป็นบิดาเล่าให้ฟังย่อๆ ว่า ได้ฟังหลวงพ่อเล่าอะไรแปลกๆ น่าคิดมากยิ่ง หลวงพ่อกล่าวว่า “บิดา มารดา คือพระอรหันต์ของลูก” สำเริงฟังแล้วซาบซึ้งมาก ได้ก้มลงกราบพ่อแม่เขาที่ส่งเสียให้ได้เล่าเรียนมาจนบัดนี้
    ท่านหมื่นว่า “ดี เข้าวัด ฟังพระฟังเจ้าคุยเสียบ้าง ได้ประโยชน์การฟังพระพูดพระคุย ยิ่งเป็นพระอย่างหลวงพ่อนี่ เป็นบุญแล้ว หาโอกาสไปกันอีกสิ ก่อนที่จะกลับกรุงเทพฯ”
    ผมกับสำเริงพยักหน้ากัน
    หลังจากนั้นเราก็ไปซื้อ ดอกไม้ ธูป เทียน เมล็ดข้าวเปลือกข้าวสาร อีกอย่างละถุง ติดิมือไปวัดด้วยในค่ำวันนั้น โดยเดินทางอย่างเคย
    พอถึงวัด เรากราบหลวงพ่อถวายดอกไม้ ธูป เทียน แล้ว ก็เอาข้าวสาร ข้าวเปลือกมากองไว้ถวายท่านด้วย ท่านถามว่า “เอาข้าวมาทำไม”
    เรากราบเรียนท่านว่า “เอามาให้หลวงพ่อโปรยให้ทานนก ให้ทานไก่และเป็ดที่ท่านสงเคราะห์ชีวิตเอาไว้ตั้งมากมาย”
    หลวงพ่อพยักหน้า แล้วหัวเราะหึๆ “ดี...ยังมีชีวิตอยู่ ทำบุญให้ทานไว้ ถ้าตายแล้วไม่มีโอกาสได้ทำเท่าไหร่ก็ได้เท่านั้นไม่สูญหายไปไหน เหมือนฝากทรัพย์ไว้ในที่ที่ปลอดภัยเรียกใช้สอยเมื่อไหร่ก็ได้แต่อย่าหวังมากนัก ฝากไว้เท่าไหร่ ก็เรียกใช้ได้เท่านั้น เรียกมากกว่านั้นไม่ได้เพราะฉะนั้นหมั่นทำบุญให้ทานไว้ จะได้เป็นขุมทรัพย์ในภายหน้า”
    คำพูดของหลวงพ่อท่านน่าจดจำจริงๆ
    ขณะที่นั่งพูดกับท่านอยู่นั้น เห็นคนเข้ามากราบ ทุกคนสวมเสื้อผ้าดำไว้ทุกข์กันทุกคน พอเขาเดินออกไปแล้วสำเริงก็เรียนถามท่านว่า
    “พวกเหล่านี้คงไว้ทุกข์ มาสวดศพที่วัดกระมังขอรับ” หลวงพ่อพยักหน้า ๔เวตอบว่า 11ใช่
    “คนแก่หรือขอรับ?”
    “ไม่แก่หรอก อายุเพิ่งได้ 30 ปี กับอีกหน่อยเดียว”
    “คนที่ไหนขอรับ?”
    “ก็คนที่อยุธยานี่แหละ ไปอยู่กรุงเทพฯ พักใหญ่แล้วก็กลับมาตายที่อยุธยานี่อีก”
    “อายุก็ยังไม่มาก เป็นอะไรตายขอรับ?”
    “เขาตายเพราะวิบากของเขาไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บอะไรหรอก”
    “วิบากอะไรขอรับ?”
    “เป็นวิบากเฉพาะตัวของเขา เขาทำอย่างไรมาก็ได้อย่างนั้น นี่ก็ว่ากินยาตาย”
    “ชีวิตอย่างคนเรานี่ จะทราบได้อย่างไรว่าเราจะตายเพราะอะไร จะตายเมื่อไร? ครับผม?” เป็นคำกราบเรียนที่เราถามท่าน
    “การตายนี่มันมีหลายอย่าง มันก็เหมือนตะเกียงน้ำมันมะพร้าวนี่แหละจุดทิ้งไว้นานเข้าๆ พอน้ำมันมะพร้าวหมด...ไฟมันก็ดับ หรือไส้หมดมอดไปไม่เหลือ... ไฟมันก็ดับ คนเราก็เหมือนอย่างนี้ พอหมดอายุก็เหมือนกับหมดเชื้อไฟ...ไฟมันดับ นี่ก็คือ ตายเพราะหมดอายุ
    แล้วท่านก็หยุดพูด เราสองคนก็คอยเงี่ยหูฟังท่าน หลังจากนั้นท่านก็กล่าวต่อไปว่า
    “อีกอย่างหนึ่ง เพราะวิบากคือผลของกรรม ซึ่งมันรวมกำลังกันใส่เข้ามายังตัวเราทีเดียวพร้อมๆ กัน อย่างกับคลื่นในทะเลที่มันรวมตัวกันกระแทกหิน กำลังมันมาก
    “ก็ตะเกียงดวงนั้นอีกนั่นแหละเมื่อถูกลมกระโชกแรงๆ ใส่เข้าก็พลัดตกลงมายังพื้นดินหลุดตกจากที่แขวนไว้อย่างนี้ไฟที่ติดอยู่ก็ดับ ตะเกียงก็แตกหมดน้ำมันก็ไหลออกหมดไม่มีทางที่จะเป็นแสงสว่างต่อไปได้ หรืออีกอย่างก็เหมือนกันกับตะเกียงชีวิตที่จุดไหนที่แจ้งถูกลมแรงๆ เข้าไฟก็ดับ”
    ก็พอจะสรุปได้ว่า ไฟ คือ ชีวิต นั้นมอดไปหรือดับไปได้หลายวิธี โดยเชื้อคือน้ำมันที่เติมจุดตะเกียงนั้นหมดหนึ่งไส้ตะเกียงมอดหมดไปกับไฟหนึ่ง 2 อย่างนี้ เรียกว่าหมดอายุ หมดเพราะกรรมลิขิตไว้แค่นั้น
    หมดเพราะโรคภัยเบียดเบียน ก็คือไส้มอดหมด ไม่มีจะให้ไฟติดต่อไปแม้จะมีน้ำมันอยู่ก็ตาม
    หมดเพราะน้ำมันเชื้อไฟ ก็เหมือนหมดบุญ ทาบุญไว้แค่นั้น สวยวิบาก คือ ผลกรรมมาแค่นั้น ไม่ได้เติมบุญคือน้ำมันไว้ เมื่อหมดบุญก็หมดทุกอย่างแม้ยังไม่ตายก็หมดบุญได้ เศรษฐีกลายเป็นขอทานก็ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่เคยมีก็หมดไป เพราะหมดบุญเพียงแค่นี้ อย่านึกว่าตายแล้วจึงจะหมดบุญก็ที่เราเรียกว่า เคราะห์ร้าย...เคราะห์ไม่ดี ไม่ใช่หรอก มันเป็นวิบากน่ะ มากกว่า
    ผมกราบเรียนถามท่านว่า “ผมอ่านหนังสือพิมพ์ พบว่าที่ต่างประเทศแถบยุโรป รถยนต์โดยสารวิ่งบนหิมะ น้ำแข็ง ถนนลื่น รถตกเหวข้างทางคนโดยสารในรถ บางแห่งข้าวก็ว่าตายหมดทั้งคันบางฉบับว่าตายเกือบหมดมีรอดมาได้อย่างมหัศจรรย์ 3 คน เป็นเด็กทั้งหมดอย่างนี้เป็นเพราะอะไรขอรับ ?”
    หลวงพ่อนั่งคิดสักครู่ แล้วท่านก็พูดว่า
    “กรรมคือกระทำด้วยเจตนา ที่เขาได้รับอันตรายถึงชีวิตแบบนั้นเห็นจะเป็นเพราะคนเหล่านั้นในชาติปางก่อน หรือแม้ในชาตินี้ พร้อมใจกันกระทำกรรมอันหนึ่ง ยินดีนในกรรมอันหนึ่ง ซึ่งกรรมนั้นเป็นอกุศลกรรมได้แก่ การเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แม้ชีวิตสัตว์ก็ตาม ทำหลายครั้งๆ เข้ากรรมก็รวมตัวกันเขัามา เหมือนคลื่นในทะเลที่รวมตัวกันอย่างที่พูด...เมื่อวิบากมาถึง ก็รับผลแห่งวิบากนั้นพร้อมกันก็แบบเรือล่มในทะเล หรือโดนมรสุมคนโดยสารจมน้ำตายมากมาย แต่ที่รอดมาได้ก็มี
    คนที่รอดมานั้น เป็นเพราะวิบากของเขายังไม่มาถึง เขาไม่ได้กระทำกรรมอันนั้นร่วมกัน ชีวิตเขาก็รอดมาได้
    ที่รถโดยสารตกเหวแล้วตายกันมากมายแต่เด็กรอดมาได้ 2-3 คน นั้น ก็เห็นจะเป็นเพราะเด็กที่เพิ่งเกิดมาหรือเด็กในเยาว์วัย ได้รับวิบากมาแล้วในชาติก่อน ชดใช้วิบากหมดแล้วจึงมาเกิด กรรมชั่วในชาตินี้ยังไม่ได้ทำเพราะแกเป็นเด็ก ไม่รู้ประสาอะไร...แต่กรรมนั้นส่งผลข้ามชาติได้ วิบากทีได้รับยังไม่หมด เมื่อมาเกิดก็รับวิบากต่อไปอีกอาจจะเป็นคนง่อย พิการทั้งทางร่างกายหรือจิต ไม่ครบอาการ 32 เป็นต้น
    เห็นอยู่ทั่วๆ ไป คนง่ายที่นอนอยู่ใต้ถุนกุฏินี้ก็คนหนึ่ง พอเกิดมาก็ต้องเป็นง่อยเปลี้ยเสียแขนเสียขาช่วยตัวเองไม่ได้ญาติอุ้มมาให้รักษาจะไปรักษาได้อย่างไร ในเมื่อมันเกิดจากวิบาก คือผลแห่งกรรมที่ติดตามมาญาติก็เอามาทิ้งไว้ที่นี่ ก็อาศัยกินอาศัยนอนไปวันๆ จนกว่าตะเกียงชีวิตนี่จะหมดน้ำมันเชื้อไฟหรือหมดไส้ที่จะติดไฟ ถ้ากรรมที่ทำไว้ยังไม่หมดวิบากยังมีมันก็ต้องรับต่อไปอีกในชาติอื่นภพอื่น
    ก็พอจะรวบรวมได้ว่า ที่เกิดการตายทีละมากๆ อย่างนั้นเป็นเพราะเขาได้กระทำอกุศลกรรมร่วมกันมา ยินดีในการกระทำนั้น ผลก็ตามมาสนองอันนี้ก็เข้ากับการตายอย่างที่ว่า ลมพายุพัดกระโชกมา ทำให้ทั้งไฟก็ดับตะเกียงก็ตกลงมาแตก ทั้งๆ ที่น้ำมันเชื้อไฟยังไม่หมด ไส้ตะเกียงก็ยังไม่หมดแต่ไฟคือชีวิต นี่มันก็ดับได้”
    หลวงพ่อท่านอธิบายเสียนานแต่ก็ได้ผล เรา 2 คน ก้มลงกราบท่านแล้วกล่าวว่า “ขอรับกระผม”
    “แล้วศพคนตายที่กำลังสวดนี่ล่ะขอรับ ที่หลวงพ่อบอกว่าตายเพราะกินยาตาย...อันนี้เป็นกรรมอะไร และถ้าเปรียบเหมือนตะเกียง จะเป็นแบบไหนขอรับ?” ผมกราบเรียนถาม
    หลวงพ่อท่านตอบว่า “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นตามสนอง ชั่วแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น”
    ผมก็เรียนถามท่านว่า “ถ้าอย่างนั้น คนนี้เมื่อมีชีวิตอยู่คงให้ใครเขากินยาตายกระมังขอรับ?”
    หลวงพ่อหยุดไปนิดหนึ่งแล้วท่านก็กล่าวว่า “ก็เห็นจะเป็นอย่างนั้น
    จากนั้นท่านก็เล่าเรื่องย่อๆ เท่าที่ท่านทราบให้เราฟัง และว่า “ฟังแล้วคิดเอาเอง” ซึ่งผมจะนำเสนอเรื่องที่ท่านเล่าย่อๆ นี้มาเสนอท่านผู้อ่าน โดยเรียบเรียงเสียใหม่ตามแนวเดิมที่ท่านเล่า ซึ่งตัวจริงในเรื่อง ขณะนี้อย่างน้อย 2 คน ยังมีชีวิตอยู่... แต่ก็ชราแล้ว เกษียณอายุไปแล้ว
    หลายปีมาแล้ว มีชายหญิงคู่หนึ่งทำมาหากินอยู่ที่อยุธยานี่เอง ต่อมามีลูกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง พอเด็กเกิดได้ไม่เท่าไหร่ การทำมาหากินชักฝืดเคือง ก็เลยฝากลูกไว้กับแม่ผู้เป็นย่าของลูก ให้อยู่ที่อยุธยาไปก่อน ส่วนตัวเองสองคนผัวเมียก็ไปทำมาหากินที่ตำบลท่าหลวงอำเภอท่าเรือ ก็ในอยุธยาเหมือนกัน
    คู่นี้รับส่งส้มฟัก ปลาสัม คือ ซื้อแล้วนำมาขายส่งที่ในเมืองกิจการก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นทีละน้อยๆ ก็เลยตั้งหลักที่ท่าหลวงเลยแล้วก็จ้างลูกจ้างมาช่วยทำการแทน ไม่ต้องแจวเองพายเองเหมือนแต่ก่อน พอซื้อมาได้ก็มาขายส่งที่หัวรอบ้าง ในเมืองบ้าง ก็จะมีคนมาซื้อต่อเพื่อส่งไปขายในกรุงเทพฯ
    ด้วยความขยันหมั่นเพียร สองคนผัวเมียนี่ก็ร่ำรวย มีฐานะดีขึ้น มีที่มีทางเป็นของตนเอง จึงกลับไปรับลูกสาวมาอยู่ด้วย ซึ่งตอนนั้นแกมีลูกชายอีก 1 คน แล้ว
    เมื่ออายุมากขึ้น ๆ ผู้คนรู้จักมากฐานะก็ดี และรู้จักคนในละแวกมากแกก็ได้รับเลือกให้เป็นกำนัน
    ในสมัยก่อนนั้น นายอำเภอเขาจะแต่งตั้งกำนันเอง ถ้ามองเห็นว่าใครดีมีความสามารถ
    กำนันนี้ชื่อ กำนันเพียร ส่วนภรรยาชื่อ นางอ่อน ลูกสาวคนโตชื่อเพ็ญ
    กำนันเพียรได้ส่งเสียลูกให้เข้า โรงเรียนที่วัดท่าหลวงนี่แหละ เรียนจนอ่านออกเขียนได้ หน่วยก้านฉลาด หน้าตาสะอาดหมดจด กำนันเพียรอยากให้ลูกเรียนให้มากกว่านี้ จะได้ไม่ต้องมาเหน็ดเหนื่อย เหมือนตนเมื่อยังหนุ่มๆ แกก็ส่งลูกไปอยู่กับญาติที่กรุงเทพฯ โดยมีศักดิ์เป็นอาของกำนัน
    บ้านของอา(ถ้านับศักดิ์ก็เป็นย่าของเพ็ญ) นี้อยู่เลยประแจจีนออกไปจะไปทางประตูน้ำนั่นแหละ สมัยนั้นมีถนนอยู่แล้ว คือถนนเพชรบุรีเป็นคลองตลอด ไปจนถึงประแจน้ำาริมถนนมีต้นก้ามปู ครึ้มไปหมด ดูร่มเย็น
    เพ็ญ เป็นคนน่ารัก นอบน้อมช่วยเหลือกิจการในบ้าน โอบอ้อมอารีฐานะก็ดี เพราะพ่อแม่ส่งเงินมาให้ใช้จ่าย การเรียนของเพ็ญก็ไปด้วยดีทุกประการคุณย่าก็เมตตารักใคร่หลานมาก คุณอาผู้ชายเป็นข้าราชการไม่มียศถาบรรคาศักดิ์อะไร
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (12/38) [​IMG] หน้าถัดไป (14/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>วิญญาณบอกมรดกคุณปู่ </CENTER>
    หลังจากที่ได้ฟังหลวงพ่อเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังเมื่อคืนวานนี้แล้ว เรา 2 คน ยังติดใจและอยากจะฟังเรื่องต่าง ๆ ต่ออีกโดยเฉพาะเรื่องที่ตาลุงที่แจวเรือข้ามฝากบอก คือ เรื่องหลวงพ่อฤๅษี ที่เมืองกาญจน์ และกรุสมบัติ ที่วัดใหญ่ชัยมงคล
    ผมนั้น รู้สึกว่าจะผ่าน ๆ สายตาสำหรับเจดีย์ที่วัดใหญ่นี้ เพราะสำเริงพาไปดูในวันแรกที่มาแต่ก็ไม่ได้ติดตาอะไรมากนัก เพราะที่อยุธยามีวัดมีเจดีย์ร้างมากมาย
    อาทิ วัดหน้าพระเมรุ ซึ่งมีชื่อจริงว่า วัดเมรุราชิการาม (คิดว่าจำชื่อไม่ผิด) วัดนี้อยู่ทางด้านเหนือของพระราชวัง อยู่ริม ๆ คลองสระบัว ที่วัดมีพระประธานเป็นพระพุทธรูปหล่อทรงเครื่อง ซึ่งดูเหมือนจะมีพระทรงเครื่องแบบนี้องค์เดียวลักษณะของท่านเหมือนพระพุทธรูปทางลพบุรีงามจริง แต่พระพักตร์ท่านดูเหมือนดุ ๆ ไม่ค่อยจะมีลักษณะอมยิ้มเหมือนหลวงพ่อมงคลบพิตร
    ถัดไปก็ไปชม วัดพระนอน อีกชื่อหนึ่งจะชื่ออะไร จำไม่แล้ว ที่วัดนี้มีพระนอนองค์ใหญ่ คือเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์
    อีกวัดที่ผมได้ไปดู คือ วัดวรเชษฐาราม ว่ากันว่า สมเด็จพระเอกาทศรถได้ทรงอุทิศพระกุศลถวายแด่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่วัดนี้มีเจดีย์ใหญ่ 1 องค์ ลักษณะแปลกคือ เป็นเจดีย์ ป้อม ๆ เหมือนบาตรคว่ำ แล้วมียอดขึ้นไป ทราบที่หลังว่าเป็นเจดีย์ทรงลังกา ว่ากันว่ามีผู้ลักลอบขุดกรุขุดเจดีย์นี้ เพื่อหาของเก่า หาสมบัติแต่เมื่อขุดเข้าไปถึงชั้นเจดีย์ทองข้างในเจดีย์ใหญ่แล้ว ปรากฏว่าในเจดีย์องค์นั้นมีอิฐบรรจุอยู่เชื่อกันว่า เป็นพระบรมอัฐิของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชคนร้ายที่ลักขุดไม่ได้เอาไป กลับบรรจุไว้ที่เก่า เหลือไว้แต่รอยขุด
    ต่อมาก็ไปชม วัดสุวรรณดาราม ซี่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของพระราชวัง ติด ๆ กับป้อมเพ็ชร วัดนี้ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาตลอด เป็นวัดที่สวยงามวัดหนึ่ง
    นอกจากนั้น ก็ไปชม วัดสวนหลวงสบสวรรค์ และ เจดีย์สมเด็จพระศรีสุริโยทัย แล้วก็ไปดู วัดใหญ่ชัยมงคล
    ที่จริง ผมได้เที่ยวชมวัดต่างๆ มากมาย เพราะจังหวัดนี้เต็มไปด้วยวัดและเจดีย์ดูแล้วก็จำไม่ได้หมด แม้ทุกวันนี้ถ้ามีโอกาศก็ยังอยากไปอีก
    ด้วยความอยากรู้เรื่องเจดีย์ ที่วัดใหญ่ชัยมงคล วันรุ่งขึ้นก่อนที่เราจะไปหาหลวงพ่อที่วัด เราเลยชวนกันไปที่วัดใหญ่ฟัยมงคลกันก่อนเรียกว่าศึกษาย่อ ๆ ไว้ก่อน แล้วพอเย็น ๆ เราจะได้กราบเรียนถามถึงเรื่องกรุสมบัติที่วัดใหญ่นี้
    ผมทราบประวัติคร่าว ๆ ของวัดนี้ในวันนั้น แต่มันก็หลายลิบปีมาแล้วผมจึงจำต้องไปค้นหนังสือนำเที่ยวอยุธยานำเรื่องวัดใหญ่ชัยมงคลนี้มาย่อให้คุณผู้อ่านฟังก่อน จะได้นึกภาพออก และเป็นการเตือนความจำของผมไปในตัวด้วย
    วัดนี้ ตามประวัติสร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ.1990 โดย สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง มีชื่อเดิมว่า วัดสระแก้ว
    ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ศึกพม่ามารุกรานไทยอีก ใน.พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรทรงยกทัพออกไปรบกับข้าศึก ทรงได้ชัยชนะในการยุทธหัตถี จอมทัพพม่าถูกฟัน คอขาดตายบนหลังช้าง ที่ตำบลหนองสาหร่าย เขตตุ จังหวัดสุพรรณบุรี
    ครั้งนั้น สมเด็จพระนเรศวรไม่สามารถจะบดขยี้ข้าศึกได้ เพราะกองทัพต่าง ๆ ที่ยกตามไปม่สามารถติดตามทัพหลวงทัน จวนเจียนจะเลียทีแก่ข้าศึก เพราะพระองค์ประทับอยู่ในวงล้อม แต่ด้วยพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์ จึงทรงทัาจอมทัพพม่าให้ออกมากระทำยุทธหัตถีจนได้ชัยชนะ
    เมื่อเสร็จการศึก จึงมีการชำระความเรื่องนี้ แล้วโปรดให้ประหารชีวิตแม่ทัพนายกองให้หมด สมเด็จพระวันรัต วัดสระแก้ว (หรือป่าแก้ว) กราบทูลขอพระราชทานโทษไว้ และกราบทูลให้สร้างเจดีย์ เฉลิมพระเกียรติไว้ จึงโปรดให้สร้างเจดีย์ใหญ่ที่วัดสระแก้วนี้ขึ้น เป็นเจดีย์ใหญ่มาก และทรงขนานนามว่า พระเจดีย์ชัยมงคล และทรงเปลี่ยนชื่อวัดนี้ใหม่ว่า วัดใหญ่ชัยมงคล ตั้งแต่นั้นมา.......
