งานนี้ พระเกษมไม่รอด ฝ่ายธรรมยุต มหาเถระสมคมจ่อฟัน พระอจ.เกษมประพฤติผิดพระวินัย

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย ผู้เตือน warn, 20 กันยายน 2011.

  1. blackzone

    blackzone สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +3
    เกิดเป็นคน ย่อมมีทั้งที่ทำถูกและทำผิดกันทั้งนั้น...
    อย่ามัวแต่วิจารณ์ผู้อื่นให้เสียเวลาเลย...
    จงเอาเวลาที่มีค่า มาวิจารณ์ตัวเราเองดีกว่า...
    อย่าใช้ความคิดจับผิดผู้อื่นเลย..
    จงใช้ความคิด จับผิดตัวเองดีกว่า...
    เอาสิ่งดีๆของผู้อื่นมาใช้ให้เป็นประโยชน์..และโยนความไม่ดีเหล่านั้นทิ้งไป.....
    การกะทำเป็นแค่การแสดงออกทางกายภาพ แต่ความคิดและจิต เป็นการแสดงออก
    ถึงนิสัย...ผมว่าท่านพระเกษม ทำไม่ถูกเกี่ยวกับการแสดงทางกายและวาจา แต่ความคิด
    ที่ท่านสอนมันโดนใจผมจริงๆ....
     
  2. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    ---------------------

    ส่วนตัวผมจะไม่วุ่นวายและไม่ลบหรู่ใคร ไม่ว่าใครจะมีดีอะไร จริงหรือไม่
    แต่สำหรับเรื่องนี้ มันเข้าข่ายทำให้พุทธศานากำลังเสื่อมศรัทธา
    จะนิ่งเสียก็จะมีคนมองไม่ดี (ในมุมของคนนอกศาสนา)
    เค้าจะว่าเอาได้ไม่มีใครสักคนที่ออกมาประนาม
    หรือที่เงียบกันนี่คือการยอมรับและเห็นด้วยกับการกระทำนั้น

    เอาเป็นว่าผมขอใช้สิทธิในการเป็นชาวพุทธในการออกความเห็นครั้งนี้ครับ
     
  3. spider man

    spider man สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +24
    ในสภาวะของพระอาจารย์เกษม ในความคิดของพระอาจารย์เกษม ใครก็ตามที่ไม่ใช่พระอาจารย์เกษม ก็คงไม่ทราบความรู้สึกที่แท้จริงหรอก

    ยุค 2500 ปี หลังพุทธกาล ในตำราเค้าเขียนเอาไว้แล้วว่า ภพภูมิเหล่าใดที่จะมาดูแลรักษาศาสนา ดังนั้น การแสดงออกของสมมุติสงฆ์ เหล่านี้มันก็มาจาก ตัวตนที่แสดงให้เห็นว่า เค้ามาจากภพภูมิของสัตว์เหล่าใด ตามที่พวกเค้าปรารถนา ว่าจะมารักษาพระศาสนา หลัง 2500 ปี และมันก็แสดงออกให้เห็นถึงว่า ทุกวันนี้ ศาสนาเราเป็นเช่นไร

    มันก็เลยได้เท่าที่เห็นกันนั่นแหละ
     
  4. sutanon

    sutanon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +170
    หลวงปู่ หลวงพ่อ ต่างๆ ที่ล่วงลับ และยังมีชีวิตอยู่ที่มีศีลธรรมครบ
    ไม่เห็นเค้าจะทำให้เห็นเช่นนี้เลยครับ หรือว่าที่กล่าวมานั้น บารมีคุณธรรมน้อยกว่า คนๆ นี้
     
  5. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618

    อ่าว เดี๋ยวหาข้อมูลก่อน ว่าเหล่าใด
     
  6. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    www.meemodo.com/tep.html

    กล่าวกันว่า เมื่อครั้งพุทธกาล องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนชีพอยู่ พระพุทธองค์ได้ตรัสกับพุทธบริษัททั้งหลายว่า พระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน มีอายุ 5,000 ปี แต่ของพระองค์นั้น ต้องการจะให้พระศาสนามีอายุเพียง 2,500 ปี เท่านั้น

    พระอานนท์จึงทูลถามว่า เหตุใดพระองค์จึงมิให้พระศาสนาดำรงอยู่จนครบ 5,000 ปี ดังพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า

    แล้วผู้ใดเล่าจะเป็นผู้ดูแลพระศาสนา ” พระอานนท์จึงทูลว่า

    “ ขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นพุทธบริษัทเป็นผู้ดูแลและบำรุงรักษาพระพุทธศาสนากึ่งหนึ่งเป็นเวลา 2,500 ปี “

    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาต แล้วทรงถามต่อไปอีกว่า ใครจะขออะไรบ้าง

    ปวงเทพทั้งหลายทุกเหล่าชั้น อันได้แก่ พระอินทร์ พระพรหม พระยม พระกาฬ เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันกราบทูล ขอให้ปวงเทพ ได้ดูแลและบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไปอีกครึ่งหนึ่ง ของพระอานนท์ คือ 1,250 ปี

    พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงอนุญาตอีก แล้วทรงถามต่อไปว่าใครจะขออะไรอีก

    เหล่าพญาครุฑ คนธรรพ์ นาคราช ท้าวกุเวร กินนร กินนรี และภูติผีปีศาจ จึงกราบทูลขอดูแลอายุพระศาสนาเท่าที่เหลือ 1,250 ปี ให้พวกเขาได้ดูแลรักษา จนกว่าพระศาสนาจะค่อย ๆ เรียวเล็กลงไป

