พระสงฆ์ ฆารวาส หากถึงซึ่งนิพพาน ย่อมตายหมด สิ้นอาสวะทั้งมวล
แต่ทุกอย่างยังอยู่ใต้กฏแห่งธรรมะ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
และสังขารของผู้นั้นยังคงอยู่ใต้กฏของธรรมะ
ที่ยังคงเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะธรรมไตรลักษณ์นั้น..
...............................................................
แต่ฆารวาสที่บรรลุธรรมขั้นสูงสุด เพราะคงอยู่ลำบากในสังคมเช่นนี้
ลองนึกสภาพฆารวาสผู้บรรลุนิพพานเป็นอรหันต์ ทั้งยังมีชีวิตอยู่
มีชีวิตก็เหมือนไม่มีชีวิต ไม่ติดยึดอะไร ไม่เอาอะไร
ใครจะมาหยิบมาจับมาขนทรัพสินก็เอาไป เงินสลึ่งยังไม่มี
สุดท้ายก็คงเหลือแต่ผ้าห่อศพมาพันกาย
จะอยู่อย่างไร ในสังคมที่มีแต่เอา เอา เอา
นอกจากหลบไปอยู่ในป่า ปลูกข้าว ปลูกผักกินเอง
จนกว่าจะถึงวันที่กฏของธรรมทำงาน เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เข้าสู่ปรินิพพานและหลุดพ้นไปตามกฏของธรรมที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พระอรหันต์หรือทุกสิ่ง หากยังมีสังขารวิญญาณ ไม่สามารถละเมิดกฏแห่งธรรม
ทำให้สังขารเกิดไม่ได้ ดับไม่ได้ ยังคง เกิดดับไปตามสภาวะแห่งธรรม..
แนวเศษฐกิจพอเพียงของในหลวง การแบ่งที่ดินเกษตรเป็นส่วนๆ
นั้นแหละสภาพที่เหมากับฆารวาสผู้เป็นอรหันต์ จะทรงสังขารอยู่ได้
จนปรินิพพาน..
ฆราวาส เมื่อถึงนิพพานทำไมต้องตายหากไม่บวช !?
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Mr.Boy_jakkrit, 10 ตุลาคม 2010.
หน้า 4 ของ 4
-
พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสและไม่ได้บัญญัติว่า ผู้บรรลุอรหัตผล หากไม่บวช จะต้องตาย
ท่านตายด้วยเพราะอะไร....
เพราะถึงเวลาตายพอดี ไม่ได้เกี่ยวกับการบรรลุอรหัตผล
เพราะคุณธรรมแห่งพระอรหันต์ไม่ได้เป็นโทษและเหตุแห่งการทำลายขันธ์
ถูกแล้ว
เมื่อท่านผู้เป็นฆราวาสบรรลุธรรมอรหัตผล ท่านจะไม่ใช้ชีวิตเฉกเช่นเดียวกับปุถุชน
ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ถ้า ถ้ากรรมบางอย่างไม่ส่งผลให้ต้องเป็นฆราวาส
เพราะการคลุกคลีกับปุถุชน ย่อมเกิดโทษแก่ผู้ล่วงเกินท่านฯโดยที่ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ
เรื่องของกรรม ที่จะต้องมีผู้ก่อกรรมแม้ไม่เป็นฆราวาส ก็ย่อมเกิดโทษแก่ผู้ล่วงเกินท่านได้
เช่นเดียวกับสมัยพุทธกาลที่พวกเดียรถีย์ ด่าพระพุทธเจ้า
ด้วยสติปัญญาระดับผู้บรรลุธรรมอรหัตผล ย่อมแตกต่างจากปุถุชนทั่วไป
ย่อมหาทางออกที่เหมาะสม เช่น ออกจากเรือน ปลีกวิเวก หรือออกบวช
แล้วถ้าท่านเลือกที่จะไม่ปลีกวิเวก หรือออกบวชละ ผมเห็นว่าท่านเลือกได้นะครับ ด้วยสติปัญญาฯ
ดังตัวอย่าง คุณแม่จันดี น้องสาวหลวงตามหาบัว ฆราวาสผู้บรรลุธรรมอรหัตผล ท่านเป็นอนาคาริก ออกจากเรือน ปลีกวิเวก มาอยู่วัดป่าบ้านตาด
ถือศีล ๘ เพื่ออยู่ในเพศเหมาะสมแห่งตน
ผมไม่แน่ใจว่า คุณ จิตโต หมายถึง คุณแม่จันดี ท่านเป็นอรหัตผลหรืออนาคามี
ถ้าหมายถึง อรหัตผล แสดงว่าคุณ จิตโต ก็ยอมรับว่า ฆราวาสเมื่อเป็นอรหันต์แล้วไม่บวชไม่ต้องตายก็ได้
ถ้าหมายถึงอนาคามี ก็อีกเรื่อง -
หรือว่ามันจะเป็นอจินไตย????