    ว่ากันว่า ในสมัยที่จะเสียกรุงแก่พม่าข้าศึก ครั้งที่ 2 ใน พ.ศ.2310 นั้นประชาราษฏร์เสียขวัญมาก เหมือนเป็นลางสังหรณ์ว่า กรุงจะแตก จะเสียกรุงแก่ข้าศึก ผู้คนที่มั่งมีทรัพย์สมบัติแก้วแหวนเงินทอง ต่างก็พากันเอาทรัพย์สินบรรจุใล่ไห ใส่โอ่ง ฝังไว้ วัดวาอารามต่าง ๆ ที่พอจะแยกเอาของมีค่าออกได้ ก็ยกออกมา บรรจุใส่เจดีย์ ใส่ไหฝังดินไว้ใกล้ๆ เจดีย์ หรือใต้ฐานเจดีย์
    ในสมัยนั้น กรุงศรีอยุธยาร่ำรวยมาก ขนาดพระมงคลบพิตรยังหุ้มด้วยทองคำทั้งองค์ ราชสมบัติ ราชูปโภค และสมบัติของเจ้านายต่างก็ทรงบรรชาให้เอาฝังไว้ บรรจุไว้ให้หมด ข้าราชบริพารใหญ่น้อยที่พอมีอันจะกินก็เช่นกัน ได้รวบรวมของมีค่าต่าง ๆ ฝังไว้ทั้งสิ้น หรือมิฉะนั้น ก็บรรจุโอ่ง บรรจุหีบ บรรจุไหถ่วงน้ำไว้ และเพื่อกันลืมได้ทำหมายเหตุจดจำลองกันไว้ เรียกว่า ลายแทง
    เชื่อกันว่า ทรัพย์สมบัติที่บรรจุ กันไว้มีมากที่เจดีย์วัดราชบูรณะและวัดใหญ่ชัยมงคล ส่วนวัดมหาธาตุนั้น พม่าได้ขุดฐานไปจนหมดแล้ว
    วัดราชบูรณะนี้ มึเจดีย์ 2 องค์ ซึ่งเจ้าสามพระยา หรือพระบรมราชาธิราชที่ 2 ได้ทรงสร้างขึ้นไว้สวมทับตรงที่เจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาทรงสู้รบชนช้างกัน เพื่อชิงราชสมบัติ และในที่สุดก็สิ้นพระชนม์ทั้ง 2 พระองค์ ราชสมบัติจึงตกมาอยู่กับเจ้าพระยา ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็นพระบรมราชาธิราชที่ 2 เจดีย์ทั้งสององค์นี้ได้ถูกขุด ถูกทำลายเสียมากตอนหลังเมื่อไม่กี่ปีมานี้ กรมศิลปากรได้ทำการเปิดกรุ ค้นทรัพย์สมบัติที่ฝังไว้ขึ้นทะเบียนเป็นของชาติ และได้บูรณะซ่อมแซมใหม่ให้สวยงามดังที่เห็นในปัจจุบัน
    คุณผู้อ่านก็ได้ทราบเรื่องวัดวาอารามและเจดีย์เก่า ๆ ในกรุงศรีอยุธยามาพอควรแล้ว ผมจึงขอเริ่มเรื่อง วิญญาณ บอกมรดกของคุณปู่ ที่ฟังมาจากหลวงพ่อดังต่อไปนี้.....
    เรา 2 คน ไปกราบหลวงพ่อตั้งแต่เย็น ไม่มืดอย่างทุกคราวที่ไปหลังจากรับประทานอาหารแล้วก็ตรงดิ่งไปวัดเลย และไม่ลืมดอกไม้ ธูป เทียน บูชาพระ และข้าวเปลือกอีก 1 ถังใหญ่อย่างเคย
    หลังจากที่กราบนมัสการท่านแล้ว ผมก็กราบเรียนถามว่า “ลุงที่แจวเรือข้ามฟากบอกว่า ให้เรียนถามหลวงพ่อเรื่องคนขุดกรุเจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล และเรื่องหลวงพ่อฤๅษี ที่ถ้ำเมืองกาญจน์ ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร”
    หลวงพ่อท่านพูดว่า “มันคนละเรื่อง แต่มันเกี่ยวเนื่องกัน”
    ผมก็เลยกราบเรียนถามถึงเรื่องขุดกรุวัดใหญ่ก่อน....เพราะสนใจมากโดยที่เราไปดูเจดีย์ที่วัดนี้มาหมาด ๆ ก็อยากรู้เรื่องมากหน่อย หลวงพ่อท่านเลยเล่าให้ฟัง
    “ว่าที่จริงไม่ใช่ขโมยขุดกรุ ขุดเจดีย์ เพื่อลักทรัพย์สินมีค่าที่บรรจุไว้หรอก แต่มันเป็นเรื่องปู่ของท่านผู้หนึ่งเอาลายแทงมหาสมบัติฝังไว้ที่ใต้เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล เรื่องมันนานมาแล้วตั้งแต่สมัยต้น ๆ รัชกาลที่ 6 โน่น ที่นี้หลานชายฝันเห็นปู่มาบอกขุดทรัพย์ให้ว่าเป็นมรดกที่ยกให้ ทรัพย์ที่ว่านี้ไม่ได้อยู่ที่อยุธยาหรอก โน่น ! อยู่ที่ถ้ำที่สังขละ เมืองกาญจน์ คนที่ไม่รู้เรื่องละเอียด ก็ลือกันว่าเขาไปขุดกรุมหาสมบัติที่เจดีย์วัดใหญ่ มันไม่ใช่หรอก”
    พอได้ยินดังนั้น เรา 2 คนก็กระเถิบเข้าไปใกล้ ๆ ท่านอีกหน่อย เพราะท่านพูดเบามาก แล้วก็กราบเรียนถามท่านว่า “เรื่องมันเป็นอย่างไง ขอรับกระผม?”
    หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังดังนี้ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้ นานมาแล้วตั้งแต่ท่านยังหนุ่ม ๆ อายุราว ๆ 40 ปี บวชพระมาได้ราว ๆ 20 พรรษาไม่นับที่บวชเณร ท่านบวชเณรตั้งแต่อายุประมาณ 13-14 ปี บวชไปเรียนไปจนอายุครบบวช ท่านก็ได้อุปสมบทและก็อยู่ในเพศสมณะเพศจนมรณภาพ
    เมื่อตอนท่านบวชได้ 20 พรรษา ท่านออกธุดงค์ทุกปี ไปรูปเดียว โดยมากก็ไปทางตะวันตก คือออกไปทางนครชัยศรี พระปธม (เมืองนครปฐมนั่นเอง แต่เรียกชื่อตามภาษาเขมร)
    ตอนหลังนายหลวง ในรัชกาลที่6 ท่านโปรดฯ ให้เมืองนครชัยศรีมาขึ้นอยู่กับเมืองปธม ซึ่งแปลว่าที่หนื่ง แล้วทรงตั้งชื่อจังหวัดว่า “จังหวัดนครปฐม” เพราะเชื่อว่า พระปธม และ พระประโทน นี้ ได้สร้างขึ้นในสมัยที่พระพุทธศาสนาเข้ามายังกรุงสยามในครั้งแรก “ว่าโดยมหาเถะร 2 รูป คือพระโสณะและอุตตระ...ผู้เขียน)
    หลวงพ่อท่านออกธุดงค์ทีละนาน ๆ ไปถึงสุดเขตแดนสยาม ผ่านไปทางเลาขวัญ ศรีสวัสดิ์ และลังขละบุรี ซึ่งที่สังขละบุรีนี้เป็นป่าลึก ผ่านเข้า พม่า มอญ กะเหรี่ยงได้ ที่แถบนี้มีแต่ป่าทึบ เขา ถ้ำ และสัตว์ป่าต่าง ๆ ไม่ค่อยจะะมีบ้านผู้บ้านคน
    ท่านเล่าว่าเมื่อตอนหนุ่ม ๆ อายุ 30 ปีกว่า ท่านเดินทางไปถึงพม่า ถึงอินเดีย ก็ไปทางนี้ เวลาจะข้ามน้ำข้ามคลองที ก็ต้องเดินเลาะชายฝั่งไปจนกว่าจะพบบ้านคน จึงจะได้อาศัยเรือเขาข้ามฝากที่สังขละบุรี มีภูเขาสูง เป็นทิวเขาตะนาวศรี เหยียดไปถึงทางภาคใต้มีถ้ำใหญ่ถ้ำหนึ่ง ปากถ้ำเล็กนิดเดียว เข้าไปในถ้ำทางช่องนี้ลำบากหน่อย แต่ภายในถ้ำกว้างใหญ่ โอ่โถงสวยงามมาก พื้นถ้ำมีผงละเอียดนุ่มเหมือนผงอิทธิเจ เรี่ยราดเต็มไปหมด
    เดินเข้าไปอีกหน่อย จะมีช่องโหว่แสงอาทิตย์ส่องลงมาตามช่องนี้ภายในเย็นยะเยือก เงียบสงบ วังเวง ในนั้นมีงูหลายชนิดอาศัยอยู่ มีบ่อน้ำไหลซึมในถ้ำตลอดเวลา
    เข้าไปลึก ๆ ในถ้ำจะเห็นกระโหลกศรีษะ กระดูกคนกองอยู่เป็นกระดูกแห้งๆ กองอยู่ตามหลืบหินย้อยและในนั้นจะพบพระพุทธ-รูปหลายองค์ องค์โต ๆ เหมือนกัน วางประดิษฐานอยู่บนแท่นหินซอก ๆ หลืบ หลวงพ่อท่านไม่ได้เข้าไปจนสุดถ้ำ เลยไม่ทราบว่าปลายออกของถ้ำนี้ จะโผล่ที่เขตพม่าหรือไม่”
    ที่ถ้ำนี้เอง หลวงพ่อได้พบท่านผู้หนึ่ง บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี้ ท่านผู้นี้เป็นผู้ปฏิบัติธรรมแบบฤๅษี
    ฤๅษีที่ว่านี้ไม่ใช่นุ่งห่มหนังเสืออย่างที่เห็นกันในรูป แต่ท่านไม่ได้โกนผม แต่ขมวดไว้บนศรีษะ หนวดเคราก็ตัด ๆ เอา ไม่ได้โกนไม่ได้ห่มผ้าเหลือง แต่ครองผ้าสีขาวซึ่งออกจะมอ ๆ มาก ๆ ท่านถือศีลไม่ถึง 227 ข้อ แต่ปฏิบตธรรม ละความชั่วและบาป ยืนยันความสงบ
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (16/38) [​IMG] หน้าถัดไป (18/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>รอย กรรม</CENTER>
    ณ ที่พักก่อนที่จะถึงปลายทางแห่งนั้น จิตวิญญาณสองดวงพ่อลูกลอยมาพร้อมกัน ลอยนิ่งอยู่จุดหนึ่ง เพื่อรอวิบากแห่งตนด้วยความสงบ วิญญาณลูกถามขึ้นว่า “แล้วเราจะไปไหนต่อพ่อรออยู่ตั้งนานแล้ว”
    “ลูกไปทางหนึ่ง พ่อก็ไปทางหนึ่ง เพราะเมื่อลูกเกิดเป็นคน ลูกยังเล็ก ไม่ได้ทำบาปทำกรรมอะไรมาก แต่วิบากทำให้ถูกต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ รับผลแห่งกรรมในชาติก่อนเสียทีหนึ่งก่อน แล้วก็คงจะไปดีสู่สุคติ... ส่วนพ่อเกิดมานานกว่า ทำอะไรๆ ไว้แยะ ทั้งบาป ทั้งบุญ ทั้งคุณ ทั้งโทษ ก็ต้องรอรับวิบากนั้น.....แล้วแต่จะส่งไปทางไหน......ลูกเห็นชายผ้าเหลืองปลิวอยู่ข้างหนัาเราไหม.....”
    “เห็นจ้ะพ่อทีลอยมานั่น พระใช่ไหมพ่อ หลวงพี่ใช่ไหมครับ”
    “ใช่ ที่ลอยมานั่นคือชายผ้าเหลืองของพี่หลวงพี่เจ้า ที่พ่อบวชให้จนบัดนี้ก็ยังไม่สึก และองค์เดียวกันกับหลวงพี่ที่ลูกเอาของไปถวายบ่อย ๆ นั่นแหละ
    จิตวิญญาณดวงเล็กก็ตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “หลวงพี่ครับ พ่อกับผมอยู่นี่ !!....”
