จิตสังขาร เกิดดับ เกิดดับควรยึดหรือ

ค่ะ ***การที่เราฟังธรรม...แล้วคิดตามสิ่งที่ได้ยิน... มีการน้อมเข้าไปเห็นตามที่ได้ฟัง... ส่วนใหญ่คนในสมัยพุทธกาล เห็นแจ้งด้วยวิธีนี้... จะเห็นว่าไม่มีการจงใจสร้างสติ จงใจสร้างสมาธิ แต่เป็นรับการฟัง...น้อมพิจารณาตาม ...แล้วโพล้งขึ้นมาฉับพลัน อาจถึงจิตหลุดพ้นเลยก็ได้***
-นั่นหมายความว่าจะต้องสร้างนิสัยการฟังธรรม และสะสมความเห็นถูกมานับครั้งไม่ถ้วน จึงสามารถบรรลุได้แค่ขั้นฟัง

***ส่วนการภาวนา เจริญสติ หรือเป็นทำกรรมฐานใดๆก็ตาม แล้วก็เห็นแจ้งขึ้นมา ท่านพุทธทาส เรียกแบบนี้ว่า "การเห็นแจ้งตามหลักวิชา" อาจเปรียบได้เหมือนการเร่งปุ๋ย .... บางคนจิตไม่มีกำลัง ความตั้งมั่นของจิตมีน้อย จึงต้องมีการใช้อุบายต่างๆ เพื่อให้จิตตั่งมั่นพอ ... เมื่อจิตที่ตั้งมั่นแล้ว ...ก็จะเห็นสภาพของรูปนามในปัจจุบัน ถ้าความตั้งมั่นพอก็เห็นแจ้งได้เช่นเดียวกับ วิธีธรรมชาติ ...***
-อันนี้ก็เห็นด้วยค่ะ พระเถรีบางรูปก็บรรลุธรรมขณะตักน้ำ แล้วนำมาล้างเท้า(ซึ่งเป็นอิริยาบถที่ใช้ในชีวิตประจำวัน)เป็นธรรมอย่างนึง

***บางคนมีของเก่ามา ความตั้งมั่นของจิตมีมากพอ ... แต่ไม่ได้ฟังสัทธรรม หรือไม่ได้เจอพระสัจธรรม ... ก็ไม่อาจเห็นแจ้งได้***
-ก็ใช่อีก แต่คนที่มีของเก่ามากพอเค้าจะรู้วิธีมนัสสิการโดยการวางจิตเป็นกลาง จริงอยู่อาจไม่บรรลุ(เสียเวลาทั้งชาติฟรีๆ) และธรรมที่มีนั้นจะไม่สูญไป ก็แค่สร้างบุญบารมีต่อไปเพื่อรอเวลาที่จะเจอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป หรือใครสักคนที่มีบุญสัมพันธ์กันจริงๆ

***หรือบางคนเร่งปุ๋ยด้วยการภาวนา... ก็อาจเจออุปสรรค ... บางคนอาจเข้าใจในการภาวนาผิด ...หรือแม้แต่การก่ออุปทานระหว่างการภาวนา ... สิ่งเหล่านี้ ก็ทำให้ไม่เกิดความตั้งมั่นของจิตจริงๆ...***
-อันนี้ก็คล้ายการภาวนา แบบสายเกิด ภาวนาไปเกิดไป ภาวนาไปก็เพิ่มอัตตาไป เคยเป็นเหมือนกันเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว

***หรือแม้แต่บางคนอาจใช้วิธีการเร่งปุ๋ย จิตเกิดความตั้งมั่น ... แต่ระหว่างภาวนา ตั้งใจเกินไป มีเจตนาเกินไป ... ในระหว่างภาวนาก็อาจเกิดอุปทานขึ้น ทำให้ปิดบังการเห็นแจ้ง... ไม่บรรลุธรรม แต่กลับไปเห็นแจ้งตอนไม่ได้ภาวนา ตอนที่คิดไคร่ครวญธรรม ...ก็โพล้งขึ้นมาได้.... เรียกว่าเติมปุ๋ยด้วยหลักวิชา .... แต่เห็นแจ้งด้วยวิธีธรรมชาติ ... อย่างหลวงพ่อชาที่ยกตัวอย่าง ท่านภาวนาเต็มที่ไม่เห็นแจ้ง .... มาเห็นแจ้งตอนคิดพิจารณาธรรม***
-ค่ะ แต่เราก็ไม่อาจตอบสภาวะการเห็นแจ้งของใครได้อย่างถูกต้อง เท่ากับเราตอบสภาวะของตัวเราเองอย่างแน่นอน ลองสมมุติในทางกลับกัน ถ้าหากหลวงพ่อท่านไม่มีเจตนาที่จะทำจิตให้ตั้งมั่นให้มั่นคงในระหว่างการภาวนา ท่านอาจจะไม่เห็นอะไรเลยในการพิจารณาธรรมก็ได้

