คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ประสบการณ์พระพุทโธน้อยและของอธิษฐาน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย st-antique, 27 เมษายน 2012.

  1. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    เทปบรรยายธรรม โดยหลวงพ่อสุวรรณ ปภัสสโร วัดอาวุธฯ
    เมื่อ 12 สิงหาคม 2531

    เรื่อง "พระธาตุคุณแม่ฯ"


    ก่อนคุณแม่จะนิพพานสักเดือนกว่า ฉันไปที่บ้าน ท่านเล่าให้ฟังว่าถ้าแม่ตายให้เอาแม่ไปเผาที่วัดธาตุทอง เผาให้ไฟแรง ธาตุพระอรหันต์ก็จะมีมาก ให้แบ่งกันไปบูชา ท่านไม่ได้ให้มาเก็บไว้คนเดียว ท่านให้แบ่งกัน เรื่องพระธาตุไม่ค่อยมีคนรู้ ท่านเล่าให้แต่เราฟังคนเดียว ถามคนอื่นๆก็ไม่รู้ วันเผาท่านพระครูทำถาดรองใต้เตาเผาไปให้ หนก่อนมีพระอีกองค์ชื่อหลวงพ่อปล้อง เคยบอกว่า พระพุทธเจ้านี่ทำไมเขาถึงเอาผ้าขาวพันท่านตั้ง 500 ชั้น เพราะเขาต้องการพระธาตุ เขากลัวว่าพระธาตุจะตกไปอยู่ที่อื่นถึงต้องเอาผ้าขาวรองไว้ 500 ชั้น ธาตุของพระพุทธเจ้าจะได้อยู่บนเถ้าผ้าขาวนั่น เมื่อเผาคุณแม่ ฉันไปซื้อผ้าลินินยางสีเขียวที่ท้องสนามหลวงไว้ 2 ไม้ เอาไปสับไว้ในถาด สับไปสับมา ปูจนหมด 2 ไม้ เอาน้ำอบน้ำหอมไปวาง หาดอกไม้ ดอกพิกุล มะลิสดๆ ฯลฯ ไปใส่แล้ว เอาน้ำหอมไปพรมใส่จนเต็มฟูถาดเลย เวลาเผานี่หยดเหมือนดอกไม้เพลิงในงานศพ วูบๆๆๆ ตกลงมา โดนกระจายเหมือนน้ำหยดลงมากระทบอะไรแล้วกระจายเป็นเม็ดเล็กๆ ที่กระจายนั้นกลายเป็นทรงกลมๆ ที่อาจารย์สนองไปโชว์ที่พุทธมณฑล ไปโชว์ท้องสนามหลวง ที่ไหนๆนั้นก็ของคุณแม่บุญเรือน ท่านมาเอาจากที่นี่ ที่วัดเขาดีก็ของคุณแม่ คนมาขอกันไปหลายแห่ง คนอื่นไม่รู้เรื่องพระธาตุนี่หรอก เคยถามหลายคนเช่น หมอปรีดา พลโทยุทธ ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยพูดให้เขาฟัง เราเอามาเก็บไว้เยอะแยะ ได้มาตอนหลัง มีคนหนึ่งเขาเอาชื่อคุณหญิงหรือคุณนายแกมแก้ว เขาเอาไปรักษาไว้ ลูกของเขาไปอยู่โรงเรียนคริสต์ ไม่อยากให้เก็บไว้ อยากให้เอาไปลอยน้ำ คุณหญิงนี่เห็นว่าลูกเค้าไม่เอาก็จะเอาไปให้คนอื่นเก็บไว้ เลยเอามาให้โยมเจริญเก็บไว้ โยมเจริญแกยกมาให้ฉัน ฉันเลยเอามาเก็บ เอามาใส่บรรจุพระพุทโธเล็กๆ เมื่อแรกโยมเจริญยกพระพุทโธเล็กมาจากบ้านแม่ ว่าแม่ล่วงลับไปแล้ว มีประมาณสัก 600ได้ เราก็บรรจุ เอาเหล็กเจาะตรงท้องท่านแล้วเอาพระธาตุใส่ เอากาวปิด โอ้โฮ ตอนนั้นเราแย่เลย ท้องเสียดเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร ทำยังไงก็ไม่หาย เอาคนมาบีบก็ไม่หาย ไปซื้อหยูกยามากินก็ไม่หาย นึกไปนึกมาหรือเรานี่เอาเหล็กไปเจาะท้องพระพุทโธ ก็เลยเอาพระพุทโธใส่พานไว้ แล้วขอขมาเสีย ที่ว่าทำไปนี่ไม่ใช่ด้วยประมาท แต่ทำเพื่อส่วนรวม จะเอาไปแจกที่เขาค้อ ให้พระธาตุคุณแม่ช่วยไปปราบคอมมิวนิสต์ที่เขาค้อด้วยให้มันเลิกรากันเสีย ไม่ได้ประมาท ขอให้หายเถอะ พอมืดก็หายเลย สว่างก็เป็นธรรมดา
    นี่.. ไปเจาะท้องท่านเข้า
     
  2. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    เทปบรรยายธรรม โดยหลวงพ่อสุวรรณ ปภัสสโร วัดอาวุธฯ
    เมื่อ 26 สิงหาคม 2531

    เรื่อง "การอธิษฐานธรรมของคุณแม่บุญเรือน"


    ของคุณแม่บุญเรือนคำว่าปลุกเสกไม่มี ท่านเอาสัจจะอธิษฐาน เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ หลวงปู่บุดดาเล่าให้ฟังถึงอิทธิฤทธิ์ของมนุษย์ เรียกว่าอิทธิฤทธิ์ของโลกีย์ ถ้าอย่างคุณแม่เป็นอิทธิฤทธิ์ของโลกุตตระเพราะท่านได้สำเร็จ พอท่านทำฌาน ท่านว่ามันแว๊บเดียวเท่านั้นเป็นอิทธิฤทธิ์เลย ท่านจะอธิษฐานเลย แม่ท่านเคยเล่าว่าตามธรรมดา ท่านจะอยู่ในจตุตฌาน 24 ชั่วโมงถ้าไม่มีธุระเรื่องราวอะไร พอเห็นแขกใครไปมาหาที่บ้านต้องการให้ช่วย เราก็อธิษฐานจิตออกจากจตุตฌานถอยออกมาปฐมฌาน ออกมา แล้วถามความประสงค์ว่ามาธุระอะไร ท่านว่าฤทธิ์มันติดมา แต่อยู่ในฌานจะอธิษฐานไม่ได้ ท่านว่าใจมันนิ่งเฉยมีแต่รู้เท่านั้น ท่านว่าอิทธิฤทธิ์และฌานมันอิงกัน ขณะที่เป็นฌานถ้านึกอะไรขึ้นมาจะเป็นฤทธิ์ขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าคนมาขอพระราชทานพรให้คุณแม่ช่วย ท่านไม่บอกว่าจะช่วยยังโง้นยังงี้
    ท่านช่วยเลย เวลาท่านออกจากฌานไป พูดว่าจนไม่ได้เด็ดขาด เช่นไปพูดว่าคุณแม่ครับ ผมจนแท้ กระโถนมีจะขว้างเลย ท่านว่าพอไปคิดว่าจนเท่านั้น จะจนกว่าเก่ามาก ฤทธิ์ไปทับอีกที คนไปหาไปพูดเรื่องดี พอเราคิดว่าเขาดีเท่านั้น เขาดีเลย ฤทธิ์เป็นพลัง คิดอะไรก็เป็นยังงั้น มันติดมาจากฌาณ...


    ถามท่านว่า เขาพูดกันว่าฆราวาสที่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ที่ไม่ได้ห่มผ้าเหลืองมีชีวิตอยู่ได้ 7 วันก็ตาย แม่ท่านบอกว่าความเป็นจริงภูมินิโรธที่ดับสนิทจริงๆจะอยู่ได้แค่ 7 วัน เวลาทำนิโรธ 7 วันน้ำข้าวไม่ทาน อุจจาระ ปัสสาวะไม่มี อยู่เฉยๆ พอครบ 7 วัน อาหารเลี้ยงชีพไม่มี น้ำท่าเหือดแห้ง พอครบ 7 วันต้องออกนิโรธ ท่านว่าภูมิพระอรหันต์แค่นั้น แต่ท่านว่าเวลาเป็นนิโรธก็เป็นภูมิพระอรหันต์ พอเห็นคนเข้ามาต้องการช่วยเหลือเขาก็อธิษฐานจิตไปอยู่ในภูมิพระอนาคา ท่านว่าจิตมันย้ายได้ อยู่ในภูมิพระอรหันต์ก็ได้ แต่อยู่ในภูมิพระอรหันต์อยู่ในภูมินิโรธนี่มันไม่ช่วยใครหรอก ท่านว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็เช่นกัน เวลาท่านจะแสดงธรรมโปรดใคร ท่านก็อธิษฐานจิตไปอยู่ภูมิพระอนาคา ท่านว่าภูมิพระอนาคามีธรรมอยู่ 4 อย่าง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มันสงสารคน มันช่วยคน ท่านว่าพระอรหันต์ถ้าอยู่ในภูมินิโรธนั้น ในนั้นไม่มีอะไรเลย ไม่มีสงสาร ไม่มีอะไรทั้งนั้น เป็นภูมิที่ดับสนิท เฉย...มีแต่รู้อยู่เท่านั้นเอง พอมาช่วยคนเสร็จธุระบอกให้คนไป ก็อธิษฐานจิตเข้าสู่ภูมินิโรธเป็นพระอรหันต์อีก ท่านว่าฆราวาสเป็นพระอรหันต์อยู่ได้แค่ 7 วัน ท่านบอกว่าพระและฆราวาสก็เหมือนกัน

    แม่อธิษฐานของ ท่านเอาภูมิพระอรหันต์มาเป็นเครื่องหมายว่า ... ข้าพเจ้าสมมุตินามว่า นางบุญเรือน โตงบุญเติม ขอตั้งสัตตยาอธิษฐานว่า คนทั้งโลกนี้ ท่านไม่มีรักใครชังใคร(คนที่ไม่รักไม่ชังใครก็มีแต่ภูมิพระอรหันต์เท่านั้นเอง ความรักความชังไม่มี แม้แต้ข้าวของก็เหมือนกัน เช่นกระดาษอย่างนี้เกลียด อย่างนี้อยากได้ ก็ไม่มี พอเห็นเข้าก็รู้เท่านั้นเอง มันเฉยๆ ชอบ ไม่ชอบ ก็ไม่มี) ท่านเอาสัจจะอันนี้.. ด้วยการที่ข้าพเจ้ากล่าววาจาสัตย์นี้ ขอให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ให้เป็นยารักษาโรค...ก็อธิษฐานแค่นั้น ของคุณแม่ฯท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พออธิษฐานเสร็จก็เป็นอย่างนั้น
     
  3. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    เทปบรรยายธรรม โดยหลวงพ่อสุวรรณ ปภัสสโร วัดอาวุธฯ
    เมื่อ 26 สิงหาคม 2531

    เรื่อง "การเจาะของ"




    ท่านว่า ถ้าคนที่เอาไป ไปเจาะของ คล้ายๆกับว่าไม่เชื่อ เขาเรียกว่าการเจาะ เช่น อธิษฐานน้ำให้ไปทาน แต่คุณไปเจาะเอง ... ไม่จริงหรอก น้ำอธิษฐานอะไร... ท่านว่าเอาไปกินไปใช้ก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน ท่านว่ามันไปเจาะตัวเอง ถ้าคุณถือว่าที่ท่านอธิษฐานให้ต้องจริงอย่างที่อธิษฐาน กินเข้าไปโรคต้องหายไป กินเข้าไปก็หายจริง เหมือนกับพระสงฆ์องค์เจ้า ถ้าเราไปเจาะว่าไม่จริงหรอก ก็เป็นการไปเจาะของเขา เหมือนพระ เราเอาไปแต่เราเป็นคนเจาะ ก็ไม่ได้ผลเฉพาะเรา ของสิ่งนี้ไปอยู่กับคนอื่น เขาไม่เจาะก็ไปเกิดผลทางโน้น มันอยู่ที่เจาะหรือไม่เจาะเท่านั้นเอง.........ศรัทธา

    ถ้าเราเกิดเจาะไปแล้วกลับมาเลื่อมใส ถ้าเราเลิกเจาะคือยอมรับผิดที่ทำไป ขอขมาก็คล้ายๆบอกตัวเองคราวที่แล้วเราเป็นคนโง่คนหลง ไม่รู้เรื่องรู้ราว ขอขมาที่เจาะ ที่พูดไปพูดด้วยความโง่ความหลงจริงๆ แต่ว่าของนี่จริง เดี๋ยวนี้ไม่พูดแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่เจาะ

    มันแล้วแต่ใจเรา ทีแรกมันไม่รับแต่ทีนี้มันรับ ว่างั้นเถอะ มันไม่ได้เสียหายอะไร เหมือนตนเจอพระอรหันต์แล้วไปทำประมาทกับท่านไว้ วันหลังเรารู้ว่าเราพูดไปวันนั้นไม่ดีแน่ เราก็คล้ายๆกับ กาเยนะ วาจายะวะเจจะสาวานิ อุกัมมัง ปะกะตัง มะยายัง พุทโธปฏิคันหาตุ อัจจะยันตัง จารันตะเร สังวาริธู พุทเธ จะขอขมา ขอขมาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ก็เป็นอันว่าโทษเก่าหายไปหมด ไม่มีละ

    เวลาท่านพูดอะไร อย่างเช่น จุดเทียน ท่านว่าไปเถอะ ลมไม่มี ถือไปเทียนจะไม่ดับ ลมมันมีที่อื่น แต่ไม่พัดที่เทียน เหมือนไม่มีลม ถ้าลมพัดเราไปคิดว่านี่ลมพัดนี่ ท่านว่าไม่มีเป็นไปได้ยังไงก็เอามือประคอง พอท่านเหลียวไปเห็น ลมหนักกว่าเก่าอีก ที่อื่นไม่มีอาจพัดที่เทียนดับเลยก็ได้ ก็ว่าไม่มีมันยังไปบัง ลมอะไรของมัน พอคิดเท่านั้นลมมันจะไปพัดที่เทียนนั่นเลย อันนี้ที่ไปที่วัดท่าผา ท่านเล่าเรื่องที่วัดท่าผาให้ฟัง ถ้าไม่มีเหตุท่านไม่มานั่งเล่าอย่างพวกเรา ต้องมีเหตุอะไรท่านจึงเล่า ถ้าอยู่เฉยๆท่านไม่เก็บเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาเล่า เรื่องต้องเกิดปัจจุบัน วันนั้นจุดเทียนขึ้นบูชาพระ ใครก็ไม่รู้อยากเอาหน้าว่าฉลาด พอจุดเทียนก็มีลมข้างๆฉิวๆ แต่ดูลักษณะแล้วลมมันจะพัดแรงกว่านี้ คล้ายๆท้องฟ้าเขียวๆจะมีพายุ เอาไฟจุดแม่ท่านก็ว่ายกไปเถอะลมไม่มีหรอก คนหนึ่งไปคว้าร่มได้ก็เอาร่มบัง พอร่มบังเท่านั้น โอย เกิดลมพายุกิ่งโผงอ่อนม้วนตูมๆพัดเทียนก็จะเกิดดับขึ้นมา ก็ไปตั้งเอาร่มกางเทียนก็พรึบๆๆ ก็เป็นอันว่าตั้งไว้ไม่ดับ จวนๆจะดับ แม่ท่านพอมาที่บ้านท่านก็ถามว่าวันนั้นใครเอาร่มกั้นไฟ ตอบว่าไม่ทราบครับ ท่านบอกว่ามันไปทำอย่างงั้นซิ แม่บอกว่าไม่มีแล้วมันไปเอาร่มบังหมายถึงมีลม มันถึงได้เกิดลมพายุใหม่

    ฝนก็เหมือนกัน ท่านว่าไม่ตกหรอก ไปเถอะ ถึงมันลงเม็ดลงอะไร ไปฝนก็หาย เวลาท่านจะให้ฝนตก ท่านเอามีดมาฝนกับหิน นั่งตรงข้างๆกระได ถ้าหากแขกใครมาว่าคุณแม่ฝนมีดใหญ่เลยนะ ฝนใหญ่เชียวนะคุณแม่ เก็บอะไรต่ออะไร เดี้ยวฝนมาเลย

    ท่านว่าที่เป็นฤทธิ์นี้ มันคิดนิดเดียวเท่านั้น มันเป็นเลย คือฤทธิ์ไปติดกับจตุฌาน แต่ตอนอยู่ที่ฌานมันคิดอะไรไม่ได้ ต้องถอยออกมานอกฌานถึงจะคิดได้ เหมือนกับพระอรหันต์ เวลาท่านจะทำฤทธิ์หรือท่านจะอธิษฐาน ท่านต้องเข้าฌานก่อน เข้าเรื่อยไปถึงฌานตัวที่ 4 ไปต่อกับฤทธิ์แล้วท่านอธิษฐานจิตออกเลย แต่พวกมีวสีที่ชำนาญในการเข้าฌานนี้เร็วแว๊บเดียว วสีที่ชำนาญในการเข้าออก เข้าก็ชั่วขณะจิต พอเข้าไปตั้งในฌานตัวที่ 4 ก็ออกเลย
    ในตำราเขาเขียนไว้ว่าพญานาคมันขึ้นไปนั่งกับพระอรหันต์ ครุฑบินมาเห็นนาคอยู่ที่พระอรหันต์ นาคเป็นอาหารของครุฑ พอเห็นก็โถมจะเฉี่ยวเอานาคไปกิน ชั่วขณะที่ครุฑบินมา พระอรหันต์พอท่านเห็นแว๊บเดียว ท่านเข้าฌานเลย พอออกจากฌานครุฑยังลงมาไม่ถึงหลังนาค เกิดลมพายะขึ้น ปิ๊งเดียว ตีครุฑผละไป นี่คือความเร็วของจิต เข้าฌานออกฌานเสร็จก่อนชั่วนกบินได้....
     
