ใข่ทั้งหมด มีจริงในตำรารึเปล่า
การบรรลุธรรม ไม่ใข่บรรลุด้วยตำรา
แต่บรรลุด้วยจิตที่สิ้นยึด
ในปัจจุบันขณะ
ย้ำว่าไม่ใช่เราสิ้นยึดและไม่ใช่ตำรา
จะพบทางออกจากสมมุติ ต้องพบใจจริงหยอ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 17 กรกฎาคม 2021.
หน้า 5 ของ 12
-
-
อย่างมากก้อให้อยู่กับ "รู้" แต่ไม่ใช่เด่วสังขาร วิสังขาร ธาตุนิพพาน
แถมเขาสอนก้อใช้อุบาย คือเอาสมถะเข้าผสม เพราะคนฝึกมาจากทุกทิศทาง แค่จะให้จิตหยุดฟุ้ง 5 นาที ยังทำไม่ได้ เขาก้อต้องแก้ตรงนี้ก่อน แต่จะพยามไม่ให้เพ่ง
ส่วนมากก้อสอนให้เอาแค่ "เหตุ" คือสร้างสติรู้อย่างเดียว หรือจะผสมสมถะกองไหนก้แล้วแต่เขาจะสอน แต่ส่วนมากจะสอนอสุภะ เพราะมันไม่ออกจากกายใจ
แต่ไม่ใช่เอาแต่ "ผล" แบบลุงทำ ป.1 ยังไม่ได้ แต่ไปตะครุบ ด๊อกเตอร์
ลุงเปลี่ยนครูเหอะ ..ลต.เป็นพระรูปแรกที่ท่านสอนที ไปตะครุบนิพพานเลย แล้วท่านก้อบ่นตลอด ตอนหนูไปฟัง ท่านบอก มีแต่คนไม่เข้าใจ ท่านบอกมากกว่า50% ตกหมด
แถมไปวางจิตตามท่านอีก คือนิพพานเลย หนูยังนึกๆ สอนสูงแบบนี้ จะไม่ตกเกินครึ่งก้อไม่แปลกหรอก เขามีแต่สอนให้เน้นที่ "เหตุ" แต่ ลต.ไปเน้นที่ "ผล" กรณีนี้ครูต้องพินาตัวเองแล้ว เพราะเด็กตกเกินครึ่งห้องตลอด
ยิ่งบอก "ถ้ามีใครไปทำอะไรเพื่ออะไรก้อไม่ถูก" ...คือให้ทิ้งสมมุติสัจจะ ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังบอก บัวจะพ้นน้ำต้องอาศัยโคลน ..ลต.ก่อนบรรลุ ท่านไม่มีความเพียรหรอ ท่านก้อฝึกอสุภะเหมือนกัน เพียงแต่ท่านลาออกจากงาน แล้วจริงจังในทางบวชเลย
แล้วใครฟัง ลต. คือ อาการเดียวกับลุงเลย นิพพานบ่มแก๊ส วันๆ พูดแต่ว่าง ๆๆๆๆ .......ครือ เปลี่ยนไอดอลเหอะลุง -
สอนการปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรม
ทั้งอดีตและปัจจุบัน
ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ได้รับการบันทึกลงในสื่อการสอน
เพื่อนำมาเผยแผ่
ในหลายช่องทาง บนสื่อออนไลน์
(ปัจจุบันไลฟ์สดสอนกันก็ยังมีหลายช่อง)
เป็นช่องทางให้เลือกช้อปและเลือกเป็นแฟนคลับกันตามอัธยาศัย และอุปนิสัย
พอใจมากก็เป็นFC.กันไปได้
เลย
เวลาต่อมาหมดความเคารพเลื่อมใส
ก็แอบถอนตัวเงียบๆ
ไปเป็น FC ครูคนใหม่เงียบๆ ก็ทำได้
ไม่ได้กระทบกระเทือนบุคคลอื่นใด
ส่วนผลการของการสดับรับฟัง
นั้นจะเกิดประโยชน์ต่อ FC จะ
มากน้อยต่างกันแค่ไหน
ขึ้นอยู่กับ"ต้นทุน" ที่เป็นปัจจัยทั้งของเดิม
และของใหม่
และเรื่องปัจจัย "ต้นทุน" คือแรงผลัก
หรือแรงดูด
นี่แหล่ะเป็น อนัตตา ตัวแปรที่มองไม่เห็น
ดังนั้น ดี กับไม่ดี
ยาก กับง่าย
เข้าใจ กับไม่เข้าใจ
ล้าหลัง กับทันสมัย
และของคู่อื่นๆที่เกิดดับตามธรรมชาติ
ทั้งหลาย
ย่อมเคลื่อนไหวเกิดดับไปมา อยู่ท่ามกลาง
ความว่าง"สุญญตา"
ที่เป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของ
อวกาศในอนันตจักรวาล
ไม่ใช่คว่ามว่างเทียมที่มโนขึ้นมาใช้
(หลบภัย หลบความวุ่นวายเฉพาะตน)
พอเข้าใจมั้ยฮับ -
แบบนี้ไปเป็นแฟนคลับกันได้
-
คนที่พูดว่าไอ้โน่นมีจริง ไอ้นั่นมีจริง
ไอ้โน่นก็ทำได้จริง ไอ้นี่ก็ทำได้จริง
แต่มันอยู่ไม่ได้นานจริง