เข้าใจว่าการพิจารณาธรรมนั้นควรจะทำควบคู่ไปกับการภาวนาส่วนใครจะถนัดแบบไหนก็สุดแต่ใจจะเลือก สำหรับเรา เราใช้วิธีการดูจิต รู้ให้เร็ว ดับให้ทัน และเข้าใจว่าจิตก็ดิ้นรนแบบนี้ ไม่บังคับ ปล่อยไป แล้วเริ่มรู้ใหม่เมื่อมีความคิดใหม่เกิดขึ้น ก็ทำแบบนี้ซ้ำๆไป ก็พอจะเป็นสัมมาสติได้อยู่ ส่วนสัมมาสมาธิยังต้องเพียรให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย

 

ขอบคุณมากค่ะ ลุงแมว แค่อ่านอย่างเดียว ก็บันเทิงเริงใจ
แต่น่าสนใจนะค่ะ วิธีสลายกายก็เพิ่งเคยได้ยินค่ะ(๕.ปฏิบัติตามคำสอนสติปัฏฐานสูตร อ.สุภีร์ทุมทอง) ถ้าให้ดีลุงแมวแชร์ลิงค์มาก็จะดีมาก เป็นพระคุณและอนุโมทนาล่วงหน้า ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะลุงแมว ดีใจมากที่ได้อ่านกระทู้นี้มีทั้งความบันเทิงและสาระดีๆ
ลุงแมวจะเรียกข้าเจ้าว่าจะใดกะได้ น้าไก่ ยายไก่ คุณไก่ หรือบราา... ก็นามสมมุติทั้งนั้นที่ใช้ในที่นี้ แต่เรียกท่านไก่ ฟังดูแล้ว เดี๋ยวขี้กลากจะลามขึ้นหัว

 

ลุงแมวคิดในใจ

เรียก Eไก่ กะแล้วกัน

 

อันนี้ท่านตอบได้ดีโมทนาให้หัวข้อนี้

 

กระมู้คืออะไร ม่ายเข้าจาย

 

กระทู้ ก็คือ กระมู้
ลุงแมวแกสอนมา แกเก่งภาษาไทย วิบัติ

 

เฮียปราบ ลื้อกวงติง นาาา 555 เก๋าล้อเล่น 555

 

555 นอนดึกเหมือนกันนะนี่

 

ราตรีสวัสดิ์

 

ซูดหยอด ขอดูตัว ๕๕ สูงๆปลายพร้าวปลายตาลสุดขอบจักรวาลปล่อยไว้ก่อน ตื่นเช้ากวาาดบ้านถูเรือนอ่ะเรี่ยมจิง

 

สงสัยมานานนมากก ๕๕๕ บ้าบอ
แค่หิว อิ่ม อร่อย ไม่อร่อย ยังบอกไม่เป็น ๕๕ไม่พูดต่อนะ

 

นี่ๆ ท่านจะไปยุ่งอะไรกะเค้า ไปแขวะเค้า
ก่อนแล้วมาลามปาม ใช้ไม่ได้ฮับ
สร้างสังคมแบบนี้ไม่ได้หรอก
โซดาไม่ปลื้ม
อย่าให้เห็นอาการแบบนี้อีกฮับ
ถ้าไม่รีบขอโทษล๊อคมู้ว์เลยนะฮับ

 

ทะลึ่ง เกินไปล๊อคเลย 55

 

ถ้ามันไม่เกินไปจะล๊อคทำไม ระดับนี้แล้ว
ต้องมีความเป็นกลางให้สังคมฮับ