จิตมีจิตอวิชชาอยู่ นั้นจะถือว่าเป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 15 กันยายน 2020.

  1. เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023


    ตัวภพชาติแท้คือ....
    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๓
     
  2. เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    "ให้เรียนให้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง"

    ตามหลักความจริงที่มีอยู่ในตัวของเรา ตโจ ตจปริยนฺโต "ร่างกายนี้" มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ หนังนี้แลเป็นเครื่องพรางตามนุษย์ตาฟาง ให้ถูกกิเลสหลอกลวงว่าเป็นของสวยของงามของจีรังถาวรไปเสียหมด ตาแจ้งตาสว่างก็กลายเป็นตามืดไปหมด เพราะกิเลสมันปิด ตาไม่มีกระจกคือปัญญาส่องให้ถึงตามหลักความจริง ท่านจึงให้ใช้ปัญญาพิจารณา นี่เรียกว่าทำงาน ทำงานชอบ นี่ละชอบที่จะถอดถอนกิเลสความยึดมั่นสำคัญผิด ออกมาจากความลุ่มหลง ให้ถอนตัวออกมาด้วยความรู้ชอบเห็นชอบของปัญญา จนกระจายไปหมดทั่วสรรพางค์ร่างกาย

    จะแยกออกไปทางด้านอสุภะมันก็เต็มไปด้วยอสุภะทั้งร่างกายนี้อยู่แล้วสงสัยที่ไหนกัน เสกสรรปั้นยอว่าเป็นของสวยของงามให้กิเลสได้ใจไปทำไม เพราะสิ่งเหล่านี้กิเลสมันเป็นของปลอม มันจึงเสกของปลอมมาหลอกลวงพวกเรา ทั้ง ๆ ที่ไม่สวยไม่งาม มันก็บอกว่าสวยว่างาม เราก็เชื่อมันร่ำไป ตัวคนทั้งคนเหม็นคลุ้งไปหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตายผายลมออกมาเท่านั้น มันก็เต็มไปด้วยของปฏิกูลเห็นประจักษ์กับใจแล้ว

    ทำไมจึงไปยอมเชื่อกิเลสว่าเป็นของสวยของงามน่ารักใคร่ชอบใจอยู่ได้ หลงขนาดไหนมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติผู้จะสอดส่องเรื่องเหล่านี้ให้เห็นด้วยปัญญา เอาไปไว้ที่ไหนปัญญาจึงไม่เห็นชอบ ตามสิ่งที่มีอยู่โดยหลักธรรมชาติแห่งความจริงของตนนี้ให้ชัดเจนล่ะ นี่คือการงานชอบ พิจารณาให้ชอบตามหลักของงานที่พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้นี้

    แยกลงไปความแปรสภาพมันแปรอยู่ทุกขณะทุกเวลา ไม่ฟังความจริงนี้บ้างเหรอ ทำไมจึงไปฟังสิ่งที่ว่า นิจฺจํ เที่ยง สุขํ จะเป็นสุขไปเรื่อย ๆ เพลิดเพลินลุ่มหลงไปเรื่อย ๆ ตื่นลมตื่นแล้งไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา รู้ไหมว่ามันหลอกไปขนาดไหน ความจริงมันเป็นของแปรสภาพอยู่ตลอดเวลาตามหลักธรรมเป็นอย่างนั้น ทุกฺขํ บีบบังคับหาความเป็นอิสระไม่ได้ อนตฺตา ใครจะอาจเอื้อมถือว่านี้เป็นเราเป็นของเราให้ได้รับความสุขความเจริญเย็นใจหายจากทุกข์ไปได้ เพราะยึดสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นตนเป็นของตน

    มันจมมาด้วยความยึดความถือนี้มากมายเพียงไรมนุษย์และสัตว์เรา เพราะความเชื่อกิเลสตัวหลอกลวงตัวจอมปลอม แผดเผาสิ่งเหล่านี้ให้แหลกแตกกระจายไปถึงหลักความจริงเห็นอย่างชัดเจนด้วยปัญญา จะเอาอะไรไปเผามันล่ะ เผาเครื่องจอมปลอมของกิเลสเสกสรรปั้นยอขึ้นมานี้ นี่พูดถึงเรื่องร่างกายก็เห็นชัดเจนอย่างนี้ละ นี่ละคืองานชอบ เดินจงกรมก็เพื่อพิจารณาสิ่งเหล่านี้ นั่งสมาธิภาวนาก็เป็นงานแต่ละอย่าง ๆ ให้ชอบด้วยการพิจารณาตามหลักธรรมที่ถูกต้องนี้จึงเรียกว่างานชอบ สัมมาวายามะ ก็เข้าในจุดเดียวกันนี้ จึงไม่อธิบายให้มากไป
     
  3. เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    "ไล่กันลงไปถึงส่วนละเอียด"

    สุข ทุกข์ เฉย ๆ เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร วิญญาณ อะไรกระดิกขึ้นมากระเพื่อมขึ้นมา ตัวหลอกลวงต้องขึ้นมาพร้อม ๆ กัน

