อ่านครบ สามรอบหรือยัง
แล้ว อ่าน แต่สีแดง สองประโยคนั้น ซิ
จิต กับ วิญญาณ คือ ตัวเดียวกันหรือคนละตัว?
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นิพพิชฌน์55, 18 เมษายน 2016.
หน้า 11 ของ 14
-
คนที่ตากแดด แล้วร้อน เป็นทุกข์...เพราะอายตนะนั้นมีเวทนาอยู่
ส่วนคนที่ตากแดดแล้วอาจร้อนแต่ไม่ทุกข์...เพราะ..ย่อมไม่มีเวทนาอยู่ในอายตนะนั้น
อายตนะมีอยู่เพื่อ บ่งบอกว่า มีอัตตา อยู่...หรืออัตตาไม่มีอยู่ -
เวลาสนทนาธรรม เพื่อให้ตนเองได้เกิดปัญญา...อย่าไปมัวเสียเวลา กับคนอื่นให้เสียสมาธิ เสียสภาวะอารมณ์.....มันไม่ได้ทำไห้ตนเองดูดีขึ้นมาได้หรอก....
-
-
วิมุตติวิญญาณไม่มี เหตุวิญญาณเป็นขันธ์ห้าโดยแท้ -
-
ขอบคุณกับบทนี้อีกเช่นกันครับ
ข้อความก็ชัดเจนอยู่ว่า "ไม่เห็นได้โดยง่ายเลย"
อีกข้อความ "กิเลสเครื่องกังวลย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้รู้" ก็ให้ดูกิเลสถ้ายังมีอยู่ก็ต้องพึงรู้ไว้ว่ามีอวิชชาอยู่ (การจะกล่าวว่าเห็นอวิชชาจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะเห็นได้เลยว่าอวิชชามันอยู่ไหน ... พอดีเห็นคำถามคุณ kenny จึงขอตอบลองดูนะครับ... แทรกโฆษณาสักหน่อย ^ ^ )
สาธุ -
กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี
ตามมาอ่านครับ ผู้หญิงก็เก่งเหมือนกันนะ...สาธุ
-
รอดูว่าจะมีใครอธิบายได้ละเอียดแยบยลถึงเรื่อง วิญญาณ ก็ยังไม่มี
ดังนั้นผม ขออธิบายแบบจำเพาะได้ดังนี้
วิญญาณ จำแนกได้
1วิญญาณ อันประกอบอยู่กับจิต อันเป็นเจตสิก อันเป็นธรรมชาติปกติธรรมดาของมัน
ในที่นี้ เราจะเรียกมันว่า จิตวิญญาณ ในทางวิทยาศาตร์เราเรียกว่า จีโนม หรือDNA อันเป็นลักษณะจำเพาะ ของใครของมัน ในทางพุทธ จิตวิญญาณ เป็นธาตุ แต่อาศัย ธาตุตั้งต้นคือ จิตธาตุ สัมปยุตกับ เจตสิก คือวิญญาณธาตุ เป็นจิตวิญญาณ ซึ่งมีลักษณะจำเพาะ ของใครของมัน
อาศัย กรรมทั้งดีชั่ว ที่สั่งสมมา เกิดเป็นอนุสัยประกอบอยู่กับจิตวิญญาณดวงนั้นๆ
2วิญญาณที่เกิดใหม่ เพราะมีเหตุปัจจัย ทำให้มันเกิด อันได้แก่
สังขาระวิญญาณ
สัญญาวิญญาณ
เวทนาวิญญาณ
วิญญาณฝ่ายที่สืบเนื่องจากอายตนะเป็นเหตุปัจจัย อื่นๆอันได้แก่
จักษุวิญญาณ
โสตตวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ
เมื่อเรากล่าวถึงวิญญาณ ควรจำเพาะว่าคือส่วนใด จำพวกใด เมื่อเราจำเพาะลงไปถูกตัวเรา เราย่อมกล่าวขยายส่วนนั้นได้ตรง เพื่อความกระจ่าง
ที่สุดแล้ว ในปฏิจสุปปบาท อิทัปปัจยตา กล่าวเป็นเหตุเป็นผลให้ควรจดจำและทำความเข้าใจว่า
ไม่ว่าอะไรจะเกิดก่อนหลัง สืบเนื่องสันตติอย่างไร สรรพสิ่งย่อมมีเหตุปัจจัย ผลจึงย่อมปรากฏ
อวิชาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขาร
สังขารเป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดวิญญาณ
วิญญาณเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนามรูป
นามรูปเป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดสฬายตนะ
สฬายตนะเป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดผัสสั
ผัสสะเป็นเหคุปัจจัยทำให้เกิดตัณหา