    และแล้วทั้งสองก็ยกมือขื้นนมัสการชายผ้าเหลืองนั้น
    นับเพียงอึดใจ ร่างของพุทธสาวกก็ค่อย ๆ ปรากฏให้เห็นชัดขึ้น ๆ แต่ไม่กล่าวอะไรออกมา
    ทันทีที่เห็นและนมัสการชายผ้าเหลืองนั้น จิตวิญญาณทั้งสองดวงก็ค่อยๆ ลอยสูงขึ้นๆ ด้วยความปิติ และแล้วผัาเหลืองผืนนั้นก็ค่อยๆ ลอยหายไปๆ ทีละนัอย จนสุดที่จะแลเห็น วิญญาณทั้งสองดวงพยายามจะลอยตามแต่ก็ลอยไปได้เพียงระดับหนึ่ง หาสูงเทียมและเร็วทันร่างพุทธสาวกในผัาเหลืองนั้นไม่
    ในชั่วระยะเวลาต่อมาไม่นานนักก็มีจิตวิญญาณอีกดวงหนึ่ง ในเรือนร่างของสตรีหน้าตาถมึงทึงบนศรีษะดูคล้ายๆ จะมีเปลวไฟติดอยู่ข้างบน วิ่งส่ายศรีษะไปมาด้วยความร้อนของไฟที่กองอยู่บนศรีษะ จิตวิญญาณของพ่อและลูกลอยเข้าไปใกล้ แต่อยู่สูงกว่าก็จำได้
    “พ่อ นั่นแม่ใช่ไหมครับ...แม่ทำไมมีรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ครับ”
    “ใช่ลูก จิตวิญญาณนี้เป็นจิตของแม่เจ้า”
    ขาดคำจิตวิญณาณที่มีเปลวไฟพลุ่งๆ อยู่บนศรีษะก็ลอยเรี่ยๆ ต่ำๆ เข้ามาหา
    “แดงใช่ไหมลูก...พ่อเจ้าแดงใช่ไหม” เป็นคำถามของจิตวิญญาณ
    “ใช่แล้วแม่เอม นี่คือเจ้าแดงลูกเจ้าและนี่คือจิตวิญญาณของพ่อเจ้าแดง”
    “พ่อเจ้าแดงเพิ่งรึ? ฉันมาอยู่นี่ ทรมานอยู่นี่หลายเวลาแล้ว ถ้ายังไงช่วยเอาของหนักัๆ ร้อนๆ บนหัวฉันออกทีซิ”
    “ใช่ ฉันกับเจ้าแดงเพิ่งมา และเดี๋ยวก็จะไปแล้ว แม่เอมทำอะไรไว้ล่ะถึงเป็นอย่างนี้”
    ตวิญญาณของแม่เอมพยายามจะเข้ามาใกล้ๆ ให้พ่อเจ้าแดงช่วยเอาเปลวไฟบนหัวออก แต่ไม่สามารถจะมาถึงได้ ยิ่งเข้ามาใกล้ ยิ่งหนักศรีษะ ยิ่งร้อน ต้องส่งเสียงร้อง กรี๊ด ด้วยความทรมาน
    ถัดจากนั้น เราก็ได้ยินเสียงวิบากบอกว่า “กรรมที่เจ้าทำไว้นั้นหนักนักเดี๋ยวก็ต้องไปรับกรรมต่อแล้ว วิบากคราวนี้จะหนักกว่าเก่า”
    จิตวิญญาณของแม่เอมได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ก็ร้องกรี้ดๆ ออกมาจนสุดเสียงด้วยความกลัว
    “แม่ทำกรรมอะไรไว้ พ่อ เสียงจิตวิญญาณเจ้าแดงถาม..”
    “ก็ให้เขาเล่า ให้เขาสารภาพให้ฟังซิ พ่อก็อยากรู้เหมือนกันฯ”
    “โอ๊ย ข้าเข็ดแล้ว ไม่ทำอีกต่อไปแล้ว ไม่เอาแล้ว”
    “เรื่องมันเป็นยังไงแม่” จิตวิญญาณของลูกชายถาม
    “ก็เมื่อก่อนที่จะมารับทุกข์ทรมานอย่างนี้ ชาติที่แล้ว แม่ก็เกิดเป็นแม่เจ้านั่นแหละ แม่แต่งงานกับพ่อเจ้า ก็เพราะพ่อเจ้าฐานะดี หน้าตาสะอาดหมดจดแต่เป็นพ่อม่ายลูกติด ที่แม่เขาตายไปตั้งแต่พี่เจ้ายังเล็ก เขาให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอแม่ก็ตกลง ตอนนั้นแม่ยังไม่มีเจ้า พี่ชายเจ้าน่ะ น่ารักมาก ฉลาด ช่างประจบแม่ก็รักเขามาก พ่อเจ้าเขาก็รักของเขาจนอายุเขาได้ราว 13 ปี เจ้าก็มาเกิด
    ด้วยเหตุที่เขาเป็นลูกกำพร้า ปู่ย่าของเขา รวมทั้งพ่อเจ้าด้วย รักเด็กคนนี้มากแม่ก็เมตตาเขามากเหมือนกัน เขาเป็นเด็กที่เรียนดี ขยันเรียบร้อย ใครๆ รักเขาหมด ปู่ย่าของเขายกมรดก บ้านช่อง ที่ทางให้พีเจ้าหมด ส่วนเจ้านั้นยังไม่ได้ เพราะยังเด็ก และยังมีพ่อแม่อยู่ เจ้าไม่ได้อะไรเลย
    เมื่อปู่ย่าเจ้าตายไป ทำให้แม่คิดมาก ถ้าเจ้าได้มรดก แม่ก็ยังได้อาศัยนี่ไปตกกับลูกเลี้ยงหมด พ่อเจ้านั้นน่ะได้ที่ดินจากปู่เจ้ามาส่วนหนึ่งคือที่ดินตรงสำเพ็ง ที่คนจีนอยู่ ที่ตรงนั้นราคาแพง แต่เก็บค่าเช่าไดัน้อยมาก เพราะทำสัญญาเช่ากันไว้ถูกมานานนมแล้วนี่แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่เจ้าได้ประกอบกรรมอันหนักลงไป ซึ่งทำลงไปก็เพื่อเจ้า ลูกคนเดียวของแม่”
    “ไปทำอะไรไว้ล่ะ แม่เอม” นายสุข พ่อเจ้าแดงมีชื่อจริงว่า สรอรรถถาม
    “ด้วยความโลภ ความอิจฉา อยากให้เจ้าแดงมันได้ทรัพย์ได้มรดกจากปู่มันจากพ่อมันน่ะซิแล้วก็เรื่องที่มันหนักใจเราก็เรื่องที่ดินที่สำเพ็งไงละ”
    “ฉันไม่เข้าใจ เรื่องมันเป็นยังไงไปยังไงมายังไงกัน”
    “ก็ฉันอยากให้เจ้าแดงมันได้มรดกได้ที่ดิน ทรัพย์สินเงินทอง จากปู่และจากพ่อมัน
    ทีนี้ มันกีดขวางที่พี่เจ้าแดง ก็พ่อเสนาะ นั่นแหละ ถ้าพ่อเสนาะยังอยู่ในบ้าน ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าแดงมันก็อดได้ แต่ถ้าพ่อเสนาะลูกเก่าของพ่อสุขไปเสียจากบ้าน หรือไม่มีชีวิตแล้ว ทรัพย์สินต่างๆ ของปู่มันของพ่อมัน ก็จะตกอยู่กับเจ้าแดงคนเดียว...ฉันกับ นางพริ้ง คนใช้ฉัน ก็ปรึกษากันหาอุบายวิธีต่างๆ ที่จะขจัดพ่อเสนาะให้หายไปเสียจากบ้านหรือตายไปเสีย และที่ที่สำเพ็งก็เหมือนกัน จะขายก็ไม่ได้จะขึ้นค่าเช่าก็ไม่ได้ จะไล่ก็ไม่ไป พวกเจ็กจีนพวกนี้ดื้อที่สุด ฉันกับนางพริ้งก็ช่วยกันคิด ช่วยกันทำจนสำเร็จน่ะซิ แต่ความสำเร็จนี่มันเป็นบาปมหันต์...”
    “แล้ว แม่เอมกับนังพริ้งคิดทำกันยังไง ฉันไม่เคยรู้เลย” นายสุขถาม
    “ฉันจะสารภาพให้ฟัง ว่าที่ทำบาปทำกรรมลงไปนั้นน่ะ ฉันทำยังไง ผลตอนนี้จึงได้ทรมานอย่างนี้
    วันหนึ่ง ฉันนั่งคิดกับนังพริ้ง ว่าทำยังไงถึงจะให้พ่อสุขนี่ลงโทษพ่อเสนาะไม่ไว้ใจเขา ทำซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนี้แหละ จนในที่สุดพ่อสุขก็จะเห็นว่า เสนาะนี่มันลูกเหลือขอ ก็ไล่มันออกจากบ้านไปเท่านั้นมันก็สำเร็จ นางพริ้งก็ให้ความคิดว่า...
    “คุณ เชื่อพริ้งเถอะ พ่อแดงแก 3 ขวบปีนี้ พ่อเสนาะก็ 16 ขวบ กำลังแตกพานพอดี พริ้งว่าให้เป็นหน้าทีพริ้งจะไปชักชวนพวกเด็กแก่น ๆ พวกนี้สุมหัวกันอยู่ที่ท่าน้ำข้างวัด มันสูบกัญชากัน กินเหล้ากัน พริ้งจะชวนมาให้สนิทสนมกับพ่อเสนาะแก พ่อเสนาะน่ะนิสัยขี้เกรงใจคน พอพริ้งพาเข้ามารู้จักมักคุ้น แกไม่กล้าไล่มันหรอกค่ะ ในที่สุด มันก็พากันเที่ยว พากันไป หน้าที่คุณก็คือ พยายามทำใจดี ให้สตุ้งให้สตางค์พ่อเสนาะแกไว้ แล้วคุณผู้ชายก็จะเห็นเองว่า คุณของพริ้งน่ะรักพ่อเสนาะแค่ใหน ไม่นานหรอกค่ะเด็กวัยนี้พวกมากลากไป เดี๋ยวก็ได้เรื่องทีนี้ก็ติดเหล้า ติดกัญชา คบเพื่อน ออกเที่ยวเตร่ เอาซิคะ ทีนี้คุณของพริ้งค่อยๆ เติมไฟใส่เชื้อไปที่คุณผู้ชาย ใส่เข้าไปทุกวัน มันจะไปไหนเสีย เชื่อหัวอีพริ้งเถอะค่ะ”
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (20/38) [​IMG] หน้าถัดไป (22/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>อัตวินิบาตรกรรม </CENTER>
    ผมมีความอยากรู้อยากทราบหมือนกับหลายๆ คน ที่อยากทราบในขณะนี้ว่า ก็รู้ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตการทำให้ชีวิตผู้อื่นได้รับความทุกข์ความทรมานนั้น เป็นสิ่งที่ต้องห้ามในศาสนาพุทธ แต่ก็ยังมีการกระทำชนิดนี้อยู่ในแวดวง อาทิ การจับปลา ฆ่าสัตว์น้ำ ทั้งน้ำเค็มน้ำจืด การฆ่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เพื่อความสนุก ความเพลิดเพลิน หรือฆ่ามาเป็นอาหารทั้งๆ ที่ผู้ประกอบการละเว้นศีลข้อแรกนั้นก็เป็นคนที่นับถือศาสนาเดียวกันกับผม แต่ก็อ้างว่า ไม่บาป เพราะมันเป็นอาหาร ไม่ฆ่าก็ไม่มีกิน เพราะคนเราเป็นสัตว์ที่กินทั้งพืชทั้งเนี้อ แต่พอวันพระหรือไปวัดที ก็รับศีลทุกที พอรับแล้วก็ทำการละเมิดต่อไปอีก
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย นอกจากจะห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ว่าจะเป็นชีวิตใดก็ตามแล้ว ท่านยังทรงสอนให้แผ่เมตตา ให้อภัยแก่ทุกชีวิตที่เกิดมาร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตาย ด้วยกันนี้อีกด้วย เพราะการแผ่เมตตานี้แหละจะทำให้โลกทั้งโลกเป็นสุขสว่างว่างเว้นจากการเบียดเบียนกัน
    เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นดังนี้ ผมมีโอกาส จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อในเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ได้รับคำตอบจากท่านคือ
    บาปทั้งนั้น ไม่มีเว้น แม้แต่เพียงทำให้เขาบาดเจ็บทนทุกข์ทรมานมากน้อยหรือไม่เพียงไรก็ตาม แม้แต่การฆ่าตัวของตัวเอง ก็บาป และก็บาปมากด้วย
    แต่มันก็เป็นเวร เป็นวิบากของเขา ที่ต้องเกิดมาเป็นสัตว์ ไม่ว่าสัตว์ชนิดใด มันเป็นอบายทั้งสิ้น คือ ตัดความเจริญ ตัดทางบุญทางกุศล
    มนุษย์เท่านั้นที่มีโอกาสทำนบุ ทำกุศล ซึ่งอาจจะทำจนถึงที่สุด คือ ไม่มีอะไรจะเป็นบุญเป็นกุศลให้ทำต่อนั่นคือ สำเร็จอรหัตผล
    แต่สัตว์นั้นไม่มีโอกาส แม้จะฉลาดแสนรู้เพียงไร เขาก็ยังเป็นสัตว์ ที่ไม่มีโอกาสจะบำเพ็ญความดีได้ จะเป็นชาติก่อน สัตว์อาจจะประกอบกรรมอะไรไว้ วิบากจึงส่งให้มาเกิดเป็นสัตว์อีก สัตว์หาความสุขไม่ได้ เขาอาจจะเกิดเป็นช้าง ม้า วัว ควาย อูฐ ฯลฯ ให้เขาใช้งานหนักตลอดชีวิต หรือ มิฉะนั้นก็ถูกฆ่ามาเป็นอาหาร สัตว์อาจจะฆ่ากันเอง กินกันเองอย่างที่เห็นๆ ทั้งนี้เป็นเพราะกรรมของเขาที่ต้องให้เกิดเป็นสัตว์ เขาก็ต้องถูกฆ่าใช้กรรม
    ยกตัวอย่างปลา วันหนึ่งๆ อาจจะต้องถูกฆ่าเป็นล้านๆ ตัว หมู เป็ด ไก่ แพะ แกะ วัว ควาย วันละกี่ล้านตัว เพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ ทั้งนี้ก็เพราะกรรมที่ทำให้เขาต้องเกิดมาเป็นสัตว์อย่างนี้ นี่อย่างหนึ่ง คือเขาเกิดมาใช้กรรม วิบากส่งมาให้เป็นอย่างนี้ นั่นก็เป็นเพราะเขาเกิดมารับกรรมมาใช้กรรม นี่ในด้านของสัตว์ที่เกิดมาถูกฆ่า ถูกทารุณถูกใช้งานหนักต่างๆ
    ทีนี้งานของมนุษย์ที่ทำปาณาติบาตร คือ เข่นฆ่า ทำลายชีวิต หรือเบียดเบียนสัตว์ที่เกิดมาเป็นเพื่อนร่วมแก่ ร่วมเจ็บ ร่วมตายด้วยกัน ยังไงๆ เขาก็ต้องตาย ไม่ต้องไปฆ่าเขา จะถือว่าสัตว์ไม่มีวิญญาณ ไม่มีจิตใจไม่ได้ ทุกชีวิตย่อมรักและหวงแหนชีวิตของตน ไม่มีชีวิตใดที่อยากตาย การอยากตายนั้นมันมี แต่มันมีสาเหตุ มีปัจจัยการฆ่าตัวตายจึงเกิดขึ้นทั้งคนและสัตว์
    เมื่อทุกชีวิต กลัวความตาย ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย การให้เขาต้องตายตกไปนั้น จะไม่บาปได้อย่างไร อย่างนี้ต้องคิดถึงตัวเราเองว่า เรากลัวเจ็บ กลัวตายไหม
    การฆ่าสัตว์ เบียดเบียนสัตว์ของมนุษย์เรา เมื่อมากๆ เข้า หนักๆ เข้า วิบากก็ส่งผลให้เกิดการตายหมู่เสียทีหนึ่ง อย่างการสู้รบกัน การสงคราม มันก็ฆ่ากันเองก็จะมากขึ้นๆ จนถึงล้างโลกไปเลย
    นอกจากนั้น ธรรมชาติยังเป็นผู้ตัดสินกรรมนั้นเสียอีกด้วย อาทิแผ่นดินไหว แผ่นดินแยก แผ่นดินถล่ม พายุกระหน่ำ น้ำท่วม ฟ้าผ่า อุบัติเหตุตายหมู่ต่างๆ คนเราก็ตายกันทีละมากๆ อย่างภูเขาไฟระเบิดแต่ละทีผู้คนก็เดือดร้อน สูญเสียชีวิตกันมากๆ ในแต่ละครั้ง ดังนี้เป็นต้น นี่คือ วิบากที่มาตอบสนองมนุษย์ที่เข่นฆ่ากันเอง ฆ่าสัตว์ต่างๆ ไว้มาก
    เพราะฉะนั้น การช่วยชีวิตสัตว์ที่จะถูกฆ่า จึงได้กุศล เหมือนกันกับหลวงพ่อที่ช่วยชีวิตสัตว์ต่างๆ ไว้เต็มกุฏิ ทั้งบนกุฏิและใตัถุนถุฏิ
    หลวงพ่อท่านกล่าวว่า “การไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ย่อมทำให้มีอายุยืนยาวปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนไม่ทำกาลกิริยาตายด้วยอาการอันทุกข์ทรมานไร้สติ
    การเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตคนก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เว้นจากการเบียดเบียนชีวิตต่างๆ ย่อมปลอดภัยในทุกที่ ไปไหนมีแต่มิตร ยิ่งมีเมตตาประกอบด้วย แม้จะไปในป่าพงดงดิบอย่างไรก็ปลอดภัย เพราะการไม่เบียดเบียนและการมีเมตตานี้ จะเป็นเกราะกำบังภยันตรายทั้งปวง”
    ผมกราบเรียนถามหลวงพ่อท่านว่า “ก็แล้วการที่คนเราฆ่าตัวตายล่ะขอรับ ไม่ได้เบียดเบียนชีวตใคร เขาทำของเขาเอง จะมีผลอย่างไรขอรับกระผม”
    หลวงพ่อตอบว่า “มีซิ และก็เป็นบาปมากด้วย เพราะชีวิตเขาก็เป็นชีวิตหนึ่งเหมือนกัน คนที่ฆ่าตัวตายนั้น มันเป็นอกุศลกรรม วิบากติดตัว ก็จะต้องฆ่าตัวตายอีกทุกชาติทุกภพ”
    ผมกราบเรียนถามท่านต่อไปว่า “ก็ถ้าคนที่ฆ่าตัวตายนั้นต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการเจ็บป่วยหรือทุพพลภาพไม่อาจจะทำมาหากินหรือช่วยตัวเองได้ ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัล หรือต้องทุกข์ทรมานทางจิตใจอย่างสุดที่จะทนทานได้ เขาเหล่านั้นจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อให้พ้นการทนทุกข์ทรมานนั้น จะเป็นบาปหรือไม่ขอรับ”
    หลวงพ่อตอบว่า “นั่นเขาหนีวิบากมากกว่า วิบากกรรมยังไม่หมด ไม่สามารถทนกับวิบากได้ เขาก็ตัดสินใจหนีไป วิบากที่เหลือก็ต้องติดตามข้ามชาติข้ามภพกันต่อไป ไปใช้ผลแห่งกรรมนั้นๆ ที่ตนได้ประกอบไว้ ไม่ว่าชีวิตไหน เพราะฉะนั้น การฆ่าตัวตายหนีทุกข์ หนีกรรม จึงไม่ใช่ทางที่จะพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด อย่าว่าแต่อกุศลวิบาก คือผลกรรมชั่วเลย แม้แต่กุศลวิบาก คือผลแห่งกรรมดี มันก็เหมือนกัน ติดตามไปสนองผู้ประกอบกรรมดีนั้นตลอดไปเหมือนกัน ถ้าชาตินี้ยังเก็บเกี่ยวผลบุญไม่หมด บุญก็ยังตามสนองในชาติภพต่อไปอีกจนหมด ไม่ว่าจะไปเกิดในภพในภูมิใด”่