    ยุคนั้นมนุษย์จะมีร่างกายเล็กลงไปตามลำดับ ถึงกับต้องปีนบันไดสอยลูกมะเขือ หรือเก็บเม็ดพริก

    พระสงฆ์สาวกก็จะร่อยหรอแทบว่าจะไม่มีเหลือ จะเหลือเพียง ผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หู เพื่อให้เป็นที่สังเกตุว่าเป็นพระสงฆ์เท่านั้น พระศาสนาก็จะเสื่อมถอยลงไปจนหมดพอดี 5,000 ปี ตามพุทธฎีกาที่กำหนดไว้



     
  7. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    ถึงกิริยาท่านจะต่างจากหลักสากลบ้าง แต่ท่านก็ออกกฏปฏิบัติสำหรับพระและโยมได้ดี


    [FONT=Angsana New,Bold][FONT=Angsana New,Bold][FONT=Angsana New,Bold]ระเบียบข้อห้ามและคาเตือนของวัดสามแยก[/FONT][/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Bold][FONT=Angsana New,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=Angsana New,Bold][FONT=Angsana New,Bold][FONT=Angsana New,Bold]สาหรับโยมที่อยู่หรือมาพักชั่วคราว ต้องไม่ทา สิ่งดังต่อไปนี้[/FONT][/FONT][/FONT][FONT=Angsana New,Bold][FONT=Angsana New,Bold]


    [/FONT]
    [/FONT]1.
    ห้ามขีด - เขียน วาด - พ่น เป็นข้อความหรือรูปภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต
    2.


    ห้ามเปิดเสียงเพลงและเสียงการเล่นต่างๆ โดยเด็ดขาด
    3.


    ห้ามขีด - พาด - วาง - พิง ทับเครื่องหมายและข้อความที่ทา เตือนไว้ในที่ต่างๆ
    4.


    ห้ามเข้าไปในเขตของพระหรือเขตของแม่ชี และเขตหวงห้ามอื่นๆ
    5.


    ห้ามเข้าไปในที่พักของกันและกันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากกันก่อน
    6.


    ห้ามนาสงิ่ ของที่เป็นเดรัจฉานวิชา เครื่องรางของขลัง มาโชว์หรือแจกจ่ายกัน
    7.


    ห้ามนาศาตราอาวุธ ออกให้ผู้อื่นเห็นโดยไม่จา เป็น (ถึงแม้ผู้นั้นจะมีหน้าที่รักษา
    ความสงบ)
    8.


    ห้ามดื่มหรือพกพาสุราและยาเสพติดทุกชนิดภายในวัด รวมถึงห้ามผู้ที่ดื่มมา
    จากข้างนอกก่อนเข้าวัดด้วย
    9.


    ห้ามบอกใบ้หรือทา กิริยาเกี่ยวกับหวย ๆ เลข ๆ รวมถึงอบายมุขทุกอย่าง
    และการพนันทุกชนิด
    10.


    ห้ามถ่ายรูปหลวงปู่เกษม และพระภิกษุในวัดก่อนได้รับอนุญาต
    11.


    เมื่อได้เข้าพักตามที่อยู่ต่างๆ เช่น กุฏิหรือบ้านพัก ฯลฯ เมื่อจะจากไปต้องเก็บ
    งา และทา ความสะอาดสงิ่ ต่างๆ ให้เรียบร้อย
    12.


    ห้ามเอาสัตว์เลี้ยง เช่น หมา แมว ฯลฯ นัง่ นอนบนผ้าห่ม, หมอน, มุ้งที่เป็นของ
    สงฆ์
    13.


    ห้ามหยิบชิมบริโภคสงิ่ ของที่เขานามาถวายหรือฝากมาถวาย ก่อนได้รับอนุญาต
    14.


    ห้ามนัง่หลับตาภาวนาอยู่ที่ศาลาและสถานที่ส่วนรวมอื่นๆ
    15.


    ห้ามเปิดโทรศัพท์ภายในบริเวณวัดทัง้ หมดโดยเด็ดขาด
    16.


    ทุกคนไม่ควรพูดอยู่ตรงภาชนะใส่อาหารส่วนรวม (แม้ในขณะที่ทา หรือไม่ก็ตาม)
    2


    (มีสองแผ่น)
    17.


    กรุณาคัดแยกขยะก่อนทิ้ง (ขยะเปียกและเศษอาหารทิ้งในถังส่วนขยะแห้งและ
    ถุงพลาสติกทิ้งในเข่ง)
    18.


    เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วต้องล้างภาชนะด้วย
    19.


    สุภาพสตรีต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย (ไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดรูปหรือสัน้ เกินไป)
    20.


    ห้ามส่งเสียงดังหรือทา การสงิ่ ใดให้เกิดเสียงดังจนเกินไป โดยไม่มีเหตุอันสมควร
    [FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold]***