  4. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    เทปบรรยายธรรม โดยหลวงพ่อสุวรรณ ปภัสสโร วัดอาวุธฯ
    เมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2532

    เรื่อง "การอธิษฐานศิลาน้ำ"


    ข้าพเจ้า.......เป็นผู้อธิษฐานธรรมะของพระพุทธเจ้า ขอธรรมะของพระพุทธเจ้า จงบันดาลให้น้ำนี้เป็นยาทิพย์ แล้วให้รักษาโรค แก้โรคได้ทุกชนิด ให้แนวชีวิตรุ่งโรจน์ ให้แนวชีวิตในครอบครัวรุ่งโรจน์ อายุยืนยาวนาน คือแนวชีวิตของเรามันเรื่องโลกีย์ ถ้าแนวชีวิตรุ่งโรจน์มันก็ดี ถ้าแนวชีวิตมันไม่รุ่งโรจน์มันไม่ดี ขอให้แนวชีวิตในครอบครัวมันรุ่งโรจน์ อายุยืนยาวนาน แม่นี้ทำของอธิษฐานศิลาน้ำนี่มีเจตน์จำนงมาก ต้องการให้ใช้เป็นยาอายุวัฒนะ เป็นแนวชีวิต เป็นอะไรๆไปรวมไว้ที่ศิลาน้ำเหนือนี่ เรียกศิลาเหนือ เช่นเราใส่วันนี้ พอรุ่งขึ้นก็เป็นน้ำอธิษฐานไปตลอด พอถึงวันเสาร์เราก็เติมลงไปอีกก็อธิษฐานไปอีก เป็นน้ำอธิษฐานตลอด ให้ครอบครัวใช้ร่วมกันได้ทั้งหมด

    "ศิลาน้ำ" นี้ ถ้าของคุณแม่บุญเรือนอธิษฐานจริงๆล้ำค่า คือของคุณแม่อธิษฐานมีความศักดิ์สิทธิ์เท่ากันหมด พระพุทโธเล็ก พระพุทโธใหญ่ ทางขาวและศิลาน้ำ ไฟก็ไม่ไหม้บ้านนะ เมื่อแรกมีเศรษฐีอยู่ท่าช้าง มากรุงเทพ ไม่รู้จักคุณแม่บุญเรือน พอเห็นคนมาหาคุณแม่บุญเรือน ก็ถามว่าไปไหนกันมา แกชื่อนายกวย บอกว่าไปบ้านคุณแม่บุญเรือน ได้อะไรบ้าง ได้ศิลาน้ำ เอ่ยปากขอ เขาให้มา 1 ก้อน ถามว่าคุ้มกันอะไรบ้าง ดี เอาไว้แช่น้ำอยู่บ้าน แกมียุ้งข้าวมาก ก็เอาไปตั้งที่ยุ้งข้าวเขา เขาไม่ได้กิน เอาไปใส่โหล มันอัศจรรย์จริงๆ
    ไฟไหม้ที่ท่าช้าง ร้านถ่ายรูปเขาเอาเงินประกันที่จอมพลสฤษฎิ์ ไปยิงคนเมา มันไหม้หมด ไม่ไหม้แต่บ้านนายกวย ยุ้งนายกวย ฉันอยู่ที่ท่าลาน คนหนึ่งมาขอ ฉันให้มันไป มันเอาไปใส่ไว้ในโหลตั้งไว้กับบ้าน ไปทำไร่ทุ่งเสือเต้น ไฟไหม้ดงหญ้าแห้งพอมาข้างบ้านมันดับหมด ไม่มีใครไปดับมันหรอก มันดับยังกับเชือกขึง พอคนนั้นมาบอก คนที่ทำไร่ในป่าดงหญ้า ก็ถึงคราวเดือน 6 เดือน 4 ไฟป่ามันไหม้ มาขอกันทั้งนั้น

    คราวหนึ่งเมื่อก่อนเขมร แม่ท่านแก้ ท่านว่าเมืองไทยไม่ต้องรบต้องรากัน ดุมีแต่ความสนุกสนานอยู่กันด้วยความเพลิดเพลินเหมือนดูละคร ก็เอาละครขึ้นไปเล่นบนบ้านท่านเลย ทีนี้ละครมันเล่นตัวพระเอกของละครมันมีอภินิหาริย์ เวลามันจะไปสู้รบกับใคร มันไปรบกับยักษ์ ยักษ์มันล้อมเข้ามา มันก็อธิษฐานจิตเข้าไปอยู่ในแก้ว ยักษ์มาก็ทำอะไรมันไม่ได้ เรียกว่าแก้วกันไฟ แม่ท่านว่า แก้วกันไฟของกู มึงเอาไหมละ ของกุก็มี แม่เยื้อนเป็นเจ้าโผอยู่เมืองเพชร เอาเจ้าค่ะ แม่ก็ให้ไปลูก บอกว่าของกูนี่กันไฟ ก็ถามท่านว่าต้องทำไง ท่านว่าไม่ต้องทำอะไร เอาไปเก็บไว้แล้วกัน กันไฟได้ แกก็เอาไปตั้งบนหิ้งพระ สัก 2 ปีได้ วันหนึ่งไม่รู้เรื่องอะไร กำลังนั่งคุยๆอยู่ แก้วนี้มันโดดออกมาจากที่บูชา หล่นลงไปกับพื้นแตกละเอียดหมด แม่เยื้อนเขาก็ว่า ที่ตลาดเมืองเพชรนี่ไฟจะไหม้นะ ทางโน้นเขาว่ายายเยื้อนนี่บ้า ไฟที่ไหนจะมาไหม้ คนโน้นว่าบ้า คนนี้ว่าบ้า คนไหนที่เชื่อยายเยื้อนก็ขนของของเขา พออีก 2 วันเท่านั้น ไฟนี้ไหม้ขนาดหนักเลย บ้านยายเยื้อนนี่ไม่ไหม้หรอก พวกที่เชื่อยายเยื้อนขนของของหนีนี่บ้านไหม้แต่ว่าของไม่ได้เสียหาย มันขนหนีออกหมด นี่แก้วกันไฟ แม่ท่านมีอะไรของท่านสำคัญ แปลกแต่ว่าจริง

    ศิลาน้ำนี่มีอยู่ว่าต้องกินต้องใช้น้ำที่ไหลจากกระแสศิลาน้ำนี่ คุณอธิษฐานเท่านั้น ถ้ามันมีที่รับแขกเราใส่น้ำไว้สักที่ เป็นคูเลอร์ก็ได้ อธิษฐานใครมากินน้ำกินท่า ขอให้ได้รับประโยชน์ในการแก้โรค แก้อะไร ใครกินเข้าไปที่มีผลประโยชน์แก่เรา ก็ขอให้เขามีเมตตาปรานีเราทุกๆคนแหละ

    แม่ท่านพูดว่าเหมือนกันนี่ เหมือนกันนะ เมื่อครั้งท่านอยู่เชียงใหม่ คุณหลวงมาพบคุณแม่ ขอให้ทำน้ำมันแก้โรคให้สักครั้ง แม่ท่านก็รีบจะทำให้ ถามว่าน้ำมันยานี้ต้องใช้อะไรบ้าง แม่ท่านบอกว่า พวกเครื่องเทศ กานพลู ลูกจันทรร์ ดอกจันทร์ ฯลฯ ถึงวันทำก็เอาน้ำมันมะพร้าวมา 1 ปี๊บ เครื่องเทศมาห่อใหญ่ มีผู้หญิงคนหนึ่งมาถามว่า

    ผู้หญิงคนนั้น: คุณแม่เจ้าคะ ทำอะไรเจ้าคะ
    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม: จะกวนน้ำมันให้คุณหลวงเขา
    ผู้หญิงคนนั้น: น้ำมันอะไรเจ้าคะ
    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม: น้ำมันยา
    ผู้หญิงคนนั้น: หนูไม่รู้นะ ถ้าหนูรู้ หนูก็อยากได้เหมือนกัน

    ท่านว่านี่ก็รู้แล้วไงละ เอาซี ที่นั่นมันไกลตลาดไม่รู้จะหาน้ำมันมะพร้าวที่ไหน ก็เอามะพร้าวตามบ้าน 4 ลูก เอามาปอกขูดทำกระทิเคี่ยว ได้น้ำมันสักถ้วยแกงได้ ถ้วยแกงเล็กๆ แม่ก็เอากระทะมาตั้ง 2 ลูก ของคุณหลวงใส่น้ำมันไปปี๊บ เครื่องยาเอามาก็ใส่ลงในกระทะของคุณหลวง ทางนี้ก็ตั้งกระทะเท่านั้น น้ำมันถ้วยแกงหนึ่ง คนนี้เห็นยาก็ว่าหนูเสียดายไม่ได้หาเครื่องยามา คุณแม่ว่าเหมือนกัน พอเอาน้ำมันใส่จุดไฟเสร็จ แม่ก็กวน พอกวนเสร็จเท่านั้น น้ำมันก็เท่ากัน 2 กระทะ น้ำมันถ้วยแกงกับน้ำมันปี๊บเครื่องยาที่ไม่มีก็มีเท่ากัน คนนั้นก็ถาม.. คุณแม่เจ้าคะ เครื่องยานี้มาได้ยังไง แม่ท่านก็ว่าที่แม่ว่าเหมือนกันไง ถ้าพูดว่าเหมือนกัน เกิดไม่เท่ากันแม่ก็พูดผิดนะซิ

    เราใช้พวกศิลาน้ำของแม่ ไปใช้ในครอบครัวนี่ เรื่องไม่ดีอย่าไปพูด เรื่องอัปมงคล เรื่องจน เรื่องไม่มีจะกิน อย่าพูดเป็นอันขาด ท่านว่าไม่ได้ อย่าไปพูดว่าหมู่นี้ฉันจนจริง มันจะมีใช้น้อยใช้มากเราก็ไม่พูดหรอก พูดแต่ว่ามีใช้ มีใช้สอยถมไป ท่านว่า คำว่าจนนี้หรือขายข้าวของไม่ดีนี้อย่าไปพูด มันเจาะของไม่ดี มันเป็นเสนียด ท่านอยู่นี่ใครไปบ้านไปบอกกับท่านว่าจนนี่ กระโถนมีขว้างหัวเลยนะ ท่านก็ว่าไม่แก้ก็ไม่ได้ มันไปพูดให้ท่านฟัง ท่านว่าไม่แก้นี่จนหนักกว่าเก่าอีก ต้องไล่ตัวจนออกอีก ท่านกระโถนไล่ตัวจน เช่นคนไปถามว่าขายของดีไหม.. ดีครับ ดีเจ้าค่ะคุณแม่ ท่านว่าไม่ต้องไปทำอะไรหรอก ไปพูดให้ท่านฟังแค่นั้น พอไปนึกว่ามันขายดี มันดีเรื่อย ถ้าไปพูดว่าไม่ดีเลย หมู่นี้ขายข้าวของไม่ดี ท่านมีอะไรต่ออะไร มีกระโถนท่านเหวี่ยงเลย แต่ว่าแม่มีเรื่องอัศจรรย์อย่าง ท่านทำอะไรใครนี่ไม่เจ็บ เมื่อแรก คุณหลวงท่านั่งขัดตะหมาดตรงข้างๆกระไดขึ้น คุณหลวงอะไรก็ไม่รู้ คุณหลวงนอกราชการ พอโผล่ขึ้นไปกระไดก็ว่า คุณแม่ครับ ช่วยผมทีเถอะครับ ผมจนแท้
    ว่างั้น แม่ว่ามันมาเหมาะกับลูกแป ปังเข้าหน้านี่กลิ้งลงกระได ตึ๊ก ๆ ๆ ๆ แม่ว่า ตำรวจ ๆ อยู่ที่ไหน จับคุณหลวงนี่ที บุกรุกคนแก่ว่างั้น คุณหลวงพอลุกได้วิ่ง พออีกสัก 2 วันมันมาอีก แม่ถามว่า ไง วันนั้นเจ็บไหมละ ไม่เจ็บหรอกครับ มันเหมือนกลิ้งไปบนฟูก ขั้นกระไดนิ่มๆ..ท่านบอกว่า แม่ทำอะไรนี่ ถ้าแม่นึกว่าไม่เจ็บ..ไม่เจ็บหรอก ท่านบอกว่า ถ้าไปนึกว่าเจ็บละก็.. เจ็บเจียนตายทีเดียว นี่ท่านเล่าให้ฟังเมื่อตอนท่านจะไปบ้านนาซา ตอนนั้นขโมยกับโจรก็เริ่มมีมั่ง ท่านเจ้าคุณรัชมงคลบอกว่าให้ตำรวจเขาไปส่ง แม่ท่านบอกว่าไม่ต้องไปส่งหรอก ไปได้ ฉันก็นักเลงโตเหมือนกัน ใครปล้นรถปล้นอะไร ฉันก็ไปของฉัน แต่ตำรวจไปส่งไม่ได้ ฉันจะไปของฉันเอง แม่ท่านบอกว่ามันทำแม่ไม่ได้ แม่ไม่ต้องไปชก พอไปนึกว่ามันเจ็บมันก็แย่แล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรมัน

    เสี่ยท้งที่เป็นเจ้าของโรงสีสะพานปฐมโพธิ์แก้วที่ข้ามไปนครปฐม โรงสีอยู่เหนือสะพาน มาพูดทะลึ่งอะไรก็ไม่รู้ แม่นี่เอาเสียมพุ่งเลย โดนเสียมแต่ว่าไม่เข้าหรอก หนหลังมันมา วันนั้นวันจ่ายพระพุทโธ ไอ้ท้งก็มาด้วย แม่ถามว่า

    คุณแม่บุญเรือน: ว่าไงเสี่ยท้ง ปีนี้ค้าขายร่ำรวยไหม
    เสี่ยท้ง: เรื่องนั้นผมไม่สนหรอก เรื่องค้าขายนี่ผมไม่สนหรอก
    คุณแม่บุญเรือน: แล้วมึงสนส้นตีนอะไร
    เสี่ยท้ง: (ไอ้ท้งเป็นนักเล่นหวย) สนหวยครับคุณแม่
    คุณแม่บุญเรือน: นี่มึงอย่ามาทำทะลึ่งนะ วันนั้นกูพุ่งด้วยเสียมทีแล้วมึงไม่เข็ดอีก
    เสี่ยท้ง: ไม่เข็ดหรอกครับ ถ้าคุณแม่จะให้ผมตาย คุณแม่พุ่งที่นี่ ผมอยู่นครชัยศรีก็ตาย ถ้าคุณแม่ไม่ให้ตาย พุ่งผมอยู่ ผมก็ไม่เข็ด
    คุณแม่บุญเรือน: มึงระวังนะ มึงจะโดนดี

    ท่านสวดมนต์ พอสักตี 3 ได้เห็นแม่ลุกไปนั่งที่กระได ยังไงไม่รู้ ได้ยินเสียงคุณแม่ตะโกนว่า เก้า..เก้า ตะโกนสุดเสียงแล้วก็เงียบ วันนั้นหวยมันออก 769

    เราควรจะพูดแต่เรื่องที่ดีไว้ อธิษฐานว่าให้แนวชีวิตมันรุ่งโรจน์ มันจะรุ่งโรจน์ไปทางไหนก็แล้วแต่แนวของเรา ดีทั้งนั้น พูดอะไรในบ้านช่อง ลูกเต้าพูดกันดีๆ อย่าไปด่า อย่าไปว่ากัน สั่งสอนลูกเต้าก็พูดกันดีๆ ของของแม่ไม่มีข้อห้ามอะไร

    มีครั้งหนึ่ง แม่ของพระองค์หนึ่ง เขานิมนต์ไปฉลอง แม่นั่งห่างๆ แม่ก็หยิบหมอนมาอธิษฐานว่าให้ศาสนาพุทธลอยเด่นกว่าทุกๆศาสนา พออธิษฐานเสร็จก็โยนหมอนให้ลอยขึ้นไปตกที่หน้าพระ ไอ้คนหนึ่งมาเห็น ยังไงก็ไม่รู้มันไม่ชอบ มันกลับไปว่า คนนี้ใครนับถือ มันไม่นับถือ มีอย่างหรือ มรรยาทมันเต็มที มันโยนหมอนถวายพระ ใครนับถือก็นับถือ กูไม่นับถือคนพรรค์อย่างนี้ มันเป็นคนค่อนข้างมีอันจะกิน ทีหลังใครไปพูดว่าแม่ดี มันว่าไม่ดีหรอก มันด่าให้สังเวชอีก แถวนั้นเขาปลูกแห้วกัน เมื่อตอนนั้นเศรษกิจยังไม่เฟื่องเหมือนเดี๋ยวนี้
    ตามธรรมดาแห้วปลูกมากไม่ได้ สัก 2-3 งานหรือ 1 ไร่เป็นอย่างมาก ไอ้หมุดนี่ปลูกแห้ว 5 ไร่ ลงทุนรอนไปสมควร ปลูกแห้วนี้งามมือชูนี่ไม่สุดยอดแห้วนี่ ไอ้หมุดก็บอกพวกมึงนับถืออีบุญเรือน แห้วยังไม่ค่อยพ้นหางหมา กูไม่นับถือ พวกมึงนับถือไม่เห็นเข้าท่า แห้วกูสูงเลยหัวยื่นมือก็ไม่ตลอด แห้วงาม ด่าเรื่อยไป เวลาไปขุดแห้ว คนอื่นๆเขาทำกันไร่หนึ่งได้สัก 3-4 หมื่น คนปลูกงานหนึ่งได้หมื่นหนึ่ง 2 งานได้ 2 หมื่น ของไอ้หมุดนี่ 5 ไร่นี่แหละ เอาหัวแห้วจริงๆสักถังก็ไม่ได้ แห้วมันกลายเป็นหัวแห้วหมูหมด หัวติดกับปลายรากนิดๆ ใช้กินใช้อะไรไม่ได้ คนเตือนมันบอกว่า ไอ้หมุด มึงนี่ไม่ดีหรอกนะ มึงด่าแม่บุญเรือน แห้วมึงถึงได้อัปลักษณ์ไปหมด ไอ้หมุดนี่ชักกลัว ชักเห็นจริง ไปรับเหมาปลูกโรงเรียนหลังหนึ่ง ออกทุนออกรอนทำเอง พอปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปขอเบิกเงิน บอกว่าไม่ให้หรอก มึงนี่กูไม่ฟ้องฉิบหายก็ดีแล้ว ก็มึงทำผิดสัญญานี่ ไม้นี่กูหาไม้ยาวๆมา มึงเอาไม้กูไปตัดเสีย ต้องไปซื้อมาใหม่ ช่างเขาคำนวนมาแล้ว มึงอยากผิดสัญญา กูไม่ให้ มึงอยากฟ้องก็ไปฟ้อง หรือมึงจะให้กูฟ้องมึง ไอ้หมุดก็หมดท่า ฉิบหายเข้าไปอีกแล้ว ไอ้พวกที่เขาชอบๆสงสารมัน บอกว่าให้ไปไหว้แม่ขอขมาซะ มันก็มา มาขอขมาแม่ท่าน แม่ท่านมาแจกก็เข้าแถวพอไปถึงไปหมุด ก็ไม่รับ ไหว้แม่ท่าน