-
-
เมตตา และ ปิดบาป
สมมุติว่ามีนักปฏิบัติธรรมผู้หนึ่งมีสัมมาทิฏฐิ ปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านจนบรรลุโสดาปัตติผล
เขาย่อมปกปิดมิให้ใครรู้ ภูมิธรรมที่มีอยู่ในตน ไม่อาจจะบอกใครได้แม้แต่ผู้เป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง และ ลูกเมีย ของตน
ตามธรรมดาโสดาบันเป็นผู้ยังละกามราคะไม่ได้ ก็ใช้ชีวิตในบ้านเรือนของตนต่อไป
อยู่มาคืนหนึ่ง ด้วยธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยภายนอกและด้วยธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยภายใน จิตก็รวมกำลังปรากฏเป็นมรรคสมังคี
อินทรีย์๕แก่กล้าถึงที่สุด เกิดเป็นมรรคจิต มีญาณ สามารถทะลุผ่าน สกทาคามิผล อนาคามิผล และ อรหัตตผล สำเร็จเป็นพระอรหันต์
ได้เสพปีติ และ สุข อยู่ตลอดคืน จนถึงเวลาสาย
และแล้วก็มีเสียงตะโกนเรียกจากคุณแม่ ดังขึ้นที่บริเวณหน้าห้องนอนว่า ไอ้ลูกขี้เกียจเอ๊ย มันจะนอนหลังยาวไปถึงไหนกันนี่กี่โมงกี่ยามกันแล้ว
ถ้าลูกตะโกนกลับไปว่า นี่ๆลูกบรรลุอรหันต์แล้วนะอย่าพูดกับลูกอย่างนั้นนะแม่
แทนที่แม่จะหยุดกลับใส่แรงลงไปกว่าเดิมว่า อ๋อ พ่อนักปฏิบัติธรรม เดี๋ยวนี้ วิเศษกว่าแม่แล้วหรือ พ่อคุณทูนหัว ไอ้บ้าเอ๊ย หนักขึ้นทุกวันแล้วนะแก
แล้วถ้าตกกลางคืนล่ะ หลายวันก่อนเป็นพระโสดาบัน ยังนอนกอดเมีย มีอะไรๆกันได้ มาคืนนี้เป็นพระอรหันต์ซะแล้วจะทำยังไง เมียจะไปนรกขุมไหน
เมื่อพระอรหันต์ระลึกถึงบาปที่จะเกิดกับบุคคลรอบข้างผู้เคยมีคุณ หรือผู้คุ้นเคย
ด้วยความเมตตาต่อมนุษย์ที่รายล้อมตัวท่าน พระอรหันต์จึงต้องรีบทำลายธาตุขันธ์ของตนเพื่อปิดบาป
ไม่ให้เกิดขึ้นกับญาติอีกต่อไป ด้วยความตายที่ไร้ความหมายสำหรับพระอรหันต์
หรืออีกทางหนึ่งคือต้องรีบบวชเพื่อที่ญาติจะได้เกรงใจ ไม่ปฏิบัติกับท่านแบบคุ้นเคยดังเดิม อันจะช่วยให้ญาติปลอดภัยจากการดูหมิ่นท่านโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นเรื่องสมมุติ พร้อมกับความเห็น ของข้าพเจ้า
ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วย
แต่ข้าพเจ้าว่าไม่ผิดนะ
ด้วยอำนาจแห่งเมตตา แทนที่จะเป็น โกยเถอะโยม จึงกลายเป็น โกยเถอะอาตมา ของผู้หลุดพ้น???