    [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold]ให้ทา ตัวเรียบง่ายแก่สายหูสายตาและจิตใจผู้มาเยี่ยมเยือน[/FONT][/FONT][/FONT]​
    [FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold]
    [FONT=BrowalliaUPC,Bold]มองแล้วให้เป็นที่สบายตา ฟังแล้วสบายหู รับรู้แล้วให้เป็นที่สบายใจ[/FONT]
    [FONT=BrowalliaUPC,Bold]ให้สมกับว่ามาหาความสบายกายหรือจิตใจ ถา้ ไม่เช่นนั้นแล้ววัดก็[/FONT]
    [FONT=BrowalliaUPC,Bold]จะหมดความหมายที่ดี (นี้เป็นคาเตือน) [/FONT]
    [/FONT]
    [/FONT][FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold]***[/FONT][/FONT][/FONT][FONT=BrowalliaUPC,Bold][FONT=BrowalliaUPC,Bold]
    [/FONT]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 กันยายน 2011
  8. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [FONT=Browallia New,Bold][FONT=Browallia New,Bold]
    เรียน ผู้มีความประสงค์จะเข้าพักที่วัดสามแยกทุกท่าน​
    [/FONT][/FONT]
    ไม่ว่าท่านจะเข้าพักที่วัดสามแยกเพื่อการทาบุญ หรือด้วยจุดประสงค์
    อื่นก็ตาม วัดสามแยกขอแจ้งให้ทราบว่าผู้เข้าพักที่วัดสามแยกทุกคน จะต้องศึกษา
    เรียนรู้พระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าตามหนังสือพระไตรปิฎก ที่ทางวัดได้จัดวางไว้
    ตามสถานที่ต่างๆ ภายในบริเวณวัด ให้ศึกษาตามกาลังความสามารถและสติปัญญา
    ของแต่ละบุคคล สาหรับท่าน​
    ที่ไม่ต้องการจะศึกษาพระไตรปิฎกนัน้ ท่านก็ไม่มคี วาม
    จาเป็นใดๆ ในการเข้าพักที่วัดสามแยก เพราะชาววัดสามแยกยินดีต้อนรับเฉพาะบุคคล
    ผู้ขวนขวายศึกษา เรียนรู้พระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าตามหนังสือพระไตรปิฎกด้วย
    ความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
    ดังนัน้ ผู้ที่มาวัดสามแยกทุกท่านควรตัง้ใจว่า ข้าพเจ้ามาที่วัดสามแยกนี้
    เพื่อมุ่งหวังประโยชน์จากการศึกษา เรียนรู้ พระธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าจาก
    หนังสือพระไตรปิฎกเป็นหลัก ส่วนการให้ทานด้วยปัจจัยทัง้สี่นัน้ ต้องถือเป็นเพียง

    ส่วนประกอบเพื่อส่งเสริมกันเท่านัน้
     
  9. พนมกุเลน

    พนมกุเลน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,618
    [​IMG]


    อันนี้ดี ที่พระไม่ควรรับเงิน
     
  10. Angel_Of_Dream

    Angel_Of_Dream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +134
    ปากเด็กวิทย์นี่สวดยอดจริงๆขอรับ
    ที่จริงคำสอนของ***เกษม
    น่าจะเก็บเอาไว้ในหลุมดำนะขอรับ
     
  11. Arthur Br

    Arthur Br สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +13
    ประเด็น ก็คือ ผมว่าท่านหลงผิดไปนะ


    หากไปวิจารณ์แรงๆ พวกคุณอาจจะโดนข้อหา

    ยุยงให้สงฆ์แตกกัน

    ระวังเอาไว้นะครับ กรณีนี้

    อนันตริยกรรม (บาปหนักมาก)


    ส่วนตัวผม เคยฟังคำสอนของพระอาจารย์เกษม นะ

    ท่านเคร่งเรื่องหลักการ..และบางทีก็มีคำสอนที่ อู้หู มากมาย


    ผมก็เห็นเหมือนกับที่ทุกคนเห็นน่ะครับ (ในคลิป)

    เพียงแต่ว่า ผมรู้สึกไม่สบายใจ ตรงจุดที่ว่า ท่านเอาบาทาไปเหยียบบนพื้นโต๊ะน่ะครับ (ซึ่งตอนนั้นมีแม่ชี มาหยิบภัตตาหาร) ละก็อีกตอน ตอนที่ท่านพูดคำไม่สุภาพ และตอนที่ท่านเอาบาทาของท่าน แนบไปที่บนบ่า ของพระลูกศิษย์วัด (ถ้าเตะ โตะ เก้าอี้..ผมว่าไม่เท่าไหร่ นะ)

    ส่วนตัวแล้ว (จากที่ได้ดูคลิปนี้แล้ว)
    ผมเห็นแล้วรู้สึกขำๆน่ะครับ (ดูแล้วรู้สึกขำ มากกว่า)


    ประเด็นก็คือว่า อะไรที่เราเห็นว่าดี-ก็ศรัทธา , อะไรที่เราเห็นว่าไม่ดี-ก็ไม่ต้องศรัทธา


    ผมหวังว่าท่านคงจะไม่ทำร้ายพระพุทธศาสนา


    ถ้าหากว่าข้อความของผมไม่ดี งั้น ลบได้ครับ
     
  12. ดาวบุ๋น5

    ดาวบุ๋น5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    605
    ค่าพลัง:
    +375
    เข้าประเด็นว่าท่านรักในวิชา แต่ไม่เคารพครูบาอาจารย์ทำนองนี้ล่ะม้างครับ

    เอาวิชาเขามาสอนคนอื่น แต่ตัวเองบอกว่าไม่ต้องไปสนใจรูปแทนตัวพระพุทธเจ้า ให้เคารพตำราพระธรรม อีกหน่อยแก้วสามประการคงเหลือ2ประการ พระธรรม กับพระสงฆ์ ตามความคิดของท่าน

    ท่านคงไม่เข้าใจกรรมนะ ..ถ้าท่านคิดแบบนั้นทุกคนก็ไม่ต้องเคารพท่านก็ได้ แค่สนใจแต่คำสอนที่ท่านมานำเสนอ ก็ไม่ต้องกราบเคารพท่านก็ได้สิครับ
     
  13. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    ไม่ต้องกลังอนันตริยกรรมครับพี่น้องครับ