    คุณแม่บุญเรือน: รับของ
    ไอ้หมุด: ยังครับ ผมไหว้แม่ก่อน
    คุณแม่บุญเรือน: มึงต้องไหว้กูทำไม
    ไอ้หมุด: ผมจะขอโทษคุณแม่
    คุณแม่บุญเรือน: กูไม่มีโทษให้ กูมีแต่คุณให้ ถ้าเอาคุณนะได้ เอาโทษไม่มี เรื่องอะไรมึงต้องมาขอโทษกูละ
    ไอ้หมุด: ผมด่าแม่
    คุณแม่บุญเรือน: อ้าว มึงมาด่ากูทำไมนะ
    ไอ้หมุด: ผมเมาครับ ผมก็ด่า
    คุณแม่บุญเรือน: ดีไหมด่ากูนะ
    ไอ้หมุด: ไม่ดีครับ ฉิบหายวอดวายหมด
    คุณแม่บุญเรือน: เออ ถ้าด่าไม่ดีก็อย่าไปด่านะ หยุดด่าซะ

    ไอ้หมุดยังไม่หมดซวย เอาลูกมาไว้กรุงเทพ 2 คน ซื้อรถแท๊กซี่ให้คนหนึ่งขับ
    อีกคนหนึ่งทำงานโรงเหล้าบางยี่ขัน ห้องมันติดๆกันไงไม่รู้ คนหนึ่งเมามาผลักประตูห้องลูกไอ้หมุด ไปกระทุ้งประตู ผลักประตู.. เปิดรับด้วย ๆ เรียกคนในห้อง มันชักลิ่มประตูออก พอโผล่เข้าเอามีดเสียบไอ้นั่นนอนตายอยู่ที่ประตู ฉิบหายใหญ่เลย พออยู่ได้อีกหน่อย ไอ้ใครก็ไม่รู้ว่าให้ลูกชายไปส่งโคราช เอาไปฆ่า เอารถไปเลย ไอ้หมุดนี่มันกลัวขึ้นสมองเลย .. ไม่ได้.. ของพวกนึ้ไม่ได้ ไปประทุษร้าย ไปด่าไปว่าท่านนี่ เสื่อมโทรมเห็นๆเลย..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2018
  5. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    "ศิลาน้ำ" คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    "ศิลาน้ำ" คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้ทำการอธิษฐานไว้เพื่อใช้ป้องกันภัยบางประการ ใช้แทนของอธิษฐานของท่าน เวลาวายชนม์ไปแล้ว ศิลาน้ำของท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ มีสรรพคุณครอบจักรวาล มีอานุภาพกันภัย รักษาโรคภัย ตลอดจนคุ้มครองรักษาผู้มีติดตัวไป เมื่อใช้ศิลาน้ำใส่ในน้ำ ก็กลายเป็นน้ำอธิษฐาน ไว้รับประทานแก้และป้องกันโรค ทั้งใช้ป้องกันอันตรายต่าง ๆ ได้ด้วย

    ใบตั้งน้ำอธิษฐานของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม วัดอาวุธวิกสิตาราม บางพลัด กรุงเทพ

    การเตรียมน้ำ ให้หาน้ำสุกหรือน้ำสะอาดที่ใช้ดื่มได้ ใส่ภาชนะที่มีฝาปิดให้เรียบร้อย
    มิให้ฝุ่นละอองหรือแมลงลงไปในน้ำได้ การตั้งน้ำแต่ละครั้งให้มีน้ำมากพอที่จะใช้ดื่มได้ตลอดสัปดาห์

    เวลาในการตั้งน้ำ ให้ตั้งวันเสาร์เวลาเช้า ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. เป็นต้นไป แต่ต้องก่อนบ่ายสองโมงเย็น

    คำอธิษฐาน ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานดังต่อไปนี้

    “ข้าพเจ้าตั้งน้ำไว้ นางบุญเรือน โตงบุญเติม เป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้น้ำนี้เป็นยาทิพย์ ใช้รักษาโรคให้หายทุกชนิด ให้มีแนวชีวิตรุ่งโรจน์ ให้อายุยืน ...(นอกจากนี้พูดเอาเอง ตามชอบใจ)...”

    เวลาที่ใช้ดื่มได้ ตั้งแต่ ๐๘.๐๐ น. ของวันอาทิตย์เป็นต้นไป นำน้ำนั้นมาดื่มได้เป็นน้ำอธิษฐาน ย่อมมีสรรพคุณดังคำอธิษฐานนั่นแล มีลักษณะเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์หรือเป็นยาทิพย์

    ของที่ให้อธิษฐานเองนอกจากน้ำ ศิษย์บางท่านได้กล่าวว่าความจริงยังมีไพลอีกอย่างหนึ่งที่ท่านอนุญาตให้ลูก หลานหรือศิษย์อธิษฐานเองได้ มีลักษณะเช่นเดียวกับการอธิษฐานน้ำ

    วิธีใช้ของอธิษฐานบางอย่าง ของอธิษฐานทุกชนิดย่อมใช้ประโยชน์ตามของนั้น ๆ แต่มีระเบียบในใบตั้งน้ำของคุณแม่กล่าวถึงรายการพิเศษอยู่บ้าง ขอนำมาลงไว้ ท่านกล่าวว่า “ปูนต้องนำมาให้อธิษฐานให้ พริกไทยใช้รับประทานวันละเม็ด ไพลใช้รับประทานครั้งหนึ่งเท่าศีรษะมือ โขลกให้ละเอียดแล้วกรองเอาแต่น้ำ เติมน้ำอธิษฐานพอสมควร ถ้าเป็นบิดเติมน้ำปูนใส ถ้าท้องผูกเติมเกลือแล้วไม่ต้องใช้น้ำปูนให้ใช้น้ำอธิษฐานค่อนแก้วดื่มก่อน นอนจะถ่ายได้”

    คำอธิษฐานทั่วไป

    “ข้าพเจ้าสมมุติว่า คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นผู้อธิษฐานธรรมของพระพุทธเจ้า ขอธรรมของพระพุทธเจ้าจงดลบันดาลของเหล่านี้ให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทิพย์ ใช้รักษาโรคให้หายทุกชนิด ให้มีแนวชีวิตรุ่งโรจน์ ให้อายุยืน” (ปรารถนาสิ่งใดให้อธิษฐานตามไปด้วย)

    ผู้เป็นลูกหลานและศิษย์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม หรือผู้เคารพเลื่อมใสนั้น แม้คุณแม่บุญเรือนจะวายชนม์ไปแล้ว ก็ยังคงตั้งน้ำอธิษฐานให้มีความศักดิ์สิทธิ์ใช้รับประทานได้เช่นเดิม ขอทุกท่านที่เคยทำไปแล้วก็โปรดทำต่อไป ส่วนผู้ไม่เคยทำก็ได้โปรดลองทำดูติดต่อกันไปหลาย ๆ เสาร์ แล้วท่านจะประหลาดใจในผลของน้ำอธิษฐานอย่างน่าพิศวงทีเดียว เช่น เด็กในบ้านที่เคยเจ็บป่วยก็จะหายเป็นปลิดทิ้งอย่างคาดไม่ถึง
     
  6. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    พระคาถาป้องกันโจรภัยของ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    อย่านะ อย่านะ พุทธังโจระจิตตัง จังงังนะ พุทโธ
    อย่านะ อย่านะ พุทธังโจระจิตตัง จังงังนะ ธัมโม
    อย่านะ อย่านะ พุทธังโจระจิตตัง จังงังนะ สังโฆ
     
  7. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำสั่งสอนเรื่องแนวทางปฏิบัติธรรม โดย
    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม


    สาธุชนพุทธบริษัทจะปฏิบัติให้หลุดพ้น ต้องรักษาตนของตนให้อยู่ในธรรมของคนดีต้องกตัญญูกตเวทีต่อผู้ที่มีพระคุณ จะต้องซื่อตรงต่อคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ทำลายผู้ที่มีคุณไม่ทำลายมิตร ไม่ทำลายความจริงของตน เมื่อได้ลั่นวาจาไปแล้วต้องเป็นความจริงเสมอ แม้แต่จะตายลงไปก็ยอมตาย ดีกว่าเสียคำพูด ต้องมั่นอย่างนี้จึงจะพ้นทุกข์ได้จะทำสิ่งใดก็ต้องใคร่ครวญก่อน จะพูดสิ่งไรก็ยับยั้งชั่งใจแน่วแน่ด้วยมีสติ สัมปชัญญะ จึงค่อยพูดค่อยทำ ไม่ทำลายมิตรนั้น ไม่หมายถึงมิตรสหาย แม้แต่ผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกัน ก็นับเข้าในมิตรภาพ คือผู้ที่มีคุณทั้งนั้น เช่น เขาติเตือนเรา เราต้องรู้สติยับยั้งว่า เราคงจะบกพร่องแน่ อย่าด่วนโกรธ ถ้าว่าโกรธทีไร ใจเราก็เศร้าหมอง ถ้าเราไม่โกรธและไม่ยึดในถ้อยคำนั้น เข้ามาเป็นอารมณ์แล้ว ใจก็ผ่องแผ้วก็จำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าชนะทีไรก็เรียกว่ามีธรรมของคนดีประจำตนที่นี่ความดีก็มากขึ้นทุกที ต้องรักษาธรรมของคนดีไว้ให้มั่น จนกระทั่งจิตแน่วแน่เป็นอุเบกขาของชาวบ้านก็ยังดี เพราะไม่มีความหวั่นไหวในโลกธรรมทั้งแปดประการ อย่าเชื่อกิเลสมารที่เข้ามาสิงอยู่ในใจ พยายามตรวจใจดูอยู่ทุกวัน ว่าวันนี้เผลอไปทางชอบไม่ชอบหรือเปล่า ถ้าใจเผลอไปกี่ครั้ง ก็บันทึกไว้ในใจ ว่าในเวลานี้เป็นต้นไปเราจะไม่ประมาทอีกแล้ว จะรักษาจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านเพื่อป้องกันความคิดนึกที่ผิดทางหรือคิดเดาเอาเอง ถ้าจะไปเดาเรื่องของคนอื่นก็ให้สอนตัวเองว่าไม่ใช่เรื่องของเรา ตกเข้าในความประมาทแล้วอาจจะเดาผิดก็ได้ ระลึกเท่านี้ใจก็จะหยุดทันที เราต้องรู้ว่าจะลำทายมิตรที่ดี คือธรรมที่มีในตน เพราะธรรมรักษาตนเป็นสุขดีแล้ว ทำไมจะไม่ชอบหรือ เราต้องชอบธรรมที่รักษาเราซี ทำไมเราจะไปคบคนพาลเป็นมิตรเล่า ถ้าคบคนพาลเข้ามาแนบสนิทก็จะทำให้จิตเศร้าหมองชั่งน้ำหนักของใจดูว่ามีอยู่สองทาง ทางหนึ่งตกนรก ใจเดือดเหมือนตกกระทะทองแดง ทางหนึ่งเหมือนกับขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น ใจจะชอบทางไหนเมื่อใจชอบทางดีก็เร่งปฏิบัติธรรมของคนดีไปพลางก่อน จนกว่าจะมั่นไม่คลอนแคลน ดูแต่พระวิฑูรย์เถิด เมื่อครั้งพระเจ้าธนัญชัยโกรพยราชแพ้พนันสกา กับปุณณกะยักษ์ รักษาสัจจะไว้ เพื่อไม่ให้ผู้มีพระคุณได้เสียวาจา อุตส่าห์ไปกับปุณณกะยักษ์ ปุณณกะยักษ์ทรมานสักเท่าไรก็มีขันติอดทน ไม่โกรธตอบ แสดงธรรมโดยกาล จนกระทั่งปุณณกะยักษ์ละพยศอันร้ายได้ เพราะปุณณกะยักษ์มีธรรมของคนดีอยู่ในใจ เพราะกลัวจะเป็นคนไม่ดี เพียงพระวิฑูรย์แสดงธรรมสี่ข้อเท่านั้น ปุณณกะยักษ์ก็กลับใจได้ทันที จะพาพระวิฑูรย์ไปส่งยังอินทปัตตนคร พระวิฑูรย์ก็ไม่ยอมไปเมืองนั้น ให้ปุณณกะยักษ์พาไปเมืองนาค แสดงธรรมโปรดนางวิมาลาสมปรารถนาของนาง ตรงนี้เป็นความฉลาดของพระวิฑูรย์ที่รู้เท่าเหตุ นางวิมาลาอยากจะกินหัวใจพระวิฑูรย์ก็ทูลพญานาค พญานาคเข้าใจว่าจะเอาหัวใจจริงๆ ก็บอกกับปุณณกะยักษ์ ปุณณกะยักษ์ก็เขลาว่าจะฆ่าพระวิฑูรย์เอาหัวใจ เล่าให้พระวิฑูรย์ฟัง พระวิฑูรย์เข้าใจถ้อยคำของนางวิมาลาว่านางจะดื่มรสพระธรรม เพราะฉะนั้นการฟังแล้วไตร่ตรองด้วยปัญญา ก็อาจจะได้ผลทุกคนเราจะฟังอะไร ก็ให้น้อมมาเป็นสาระของตนได้ เช่นนั่งอยู่ที่บ้านเราได้ยินเสียงรถเอ็ดๆ เราก็สอนเราว่า เสียงของรถต่างหาก เพราะคนโลภเขาต้องการปัจจัยและค่าครองชีพเขาจึงอยู่ได้ เราก็ต้องอาศัยเขาเหมือน กัน ถ้าไม่มีรถแล้วคนที่จะมาสวดมนต์ไหว้พระก็มายาก เพราะทางโลกก็ต้องพึ่งทางธรรม ทางธรรมก็ต้องพึ่งโลก ถ้าไม่มีคนโลภแล้วจะไปสอนใคร ก็ต้องอาศัยคนที่มีความโลภโกรธหลง ถ้าเขาไม่โลภโกรธหลง เราจะกินอะไรเพราะฉะนั้นจึงควรสรรเสริญและให้พรเขา ให้เขาเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าเขามั่งมีเป็นเศรษฐี เรามีธุระอะไรก็พอจะพึ่งเขาได้ ดูแต่วันอาทิตย์ที่ ๒๘กันยายน นางบุญเรือนบอกว่า ทองที่กาไหล่พระไม่พอ เขาก็พากันเสียสละตามมี ได้ถึง ๑๒,๒๓๙ บาท เพียงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก็ได้มากถึงปานนั้น เพราะฉะนั้น จึงได้เรียบเรียงไว้เป็นที่ระลึกและสอนตนว่า คนอื่นก็ต้องการรวยมีเป็นเศรษฐีแล้ว การเดินทางไปต่างจังหวัด ไม่เหมือนกับการปฏิบัติธรรม เพราะการเดินทางต้องหอบสัมภาระหลายอย่างไปด้วย แต่การเดินทางเข้าหาธรรมนั้น เพียงแต่มองที่จิตของตนว่าจะดำเนินตรงตามทางมรรคหรือไม่ เพราะว่าอารมณ์ซึ่งเป็นมารยาได้เข้ามาแทรกซึมอยู่ในใจ คอยจะกีดกันไม่ให้เดินทางตรง ซึ่งควรจะถึงเร็วก็กลายเป็นถึงช้า เพราะไปมองทางอื่นเสียมาก เช่นเพ่งดูอากาศบ้าง มองแก้วบ้าง ดูดวงอาทิตย์บ้าง ไม่ได้ดูที่ใจของเรา ไปดูข้างนอกเป็นเหตุให้ติดอารมณ์หรือสีต่างๆ เช่น กสิณเป็นต้น ทำให้วกวนห่วงนั่นห่วงนี่ ว่าคนนั้นเขาได้ตาทิพย์ล่ะ หูทิพย์ล่ะที่แท้ก็ตกอยู่ในความหลงทั้งสิ้น ผู้ปฏิบัติควรจะมองดูที่ใจของตนเท่านั้นว่า สิ้นอยากแล้วหรือยัง ถ้ายังมีอยากจะเห็นโน่นเห็นนี่ ก็ไม่ใช่วิสัยของผู้ปฏิบัติที่จะไปต้องการ ถ้าไปติดเข้าก็จะเกิดล่าช้า เพราะการเดินทางเข้าสู่ธรรมนั้น มีหลายขั้นหลายอย่างควรจะเลือกเอาอย่างเดียว คือละกิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างหยาบคือโกรธ โลภ หลง อย่างที่ท่านเคยรู้กันมาแล้ว อย่างกลางคือ ความอยากจะไปนิพพาน หรืออยากจะพ้นทุกข์หรืออยากจะทำความดี ส่วนอย่างละเอียด หรืออุเบกขาที่เจือไปด้วยเมตตา ข้อนี้สำคัญมากเพราะการเมตตาเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ขั้นต้นก็เมตตาไปก่อน แต่แล้วจะค่อยๆ ถูกบ่วงของมารเหนี่ยวรั้งจึงต้องปฏิบัติต่อไป ผู้ปฏิบัติจะต้องการเป็นเศรษฐีมหาศาล ก็ให้เร่งรีบดูในตนของตน ว่ามีอริยทรัพย์สมบริบูรณ์หรือยัง เมื่อมีอริยทรัพย์สมบูรณ์ก็ให้พิจารณาว่าร่างกายของเรานี้ หมดจดจากบาปหรือยัง ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ไม่ทำเมถุนธรรมบริสุทธิ์หรือยัง ถ้ายังไม่บริสุทธิ์ก็ให้เพียรสังวรระวังในเรื่องของโลกที่เข้ามายั่ว ทางหูก็ดี ทางตาก็ดี เมื่อสำรวมได้ทั้งห้าอย่างแล้ว ก็ให้ดูภายในว่ามีเวทนา ถ้าใจยังมีเวทนาอยู่ ก็ให้ตรวจดูว่า นี้เวทนาเกิดขึ้นทางกาย ทำไมใจไปยึดว่ากายเป็นของตนเล่า กายนี้เป็นที่พึ่งอาศัย ถ้ากายปกติอยู่ ก็เหมือนกับบ้านซึ่งปลูกใหม่ ยังไม่ทรุดโทรม ก็ไม่ต้องซ่อม ผู้อาศัยก็อยู่สบาย การที่ไม่มีเวทนาใจก็สบาย กายเกิดเวทนาขึ้น ทำไมใจไม่ใช้ทรัพย์ที่มีอยู่ซ่อมแซมเล่า ทรัพย์นั้นคือศรัทธามั่นในคุณพระรัตนตรัยและเชื่อตามแล้วว่ากรรมเป็นของๆ ตน กรรมจำแนกแจกสัตว์ให้ประณีตหรือเลวทรามก็ได้ เรานี้ได้กายที่ประณีตไม่เลวทราม แต่ไม่ใช่ของเราเป็นของกรรมต่างหาก กรรมเป็นทายาทมาปฏิบัติเราแล้ว เรารู้แล้วว่ากรรมเป็นของตน เราจะต้องใช้กรรมให้สิ้นไป ถึงรูปจะแตกสลายไปเราก็รู้ไม่ใช่ของเรา เหตุไฉนเล่าเราจึงไปยึดเอาเวทนาเป็นของใจเล่า ใจเห็นผิดเสียแล้ว พระพุทธเจ้าบอกว่าอนิจจังไม่เที่ยง เพราะฉะนั้นเราต้องเห็นว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงก็ย่อมไม่เที่ยง มองเข้าไปที่เวทนาอีกครั้งว่า อ้อ เวทนานี้เราไปยึดเข้าแล้ว เราจะแก้ของไม่เที่ยงให้เป็นของเที่ยงได้อย่างไร พอเห็นชัดว่ารูปไม่เที่ยง ก็จะเพิกสังขารเสีย ให้ปล่อยไปตามสภาวะอาศัยอยู่ได้ ก็อาศัยไป อาศัยไม่ได้ก็เลิกกัน จะหมดสัญญาเช่าก็เลิกกัน แต่อย่าคิดเหมือนย้ายบ้านให้ธรรมบันดาลเอง ทั้งทุกขเวทนาก็ปล่อยวางได้แล้ว เวทนาดับไปจากใจ ใจก็ได้เสวยความสุขอีก อ้อ สุขนี่ก็ไม่จริง ถ้าเราขืนนิ่งนอนใจ รักความสุขอีก ไม่เกินกว่าร้อยปีเราตายไปแล้ว ก็จะต้องเกิดอีก เกิดอีกมีทุกข์อีก เพราะฉะนั้นความสุขนี้ก็ไม่ใช่ของเรา เราไปยึดเอาความสุขเข้าอีกแล้ว อุเบกขาเสีย พออุเบกขาใจก็สำคัญว่า ที่เราไม่ยินดีในสุขในทุกข์นี้ สบายจังไม่เกี่ยวข้องกับใคร อุเบกขานี้เราก็ได้ทำขึ้นมาอีกและทำเองเพื่อความสุขอย่างยิ่งของเรา จะเรียกว่าสุขก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าทุกข์ก็ไม่ใช่ ต้องจัดว่า อทุกขมสุข อทุกขมสุขนี้ เราจะอยู่ได้หรือ ทั้งปีทั้งชาติเพราะมันแนบอยู่กับสภาวะความหมุนเวียน เราต้องพิจารณาดูว่ามีปัญญาอยู่ในองค์อุเบกขาหรือเปล่า ถ้ามีปัญญาอยู่ในองค์อุเบกขาแล้ว จะมองดูรูปก็เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นอนัตตาที่เดียว เห็นเลยไปว่า เป็นดินเป็นเถ้าไม่มีสาระอะไร เห็นตลอดปลอดโปร่ง เราเห็นเองหรือนี่หรือใครชี้ให้เห็น ก็จะรู้ได้ทันทีว่า กุสลาธัมมา ธรรมจำกัดให้เรารู้เรื่องของธรรมต่างหาก ถ้าเราอวดรู้ว่าเรารู้เอง อันนี้ก็เป็นเรารู้เพราะเอาเราเข้าไปใส่ให้อีกแล้ววนไปวนมา ที่พระท่านว่า โอ้ โลมปฏิโลมญาณอย่างไรเล่า เพื่อจะค้นดูองค์อุเบกขาญาณทัสสนะให้ได้ ถ้าถึงบางอ้อเมื่อไร ก็ให้รู้เถอะว่า อ้อเรารู้ก็ยังเหลว การรู้นั้นต้องด้วยปล่อยวางอย่าอยากรู้ ถ้าอยากรู้กิเลสก็เกิดขึ้นมาอีกแล้ว ถ้าไม่อยากรู้ก็ทิฏฐิ มันต้องไม่มีอะไรจะอยากคือไม่ยึดนั่น เอง ถ้าปล่อยวาง ปล่อยใหญ่ ขาดอธิวาสนขันติไปแล้ว สิ่งที่ได้ก็กลายเป็นได้เลื่อนลอยไม่ได้ของจริงคือพุทธคุณนั่นเอง สำหรับพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เข้ามาประทับที่ใจสมมติแล้ว จะได้รู้ว่า เรื่องของสมมุติทั้งนั้น เมื่อไม่ยึด สมมุติก็ดับไปตามสภาวะจะรู้ได้เฉพาะตน เมื่อรู้ได้เฉพาะตนแล้ว เป็นปัจจัตตัง เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่ ท่านทั้งหลายมีเจตนาจะพึ่ง จึงเป็นเสมือนเอาเชือกมาผูกพันไว้มากมาย ถ้าว่าไปติดเข้าเมื่อไร ห่วงนั้นก็ต้องมากเข้าอาจจะพังลงไปในแม่น้ำได้ เพราะกายยังมี แต่ถ้าผู้ปฏิบัติรู้วิธีมองตนของตนอยู่เสมอว่าเกิดรักขึ้นบ้างไหมในการเมตตา หรืออุเบกขาติดอยู่ ต้องตรวจดูเพราะอยู่ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งโสโครก แต่ส่วนธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่เหนือโลก แต่ก็ต้องอาศัยกัน คล้ายกับของซึ่งทรงตัวอยู่ได้ก็ยังมีอานุภาพ ถ้าว่าศิลาที่ติดอยู่กับพื้นโลกก็อาจจะพังได้ เพราะธรรมชาติของมันเต็มไปด้วยคร่ำคร่าซึ่งคอยจะส่งกลิ่น หรือเศร้าหมองขึ้น มาทางใจได้ เพราะว่าผู้ที่อาศัยสังขารอยู่นั้น ยังไม่จัดว่าเหนือโลกไปทีเดียว เพราะเอาสมมติมาทับวิมุติไว้ จึงไม่มีใครทราบในอาการกิริยาของธรรม ที่บุคคลจะเห็นได้เฉพาะตัว ถ้าสิ้นคิดเมื่อไร ก็เหนือได้เมื่อนั้น การที่จะสิ้นคิดนั้นจะต้องทำจิตให้ผ่องแผ้วเหมือนกับไม่มีอะไรคิดแล้วจะรู้ได้เอง แต่ก่อนจะรู้นั้น พวกเราก็ได้ปฏิบัติกันมาแล้ว รู้ต่ำก็ไม่ใช่ รู้สูงก็ไม่ใช่ รู้กลางๆ ก็ไม่ใช่ มันต้องสารพัดรู้ คล้ายกับมีตารอบตัว หรือเรียกว่ารู้ทุกด้าน แม้แต่จะประกอบกิจการอะไรก็ตาม เหมือนกับข้ามโลกได้ ที่เรียกว่าข้ามโอฆะ คือเคยโลภก็ไม่โลภ เคยโกรธก็ไม่โกรธ เคยหลงก็ไม่หลง กิเลสทั้งหลายเช่นทิฏฐิ อวิชชา ตัณหาและอุปาทานเป็นแดนเก่าหรือโลกเก่าที่เราเคยอยู่กันมานาน เมื่อเราละโลกเก่า มันก็เป็นเหมือนอยู่โลกใหม่ คือโลกที่เป็นแดนเกษมเป็นโลกที่ปราศจากกิเลสสิ้นเชิง แม้จะยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แต่โลกนี้ก็ไม่อาจกระทบใจให้เกิดกิเลสได้ เพราะผู้ที่หลุดพ้นแล้ว แต่ยังอาศัยสมมุติอยู่นั้น เป็นเหมือนศิลาลอยหรือที่เรียกว่าเหนือโลก จะมองดูให้เห็นง่าย ก็จะเป็นเสมือนเรือบินที่ลอยอยู่บนอากาศ ไม่ทอดสมอและก็ไม่ถึงที่สุดของสวรรค์ แต่แล้วก็พาคนโดยสารไปส่งได้ถึงที่ ไม่มีอะไรจะไปคล้องหรือเกี่ยวได้ เพราะเหนือพื้นโลกแล้วไม่ต้องเดิน และจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยอนุเคราะห์บันดาลให้ทั้งสิ้น สมมุติว่าต้องการทราบเหตุการณ์อะไร ก็ไม่ต้องไปดูที่ไหน ดูที่โลกเราเห็นทั้งหมด เหมือนกับกังหันของกรมอุตุนิยมวิทยา จะรู้ได้ด้วยการมองที่เครื่องหมาย ไม่ต้องขึ้นไปมองบนโน้น ก็เปรียบเหมือนผู้ปฏิบัติ ไม่ต้องมองที่อื่นมองที่ใจอย่างเดียวเป็นพอ
     
  8. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำสั่งสอนเรื่องการปฏิบัติธรรม
    กลางคืน วันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๔


    นั่งเห็นภาพคนทำนา และถอนกล้ามาล้างแล้วมัด การมัดกล้านั้นเขาต้องกระทุ้งให้เรียบเสียก่อนแล้วมัดเป็นกำๆ แล้วเขาก็ตัดใบทิ้งเล็กน้อย เขาก็นำไปดำลงในน้ำ การดำข้าวกล้านั้น เขาถอยหลังเดินไปพลางแล้วก็ดำไปพลาง ตรงนี้ธรรมบอกว่า การปฏิบัติธรรมนั้น จะต้องทำเทือก เก็บหญ้าให้เรียบร้อย แล้วเขาก็หว่านข้าวงอกลงไปในโคลนนั้น ข้าวกล้าก็ขึ้นมาเป็นปึกคล้ายๆ ต้นหญ้าเล็กๆ แล้วเขาก็ถอนมาล้างดังกล่าวแล้ว ตอนนี้ธรรมบอกว่า ต้องตัดใบซึ่งเป็นฝอยทิ้งเล็กน้อย แล้วก็นำมาดำ เทียบเท่ากับการตัดกิเลสละเอียดได้แล้ว ก็ดำเนินตามธรรมะต่อไปแต่ต้องถอยหลังเดิน การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ถ้าไม่ถอยหลังก็เหยียบข้าวที่ดำลงแล้ว พอข้าวออกรวง เขาก็ไปตัดข้าวเป็นกำๆ แล้วเขาก็มัดอีก แต่ไม่มัดอย่างเก่า เขาใช้ต้นข้าวมัด ต่างกับมัดข้าวกล้า เพราะว่ามัดข้าวกล้านั้นเขาใช้ตอกมัด การมัดข้าวที่สุกแล้ว เขาใช้ต้นข้าวมัด ต่างกันดังนี้ การตัดข้าวแล้วเหลือแต่ต้นเดิม เขาเรียกว่าซังข้าวหรือต้นเดิม ถึงจะนำมาต่อก็ติดกันไม่ได้ เพราะว่าข้าวที่ตัดแล้ว เขาก็เก็บเอาไปใส่ลานสำหรับนวดข้าวแต่ต้องใช้ควายย่ำ จึงได้เมล็ดข้าว บางแห่งเขาใช้ฟาดเอา มีบันไดวางไว้ คือไม้เราดีๆ สำหรับรองรับที่ฟาด จึงได้เมล็ดข้าวไว้ทำพันธ์ต่อไป เทียบเท่ากับการปฏิบัติธรรม เมื่อต้องการมรรคผล ก็ต้องฟาดเต็มที่ จึงจะได้พันธ์ที่ดีไว้ ส่วนข้าวที่ทำพันธ์ไม่ได้เขาก็คัดออกทิ้งไป ผู้ปฏิบัติธรรมก็เช่นกัน ต้องคัดเลือกสิ่งที่เป็นธรรมล้วนๆ ถ้ามีกิเลสปน ก็เหมือนมีข้าวลีบปน เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านรู้จักคัดเลือก สิ่งที่ควรปฏิบัตินำมาสอนพุทธบริษัททั้งหลายให้รู้ธรรมตามท่าน จึงจะชอบ
     
  9. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำอธิษฐานธรรม ประจุธรรมในพระพุทโธให้ศักดิ์สิทธิ์
    วันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๐


    ข้าพเจ้าได้นำพระพุทธปฏิมากร คือเป็นพระรูปของพระสมณโคดม คือพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ ตั้งแต่ปฐมศาสนาต่อมาถึงสมัยปัจจุบันนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีศรัทธาที่จะทำพุทธบูชาแด่องค์พระพุทโธที่ศักดิ์สิทธิ์ ขอธรรมทั้งหลายจงสถิตย์ ณ พระรูปของพระพุทธองค์ที่นำมาตั้งไว้ ณ บ้านสันติธรรมพิทักษ์ ซึ่งมียี่ห้อของนางบุญเรือนว่าสูนเฮงนี้ต่อไป ในเคารพที่สองนี้ เป็นวันสำคัญ คือตั้งแต่คืนวันนี้ นางบุญเรือนจะประจุธรรมให้ ขอให้ธรรมทั้งหลายที่สถิตย์ ณ พระพุทโธให้ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับข้าพเจ้าและตระกูลของข้าพเจ้า จะได้นมัสการกันต่อๆ ไป

    ขอให้เทพยเจ้าทั้งหลายจงอนุโมทนาและให้พรแก่ข้าพเจ้าด้วย เพราะว่าพระอิศวรผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพยดา ได้มีบัญชาให้ไปถอนธรรมที่พระพุทโธใหญ่จอมมุนีมาให้ ข้าพเจ้าจึงได้พระศักดิ์สิทธิ์สมความปรารถนา ช่วยให้ข้ามีความสุขความเจริญยิ่งใหญ่ไพศาล เพราะได้พระราชทานพระพรชัยแด่พระคุณเจ้าทั้งหลาย ที่ให้พรในวันนี้และพรุ่งนี้ ขอพรนั้นจงศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับพรของพระพุทธเจ้าทีเดียว ขอเดชะพระคุณของพระพุทธเจ้าจงเข้าไปอยู่ในองค์พระพุทโธ ไม่เสื่อมคลาย จนกว่าศาสนาของสมณโคดมจะครบถ้วนห้าพันพระวสา ข้าพเจ้าขอให้ธรรมของพระบรมศาสดาจงประทับอยู่ดังข้าพเจ้าขอมานี้ นางบุญเรือนจะเป็นผู้ประจุให้ หรืออธิษฐานใดๆ ก็ให้สำเร็จผลตามประสงค์ของข้าพเจ้า

    ขอให้พระพุทโธคราวนี้ศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์อำนาจแทนพระพุทธองค์ทีเดียว ให้พระราชทานพรได้ทุกชนิดเมื่อข้าพเจ้าต้องการขอ ถ้าข้าพเจ้าทั้งหลายได้มีไว้ประจำบ้าน ได้นมัสการ ขอให้มีแต่ความเจริญ
     
  10. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำอธิษฐานธรรม อาบน้ำในห้อง เป็นเพลงฉ่อย
    เพลงอาบน้ำในห้อง


    วันที่ ๑๘ วันพุธ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีระกา พ.ศ. ๒๕๐๐



    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกอินทะนิล ได้พรพระอินทร์ "จุดใต้ตำตา" เปลี่ยนการปกครอง พวกเจ้าต้องนองน้ำตา

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกระกำ เห็นแก่ตาดำๆ จึงไม่ทำทรมา เขาให้เจ้าลาออก เจ้ากลับย้อนยอกไปมา เขาทำรัฐประหาร จึงต้องรำคาญถึงข้า ต้องถ่างตาอดนอนกลับร้อนเป็นเย็น

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกจำปี เพราะว่า "ทำหนี้" ไว้เกินค่า ชาวประชาร้อนใจ จึงต้องขับไล่เจ้า เหมือน "อีกา" เอ็งเอาหน้าไปไว้ไหน

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกแค เจ้าไม่แยแสฟังใคร ตั้งหน้าหาความสำราญ จึงต้องเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกพุดตาล ต่อไปจะสุขสำราญเพราะว่ารัฐบาลชุดใหม่ ขอให้เป็นคนดีตั้งแต่วันนี้ต่อไป เมืองไทยจะได้เป็นเมืองทอง ปกครอง "แบบประชาธิปไตย" อยู่ "ใต้ร่มของรัฐธรรมนูญ" เกื้อกูลกันไป ไม่แตกสามัคคี มันช่างดีเหลือใจ จะได้ไม่ต้องเป็น "หนี้" ตั้งแต่วันนี้ต่อไป

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกสารภี ตั้งแต่วันนี้จะมีแต่ความสุขใจ

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกผักหวาน อายุยืนนานไม่ต้องรำคาญหัวใจ

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกผักกาด เจ้ามีความฉลาด เจ้าจึงไม่ขาดวินัย ช่วยคนไทยให้รอดเป็น "หนี้" ตั้งแต่วันนี้ต่อไป คงจะได้วิไลทั่วหล้า ชาวประชาเย็นใจ

    ดอกเอ๋ย เจ้าดอกมะละกอ เจ้าไม่ย่อท้อทำมาหากิน อยู่ในถิ่นเมืองไทย เพราะเจ้าเป็นคนดี จึงมั่งมียกใหญ่?
     
