โอรเคร
ทนายจำเลย หมดข้อซักถาม กรณี้ค่ะ
จิตหลอกลวง
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย แค่พลัง, 22 มิถุนายน 2020.
หน้า 7 ของ 25
-
ผมถึงบอกว่าผมโดนสัญญานำ
-
-
เฮ๋ละเรารู้ได้งัยหยอกๆ55
-
ช่างมันเหอะแต่รู้ว่าตัวเองยังหายใจอยู่กะโอเครละผม
-
-
ทำให้ ยังพอใจ ในการมีลมหายใจ แทนที่
จะเห็นว่า ทุกข ล้วนๆ ( วิบากกรรม กุศลให้ผล )
[๘๒๒] ในญาณวัตถุ หมวดละ ๔ นั้น
กัมมัสสกตาญาณ เป็นไฉน
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ฯลฯ ความไม่หลง
ความวิจัยธรรม สัมมาทิฏฐิอันใด มีลักษณะรู้อย่าง
นี้ว่า
ทานที่ให้แล้วมีผล
การบูชาพระรัตนตรัยมีผล
โลกนี้มีอยู่
โลกหน้ามีอยู่
มารดามีคุณ
บิดามีคุณ
สัตว์ผู้จุติและปฏิสนธิมีอยู่สัมมาทิฏฐิ 10 ประการ ได้แก่
1. ทานที่ให้แล้วมีผลจริง
2. ยัญที่ทำแล้วมีผลจริง
3. การเซ่นสรวงหรือการบูชามีผลจริง
4. วิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีผลจริง
5. โลกนี้มีจริง
6. โลกหน้ามีจริง
7. มารดามีคุณจริง
8. บิดามีคุณจริง
9. สัตว์ที่ผุดเกิดขึ้นมีจริง
10. พระอรหันต์ผู้ สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง
รู้ยิ่งเห็นจริงประจักษ์ซึ่งโลกนี้และโลกหน้าด้วย
ตนเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ทั่วกัน มีอยู่ในโลกนี้
ดังนี้ นี้เรียกว่า กัมมัสสกตาญาณ ยกเว้นสัจจานุโลมิกญาณ
กุศลปัญญาที่เป็นสาสวะแม้ทั้งหมด ชื่อว่ากัมมัสสกตาญาณ
สัจจานุโลมิกญาณ เป็นไฉน
อนุโลมิกญาณ ขันติญาณ ทิฏฐิญาณ
รุจิญาณ มุติญาณ เปกขญาณ ธัมมนิชฌาน
ขันติญาณ อันใด มีลักษณะรู้อย่างนี้ว่า
รูปไม่เที่ยงดังนี้บ้าง
ว่าเวทนาไม่เที่ยงดังนี้บ้าง
ว่าสัญญาไม่เที่ยงดังนี้บ้าง
ว่าสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงดังนี้บ้าง
ว่าวิญญาณไม่เที่ยงดังนี้บ้าง
นี้เรียกว่า สัจจานุโลมิกญาณ
ปัญญาในมรรค ๔ ชื่อว่า มัคคสมังคิญาณ
ปัญญาในผล ๔ ชื่อว่า ผลสมังคิญาณ
ปล.การเห็นลมหายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่เรา
แล้วเกิด ทิฏฐิว่า จะขาดใจตาย จะอั้นใจ
ตาย เป็น อาการของ มิจฉาทิฏฐิ และ
ไม่รู้ชัดใน ความเป็นอนัตตาของการหายใจ
ถ้าตัณหา ทิฏฐิแทรก ก็จะเกิดอาการ "เฮือก"
แทนที่จะ ลมหายใจขาดสะบั้น(โดยที่ มันก็
ยังทำงานของมันปรกติทุกประการ) ฌาณจึง
ไม่มีความจำเป็น แต่ ก็ไม่ห่างจาก ฌาณ แม้น
แต่ขณะจิตเดียว ถ้าห่างเมื่อไหร่ ตัณหา ทิฏฐิ
ก็จะแทรกทันที ไม่ผลิกกลับมาโลก ก็ รวมลง
เป็นพรหม เป็นฤาษีชีไพร -
เป็นคนธรรมดาหาทำงาน
ภาวนาบ้างทำบุญย้างกะพอใจละ55 -
หลวงพ่อพุธ จะให้ อุบายข้ามฝากตาย ประมาณ ว่า
" ช่างมันเหอะ มีรู้ กะโอเครละ ไม่ตายหลอก" -
พูดถึงลมหายใจ บางที่ก็เหมือนกายมันจึ้เกียจกายใจเข้า ไม่รู้เป็นโรครึเปล่า
เลยลองไม่หายใจเข้าดู ก็กลั้นใจนั้นแหละ.