    ผมกราบเรียนถามท่านว่า “แล้วผู้ที่ทำชั่วแต่ได้ดี มีเกียรติยศ ชื่อเสียง เงินทอง ข้าทาสบริวารมากมายล่ะขอรับ...มันเป็นได้อย่างไร”
    หลวงพ่อกรุณาให้ความสว่างว่า
    “ต้องแยก กรรมที่ทำไว้เก่า คืออดีตกรรมและกรรมที่ทำในปัจจุบันผลบุญที่ทำไว้ในอตีตตามมาสนองยังไม่หมด เรียกว่าบุญเก่ากับกรรมปัจจุบันที่ทำในขณะนี้ ในชาตินี้
    กรรมมันไม่หักล้างกัน ทำไว้อย่างไร ก็ได้อย่างนั้น เมื่อผลแห่งกุศลกรรมที่ทำไว้ในอดีต ไม่ต้องชาติปางก่อนหรอก ชาตินี้ก็เถอะ ยังตอบสนองไม่หมด ผลบุญคือความสุข อันประกอบด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ติดตามมาสนอง ทำให้นึกว่า ทำชั่วได้ดี มันไม่ใช่หรอกเมื่อผลบุญจางลง ผลแห่งอกุศลธรรมก็โผล่ให้เห็น ผลมันตรงกันข้าม กับที่เคยได้รับทุกประการ ทำให้บางคนทนวิบากนี้ไม่ได้ ถึงได้คิดหนีวิบาก คิดฆ่าตัวตาย หนีควานทุกข์ ความอัปยศ แต่มันหนีไม่พ้นหรอก
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (23/38) [​IMG] หน้าถัดไป (25/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  9. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>วิญญาณ ง่อย</CENTER>
    ตามที่ได้เรียนมาแล้วว่า ผมได้ไปนมัสการ หลวงพ่อท่านเจ้าคุณพุทธวิหารโสภณ หรือ หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง บ่อยๆ ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านว่างท่านก็คุยเล่าอะไรๆ ให้ฟัง ผมเองก็ตัวดี ซักถามท่านไม่ได้หยุด อยากรู้เรื่องอะไรๆ ที่เขาพูดกันเขาคุยกัน ก็กราบเรียนถามท่าน บางเรื่องถ้าท่านรู้ท่านก็บอกว่าท่านรู้ถ้าท่านไม่รู้ท่านก็บอกวา เรื่องนี้ไม่รู้
    ท่านไม่เคยแสดงหรือพูดอะไรทำนองว่า ท่านรู้ทุกเรื่อง ท่านยิ้มเสียเป็นส่วนใหญ่ ยิ้มอย่างสมณะ คือยิ้มที่ใบหน้าอันประกอบด้วยเมตตา เวลาท่านเล่าอะไรให้ฟัง ก็มักจะมีเรื่องชาดก หรือเรื่องในพระสูตรต่างๆมาอธิบาย ประกอบ
    ตอนนั้นผมยังเป็นวัยรุ่น ไม่ค่อยทราบเรื่องอะไรมากนัก ได้ฟังเรื่องชาดก หรืออุทาหรณ์ต่างๆ ที่เล่าก็สนใจและเข้าใจง่าย และก็ยังจำได้มาจนบัดนี้
    วันหนึ่ง ผมไปอยุธยาไปกราบนมัสการท่านอีก บิดาผมวานให้เอาของไปถวาย ก็ตามที่ผมเล่าไว้ในตอนต้นแล้วว่า มีคนง่อยคนหนึ่ง ญาติเอามาทิ้งไว้ใต้กุฏิของท่านเพราะรักษาไม่หายโดยแกเป็นอัมพาตที่ขาทั้งสองข้างแต่มือยังดี ยกมือไหว้ขอเงินคนที่มาหาหลวงพ่อได้อย่างแคล่วคล่อง ปากก็ยังดี ก็เรียกกันว่า “ไอ้ง่อย”
    ทั้งๆ ที่ความจริงชื่อของแกดูเหมือนว่าจะชื่อ “บุญ” แต่ออกจะไม่ค่อยมีบุญสมชื่อ ผู้คนที่มาหาท่านก็ทำทานบริจาคให้ อย่างน้อยก็ 10 สตางค์ ซึ่ง 10 สตางค์ในสมัยนั้น รับประทานก๋วยเตี๋ยวได้ 3 ชาม แต่เดี๋ยวนี้ชามละ 10 บาทเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้น 10 สตางค์ในสมัยที่ผมยังหนุ่มๆ ก็ประมาณว่า เท่ากับ 30 บาทสมัยปัจจุบัน เล็กอยู่เสียเมื่อไหร่
    ก็ตามที่ผมเคยเรียนกับคุณผู้อ่านมาแล้วตอนต้นๆ ว่า ผลแห่งการทรมานสัตว์ วิบากนั้นก็คือ ทำให้เป็นง่อยเปลี้ยเสียขา
    หลวงพ่อท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในสมัยพุทธกาล มีพระสาวกองค์หนึ่งเป็นง่อยแบบนี้ ซึ่งพระพุทธองค์ ตรัสว่า เป็นผลวิบากแห่งการทรมานสัตว์ไว้ในชาติปางก่อน
    ครั้นพอผมไปถึงวัด ไม่แลเห็น นายบุญง่อย ก็กราบนมัสการถามท่านว่า “นายบุญง่อยหายไปไหน” ก็ทราบว่า นายบุญตายเสียแล้วเมื่อสองสามวันที่แล้ว แล้วก็เผาไปแล้วด้วย
    ผมได้ทำอย่างที่หลวงพ่อท่านว่า โดยแผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศลให้เขาและทุกๆ ชีวิตในโลกนี้จะเป็นการบุญแก่ตัว ผมก็ทำอย่างที่ท่านบอกยกมือขึ้นจบ ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้นายบุญง่อยนี้เป็นสุขๆ หมดเวรหมดกรรมเถิด
    หลวงพ่อท่านบอกว่า “ก็ไม่รู้” (ท่านอาจจะรู้ก็ได้ แต่ท่านไม่พูด) และพูดต่อไปว่า “แต่ชาตินี้ แกก็ทำกรรมคือทรมานสัตว์แยะ ตั้งแต่เด็กๆ จนหนุ่ม จึงมารับวิบากเอาตอนใกล้ๆ จะแก่ หรือจะมีวิบากแต่ชาติปางก่อนมาให้ผลด้วยก็ได้ แต่ตอนนี้แกก็ไปตามหนทางของแกแล้ว”
    ณ ที่แห่งหนึ่ง ลิบลับไปจากจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้ จิตวิญญาณหลายๆ ดวงที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอยู่ทุกวินาทีมาพบกัน อันเป็นจิตวิญญาณของสัตว์ต่างๆ และมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าใด พันธ์ใด ชาติใด จิตวิญญาณอันเหลือคณานี้ ล่องลอยมาเพื่อรับวิบาก คือผลแห่งกรรมอันหลีกเสี่ยงไม่พ้น
    ไม่มีวิญญาณใดที่จะหนีพ้น จากการรับผลแห่งกรรมที่ตนประกอบไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม บางจิตวิญญาณก็เคยพบเห็นหรือลัถวะกันมาแล้วในชาติที่ก่อนจะมาถึงทีนี่ ต่างก็สังสรรค์กัน เพื่อคอยเวลาที่วิบากแห่งกรรมจะมารับไป
    ขณะที่ชุมนุมกันอยู่นั้น ก็มีจิตวิญญาณดวงหนึ่ง ถัดกะโผลกกะเผลกมายังที่จุดนี้ โดยมีตัววิบากคุมมาอย่างใกล้ชิด ทันใดก็มีเสียงเอ่ยว่า “มาแล้วไง เจ้าบุญง่อย”
    จิตวิญญาณของนายบุญก็รับว่า “ใช่ นายบุญมาแล้ว แต่ต้องมาในสภาพอย่างที่เห็นอยู่นี่แหละ จะลอยมา หรือถูกจูงมาไม่ได้ เพราะยังเดินไม่ได้”
    “อ้าว ทำไมล่ะ” จิตวิญญาณดวงหนึ่งถาม
    “เรื่องมันแยะ ทั้งชาติที่ผ่านมานี้และชาติก่อน”
    “มันแยะยังไง ไหนลองเล่าให้ฟังซิ”
    “ก็กรรมน่ะซิ กรรมที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้กับชีวิตสัตว์ต่างๆ ไว้มากมายนี่ก็พึ่งจะระลึกได้”
    “ระลึกได้อย่างไร ลองเล่าให้ฟังซิ”
    “ถ้าอยากฟัง ก็จะสารภาพกรรมที่ทำไว้ให้ฟัง ก่อนที่จะไปรับวิบาก ซึ่งกำลังจะมานี้”
    ว่าแล้ว นายบุญง่อยก็เริ่มบรรยายกรรมที่แกทำไว้ ทั้งในชาติก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ง่อย และชาติที่เกิดมาเป็นง่อย และตายลงในคราวนี้ว่า
    “แต่เดิมนั้น เราไม่ไว้เกิดมาในบวรพุทธศาสนาหรอก เกิดมาในที่อื่นพ่อแม่ก็ดี เลี้ยงดูเรามาอย่างอุดมสมบูรณ์ไม่อนาทรร้อนใจอะไร แต่เราเองไม่รู้ว่ามีกรรมอะไรมาบดบังตา หรือมาชักชวนให้หลายเป็นคนที่ชอบล่าสัตว์จับสัตว์ เมื่อได้มาแล้วก็จับขัง ควบคุมเอาไว้กันมันหนี การที่จะกันมันหนีก็ต้องทำให้มันเดินไม่ได้ วิ่งไม่ได้ หรือบินไม่ได้เสียก่อน
    อย่างนกนี่ก็ต้องหักปีกเสียทั้งสองข้าง มันจะได้ไม่บินหนีไป
    อย่างสัตว์ที่กระโดด เช่น กบ ก็ ต้องหักขาทั้งสองขาง แล้วมัดมันไว้ตรงเอว มัดให้แน่น จนมันหมดแรงก็กระดิกกระเดี้ย ไปไหนไม่ไหว
    แต่จะว่าไป กรรมดีเราก็มี คือ เรามักจะเอื้อเฟื้อเจือจาน ให้ทานคนยากคนจนเสมอ ก็สัตว์ต่างๆ ที่จับมาเป็นอาหารบ้าง มาขังไว้บ้าง พอมันตายเราก็ทำเป็นอาหาร ให้ทานเจือจานแก่คนยากคนจน มันเป็นบาปและกุศลปนกันแต่มันเป็นบาปเสียละมากกว่า มันหักกลบลบหนี้กันไม่ได้หรอก แต่มันตั้งสองชาติมาแล้ว จะจำทั้งหมดก็ไม่ไหว
    พอหมดชาตินั้นเราก็มาทนทุกข์ทรมานมารับวิบากยังที่แห่งนี้แหละ ยังจำได้
    เราทรมานมาก เดินเหินไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องนั่งง่อยอยู่ข้างไฟตลอดเวลา มันร้อนสุดร้อน ทรมานสุดทน ไอ้เจ้าสัตว์ต่างๆ ที่เราทำทารุณกรรมไว้ก็โผล่หน้ามาทีละอย่างทีละตัวตัวหนึ่งก็มาให้เห็นอยู่นานแสนนาน พอเจ้าตัวนี้ไป อีกตัวที่เราทรมานไว้ มันก็มา แล้วก็ต่อๆ กันอย่างนี้ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่
    นานๆ ก็มีอาหารเข้ามาในปากเสียทีหนึ่ง อาหารก็เป็นพวกเนึ้อหนังมังสาของสัตว์เหล่านั้นนั่นเอง บางทีก็กินได้อิ่มหายจากการทรมานเพราะความหิวไป บางทีก็กินไม่ได้ ซึ่งที่ได้กินอาหารนี่ก็เห็นจะเป็นเพราะเราเคยเอึ้อเฟื้อเจือจานต่อคนจนคนยากที่ไม่มีกินก็อาจเป็นได้ แต่ว่ากรรมนี้ก็เป็นกุศล
    เมื่อหมดวิบากแล้ว เราจึงมาเกิดใหม่เป็นอูฐในทะเลทราย ต้องทรมานแบกข้าวของ แบกมุนษย์ที่เป็นนาย เดินทรมานอยู่ในที่ที่แห้งแล้งกันดาร ไม่มีแม้แต่น้ำ เป็นอูฐอยู่ชาติภพหนึ่ง ในที่สุดก็ถูกฆ่าตาย คนที่ฆ่าก็เป็นนายเราเอง เขาหิวน้ำ ไม่มีน้ำจะดื่มในกลางทะเลทราย แล้วก็ยังอดอาหารอีกด้วย
    ในขบวนเดินทางนั้น มีอูฐอยู่หลายตัว ฉันเป็นตัวเดียวที่ถูกฆ่า นายเขา ผ่าท้อง เอาน้ำในกระเพาะของเรามาแบ่งกันดื่ม เพราะฉันตุนน้ำไว้แยะ จากนั้นเขาก็เอาเนี้อฉันมาปรุงเป็นอาหารสู่กันกิน
    ตอนที่เกิดเป็นอูฐนี่สาหัสมาก เขาบรรทุกของใส่หลังฉันจนกระดูกแอ่น แล้วยังมีนายไปนั่งขี่อีก 2 คน ฉันทั้งหนัก ทั้งเหนื่อย ขาทั้งสี่ก้าวแทบไม่ออก ก็เห็นจะเป็นเพราะกรรมที่ทรมานสัตว์ต่างๆ ไว้มาก ถึงได้เป็นอย่างนี้
    หมดจากอูฐนี่แล้ว ฉันถึงได้มาเกิดเป็นคน มาเกิดที่อำเภอเสนา จังหวัดอยุธยานี่ เห็นจะเป็นเพราะสันดานเก่าที่มันติดตามมา ตอนเด็กๆ ฉันซนเป็นที่สุด ยิงนก ตกปลา จับสัตว์มาหักแข้ง หักขา เป็นประจำ
    อย่าง หนูนา ในที่นาของพ่อแม่ฉัน พอจับได้ ฉันจะฆ่ามัน ทารุณมันต่างๆ เพราะมันมากัดต้นข้าวในนาแถมยังกินข้าวในยุ้งอีก ฉันไล่ตีหนูนาทุกวัน ถ้ามันยังไม่ตายก็ทรมานมันต่างๆ เช่น เอาน้ำมันราดตัว เอาไฟจุด ให้ลุกโชน หนูมันก็วิ่งไปทั้งๆ ที่ไฟลุกตามตัวอย่างนั้น ก่อนที่มันจะตาย ฉันเห็นมันเหลียวหน้ามามองที่ฉัน แล้วก็ตาย ฉันว่ามันคงนึกสาบแช่งพยาบาทอาฆาตฉันไว้ในใจมันแล้ว
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (26/38) [​IMG] หน้าถัดไป (28/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>คุณยายแม้น ผู้เสียสละ</CENTER>
    ศิษยานุศิษย์หรือพุทธศาสนิกชนที่ไปนมัสการหลวงพ่อที่วัดวงษ์ฆ้องเมื่อตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ จะต้องเคยเห็นลตรีชราท่านหนึ่งโกนศีรษะ ผ้านุ่งดำ เสื้อขาว ห่มขาว นั่งพับเพียบอยู่ตรงศาลากลาง ระหว่างกุฏิสงฆ์และกุฏิหลวงพ่อ ท่านผู้นี้หลังโกงเอามากๆ เวลาเดินท่านก้มตัวเหมือนเราเดินหาของอะไรที่ตกอยุ๋ที่พื้น ท่านมีไม้เทัาอันหนึ่ง รู้สึกว่าจะยาวกว่าตัวท่าน ถือนำทางกันล้มและบอกทางไปในตัว ทั้งนี้เพราะตาท่านมองไม่ค่อยเห็น
    ที่น่าขันก็คือ เวลาท่านเดินไปเหยียบสุนัขหรือแมวที่นอนอยู่เสียงร้องของสัตว์ที่ท่านเหยียบนั้น ทำให้ท่านรู้ตัว ท่านจะวางไม้เท้าลงแล้วพนมมือกล่าวขอโทษ ขออภัย พร้อมกับให้ศีลให้พร สัตว์ตัวที่ท่านเดินเหยียบหรือเดินชนนั้นทุกทีไป
    ที่พำนักของท่านนั้น คือ กุฏิเล็กๆ หลังโบสถ์
    อายุของท่านนั้น ผมคะเนว่าแก่กว่าหลวงพ่อ พวกลูกศิษย์วัดเรียกท่านว่า คุณยายแม้น
    ถึงตอนนี้ ผมต้องขออนุญาตเรียนท่านผู้อ่านเลยก่อนว่า นามของบุคคลต่างๆ ในตอนนี้ เป็นนามสมมุติทั้งสิ้น ไม่มีนามจริงเลย แม้แต่นามของคุณยายแม้น ทั้งนี้เพราะลูกหลานว่านเครือของท่านยังมีชีวิตอยู่มากและเป็นใหญ่เป็นโตในประเทศเราก็หลายคน สมกับคำว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี”
    คุณยายแม้น เป็นคนอยุธยา โดยกำเนิด แต่จะไปอย่างไร มาอย่างไรถึงได้มาจำศีลภาวนา เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ไม่มีใครทราบ ทราบแต่ว่าคุณยายแม้นอยู่วัดมานานแล้ว อยู่มากว่า 50 ปีแน่ๆ ท่านอยู่ที่วัด ท่านไม่ได้อาศัยข้าววัด หรือเบียดเบียนวัด แต่จะมีสตรีอีกผู้หนึ่ง อายุราว ๆ วัยกลางคนมาปรนนิบัติรับใช้ โดยนำอาหารเช้าและเพลมาให้ท่าน ซึ่งท่านก็รับประทานนิดเดียว เหลือก็ให้ทานเด็กวัดให้ทานสุนัข แมว นก จิ้งจก ตุ๊กแก กินไปตามเรื่อง พอท่านรับประทานอาหารเสร็จ เก็บถ้วยเก็บชามแล้ว สตรีผู้นั้นก็จะถือปิ่นโตกลับไป ซึ่งก็ได้ปฏิบัติกันดังนี้เป็นประจำ
    ปฏิปทาของคุญยายแม้นนั้นน่าสนใจยิ่งนัก ท่านสวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น ไม่เคยขาด ถ้าเป็นวันพระมีพระเทศน์ที่โบสถ์ คุณยายจะคอยไปนั่งฟังเทศถ์ก่อนใครๆ เมื่อไปถึงโบสถ์ว่าง ท่านก็จะนั่งสมาธิเงียบอยู่คนเดียว และปกติเมื่อรับประทานอาหารเช้าแล้ว ท่านะขึ้นมานั่งที่ศาลากลางคอยฟังธรรมะของหลวงพ่อ ที่ท่านจะแนะนำ หรือที่ท่านสั่งสอนแก่ผู้มาฟังธรรมจากท่าน
    ใครจะเอาอะไรมาให้คุณยายแม้น แม้แต่น้อย ท่านก็ไม่รับ ท่านจะพูดว่า “ถวายพระเถอะจ้า ได้บุญจ๊ะ.....”
