จิตอาสากลางไฟใต้ : ความงามที่มีอยู่ในหัวใจมนุษย์
<SUP></SUP>
ความสุขที่แท้จริง คือ สุขที่เกิดจากใจที่บริสุทธิ์ และสุขที่ง่ายที่สุดคือสุขจากการเป็นผู้ให้ หากเราเห็นผู้อื่นมีความสุขและเราได้คำตอบกับตัวเองว่า นั่นหละเป็นความสุขของเราด้วย ถือว่าเราได้ผ่านการเจียรนัยจิตใจให้วิวัฒน์ผ่องแผ้ว ยกระดับจิตวิญญาณไปสู่ความเปี่ยมสุข จิตตื่นรู้(open mind)เกิดพลังการเรียนรู้และสร้างสรรค์โลก อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ย้อนกลับในวันที่ประชุมพูดคุยถึงพื้นที่การทำงานที่แผนพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรีสฤษดิ์วงศ์ (มสส.) เรา (บรรดาวิทยากรกระบวนการ) ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีในแวดวงคนทำงานทั้ง กลุ่มวิทยากรที่มาจากกรมอนามัย,จากโรงพยาบาลบ้านตาก,และนักวิชาการที่เราพบเห็นผลงานของท่านบ่อยครั้ง พร้อมกับกลุ่มของผมที่เป็นวิทยากรกระบวนการรุ่นใหม่ๆ ที่ได้รับโอกาสเข้ามาเรียนรู้ในกระบวนการขับเคลื่อนในแผนพัฒนาจิตเพื่อสุขภาวะ ที่มองภาพของระบบสุขภาพที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ เป็นคานงัดที่ดีของสังคม เชื่อว่าหากเราพัฒนาระบบตรงนี้ สังคมน่าจะเปลี่ยนแปลงได้โดยการมีสุขด้วยปัญญาและความดี
ในวันนั้นเราพูดคุยกันเกี่ยวกับพื้นที่การทำงานที่ มีด้วยกัน ๔ ภาค (ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ผมและทีมงานเลือกภาคใต้เหตุเพราะว่า ผมเองมีงานวิจัยที่ต้องลงไปทำที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่แล้ว และในส่วนตัวคิดว่า เป็นโจทย์ที่ท้าทายอย่างมาก หากเราต้องไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนที่ทำงานท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น จนเราคุ้นชินกับข่าวสารที่ทารุณโสตเหล่านั้น
พวกเราคนไทยที่อยู่ต่างถิ่น ได้รับรู้ผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง ถึงความรุนแรงท่ามกลางไฟใต้ แต่เราไม่มีทางรู้เลยว่า คนทำงานท่ามกลางวิกฤตแบบนั้น พวกเขาคิดอะไร...ข่าวสารดีๆต้องซื้อเพื่อให้สื่อสารสาธารณะ แต่ข่าวร้ายกลับสื่อสารได้ง่ายๆฟรีๆ ตามวิถีธุรกิจสื่อที่รับใช้ทุนนิยม
เราจะมีโอกาสได้รับรู้สิ่งดีๆที่มีอยู่ท่ามกลางไฟใต้ได้บ้างไหม?
ระยะเวลา ๖ เดือนจากเวทีที่ ๑ ถึงเวทีที่๓ ที่ผมและทีมงานวิทยากรกระบวนพร้อมทีมสื่อประกอบไปด้วยนักเขียนสารคดี ,สื่อมวลชนอื่นๆ ได้เข้าไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่ภาคใต้ เราจัดเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขึ้นในพื้นที่ เพื่อไปค้นหา การพัฒนาสุขภาวะทางวิญญาณ หรือ สุขภาวะทางปัญญา นั่นคือ Spiritual Health Development โดยใช้ กระบวนการจัดการความรู้ (knowledge management) ที่เราต่างก็เชื่อว่าน่าจะเป็นกระบวนการที่สามารถสร้างความรู้ที่สอดคล้องทั้งในคนและบริบทพื้นที่
กลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มาจากโรงพยาบาลชุมชนทั้งหมด ๖ แห่งด้วยกัน ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นโรงพยาบาลชุมชนที่ประสบความสำเร็จในการบริการด้วย Humanized health care คือ จาก จ.ปัตตานี โรงพยาบาลหนองจิก และโรงพยาบาลกระพ้อ , โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จ.ยะลา,จ.สงขลา มีโรงพยาบาลเทพาและโรงพยาบาลนาหม่อม จาก จ.สตูล ได้แก่โรงพยาบาลละงู
จากโรงพยาบาลที่เป็น “องค์กร” มาถึง “ตัวบุคคล” ที่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ทุกคนที่ถูกคัดเลือกเข้ามาร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทั้งหมด ๑๗ คน จาก ๖ โรงพยาบาลข้างต้น ...พวกเขามีเรื่องราวที่ดี เป็น “จิตอาสา” ที่เป็นสเมือนแสงไฟที่ลุกสว่างท่ามกลางความมืดสลัวของพายุแรงที่ปลายด้ามขวาน
ด้วยวิชาชีพและเมล็ดพันธ์ที่ดีของพวกเขา สิ่งดีๆที่ร้อยเรื่องผ่านเรื่องเล่า เป็นความจริงที่ออกมาจากคุณค่าของมนุษย์ที่รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกันโดยไม่มีเงื่อนไข...