    เกษม เป็นแค่นักบวช ไม่ไช่พระ มีลูกที่ไหน เอารูปพ่อมาทำลาย

    เหยี่ยบย่ำ เลว เป็นแค่นักบวชเลวๆ แค่นั้น
     
  14. Arthur Br

    Arthur Br สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +13

    ผมละหวาดเสียว คุณจริงๆ
     
  15. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688

    [​IMG]หยิบประเด็นร้อนมาเล่าสู่กันฟังตามแบบฉบับปกิณกธรรมครับ เรื่องที่มีวัดบางวัดเอาป้ายมาติดหน้าองค์พระว่า มันเป็นอิฐหินปูนทราย เป็นทองเหลือง ไปไหว้มันทำไม….เรื่องนี้เป็นประเด็นมานานแล้ว ผมเองนึกว่าจะเงียบไปแล้ว แต่พักหลังๆ เห็นว่าหนักข้อขึ้นกว่าเดิมคือ มีการรวบรวมพระพุทธรูปไปทำลายโดยการเข้าเตาหลอม ผมเลยขอหยิบเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟัง และร่วมวิเคราะห์แบบสร้างสรรค์ตามแบบชาวพุทธที่ีดีนะครับ อย่าด่ากัน…เพราะการเพ่งโทษผู้อื่นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ยิ่งจะเกิดโทษต่อตัวเรามากกว่า เรื่องไหนไม่ถูกไม่ควรก็แก้กันด้วยเหตุด้วยผล…แฮ่ๆ พล่ามซะยาว มาเข้าประเด็นดีกว่าครับ
    เรื่อง นี้เป็นประเด็นมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็เป็นที่ถกเถียงกันในสังคมชาวพุทธกัน โดยส่วนตัวผมมองว่า การที่จะไหว้หรือไม่ไหว้พระ ไม่มีใครถูกใครผิดหรอกครับ ขึ้นกับใจของแต่ละท่านมากกว่าที่จะเชื่ออย่างไร เพราะพระพุทธองค์ทรงตรัสเอาไว้ว่า..
    มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา“ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ”
    พระวัดนี้ท่านมองว่า พระพุทธรูปเป็นอิฐหินปูน จึงไม่ต้องกราบไหว้ จึงควรทำลายทิ้งเสีย เพราะท่านมองว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยกข้อความในพระไตรปิฎกมายืนยันก็เห็นจะจริงตามนั้นว่า..พระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้า สร้างกันขึ้นมาภายหลัง พระพุทธองค์ไม่ได้บอกให้สร้าง (ท่านเลยสรุปว่า พระพุทธรูปเป็นสิ่งแปลกปลอมในพระพุทธศาสนา เหอๆ) ผมเองก็ว่า
    จริงๆ ท่านมีเจตนาดีนะครับ คือ ไม่อยากให้ผู้คนยึดติดกับวัตถุมากนัก โดยเฉพาะพวกเครื่องรางของขลัง และว่าด้วยเรื่องการบูชาพระพุทธเจ้านั้นมีอามิสบูชาคือการกราบไหว้ และถวายดอกไม้ธูปเทียนของหอมต่างๆ แต่อานิสงส์ก็คงไม่สู้ปฏิบัติบูชา คือการปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ไม่ได้ (แต่โดยส่วนตัวผมว่าถ้าจะให้ดี ทำไมไม่ทำทั้งสองล่ะ ทำไมต้องเลือกทำอันเดียว..) แต่การนำพระไปทำลายทิ้งนี่ ผมเห็นว่าไม่ควรอย่างยิ่ง…


    อย่าลืมนะครับ ว่าบัวยังมี 4 เหล่า คนที่จะเข้าถึงการปฏิบัติบูชานั้นถือเป็นชนกลุ่มน้อย คนที่กิเลสหนายังมีอยู่เยอะ คนเหล่านี้ยังต้องการสิ่งยึึดเหนี่ยวให้นึกถึงพระพุทธศาสนา เช่น เห็นว่าอยู่ในเขตวัดหรืออยู่หน้าพระพุทธรูป ทำให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็อาจละชั่วแม้ชั่วขณะหนึ่ง เพราะละอายต่อบาปต่อหน้าพระพุทธองค์ หรือแม้แต่คนที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ การที่ท่านกราบไหว้พระพุทธรูป ถามว่าท่านกราบไหว้หินอิฐปูนทรายรึเปล่าก็คงไม่ใช่ เพราะสิ่งที่ท่านกราบไหว้ คือ พระพุทธเจ้าต่างหาก เพราะการเห็นพระพุทธรูปแล้วเป็นการรำลึกถึงองค์พระพุทธเจ้า ไม่ใช่การเห็นอิฐหินปูน การกราบไหว้พระพุทธรูป อย่างนี้ถือเป็นอามิสบูชา ถามว่ามีประโยชน์เท่าปฏิบัติบูชามั้ย ก็คงไม่เท่า แต่อามิสบูชาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งสูญเปล่าอย่างแน่นอน และอีกอย่าง หากจิตเราเห็นพระพุทธรูปแล้วน้อมรำลึกถึงพระพุทธเจ้า นั่นคือ ทุกครั้งที่เห็นหรือกราบไหว้พระพุทธรูปนั่นคือ เรากำลังเจริญ พุทธานุสติ นะครับ แล้วการเจริญพุทธานุสติ นี่มันไม่ดีตรงไหน มีหลายท่านที่ท่านนั่งจับภาพพระพุทธรูปจนเป็นฌานได้กันเยอะแยะ …​

