จักระนี่........ ฝึกกันยังไงครับ
จักระ คืออะไรครับ???
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย เนี่ยฟง, 26 มกราคม 2006.
หน้า 2 ของ 2
-
-
ฝึกจักระยังไง
-
จะฝีกยังไง
ไปเรียนพลังจักรวาล
เขาสอนกันทั่วประเทศ
ศูนย์ใหญ่มี 3 ที่
1.ในซอยข้างๆๆ จัสโก้ รัตนาธิเบศร์
2. ในซอยลาซาล47 บางนา
3. คุณย่า เยาวเรศ สี่แยก ใกล้ วัดเสมียนนารี -
ความหมาย หลากหลายแบบแตกต่างกันไปแฮะ
แต่ก็คือ พลังงานที่อยู่ในทุกสรรพสิ่ง -
-
-
ฝึกแล้วจะได้อะไรบ้างครับ อยากรู้จริงๆครับ ไม่ได้ถามกวนนะครับ
-
พอเลี้ยวเข้าซอยไป
จาเห็นป้ายมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาลอยู่ทางขวามือ
เลี้ยวขวาเข้าซอยไปตามป้ายเรย
มูลนิธิฯ อยู่ขวามือจ้า -
เข้าไปอ่านรายละเอียดเรื่องพลังจักรวาล จักระ
กำหนดการเรียนการสอน หมายเลขโทรศัพท์ที่ติดต่อ
..............................ได้ที่นี่
http://www.uethailand.org/introduction_th.html
เป็นเว็บไซต์ของมูลนิธิเพื่อฝึกพลังจักรวาล
(แต่ไม่ค่อยละเอียดนักนะ)
-
ผมไปเจอข้อความนี้เข้าโดยบังเอิญ อ่านแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยแน่ใจว่าอะไรถูกต้อง หรือไม่ถูกต้องซะแล้วสิ ก็เลยตัดตอนบางส่วนที่สำคัญๆมาให้ลองอ่านกันดูครับ แล้วขอข้อคิดเห็นด้วยนะครับ อันนี้ไม่รูใครเป็นคนเขียนนะครับ จากอันนี้ครับ
http://www.nkgen.com/16.htm
..."เมื่อเรามี ปีติ สุขจากฌานหรือสมาธิก็จะมีการหลั่งสารชีวเคมีหรือสารสุข หรือสารฮอร์โมนเช่น เอนดอร์ฟิน (ENDORPHIN) ขึ้นภายในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่กระตุ้นให้เกิดความสดชื่น,แก้เหนื่อยล้าที่ร่างกายหลั่งเมื่อเกิดความสุข ความสบาย หรือภายหลังการกระทําหรือออกกําลังกายอย่างต่อเนื่องและสมํ่าเสมออันเป็นปัจจัยให้เกิดสมาธิโดยไม่รู้ตัวหรือโดยธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งทําให้ร่างกายสดชื่น และแก้ปวด แก้เมื่อยต่างๆของกายอันเป็นกระบวนการธรรมชาติของมนุษย์ สารสุขนี้โดยทั่วไปมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจอย่างสูงตามกล่าวข้างต้น แล้วไม่ได้นำไปใช้งานอย่างถูกต้อง เช่น เป็นกำลังของปัญญา และในผู้ที่มีจิตเป็นฌานหรือสมาธิ (บางท่านเป็นวสี สามารถมีปีติหรือสุขได้ตามใจปรารถนา หรือบางท่านก็เลื่อนไหลไปโดยไม่รู้ตัวเพราะความไม่รู้) จะสามารถบังคับการหลั่งสารชีวเคมีหรือสารสุขนี้ได้เกือบตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว, ทําให้ร่างกายเบาสบาย และจิตใจเกิดความสดชื่น"...
..."การมีปีติ,สุข,อุเบกขา เป็นเรื่องดี ของดี แต่ต้องนําไปใช้ให้ถูกทาง ไม่ไปยึดติดหรือติดเพลิน มิฉนั้นจะเป็นโทษอย่างรุนแรงผู้ที่เป็นจะทราบเป็นอย่างดีถึงอาการต่างๆที่แสนทรมานอย่างสุดแสนเหล่านี้ (แต่ก็มักจะไม่รู้ว่าเป็นมาจากจิตอันเกิดแต่การปฏิบัติผิดพลาด) และไม่ก่อให้เกิดปัญญาในการดับทุกข์ และกลับเป็นการตัดทอนกําลังปัญญาอย่างรุนแรงในที่สุดอีกด้วย
ตลอดจนการใช้ฌานหรือสมาธิใดๆในการทําสิ่งต่างๆ จิตที่เคยชินจากการอบรมสั่งสมบ่มไว้จักตั้งมั่นขึ้นเป็นสมาธิหรือฌานในทันทีโดยอัติโนมัติ ทําให้เกิดสภาวะเสพติดเพลินขึ้นโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน (เช่นการใช้น้อมภาพนิมิต, การน้อมนึกสิ่งใดๆเข้าไปภายในตนแม้สิ่งนั้นจะเป็นพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้า, อุคคหนิมิต, ปฏิภาคนิมิต, การใช้พลังจิตไปในทางโลกๆ, การทํางานที่จดจ่ออยู่นานๆ, การนอนแบบปล่อยกายปล่อยใจ, การอ่านหนังสือ, การดูโทรทัศน์ ฯลฯ.)
ภาวะอันสำคัญยิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาคือ ไม่ได้ทำ แต่ทำ อันหมายถึงไม่ได้ตั้งใจกระทำ แต่กระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงไม่รู้เนื้อรู้ตัวสักนิด อันเกิดขึ้นแม้แต่ในขณะหลับ!
สำหรับผู้ที่ใช้สมาธิหรือฌานไปในทางโลกๆ ขอให้สังเกตุดูเมื่อเวลาใช้สมาธิหรือฌานมากๆ จะมีอาการภายในร่างกายตามส่วนต่างๆเช่น กล้ามเนื้อส่วนต่างๆโดยเฉพาะส่วนที่ใช้ในการถ่ายทอดพลังต่างๆ หัวใจ สมอง รู้สึกราวกับว่าเต้นสั่นระริกๆอยู่ภายใน (ลองสังเกตุเวลานอนในท่าสบายๆหลังจากใช้งานในฌานหรือสมาธินั้นๆแล้ว) อันเกิดแต่ปริมาณสารชีวเคมีในกายอยู่ในสภาพเกินพอดี (Overdose) นั่นเอง...สุขที่หลั่งมาจากผลของการที่จิตมีสมาธิ มีทั้งคุณมหาศาลและโทษมหันต์เหมือนยาทั้งหลาย ขึ้นกับผู้ใช้นั่นเอง, ถ้าใช้ถูกก็เป็นยา กลายเป็นกําลังแห่งจิตในการปฏิบัติและเกิดสมาธิที่สามารถนําไปใช้เป็นประโยชน์ในการพิจารณาธรรมอันยังให้เกิดสัมมาปัญญาในการดับทุกข์, หากใช้ผิดกินเกินขนาดก็จักก่อให้เกิดโทษเป็นดั่งยาพิษ หรือเปรียบได้ดั่งยาเสพติดชนิดหนึ่ง, ดังนั้นเมื่อใดที่จิตกระทบกระเทือนเคลื่อนหวั่นไหวออกโดยการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)กับสิ่งต่างๆด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งก็ดี เช่นความคิด รูป เสียง ฯ. หรือแม้แต่การหลับไปแล้วจิตเคลื่อนออกจากฌานหรือสมาธิโดยไม่รู้ตัวด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์ จิตจึงเลิกการบังคับกายให้หลั่งสารสุขต่างๆหรือสารชีวเคมีนี้ กายอันเคยชินได้รับและเสพใช้อยู่ในระดับสูงตลอดเวลาเป็นระยะเวลานานกว่าธรรมชาติโดยปกติ จึงเกิดอาการขาดสารสุขนี้ขึ้นมา สังเกตุจากอาการที่เกิดขึ้นจะคล้ายผู้ติดยาเสพติดทั่วๆไป ทําหน้าที่เหมือนมอร์ฟีนอย่างอ่อนๆ (LIGHT MORPHIN) จึงเหมือนเสพอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อขาดหายไปจึงก่อทุกข์เหมือนกัน"..
..."หรือ ใช้รักษาผู้อื่นในบางโรค โดยอาศัยพลังงานที่ก่อเกิดขึ้นจากปฏิกริยาชีวเคมีและพลังจิต และการรวมสมาธิหรือศรัทธาของผู้ป่วยเอง (แต่ไม่แนะนําให้ปฏิบัติ เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจจะเกิดผลที่ร้ายรุนแรงกว่าที่ท่านนึกมาก ทั้งต่อผู้รักษาและผู้ถูกรักษา ดังเช่น พลังจักรวาล ฯลฯ.ทั้งหลาย)"... -
ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
-
จักร พัด
-
แสงนีออนไม่อร่อย ---
-
เว็บ http://www.khunya.in.th ครับ ของคุณย่าเยาวเรศ
เปิดอบรมจักระครับ ไม่เสียกะตังค์ด้วย แต่ต้องดูเวลานะครับ
หน้า 2 ของ 2