ถ้าไม่ทำวิปัสนา
แล้วมันจะเป็นวิปัสนาได้ยังงัยล่ะ
แล้วอย่างนี้ท่านว่ามันจำเป็นไหมที่ต้องทำวิปัสนาน่ะ
จำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องมาทำวิปัสนากัน ทั้งที่วิถีชีวิตคนเรามันก็วิปัสนาในตัวอยู่แล้ว?
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย kengloveyou, 17 พฤษภาคม 2016.
หน้า 4 ของ 4
-
-
เมื่อ จขกท อนุญาต ก็จะต่อได้
ประเด็นแรก การที่ผมมีความคิดบ้างว่าจะ ลาพุทธภูมิ หรือท้อถอย นี่ก็เป็นเพราะผมยังไม่ใช่นิตยโพธิสัตว์ แต่การที่ผมไม่เคยตั้งจิตอธิษฐานลาพุทธภูมิ ไม่เคยเปล่งวาจาสามครั้งลาพุทธภูมิต่อการระลึกถึงพระพุทธเจ้า แค่คิดนี้ มันเป็นการ ลาพุทธภูมิไปแล้วหรือ
ประการที่สอง การที่ผมตั้งใจเพียรหลุดพ้น จนได้ฌาณแต่ว่าพอจะเข้าโหมดสูงขึ้น หลังจากประคองจิตด้วยฌาณในระดับหนึ่งเป็นเวลาสามเดือนถึงห้าเดือน แต่ก่อนที่ผมจะรู้อะไรในการวิปัสสนา ผมดันระลึกชาติ ว่าปรารถนาโพธิญาณ ทำให้ผมแทนที่จะมุ่งหลุดพ้น กลับมาแสวงหาการบำเพ็ญบารมีสามสิบทัศน์ ซึ่งการปฏิบัติมันแตกต่างกัน นี่ผมถูกมารหลอก หรือครับ ในเมื่อระลึกถึงโพธิญาณนั้น มันมาพร้อมกับการบำเพ็ญบารมีสามสิบทัศน์ -
-
-
-
คุณต้องตั้งใจให้แน่วแน่ ว่าจะเลือกเดินทางไหน
เมื่อเลือกทางนั้นแล้ว ก็อย่าได้ลังเล แม้จะต้องทุกข์มากแค่ไหน ก็จะเดินไปให้ถึงจุดหมาย
ถ้าคุณเลือกหลุดพ้นในชาตินี้ ก็ให้พ้นในชาตินี้เลย จะได้ไม่ต้องทุกข์อีก
แต่ถ้าคุณเลือกทางพุทธภูมิ คุณก็ต้องมีจิตตั้งมั่นว่าจะไม่ลาพุทธภูมิ
แรกๆที่ผมปรารถนาพุทธภูมิ ผมฝันว่ามีพระองค์นึง มาบอกว่า
ผมต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก 500 ชาติ จากนั้นก็จะต้องตกนรก ในขุมที่ลึก
เมื่อพ้นจากขุมที่ลึก ก็ไปขุมที่ลึกรองลงมาเรื่อยๆ จนกว่าจะชดใช้กรรมหมด
พอพ้นจากนรก ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก 500 ชาติ
แล้วจะมาเกิดเป็นพระราชา พระองค์นั้นก็บอกว่า
ตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นไป เป็นชาติที่เริ่มต้นบำเพ็ญบารมี แล้วผมยังจะปรารถนาอีกไหม
พอตื่นมา ผมก็ทบทวนดู และตัดสินใจว่า แม้จะต้องตกนรกรับกรรมอย่างแสนสาหัส ผมก็จะปรารถนาพุทธภูมิต่อไป
ผมจะไม่ลาพุทธภูมิแน่ แม้จะต้องรับทุกข์แสนสาหัสในนรก ผมก็จะไม่ลาพุทธภูมิ
เวลาทำบุญเสร็จก็อธิษฐาน ว่าขอให้ผมมีจิตตั้งมั่นในพุทธภูมิ ขอให้ผมอย่าได้มีจิตละความปรารถนาพุทธภูมิเลย ทุกครั้ง
อีกอย่าง พุทธภูมิ ก็ส่วน พุทธภูมิ- นิพพาน ก็ส่วนนิพพาน ไม่เกี่ยวกัน
ผู้ปรารถนาพุทธภูมิก็ปรารถนาพระนิพพาน ถ้าบรรลุพระโพธิญาณก็เป็นพระพุทธเจ้าเข้าพระนิพพาน
แต่ถ้าไม่บรรลุพระโพธิญาณ ก็เป็นพระอรหันต์เข้าพระนิพพาน เหมือนกัน