    เรื่อง การนึกถึงพระพุทธเจ้านี้ ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะครับ มีตัวอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวเอาไว้หลายเรื่อง เรื่องแรก จำชื่อท่านไม่ได้ ท่านคนนี้เป็นคนที่ไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเลย ใครไปทำบุญแกก็ขวาง เวลาพระเทศท่านก็ทำเสียงดังกลบเสียงพระ เรียกได้ว่า ตายไปลงนรกแน่ๆ แต่พอถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ท่านป่วยหนัก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส จึงละทิฎฐิ คิดถึงพระพุทธองค์ อยากให้พระพุทธองค์มาโปรดก่อนตาย ท่านคิดอยู่อย่างนี้ แล้วท่านก็ตาย และได้ไปเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซะงั้น ด้วยอานิสงส์แห่งการเจริญพุทธานุสติก่อนตายนั่นเอง และต่อมาเมื่อท่านจะหมดบุญจากสวรรค์ต้องลงนรก พระพุทธองค์ก็ได้ไปโปรดท่านจนบรรลุเป็นพระโสดาบันอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีอีกหลายตัวอย่างในพระไตรปิฎกไปศึกษาเพิ่มเติมดูครับ
    เมื่อช่วงที่กำลังเป็นข่าวโครมคราม ผมไปอ่านเจอทัศนะท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง จำไม่ได้ว่าใคร เห็นว่าเข้าใจได้ง่ายดี ท่านให้เปรียบเทียบเรื่องนี้อย่างนี้ครับว่า
    เปรียบ เสมือนบุตรผู้ซึ่งมาอยู่ห่างไกลจากบิดามารดา ด้วยความสำนึกในบุญคุณแห่งบิดามารดา และเพื่อเป็นการระลึกถึงบิดามารดา จึงได้ทำร็อคเก็ตรูปบิดามารดาไว้ห้อยคอ เวลาจะทำชั่วอะไรด้วยที่คำนึงว่าห้อยร็อคเก็ตอยู่ก็ระลึกถึงคุณบิดามารดา ไม่กล้าทำชั่วให้ท่านเสียใจ และเป็นสิ่งระลึกให้ตั้งใจทำงาน
    ถามว่า ร็อคเก็ตนี้ใช่พ่อใช่แม่มั้ย …. ก็คงไม่ใช่ แล้วเราควรทำยังไงกับร็อคเก็ตที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จริงๆ ของเรา
    1. ทุบทิ้ง ทำลายทิ้งซะ เพราะมันก็แค่รูป + ร็อคเก็ต ไม่ใช่พ่อแม่เราซะหน่อย
    2. เก็บร็อคเก็ตไว้บูชา เพื่อระลึกถึงคุณท่าน และตั้งใจทำดีเพื่อท่าน
    เลือกกันเอาเองนะครับ
    จริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่แก่นหรือสาระสำคัญในพระพุทธศาสนา ก็งงๆ ทำไมถึงเกิดประเด็นพวกนี้ขึ้นมาได้ ถามว่า คนที่ไม่ห้อยร็อคเก็ต ไม่รักพ่อแม่หรือ ก็คงไม่ใช่ ถ้าใจท่านคิดถึงพ่อแม่ รักพ่อแม่จนไม่ต้องพึ่งร็อคเก็ต ด้วยใจท่านคิดถึงพ่อแม่อยู่แล้ว อย่างนี้ดีกว่าพวกที่ห้อยแต่ใจไม่เคยคิดถึงพ่อแม่เลยแน่นอน
    แต่ถ้าใครอารมณ์ใจ ยังไม่แน่วแน่ขนาดนั้น การจะห้อยร็อคเก็ต เพื่อระลึกถึงคุณพ่อแม่ ก็ถือว่าท่านมีเจตนาที่ดี น่าสรรเสริญ อย่างน้อยก็ดีกว่า พวกที่ไม่ว่าจะห้อยหรือไม่ห้อยร็อคเก็ต ก็ไม่เคยคิดถึงพ่อแม่เลย…ลองถามใจท่านเอง ว่าท่านเป็นคนประเภทไหน..

    *************************************************
    สำหรับท่านที่ยังสงสัยว่า การกราบไหว้พระพุทธรูป หรือ การสร้างพระพุทธรูป มีอานิสงส์หรือไม่ เรามาลองวิเคราะห์ กันดูครับ ตามประสาปุถุชนที่ยังไม่มีญาณหยั่งรู้​

    ฝากให้คิดเรื่อง เจดีย์
    ประเภทของเจดีย์ หรือพุทธเจดีย์
    พุทธเจดีย์ คือ สิ่งซึ่งสร้างขึ้นด้วยเจตนาเพื่อระลึกถึงและอุทิศต่อพระพุทธเจ้า และพระรัตนตรัย
    พุทธเจดีย์ มิได้เจาะจงเฉพาะแต่ เจดีย์ ที่เป็นถาวรวัตถุ สิ่งก่อสร้างเท่านั้น แต่รวมถึง พระพุทธรูป พระไตรปิฎก สังเวชนียสถาน ด้วย​