    คุณยายาแม้นท่านนั่งครึ่งหมอยอยู่ที่วัดนั่นแหละ นั่งได้เป็นชั่วโมงๆ ปากก็ภาวนาขมุบขมิบไป คราวหนึ่งผมสงสัย จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “คุณยายแม้นขมุบขมิบปาก ท่องอะไรหรือขอรับ...” หลวงพ่อท่านตอบว่า “แม่แม้นแกภาวนาครึ่งท่อน”
    คำตอบของหลวงพ่อนี้ ผมงง ไม่ว่าใครๆ หรอกครับ แม้คุณผู้อ่านก็ต้องงง ภาวนาอะไรครึ่งท่อน
    ลูกศิษย์หลวงพ่อคนหนึ่ง ชื่อไชโย เป็นเด็กวัยรุ่นๆ รุ่นเดียวกับผมถึงกับหัวร่อด้วยความสงสัย ผมจึงกราบเรียนถามท่านว่า
    “ภาวนาครึ่งท่อนหมายความว่าอย่างไรขอรับกระผม..”
    หลวงพ่อท่านเมตตา เล่าให้ฟังดังนี้
    “คือว่าวันหนึ่งแม่แม้น แกมานั่งฟังหลวงพ่ออยู่ที่หน้าศาลานี่ ลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งมาจากกรุงเทพฯ ก็มาหาอย่างเคย เขาปรารภว่า อยากจะทำมาหากินทำอะไรให้มันรุ่งเรืองถาวร อยากจะได้คาถาจากหลวงพ่อไปท่องเจริญภาวนาจะได้เจริญๆ หลวงพ่อก็ให้คาถาไปและบอกว่าคนท่องคาถานี้ต้องถือศีล 5 นะถ้าไม่ถือศีล 5 คาถาจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ว่าแล้วหลวงพ่อก็ให้พวกเขารับศีลเรียกว่า นิจศีล คือถือเป็นนิตย์ จากนั้นก็ให้คาถา
    ตั้งนโม 3 จบเสียก่อน แล้วว่า “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ อิติปิโสภะคะวา นะโมพุทธายะ สัพพะลาภะ ภะวันตุ เม ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาติ”
    หลวงพอท่านให้บูชาคาถานี้เป็นนิตย์ อย่าเว้น จะมีลาภ เจริญรุ่งเรืองท่านว่า ต่อมาทุกคนที่ไปหาท่านก็เจริญรุ่งเรืองด้วยกันทุกคน มีความสุขดัง ปรารถนา
    ผมได้ยินคาถาเข้า ผมก็ลงมือควานหาดินสอปากกาทันที นายไชโยรู้ใจ รีบฉีกกระดาษ ส่งดินสอดำมาให้ผมก็เลยจด แล้วก็ท่องมาเป็นนกแก้วนกขุนทองเรื่อยมา จนต่อมาบวชแล้วจึงได้ เข้าใจว่าคาถาท่อนแรกนั้นระลึกถึงพระพุทธคุณ ตอน สัพพะลาภะ นั้น หมายถึงว่า อย่าให้เจ็บไข้ จะได้ทำมาหากินต่อไป เพราะความไม่ป่วยไข้นั้นเป็นลาภที่สุดแล้ว
    ส่วน ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา นั้น ท่านก็บอกให้รู้เหมือนคนในตอนนั้น แต่ผมจำไม่ได้ มาเข้าใจตอนบวชเหมือนกัน ว่านั่นคือสูตรสำเร็จในการงาน ที่เรียกว่า อิทธิบาท 4
    ผู้ใดมีอิทธิบาท 4 ประจำอยู่ในใจตลอดเวลาแล้ว ผู้นั้นไม่มียากจนและการงานใด หรือชีวิตใด ที่ปราศจากศีลแล้ว งานนั้นหรือชีวิตนั้น มีแต่ความวิบัติ หลวงพ่อท่านจึงให้รับศีลก่อนแล้วให้ถืออยู่เป็นนิตย์ การมีศีลนั้นก็เป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สมบัติอยู่แล้ว กว่าผมจะเข้าใจท่าน ก็โน่นอีกตั้งยี่สิบกว่าปี คือ ตอนที่บวชพระแล้วนั้นแหละ
    ทีนี้ คุณยายแม้น นั่งฟังอยู่ด้วยท่านมีลูกหลานว่านเครือแยะ จึงอยากให้ลูกหลานรุ่งเรือง ร่ำรวย เป็นใหญ่ เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน ท่านก็จำคาถาไว้ ไม่มีการจด เพราะท่านอ่านเขียนไม่ออกอยู่แล้ว ท่านก็จำหัวจำท้ายมา ภาวนา
    คุณยายแม้นน่ะ ท่านไม่อยากจะร่ำรวยอะไรอีกแล้ว เพราะท่านอายุมาก ท่านก็เอาแต่พอจำๆ ได้ เลยเหลือเพียง “อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ อิติปิโส ภะคะวา จิตตะ วิมังสา” ท่านก็ภาวนาอย่างนี้มาเป็นสิบๆ ปี มีสมาธิดีเหมือนกัน
    หลวงพ่อท่านว่า แถมยังบอกอีกว่า ไม่ถึงครึ่งท่อนก็ยังทำให้สมาธิ แค่ภาวนา “อะระหังสัมมาสัมพุทโธ” แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว...แต่ท่านก็ยังว่าแม่แม้นแกภาวนาคาถาครึ่งท่อนอยู่ดี
    จะเป็นเพราะคุณยายแม้นท่านมีเมตตา ถือศีลอยู่เป็นนิตย์ ภาวนาเป็นประจำ แม้จะครึ่งท่อนก็ยังมีสมาธิจิตใจท่านมีกิเลสน้อยมาก เพราะไม่เห็นท่านโกรธใคร ว่าใคร ศิษย์วัดยังกล่าวว่า ถัาคุณยายแม้นด่าว่าใครแล้ว เจ้าคนนั้นซวยตลอดชาติ ท่านไม่อยากได้ของใคร ใครมาหา มากราบไหว้ ทานก็พูดว่า ไหว้พระเถอะจ้ะ ถวายพระเถอะจ้ะ...ได้บุญ คุณยายแม้นเป็นใครมาแต่ไหน ไม่มีใครทราบ ที่จะทราบก็เพียงคนเดียวคือหลวงพ่อเท่านั้น และก็ไม่มีใครกราบเรียนถามท่านด้วย
    จนวันหนึ่งผมไปวัด ได้รับทราบจาก ไชโย ศิษย์ก้นกุฏิของหลวงพ่อว่าคุณยายแม้นตายเสียแล้ว อีกวันเดียวก็จะได้ 90 ปีเต็ม ท่านถึงแก่กรรมในกุฏิของท่านนั่นเอง
    ผมซักไซ้ไล่เลียงกับไชโยว่า คุณยายแม้นเป็นอะไรจึงได้เสียป่วยไข้เป็นอะไร มีญาติลูกหลานมาหาหรือเปล่ามีใครช่วยเหลือท่านบ้าง ทั้งนี้เพราะ ผมสงสารท่าน ไปทีไรก็เห็นท่านนั่งพนมมือหมอบที่ศาลา หน้ากุฏิหลวงพ่อเป็นประจำ ใครไหว้ท่าน ท่านก็ใหพร “จำเริญ ๆ เถิดพ่อคุณแม่คุณ อายุมั่นขวัญยืนจ้ะ” ท่านพูดอยู่แค่นี้ พูดจนนกขุนทองที่ศาลาจำได้ นกตัวนั้นก็ทำเสียงเหมือนท่านเสียด้วยซี
    ไชโยบอกว่า ยังไงไม่ทราบก่อนที่คุณยายจะเสียสักสองสามวัน คุณยายบอกให้คนเอาปิ่นโตมาส่งไปเชิญลูกหลานท่านมาที่วัดมากันหลายคน นั่งกันเต็มกุฏิของคุณยายแล้วทราบว่าคุณยายเล่าอะไร ๆให้ลูกหลานฟังแยะ ท่านพูดจนเหนือย สุดท้ายท่านบอกว่า อายุท่านไม่ถึง 90 ปีหรอก เรือมันผุแล้ว มันจะจมแล้ว ลูกหลานท่านก็นั่งฟัง ก็เห็นท่านดี ๆ พูดได้สติดี ไม่เจ็บไข้อะไร แต่รู้สึกว่าวันต่อ ๆ มา ลูก ๆ หลาน ๆ ก็มาหาท่านทุกวัน ท่านก็พูดแต่ว่า ท่านน่ะไม่ถึง 90 ปีหรอก ก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะอีก 4-5 วันท่านก็อายุครบ 90 ปีอยู่แล้ว
    เช้าวันหนึ่ง คุณยายแม้นไม่ขึ้นไปที่ศาลา แต่ฝากดอกไม้ ธูป เทียน ให้คนที่เอาอาหารมาส่ง ไปกราบหลวงพ่อว่า ฝากดอกไม้ ธูป เทียน มาขอนมัสการเป็นครั้งสุดท้าย และขอลาหลวงพ่อด้วย และขอระลึกพระคุณที่เมตตาให้มาปฏิบัติธรรมม ได้อยู่อาศัยที่วัดจนบัดนี้
    หลวงพ่อท่านรับดอกไม้ ธูป เทียน แล้วให้คนไปดู ก็ไชโยนั่นแหละเป็นคนวิ่งลงไป แล้วก็ขึ้นมากราบเรียนท่านว่า คุณยายนอนตะแคงหันหนัาเข้าฝา สงบนิ่งเฉยอยู่หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่าอะไร เป็นแต่ว่าท่านสั่งว่าเย็นนี้ให้ใครเอาข้าวที่มี มาทำเป็นข้าวต้ม ไปป้อนคุณยายที มื้อเดียวก็พอท่านสั่งอย่างนี้
    พอตกเย็นวันนั้น ไชโยกับเพือนอีกคนก็ลงไปหาคุณยายที่หลังโบสถ์เอาข้าวต้มไปป้อนให้ พลางก็บอกคุณยายว่า “หลวงพ่อให้เอามาให้ยายรับประทาน”
    คุณยายยกมือไหว้ แล้วรับประทานข้าวต้มไปสักสามสี่ช้อน ท่านก็บอกว่า “พอแล้ว” แล้วก็ให้ศีลให้พรตามเคย แต่เสียงท่านค่อยลงไปมาก
    เช้าวันรุ่งขึ้น ไชโยนึกเป็นห่วงคุณยาย ก็ลงไปดู เห็นคุณยายนอนตะแคงหันหน้าเข้าฝาตามเดิม ด้วยอาการสงบ พอขึ้นมา หลวงพ่อท่านถาม ไชโยก็ตอบท่านว่า “คุณยายยังไม่ตื่น ยังนอนอยู่”
    หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า “หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น” จากนั้นท่านก็พนมมือ สวดมนต์แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลทันที
    ไชโยนึกเอะใจ ก็รีบวิ่งลงไปที่เรือนคุณยายอีกที ทีนี้จับตัวท่านดูปรากฏว่าเย็นชืด ตัวแข็ง จึงรู้ว่าคุณยายเสียแล้ว จึงรีบวิ่งมากราบเรียนหลวงพ่อว่า “คุณยายแม้น เสียแล้ว”
    หลวงพ่อท่านบอกว่า “แม่แม้นเสียตอนอายุจะย่างเข้า 90 ปี แสงอาทิตย์สว่างเมื่อไหร่ ก็ไปรับบุญชาติหน้าเมื่อนั้น แม่แม้นแกเสียตอนตีห้ากว่าๆ แกรู้ของแกล่วงหนัาว่าจะหมดขัยเมื่อไหร่ แกถึงได้มาลาเมื่อวานนี้”
    พูดจบ หลวงพ่อท่านก็ให้เอาดอกไมั ธูป เทียน ที่คุณยายให้มากราบลา ไปวางไว้ที่ระหว่างมือทั้งสองของคุณยาย แล้วให้เด็กที่วัดไปบอกหลานๆ ของท่านในตลาดให้ทราบ
    นี่คือคำบอกเล่าของไชโย ที่เล่าให้ผมฟัง
    คุณยายแม้นเป็นใครมาแต่ไหนนั้น ต้องแบ่งเล่าออกเป็น 2 ตอน ตอนหนึ่ง ทราบจากหลวงพ่อ และตอนที่สองเป็นปริศนาธรรมที่ท่านกล่าว ซึ่งผมจะนำมาเรียบเรียงให้คุณๆ ผู้อ่านได้ทราบและพิจารณาต่อไป
    เมื่อราวๆ 90 ปีเศษมาแล้ว ที่ตำบลนาโสน อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี มีครอบครัวผู้มีอันจะกินครอบครัวหนึ่ง ผู้เป็นบิดาทำมาหากินด้วยการรับซื้อพืชผลไม้ ที่ชาวบ้านนำมาขายจากไร่ จากสวนแล้วส่งขาย การทำมาหากินเจริญรุ่งเรือง ก็ร่ำรวยขึ้นครอบครัวนี้มีบุตรชาย 2 คน ก็เจริญเติบโตดี ต่อมาอีกหลายปี ห่างกันร่วม 10 ปี ฝ่ายมารดาก็ตั้งครรภ์อีกครั้งในการตั้งครรภ์ครั้งนี้ ทั้งบิดาและมารดา ต่างก็ฝันเป็นนิมิตเหมือนกันทั้งคู่ ซึ่งก็แปลกประหลาดพิลสารมาก
    กล่าวคือฝ่ายบิดาฝันว่า มีเทพยดาลอยลงมาหา แล้วบอกว่าจะเอาเด็กดีจากสวรรค์มาฝากเลี้ยง แล้วก็ยื่นมือส่งของอย่างหนึ่งให้ ฝ่ายบิดาก็ยื่นมือออกไปรับ พอจะมองดูว่าที่อยู่ในมือนั้นอะไรก็พอดีตกใจตื่น
    ส่วนทางฝ่ายมารดาก็เช่นกันฝันตอนใกล้รุ่งว่า วันหนึ่งไปทำบุญฟังเทศน์ ที่วัดใกล้ๆ บ้าน ขณะที่เดินทางกลับบ้านก็พบสัตว์ผู้หนึ่งในฝันนั้นว่า สตรีนั้นรูปร่างหน้าตาสวยงามมากขนาดยืนอยู่ห่างๆ ยังได้กลิ่นประทินของหอมชื่นใจ สตรีผู้นั้น ท่านเดินมาหาแต่การเดินของสตรีผู้นั้น เท้าทั้งสองหาได้สัมผัสพื้นดินไม่ เมื่อสตรีนั้นมาใกล้ตัวก็พูดว่า “เอาตอกสาละนี้ไปบูชาพระซิ หอมมากนะ” ว่าแล้วก็ส่งดอกไม้ที่ถือมาให้ แกก็รับไว้ กลิ่นดอกไมันั้นหอมตลบไปทั่ว พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที สตรีท่านนั้นก็ลอยห่างออกไปเสียแล้ว แกก็ยกมือไหว้ เพราะนึกว่าอย่างไรๆ เสียสตรีท่านนั้นก็คงเป็นเทพธิดาองค์หนึ่งแน่ๆ
    พอรุ่งขึ้น ทั้งคู่ก็เล่าเรื่องที่นิมิตเล่าสู่กันฟัง จากนั้นก็พากันไปทำบุญที่วัดอย่างเคย แล้วก็เล่าความฝันของแต่ละคนให้หลวงพ่อที่วัดฟัง หลวงพ่อที่วัดนาโสมนั้นก็ยิ้มแย้ม ชื่นชมยินดีพลางกล่าวว่า
    “คุณโยมจะได้บุตรหรือธิดาอีก 1 คน คนนี้เทพส่งมาจากสวรค์ เป็นผู้ที่มีวาสนาบุญญาธิการ และมีธรรมะสูง ครอบครัวจะมีความสุข ความเจริญูรุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอีก”
    บิดามารดาทั้งสองได้ฟังแล้วก็ปลื้มปิติอย่างยิ่ง
    และแล้วก็เป็นความจริง ต่อมาฝ่ายมารดาก็ตั้งครรภ์ ระห่วางตั้งครรภ์แกไม่แพ้ ไม่ป่วยไข้อย่างใด แถมยังทำมาค้าขึ้น ก็รวยขึ้นไปอีก เมื่อครบกำหนดก็คลอดออกมา เป็นเด็กหญิงผิวพรรณสะอาดสดใส หน้าตาน่ารักน่าชัง สวยงามอย่างเทพธิดาในฝันที่ฝันเห็น ทั้งนี้จึงพร้อมใจกันตั้งชื่อว่า “แม้น” เพราะหน้าตาเหมือนจิตในฝันนั่นเอง
    เมื่อเจริญวัยขึ้น แม้นก็มีปฏิปทาในการทำบุญสุนทาน มีจิตน้อมนำในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีจิตเมตตาต่อสัตว์ต่างๆ อย่างมากมายผิดกับเด็กทั่วไป
    อย่างครั้งหนึ่งหนูแม้นเห็นแมลงสาบตัวหนึ่งขาขาด นอนหงายดิ้นอยู่หนูแม้นสงสารแมลงสาบตัวนั้นเป็นอย่างยิ่ง รีบไปจับแมลงพลิกคว่ำ เพื่อให้สัตว์นั้นเดินได้ แต่แมลงสาบนั้นก็ไม่สามารถจะเดินได้เหมือนปกติเพราะขาขาดไป หนูแม้นนั่งร้องไห้สงสารแมลงสาบนั้นว่า มันคงเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน ร้อนถึงแม่ต้องมาปลอบใจ
