จับแสงขังไว้ได้, พิมพ์ดีดทางจิต วิทยาศาสตร์ได้เข้าใกล้ศาสนาไปทุกที
โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์
ท่านผู้อ่านบางท่านคงพอจะระลึกได้ว่าเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่ผ่านมา (11 เมษายน 2544) ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ 9/11 ขึ้นผู้เขียนได้เขียนบทความส่งมาจากสหรัฐอเมริกาเรื่อง นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดทำการจับแสงไว้และจัดการเอาแสงขังไว้ในภาชนะที่บรรจุก๊าซ Rubidium ได้ด้วย (แสงที่ให้ความสว่างและความร้อนที่เดินทางได้ 186,000 ไมล์ต่อวินาที นั่นแหละ)
เมื่อทดลองปล่อยแสงที่ถูกขังไว้นั้น แสงก็ออกเดินทางไปตามธรรมชาติปกติของแสงต่อไป
ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่าฝรั่งนี่ถ้าจะว่างมากเลย หาเรื่องพิเรนท์มาทำให้มันเสียเวลาเสียเงินเสียทองเปล่าๆ เหมือนกับเราเล่นทำงานวิจัยในเมืองไทยหรือยังไง?
ความจริงเรื่องการทดลองหาความจริงของธรรมชาตินี่เป็นหน้าที่ของพวกวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์เขา ถ้าไม่มีพวกนี้ (ซึ่งประเทศไทยขาดแคลนจนน่ากลัว) บรรดาเทคโนโลยีทั้งหลายมีไม่ได้หรอก
ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเรื่องที่พวกนักวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ได้ศึกษาค้นพบว่าบรรดาของแข็ง ของเหลว และก๊าซ เมื่อได้รับความร้อนแล้วจะขยายตัว
เขาทดลองจนแน่ใจและประกาศออกมาเป็นกฎแห่งธรรมชาติ เป็นทฤษฎีเอามาใช้ประโยชน์ได้ เช่น ความรู้เรื่องก๊าซได้รับความร้อนแล้วขยายตัวก็ช่วยทำให้เราก็เข้าใจเรื่องพายุและลม นานาชนิดจนสามารถอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดพายุชนิดต่างๆ รวมทั้งทำนายได้ว่าพายุจะเกิดขึ้นเมื่อไร ไปทางไหน จะป้องกันหลีกเลี่ยงได้อย่างไร
สำหรับเรื่องของเหลวได้รับความร้อนแล้วขยายตัวก็เหมือนกัน บรรดานักเทคโนโลยีก็เอากฎธรรมชาติที่เป็นทฤษฎีนี้ไปประดิษฐ์ออกมาเป็นบอยเลอร์ใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่ง และพัฒนาเป็นเครื่องจักรไอน้ำมาใช้ในเรือกลไฟ รถไฟสมัยก่อนอีก ฯลฯ
เรื่องจับแสงได้นี่ บรรดานักเทคโนโลยีก็กำลังหาทางใช้แสงเป็นตัวพามาใช้ในควอนตัมคอมพิวเตอร์ซึ่งคราวนี้แหละความก้าวหน้าทางคอมพิวเตอร์คงไปไกลอย่างจินตนาการไม่ถึงเลยทีเดียว ใครไม่เคยรู้เรื่องเรื่องปีแสงก็คงพูดกันไม่รู้เรื่องหรอก
วันนี้ (จันทร์ที่ 11 กันยายน 2549) อ่านพบข่าวในหนังสือพิมพ์มติชนว่านักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันสามารถสร้างเครื่องพิมพ์ดีดที่ใช้จิตพิมพ์ได้
คราวนี้ก็ไปกันใหญ่ เมื่อ ดร.เคลาส์โรเบิร์ต มิลเลอร์ กับ ดร.กาเบรียล คูริโอ ได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่มีชื่อเป็นภาษาเยอรมันว่า Fraunhofer FIRST ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้คลื่นสมองของคนส่งสัญญาณไปยังคอมพิวเตอร์สั่งให้พิมพ์เป็นอักษรหรือสัญลักษณ์ขึ้นบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้นิ้วจิ้มที่คีย์บอร์ดเลย เพียงแต่ต้องสวมหมวกที่ต่อสายเชื่อมไปยังคอมพิวเตอร์เท่านั้น
วิทยาศาสตร์เข้ามาใกล้ศาสนาทุกทีแล้ว
