ต้นจิต(อวิชชา) เป็นสังขารจิต
ที่ผุดขึ้นมาตามเหตุปัจจัย
มีสภาพเกิดดับเกิดเองดับเอง
ปลายจิต(จิตที่คิดนึกปรุงแต่ง)มีสภาพเกิดดับ
เกิดเองดับเอง
แค่รู้ ไม่ต้องยึดไม่ต้องปล่อย คับ
จิตสังขาร เกิดดับ เกิดดับควรยึดหรือ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 22 พฤศจิกายน 2021.
หน้า 1 ของ 31
-
-
การเกิดดับของจิตที่เกิดขึ้นภายในใจ
ที่ไม่เกิดดับ
และไม่ใช่เราเเต่เป็นธรรมชาติ(เป็นธรรมะ)
ส่วนจิตอวิชชา และจิตสังขาร
ก็ไม่ใช่เรา ที่เกิดเองดับเองภายในใจ
ที่ไม่เกิดดับ ตามธรรมชาติ โดยไม่มี
ผู้กระทำ ไม่มีผู้ยึด ไม่มีผู้ปล่อย
ทุกอาการของจิตเกิดขึ้นเองและดับไปเอง
ภายในความว่างของใจซึ่งเป็น
ผู้รู้ ที่ได้แต่รู้(ที่ไม่ใช่เรา)ผู้รองรับจึงไม่ใช่"เรา" เวทนาต่างๆที่เกิดขึ้นก็ไม่ใช่
เป็นรา แต่เป็นธรรมะ -
ธรรมแท้ ว่าง ว่างคือตะกอน แสดงว่าไม่ว่าง แค่สภาพธรรม นั้น
-
ลุงแมวไปศึกษาตำราผิดไปก็แบบนี้ละครับ
ยิ่งขาดหลักฐานในการปฏิบัติของตนเองยิ่งไปใหญ่
จิตก้คือจิต คือผู้รู้ เรียกว่ามะม่วง
ส่วนวิชชา และ อวิชา เป็นเจตสิก เรียกว่า
สภาพสุก เป็นวิชชา
สภาพดิบ เป็นอวิชา
จิตถ้าทำถูก ก็มี วิชชาเดินทางเข้าวิมุติ มีนิพพานเป็นที่สุด
พอไปเพิ่ม จิตอวิชา แบบฉวี โอ๊ยยยย ตายห้า
มะม่วงสุก มะม่วงดิบ มันลูกเดียวกัน
เหมือนเด็กหญิงฉวี กับนางสาวฉวี ก้เป็นคนเดียวกัน
แต่ความต่างมันคืออะไร มองออกรู้เห็น ก็แจ้งนิพพาน
สภาพ :rolleyes: -
ธรรมปลอมๆ อะไรก็ก็เกิดดับเอง
อะไรก้ไม่มีโอ้ยยยย
คว่ำคำสอน พุทธะ
พุทธะสอน ทุกอย่างเกิดดับตามปัจจัย
ธรรมปลอมๆ เอาไปเทียบกับธรรมหลวงตามหาบัวไม่ติดหรอก..
หลวงตาบัวมีแต่สอนเพียรปฏิบัติ..แต่ละฉอดมีแต่มุ่งทำความเพียร
ของปลอม จะไม่ต้องทำอะไร ทุกอย่างเกิดดับเอง แค่นี้มันก็ฟ้องแล้ว -
ที่โอ๊ยๆ อ๊ายๆ มันเป็นสังขารธรรม
ทั้งสิ้นแหล่ะฮับ -
ว่างอย่างมีความรู้ คือรู้อาการต่างๆของ
จิตสังขารที่กำลังเกิดดับอยู่
ในความว่าง
แต่ไม่ใช่ว่างอย่างอากาศ -
เพื่อให้ได้สิ่งที่คาดหวัง
เป็นความเพียรแบบ
มิจฉาฯ ถ้าเพียรเพื่อทำความเข้าใจ
และเพียรเพื่อรู้แจ้ง
ในสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่
แล้ว ตามที่พระศาสดาทรงแสดง
จึงจะเป็นการเพียรโดยสัมมา
ครับท่าน -
สภาพธรรม มันมีหมดละครับ
โอ๊ย อ๊าย ต๊ายตาย ..เพราะมันคือ ความเป็นจริงที่มี ..