    และอีกครั้งหนึ่ง หนูแม้นเดินไปหลังบ้าน เห็นงูกำลังกินเขียดอยู่ เขียดส่งเสียงร้องอย่างดังและโหยหวนเหมือนขอชีวิต แต่งูก็กลืนลงไปๆ ทีละน้อยๆ หนูแม้นทนไม่ไหวต่อเสียงและภาพนั้นรีบวิ่งขึ้นบ้านมาบอกให้พ่อไปช่วยเอาเขียดออกจากปากงูให้ที แต่สายไปเสียแล้ว เขียดถูกกลืนไปหมดก่อนที่พ่อจะไปถึง พ่อทำท่าจะตีงูตัวนั้น แต่หนูแม้นซึ่งมีน้ำตานองหน้าเพราะสงสารเขียตน้อยตัวนั้นก็ยึดมือพ่อไว้ แล้วร้องว่า “พ่ออย่าไปทำเขา...พ่ออย่าไปทำเขา ปล่อยเขาไป..ปล่อยเขาไป...อย่าฆ่าเขาพ่อจ” ดังนี้เป็นต้น
    หนูแม้นจะลุกขึ้นแต่เช้ามืด มาใส่บาตรแทนพ่อแทนแม่ทุกวัน และก็หนูแม้นอีกแหละที่ชวนพ่อแม่ไปวัดไปทำบุญ ไปฟังเทศน์ ไม่ว่าจะมีผ้าป่า ทอดกฐิน ทำบุญเจดีย์ข้าวสาร เจดีย์ทราย สร้างโบสถ์ สร้างศาลา อะไรในวัด หนูแม้นซึ่งอายุเพียง 7-8 ขวบ พอรู้เรื่องการบุญเข้า จะรีบชวนพ่อแม่ไปทำบุญทันที และเวลาฟังเทศน์ หนูแม้นจะนั่งฟังนิ่งจนจบ
    ที่แปลกที่สุดก็คือ ตอนที่หนูแม้นอายุเพียง 4 ขวบ พูดยังไม่ชัดดี หนูแม้นสามารถอาราธนาศีล 5 กล่าวคำถวายสังฆทาน เป็นภาษาพระคือภาษาบาลีได้อย่างฉะฉาน ไม่มีผิดพลาด เวลาพระให้ศีล หนูแม้นจะกล่าวรับด้วยเสียงดังฟังชัด
    ท่านสมภาพวัดกล่าวให้ความเห็นว่า “ที่หนูแม้นเป็นดังนี้เพราะหนูแม้นมีบุญเก่าสะสมมาแต่ชาติปางก่อนและเป็นผู้ที่เคร่งครัด ในพระศาสนาถือศีลกินเพลเข้าวัดเข้าวาเป็นประจำ เมื่อสิ้นบุญแล้วกลับมาเกิดใหม่ก็เลยเกิดเป็นคน สัญญาเก่าๆ ที่ยังไม่ทันเลือนรางไปก็กลับมา และเมื่อเกิดมาในชาติภพ ใหม่ ในภูมิที่ดีเช่นนี้อีก ก็จะเป็นโอกาสให้หนูแม้นได้สะสมบุญบารมีต่อไป แม้ว่าหนูแม้นไม่สามารถจะระลึกชาติที่แล้วได้ก็ตาม”
    เมื่อเจริญวัยขึ้น หนูแม้นก็ยิ่งมีคุณธรรม ศีลธรรม มีเมตตามากขึ้นๆ ตามลำดับ หน้าตา กิริยา วาจา สวยสดงดงาม เป็นที่รักใคร่ของพ่อแม่และญาติพี่น้องทุกคน
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (29/38) [​IMG] หน้าถัดไป (31/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>อาจารย์ฟ้อน ชดใช้กรรม</CENTER>
    ท่านผู้ที่มีอายุเลย 50 ปีไปแล้ว หรือประมาณ 60 ปีแล้วคงจะจำเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างหนึ่งได้ นั่นคือวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 เวลาประมาณ 01.00 น. ประเทศเราได้ถูกกองทัพญี่ปุ่น บุกยกพลขึ้นบก ทางชายทะเลภาคใต้ คือที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พร้อมๆ กันก็บุกยกพลขึ้นบก โจมตีมาลาเซียและสิงคโปร์ในขณะเตียวกัน โดยญี่ปุ่นประกาศสงครามเข้าร่วมกับเยอรมันนี เรียกว่า ฝ่ายอักษะ สู้รบกับอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อเมริกา ฯลฯ รวมเรียกว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร
    ในวันนั้น ทหารไทย ตลอดจนยุวชนทหารไทย ได้แสดงวีรกรรมไว้มากโดยทำการต่อสู้กับทหารที่เข้าโจมตีอย่างยอมตาย ทั้งๆ ที่ ฝ่ายข้าศึกมีกำลังมากกว่าอาวุธยุทธภัณฑ์เหนือกว่า การตระเตรียมกำลังพลเหนือกว่า ทหารทั้งสองฝ่ายได้เสียชีวิตไปเป็นอันมาก และในที่สุดก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่ทหารญี่ปุ่น รัฐบาลในตอนนั้น จำต้องประกาศยอมให้กองทัพญี่ปุ่นผ่านดินแดน และยอมเป็นกำลังฝ่ายอักษะด้วย ก็เท่ากับไทยเราเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นโดยปริยาย
    ทหารญี่ปุ่นเต็มไปหมดทั้งบ้านทั้งเมืองในกรุงเทพฯ พ่อค้าวานิชร้านค้าญี่ปุ่น แม้แต่ร้านถ่ายรูปที่ถนนเจริญกรุงก็แต่งตัวเป็นนายทหารญี่ปุ่น สะพายดาบซามูไรอย่างแข็งขันกำลังทหารญี่ปุ่นตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ มากมาย อาทิ สนามกีฬาแห่งชาติ สวนลุมพินีวัน โรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย สถานเอกอัครราชทูตฝ่ายสัมพันธมิตร โรงเรียนใหญ่ๆ หลายแห่ง ถูกทหารญี่ปุ่นยึดครอง สโมสร ราชกรีฑา ถูกยึด และบางส่วนถูกทำลายเสียหาย
    ต่อจากนั้นไม่กี่วันคนกรุงเทพฯ ก็ได้ยินเสียงเครื่องบินสี่เครื่องยนต์ของสหรัฐฯ มาทิ้งระเบิด ตามจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในกรุงเทพฯ มีสถานีรถไฟกรุงเทพฯ บางกอกน้อย บาซื่อ กรมทหาร และหน่วยที่ตั้งกำลังทหารญี่ปุ่น พอเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรบินเข้ามา สัญญาณภัยทางอากาศ หรือที่เรียกในตอนนั้นว่า “หวอ” ที่ติดตั้งอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะที่ ยอดภูเขาทองก็เปิดหวอดังลั่น ไฟฟ้าดับหมดมืดสนิททั้งเมือง ทุกอย่างอยู่ในความสงบ มีแต่เสียงลูกระเบิดที่แหวกอากาศลงมา “วี้ด...วี้ด...ตูมๆ” ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ส่วนมากก็กลางคืน ผู้คนวิ่งลงหลุมหลบภัยที่มีอยู่ทั่วเมือง ที่ลงไม่ทัน หลบไม่ทัน ก็ลงไปในท่อระบายน้ำข้างถนน จนสองหรือสามชั่วโมงต่อมา หวอปลอดภัยก็ตั้งขึ้น ทั้งนี้ก็ออกมาจากหลุมหลบภัยออกมาจากท่อข้างถนนที่ลงไปหลบกันขึ้นมา ส่วนมากก็ปลอดภัย ส่วนน้อยที่โดนจังๆ ก็ดับสิ้นไป
    ระเบิดครั้งแรก ดูเหมือนที่ตลาดพลูและซอยสารภี ธนบุรี และก็เรื่อยๆ มาถูกทิ้งระเบิดสังหาร ระเบิดทำลาย และระเบิดเพลิง ตอนนี้ผู้คนเริ่มอพยพออกไปนอกกรุงเทพฯ ทั้งทางรถไฟ ทางเรือ ทางถนน กันอย่างพัลวัน ถนนในสมัยนั้นไม่มากอย่างในปัจจุบัน ก็หนีออกไปเท่าที่จะทำได้ เช่น ไปอยู่ในสวน ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก แถวๆ ทางเมืองนนท์ ทางบางกอกน้อย บางกอกใหญ่ สามพราน นครปฐม นครชัยศรี อยุธยา รังลิต แค่นี้ก็พอจะปลอดภัยแล้ว
    แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีญาติพี่น้อง ลูกหลาน อยู่บ้านบ้าง คอยเฝ้าบ้าน เฝ้าสมบัติ เพราะสงครามนี่ทำให้โจรผู้ร้ายกชุมบางคนถึงกับขายที่ขายทางอพยพไปบ้านนอกเลย
    ที่ดินในตอนนั้นราคาถูกมาก นอกๆ ใจกลางกรุงเทพฯ ราคาตารางวาละสองสามบาท ไร่ละ 800 บาท หรือ 1,000 บาท ถ้าในกลางเมืองวาละอาจจะถึง 10 บาท คือไร่ละ 4,000 บาท แต่พอสงครามนานเข้าถูกระเบิดตกมากเข้า ที่ดินก็ลดราคาลงมาอีก
    ในระยะนี้ เครื่องรางของขลังจากอาจารย์ต่างๆ ก็เริ่มระบาด ทั้งปลอมทั้งจริง พวกที่หัวไวทำพระครื่องปลอมออกจำหน่าย พร้อมกันก็ส่งนายหน้า หรือ หน้าม้าไปโฆษณาก่อน ทำให้เครื่องรางเหล่านั้นมีผู้สนใจซื้อหากันมาป้องกันตัวมากมาย อันที่จริงก็เป็นการให้กำลังใจนั่นเอง
    จะสังเกตุเห็น พอเสียงสัญญาภัยทางอากาศดังขึ้นเท่านั้น ผู้หญิง ผู้ชาย ไม่ว่าแก่ ว่าสาว ว่าหนุ่ม ต่างก็รีบสวมเสื้อยันต์สีแดง มีอักขระขอมเต็มไปทั้งหน้าทั้งหลัง ลักษณะเสื้อยันต์ก็เหมือนกับเลื้อกั๊กนั่นแหละ แต่มีลวดลายตัวหนังสือเขียนด้วยหมึกสีดำเต็มไปหมด แล้วก็สวมสร้อยคอมีพระพวงโตๆ อย่างน้อยก็ 7 องค์ บางคนสวมสายสร้อยเงินที่ห้อยพระอยู่จนนับองค์พระไม่ถ้วน
    ด้วยเหตุดังกล่าว จึงมีการสืบหาอาจารย์ๆ ทางแคล้วคลาด ทางอยู่ยงคงกระพันมาก ใครว่าอาจารย์ที่ไหนไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้า หรือฆราวาสที่นับถือกันเป็นอาจารย์ เป็นไปหากันแน่นสำนัก ทำให้พวกที่ไม่มีอะไรในตัว ถือโอกาสหลอกลวง ตั้งตนเป็นอาจารย์กันมากมาย สุดแต่ว่าใครจะมีวิธีอะไร ก็นำมาหลอกลวงกัน ดูเหมือนว่าจะเป็นอาชีพที่เบาๆ สบายๆ และได้เงินมากด้วย อย่าว่าแต่ในสมัยโน้นเลย แม้แต่เดี้ยวนี้ก็ยังมีอยู่ถมไป
    ในขณะสงครามกำลังวุ่นวายอยู่นั้น ข้าวลือกันหนาหู พูดกันทั่วเมืองว่า มีอาจารย์ดีผู้หนึ่งท่านอยู่ทางปทุมธานี ลูกศิษย์ลูกหาเชิญไปตามที่ต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน หาตัวยากมาก อาจารย์ผู้นี้ท่านเก่งทางสัก โดยเอาเลือดออกจากปากท่านมาลงกระหม่อมให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะเป็น ลูกศิษย์ เวลาไปเชิญมาจะมีลูกศิษย์ห้อมลัอมมาสามสี่คนเป็นอย่างน้อย อาจารย์ท่านนี้ท่านชื่อ อาจารย์ฟ้อน ผมไม่ทราบนามสกุลท่าน และป่านนี้ก็คงดับสูญสิ้นชีวิตไปแล้วเพราะมันก็นานมาแล้ว ถ้ามีซีวิตอยู่ ป่านนี้อายุเห็นจะเลยร้อยปีไปนาน
    เมื่อเชิญอาจารย์ฟ้อนมาทำพิธีสักกระหม่อมลงยันต์ ท่านจะทำกับลูกศิษย์ท่านให้ดูก่อน แล้วจากนั้นลูกศิษย์อีกคนจะเอาดาบฟันลงไปที่หลังลูกศิษย์คนที่ลงกระหม่อมไว้ ฟันฉับๆ ๆ ไม่มีอันตรายใดๆ ผู้คนขึ้นมากมาย เลียค่ายกครูตามธรรมเนียม เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เสียแล้ว ผู้ที่เก็บค่ายกครูคือลูกศิษย์ที่มาด้วย แต่มันก็แพงมากสำหรับในสมัยนั้น อาจารย์ผู้นี้เดินทางไปตามศาลเจ้าต่างๆ ศาลเทพารักษ์ต่างๆ บางทีก็เข้าไปตามวัดร้างๆ แบ่งถวายพระบ้างนิดๆ หน่อยๆ พระท่านก็ไม่ว่าอะไร
    กิตติศัพท์ของ อาจารย์ฟ้อนนี้ดังมาก ดังมานาน แม้พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณสาสนโสภณ (นิรันตร์) เจ้าอาวาส วัดเทพศิรินทาวาส องค์ปัจจุบันยังทราบเรื่องอาจารย์ฟ้อนนี่
    ในตอนที่สงครามกำลังรุนแรงระเบิดตกตูมๆ อยู่นั้น บิดาผมได้ให้ไปนิมนต์หลวงพ่อมาจากอยุธยา มาเทศน์มาประพรมน้ำพุทธมนต์ให้เป็นกำลังใจแก่ลูกๆ เพราะข้างๆ บ้านถูกลูกระเบิดไปหลังหนึ่งแล้ว ผมก็เดินทางไปอยุธยา ไปกราบนมัสการท่านท่านก็เมตตารับนิมนต์ แต่ไม่รับที่จะค้างที่บ้าน โดยท่านจะไปเช้าเย็นกลับไปกับลูกศิษย์ 1 คน ก็ไชโย นั่นแหละไม่ใช่ใครที่ไหน พวกเราก็ดีใจ ที่หลวงพ่อจะมาที่บ้าน ต่างก็คอยนมัสการ กราบไหว้ เอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เพราะในตอนนั้น ภัยสงครามรุนแรงมากจริงๆ ขวัญกระเจิงทั่วกันไปหมด
    เผอิญในวันที่ผมไปรับหลวงพ่อนั้นกิตติศัพท์ของ อาจารย์ฟ้อนที่ดังมากนั้น ทำให้มีพรรคพวกของเราคนหนึ่งอาสาไปเชิญอาจารย์ฟ้อนมาทำพิธีที่บ้าน โดยจะจัดหาลูกศิษย์ลูกหาไว้ลงกระหม่อม พร้อมทั้งอาสาสมัครที่จะลงกระหม่อมด้วย โดยเสียค่ายกครูตามธรรมเนียม แถมยังมีรางวัลให้อาจารย์ด้วย
    ในการนี้ พี่ผม ซึ่งตอนนั้นก็รับราชการเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ให้ความเห็นชอบ เพราะสนใจ ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่ได้เชื่อถืออะไรในเรื่องนี้ ในที่สุดอาจารย์ฟ้อน ก็มาถึงบ้าน ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับที่ผมไปนิมนต์หลวงพ่อมาจากอยุธยา
    อาจารย์ฟ้อน ถูกรับตัวมาแต่เช้า พวกเราก็สนใจกันมาก มาหามาดูกันมากหน้าหลายตา รวมทั้งเพื่อนๆ บ้านใกล้เรือนเคียงด้วย มากันแน่น เพื่อมาดูกรรมวิธีต่างๆ ที่แปลกๆ ไม่เคยเห็น
    ผมจำได้ว่า พออาจารย์ฟ้อนมาถึงจะมาตอนสักกี่โมง ผมจำไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมไปอยุธยา แต่ทราบว่าแกมาถึงก็ทำพิธี ใหญ่โต สวดคาถาแทบไม่หยุดหายใจ พรรคพวกบอกว่า แกสวดคาถา ร่ายมนต์ต่างๆ คล่องมาก เพราะแกเคยบวชพระมาหลายปี เสียงที่แกสวดนั้นฟังประหลาด เพราะเสียงแกแปลกกว่าใคร ๆ
    อาจารย์ฟ้อนแต่งกายนุ่งขาวห่มขาว พนมมือ ถือดอกไม้ธูปเทียน มีลูกศิษย์ประจำตัวนั่งอยู่ทั้งสองข้างซ้าย-ขวา ผู้คนที่มานั่งพนมมือแต้นิ่ง สงบเงียบ