ความจริงวิทยาศาสตร์มีเงื่อนไขอยู่ข้อเดียว คือ "ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็ยังไม่เชื่อ!" เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าวิทยาศาสตร์จะปฏิเสธเรื่องผีสาง วิญญาณ หรือพลังทางจิต หากแต่ว่าที่ทางวิทยาศาสตร์ยอมรับเพียงแค่อายตนะภายนอกคือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ที่ผ่านทางอายตนะ ภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เท่านั้น เนื่องจากวัดได้ พิสูจน์ได้ แต่วิทยาศาสตร์ยังไม่ยอมรับสัมผัสที่ 6 คือ ธรรม ที่ผ่านเข้าไปทางใจ เพราะยังพิสูจน์ให้ยอมรับไม่ได้คือยังไม่น่าเชื่อถือนั่นเอง ซึ่งทางศาสนาทุกศาสนาก็สอนให้เชื่อเรื่องสัมผัสที่ 6 เรื่องจิตใจ อันทำให้วิทยาศาสตร์กับศาสนายังเข้ากันไม่ค่อยได้ มักมีข้อขัดแย้งกันอยู่เสมอ
ทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ศึกษา ค้นคว้า ทดลองมาโดยตลอดทำให้มีความรู้พอกพูนขึ้นตลอดเวลา โดยทางวิทยาศาสตร์ค้นพบฮอร์โมนและสารเคมีต่างๆ ที่ทำให้เกิดมีอารมณ์ประเภทต่างๆ ของคนเราขึ้นมา
เช่น เวลาคนมีความรักนั้นสามารถวัดได้เลยนะว่ามีสารเคมีอะไรเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติในร่างกายของคนเรา คนเราโกรธ คนเราสนุก คนเราเศร้าเสียใจ ฯลฯ ก็สามารถตรวจวัดสารเคมีที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นได้อย่างแม่นยำ
มิหนำซ้ำนักวิทยาศาสตร์ยังสามารถสังเคราะห์สารเคมีชนิดนั้นๆ ขึ้นมาได้อีกด้วย ดังนั้น การสร้างอามรณ์ที่พึงปรารถนาของคนเราจึงเกิดมียาเสพติดชนิดต่างๆ ขึ้นมานั่นเอง
การรักษาคนไข้ที่เป็นโรคจิต โรคประสาท ในปัจจุบันนี้หมอเขาใช้สารเคมีที่เป็นยารักษาทั้งนั้นแหละ
โดยหมอจะตรวจดูว่าคนไข้ที่ผิดปกติทางจิตนั้นมีสารเคมีอะไรที่มากไป หรือน้อยไป ทำให้ไม่เกิดความสมดุลจนทำให้เป็นโรคจิต โรคประสาท เพื่อตรวจพบแล้วก็จะได้เพิ่มหรือลดสารเคมีที่มีมากน้อยผิดปกติเหล่านั้นได้เพื่อฟื้นฟูความสมดุลขึ้นในร่างกายของผู้ป่วย
ดูๆ ก็คงเหมือนกับแพทย์แผนจีนโบราณนั่นแหละที่ตรวจดูความสมดุลของธาตุต่างๆ ในร่างกายและสั่งยาเพื่อให้เกิดความสมดุลของธาตุต่างๆ ในร่างกายโดยอาศัย "หลักหยิน-หยาง" นั่นเอง
เรื่องการใช้คลื่นสมองที่เป็นพลังงานมาพิมพ์ดีดนี่น่าคิดนะ เพราะทางการแพทย์ก็มีการตรวจคลื่นสมองมานานแล้ว คราวนี้ปัญหาคือว่า
"คลื่นสมองนี่เป็นจิตหรือเปล่า?"
ที่มา: มติชน
http://www.matichon.co.th/matichon/matichon_detail.php?s_tag=01act03200949&day=2006/09/20
จับแสงขังไว้ได้,พิมพ์ดีดทางจิต-วิทยาศาสตร์ได้เข้าใกล้ศาสนาไปทุกที
ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 20 กันยายน 2006.
-
-
ความจริงวิทยาศาสตร์มีเงื่อนไขอยู่ข้อเดียว คือ "ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ก็ยังไม่เชื่อ!"
นี่แหละกรอบที่แข็งที่สุด ที่เค้ายัง ไม่สามารถทลายมันออกมาได้ -
วิทยาศาสตร์ได้เข้าใกล้ศาสนาไปทุกที
ชอบคำนี้จังเลยอ่ะ -
และแล้ววิทยาศาสตร์ก็ต้องยอมแพ้ เย้ๆ
-
จับแสงมาขังไว้ ทำให้นึกถึงเรื่อง จับดวงวิญญาณมาใส่หม้อเลยครับ..อิ..อิ..
แต่เคยได้ยินเรื่องพลังงานกับการเดินทางในอวกาศของ ufo เขาใช้แสงมาเก็บไว้ในท่อสูญญากาศเหมือนกันครับ ซึ่งให้พลังงานแบบไม่มีสิ้นสุดเหมือนกัน..บางทีอาจพัฒนาไปได้ถึงขั้นนั้นในอนาคตก็ได้.. -
ถ้าให้เลือกระหว่าง นักวิทยาศาสตร์ กับ นักพลังจิต ให้อยู่ในประเทศ
ผมว่าเลือกนักพลังจิตดีกว่าอ่ะครับ เพราะว่าอาจหยั่งรู้เรื่องต่าง ๆ ที่วิทยาศาสตร์ไม่รู้
ถ้าจะดีอีก นักพลังจิตบริหารจิตถึงขั้นยกหินหนัก ๆ ด้วยพลังจิตทำงานทุกอย่างด้วยพลังจิต ก็คงจะดีนะครับ เหอะๆ ๆ ๆ ๆๆ