การก้าวผ่านเรื่องราววิกฤต การก้าวผ่านบาดแผลของชีวิต และผลลัพธ์ในการทำเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม ผ่านการบริการทางการแพทย์ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ในมุมมองของหลายคนว่า พวกเขาอยู่ได้อย่างไรท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงนั้น มีเหตุผลอะไร ?และการที่พวกเขาทุ่มเทชีวิตกายใจเพื่อผู้อื่นอย่างไม่กลัวลำบาก ปฏิบัติต่อผู้ป่วยเสมือนญาติ เป็นทุกข์ เป็นร้อนเมื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเจ็บปวด...จิตใจที่กล้าแกร่งสวยงาม เขาหล่อหลอมมาจากสิ่งใด?
โจททย์ที่ถูกตั้งไว้ เป็นเสมือนประเด็นนำที่เราต้องการทราบคำตอบ ผ่านคำถามมากมาย
· แนวคิดและวิธีการทำงานที่ทำให้เกิดการพัฒนาจิตปัญญา
· กิจกรรมที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาจิต
· การจัดองค์กรที่เอื้อต่อการพัฒนาจิต
· ระดับการพัฒนาจิตปัญญา รวมถึงประเมินและตัวชี้วัด
ดูเหมือนโจทย์ที่เราตั้งไว้จะเข้มข้นเหมือนถอดเป็นการถอดบทเรียนชีวิตที่ละเอียดทุกแง่มุมทั้งเชิงกว้างและลึก ข้อมูลเหล่านี้เราตั้งใจว่าจะใช้กระบวนการ KM ในเวทีทั้งสามเวทีที่ออกแบบมาอย่างปราณีต ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ภายใต้บรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ (Optimizing Learning environment)เราให้ความสำคัญกับ พื้นที่ อารมณ์ ความรู้สึก และความพึงพอใจของผู้เข้าร่วมเวทีฯมากที่สุด(optimal) เมื่อทุกคนอยู่ในท่ามกลางภาวะที่เป็นสุข ผ่อนคลาย เราเชื่อว่า ณ ตรงนั้น เป็นพื้นที่-เวลาที่เหมาะสมในการเปิดใจพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนเรื่องราวของตัวเอง ผ่านการเล่าเรื่อง(Storytelling) พร้อมกับการนิ่งฟังอย่างลึก(deep listening) ของผู้เข้าร่วมเวที ร่วมชื่นชมและเรียนรู้ตัวเอง ไปกับกระบวนการเรียนรู้ปราณีต ที่เราจัดขึ้น...