    ในตำราพระพุทธศาสนากำหนดว่าเจดีย์ มีด้วยกัน 4 ประเภท(ป.อ. ปยุตโต) คือ
    1. ธาตุเจดีย์ หมายถึง สิ่งก่อสร้างที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า ของพระมหากษัตริย์จักรพรรดิ
    2. บริโภคเจดีย์ หมายถึง สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใช้ เป็นที่ระลึกถึงพระองค์เมื่อเสด็จปรินิพพานแล้ว ได้แก่ สังเวชนียสถาน 4 แห่ง คือสวนลุมพินีวันที่ประสูติ อุรุเวลาเสนานิคม(พุทธคยา) ที่ตรัสรู้ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน(สารนาถ) ที่แสดงปฐมเทศนา และสาลวโนทยาน เมืองกุสินาราที่ปรินิพพาน
    3. ธรรมเจดีย์ หมายถึงพระธรรม คัมภีร์ในพุทธศาสนา เป็นสิ่งแทนองค์พระพุทธเจ้า ต่อมาเขียนลงเป็นตัวอักษรประดิษฐานไว้เพื่อบูชา
    4. อุเทสิกเจดีย์ หมายถึง สถานที่หรือสิ่งของที่สร้างขึ้นโดยเจตนาอุทิศต่อพระพุทธเจ้า ไม่กำหนดว่าจะต้องทำเป็นอย่างไร เช่น พระพิมพ์ พระพุทธรูป ธรรมจักร บัลลังก์ เจดีย์ เป็นต้น
    สรุปแล้ว เจดีย์ ก็คือ สิ่งที่สร้างด้วยเจตนาเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าและพระรัตนตรัย การสร้างพระพุทธรูป นี้ผู้สร้างมีเจตนาเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้า ดังนั้น พระพุทธรูปก็เป็นเจดีย์ประเภทหนึ่ง ทุกอย่างตรงไปตรงมา สนับสนุนคำสอนพระพุทธองค์ที่ว่า “ธรรมทั้งหลาย มีใจถึงก่อน มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วที่ใจ”ใจเราคิดว่าเรากำลังไหว้พระพุทธเจ้า ก็ได้ตามนั้นล่ะครับ จะไปคิดอะไรมาก
    อย่างในพระไตรปิฎกมีเรื่อง อานิสงส์การก่อเจดีย์ทราย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ก็มีอานิสงส์มากมาย ท่านๆ ก็ลองคิดดูเอาละกันครับ ว่าการสร้างพระพุทธรูปกับการก่อเจดีย์ทราย อย่างไหนทำยากกว่ากัน อย่างไหนต้องใช้กำลังทรัพย์ กำลังกายมากกว่ากัน ในเมื่อพระไตรปิฎกก็เขียนไว้ชัดเจนว่า การก่อเจดีย์ทรายก็เป็นเจดีย์ มีอานิสงส์มาก แล้วทำไมการสร้างพระพุทธรูปเพื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าจะไม่มีอานิสงส์เล่า….​

    สำหรับคนที่ขี้เกียจวิเคราะห์นะครับ มีหลักการคิดง่ายๆ ก็คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านยังไหว้พระ ท่านสอนให้ไหว้พระ และท่านก็ยังสร้างพระกันเต็มบ้านเต็มเมือง ยกตัวอย่างคือ พระแก้วมรกต ผู้ที่สร้างคือพระนาคเสน ในสมัยพระเจ้ามิลินท์ หรือเอาใกล้ๆ หน่อย หลวงพ่อฤาษี ท่านสร้างสมเด็จองค์ปฐมและได้เมตตาสอนเรื่องการชำระหนี้สงฆ์ โดยการสร้างพระพุทธรูป หน้าตัก 4 ศอกขึ้นไปจึงจะถือว่า ชำระหนี้สงฆ์ได้ ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น มีหลวงตามหาบัวเป็นต้น ท่านก็กราบไหว้พระพุทธรูป เป็นต้น…..แล้วถ้าให้เลือกว่าผมจะเชื่อใครระหว่างพระอรหันต์ กับพระหรือฆราวาสที่ไม่รู้ว่าเป็นพระอริยะหรือไม่(ผมหมายถึงทั่วๆ ไปนะครับ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงท่านใด) ที่อ่านพระไตรปิฎกจนช่ำชอง หรือที่เีรียกว่า ขรัวใบลานเปล่า (เพราะท่านเหล่านี้ ลงอเวจีมหานรกก็มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกเช่นกัน)….ผมขอเลือกเชื่อพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ สบายใจกว่าครับ โดยเฉพาะ พระนาคเสน ในหนังสือมิลินทปัญหา นี่ท่านสุดยอดจริงๆ ลองไปหาอ่านดูนะครับ​

    สรุปสุดท้าย..มันไม่สำคัญหรอกครับ ว่าพระพุทธรูปสร้างมาครั้งแรกเมื่อใด มีกล่าวในพระไตรปิฎกหรือไม่ สำคัญที่ว่า เราได้ระลึกถึงพระพุทธองค์หรือไม่ และเราได้ทำตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ต่างหาก

    ขอให้เจริญในธรรม ครับ
    เพิ่มเติม (17/01/2554)

    จากการที่ได้เสวนาธรรมกับทางลูกศิษย์วัดสามแยกดังบท comment ด้านล่าง ทำให้ผมได้ข้อสรุปที่แน่ชัดแล้วว่า เหตุที่ท่าน ทำเช่นนั้นเพราะเกิดจากการตีความพระไตรปิฎกผิดนั่นเอง
    ผมเคยได้ยินมาว่า พระอรหันต์นั้น มี 4 ประเภท ประเภทที่ 4 คือ พระอรหันต์ปฎิสัมภิิทาญาณ เป็นพระอรหันต์ผู้มีอภิญญาครบ สามารถรู้ภาษาต่างๆ ทั้งต่างประเทศ ภาษาเทวดา พรหม สัตว์ มีความรอบรู้ และที่สำคัญ แตกฉานในพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ โดยที่ท่านไม่จำเป็นต้องอ่านพระไตรปิฎกด้วยซ้ำ… แลผมเข้าใจว่าหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต คือ พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ
    [​IMG]หลวงปู่หล้า เขมปัตโต (ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโล) เคยกล่าวถึงคำสอนของหลวงปู่มั่น ในหนังสือชีวประวัติของหลวงปู่มั่น เกี่ยวกับเรื่อง พิธีปลุกเสกพระพุทธรูปผมขอยกใจความในหนังสือมาบางส่วนดังนี้……
    มีบันทึกสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ถ่ายทอดเทศนาไว้ยืนยันปฏิปทาของหลวงปู่มั่นทอดสะพานให้ลูกๆ หลานๆ ยังมีอีกมากมายนัก การเรี่ยไรแผ่ๆ ขอๆ ในทางตรงและทางอ้อม และจัดงานขึ้นในวัดเพื่อหารายได้สมทบทุนการก่อสร้างหรือซ่อมแซมเกี่ยวกับตัวเงินๆ ไม่มีในขันธสันดานขององค์หลวงปู่เลย เครื่องลางของขลังไม่มีในปฏิปทา รูปเหรียญขายพระเล็ก พระน้อยพุทธาภิเษกก็ไม่มีในปฏิปทาขององค์ท่านเลย วิชาปลุกเสกแกะหู แกะตา แคะหู แคะตาให้พระพุทธรูป หรือ ทำพิธีบวชให้พระพุทธรูป ก็ไม่มีในสันติวิธีขององค์ท่าน