  11. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำอธิษฐานธรรม เพลงฉ่อย

    วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๐


    เพลงชาติไทย เครื่องหมายมีธงไตรรงค์ เป็นธงของชาติไทย

    มีสีแดงน้ำเงินขาว เป็นเครื่องหมายสามสี คงจะอยู่ดีกินดีสุขสบาย

    ธงสีเหลืองเป็นเครื่องหมายของศาสนา พอลมพัดมาแกว่งไกว

    ลมพัดมาทางไหน หันไปทางนั้น ไม่กี่วันเห็นได้ยกไว้

    ปีกว่าคร่ำคร่าขาดไป จึงได้จัดเอาออกเสียที เพราะไม่มีธงใหม่

    มีเรือนจึงเอาไว้แต่เสา เพราะขอเขาไม่ได้

    ไม่เชื่อฉันท่านลองมองดูซี ยอดเสา ธงมีเมื่อไร

    จึงได้ใช้ธรรมแทนธง ต่อไปก็คงสบาย

    เพราะว่าธงของฉันเหหันมองไม่เห็น ถ้ากระพือทีไร ประเทศไทยร่มเย็น
    เพราะพวกท่านไม่เห็นข้างใน

    ไม่เชื่อท่านลองมองดู ทิศเหนือมีประตู เมื่อไร

    เสาธงก็มีแต่เสา ลูกเอ๋ยจะเอาอะไร

    บัวสามดอกเบิกบาน ไม่มีก้านมีแต่ใบ

    บัวนี้ก้านสีเขียว เรือนอยู่คนเดียวก็ได้

    เขาต่อข้างหน้า มีเสาสีเหลือง จะหมดจะเปลืองไปเท่าไร

    เชิงชายระบายสีเขียว ลูกเอ๋ยคงจะเหนี่ยวทรัพย์ได้

    ผู้ใดใครมา เห็นก็ชมว่าบ้านนี้เย็นสบาย
     
  12. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำอธิษฐาน ความตั้งใจเมื่อสร้างศิลาน้ำแล้ว

    วันที่ ๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๑ แรม ๑ ค่ำ เดือนแปด ปีจอ


    กติกาการมีชีวิตอยู่ในโลก จะเป็นคนที่อยู่ในพระธรรม จะรักษาพระวินัยให้ถูกต้องตามพระราชบัญญัติของพระพุทธเจ้าโดยความซื่อสัตย์ เคร่งครัด เพื่อช่วยพุทธศาสนาให้ถูกต้อง จะได้เป็นประโยชน์กับสาธุชนทั้งหลาย (เว้นไว้แต่คนที่ไม่นับถือพุทธศาสนา ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ และไม่ช่วยประเทศชาติศาสนา สิ่งที่ช่วยไม่ได้ ข้าพเจ้าจะอุเบกขา) เว้นไว้แต่ธรรมจะบันดาล เขาเหล่านั้นที่กลับตัวได้ เป็นคนดี ก็ขอให้ธรรมทั้งหลายทั้งปวงจงปกปักรักษาให้เขาเจริญตามฐานะ ข้าพเจ้านางบุญเรือนจะไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย แม้แต่ผู้ที่เคยติดต่อขอความช่วยเหลือ ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับใคร ให้รู้จักช่วยตัวเองเพราะว่าได้ช่วยมาเป็นเวลา ๓๒ ปีเศษ

    ข้อ ๑. จะอยู่ตามสบายเพื่อสอนศาสนา ถ้ามีใครสนใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะอนุเคราะห์ให้ตามการ ในการอันควร วันธรรมดาและวันอาทิตย์ จะพลีชีวิตและเวลาให้มีค่าสมกับที่ปฏิบัติมา เพราะกาลเวลาล่วงไป จะได้ไม่ล่วงไปเปล่า จะได้เป็นประโยชน์ตนและสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย เพราะที่แล้วมาได้ใช้หมอบังหน้า ให้คนไม่รู้จักคุณค่าที่แท้จริง ทุกสิ่งเหลวไหลใช้กายให้เป็นหมอนวดโดยความกรุณา เลยเสียวินัยในด้านผัสสะ ตั้งแต่บัดนี้เด็ดขาด นางบุญเรือนจะละการนวดผู้ชาย ไม่แตะต้องตั้งแต่เด็กอายุ ๗ ขวบขึ้นไป จะส่งของให้ผู้ใด และไม่รับของด้วยมือตนเอง สำหรับผู้ชาย ฝ่ายหญิงเป็นเพศเดียวกันก็ยังมีการกรุณาตามเคย จะใช้นางบุญเรือนไม่ได้เลย เว้นไว้แต่ธรรมจะบันดาลให้โปรดใครในด้านการนวด ถ้ามีอะไรแจ้งความได้ไม่ขัดข้อง นางบุญเรือนจะไม่สอดส่องเรื่องของใคร

    ข้อ ๒. การบริโภคต่างๆ จะให้ถูกต้องตามพระวินัย จะไม่ขอความช่วยเหลือต่อผู้หนึ่งผู้ใดให้ช่วยในกิจการสารพัดอย่าง จะไม่มีการขอร้องจากผู้หนึ่งผู้ใด ตลอดกระทั่งคนใหม่และคนเก่า และผู้ที่ปวารณาไว้จะไม่ขอร้องสิ่งใดตลอดกระทั่งเครื่องอุปโภคบริโภคเด็ดขาด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

    ข้อ ๓. การช่วยในด้านหมอ มีใครนำปูนหรือสิ่งของมาขอร้องให้อธิษฐานให้ เช่น ปูน ไพล พริกไท สาคู ของ ๔ อย่างนี้ ถ้านำมาตอนบ่ายจะอธิษฐานให้ตามควร จะไม่บังคับใครให้หาสิ่งของเหล่านี้มาให้ โดยใช้วาจาแนะนำ ก็ไม่แนะนำใครเด็ดขาด ถ้าใครนำมาโดยศรัทธาเชื่อมั่น ก็จะอธิษฐานให้ ขอให้ทราบตามนี้จงทั่วกัน

    ข้อ ๔. วันเสาร์จะอธิษฐานตามเคย ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยอมสู้ทุกเสาร์ไม่เว้นวาย แล้วแต่สาธุชนคนทั้งหลายจะรับเอา ได้ผลหรือไม่ได้ผลอยู่ที่คนมั่น เพราะการอธิษฐานไม่มีใครเขาใช้เอาเป็นจริงจัง อย่างนางบุญเรือนไม่เคลื่อนคลาย ถ้าเชื่อมั่นแล้วต้องได้เหมือนอย่างว่า เพราะมีความกรุณาท่านทั้งหลายมาหลายปีเข้านี่แล้ว จึงต้องแกร่วทรมานกายให้ท่านหายโรครับโชครับชัย จำไว้ให้มั่นฉันจะอภิปรายให้ถี่ถ้วน ก็ไม่ควรแก่วินัย จึงอภิปรายนิดหน่อยอย่าน้อยใจว่า ฉันนี้ห่างไกลท่านไม่ควรจะด่วนพ้อหรือท้อใจ ตั้งสติเอาไว้คงได้รับไม่กลับกลาย ท่านต้องได้ความสุขสบาย เพราะพระธรรมทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลายยังทรงอยู่ตามเคย ถ้าท่านไม่เฉยเมยคงจะได้ไม่ห่างไกล อยู่ที่ไหนธรรมก็มีเต็มโลก ระงับดับโศกให้เสื่อมคลาย อุตส่าห์เชื่อคำสอนของพระชินวรคงพ้นร้อน เย็นสบาย

    ข้อ ๕. ว่าไว้ในอักษรจะอยู่ดีกินดีไม่มีอาวรณ์ อย่าทุกข์ร้อนไปเลยไม่เคยการ เพราะการอธิษฐานเป็นการช่วย ท่านต้องรวยทุกท่าน ให้หมั่นว่าพระคาถาที่ให้ไว้ จะได้รวยช่วยท่านนะ ถ้าใจกล้าให้ว่าก่อนตอนเข้านอนก็ได้ ให้ครบตามกำลังวันทุกวันๆ จะเห็นผลทันตา หาสตางค์ได้ร่ำรวยช่วยตนทุกคนไป ฉันก็ได้หาของให้ไว้กันกายหลายอย่าง มิได้อวด ศิลากรวด พระพุทโธน้อย พระพุทโธใหญ่ พระพุทโธกลางท่านก็สร้างไว้ ถึงองค์พระพุทโธกลางจะห่างไกล แต่พระพุทโธในอยู่ที่ใจจะดีกว่าตั้งหน้ามอง ให้พุทโธคุ้มครองอยู่ที่ใจ ตัดบ่วงห่วงใยให้สิ้นไปจะได้ลาภอันพึงใจสมประสงค์ เมื่อลงเอยสุขสะเบยแสนสบายเมื่อปลายมือ เพราะความนับถือมั่นคงไม่สงสัย ถ้าสงสัยใจจะเขวไปนอกทาง ถ้าไม่เป็นกลางแล้วจะท้อไม่ควรทำ ให้เชื่อกรรมที่เป็นกุศลจะดีกว่า กุลบุตรกุลธิดาจะได้เย็นสบาย เพราะมีศิลาน้ำ เป็นเครื่องหมายให้ทุกอย่างที่สร้างไว้ให้ครบถ้วน
     
  13. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำอธิษฐานธรรมให้พรเมื่อจวนเปลี่ยนปีนักษัตร

    วันอาทิตย์ที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๓


    วาระนี้ขอกล่าวถึงปีประจำสาธุชนที่เกิดมาในปีขาล เสือ เสือมีลายสองชนิด เขาเรียกว่าพาดกลอนหรือลายตลับ ธาตุไม้ เมื่อมีดินมีน้ำแล้วก็ต้องปลูกต้นไม้ การที่จะอยู่ได้ก็ต้องอาศัยสังขารร่างกายเอาไว้ลาย คือเกียรติยศชื่อเสียงนานาประการ ทำมาหากินให้มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย เพื่อไว้ลายต้นตระกูล ไม่ให้เสื่อม ไม่ให้ศูนย์ ไว้เกียรติไม่ให้ใครเหยียดเราได้ มีแต่ความสุขกายสุขใจ บุตรหลานว่านเครือ คนไว้ลายนั้นไม่ใช่เสือ ใครไม่เชื่อก็ทดลอง ซื้อง่ายขายคล่องมีกำไร ทั้งที่นาและที่สวน ไม่ต้องรบกวนผู้ใด สารพัดมั่งมีอยู่ดีกินดีสบาย ปีเถาะ กระต่าย ธาตุไม้เหมือนกัน ไม้สองชนิดประจำปี ก็เปรียบเทียบเหมือนมีบุตรหญิงบุตรชาย เมื่อถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงเจ้ามาจนใหญ่โต หวังเป็นร่มโพธิ์ื์ร่มไทร อุตสาห์สละทรัพย์ให้ลูกเรียน หวังความสำเร็จชั้นสูงสุดที่มนุษย์เขาเรียนได้ หวังสืบสายสืบตระกูล อุตสาห์สละทุนออกให้เมื่อเติบใหญ่ให้เจ้าเข้าไปบวชเป็นสงฆ์จะได้แทนองค์พระรัตนตรัย หรือเจ้าต้องการมีภรรยา บิดามารดาก็ตามใจ จะเสียค่าสินสอดทองหมั้น มันไม่สำคัญเท่าไหร่ เพราะกระทำตามประเพณีจะได้อยู่ดีกินดีทั้งสองฝ่าย จะได้เทียมหน้าเทียมตาว่าเป็นบุตรธิดาของใครเชิญแขกรดน้ำ ไม่ให้ใครเหยียดหยามเราได้ ถึงรับราชการทั้งคู่ ลูกแม่ก็สู้เขาได้ เพราะกตัญญูต่อบิดามารดา และประเทศชาติศาสนา จึงเรียกว่า ไม่ล้าสมัย ถึงจะมีทุกข์บ้างก็ต้องทน เพราะเกิดมาเป็นคนต้องยิ่งใหญ่ กู้เกียรติให้กระเดื่องจึงจะสมเป็นเมืองของไทย
     
  14. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    คำอธิษฐานธรรมทำบุญตักบาตร


    พุทธังอนันตัง ธรรมมังจักรวารัง สังฆังนิพานัง


    ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำบุญตักบาตร และถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ๖๙ รูป พร้อมทั้งปัจจัยนี้ ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้แก่บรรดาสัตว์ มีดิน น้ำ ลม ไฟ และเทวดารักษาอายุ ของนางบุญเรือน โตงบุญเติม เมื่อท่านรับแล้วจงดลบันดาลให้นางบุญเรือนหายจากโรค และมีอายุยืนนานตลอดอายุขัย ให้ได้รับความสุขกาย สุขใจ ตลอดกาลด้วยเทอญ นิพพานะปัจจะโยโหตุ
     
  15. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    เคล็ดลับที่ไม่ลับ เกี่ยวกับ
    "การขอให้คุณแม่ฯท่านอนุเคราะห์เรื่องต่างๆ ให้สำเร็จโดยเร็ว"
    (จากวิธีการที่ใช้ส่วนตัวและได้ผลดี)


    ลูกหลานคุณแม่ฯหลายท่านอาจจะเพียงแค่คิดว่าอยากได้สิ่งโน้น สิ่งนี้ ไม่นานก็จะได้สมอย่างใจคิดด้วยเพราะคุณแม่ฯท่านเมตตา ความเมตตานี้เกิดจากการที่ท่านรับรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด การที่บางคนนึกเพียงในใจไม่ต้องเปล่งเสียงออกมาก็ได้สมปรารถนานั้น อาจเพราะว่ามีบุญสัมพันธ์อย่างสูงกับคุณแม่ฯท่านแต่การคิดนั้นต้องเกิดบนสภาวะการมีสมาธิที่ตั้งมั่นด้วยนะครับจึงจะสำเร็จเหมือนกับเราบอกกล่าวกับคุณแม่ฯด้วยวาจา สำหรับท่านที่นึกก็แล้ว อธิษฐานเปล่งออกมาเป็นวาจาก็แล้ว แต่กลับได้รับความเมตตาจากคุณแม่ฯช้าเหลือเกินนั้นอาจจะเกิดจากเหตุหลายปัจจัยครับ เช่น การที่สมาธิไม่ตั้งมั่นพอในการระลึกถึงคุณแม่ฯท่าน การขอให้คุณแม่ฯอนุเคราะห์ในเรื่องนั้นๆอาจจะไม่ชอบด้วยเหตุทั้งปวงอันเป็นสิ่งที่คุณแม่ฯท่านเคยบอกไว้ หรือการที่มีศรัทธาไม่มั่นคงต่อคุณแม่ฯในการขอ ก็อาจจะเป็นไปได้และยังมีอีกมากมายหลายสาเหตุครับ แต่วันนี้ผมจะมาแนะนำเคล็ดลับที่ไม่ลับที่จะทำให้เรื่องราวต่างๆที่ท่านขอให้คุณแม่ฯอนุเคราะห์(ต้องไม่ผิดกฏหมายและไม่เกินกรรม)ได้ผลรวดเร็วจากที่ผ่านมาครับ

    1. การบอกกล่าวเหมือนการบน แต่ไม่บอกว่าบนเพียงบอกว่า ให้คุณแม่ฯอนุเคราะห์เรื่อง...........ตามที่ต้องการ เสร็จสิ้นแล้วลูกจะทำบุญ อุทิศกุศลไปให้คุณแม่ฯ เพื่อตอบแทนพระคุณที่เมตตา ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่งด้วยเทอญ

    2. ทำเช่นเดียวกันกับข้อ 1. แต่เปลี่ยนเป็นจากการทำบุญ เป็นการเช่าหาวัตถุมงคลของคุณแม่ฯมาบูชาเสริมความเจริญก้าวหน้าสืบไป(ใช้กับผู้ที่ต้องการจะหาเงินมาบูชาวัตถุมงคลของคุณแม่ฯท่านอยู่แล้ว) ข้อนี้หากขอเป็นจำนวนเงิน ต้องระบุให้มากกว่าที่จะนำมาเช่าของด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นท่านจะได้เท่าที่ขอเกินก็ไม่มากเนื่องด้วยคุณแม่ฯท่านเป็นคนตรงและถือคำสัตย์อย่างมาก ขอเท่าไหร่ให้เท่านั้น ผมเจอมากับตัวเรื่อยๆครับ ^^

    ลองนำไปปฏิบัติดูนะครับ หากได้ผลอย่างไรเข้ามาบอกเล่าให้ลูกหลานท่านอื่นๆรับทราบกันด้วยนะครับ ที่สำคัญขณะที่ทำการอธิษฐานขอให้ตั้งสมาธิให้มั่นอย่างแท้จริง และเมื่อได้รับเมตตาแล้วต้องรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับคุณแม่ฯท่านด้วยนะครับ เมื่อท่านรักษาคำสัตย์ ท่านจะได้รับเมตตาจากคุณแม่ฯอย่างสม่ำเสมอแน่นอนครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2018
  16. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    พุทธคุณของ "หินพระธาตุ" ทั่วไปที่ค้นหาได้ครับ

    อำนาจของหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดนั้นมีมากมาย แต่หากจะทำการสรุปอานุภาพแห่งหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดแล้วสามารถสรุปได้ ๙ ข้อด้วยกัน คือ

    1.ดีทางร่มเย็นเป็นสุข บังเกิดความเย็นใจแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของหากใครได้สัมผัสหินเสมอๆ จะทำให้สงบในใจแก่ผู้นั้น

    2.ช่วยในการเจริญสมาธิภาวนา เรียกว่าเจริญในธรรม

    3.เป็นเมตตามหานิยม ทำให้ผู้ที่พบเห็นเราเกิดความรักใคร่อยากช่วยเหลือแต่ไม่เด่นทางเสน่หา หรือเรื่องทางชู้สาว