อีกอย่าง กรรมฐาน 40 ก็มี อุปสมานุสติกรรมฐาน คือระลึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์
พุทธภูมิ ก็ต้องฝึกทั้งหมด ทั้ง บารมี 30 กรรมฐาน 40 (อภิญญา 5 สมาบัติ 8) โพธิปักขิยธรรม 37
หลวงพ่อฤาษีฯ ยังกล่าวอีกว่า พุทธภูมิต้อง ปฏิบัติเลยอรหันต์
เพื่อที่จะเป็นครูเขา ก็ต้องปฏิบัติทั้งหมด เพื่อให้รู้ทั้งหมด
ทั้งสมถะกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านว่า จะเลือกเดินทางไหนครับ
ส่วนฝ่ายมหายานที่บอกว่า บรรลุพระอรหันต์แล้วยังเป็นพระโพธิสัตว์ได้
ก็ต้องถามว่า ใครเป็นผู้บอก ถ้าผู้นั้นไม่ได้เป็นพระอรหันต์ อย่าไปเชื่อ
ส่วนหลวงพ่อฤาษีฯ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว
ท่านกล่าวว่า พุทธภูมิ ไม่มีทางเป็นพระอริยะเจ้าได้
ก็ต้องถามตัวท่านเองว่า ท่านเลือกจะเชื่อใคร
ท่านเลือกจะเชื่อพระอรหันต์ หรือท่านเลือกจะเชื่อใครก็ไม่รู้ กันละครับ -
-
กลุ่มที่มีญานวิถีหรือ
กลุ่มบุคคลที่มีความสามารถ
พิเศษเกิดขึ้นได้เองในระดับ
ใช้งานได้จริงโดยที่ไม่ต้อง
มาฝึกกรรมฐานอะไรเลย
จะมองเหมือนที่คุณนิพพานสุข
ตั้งเป็นหัวข้อกระทู้ครับ
ส่วนความเห็นในเรื่องนี้ไม่มีครับ
กลุ่มนั้นส่วนตัวพอรู้จักบ้าง
ประมานนี้ครับ -
มันก็ไม่เป็นวิปัสนาสิ ใช่ไหม
มันขึ้นอยู่ว่าจะเรียกกริยาของวิปัสนานั้นว่าอย่างไรน่ะ ใช่ไหม
แล้วถ้าท่านยังทำกริยานั้นอยู่ แล้วถามว่าจำเป็นต้องทำกริยานั้นไหม
มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องจำเป็นสิ ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ทำกริยานั้น
ถ้าไม่ทำกริยานั้น ก็ไม่เรียกว่าอย่างนั้น ใช่ไหมล่ะ -
ความคิดของท่านจุฬปันถก ก็เป็นความคิดของท่านจุฬปันถก
จะให้ใครไปบอกว่าท่านจุฬปันถกคิดว่าอย่างไร เป็นไปได้อย่างไร
ถ้าบอก นั่นก็ไม่ใช่ความคิดของท่านจุฬปันถก
แต่เป็นความคิดของท่านผู้บอกเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ที่ว่าท่านจุฬปันถกนั้นจะคิดอย่างไร เราคงไม่ก้าวล่วงความคิดของท่านตรงนั้น
แต่สำหรับเรา เราเห็นว่า สลด มีอยู่ 2 แบบ
แบบแรก มีแต่ความสลด แต่ไม่มีการพิจารณาให้เกิดปัญญาใดๆ
แบบสอง สลด แล้วพิจารณาเห็นทุกข์ที่เกิดจากความสลด
เห็นเหตุทีทำให้เกิดความสลด
เห็นวิธีการดับเหตุที่ทำให้เกิดความสลด
เมื่อเห็นความสลด มันก็สลดเป็นธรรมดา
แต่เมื่อเห็นความสลด เห็นเหตุแห่งความสลด เห็นวิธีการดับเหตุแห่งความสลด เห็นถึงความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตามเหตุปัจจัยของความสลด
ความสลดมันก็หายไปเป็นธรรมดา ส่วนว่าจะหายช้าหายเร็วแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังในการพิจารณา
หน้า 4 ของ 4