    องค์ท่านกล่าวว่า สมมติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวชให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกท่านให้ตื่น ท่านตื่นก่อนเรา เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหู แคะตาให้องค์ท่าน ตานอก ตาใน หูนอก หูใน ขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภินันให้องค์ท่านเป็นอะไรอีก องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภาคภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกไปทาองค์ท่านทำไม นั้นแหละเป็นตัวบาป นั้นแหละขุมนรก ขุมมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภาคภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบเข้าข้างตัวเอง แต่ไม่เข้าข้างธรรมวินัย
    เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออก็ยังมีขึ้นไปกว่านี้มากฉไนจะรู้ได้ พูดไปมากเป็นภัย แต่มีประโยชน์แก่นักปราชญ์ แต่บาดหูผู้ไม่ชอบ และจะถูกกล่าวตู่ว่าขัดขวางรายได้แห่งวัตถุตัว ง. แต่เมื่อไม่พูดยามมีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้จะพูดเวลาไหน เพราะตายไปแล้วพูดไม่ได้ และคนเราเป็นส่วนมากมักจะเข้าใจผิดไป
    นี่เป็นบทพิสูจน์ที่แน่ชัดว่า พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านก็ยังเคารพพระพุทธรูป แค่หล่อออกมาเป็นพระพุทธรูปก็ถือว่าเป็นสิ่งระลึกถึงพระพุทธองค์โดยสมบูรณ์แล้ว โดยไม่ต้องไปพุทธาภิเษกอะไรอีก และหลวงปู่มั่นยังตำหนิการใช้พระพุทธรูปเพื่อเป็นเครื่องมือหาเงินจากพิธีกรรมต่างๆ เพราะเป็นบาป…. แล้วคนที่ทำลายพระพุทธรูปเล่า จะบาปขนาดไหนน้อ…….

    ภาพการทำลายพระพุทธรูปของวัดสามแยก..​

    [​IMG]



    [​IMG]



     
  16. DevaIsis

    DevaIsis เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,005
    ค่าพลัง:
    +4,600
  17. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452

    หลวงปู่หล้า เขมปัตโต (ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อเกษม อาจิณณสีโล) เคยกล่าวถึงคำสอนของหลวงปู่มั่น ในหนังสือชีวประวัติของหลวงปู่มั่น เกี่ยวกับเรื่อง พิธีปลุกเสกพระพุทธรูปผมขอยกใจความในหนังสือมาบางส่วนดังนี้……
    มีบันทึกสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ของหลวงปู่หล้า เขมปัตโต ถ่ายทอดเทศนาไว้ยืนยันปฏิปทาของหลวงปู่มั่นทอดสะพานให้ลูกๆ หลานๆ ยังมีอีกมากมายนัก การเรี่ยไรแผ่ๆ ขอๆ ในทางตรงและทางอ้อม และจัดงานขึ้นในวัดเพื่อหารายได้สมทบทุนการก่อสร้างหรือซ่อมแซมเกี่ยวกับตัวเงินๆ ไม่มีในขันธสันดานขององค์หลวงปู่เลย เครื่องลางของขลังไม่มีในปฏิปทา รูปเหรียญขายพระเล็ก พระน้อยพุทธาภิเษกก็ไม่มีในปฏิปทาขององค์ท่านเลย วิชาปลุกเสกแกะหู แกะตา แคะหู แคะตาให้พระพุทธรูป หรือ ทำพิธีบวชให้พระพุทธรูป ก็ไม่มีในสันติวิธีขององค์ท่าน


    องค์ท่านกล่าวว่า “สมมติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวชให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกท่านให้ตื่น ท่านตื่นก่อนเรา เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหู แคะตาให้องค์ท่าน ตานอก ตาใน หูนอก หูใน ขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภินันให้องค์ท่านเป็นอะไรอีก องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภาคภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกไปทาองค์ท่านทำไม นั้นแหละเป็นตัวบาป นั้นแหละขุมนรก ขุมมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภาคภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบเข้าข้างตัวเอง แต่ไม่เข้าข้างธรรมวินัย
    เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออก็ยังมีขึ้นไปกว่านี้มากฉไนจะรู้ได้ พูดไปมากเป็นภัย แต่มีประโยชน์แก่นักปราชญ์ แต่บาดหูผู้ไม่ชอบ และจะถูกกล่าวตู่ว่าขัดขวางรายได้แห่งวัตถุตัว ง. แต่เมื่อไม่พูดยามมีชีวิตอยู่ก็ไม่รู้จะพูดเวลาไหน เพราะตายไปแล้วพูดไม่ได้ และคนเราเป็นส่วนมากมักจะเข้าใจผิดไป“
    นี่เป็นบทพิสูจน์ที่แน่ชัดว่า พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านก็ยังเคารพพระพุทธรูป แค่หล่อออกมาเป็นพระพุทธรูปก็ถือว่าเป็นสิ่งระลึกถึงพระพุทธองค์โดยสมบูรณ์แล้ว โดยไม่ต้องไปพุทธาภิเษกอะไรอีก และหลวงปู่มั่นยังตำหนิการใช้พระพุทธรูปเพื่อเป็นเครื่องมือหาเงินจากพิธีกรรมต่างๆ เพราะเป็นบาป…. แล้วคนที่ทำลายพระพุทธรูปเล่า จะบาปขนาดไหนน้อ…….