    4.ดีทางคุ้มครอง เป็นแคล้วคลาด คือผู้ที่พกพาหินพระธาตุเขาสามร้อยยอดจะแคล้วคลาดจากอุบัติเหตุ สามารถรอดตัวโดยไม่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เลย และยังดีทางคงกระพัน คือแม้ว่าต้องผจญด้วยเหตุการณ์อันไม่อาจหลบเลี่ยงได้แล้วก็เป็นคงกระพันรอดตัวมาได้เสมอ

    5.ดีทางโชคลาภ หินพระธาตุเขาสามาร้อยยอด เป็นสื่อนำสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต เรียกว่า ในหินพระธาตุนั้น มีกายสิทธิ์ภาคผู้เลี้ยงรักษาอยู่ภายในผู้ที่หมั่นนำเอาหินนี้มาสวดมนต์ภาวนา นำมาพกติดตัวเสมอๆมักได้โชคได้ลาภไมขาดเลย

    6.ดีทางสมบูรณ์ด้วยสุขภาพพลานามัย เนื่องจากหินพระธาตุนี้เป็นสิ่งที่สะสมปราณ ฟ้าดิน พระอาทิตย์ พระจันทร์ ขุนเขา ทะเล มานานนับร้อยนับพันปี จึงทำให้มีพลังชีวิตแห่งจักรวาลอยู่ในตัวอย่างสูงส่ง ผู้ที่พกหินนี้หรือมีหินพระธาตุอยู่ใกล้ๆตัวย่อมเป็นผู้ได้รับกระแสพลังปราณอันลี้ลับ พลอยทำให้สุขภาพสมบูรณ์ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมีอายุยืนนาน

    7.ดีทางเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานประสบความสำเร็จในชีวิต หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด จะมีลักษณะเด่นคือ เมื่อนำหินมาเจียรแล้วจะมีลักษณะคล้ายพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ทรงกลด อันเป็นมงคลลักษณะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของลายหิน โดยลักษณะดังกล่าว เป็นลักษณะแห่งพลังธรรมชาติที่นำพาความรุ่งเรืองความสำเร็จมาสู่ผู้บูชาดังนั้นพลังลี้ลับศักดิ์สิทธิ์จากหินเขาสามร้อยยอดจึงเป็นแรงผลักดันอย่างลี้ลับในการนำพาชีวิตของผู้นั้นไปสู่ความเจริญในหน้าที่การงานและความสำเร็จในชีวิต

    8.หินพระธาตุเขาสามร้อยยอด เป็นหินแห่งญาณทัศนะ ข้อดีในความหมายนี้คือ ผู้ที่พกพาหินพระธาตุเป็นประจำ จะบังเกิดญาณหยั่งรู้ที่พิเศษกว่าปุถุชน สามารถรู้เหตุดีร้อยล่วงหน้า เนื่องจากกระแสญาณบารมีจากเทพเซียนที่รักษาหินนั้นจะคอยสอดญาณหยั่งรู้หรือบันดาลเทพสังหรณ์ให้แก่ผู้นั้น นับเป็นคุณวิเศษอันลี้ลับของหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด

    9.ค้ำคูณดวงชะตาไม่ให้ตกต่ำ คนที่รู้ว่าดวงชะตาตนเองไม่ดีหรือชงกับปีนั้นๆหากได้หินพระธาตุเขาสามร้อยยอดมาบูชา อำนาจจากอริยะธาตุแห่งหินเขาสามร้อยยอดจะทำการเกื้อหนุนดวงชะตาของท่านไม่ให้ตกต่ำลงไป ผ่อนหนักเป็นเบาสามารถรอดพ้นจากอำนาจ จากดวงดาวหรือผ่อนปรนภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นกับตัวท่านได้
     
  17. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    ๗. คำอธิษฐานสาเหตุและประวัติการสร้างพระพุทโธคลัง

    สาเหตุ


    วันพฤหัสบดีที่ ๔ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๑ ตรงกับวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๙ ปีจอ ขณะที่คุณแม่กำลังเก็บดอกไม้ ได้บทเพลงส่งลงมาจากบนสวรรค์ มีบทเพลงว่าดังนี้

    "บุญปลอดยอดยิ่งหญิงสยาม มีใจงามเก็บดอกไม้ได้ส่งเสริม ถิ่นไทยเดิมอุดมสมสมัย ทั้งหญิงชายรักชาติศาสนา แต่ก่อนไรไทยเฟื่องฟ้า กู้ชาติศาสนามหากษัตริย์ฯ"

    วันศุกร์คุณนายผินได้ส่งดอกสร้อยไก่สีเหลือง เป็นรูปคล้ายพญานาค แล้วคุณแม่ตัดหัวพญานาค มีเปลี่ยนเป็นหงษ์คาบใบโพธิ์

    วันอาทิตย์ใครมาก็ให้ชมหงษ์ บอกให้ปรารถนาให้ลูกดีลูกฉลาด ตอนสวดมนต์คุณระวีสวดมนต์ไม่ถูกบท คุณแม่บอกวันนี้วันสำคัญ ตรงกับวันที่ ๗ กลางคืน วันอังคาร คุณแม่บุญเรือนได้อธิษฐานไปถึงดาวดึงส์ มีพระสงฆ์ที่ชั้นพรหม มาสวดมนต์ที่ลานพระจุฬามุนี ๖๐ รูป เทวดาบอกว่า สวดมนต์พิธีพระพุทโธคลังตั้งแต่วันศุกร์ของมนุษย์โลก สวดมนต์จบเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๑ ตรงกับแรม ๑๒ ค่ำเดือน ๙ ปีจอ

    ประวัติการสร้าง

    วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๑๒

    ประวัติพระพุทโธคลังมีดังนี้ ข้าพเจ้าได้บอกกับคณะศิษย์สามัคคีว่า จะหล่อกระดิ่ง ๑๖ ใบ เพราะบอกครั้งทำช่อฟ้าใบระกา บอกคณะศิษย์ว่า กระดิ่งนี้จะใช้ลงหิน เพราะว่าผู้ใดได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วจะได้มีใจหนักแน่น ทองม้าล่อ จะได้ล่อให้ทำความดี สัมฤทธิ์ เมื่อทำกิจใดๆ ทุกประการจะได้สำเร็จผลสมประสงค์ เงิน เป็นสิ่งที่ต้องการ เป็นแก้วสารพัดนึกสำหรับสาธุชนทั่วไป

    เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่เป็นศิษย์สามัคคี จึงพร้อมใจกันนำมาตามที่ประสงค์นั้น เป็นเหตุให้เกินความคาดหมาย ถึงกับต้องแบ่งไปโยนน้ำสาบ้างก็มี คืนเจ้าของไปบ้างก็มี ให้ไปหล่อพระร่วมกับคุณทองห่อ เซงสุธาก็มี รวมทองแล้ว รวมเงินแล้วมากพอดู มีหลายอย่าง

    ช่างเขาคิดค่าจ้างหล่อกระดิ่ง ๑๖ ใบ เป็นราคา ๓๐๐ บาท แต่เขากะทองเพียง ๑๗ กิโล ทองไปชั่งแล้วได้เกินกว่า จึงได้ให้เขาหล่อกระดิ่งสำหรับโรงเรียน เพิ่มค่าจ้างให้เป็น ๘๐๐ บาท รวมแล้วเป็นกระดิ่ง ๑๗ ใบ ส่วนเงินยังคงเหลือ ๗ กิโลเศษ พูดตามเขาบอก

    จึงได้ให้คุณสุจิตราจัดหล่อพระพุทโธคลังขึ้น คุณสุจิตราได้หาเงินเพิ่มอีก โดยทุนของนายนุ่มและคุณประทุม ๑๗๐ บาท คุณหญิงลมูล ๑๐๐ บาท คุณสุจิตรา ๑๒๐ บาท ค่าแรง ค่าขัด ๓๐๐ บาท คุณสุจิตราให้เรียบร้อย ค่าหล่อไม่คิด น้ำหนัก ๘ กิโล

    ส่วนกระดิ่งนั้น ต้นเดิมจะใช้ใบโพธิ์สามกษัตริย์ จึงรวบรวม นากและทอง

    พอเริ่มต้น คุณประทุมก็ให้ทองถึง ๑๐ กว่าบาท ข้าพเจ้าจึงได้คืนไป ๑๐ บาทหย่อนหุน ค่ำวันนั้นบังเอิญคุณระวี จาตุรจินดาได้มา จึงได้ปรึกษาเขาว่า พระบรมธาตุเจดีย์บนยอดพระอุโบสถยังไม่มีใครสร้าง หรือมีคนสร้างแล้ว ให้นายอาภรณ์ไปถาม ทราบว่ายังไม่มีเจ้าของ จึงตกลงกันให้คุณประทุมมอบทอง ๑๐ บาทหย่อนหุนของคุณประทุมไปเป็นทุนสำรอง เก็บเงินได้เกินคาด ไม่กีอาทิตย์ ท่านกะไว้เพียง ๔ หมื่นบาท ข้าพเจ้ากะให้ถึง ๖ หมื่น พร้อมทั้งรากฐานด้วย

    จะย้อนกล่าวถึงใบโพธิ์สามกษัตริย์นั้น ช่างทองไปทำ มีทอง ๑๐ บาท มีนากหลายบาท มีเงินด้วย ช่างบอกรีดแล้วใช้ไม่ได้ แตกหมด ช่างได้ไล่จัดทองแดงกะเงินออก แล้วผสมใหม่ คราวนี้ทำได้ แต่ทองแดงกะทองไม่ผสมกัน และแดงเป็นจ้ำๆ จึงให้เขาไล่ออกใหม่ นำทองมาให้ฉัน ๑๒ บาท

    วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ข้าพเจ้าบอกกับคณะศิษย์สามัคคีวิสุทธิว่า ใครมาตั้งแต่วันศุกร์ วันเสาร์และวันนี้ ขอให้ช่วยทำใบโพธิ์ทอง และวันนี้เป็นวันสุดท้าย บังเอิญผู้มีศรัทธาบริจาคให้ ได้เกินต้องการ ชั่งแล้วได้ ๙๖ บาท รวมทั้งทองเก่าด้วย เขานำไปทำใบโพธิ์ ๑๖ ใบ หนัก ๔๐ บาท

    บังเอิญคุณศศิธรมาจากเชียงใหม่ เขาได้ไปไหว้พระ กระดิ่งแขวนอยู่ที่หน้าต่าง ลมพัดใบโพธิ์ทองเหลือง ปลิวมาปักลงที่พื้นตรงหน้าเขา จึงได้เล่าให้เขาฟังว่า ทำใบโพธิ์ทอง ๑๖ ใบ จะแขวนกระดิ่งที่วัดสารนารถ แต่กระดิ่ง ๒ ใบนี้จะนำไปวัดอาวุธวิกสิตาราม

    เขามีศรัทธาอยากจะทำบ้าง แต่ข้าพเจ้าบอกว่าทองเกินแล้ว เขาจึงให้ทองอีก ๒ บาท ให้ช่วยทำแทนใบทองเหลืองที่ตกลงมา เลยให้ช่างเขาทำอีก ๑ ใบ กลายเป็น ๑๗ ใบ เกินอีก+

    ต่อมาข้าพเจ้านั่งตรวจดูว่า ทองที่จะกาไหล่พระประธาน เหลือจากทำใบโพธิ์อีกและต้นไม้ทองอีก ๕๖ บาท กาไหล่แล้วจะอยู่ได้นานเท่าไร ธรรมบอกว่าจะอยู่ได้เพียง ๑๐๐ ปี ถ้าทองตั้งแต่ ๙๐ หรือ ๙๒ ขึ้นไป จะอยู่ได้ ๑,๐๐๐ กว่าปี

    เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงแจ้งให้คณะศิษย์สามัคคีทราบในวันอาทิตย์นั้น มีคนใจบุญหลายท่านลงบัญชีไว้ เพราะนางบุญเรือนประกาศว่า วันนี้จะทำชั่ว (ทั่ว) อีกหนเดียว ถึงเวลา๖ โมงจะเลิก ไม่ยอมเรี่ยไรหรือบอกบุญใครๆ ก็จะไม่ทำอีกแล้ว แม่โวย ออกกันมาวันนั้นได้เงินสดถึง ๑๒,๒๓๙ บาท เมื่อเก็บบัยชีเรียบร้อยแล้ว ไปซื้อทองมาเพิ่มเลยได้ ๑๐๕ บาท ๑๐ สตางค์ นายวันดี อยู้นครพนมจองไว้ด้วยปาก มาไม่ทัน ซื้อเพิ่มมาอีก ๑ บาท ก็เลยเป็น ๑๐๖ บาท ๑๐ สตางค์ ไปที่วัดสัมพันธวงศ์ นายชมโชคมาเพิ่มให้ น้ำหนัก ๒๕ สตางค์ ก็กลายเป็น ๑๐๖ บาท ๓๕ สตางค์

    จะย้อนกล่าวถึงทองยอดฉัตร นายแถว วิทยานุกร มาปรารภอยากจะได้ทองทำยอดฉัตรสัก ๒๐ บาท นางบุญเรือนว่า ฉันไม่ให้สักบาทเดียว นายนุ่ม มีศรัทธาจะออกทองคำอีก ๑ บาท คุณประทุมจะออกอีก ๒ บาทกว่า สายสร้อย ๑ เส้น นางบุญเรือนยักท่าไม่ยอมรับ นายชมโชคมาหา จะให้ทองอีก นางบุญเรือนบอกว่าไม่รับแล้ว แต่ไม่ห้ามบุญใคร นายแถวจะทำยอดฉัตรใช้ทองคำสัก ๒๐ บาท อยากทำก็ไปทำกันเอง นายชมโชคก็เหมาะเหม็งรับไป คุณประทุม นายนุ่ม เชาว์ไว ให้ไปด้วย รวมแล้วก็รวย ๓๐ กว่า เกินคาดเหมือนกัน สามัคคีกันไปมอบ วันนั้นเป็นวันที่ ๙ เป็นวันงานสมโภชหลวงพ่อพุทโธคลัง ใครได้ทำไว้ก็จะได้มั่งคั่ง เหมือนมีคลังมหาสมบัติ ไม่ขัดข้องสักราย ใครทำใครได้ ไม่ต้องสงสัย ใจสบาย


    หมายเหตุ : พระพุทโธคลังเป็นพระพุทธปฏิมา ซึ่งคุณแม่อธิษฐานสร้างที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งองค์หนึ่ง
     
  18. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    เรื่องจริงที่ควรรู้

    จากบันทึกมูลเหตุสร้างพระพุทโธองค์กลาง และ ปาฏิหาริย์ถอนพระธรรมและคาถาพระฉิมของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จะมีคำพูดของคุณแม่ฯปรากฏอยู่ว่า "คุณแม่บอกว่าอธิษฐานให้ไม่ได้ เพราะบอกไว้ว่า ไม่อธิษฐานให้ใคร ในเรื่องสร้างพระ เพราะประกาศไว้ตั้งแต่ครั้งสร้างพระพุทโธน้อยที่วัดอาวุธฯ" บอกไว้อย่างชัดเจนแล้วว่าคุณแม่ฯท่านไม่อธิษฐานพระใดใดอีกนอกจากพระพุทโธน้อย เพราะฉะนั้นลองพิจารณาดูครับว่าพระอื่นหลังจากนั้นแล้วคุณแม่ฯท่านจะอธิษฐานให้หรือไม่ อย่าลืมนะครับ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ถือสัจจะวาจายิ่งกว่าสิ่งใด เมื่อพิจารณาแล้วจะได้เกิดความรู้และไม่หลงทางกันอีกครับ
     
  19. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    ก่อตั้งสามัคคีวิสุทธิ

    เนื่องจากผู้มาร่วมการบุญกับท่านที่บ้านนี้มากมาย มีผู้เจ็บป่วยที่มาขอให้ท่านรักษา จนหายจากโรคภัยไข้เจ็บเป็นจำนวนมาก คนจำนวนมาก จึงมายอมตัวเป็นศิษย์ เป็นลูก เป็นหลาน ฟังธรรมคำสั่งสอนจากท่าน เมื่อปฏิบัติตามก็ปรากฏว่า ได้รับความสุขทางใจอย่างประหลาด ผู้คนที่มาหาจึงคับคั่งขึ้นตามลำดับ และเพื่อให้ผู้ร่วมการบุญและสานุศิษย์ มีความเป็นปึกแผ่น มีชื่อเรียกที่เหมาะสม คุณแม่บุญเรือนจึงขนานนามคณะของท่านว่า “สามัคคีวิสุทธิ” และเรียกบ้านที่ท่านอยู่ว่า บ้านสามัคคีวิสุทธิ แต่คนที่คุ้นเคยบางคนจะเรียกว่า “บ้านวิสุทธิกษัตริย์” ก็มี

    วัตรปฏิบัติทั่วไปที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ

    ในวันธรรมดาทั่วไป คุณแม่ได้สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ พร้อมทั้งทำวิปัสสนากัมมัฏฐานและรักษาโรคภัยไข้เจ็บของผู้มาหาด้วยการนวด การอธิษฐานด้วยสัจวาจาและสิ่งของให้ผู้ป่วย

    ทุกวันเสาร์ บรรดาสานุศิษย์และผู้ร่วมการบุญจะมาชุมนุม แต่ตอนเที่ยงมาร่วมรับประทานอาหารอธิษฐาน เพราะคุณแม่อธิษฐานอาหารให้ลูกศิษย์รับประทาน แล้วนำปูน ไพล ผลไม้ พริกไท และของอื่นมาให้ท่านอธิษฐานรวม ประมาณราวบ่าย ๒ โมง ท่านจะนำคณะสวดมนต์เป็นเวลาราว ๑ ชั่วโมง และฝึกทำสมาธิวิปัสสนากัมมัฏฐาน ประมาณ ๑๕ นาที กว่าจะเสร็จการสวดมนต์ดังกล่าวเป็นเวลาราวบ่าย ๓ โมงครึ่งหรือราว ๔ โมงเย็น มีลักษณะเป็นเช่นว่าทุกวันเสาร์

    ตลอดเวลาที่คุณแม่บุญเรือนอยู่ที่บ้านนี้อาจกล่าวได้ว่าในการนี้ทำให้เด็กหนุ่มสาวหลายคนได้หันมาสนใจทางธรรม เลิกประพฤติในทางทีผิดและไม่สมควร นับว่าท่านได้บำเพ็ญกรณียกิจอันมีคุณค่าต่อประเทศชาติและสังคมอย่างสูงส่งด้วย