. -
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ต้องใช้ปัญญา ไม่ฟังความฝ่ายเดียว ต้องมีความรอบรู้ รอบคอบ ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วน จึงมีการนำกาลามสูตรมาช่วยในการตัดสินใจว่าควรหรือไม่ที่จะเชื่อ ท่านลองพิจารณาดูจากคำตอบทั้งหลายแล้วตัดสินใจกันเอง แต่ละบุคคลอาจรับคำตอบต่างกัน แต่ไม่ควรเอาความเห็นตนเองเป็นข้อสรุป อย่างไรก็ตามนี่มิใช่สาระสำคัญในพระพุทธศาสนาเลย มีสิ่งที่ควรกระทำมากกว่าเช่นทำ ทาน ศีล และ ภาวนา
จงใช้เวลาส่วนใหญ่ทำกิจอันเป็นประโยชน์แก่ตนเอง ย่อมจะดีกว่ามาถกหรือตั้งกระทู้อันไม่เกี่ยวกับการส่งเสริมการสร้างให้ทาน ศีลและภาวนา อันเป็นการทำให้ช้าลง ชีวิตเปรียบเสมือนการเดินทาง มัวแต่ชมข้างทาง แวะดูรูงูจับหนูก็เสียเวลาเปล่าๆ ขอให้ผู้อ่านจงมีสติ มีศีล เจริญกรรมฐานได้เร็วโดยพลัน -
ในยุคปัจจุบันนี้ เคยได้ยินจากปากครูบาอาจารย์ว่า เจ้าอาวาส วัดถ้ำผาจม อ.แม่สาย
จ.เชียงราย ท่านได้บวชให้กับฆาราวาสคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผ้าขาว ท่านได้บรรลุธรรม ในผ้าขาว
ในวันที่ท่านบรรลุนั่นผ้าขาว ท่านบอกว่า เหมือนเอาโลกทั้งใบที่แบกไว้นานออก เบาสบายมาก
มีความอิ่มใจ แต่ปวดหัวมาก ๆ ท่านจึงถามอาจารย์ทางโทร.... เมื่อ25ปีที่แล้ว โทรศัพย์ไม่
ค่อยมี(เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาจม) อาจารย์ของผ้าขาวบอกว่าให้เตรียม ผ้าไตร และเครื่องบวชให้
พร้อม เพราะถ้ามาถึงวัดในวันรุ่งขึ้น ท่านจะทำการบวชให้ทันที หลังจากการบวชให้แล้ว อาการ
ปวดหัวก็ยังไม่หายในทันที ต้องใช้เวลาเกือบเดือนถึงจะหายเป็นปกติ หลังจากได้บวชแล้วท่า
จึงได้รู้ว่า จิตที่เป็นความว่างเป็นยังไง ใส่สะอาดจนผ้าทุกชนิดไม่สามารถห่อหุ้มจิตดวงนี้ได้อีก
ต่อไป ต้องได้ผ้าเหลืองของพระพุทธองค์ห่อหุ้มไว้เท่านั้นจึงจะได้ พระรูปนี้ท่านได้ดับขันธ์
แล้วเมื่อปี 53 แต่ถ้าอยากหาความจริงต่อก็ต้องไปขอความรู้จากเจ้าอาวาสวัดถ้ำผาจม เพราะ
ท่านเป็นผู้ที่ได้ประสบการณ์นี้กับท่านเอง และปัจจุบันนี้ ท่านยังไม่ดับขันธ์ ท่านที่อยากได้ยิน
จากปากพระอริยเจ้า จริง ๆ ก็ต้องไปพิสูจน์ถามต้วยตัวท่านเองแล้วครับ แต่ไม่แน่ใจว่าท่านจะ
บอกหรือเปล่า
หน้า 4 ของ 4