    พอได้เวลาลูกศิษย์ก็คลานเข้าไปส่งมีดหมอปลายแหลม 1 เล่ม ค้อนขนาดไม่ใหญ่นัก 1 อันให้ จากนั้นอาจารย์ก็จะอ้าปากกว้าง เอาปลายมีดหมอพุ่งปักเข้าไปที่เพดานในปากจากนั้นก็เอาค้อนตีเข้าที่ด้ามมีดหมอนั่นสองสามที แล้วก็เอาปลายมีดออก ทันใดนั้นก็มีเลือดหยดออกมาทางปากอาจารย์ก็จะเอาถ้วยเล็กๆ มารองเลือดนั้น จนเลือดหยุดไหล ก็จะได้เลือดราวๆ ถ้วยตะไล
    จากนั้น ก็จะเอาเหล็กจารใบลานมาจุ่มเลือด แล้วลงกระหม่อมให้ลูกศิษย์คนที่เอามีดหมอมาให้ก่อน ปากก็ว่าคาถาไปเรื่อยๆ มือก็ลงกระหม่อมไป
    พอเสร็จก็จะให้ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งเอามีดดาบมาฟันที่หลังคนที่ลงกระหม่อมไว้ คนที่ใช้ดาบฟันจะเงื้อจนสุดแขนแล้วฟันลงมา
    แต่แปลกคือ พวกที่ไปที่สังเกตเห็นว่าเวลาเงื้อน่ะเงื้อสุด แต่พอฟันลงมาจะฟันลงมาโดยเร็วแต่จะหยุดนิดหนึ่งราวๆ 1 คืบ ก่อนที่คมดาบจะถึงพลังความรุนแรงของการฟันก็ลดลงแต่ก็ทำให้เป็นรอย พอมีเลือดซึมๆ เขาเรียกว่า ยางบอน ไหลซึมนิดๆ
    เขาฟันอยู่สองสามที แล้วหันหลังให้ผู้คนที่เฝ้าชมอยู่นั้นดูว่า ไม่มีรอยแผล ไม่มีรอยฟัน ก็คือว่าฟันไม่เข้านั่นเอง เรียกร้องความสนใจของผู้คนที่นั่งชมอยู่เป็นอันมาก
    ต่อจากนั้น ชายหนุ่มและไม่หนุ่มทั้งหลายตลอดจนสตรีและเด็กๆ ก็หมอบคลานเข้ามากราบ แล้วก็ยื่นศรีษะให้ขอลงกระหม่อมเลือดอาจารย์ ลูกศิษย์ที่มาด้วยก็จะลงมือเก็บค่าบูชาครู คนละ 25 บาท และมีการ “ลงบุญ” ในขันที่วางไว้ตรงหน้าอาจารย์
    ลงบุญ ที่ว่านี้ก็คือ การบริจาคเงิน เพื่อร่วมไปทำบุญต่างๆ ร่วมกับอาจารย์ สุดแต่ว่าจะทำบุญให้ทานที่ไหนใครลงบุญมาก ก็จะได้บุญมาก แถมอาจจะได้ของขลังไว้ปัองกันตัว คือ ตะกรุด ที่อาจารย์สร้างขึ้นด้วย ตะกรุด อิทธิฤทธิ์มากมายสุดพรรณนาทั้งคลาดแคล้ว อยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยม เรียกลาภ เรียกเงินเรียกทองให้มาหา
    อาจารย์ฟ้อน แสดงให้ดูว่า แกเอาขันเปล่ามาวางตรงหน้า แล้ก็เอาตะกรุดมหาลาภใส่ลงไปในขัน แล้วคอยดูเงินทองจะไหลมาเทมา
    พวกคนที่มาลงกระหม่อมก็สังเกตเห็นว่าขันนั้น เป็นขันเปล่า แต่พออาจารย์บอกบุญเรียกว่า ลงบุญ เท่านั้น เงินทองก็ไหลมาเทมา ลงมาในขันนั่นแหละจนเต็มขัน
    อาจารย์ฟ้อนจะพูดว่า “ถ้าใครสงสัยให้มองดูในขันว่า มีเงินเต็มขัน จริง ไหม”
    ไมกี่อึดใจเท่านั้นเงินก็ไหลมาเทมาจนเต็ม ผู้คนยิ่งเชื่อถือศรัทธาแก่กล้ามากขึ้น ยกมือไหว้แปลกๆ หาได้ คิดกันไม่ว่า เงินทองในขันนั้นก็คือเงินของพวกเขาทั้งหลายนั่นแหละ
    ตอนนี้เงินบูชาครูก็แยะ เงินในขันก็แยะ ลูกศิษย์ที่มาด้วยก็เก็บๆ ใส่ถุง แบบย่ามพระนั่นแหละ ต่อจากนั้นอาจารย์ก็เริ่มลงกระหม่อมทีละคนๆ ด้วยเหล็กจารใบลานจุ่มเลือดที่แทงเอาออกมาจากปาก ก็กินเวลานานอยู่
    พอถึงเวลาเพล ลูกศิษย์ก็บอกว่าอาจารย์จะต้องรับประทานอาหารเพลถ้าเลยเวลา แล้วจะไม่รับประทาน พวกที่บ้านก็เร่งจัดอาหารเพลมาให้ อาจารย์ก็นั่งรับประทานอาหารเพล รับประทานเอาๆ พอเสร็จก็นั่งพักสักครู่ แล้วก็เริ่มพีธีสาธยายมนต์ต่อ
    ก่อนเพลสักไม่กี่นาที หลวงพ่อ ผม และไชโย ก็มาถึง ก็สถานีรถไฟสามเสนอยู่ที่หน้าบ้านนั่นเอง พอลงจากรถ เดินไม่กี่ก้าว ก็เข้าบ้านได้ ที่บ้านได้เตรียมอาหารเพลไว้ถวายหลวงพ่อแล้ว พอมาถึงก็นิมนนต์เข้าไปนั่งในห้องรับแขกห้องใหญ่ พอท่านพักสักครู่ ก็นิมนต์ท่านฉันอาหารตามปกติท่านฉันน้อยอยู่แล้ว พอฉันได้ไม่กี่คำท่านก็เลิก ยะถา สัพพีตาม ระเบียบ
    หลวงพ่อท่านถามว่า “วันนี้มีอะไรหรือ เห็นมีคนมากหน้าหลายตา”
    พวกเราก็กราบเรียนท่านว่า “มีอาจารย์ดีมาลงกระหม่อม เขาเอาเลือดจากในปากมาเสก แล้วลงกระหม่อมให้เพื่อให้ขลัง จะได้อยู่ยงคงกระพันและคลาดแคล้วภัยอันตรายต่างๆ ในตอนนี้”
    หลวงพ่อท่านฟังแล้วก็ยิ้มๆ และนั่งเฉยอยู่ ต่อจากนั้นเสียงพวกเราก็ดังขึ้นว่า “หลวงพ่อมาๆ”อาจารย์ฟ้อนได้ยิน จึงบอกว่า “เคยได้ยินชื่อท่านอยู ่ขอเข้าไปนมัสการท่านหน่อย” ว่าแล้วอาจารย์ฟ้อนก็เดินเข้าไปกราบหลวงพ่อในห้องฉันที่จัดไว้ ท่านก็ปฏิสันถารว่า “เจริญสุข...เจริญสุข เราชื่อ อะไร”
    อาจารย์ฟ้อนกราบเรียนว่า “เกล้ากระผมชื่อฟ้อน ขอรับกระผม”
    “มาทำอะไร ที่นี่...”
    “เกล้ากระผม ได้รับเชิญมาลงกระหม่อม สักศรีษะ อยู่ยงคงกระพันให้แก่ญาติๆ ที่นี่ ขอรับกระผม” อาจารย์ฟัอนกราบเรียนด้วย อาการกระสับกระส่าย
    หลวงพ่อท่านนั่งเฉย หลับตาอยู่สักคูร่ แล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
    “เสร็จธุระแล้วก็จงหลีกไป เงินทอง เอาไปทำบุญเสียนะ และจงเลิกผิดศีลเสีย มันไม่ดีหรอก มีแต่บาปเท่านั้น”
    อาจารย์ฟ้อนก้มลงกราบ แล้วกราบนมัสการลาไป และก็พาลูกศิษย์ออกจากบ้านไปเลย
    พวกเรากราบเรียนถามหลวงพ่อว่า “อาจารย์ฟ้อน ทำไมรีบไปขอรับ”่
    “เขาคงไปหากินที่อื่น”
    “แล้วที่ลงกระหม่อมไว้ล่ะขอรับยังศักดิ์สิทธิ์ ยังขลังอยู่หรือเปล่าขอรับ”
    “ที่ลงไปแล้วก็แล้วไป แต่ควรจะต้องไปล้างศรีษะ สระผมเสียให้สะอาด”
    “ทำไมหรือขอรับ”
    “มันไม่สะอาด เดี๋ยวจะเจ็บจะป่วยกันได้”
    “แล้วที่อาจารย์ฟ้อนทำพิธีไว้ละขอรับ”
    “อาตมาเป็นพระ พูดไม่ได้”
    พวกเราก็หยุดกราบเรียนถามท่าน
    ต่อจากนั้น หลวงพอท่านก็เรียกพวกเราทั้งหมดมาพร้อมกัน ให้น้อมจิตระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จากนั้นท่านก็สวดมนต์ภาวนาอยู่พักใหญ่ แล้วก็จุดเทียนที่ขันน้ำมนต์ สวดมนต์ภาวนาสรรเสริญพระรัตนตรัยต่อ แล้วก็ให้ผมถือขันน้ำมนต์เดินตามท่าน ท่านใช้ใบหญ้าคาจุ่มในน้ำมนต์ ประพรมให้ทุกคน และพรมน้ำมนต์ให้ทุกห้องในบ้าน เสร็จแล้วท่านก็ให้คำแนะนำว่า
    “เมื่อมีภัยมา ให้น้อมจิตระลึกถึงพระพทุธคุณไว้ พระพุทธคุณจะปกป้องภัยอันตรายทั้งปวง”
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (32/38) [​IMG] หน้าถัดไป (34/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>วังเปรต</CENTER>
    คณะผู้อ่านครับ จบเรื่องนี้แล้วก็เห็นจะจบเรือง คำสารภาพของวิญญาณที่ผมนำมาเรียบเรียงใหม่ จากการสนทนากับหลวงพ่อวัดวงษ์ฆ้อง คลองเมือง อยุธยา ซึ่งท่านกได้เมตตาเล่าเรื่องอะใรๆ ให้ผมฟังแยะ
    ก่อนอื่น ผมเห็นจะต้องทำความเข้าใจกันเสียหน่อยก่อน คือคำว่าวังนี่นะครับ ไม่ได้หมายความว่าเป็นวังที่ประทับของเจ้านาย ที่เราเรียกกันแต่เป็นที่ชุมนุมของสิ่งที่มีชีวิตประเภทเดียวกัน เช่น วังกุ้ง วังจระเข้ หมายความว่า เป็นที่ชุมนุมของกุ้ง ของจระเข้ ทีนี้ วังเปรต ก็จะมีความหมายความว่า เป็นที่ชุมนุมของเปรต
    เปรตมีจริงไหม? หน้าตารูปร่างเป็นอย่างไร? เดี๋ยวค่อยคุยกันครับ ผมเองน่ะไม่เคยเห็นหรอกครับ เคยแต่ได้ยินคำว่า ผีวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มาอีกทีก็ตอนแก่ ที่ได้เห็นเปรต อีกหนหนึ่งก็ที่วัดไผ่โรงวัวโน่น
    ผมว่า ท่านที่ไปทัศนาจรวัดไผ่โรงวัวคงจะได้เคยเห็นเปรต ที่เนรมิตขึ้นจากจินตนาการของหลวงพ่อของตามนัยแห่งหนังสือไตรภูมิพระร่วงโดยทั่วกันแล้ว ว่ารูปร่างหน้าตาเปรตนี่เป็นอย่างไรแปลกก็แต่ว่าเปรตนี่มีทั้งเปรตผู้ และเปตรเมีย แต่เมื่อมีเปรตเพศอย่างนี้แล้ว มันจะมีลูกเปรตออกมาบัางหรือไม่...ผมไม่ทราบ แต่ผมเคยได้ยินผู้หลักผู้ใหญแต่ก่อน ท่านดุว่าเด็กซนๆ ดื้อๆ ด้านๆ ว่า “ไอ้เด็กเปรตนี่...เดี๋ยวพ่อด...” ก็คงแปลว่าเปรตที่เป็นเด็ก ก็คงอาจจะมีบ้างก็ได้กระมังครับ
    เริ่มเรื่องก็คือว่า ที่ตำบลดงประคำอำเภอพรมพิราม จังหวัดพิษณุโลกโน่น มีหญิงผู้หนึ่งลูกผู้มีอันจะกิน มีหน้ามีตาในอำเภอได้ล้มป่วยลง มีอาการละเมอเพ้อเหมือนคนเสียสติคำละเมอที่กล่าวออกมามีคำเดียวคือ “ขอข้าหน่อย..ขอข้าหน่อย” พอสักครู่ก็ชักดิ้นชักงอ หมดสติไป ครู่ใหญ่ พอตื่นขึ้นมารู้สึกตัวก็เหมือนคนปกติ พูดจา เดินเหิน ทำอะไรๆ ได้เหมือนคนดีๆ ทุกอย่าง
    ที่แปลกก็คือ อาการจะเกิดขึ้นในวันพระหรือวันโกน ตอนข้างแรมเริ่มตั้งแต่แรม 7 ค่ำ 8 ค่ำ ไปจนถึงแรม 14 ค่ำ 15 ค่ำ พอข้างขึ้น อาการต่างๆจะไม่มี
    ทั้งนี้ยังแปลกยิ่งไปกว่านั้นอีกสามีของสตรีก็เกิดอาการโรคติดต่อเหมือนกัน คือพอข้างแรมแก่ๆ ก็จะมีอาการไม่รู้ตัว สติเลื่อนลอยไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ว่าตัวนี่อยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ จหน้าตาใครต่อใครไม่ได้แม้แต่ลูกเมีย ปากก็พูดเหมือนกับภรรยาว่า “ขอข้ามั่งซิ...ขอข้ามั่งซิ...” แล้วก็ล้มตัวลงนอน หมดสติหลับไป พอฟื้นขึ้นมาก็รู้สึกตัวเป็นปกติ
    ทีแรกคนทั่วๆ ไปก็นึกว่าล้อเล่นหรือแกล้ง ทีนี้เป็นถี่ขึ้นๆ คนก็สงสัยว่าจะเป็นจริง คงป่วยด้วยโรคอะไรชนิดหนึ่ง หมอชาวบ้านโบราณๆ ว่าเห็นจะเป็นเพราะ ปอบ หรือ ถูกคุณไสย
    ญาติพี่น้องได้พา สองสามีภรรยาไป รักษาในที่ต่าง ๆ หมดค่ารักษาไปแยะ อาการไม่หายสนิท อยู่ๆ ก็เป็นอีก อยู่ๆ ก็หาย เป็นอยู่อย่างนี้เป็นปี บทดีก็ดี ทำมาหากินเหมือนคนปกติ ไปวัดไปวาทำบุญสุนทาน ตามที่เคยปฏิบัติไม่ได้ขาด
    มิช้ามินาน ลูกชายคนโตซึ่งย่างเข้าวัยหนุ่มแล้ว ก็เกิดอาการแบบนี้อีกคน อยู่ๆ ก็ไม่รู้ตัว ออกเดินไปไหนไกลๆ โดยไม่รู้ตัวว่าทำอะไร ตอนเป็นจะพูดจาไม่รู้เรื่องเอาเลย ไม่รู้วัน ไม่รู้เวลา ไม่รู้สถานที่เอาเฉยๆ สามารถทำอะไรแปลกๆ โดยไม่มีจิตสำนึกแต่พอเป็นได้สัก 1 ชั่วโมงเศษๆ ก็ล้มลงหลับไป พอตื่นขึ้นมารู้ตัว ก็จะถามว่า มาทำอะไรกันที่นี่มากมายบ้าง ใครพาฉันมานี่ นี่มันวัดโพธิ์นี่ อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็กลับคืนเป็นปกติ
    ระหว่างที่ไม่รู้ตัวนั้น ก็จะ “ขอให้ตา ขอให้ยายหน่อย” บางทีก็ “ขอตา ขอยายเถอะ” หมอผีชาวบ้านก็ว่าปอบเข้าอีก ทีนี้ก็เอาข้าวสารเสกมาซัด เอาหวายลงอาคมมาเฆี่ยนไปตามตัวเพื่อไล่ปอบ ตัวก็เป็นรอยถูกเฆี่ยนไปทั่ว เป็นที่น่าเวทนา อย่างน้อยเดือนหนึ่งก็ถูกเฆียน 2 หน ก็เฆี่ยนหนักอยู่ตอนที่ว่าผีเข้านั่นแหละครับ
    เมื่อคนทั้งบ้านต่างก็มีอาการอย่างเดียวกัน ชาวบ้านแถบนั้นก็เลยเรียกบ้านผู้นี้ว่า บ้านผีปอบ
    ในกาลต่อมา มีพุทธมามกะศรัทธาเอาผ้าป่าไปทอดที่วัดพรหมพิราม เป็นที่สนุกสนานเริงรื่นอิ่มบุญกันถ้วนหน้า ขณะที่รับประทานอาหารกลางวันกันอยู่นั้น ได้ยินเสียงตวาดเสียงร้องโหยหวนเหมือนเสียงของคนที่เจ็บปวดแสนสาหัส ได้ยินกันอยู่นาน ก็เลยถามกันว่า “นั่นเสียงอะไร...ใครทำอะไร?” ชาวบ้านแถบนั้นตลอดจนมัคนายก ก็เล่าให้ท่านที่ไปทำบุญฟังว่า
    นั่นเป็นเสียงของการไล่ผีปอบที่ร้องโหยหวน นั่นเป็นเสียงของคนที่ผีปอบเข้าแล้วถูกเฆี่ยน ที่เฆี่ยนตีกันอยู่นานนั้น เพราะผีปอบนี่ดื้อ ไม่กลัวคาถาอาคม กว่าจะออกได้ คนที่ถูกเข้าก็เป็นลมสลบไป ผีจึงจะออกก็เลยโจษจันกันขึ้น
    มีคนหนึ่งชื่อ คุณนายส้มเกลี้ยง ที่ร่วมขบวนมา คุณนายส้มเกลี้ยงนี่เป็นคนใจบุญสุนทานเอามากๆ ที่ไหนมีวานบุญที่นั่นต้องมีคุณนายส้มเกลี้ยง เป็นประจำ บ้านคุณนายส้มเกลี้ยงอยู่แถวๆ ซังฮี้ ใกล้วัดส้มเกลี้ยง ชื่อเดียวกันกับท่าน ซึ่งเดี๋ยวนี้มีวัดอยู่สร้างขึ้นในสมัยกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เปลี่ยนชื่อว่า วัดราชผาติการาม เพราะท่านทำผาติกรามเอาที่ดินวัดมา จึงซื้อที่ดินถวายวัดแล้วสร้างวัดใหม่แทนขึ้น ก็อยู่ที่สะพานกรุงธนฯ เดี๋ยวนี้นั่นแหละครับ