    งานบุญสำคัญที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ

    คุณแม่อยู่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ถึง พ.ศ.๒๔๙๙ เป็นเวลา ๗ ปี นอกจากการบำเพ็ญการบุญธรรมดาแล้ว ท่านยังได้อธิษฐานธรรมประกอบงานบุญสำคัญ ๆ อีกมากมายหลายครั้ง

    ในบรรดาผู้ที่คุณแม่ได้รักษาโรคให้หายก็ดี หรือสานุศิษย์ผู้ใกล้ชิดก็ดี ต่างได้หมุนเวียนมารับใช้ปฏิบัติท่านที่บ้านสามัคคีวิสุทธินี้ทุกวัน เชน ชวยหุงหาอาหารรับประทาน ช่วยเช็ดถูทำความสะอาด ตกแต่งห้องพระ ห้องนอน รวมทั้งกิจอื่นด้วย

    นอกจากงานบำเพ็ญการบุญประจำวันเสาร์ดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าตลอดเวลาที่ท่านอยู่ที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ ท่านได้ชักชวนสานุศิษย์ประกอบการบุญทุกวันสำคัญทางศาสนาพุทธเป็นพิเศษเป็นครั้งคราว เช่นนี้ทุกวันพระธรรมดา ทุกวันวิสาขบูชาและมาฆบูชา เป็นต้น ทั้งยังได้นำสานุศิษย์ทำบุญใหม่ ๆ ตามประเพณีอีกมากมายหลายครั้ง เช่น ทำบุญวันลอยกระทง และวันอื่นชวนสานุศิษย์ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน ร่วมอุทิิศเงินสร้างโบสถ์ อันเป็นการประกอบการบุญใหญ่ ๆ อีกเป็ินอันมาก บางทีก็มีการประกอบการทำบุญที่บ้านสามัคคีวิสุทธิเองเป็นพิเศษ เป็นการชุมนุมสานุศิษย์และผู้ร่วมประกอบการบุญเป็นจำนวนมากเรือนหลายร้อยคนก็มีอยู่หลายครั้งทุกครั้งท่านจะอธิษฐานธรรมแผ่ความเมตตาให้สานุศิษย์ประกอบการบุญทั้งปวง ให้มีลาภ ให้ประสพสิ่งพึงตาพึงใจให้สำเร็จในทางที่ชอบสมปรารถนา ปรากฏว่า่ได้ปรากฏผลสำเร็จอย่างอัศจรรย์เป็นอันมาก จนชื่อเสียงของท่านได้ขจรขจายไปไกลในหมู่ผู้ประกอบการบุญทั่วไป ยิ่งกว่านั้นในการอธิษฐานธรรมของท่านมีอยู่มากมายหลายครั้ง ท่านได้อธิษฐานช่วยชาติอยู่เป็นเนืองนิตย์ ให้ชาติไทยเจริญรุ่งเรืองพ้นจากข้าศึกศัตรูมาทำลาย อธิษฐานธรรมขอให้ศาสนาพุทธเจริญ และถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีอยู่บ่อย ๆ
     
  20. st-antique

    st-antique ขอบารมีคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม เป็นที่พึ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    18,847
    ค่าพลัง:
    +84,169
    ตำราสวดมนต์ แบบบ้านสามัคคีวิสุทธิ

    คำชี้แจงเบื้องต้น


    คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้ก่อตั้งคณะสามัคคีวิสุทธิ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ก็ดี ตลอดมา จนมาอยู่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ที่พระโขนงก็ดี คุณแม่ได้พร่ำสั่งสอนธรรม และได้เป็นผู้นำบรรดาลูกหลานศิษย์ให้สวดมนต์ภาวนา ทำวิปัสสนากัมมัฏฐานตลอดมา ครั้งอยู่บ้านสามัคคีวิสุทธิ ถนนวิสุทธิกษัตริย์ ได้มีการสวดมนต์ในตอนบ่ายทุกวันเสาร์ ส่วนที่บ้านสามัคคีวิสุทธิ พระโขนง ได้มีการสวดมนต์ภาวนาทุกตอนบ่ายวันอาทิตย์ ได้มีลูกหลานศิษย์ไปร่วมชุมนุมอย่างคับคั่งทุกวันที่มีพิธีการดังกล่าว

    การสวดมนต์ภาวนา และคำขอกัมมัฏฐาน มีแบบโดยเฉพาะของบ้านสามัคคีวิสุทธิ ซึ่งได้รับการสั่งสอนโดย คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม คณะสามัคคีวิสุทธิได้ใช้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยมาช้านาน เพื่อเป็นเครื่องบูชาระลึกถึงคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ยอดนักบุญของคณะสามัคคีวิสุทธิ ซึ่งได้ทิ้งร่างวายชนม์ไปแล้วนั้น จึงขอนำตำราสวดมนต์บางส่วน เริ่มแต่ทำวัตรเช้าและทำวัตรค่ำ รวมทั้งการสวดคาถาต่างๆ คือ อาราธนากัมมัฏฐาน ภาวนาและคาถาอื่นๆ มาพิมพ์รวมไว้ในที่นี้

    ๑. วิธีทำวัตรเช้า

    เมื่อพระภิกษุสงฆ์ทำสักการะบูชาเสร็จแล้ว ทุกคนพึงนั่งคุกข่าประณมมือพองาม (คือเพียงอก) พร้อมกันตั้งใจถวายความเคารพพระรัตนตรัย โดยหัวหน้าที่ประชุมเป็นผู้นำว่า ดังต่อไปนี้:-

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา

    พระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งเป็นที่พึ่ง ที่นับถือของเราทั้งหลาย พระองค์เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ชอบเอง แล้วถึงวิเศษในการละ และการเจริญ ละกิเลส ขาดจาดสันดานกับทั้งวาสนา เป็นผู้ไม่หลง มีความไม่หลงเป็นธรรมดา ตรัสรู้อริยสัจจ์สี่ แจ้งประจักษ์โดยลำพังพระองค์ ตรัสรู้ชอบ ไม่วิปริตแล้ว และสอนผู้อื่นให้ตรัสรู้ได้ด้วย เราทั้งหลายขออภิวาท กราบไหว้พระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้า อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ พระองค์นั้น มีพระสถูปกับพระพุทธรูปนี้เป็นพยาน

    พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ

    กราบลงหนหนึ่ง

    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม

    ธรรมพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวดีแล้ว แสดงทางดับกิเลสและกองทุกข์ ให้ผู้ปฏิบัติตาม ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบได้ เราทั้งหลายขอนมัสการธรรมที่พระพุทธเจ้านั้นกล่าวดีแล้ว

    ธัมมัง นะมัสสามิ

    (กราบลงหนหนึ่ง)

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    หมู่สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ได้ปัญญา ตรัสรู้อริยสัจจ์สี่ ทำกิเลสในสันดานของตนให้สิ้นไปตามกำลัง อริยมรรคที่ให้เกิดขึ้นแล้วในสันดานตน ความละกิเลสได้จริง เป็นการปฏิบัติดีแท้ เราทั้งหลายขอนอบน้อมสงฆ์สาวกที่พระพุทธเจ้านั้นสอนให้ปฏิบัติดีแล้ว

    สังฆัง นะมามิ

    (กราบลงหนหนึ่ง)

    (ผู้นำว่า)

    หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะ ภาคะนะมะการัง กะโรมะ เส

    (รับสวดพร้อมกัน)

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (ว่า ๓ หน)

    (ผู้นำว่า)

    หันทะ มะยัง พุทธาภิถุติง กะโรมะ เส

    (รับสวดพร้อมกัน)

    โย โส ตะถาคะโต อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ

    วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู

    อนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวา

    โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมาระกัง สะพรหมะกัง, สัสสะมะณะพราหมะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญา สัจฉิกัตวา ปะเวเทสิ

    โย ธัมมัง เทเสสิ อาทิกัลยาณัง มัชเฌกัลยาณัง ปะริโยสานะกัลยาณัง

    สาตถัง สัพพะยัญชะนัง เกวะละปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พรหมะจะริยัง ปะกาเสสิ

    ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ

    ตะมะหัง ภะคะวันตัง สิระสา นะมามิ

    (กราบลงหนหนึ่ง)

    (ผู้นำว่า)

    หันทะ มะยัง ธัมมาภิถุติง กะโรมะ เส

    (รับสวดพร้อมกัน)

    โย โส สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก

    โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

    ตะมะหัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ

    ตะมะหัง ธัมมัง สิระสา นะมามิ

    (กราบลงหนหนึ่ง)

    (ผู้นำว่า)

    หันทะ มะยัง สังฆาภิถุติง กะโรมะ เส

    (รับสวดพร้อมกัน)

    โย โส สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

    อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ

    ตะมะหัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ

    ตะมะหัง สังฆัง สิระสา นะมามิ

    (กราบลงหนหนึ่งแล้วนั่งราบ)

    (ผู้นำว่า)

    หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณามะคาถาโย เจวะ สังเวคะวัตถุปะริกิตตะนะปาฐัญจะ ภะณามะ เส

    (รับสวดพร้อมกัน)

    พุทโธ สุสุทโธ กะรุณามะหัณณะโว, โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน, โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก, วันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง

    ธัมโม ปะทีโป วิยะ ตัสสะ สัตถุโน, โย มัคคะปากามะตะเภทะภินนะโก, โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทีปะโน, วันทามิ ธัมมัง อะหะมาทะเรนะ ตัง

    สังโฆ สุเขตตาภะยะติเขตตะสัญญิโต, โย ทิฏฐะสันโต สุคะตานุโพธะโก, โลลัปปะหีโน อะริโย สุเมธะโส, วันทามิ สังฆัง อะหะมาทะเรนะ ตัง, อิจเจวะเมกันตะภิปูชะเนยยะกัง, วัตถุตตะยัง วันทะยะตาภิสังขะตัง, ปุญญัง มะยา ยัง มะมะ สัพพุปัททะวา, มา โหนตุ เว ตัสสะ ปะภาวะสิทธิยา, อิธะ ตะถาคะโต โลเก อุปปันโน อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, ธัมโม จะ เทสิโต นิยยานิโก อุปะสะมิโก ปะรินิพพานิโก สัมโพธะคามี สุคะตัปปะเวทิโต, มะยันตัง ธัมมัง สุตะวา เอวัง ชานามะ, ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข, ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข, ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง, สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา

    เสยยะถีทัง


    รูปูปาทานักขันโธ

    เวทะนูปาทานักขันโธ


    สัญญูปาทานักขันโธ

    สังขารูปาทานักขันโธ


    วิญญาณูปาทานักขันโธ

    เยสัง ปะริญญายะ, ธะระมาโน โส ภะคะวา เอวัง พะหุลัง สาวะเก วิเนติ, เอวัง ภาคา จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สาวะเกสุ อะนุสาสะนี พะหุลา ปะวัตตะติ

    อนึ่งคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย, ส่วนมากมีส่วนคือการจำแนกอย่างนี้ว่า

    รูปัง อะนิจจัง


    เวทะนา อะนิจจา

    สัญญา อะนิจจา
    สังขารา อะนิจจา

    วิญญาณัง อะนิจจัง
    รูปัง อะนัตตา

    เวทะนา อะนัตตา
    สัญญา อะนัตตา

    สังขารา อะนัตตา
    วิญญาณัง อะนัตตา

    สัพเพ สังขารา อะนิจจา
    สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ

    เต (ตา) มะยัง โอติณณามหะ ชาติยา ชะรามะระเณนะ, โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ, ทุกโขติณณา ทุกขะปะเรตา, อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ, จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณังคะตา, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ตัสสะ ภะคะวะโต สาสะนัง ยะถาสะติ ยะถาพะลัง, มะนะสิกะโรมะ อะนุปะฏิปัชชามะ, สา สา โน ปะฏิปัตติ, อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยายะ สังวัตตะตุฯ

    คำประกาศอุโบสถ

    เมื่อไหว้พระทำวัตรเช้าจบแล้ว ผู้นำพึงนั่งคุกเข่าประนมมือ กล่าวคำประกาศอุโบสถพิธีต่อไปว่า

    อัชชะ โภนโต ปักขัสสะ ปัณณระสี (ถ้าเป็นวัน ๑๔ ค่ำ ใช้ จาตุททะสี วัน ๘ ค่ำ ใช้ อัฏฐะมี) ทิวะโส เอวะรูโป โข โภนโต ทิวะโส, พุทเธนะ ภะคะวะตา ปัญญัตตัสสะ ธัมมัสสะวะนัสสะ เจวะ ตะทัตถายะ อุปาสะกะอุปาสิกานัง อุโปสะถัสสะ จะ กาโล โหติ, หันทะ มะยัง โภนโต สัพเพ อิธะสะมาคะตา ตัสสะ ภะคะวะโต ธัมมานุธัมมะปะฏิปัตติยา ปูชะนัตถายะ อิมัญจะ รัตติง อิมัญจะ ทิวะสัง อัฏฐังคะสะมันนาคะตัง อุโบสะถัง อุปะวะปสิสสามาติ กาละปะริจเฉทัง กัตวา ตัง ตัง เวระมะณิง อารัมมะณัง กะริตวา อาวิกขิตตะจิตตา หุตะวา สักกัจจัง อุโปสะถังคานิ สะมาทิเยยยามะ อีทิสัง หิ อุโปสะถะกาลัง สัมปัตตานัง อัมหากัง ชีวิตัง มา นิรัตถะกัง โหตุ ฯ

    ข้าพเจ้าขอประกาศเริ่มเรื่องในการที่จะรักษาอุโบสถ ให้สาธุชนตั้งจิตสมาทานทั่วกันก่อน ณ บัดนี้ วันนี้เป็นวันปัณณรสีดิถีที่ ๑๕ ค่ำ แห่งสุกกปักษ์ ก็และวันนี้นิยมเช่นนี้เป็นการที่สาธุชน อุบาสก อุบาสิกา จะฟังธรรมและรักษาอุโบสถพร้อมไปด้วยองค์ ๘ ประการ เพื่อประโยชน์แก่การฟังธรรมนั้น บัดนี้ขอกุศลอันยิ่งใหญ่ คือ ตั้งจิตสมาทานองค์ ๘ ประการ แห่งอุโบสถนั้น จงเกิดมีแก่สาธุชนทั้งหลายซึ่งมาประชุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ จงตั้งจิตคิดกำหนดกาลว่า จะรักษาอุโบสถสิ้นราตรีและวันนี้ ทำความเว้นจากโทษนั้นๆ เป็นอารมณ์ คือเว้นจากฆ่าสัตว์ ๑ เว้นจากลักทรัพย์ของท่านผู้อื่น ๑ เว้นกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ๑ เว้นจากกล่าวคำปด ๑ เว้นจากดื่มสุราและเมรัย ๑ เว้นจากบริโภคโภชนะในเวลาวิกาล ตั้งแต่เที่ยงแล้วไป ๑ เว้นจากฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรีและดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล และทัดทรงประดับตบแต่งร่างกายด้วยระเบียบดอกไม้ของหอมเครื่องทา ๑ และเว้นจากที่นอนสูงที่นอนใหญ่ ๑ ฉะนี้ อย่าให้มีจิตฟุ้งซ่านส่งไปในที่อื่น จงตั้งจิตสมาทานองค์ ๘ ประการแห่งอุโบสถนั้นโดยความเคารพ เพื่อจะบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นด้วยธรรมานุธรรมะปฏิบัติตามกำลังของคฤหัสถ์ทั้งหลาย ด้วยว่าชีวิตของเราทั้งหลายที่ได้ดำรงมาถึงวันอุโบสถเช่นนี้ อย่าให้ล่วงไปเสียเปล่าปราศจากประโยชน์เลย

    ๒. วิธีทำวัตรค่ำ

    และ

    สวดมนต์ตามแบบบ้านสามัคคีวิสุทธิ

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา, พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ.

    (กราบลงหนหนึ่ง)

    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมังนะมัสสามิ.

    (กราบลงหนหนึ่ง)

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ.

    (กราบลงหนหนึ่ง)

    ยะมะหัง สัมมาสัมพุทธัง ภะคะวันตัง สะระณังคะโต (ตา)

    ข้าพเจ้าถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาค ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบพระองค์ใด ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง.

    อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ภะคะวันตัง อะภิปูชะยามิ,

    ข้าพเจ้าบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วยสักการะทั้งหลายเหล่านี้.

    ยะมะหัง สวากขาตัง ภะคะวะตา ธัมมัง สะระณังคะโต(ตา)

    ข้าพเจ้าถึงแล้วซึ่งพระธรรม อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ธรรมใดว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง.

    อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง ธัมมัง อะภิปูชะยามิ,

    ข้าพเจ้าบูชาพระธรรมนั้น ด้วยสักการะทั้งหลายเหล่านี้.

    ยะมะหัง สุปะฎิปันนัง สังฆัง สะระณังคะโต(ตา)

    ข้าพเจ้าถึงแล้วซึ่งพระสงฆ์ ผู้ปฎิบัติดีแล้วพระองค์ใด ว่าเป็นที่พึ่งกำจัดภัยได้จริง.

    อิเมหิ สักกาเรหิ ตัง สังฆัง อะภิปูชะยามิ,

    ข้าพเจ้าบูชาพระสงฆ์นั้น ด้วยสักการะทั้งหลายเหล่านี้.

    -----------------------------------

    พุทธะบูชา มะหาเตชะวันโต, ธัมมะบูชา มะหาปัญโญ, สังฆะบูชา มะหาโภ, คะวะโห, ติโลกะนาถัง, อัคคีบุปผัง, อะหังชิเน, อะสีติ กัปปะโก ธาเรนโต, ปิฎะกัตตะยัง ปะระมัง สุขัง.

    ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายซึ่งสักการะทั้งหลายเหล่านี้ พร้อมทั้งราคะคี, โทสะคี, โมหะคี, แด่หลวงพ่อพุทโธทั่วไป, หลวงพ่อนาค, สมเด็จพระพุทธชินราชประทานพร, หลวงพ่อพุทโธคลัง, หลวงพ่อชนะประทานพร ขอหลวงพ่อทั้ง ๕ จงรับสักการะของข้าพเจ้าทั้งหลาย เมื่อได้รับแล้ว จงประทานพรให้แก่ข้าพเจ้า ดังข้าพเจ้าจะขอดังต่อไปนี้

    ขอให้ข้าพเจ้าจงบริบูรณ์มั่งคั่ง ตั้งอยู่ในภูมิมหาลาโภ, มหาโภโค, มหายะโส, มหาปะริวาโร พร้อมทั้งทรัพย์ภายนอก และอริยทรัพย์ภายใน ดังข้าพเจ้าขอมานี้ จงสมดังความปรารถนาทุกประการ ขอให้มีอายุยืนนาน ขอให้ชนะตลอดกาลทุกเมื่อเทอญ

    -----------------------------------

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ขอนอบน้อมแด่พระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ขอนอบน้อมแด่พระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ขอนอบน้อมแด่พระอรหันสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

    -----------------------------------

    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

    ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

    ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรม ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    -----------------------------------

    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้วาระที่ ๒ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้วาระที่ ๒ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรม ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้วาระที่ ๒ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    -----------------------------------

    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้วาระที่ ๓ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้วาระที่ ๓ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระธรรม ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    แม้วาระที่ ๓ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก

    -----------------------------------

    พุทธัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ

    ธัมมัง ชีวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ

    สังฆัง ชีิวิตัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ

    ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัลยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ, สัตถาเทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ ฯ

    พุทธะวาระหันตะวะระตาทิคุณาภิยุตโต

    สุทธาภิญณะกะรุณาหิ สะมาคะตัตโต

    โพเธสิ โย สุชะนะตังกะมะลังวะ สูโร,

    วันทามะหัง ตะมะระณัง สิระสา ชิเนนทัง

    -----------------------------------

    พุทโธ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง

    ปะฐะมานุสสติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง

    พุทธัสสาหัสมิทาโสวะ ๑ พุทโธ เม สามิกิสสะโร

    พุทโธ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม

    พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง

    วันทันโตหัง ๒ จะริสสามิ พุทธัสเสวะ สุโพธิตัง

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธเม สะระณังวะรัง

    เอเตนะสัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุสาสะเน

    พุทธัง เม วันทะมาเนนะ ๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง อิธะ

    สัพเพปิ อันตะระยา เม มาเหสุง ตัสสะเตชะสา

    ๑ “พุทธัสสาหัสมิ ทาโสวะ” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “ธัมมัสสาหัสมิ ทาสีวะ”

    ๒ “วันทันโตหัง” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “วันทันตีหัง”

    ๓ “วันทะมาเนนะ” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “วันทะมานายะ”

    (หมอบกราบลงว่า)

    กาเยนะ วาจายะ วะเจตะสา วา

    พุทเธ กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง

    พุทโธ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะ ยันตัง

    กาลันตะเร สังวะริตุง วะ พุทเธ

    -----------------------------------

    สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ ฯ

    สวากขาตะตาทิคุณะโยคะวะเสนะ เสยโย,

    โยมัคคะปากะปะริยัตติวิโมกขะเภโท

    ธัมโม กุโลกะปะตะนา ตะทะธาริธารี,

    วันทามะหัง ตะมะหะรัง วะระธัมมะเมตัง

    -----------------------------------

    ธัมโม โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง

    ทุติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง

    ธัมมัสสาหัสมิ ทาโสวะ ๑ ธัมโม เม สามิกิสสะโร

    ธัมโม ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม

    ธัมมัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง

    วันทันโตหัง ๒ จะริสสามิ ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตัง

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณังวะรัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน

    ธัมมัง เม วันทะมาเนนะ ๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง

    อิธะสัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะ เตชะสา

    ๑ “ธัมมัสสาหัสมิ ทาโสวะ” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “ธัมมัสสาหัสมิ ทาสีวะ”

    ๒ “วันทันโตหัง” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “วันทันตีหัง”

    ๓ “วันทะมาเนนะ” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “วันทะมานายะ”

    -----------------------------------

    (หมอบกราบลงว่า)

    กาเยนะ วาจายะ วะ เจตะสา วา

    ธัมเม กุกัมมัง ปะกะตัง มะยา ยัง

    ธัมโม ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง

    กาลันตะเร สังวะริตุง วะ ธัมเม ฯ

    -----------------------------------

    สุปฏิปันโน ภคะวะ โต สาวะกะสังโฆ,

    อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะ สังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อายุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสา ติ

    สัทธัมมะโช สุปะฏิปัตติคุณาทิยุตโต,

    โยฏฐัพพิโธ อะริยะปุคคะละ สังฆะเสฏโฐ

    สีลาทิธัมมะปะวะราสะยะกายะจิตโต,

    วันทามะหัง ตะมะริยานะคะณังสุสุทธัง

    สังโฆ โย สัพพะปาณีนัง สะระณัง เขมะมุตตะมัง

    ตะติยานุสสะติฏฐานัง วันทามิ ตัง สิเรนะหัง

    สังฆัสสาหัสมิ ทาโสวะ๑ สังโฆ เม สามิกิสสะโร

    สังโฆ ทุกขัสสะ ฆาตา จะ วิธาตา จะ หิตัสสะ เม

    สังฆัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญชีวิตัญจิทัง

    วันทันโตหัง๒ จะริสสามิ สังฆัสโสปะฏิปันนะตัง

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณังวะรัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สัตถุ สาสะเน

    สังฆัง เม วันทะมาเนนะ๓ ยัง ปุญญัง ปะสุตัง

    อิธะสัพเพปิ อันตะรายา เม มาเหสุง ตัสสะเตชะสาฯ

    (หมอบกราบลงว่า)

    กาเยนะ วาจายะ เจตะสา วา

    สังเฆ กุกัมมัง ปะกะตัง มายา ยัง

    สังโฆ ปะฏิคคัณหะตุ อัจจะยันตัง

    กาลันตะเร สังวะริตุง วะ สังเฆ ฯ

    ๑ “สังฆัสสาหัสมิ ทาโสวะ” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “สังฆัสสาหัสมิ ทาสีวะ”

    ๒ “วันทันโตหัง” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “วันทันตีหัง”

    ๓ “วันทะมาเนนะ” สำหรับชายสวด ถ้าเป็นหญิง ให้ว่า “วันทะมานายะ”

    จบทำวัตรค่ำ

    ๓. พระขันแก้ว

    นะ พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    โม พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    พุท พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    ธา พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    ยะ พระขันแก้ว แผ้วถางทางพระนิพพาน สินมัคญาณ ทานบารมี ไมตรีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระคุณสัมปันโน

    อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุขโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะ ทัมมะสาระถิ สัตถาเทวะมนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ

    ๔. นัตถิเม มหาการุณิโกนาโถ

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณังวะรัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา

    นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา

    มะหาการุณิโก นาโถ อัตถายะ สัพพะปาณีนัง

    ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา

    มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณีนัง

    ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา

    มะหาการุณิโก นาโถ สุขายะ สัพพะปาณีนัง

    ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง

    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ มา โหนตุ สัพพุปัททะวา

    ๕. กะตะเม สัตตะ

    กะตะเม สัตตะ สะติสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    วิริยะสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโตพะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ปีติสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ปัสสัทธิสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    สะมาธิสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    อุเปกขาสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    กะตะเม สัตตะ สะติสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะ ทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    วิริยะสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโตพะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ปีติสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ปัสสัทธิสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    สะมาธิสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    อุเปกขาสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    กะตะเม สัตตะ สะติสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะ ทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    วิริยะสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ปีติสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    ปัสสัทธิสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    สะมาธิสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    อุเปกขาสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ ฯ

    -----------------------------------------------

    พุทธสังฆ์ มังคะลัง โลเก

    ธัมมสังฆ์ มังคะลัง โลเก

    สังฆสังฆ์ มังคะลัง โลเก

    พุทธัง สัตตะรัตนะปากะลัง อายุวัฑฒนัง สะระณัง คัจฉามิ

    ธัมมัง สัตตะรัตนะปากะลัง อายุวัฑฒนัง สะระณัง คัจฉามิ

    สังฆัง สัตตะรัตนะปากะลัง อายุวัฑฒนัง สะระณัง คัจฉามิ

    -----------------------------------------------

    นะ ชาลีติ ฉิมพาลีจะ มะหาเถโร สุวรรณะมามา โภชนะมามา วัตถุวัตถามามา โภคะมามา พลาพลังมามา มหาลาโภมามา สัพเพ ชะนา พหู ชะนา ภะวันตุเต (ให้คนอื่น) ภะวันตุเม (ให้ตัวเอง)

    ถ้าจะสวดให้เกิดลาภ สวดตามกำลังวัน พระอาทิตย์ ๖ พระจันทร์ ๑๕ พระอังคาร ๘ พระพุธ ๑๗ พระพฤหัสบดี ๑๙ พระศุกร์ ๒๑ พระเสาร์ ๑๐ (เช่น วันอาทิตย์ สวด ๖ ครั้ง วันจันทร์ สวด ๑๕ ครั้ง) และสวดต่อไปตามกำลังวัน

    ๖. พุทธมงคลคาถา


    คาถานมัสการพระอรหันต์ ๘ ทิศ

    สัมพุทโธทิปะทังเสฏโฐ นิสินโนเจวะมัชฌิเม

    โกณฑัญโญปุพพะภาเคจะ อาคะเณยเยจะกัสสะโป

    สารีปุตโตจะทักขิเณ หะระติเยอุปาลีจะ

    ปัจฉิเมจะอานันโท พายัพเพจะภะคะวัมปะติ

    โมคัลลาโนจะอุตตะเร อิสาเณปิจะราหุโล

    อิเมโขมังคาพุทธา สัพเพอิธะปะติฏฐิตา

    วันทิตาเตจะอัมเหหิ สักกาเรหิ จะปูชิตา

    เอเตสังอานุภาเวนะ สัพพะโสตถีภะวันตโน

    อิจเจวะมัจจัน- ตะนะมัสสะเนยยัง

    นะมัสสะมาโน ระตะนัสสะยังยัง

    ปุญญาภิสันทัง วิปุลังอะลัตถัง

    ตัสสานุภาเว นะหะตันตะราโย

    พุทธมงคลคาถานี้ ถ้าผู้ใดบริกรรมภาวนาให้จิตเป็นสมาธิแล้ว จะแคล้วคลาดจากอันตราย และจะได้ไปบังเกิดในพรหมโลก

    ๗. คำอาราธนากัมมัฎฐาน

    (ว่านะโม ๓ หน)

    ข้าพเจ้าจักเจริญพระกัมมัฎฐานภาวนา บูชาคุณพระรัตนตรัยอุดม สร้างสมทศบารมีธรรม บำเพ็ญอิทธิบาททั้ง ๔ บ่มอินทรีย์ให้แก่โดยกาล สังหารนิวรณ์ ๕ ให้หาย สืบสายวิตกวิจารณ์ ปิติ สิริร่วมสุขเอกกัคคตา ต่อมาให้ถึงฌาณ ๔ พร้อมด้วยวะสีทั้ง ๕ เจริญมรรคาพระอริยะสมังคี ล้างธุลีกิเลสให้สูญ ตัดมูลอาสวะอนุสัย ห่างไกลสังโยชน์ทั้งปวง ล่วงถึงประโยชน์ยิ่งใหญ่ ขอคุณพระรัตนตรัย คุณไท้ธิราชเทวา คุณมารดาบิดา ครูอาจารย์ คุณความดีทุกๆ ประการ จงมาเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า บรรเทาทุกข์ร้อนให้เหือดหาย ทำลายมาร ๕ ให้พินาศ ปราศจากภยันตรายนิรันดร์ เกษมสันต์ ประสบสิ่งเสมอใจ สมดังมุ่งหมาย ณ กาลบัดนี้เทอญ

    ๘. แผ่เมตตา

    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย อะเวรา จงเป็นสุขๆ เถิด ขออย่าได้มีความพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย อัพพะยาปัชฌา จงเป็นสุขๆ เถิด ขออย่าได้มีความเจ็บไข้ลำบากกายลำบากใจเลย

    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย อะนีฆา จงเป็นสุขๆ เถิด ขออย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย

    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงเป็นสุขๆ เถิด ขออย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลาย ขอให้ได้ความสุขกายสุขใจ จนทั่วถึงกันเทอญ

    ๙. ตรวจน้ำ

    อิมินา ปุญฺญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา

    อาจาริยูปะการา จะ มาตาปิตา จะญาตะกา(ปิยามะมัง)

    สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ

    พรหมะมารา จะ อินฺทา จะ โลกปาลา จะ เทวะตา

    ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ

    สัพเพ สัตตา สุขี โหนฺตุ ปุญฺญานิ ปะกะตานิ เม

    สุขัญจะ ติวิธัง เทนตุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตัง

    อิมินา ปุญฺญะกัมเมนะ อิมินา อุททิเสนะ จะ

    ขิปปาหัง สุละเภ เจวะ ตัณหุปาทานะเฉทะนัง

    เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง

    นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว

    อุชุจิตตัง สะติปัญญา สัลเลโข วิริยัมหินา

    มารา ละภันตุ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม

    พุทธาธิปะวะโร นาโถ ธัมโม นาโถ วะรุตตะโม

    นาโถ ปัจเจกะพุทฺโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง

    เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันฺตุ มา.

    ๑๐. บทบูชาพระ

    เมื่อจุดธูปเทียนแล้ว บูชาพระว่าดังนี้

    ก. คำบูชาแบบเดิมครั้งคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ยังมีชีวิตอยู่

    พุทธะบูชา มะหาเต ชะวันโต ธัมมะบูชา มะหาปัญโญ สังฆบูชา มะหาโภคะวะโห ติโรกะนาถัง อัคคีปุบผัง อะหังคีเน สีสิตสัพพโก ธาเรนโต ลักกะตะยัง ปะระมังสุขขัง

    ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ซึ่งสักการะ ทั้งหลายเหล่านี้ พร้อมทั้งราคะคี, โทสะคี, โมหะคี, แด่หลวงพ่อพุทโธทั่วไป, หลวงพ่อนาค, สมเด็จพระพุทธชินราชประทานพร, หลวงพ่อพุทโธคลัง, หลวงพ่อชนะประทานพร ขอหลวงพ่อทั้ง ๕ จงรับสักการะของข้าพเจ้าทั้งหลาย เมื่อได้รับแล้ว จงประทานพรให้แด่ข้าพเจ้า ดังข้าพเจ้าจะขอดังต่อไปนี้

    ขอให้ข้าพเจ้าจงบริบูรณ์มั่งคั่ง ตั้งอยู่ในภูมิมหาลาโภ, มหาโภโค, มหายะโส, มหาปะริวาโร พร้อมทั้งทรัพย์ภายนอก และอริยทรัพย์ภายใน ดังข้าพเจ้าขอมานี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีอายุยืนนาน ขอให้มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย จะได้ช่วยพุทธบริษัททั้งหลายให้เจริญ ตลอดอายุขัย จะทำการใดๆ ขอให้สำเร็จสมดังความปรารถนาทุกประการเทอญ

    ข. คำบูชาอธิษฐานเมื่อคุณแม่วายชนม์ไปแล้ว

    นอกจากสวดคาถาตอนต้นแล้ว ก็สวดคำอธิษฐานของคณะ ซึ่งคุณนายแกมแก้ว จันทมาศ ได้เรียบเรียงไว้เมื่อ ๑๓ กันยายน ๒๕๐๗ มีข้อความดังนี้

    ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวาย ซึ่งสักการะทั้งหลายเหล่านี้ แด่หลวงพ่อพุทโธทั่วไป หลวงพ่อนาค สมเด็จพระพุทธชินราชประทานพร หลวงพ่อพุทโธคลัง หลวงพ่อชนะประทานพร ขอหลวงพ่อทั้งห้า จงรับสักการะของข้าพเจ้าทั้งหลาย เมื่อได้รับแล้ว จงประทานพรให้แด่ข้าพเจ้า ดังข้าพเจ้าจะขอดังต่อไปนี้

    ข้าพเจ้าขอให้มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งกายและใจ ปราศจากโรคาพยาธิทั้งปวง และมีอายุยืนนาน มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย จะทำการใดๆ ขอให้สำเร็จสมดังความปรารถนาทุกเมื่อเทอญ

    และข้าพเจ้าขอสักการะแด่ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ข้าพเจ้าขออัญเชิญคุณแม่จงมาสถิตอยู่เหนือเกล้าของลูกๆ ทั้งหลาย คอยช่วยคุ้มครองป้องกันอันตรายใดๆ ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นกำลังใจให้ลูกๆ จะคิดสิ่งใดก็ให้สมความปรารถนาในทางดีทางได้เสมอไป ตลอดกาลนานเทอญ ขอให้ได้มรรคสี่ ผลสี่ นิพพาน ๑ สมความปรารถนาทุกๆ ท่าน

    ๑๑. คำสวดบูชาพระรัตนตรัยและไหว้พระธาตุ

    พนมมือแล้วว่า

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา,

    พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ

    (กราบลง)

    แล้วว่า

    พุทธัง จักกะวาลัง อะหัง วันทามิ

    -----------------------------------------------

    สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม, ธัมมัง นมัสสามิ

    (กราบลง)

    แล้วว่า

    ธัมมัง จักกะวาลัง อะหัง วันทามิ

    -----------------------------------------------

    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ

    (กราบลง)

    แล้วว่า

    สังฆัง จักกะวาลัง อะหัง วันทามิ

    ไหว้พระธาตุ

    อุกสะ วันทามิ อาราเม

    พัทธเสมายัง โพธิรุกขัง เจตะยัง

    ธาตุรัง ขะมะถะ เม ภันเต

    (ว่า ๓ ครั้ง)

    ๑๒. คาถาป้องกันโจรภัยของคุณแม่

    อย่านะ อย่านะ พุทธัง โจระจิตตัง จังงัง น พุทโธ

    อย่านะ อย่านะ พุทธัง โจระจิตตัง จังงัง น ธัมโม

    อย่านะ อย่านะ พุทธัง โจระจิตตัง จังงัง น สังโฆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...