เปิดเวทีแรก...ที่กลางเมืองหาดใหญ่
บรรยากาศในเวที น้ำตาแห่งความปีติท่วมท้น ในขณะที่เรื่องราวที่เล่าขานก็พร่างพรู ชีวิตบางครั้งก็เหนือความคาดหมายเป็นรูปแบบชีวิตที่ซับซ้อน (Complex life-form) บางครั้งก็เหมือนนิยาย แต่ทั้งหมดนี่คือชีวิตจริง...จากเรื่องของตัวเอง ไปถึงเรื่องราวบริบทการทำงานผ่านวิชาชีพที่ต้องคอยบริบาลผู้เจ็บไข้ได้ป่วยที่ระทมทุกข์ทั้งกายและใจ กระบวนการเยียวยาผู้ป่วย พร้อมๆกับเยียวยาจิตใจผู้รักษาไปด้วย... “ชีวิตสอนชีวิต” ที่เปี่ยมไปด้วยความหมาย (Meaningful)บางครั้งชีวิตก็เล่นตลก จนต้องรำพึงกับฟ้า ว่า “จะทดสอบอะไรกันหนักหนา” พร้อมกับเสียงสะอื้นร่ำไห้ของพยาบาลสาวโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งใน จ.สงขลา บรรยากาศในเวทีเงียบสงบ เมื่อทุกคนต่างใจจดจ่อกับเรื่องเล่าจากปากของผู้เข้าร่วมกิจกรรม หลายคราที่ผู้เล่าพยายามเค้นเสียงพูดที่เล่าปนกับเสียงสะอื้น สั่นคลอ ในเรื่องจริงที่เขาและเธอเผชิญ เป็นเรื่องจริงอีกมุมที่เขาได้ข้ามผ่านมาแล้ว
บ่อยครั้งที่ผมในฐานะวิทยากรกระบวนการค่อยๆกลืนก้อนแข็งที่จุกในลำคอพร้อมกับสะอื้นร่ำไห้ในใจเงียบๆเมื่อรับรู้เรื่องราวเหล่านั้น...ที่พวกเขาต่างเรียกอดีตนั้นเป็นเสมือน ปุ๋ยให้เมล็ดพันธุ์ดีๆได้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป
ในเวทีแรกเราได้ข้อมูลผ่านเรื่องเล่าที่มากมาย ในเวลาสองวัน ส่วนหนึ่งถือว่าเป็นบริบทชีวิต ที่พวกเขาได้ก้าวผ่าน อย่างไรบ้าง เรื่องราวแบบนั้นช่วยให้เขาเติบโตทางจิตวิญญาณได้อย่างไร และเรื่องราวเหล่านั้นเป็นต้นทุนของชีวิตและของการบริการทางการแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์อย่างไร ...เมื่ออ่านจากเรื่องราวที่สรุปได้จากเวทีแรก เราก็จะได้เห็นพัฒนาการชีวิตอันประกอบด้วยวิธิคิด มุมมอง และการปฏิบัติ ถือว่าโดยรวมของเวที เป็นการค้นหาตัวเอง(Self searching) สิ่งที่ได้เพิ่มคือ ได้รับรู้เรื่องราวผ่านประสบการณ์(experiencing)ของผู้อื่น ช่วยขัดเกลาจิตตัวเองอย่างอ่อนโยน...เช่นเดียวกับวิทยากรที่อิ่มเอมกับเรื่องราวสิ่งดีๆที่ได้สัมผัส และเรียนรู้ไปพร้อมๆกับผู้เข้าร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้
จากเวทีที่ ๑ ต่อด้วยเวทีที่ ๒
เราออกแบบเวทีที่สองเป็น “การนำเสนอการทำงานจิตอาสาขององค์กร” กิจกรรมที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาจิตปัญญา รวมไปถึงการจัดองค์กรที่เอื้อต่อการพัฒนาจิต...
ความน่าสนใจของเวทีที่ ๒ อยู่ที่ วิธีคิดของผู้บริหาร บวกกับความผูกพันรักองค์กรของคนทำงานในองค์กร เราจะเห็นการร่วมคิด ร่วมทำให้ องค์กรที่เป็นเสมือนบ้านของตัวเอง อบอุ่น มีความสุขได้อย่างไร ...วิธีคิดที่เริ่มจากองค์กร สู่ชุมชน การทำงานจิตอาสาเป็นการทำงานด้วยใจที่เป็นผู้ให้ ขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงพยาบาลในทุกปัจจัย
ผ่านมาถึงเวทีที่ ๓ เราให้โจทย์ให้ทุกคนช่วยคิด
จัดให้มีการนำเสนอภาพกิจกรรมและถ่ายทอดเรื่องราวของการทำงานจริงในโรงพยาบาลผ่านการนำเสนอไม่จำกัดรูปแบบ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม ...เวทีนี้เราได้เห็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างตั้งใจของผู้เข้าร่วมเวที กลเม็ดเคล็ดลับที่เกิดจากการทำงานในบริบทเฉพาะถูกนำมาถ่ายทอด ...กระบวนการเรียนรู้ในเวทีนี้เป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ การซึมซับเรื่องราวการทำงานขององค์กร ทำให้สิ่งดีๆของแต่ละแห่งถูกนำมาประมวลสังเคราะห์ขึ้นในเวทีอย่างไม่รู้ตัว ...หลายคนให้คำมั่นว่ากลับไป เขาจะไปทำอะไร และเขาได้อะไรมากมายจากการที่มาร่วมเรียนรู้ในแต่ละครั้ง ตามโจทย์ที่ถูกออกแบบมาอย่างปราณีต
เรื่องราวทั้งหมด ถูกเรียงร้อยและสังเคราะห์ ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Transformation) ใน ๓ ระดับ คือการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานระดับบุคคล (Personal Transformation) การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานระดับองค์กร (Organization Transformation) รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงระดับสังคม (Social Transformation) ที่ชัดเจนและสามารถวิเคราะห์ให้เห็นได้เป็นระดับ บุคคลและองค์กร ส่วนในระดับที่ ๓ ในระดับสังคมนั้น อาจเป็นผลผลัพธ์ในการขับเคลื่อนในอนาคตต่อไป
กระบวนการทั้ง ๓ เวทีได้สิ้นสุดลงแล้ว...