แม้แต่ความกระแดะ ก็เป็นสภาพธรรม ที่มี อยู่จริง ..
จึงเรียกว่า ความเป็นจริง ..ที่ฝึกฝนก็เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริง..ในสิ่งที่มีไม่ กระแดะ
เข้าใจบ่อ
สภาพ:cool: -
กระทู้ มีแต่ นอกคำสอน อย่าเหมาเลยว่าเป็นคำสอนตถาคต
มีแต่มิจฉากะทิ
สภาพ:rolleyes: -
ในสิ่งที่มีจริง ที่พระศาสดา
ตรัสสอน
คือธรรมะ หรือธรรมชาติของสิ่ง
สังขาร(ปรุงแต่ง)กับ ธรรมขาติ
ของธรรมแท้(หรือวิสังขารธรรม
ที่ไม่มีการปรุงแต่ง)
ความพยายามที่จะเข้าใจ
หรือพยายามจะรู้นอกเหนือ
จากนี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับ
การชำระจิตให้บริสุทธิ์พ้นจาก
ความติดข้อง ความยึด
ความผูกพันธ์ -
เอาเป็นว่า
คนที่วิ่งอยู่บนเส้นทางไฮเวย์แล้ว
ก็จะเข้า
ใจในสิ่งที่ลุงแมวส่งสารได้ไม่ยาก
และจะเข้าใจได้ด้วยว่ามันไม่ใช่การ
กระแดะ
แต่มันเป็นทางเดินที่ไม่เนิ่นช้า
แต่ก็ขึ้นกับบารมีของผู้เลือก
เพราะทางที่เร็วกว่านี้
หรืออ้อมค้อมกว่านี้ก็มี นั่นมันแล้วแต่บารมี
ของผู้จะตีตั๋วเลือกช่องทาง
เอง ฮับ -
ขอแสดงความเห็นเพิ่มนะคับ ได้ยินธรรมตุ๊ดแล้วก็อดขำไม่ได้ ธรรมเดิมกลิ่นเปลี่ยน ธรรมนั้นจะเปลี่ยนไปใหม่คับ
-
ที่แตกต่าง
กัน เป็นเหตุให้เวทนาเกิด
ความพอใจหรือไม่พอใจ
ที่เกิดตามมาก็เป็นแค่สิ่งปรุงแต่ง
ไม่ว่าจะชอบ หรือชัง ก็เกิดขึ้นประเดี๋ยว
ประด๋าว แล้วก็ผ่านไปผ่านไป
ไม่ใช่สิ่งยั่งยืน ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ
พอกลิ่นจาง ก็หมดความตื่นเต้น -
ทำความเพียร ของคำสอนตถาคต
มีทั้ง สัญญาเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง
มีทั้งใช้ สัญญาเก่า สัญญาใหม่
อาศัยความคิดเป็นเครื่องสร้างสติ ด้วยการกำหนดรู้
นี่ มันถึงจะเข้าทางคำสอนพุทธะ
ไม่ใช่อะไรก้ไม่มี อย่าไปสร้างอะไรอย่าไปพยายามอะไร
โอ๊ยยยยยยยย ตายห้าอย่างเดียว
สมแล้ว ที่พระมหากัสปะ บอกว่า
เราควรจะเรียกคนที่นั่งอยู่เฉยๆ
โดยไม่เดินข้ามหรือว่ายข้ามฟาก ว่าช่างโง่เขลานัก
ธรรมฝ่ายวิสังขาร เช่น สติสัมโพชฌง
ไปจน อุเขกขาสัมโพชฌง
ก็ล้วนแล้วแต่ มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด
สมกับพุทธพจน์
โยคาเวชายเตภูริ
แปลว่า
ปัญญาเกิดจากการปฏิบัติ
ว่ามันมีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดได้อย่างไร
มันก้เลย กระแดะ ไม่ยอมรับความจริง
แม้แต่ตัวเองมีกิเกลสก็ไม่ยอมรับ
แล้วมันจะไปรู้ตามความเป็นจริงได้เยี่ยงไร คุณลุงเจ้า
กลัวแต่กิเลส สะดุ้งเฮือก อะไรอะไรก็กลั๊วกลัวกิเลส
กิเลสที่เป็นมรรค ก้ดันไปกลัว
กลัวการไปพยายามไปปรุงแต่ง
โอ้ยยยยยย ห้าเลย -
อีกทีละกัน
ธรรมฝ่าย วิสังขาร
สิ่งนี้มี สิ่งนั้นจะมีตามมาเอง
เช่น สติสัมโพชฌง เกิดขึ้นก่อนตัวแรก ที่เหลือไม่ต้องพูดถึง
อุปมาดั่ง
เปลวไฟกับแสงสว่าง
เมื่อมีแปลวไฟ ไม่ต้องกัว ว่าจะไม่มีแสงสว่าง
และแสงสว่างมันเกิดตามหลังเปลวไฟ
ฉะนั้น
ธรรมฝ่ายวิสังขารตัวแรก
หากสติสัมโพชฌงไม่เกิดขึ้น
เจ้าอย่าหวังว่า
ที่เรียงมาตามในโพชฌงมันจะเกิดขึ้นมาได้ก่อนสติสัมโพชฌง
อธิบายอีกที
อุเบกขาสัมโพชฌง ไม่มีทางเกิดก่อน สติสัมโพชฌง -
ลุงแมวไม่ได้พูดผิดนะ แล้วไม่ใช่ธรรมปลอม ก็สภาวะพุทธะนั่นแหล่ะ
พรี่ดูที่ตัวอาการ อย่าไปยึดนิกาย ยึดสีจีวร ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของกลางๆ ใครก็ฝึก ก็รู้ได้
แล้วสติปัญญา ความสามารถทางจิตแต่ละคนไม่เท่ากัน บางคนฝึกได้เร็ว บางคนช้า จุด start แต่ละคนไม่เท่ากัน
จิตมันมีสเต็ปการรู้ มันจะทำงานของมันไปเอง ยิ่งฝึกยิ่งง่าย -
เวลาฝึก จะประมาณ
เจตนาฝึก > จิตเวลารู้ผล จะปราศจากเจตนา
ปล่อยวางตัวเองก่อน > จิตค่อยรู้
แต่ของลุงแมวจะกลับด้านกันหมด
เจตนารู้ผล > แต่กลัวการเพียร
จิตรู้การปล่อยวางก่อน แทนที่จะปล่อยวางก่อนแล้วจิตค่อยรู้ ....อะไรแบบนี้
แต่อาการของจิตอวิชชา และธาตุรู้ ที่แกพูดกว้างๆ และพูดมาเรื่อยๆ แกบอกไม่ผิด -
เจ้าหน้าแดงผู้ฉลาดปราชญ์เปรื่อง
และชอบการป่วน
แต่ถูกล๊อคทางกายหยาบระงับ
การแสดง
ความคิดเห็นอย่างสิ้นเชิง
แต่นอนว่ากายทิพย์ย่อมจะถูกยมทูตล๊อคเป้าไว้เรียบร้อยแล้ว ฉลาดยังงัยก็หนี
ไม่พ้นอกุศลกรรม 55 -
ใจจะรู้ใจ
โดยไม่จำเป็นติดข้องอยู่กับคำบัญญัติ
(TechnicalTerm)ต่างๆ มากเกินไป
หน้า 1 ของ 31