    คุณนายส้มเกลี้ยง นี่ ท่านเป็นภรรยา ท่านขุนพิทักษ์เท่าที่ผมจำได้กไม่ทราบว่าราชทินนามเต็มของท่านคืออะไร แต่ท่านทำงานอยู่ในกองอากรหลวงที่โรงหวยโน่น มีหน้าที่เก็บอากร บ่อนเบี้ย หวย การพนันต่างๆ ส่งท้องพระคลัง อาจจะเป็นพิทักษ์ราชากรก็ได้ เพราะมันนานเต็มทีแล้ว เอาเป็นว่า คุณนายส้มเกลี้ยงเกิดเวทนาจับใจจึงลุกออกเดินไปดูพร้อมกับท่านผู้ใจบุญทั้งหลาย ซึ่งบางท่านก็อาจจะไปดูปอบว่าหน้าตาเป็นอย่างไรบัางกได้
    พอเดินไปถึงบ้าน ซึ่งไม่ห่างจากวัดนัก ก็แลเห็นเด็กผู้หนึ่งอายุประมาณ 15-16 ปี เป็นเด็กชาย หน้าตาสะอาดหมดจด ถูกมัดมือโยงอยู่แล้วมีชายสูงอายุคนหนื่ง ยืนถือหวายเฆี่ยนเด็กชายผู้นั้นอยู่ ข้างหน้าชายผู้นั้นมีบาตรน้ำมนต์ มีหัวกะโหลกคนเก่าๆ วางอยู่มีธูป เทียน จุดไว้ปากก็ว่าคาถาพอว่าจบก็เอาหวายจุ่มน้ำมนต์เฆี่ยนลงไปๆ อย่างสุดแรงเกิด ปากก็พูดว่า “อัปเปหิ มึงจะไปหรือไม่ไป ไม่ไปกูจะเฆี่ยนให้ตาย” แล้วก็เฆี่ยนลงไปอีกไม่มีการหยุดพัก
    คุณนายส้มเกลี้ยงเห็นดังนั้น ก็สลดใจ ขอร้องให้หยุดการเฆี่ยนตีไว้ก่อนแล้วเอาเงิน 1 บาท วางไว้บูชาครู ผี ให้หยุดเฆี่ยน หยุดตี
    อย่าลืมว่า ในสมัยหนึ่ง สมัยรัชกาล ที่ 4 เงินบาทหนึ่ง มันมีค่ายิ่งกว่าเงิน 30 บาทในปัจจุบัน เพราะเงิน 1 บาท จะซื้อก๋วยเตี๋ยวกินได้อย่างน้อยที่สุด 33 ชาม ก็ราคาก๋วยเตี้ยวในสมัยนั้น ชามละ 3 สตางค์เท่านั้น ถ้าใครสั่งซื้อก๋วยเตี๋ยวชามละ 5 สตางค์ ก็เป็นอันเข้าใจว่า ผู้นั้นเป็นอาเสี่ยหรือเศรษฐี
    พอหมอผีเห็นเงิน 1 บาท ค่าบูชาครู ก็หยุดเฆี่ยนทันที นั่งลงกราบแปลกๆ แล้วตะครุบเงินบาทนั้นใล่กระเป๋า
    คุณนายส้มเกลี้ยงก็ถามว่า “พ่อหมอมาเฆี่ยนเขาเรื่องอะไร เขาทำอะไรผิดจ๊ะ”
    พ่อหมอผีก็เล่าให้ฟังว่า “เด็กคนนี้ลูกทิดมี อำแดงอุ่ม มันถูกผีปอบเข้าเวลาผีเข้ามันไม่รู้ตัว ทำอะไรได้แปลกๆ ตามวิสัยผี ก็ต้องไล่ผีออก ทีนี้ผีมันสู้คาถาอาคม ต้องเฆี่ยนด้วยหวายเสกคาถานี่ แล้วเอาน้ำมนต์นี่ราดลงไป ยังงั้นมันยังไม่ออกเลย เสียงที่ร้องตอนถูกไล่ ไม่ใช่เสียงเด็กนี่หรอกคุณนาย มันเป็นเสียงผีที่ร้องตอนถูกไล่ มันกำลังสู้กับพระเวทจ้ะ”
    ฝ่ายเด็กก็ร้องว่า “ป้าช่วยหนูด้วยหนูถูกเฆี่ยนไม่รู้ว่าเท่าไหร่ๆ แล้ว เจ็บจนจะตายแล้ว หนูไม่ได้เป็นอะไร หนูเจ็บ ช่วยหนูด้วย”
    คุณนายส้มเกลี้ยงและคณะ ก็ถามหาทิดมีและนางอุ่ม ซึ่งหมอผีก็ว่า “ถูกผีปอบเข้าเหมือนกัน แต่ตอนนี้ออกแล้ว”
    ทิดมีและอำแดงอุ่มก็ออกมาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ๆ คุณนายและคณะฟังและเสริมว่า “ชาวบ้านแถบนี้เขาว่าผีปอบมันกินฉันทั้งบ้านแหละ”
    คณะทำบุญได้ฟังหมดแล้วก็หดหู่หัวใจในความเชื่อถือของชาวบ้านต่างก็หันหน้าเข้า ปรึกษากัน แล้วสรุปว่าทั้ง 3 คนนี้คงป่วยด้วยโรคใดโรคหนึ่งที่หมอพื้นบ้านไม่รู้ ประกอบกับการเชื่อถือผียังมีอยู่ ก็เลยทำการอันแสนจะทารุณอย่างนี้ ทิดมีและอำแดงอุ่มก็โดนแบบนี้หมือนกัน แต่ไม่ทารุณเท่า เพราะเฆี่ยนได้สามสี่ที แกก็เป็นลมแน่นิ่งไปแล้วด้วยความเจ็บปวด หมอผีกลัวคนที่ถูกเฆี่ยนจะตายก็หยุดพอหยุดแกก็รู้สึกตัว หลังจากที่หลับด้วยความอ่อนเพลียทีนี้ลูกชายแกเป็นเด็กชายวัยรุ่น ร่างกายกำยำกว่าจะสลบก็นานหน่อย เฆี่ยนๆ ไป หมอผีเหนื่อย เป็นลมไปเองก็มี
    เมือคณะศรัทธา ที่ไปทำบุญหันหน้าเข้าปรึกษากันแล้ว ในที่สุดก็เห็นว่า จะต้องนิมนต์หลวงพ่อขึ้นไปที่ดงประคำ เพื่อช่วยเหลือ ครอบครัวเคราะห์ร้ายทั้งสามนี้
    เมื่อเสร็จการบุญการกุศลแล้วคณะศรัทธาเดินทางกลับ โดยรถไฟ เพราะสมัยนั้นยังไม่มีทางรถยนต์ พอถึงอยุธยา คุณนายส้มเกลี้ยงและคณะก็เรี่ยไรเงินจำนวนหนึ่ง ถวายหลวงพ่อเพื่อร่วมกุศลในการไถ่ชีวิตที่จะถูกฆ่ากับหลวงพ่อ พอดีถึงสถานีก็พบ ไชโย ลูกศิษย์เอกของหลวงพ่อ คุณนายส้มเกลื้ยง ซึ่งรู้จักกับไชโยดีอยู่แล้ว เพราะมาวัดนี้เป็นประจำ โดยหลวงพ่อได้รักษาลูกของคุณนายที่ป่วยด้วยโรควัณโรคหาย จึงมีจิตศรัทธาอุปถัมภ์อุปฐากวัดตลอดมา
    คุณนายส้มเกลี้ยงถามไชโยว่า “พ่อไชโยมาทำไมที่นี่ หลวงพ่ออยู่หรือเปล่า ?”
    คณะที่ไปกับคุณนายส้มเกลี้ยงก็คอยฟังอยู่ ไชโยตอบว่า “หลวงพ่อให้มารับคุณนายและท่านที่ไปทอดผ้าป่ากลับมาครับ ผมเตรียมรถสามล้อไว้แล้ว 15 คน เชิญคุณนายไปวัดได้ หลวงพ่ออยู่ และให้ผมมารับครับ
    ความงุนงงบังเกิดแก่คณะผ้าป่าอย่างเหลือหลาย หลวงพ่อมารับ ท่านรู้อย่างไร ? เป็นคำถามที่เกิดขึ้นในใจของทุกคน...และแล้วคณะผ้าป่าก็ขึ้นสามล้อตรงไปที่วัดวงษ์ฆ้องคลองเมืองทันที
    พอถึงท่าข้ามหน้าวัดก็ประหลาดใจอีก คือ มีเรือสำปั่น เรือข้ามฟากจอดคอยอยู่ร่วมสิบลำ พอคณะทอดผ้าป่าไปถึงพวกคนเรือก็ร้องบอกกันว่า “คุณนายมาแล้วๆ” ยิ่งทำให้เกิดความประหลาดใจแก่คณะศรัทธาที่ไปด้วยมากมาย ยกเว้นคุณนายส้มเกลี้ยงคนเดียว เพราะคุณนายส้มเกลี้ยงเคยรู้เคยเห็นแบบนี้บ่อยๆ ว่า หลวงพ่อมักจะทราบอะไรล่วงหนัาเสมอ
    พอทุกคนเข้าไปนั่งที่นอกชานหน้ากุฏิเรียบร้อยแล้ว ต่างก็กราบนมัสการหลวงพ่อด้วยความเคารพ คำแรกที่คุณนายถามไชโยก็คือ “ป้าแม้นล่ะป้าแม้นไปไหน?”
    “คุณยายแม้นเสียแล้วครับ เผาแล้วด้วย” เป็นคำตอบที่ทำให้คุณนายปลงอนิจจัง แล้ววไชโยและเพื่อนๆ ศิษย์วัดก็เอาน้ำชา หมากพลูมารับรอง
    สักครู่ คุณนายส้มเกลี้ยงก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อ เจ้าค่ะ พวกดิฉันไปทอดผ้าป่าวัดพรหมพิราม ที่ดงประคำ พิษณุโลก มา เจ้าคะ เอาบุญมาถวายหลวงพ่อด้วยเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านก็นั่งอมยิ้มอย่างเคยแล้วกล่าวว่า
    “การทอดผ้าป่า บำรุงพระศาสนาเป็นการบุญการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และสัตว์ ที่ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ให้พ้นทุกข์ เป็นบุญ”
    “หลวงพ่อเจ้าคะ ที่บ้านดงประคำวัดพรหมพิราม มีครอบครัวหนึ่งเคราะห์ร้าย ป่วยไข้เจ้าค่ะ เขาว่าผีเข้า หมอผีเฆี่ยนไล่ผี คนจะตายอยู่แล้ว อยากขออาราธนาให้หลวงพ่อช่วยสงเคราะห์ชีวิตเขาเหล่านั้น...ดิฉันจะเป็นภาระเองเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านตอบว่า “อาตมาทราบแล้ว ทราบก่อนที่คุณนายจะมาเสียอีก ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยสงเคราะห์ขีวิตคนที่ทุกข์ยาก อาตมา ตั้งใจจะช่วยให้พ้นทุกข์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่อาตมาจะไปที่อื่น”
    คำกล่าวของท่าน ทำให้คุณนายส้มเกลี้ยงสงลัย “หลวงพ่อจะไปไหนเจ้าคะ”
    “ก็ไปตามทางที่ควรจะไปน่ะซิ”
    “แล้วดิฉันจะตามไปทำบุญได้อีกไหมเจ้าคะ”
    “คุณนายก็คงจะต้องตามไปทีหลังไอ้บุญน่ะอยู่ที่ใจ ทำเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”่
    คำตอบของหลวงพ่อเป็นปริศนาแต่ตอนนั้นไม่มีใครคิด ไม่ตีความว่านั่นคือเป็นการสงเคราะห์สัตว์ผู้เกิดร่วมเจ็บร่วมตายของท่าน ก่อนที่ท่านจะละสังขารนี้ของท่านไป
    จากนั้นท่านก็เรียกเทียน 1 เล่ม และนำบาตรน้ำมนต์ของท่านมาจุดเทียนแล้วปักไว้ที่ขอบบาตรอย่างเคย ท่านนั่งหลับตาสงบอยู่ครู่หนึ่ง เทียนที่ปักไว้ค่อยๆ อ่อนลงๆ แล้วโค้งเป็นรูปสายยูน้ำตาเทียนหยดลงไปในบาตรน้ำมนต์หยดแล้ว...หยดเล่า สักครู่หนึ่ง ท่านก็สวด ยังกิญจิ กุสะละธัมมัง ด้วยเสียงที่ฟังพอได้ยิน ท่านภาวนาอยู่อย่างนั้น จนเทียนโค้งหล่นลงไปในบาตรน้ำมนต์แล้วท่านก็ลืมตาขึ้น
    “ไม่มีอะไรหรอกคุณนาย ไม่ต้องกินหยูกกินยารักษาอะไรหรอกเป็นเพียงเปรตญาติผู้ใหญ่ ของพวกเขามาขอส่วนบุญส่วนกุศลน่ะ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขา ก็หมดเรื่อง”
    ทุกคนในขบวนขนลุก พนมมือกราบ แล้วคุณนายส้มเกลี้ยงก็ถามด้วยความสงสัยว่า
    “หลวงพ่อเจ้าคะ เปรตนี่มีจริงหรือเจ้าคะ”
    หลวงพ่อท่านตอบว่า “เปรตนี่มีจริงมี 2 พวก”
    “ดิฉันไม่เคยเห็นเจ้าค่ะ หลวงพ่อกรุณาเล่าให้พวกดิฉันฟังหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
    หลวงพ่อท่านได้เมตตาอธิบายให้ฟังดังนี้
    “เปรตพวกแรกเป็นเปรตอยู่ในโลกมนุษย์นี่เองคือมนุษย์นี่มี 4 พวก พวกแรก คือที่เรียกกันว่า มนุสละมนุสโส...พวกนี้เป็นคนธรรมดา ไม่ได้ทำชั่วร้ายยอะไรมากมาย ไม่ดีจนหมดกิเลสล ก็เหมือนอย่างเราๆ ทำดีบ้าง ทำไม่ดีบ้าง คละกันไป ไม่ประกอบกรรมดีวิเศษมาก ไม่ประกอบความชั่วมาก แปลว่าชั่วก็มี ดีก็ปรากฎ กิเลสยังไม่หมด แต่ก็ไม่เลวร้าย
    อีกพวกหนึ่ง มนุสเทโว มนุษย์พวกนี้เหมือนเทพยดา คือมี เมตตา กรุณา ไม่ทำบาปทำกรรม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ทำบุญสุนทาน มีพรหมวิหาร ดำรงชีพด้วยศีล ด้วยธรรม ก็เหมือนกับเทพยดาในโลกมนุษย์อย่างนั้น พวกนี้มีไม่น้อย และมีแต่ความสุขความเจริญ
    อีกพวกหนึ่งก็คือ มนุษย์เดียรัจฉานพวกนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ใจเหมือนสัตว์ประพฤติตนเยี่ยงสัตว์ ประพฤติตนในทางอบาย กีดกันความเจริญศีลทั้ง 5 ข้อไม่มีเหลือ ที่จริงสัตว์ยังดีกว่า เพราะมันไม่พูด เลยไม่มีโอกาสผิดข้อมุสา สัตว์ไม่ดื่มเครื่องมึนเมาอันนำไปหาความประมาท มันเลยไม่ผิดศีลข้อมุสาเมระยะ ตกลงสัตว์อาจดีกว่า
    แต่มนุษย์พวกนี้แก่งแย่งกัน วิวาทกัน ผิดลูกผิดเมียกัน ลักอาหารขโมยกันกิน อทินนาทานทุกอย่าง รวมทั้งฆ่าสัตว์ตัดชีวิตวิวาท บาดถลุง ศีลข้อปาณาฯ ก็ไม่เหลือ สติไม่มี เพราะประมาทด้วยการเสพของมึนเมา สิ่งเสพติดทุกอย่าง ความคิด ความอ่าน ความประพฤติไม่ผิดอะไรกับสัตว์ แถมยังเลวกว่าสัตว์เสียอีก ทางไปของพวกนี้มีทางเดียว เมื่อทิ้งสังขารอันแสนจะชั่วในชาตินี้แล้ว ก็หนีนรก และอบายคือเกิดมาเป็นสัตว์ให้เขาใช้งาน ให้เขาฆ่ากิน ดำรงชีพด้วยความทุกข์ หนีไม่พ้น
    </TD></TR><TR><TD align=center>[​IMG] หน้าก่อน (35/38) [​IMG] หน้าถัดไป (37/38) [​IMG]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. yaka

    yaka เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2010
    โพสต์:
    647
    ค่าพลัง:
    +1,384
    เข้ามาโมทนาก่อนแล้วจะอ่านค่ะ....ขอ Coppy ไว้อ่านนะค่ะแบบว่าชอบอ่านเรื่องแบบนี้แต่ไม่มีเวลามาก ..
     
  14. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031

    ขออนุโมทนาสาธุครับ...คิดอยู่เหมือนกันว่าจะพิมพ์เป็นหนังสือไว้แจกฟรีครับ
     
  15. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031

    อนุโมทนาสาธุเช่นกันครับ...
     
  16. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    หนังสือที่ผมได้รับมาอีกเล่มหนึ่งครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. Aek9549

    Aek9549 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    811
    ค่าพลัง:
    +1,031
    ปกด้านในครับ...รูปหลวงพ่ออ่ำ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...