แล้วจะว่ามันจริงได้งัย เพราะมันเป็นสิ่ง
ที่ขัดกับคำสอน ชัดๆ
เพราะคำสอน บอกว่าสิ่งที่ มีจริง
มีแค่สิ่งเดียวคือนิพพาน
นอกนั้นมายาทั้งนั้น
ฮับ -
หลายคนกำลังเสียเวลาให้กับสิ่งไม่จริง
มากเกินไปมั้ย กำลังเดินแวะข้างทาง
ซ้ายที ขวาที
จนลืมวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ก่อนออกเดินทางมั้ย
ลองพิจารณาดูคับ
เพราะจริงๆ มันไม่ต้องออกเดินทาง
ไปไนเลยด้วยซ้ำ 555 -
มีเรียกว่าสังขารทั้งหมด
แม้แต่ร่างกายกับจิต
ก็เรียกว่ากายสังขาร เพราะมัน
เพิ่งจะมามีหลังเกิดจักรวาล
นี้เอง อีกไม่นานมันก็กลับไปไม่มี
คืนสู่ธาตุธรรมชาติ ดินคืนดิน
น้ำคืนน้ำ ไฟคืนความร้อน
ลมคืนสู่อากาศ
วิญญาณก็ไปกายใหม่ตามภูมิของจิตอวิชชา
ทุกอย่างเป็นมายาภาพ พระพุทธองค์
ตรัสของจริงมีเพียงอย่าง
เดียวคือนิพพาน
คิดไปอย่างอื่น ทำไปอย่างอื่น สวนทางหมด
ฮับ -
ทุกอย่างที่นอกเหนือจากธรรมชาติ
ปรุงแต่ง (สังขาร)ขึ้นมา
ล้วนไม่เที่ยง ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้
เพราะมันเกิดดับ เกิดดับ
ที่เกินจากธรรมชาติปรุงแต่ง ก็คือเรา
เป็นผู้ปรุงแต่ง(สังขาร)ยิ่งมายามากกว่า
ธรรมชาติปรุงแต่งอีก
แล้วจะยึดมั่นถือมั่นได้ยังงัย
เพราะมันไม่ใช่ของจริงซักอย่าง
พระพุทธเจ้าตรัสของจริงมีอย่าง
เดียวคือ
นิพพาน เท่านั้น -
ลุงเพลาๆ มั่งเหอะ เอ่ะอะนิพพานๆ ซ้ำ ๆ อะไรเนี่ยะ
อีกอย่าง จิตผ่านสภาวะ คือผ่านเพื่อละอุปทาน ใครไปสร้างอะไรขึ้นมา มันก้อค้นหาอยู่แค่กายใจตัวเอง ขัดคำสอนอะไร พระพุทธองค์ท่านก้อบอกให้ค้นหาแค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น -
ไอ้นี่ทำได้ ไอ้นั่นทำได้
ความจริงไม่ได้เป็นยังงั้น มันเป้นสังขาร
ทั้งหมด
จึงต้องตะโกนว่าของจริงนั้น พระพุทธเจ้า
ตรัสว่ามีแค่นิพพานอย่างเดียว
จะได้เลิกหลงไปยึด
ไปพอใจอย่างอื่นว่าเป็น
ของจริง เพราะมันขัดคำสอน
แม้แต่กิเลสก็สังขาร แต่ก็หลงไปว่าของจริง
จึงต้องต่อสู้กับกิเลสอย่างดุเดือด
เพราะไปยึดมั่นถือมั่นกิเลส
ใช่มั้ย ฮับ
ของจริงต้องไม่เกิดดับ จำไว้ -
เห็น มะละ แมวลุง
ความเป็น นิยตะมิจฉาทิฐิ เข้ามาลากไปทุกทีทุกที
แถมกล่าวตู่พุทธพจน์ กรรมหนักนะครับ -
พระพุทธองค์กล่าว มีอะไรจริงอีก
นอกจากนิพพาน นอกนั้นมายา
ยกตำรามาเลย -
[157] ปรมัตถธรรม 4 (สภาวะที่มีอยู่โดยปรมัตถ์, สิ่งที่เป็นจริงโดยความหมายสูงสุด - ultimate realities; abstract realities; realities in the ultimate sense)
1. จิต (สภาพที่คิด, ภาวะที่รู้แจ้งอารมณ์ - consciousness; state of consciousness)
2. เจตสิก (สภาวะที่ประกอบกับจิต, คุณสมบัติและอาการของจิต - mental factors)
3. รูป (สภาวะที่เป็นร่าง พร้อมทั้งคุณและอาการ - matter; corporeality)
4. นิพพาน (สภาวะที่สิ้นกิเลสและทุกข์ทั้งปวง, สภาวะที่ปราศจากตัณหา)
ข้างบนนี้ นี่อันนี้เคร่าๆ
ล่างนี้เป็น ข้อมูล มูลเหตุ ให้ตามไปศึกษาได้ เป็นเรื่อง คันธะธุระสะส่วนใหญ่
จะบอก ที่มาที่ไป ของ มูลเหตุ คัมภีร์ ต่างๆ มาเป็นพระไตรปิฎก
http://plcthinktank.com/e-Book/Resource/0000005306.pdf
..................................