    ===================================

    นั่นสิครับ สงสัย อเวจีมหานรก ก็เอาไม่อยู่ ต้องโลกันต์นรกเท่านั้น

    ผมละกลัวแทนจริงๆ เหมือนนิพพานเลยนะนั่นน่ะ เวลายาวนานนักหนา
     
  18. ประกายพลอย

    ประกายพลอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    616
    ค่าพลัง:
    +452
    องค์ท่านกล่าวว่า “สมมติเป็นพระพุทธรูปแล้วก็เสร็จกัน เราดีอย่างไรจึงจะไปบวชให้องค์ท่าน องค์ท่านบวชก่อนเราแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปปลุกท่านให้ตื่น ท่านตื่นก่อนเรา เข้าสู่อนุปาทิเสสนิพพานแล้ว เราดีอย่างไรจึงจะไปแคะหู แคะตาให้องค์ท่าน ตานอก ตาใน หูนอก หูใน ขององค์ท่านดีกว่าเราแล้ว จะภิเษกภินันให้องค์ท่านเป็นอะไรอีก องค์ท่านเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภาคภูมิแล้ว จะเอาไสยศาสตร์ไปพอกไปทาองค์ท่านทำไม นั้นแหละเป็นตัวบาป นั้นแหละขุมนรก ขุมมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดเต็มภาคภูมิแล้วยังสำคัญว่าเห็นชอบเข้าข้างตัวเอง แต่ไม่เข้าข้างธรรมวินัย
    เพียงเท่านี้ก็ยังไม่รู้จักผิดรู้จักถูกแล้ว ธรรมอันละเอียดลออก็ยังมีขึ้นไปกว่านี้มากฉไนจะรู้ได้ พูดไปมากเป็นภัย แต่มีประโยชน์แก่นักปราชญ์ แต่บาดหูผู้ไม่ชอบ และจะถูกกล่าว


    ======================================

    แค่แคะตา ก็นรกแล้ว นี่ล่อ เผาซะเลย คิดเอาเองก็แล้วกัน
     
  19. kongsin

    kongsin Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    208
    ค่าพลัง:
    +71
    ใครเล่าจะรู้ว่า ใครเป็นพระโพธิ์สัตว์มาจุติ
    หากท่านได้ตัดสิน การจับสึกฯ เท่ากับฆ่าท่าน ทำร้ายสงฆ์ให้แตกแยก ให้เข้าใจตามที่ตนเข้าใจ
    หากมีคนเข้าใจตามท่าน เห็นด้วย ก็ย่อมสร้างความแตกแยกทางความคิดเกิดขึ้น
    หากเมื่อ พระโพธิ์สัตว์ ได้บรรลุหลังจากนั้นเล่า เข้าถึงสถาวะอยู่ ท่านได้ฆ่าความเป็นพระ
    เพียงมโนกรรมนั้นยังต้องอบายฯ อยู่มากโข

    เพียงเพื่อปกป้อง ย่อมมีทางออกที่ดีเสมอ
    หรือเพียงแค่ทำลาย แล้วใครจะเป็นผู้ทำลาย คนอื่นหรือ ไม่เลย ท่านเองที่ทำลาย และทำลายไปแล้ว
    ด้วยมโนกรรม และ วจีกรรม อยู่ ยังชักชวนให้ผู้อื่นทำลายอยู่
    คิดดีย่อมส่งผลดีติดตัวเหมือนเงา และยังสำเร็จกิจอันควร
    หากคิดไม่ดี ย่อมน้อมนำจิตให้ตกต่ำ ผลกรรมจะตามติดโดยเร็วฉับพลันทันที่โดยทีทันใด ด้วยอปุฆาตกรรมของตนแห่งตน ไม่อาจปัดความผิดได้ เช่นลูกไม่ย่อมหล่นไม่ไกลต้นฉันนั้น
    มโนกรรม และวจีกรรม ได้กล่าวแล้ว ย่อมเป็นจริงเช่นนั้น เป็นสัจจะคือตัวกระทำ เป็นความจริงอันปรากฏ สัจจะก่อเกิดผลทันที
    ร้อนอกร้อนใจ
    หงุดหงิด
    โมโห
    โกรธ
    ไม่พอใจ
    อยากชนะ
    ใช่ไหมความรู้สึกในตอนนี้
    หยุดดูสิว่า ตัวกระทำเหล่านี้เกิดที่ใคร
    และควรจบที่ใคร
     
  20. ผู้เตือน warn

    ผู้เตือน warn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2010
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +688
    [​IMG]

    ผมบอกกล่าว เพื่อป้องกันคนตกนรกเพิ่มขึ้นครับ

    พระเดช พระคุณ หลวงพ่อพระราชพรมยานเถระเจ้า (หลวงพ่อฤษี)

    เคยกล่าวไว้ว่า
    พระพุทธรูป หน้าตัก ตั้งแต่ ห้านิ้วขึ้นไป ถ้ามีคนกราบไหว้ บูชา ยอมรับว่านี่ เป็นองค์แทน พระพุทธเจ้า จะมีเทวดามารักษาทันที ใครกราบไหว้ ระลึกนึกถึง ก็จะได้บูญ เป็นพุทธานสติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...