    เพราะกิเลสเป็นผู้ผลักดันให้สัญญา สังขาร วิญญาณ เกิดขึ้นมา นี่เป็นเครื่องมือของกิเลสอยู่แล้ว จึงต้องใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือ เพื่อแยกแยะให้เห็นความจริง ความปลอมนั้นก็หายไป ๆ เพราะคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แต่ละขันธ์ ๆ นั้นเป็นความจริงสามารถที่จะลบล้างสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านั้นได้

    นี่พระพุทธเจ้าท่านมอบงานให้พวกเราอย่างนี้

    แล้วให้ทำงานนี้จนกระทั่งทะลุปรุโปร่งไปตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้าแล้ว กิเลสไม่ต้องบอกมันแตกกระจายไปหมด ยึดมั่นถือมั่นในรูป กิเลสอยู่ในรูป กิเลสอยู่ในเวทนา กิเลสแทรกอยู่ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ถูกกำจัดออกด้วยตปธรรมจนไม่มีที่อยู่ เมื่อไม่มีที่อยู่ ตรงไหนจะพออยู่ได้มันก็หลบก็ซ่อนเข้าไป ๆ จนกระทั่งไปถึงจิต ไม่มีที่ไปแล้ว ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทางรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นที่อยู่ที่อาศัยที่หลบซ่อนของกิเลสมานาน ก็ได้ถูกทำลายลงไปแล้วด้วย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ด้วยอสุภะอสุภังอันเป็นธรรมของจริง

    สิ่งที่ปลอมก็แหลกไปหมด เห็นปรากฏชัดแต่ความจริงเท่านั้น กิเลสก็หาที่หลบซ่อนไม่ได้ เพราะกิเลสไม่ใช่ของจริงเป็นของปลอม เป็นข้าศึกต่อธรรมแต่ไหนแต่ไรมา จึงเอาธรรมเข้าปราบกิเลส เมื่อถูกทำลายลงไปเป็นลำดับ ๆ มันก็ยังเหลือแต่จิตอวิชชาเท่านั้น ไปอยู่ที่ตรงนั้นเพราะไม่มีที่ไป ถูกตีต้อนเข้าไป ฟันเข้าไป แหลกเข้าไป บริษัทบริวารถูกสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ฟาดฟันหั่นแหลกแตกกระจัดกระจายกันไปหมด หลงแม่หลงลูก หลงปู่ ย่า ตา ยาย ไปรวมตัวอยู่ในจิต
     
  4. เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    เอ้า "จิตเป็นอะไร"

    จิตมีจิตอวิชชาอยู่ นั้นจะถือว่าเป็นเราเป็นของเราได้อย่างไร ก็ตัวปลอมทั้งตัวมันเข้าไปอยู่ในนั้นคือ อวิชฺชาปจฺจยา นั่นแหละ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ของจิตกับของอวิชชากลมกลืนเป็นอันเดียวกัน สติปัญญาฟาดฟันลงไป ไม่นอกเหนือจากคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาเหมือนกัน ไว้ใจกันได้ยังไง

    "ถือได้ยังไงถือจิต ก็เหมือนกินข้าวทั้งเปลือก เหมือนกินปลาทั้งก้าง" เดี๋ยวมันขวางคอตายว่าไง จึงต้องแยกแยะให้มันชัดเจน

    ตป ๆ แปลว่าอะไร แปลว่าความแผดเผา เผาเข้าไป ๆ อันใดเป็นของปลอมทนอยู่ไม่ได้มันกระจัดกระจายไป อะไรเป็นของจริงทำลายก็ไม่สูญ เมื่อเป็นเช่นนั้นสติปัญญาทำลายเข้าไปตรงนั้น สิ่งที่เป็นของปลอมคือ อวิชฺชาปจฺจยา มันก็ถูกตีแตกกระจายสลายลงไปไม่มีสิ่งใดเหลือ

    สิ่งที่เหลือก็คือความบริสุทธิ์ของใจ นั่นของจริงแท้ไม่ฉิบหาย

    นั่นละที่นี่การเปลื้องภพเปลื้องชาติ สำเร็จขึ้นมาด้วยการทำลายรวงรังของอวิชชาซึ่งอยู่ภายในวัฏจิตให้กลายเป็นวิวัฏจิต บัดนี้เป็นวิวัฏจิตแล้ว วิวัฏจักรกลับไม่หมุน สิ้นสุดกันลงในจุดนั้น นี่ผู้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติอย่างนี้ สอนธรรมไว้อย่างนี้ พระสาวกทั้งหลายท่านก็ปฏิบัติแบบนี้ ตะเกียกตะกายมาด้วยความทุกข์ความลำบากเช่นเดียวกันหมด
     
  5. เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    คัดลอกเฉพาะบางส่วนจากที่มา
    http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=925&CatID=3

    เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
    เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๓

    ตัวภพชาติแท้คือ....


     

แชร์หน้านี้