ปรมัตถธรรมมี ๔ ประเภท
จิต
เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่ในการรู้สิ่งที่ปรากฏ เช่น เห็น ได้ยิน เป็นต้น
จิตทั้งหมดมี ๘๙ ประเภท หรือ ๑๒๑ ประเภท โดยพิเศษ
เจตสิก
เป็นสภาพธรรมอีกประเภทหนึ่งที่เกิดร่วมกับจิต รู้ สิ่งเดียวกับจิต ดับพร้อมกับจิต และเกิดที่เดียวกับจิต เจตสิก แต่ละเจตสิกมีลักษณะและกิจต่างกันตามประเภทของเจตสิก นั้นๆ เจตสิกทั้งหมดมี ๕๒ ประเภท
รูป
เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่สภาพรู้ เช่น สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น รูปทั้งหมดมี ๒๘ ประเภท
นิพพาน
เป็นธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์ นิพพานไม่มีปัจจัย ปรุงแต่งให้เกิดขึ้น นิพพานจึงไม่เกิดดับ
................................
ยกตัวอย่างมา
คำสอนมิจฉาทิฐิ มันก้บอก มีแค่นิพพานอย่างเดียว
เดี๋ยว ก็มีธาตุรู้อีก ไม่เกิดไม่ดับแบบเดียวกับนิพพาน
เดี๋ยวก็บอก เป็นใบไม้นอกกำมือ
แถไปเรื่อยๆ กล่าวตู่พระธรรมคำสอน นิยตะมิจฉาทิฐิ
ก็มาลากไปเรื่อยไปเรื่อยๆ
ตายเปล่าๆ -
เพราะทุกสิ่งมันเกิดดับตามเหตุปัจจัย
เป็นอนัตตา
เห็นยังฮับ
ยกเว้นนิพพาน -
สิงที่มี จริง มี 4 อย่าง จึงเรียก ปรมัตถธรรม พุทธพจน์ บัญญัติไว้อย่างนี้
ไม่ใช่ มีนิพพานอย่างเดียว -
จะไปแถยังงัย
ถ้าเราเข้าใจผิดก็บอกว่า เอ้อลุงยังเข้าใจ
ผิดนะ ความจริงมันคือ.....
นี่จึงจะ
เป็นมารยาทและกาลเทศะ
ของปู้พิทักษ์คัมภีร์
ส่วนความจริง 4-1=3 อย่าง
นั้นมันเป็นไตรลักษณ์ทั้งหมด
ถึงมันเป็นจริงตามสมมุติ แต่มันยึดถือมั่นไม่ได้
ประโยชน์คือทำให้รู้กระบวนการ
ของขันธ์ 5 ว่าทำงานยังงัย
มันหลอกลวง เป็นมายา
(มายาเพราะเกิดดับตามเหตุปัจจัย)
จะได้ไม่ให้ราคากับสิ่งเกิดดับ
เหล่านั้น
แค่ถือว่ามันเป็นทางผ่านที่จะต้อ
ทำความงเข้าใจ
เพื่อเป็นบันไดไปสู่ สิ่งสุดท้าย
ที่ไม่เกิดไม่ดับ และไม่
มีที่ให้ยึดเกาะแต่"มีอยู่จริง"
แน่นอน -
อาการเดียวกับที่ลุงแมวพูดเด๊ะเลย
-
-
ภาษาของพระครับ
ความหมายแบบเดียวกันครับ -
หน้า 5 ของ 12