หายใจออกจนหมดปิดแล้ว หยุดกายกายใจเข้าแบบขี้เกียจเลยลองกลั้นดูก็
ได้อีกแปปนึง -
อาการ ข้ามฝากตาย จะทำได้ ทุกขณะ
จะทำงาน แบกปูน สั่งงานอยู่ ก็สามารถ ทิ้งลมหายใจหมดได้
ไม่ห่างจาก ฌาณ1-9
ฌาณ จึงไม่จำเป็น สำหรับ ผู้มีสติ มีปัญญา
แต่ก็ใช่ว่า จะห่างจาก ฌาณ -
ผมไม่เคยสงสัยเรื่องนิพพาน
-
จะเป็นอัตตาหรืออนัตตาผมกะไม่สงสัย
ผมสงสัยแค่ฐิฑิผมเอง -
หากมี ผัดกะเพราะ มันก็อย่างหนึ่ง
หากมี ความพอใจในลมหายใจออก
( บางคนรู้สึกดี เวลาหายใจออก รู้สีก
ผ่อนคลาย ก็เกิด เวทนาปักใจ ....เวทนา
หากไปเร้ามากๆ มันก็ ไม่หายใจเข้า ตาย
ไปก็มี )
บางทีไปเห็น กองคลี่ หรือ ผ่านจุดที่รู้ว่า
มีกลิ่น ก็จะ ไม่หายใจเข้า ด้วย พยาคติ
วิหิงสาวิตก ก็มี
บางคนทำอากาสากสิน ไม่หายใจออก
ไม่หายใจเข้า แต่ก็หายใจด้วย...อยู่ ก็มี -
อันนี้แหละ มิจฉาทิฏฐิ มันสับขาหลอก
คือ ถ้าเป็น สัจฉกริยา การไม่สงสัยนิพพาน
ก็ต้อง บรรลุธรรมแล้ว
หากไม่ บรรลุธรรม อะไรเลย แล้ว พูดออก
มาว่า ไม่สงสัยนิพพาน ก็อันนี้แหละ มุสาวาทา
ตัว "ทิฏฐิธรรม" ที่ขวางนิพพาน
พอชี้แล้ว ก็อย่าไป เงียบ หรือ หาจังหวะพูด
จะต้อง พิจารณาตอนเผลอ แล้วพอมันปรารภ
ว่า "ไม่สงสัยนิพพาน" ก็แทนที่จะไปเชื่อมัน
ให้ ถอยดูห่างๆ กำหนดรู้ เห็น สภาวะธรรมไป
นานๆ มันจะเกิดที พอ มันจะขยับ แล้วจำได้
ในสภาวะ มันจะยังไม่ทันกระซิบหลอก จะ เกิด
อาโลโกอุปาธิ วิชชาอุปปาธิ แทน -
เดียวต่อศีลแปบครับ
-
การเจริญสติ จะเป็นการเห็น สภาวะ กิเลส อนุสัย สังโยชน์
เวลา สติเห็น ขณะนั้น กิเลสไม่เกิดแล้ว อกุศลจะต้องดับ
หากภาวนาแล้วไปเห็น กิเลส อุปกิเลส แล้วก็ ตกใจ รีบ
กลับไป สมาทานศีล วัตร ปฏิปทา
อันนี้เป็น มิจฉาทิฏฐิ ลูบคลำศีลพรต ฌาณ แฌณ
สำคัญนะฮับ
ขณะแห่ง มรรค จะต้องไม่มีการ "กดข่มกิเลส"
ฌาณ ศีล ทาน ใน ขณะภาวนา ไม่จำเป็น
เพราะ มันมีกิจเดียว รสเดียว มาตั้งแต่ ต้น
ต้นตรง ปลายคด เป็น อฐานะ -
เพิ่มเติมเฉยๆครับ ผมเพิ่งอ่านมาพอดีเรื่องแนวๆนี้ :cool:
วิชชา ๓
[๕๔] ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ ไม่มี
ธรรมอื่นยิ่งกว่านี้ เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมากคือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง
ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอด
วิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนด
อายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เธอย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ ไม่มีธรรมอื่น
ยิ่งกว่านี้แหละ เธอเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ
ทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไป
ตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า
เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อม
เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์
กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วย
ประการฉะนี้.
ดูกรคฤหบดี อริยสาวกนี้นั้นแล อาศัยอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์ ไม่มีธรรมอื่น
ยิ่งกว่านี้แหละ เธอทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่.
ที่มา https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=808&Z=949&bgc=4 -
กำปุุถุชนที่ไหนไม่ต่อศีล
-
หน้า 7 ของ 25