แต่นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น กระบวนการต่อไปเป็นการสื่อสารสาธารณะ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาจิต เชื่อมโยงเป็นเครือข่าย มีการเรียนรู้ร่วมกัน สร้างปัญญาร่วม(Collective Wisdom)ให้เป็นพลังแห่งการพัฒนาที่มีจิตใจสูง ให้เกิดความสุขการสร้างสรรค์ เป็นโครงสร้างที่มีจิตวิญญาณ และมีพลังจะเยียวยาโลกที่กำลังเจ็บป่วย
จากบทบาทการทำงานของผมในฐานะ วิทยากรกระบวนการ ในแต่ละครั้งในการจัดเวทีเรียนรู้ ผมครุ่นคิดถอดบทเรียนได้คำตอบกับตัวเองหลายเรื่อง เมื่อทบทวนตัวเอง จากเรื่องราวชีวิตที่หลากหลายที่ผ่านเข้ามาให้ผมได้ เรียนรู้ ด้วยใจที่ใคร่ครวญ ความสุขที่แท้จริง คือ สุขที่เกิดจากใจที่บริสุทธิ์ และสุขที่ง่ายที่สุดคือสุขจากการเป็นผู้ให้ หากเราเห็นผู้อื่นมีความสุขและเราได้คำตอบกับตัวเองว่า นั่นหละเป็นความสุขของเราด้วย ถือว่าเราได้ผ่านการเจียรนัยจิตใจให้วิวัฒน์ผ่องแผ้ว ยกระดับจิตวิญญาณไปสู่ความเปี่ยมสุข จิตตื่นรู้(open mind)เกิดพลังการเรียนรู้และสร้างสรรค์โลก อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
----------------------------------
“Teach this triple to all : A generous heart, kind speech, and a life of service and compassion are the thing which renew humanity.”
“คำสอนอันเป็นความจริง แท้หรือสัจจะ ๓ ประการที่ครอบคลุมทั้งหมด คือหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่, มธุรสวาจาและให้ความช่วยเหลือและเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ทรมานของชีวิตผู้อื่นนั่นคือสิ่งที่ทำให้หัวใจของความเป็นมนุษย์ สร้างใหม่ขึ้นมาได้”
<HR>ผู้อยู่เบื้องหลังความงดงามของการถอดบทเรียนการแพทย์ที่มีหัวใจความเป็นมนุษย์
ขอบคุณ มูลนิธิสดศรี - สฤษดิ์วงศ์ (มสส.) และมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ ขอบคุณทีมงานวิทยากร อ.ธันยพร วณิชฤทธา,คุณสร้อยฟ้า เสริฐแก้ว
ขอบคุณ จิตอาสา ทั้ง ๑๗ ท่าน จากโรงพยาบาลชุมชนทั้ง ๖ แห่ง
ขอบคุณ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช,นพ.สมศักดิ์ ชุนหรัศมิ์,นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์,นพ.ดร.สกล สิงหะ และ นพ.เต็มศักดิ์ พึ่งรัศมี ผู้จุดประกายเติมเต็มพลังทางวิชาการ กำลังใจและจิตวิญญาณแห่งวิชาชีพ
ขอบคุณ ผู้ประสานงาน คุณสมหญิง สายธนู พร้อมด้วยคณะทีมงานเจ้าหน้าที่ สื่อมวลชน
<HR>
ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลและประสบการณ์ดีๆของคุณจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร - Local Focus - จิตอาสากลางไฟใต้ : ความงามที่มีอยู่ในหัวใจมนุษย์
จิตอาสากลางไฟใต้:ความงามที่มีอยู่ในหัวใจมนุษย์
ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 10 มิถุนายน 2009.