ตัณหาเป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิดอุปาทาน
อุปาทานเป็นเหตุปัจจัยทำให้เกิด ภพ ชาติ ชรา มรณา และทุกข์
แท้จริง ธรรมชาติของทุกข์ เกิดดับ แท้จริงอะไรคือความดับทุกข์ อะไรคือความดับวงจรแห่งทุุกข์
อวิชาดับ สังขารจึงดับ ดับอย่างไร ความไม่รู้เกิดแก่จิตปุถุชน สังขารจึงเกิดปรุงแต่ง เมื่อนั้นวงจรแห่งทุกข์จึงทำงานสืบเนื่องให้เกิดทุกข์
เมื่อใดที่สติปัญญาเราถึงแล้วในปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติ เมื่อนั้น อวิชาย่อมดับลง สังขารก็ดับลงเช่นกัน ไม่สืบเนื่อง แม้กระนั้น ส่วนท่านกลางคือ ตัณหาก็ดับลง อุปาทานก็ดับลง ภพ ชาติ สรรพสิ่งย่อมดับลง ว่างเปล่า หลุดพ้นทุกข์
ดังนั้น การปฏิบัติธรรมชำระจิต แก่นแท้คือความดับ นิโรธะ ควรทำให้เกิดให้เป็นอย่างไร ควรเจริญคุณธรรม และศีล อย่างไร ทุกท่ามก็ควรพิจารณาให้ถ่องแท้ถูกต้อง เพื่อความไม่ประมาทในศีลในธรรมอันเป็นเครื่องนำพาให้หลุดพ้นทุกข์ครับ สาธุ -
บางคนถ้าร้อน(เกิดเวทนา)....เรียกชื่อ ความร้อน ว่าเป็นเวทนา
หรือ ถ้าร้อน....แต่บางคน เรียกร้อน.....ไม่เรียกเวทนา.....(ผัสสะ แล้วร้อน แต่ไม่เรียกเป็นเวทนา)....ร้อน แล้วก็จบ ไม่ปรุงแต่ ต่อไป -
ที่ท่านพูดว่า ในวงจร อะไรจะเกิดก่อนหลัง มันก็ล้วนเป็นเหตุปัจจัย ของการเกิด ต่อเนื่องกันไป......ทีนี้ ถามว่า...คนเราเกิดมา เป็นคนมีรูปนามแล้ว..เนี่ย จะมาพูดว่า อะไรจะเกิดก่อนหลัง ไม่มีสาระสำคัญ อะไรนั้น...พูดแบบนี้ก็ผิดเลยนะ
ก็เพราะ เรา ท่านทีเจเอส เกิดมาแล้ว อยู่ระหว่างมีรูปมีนาม มีสฬายตนะ มีผัสสะ มีเวทนา มีตัณหา มีอุปทาน อาจกำลังสร้างภพชาติใหม่อยู่ก็ได้...กำลังชราอยู่ ยังไม่มรณะ
ดังนั้น เมื่อเกิดมามีรูปนามแล้ว มันต้องแยกให้ออกว่า ..ก่อนจะมาเกิด ในวงจรคือเป็น วิญญาณ.(มันคืออดีตมาแล้ว)..หลังรูปนามชราต้องตาย(ตอนนี้ยังไม่ตาย)...หลังมรณะ...นั่นคือ (อนาคต)
จะมาพูด เหมือนยังกับว่า ตนเองผู้พูด เป็นวิญญาณพูด งั้นเหรอ..จึงได้พูดว่า..ในวงจร อะไรเกิดก่อนหลัง ไม่มีสาระสำคัญ...เนี่ย...เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
หรือเข้าใจไม่ถูกนะ....ต้องพูดในฐานะ ความเป็นคนที่เกิดมามีรูปนามรวมกับวิญญาณแล้วสิ....(อย่าลืมตัวเอง) -
การได้ฟังธรรม การได้มาเจอพระศาสนา การได้มาปฏิบัติจิต ปฏิบัติธรรม ได้เนี่ย...มันทำได้ก่อนจะมาเกิดมั้ย ตอนเป็นวิญญาณ มันทำได้มั้ย..และ หลังมรณะ มันทำได้มั้ย..ก็ไม่ได้
ดังนั้น คนที่กำลังพิจารณา วงจรสมุปกิจบาท(เขียนผิดก็ขออภัย) ต้องรู้ตัวเองสิว่า ตนเองอยู่ในช่วงไหนของวงจร ....เกิดมาแล้วมี รูปนาม จนไปถึงชรา..เป็นปัจจุบัน....วิญญาณคืออุปทานขันธุ์ที่มีอยู่แล้วก่อนเกิด.....และวิญญาณคืออุปทานขันธุ์ที่มีอยู่แล้วหลังมรณะ
สาระสำคัญคือ....จะชำระวิญญาณอุปทานธุ์ขณะมีชีวิตเกิดเป็นรูปนาม นี่ยังไงต่างหาก
เลิกพากัน..มั่ว ได้แล้วครับ -
ดิน น้ำ ลม ไฟ
โลกใบนี้หรือโลกใบไหน มีธาตุ เกิดมาพร้อมกับโลกที่ถือกำเนิดขึ้น
รูป นาม มีอยู่แล้วเป็นธรรมดาของโลก
แท้จริงแล้ว อะไรกันหนอที่เป็นรากเหง้า ต้นเหตุแห่งทุกข์
1 จิตวิญญาณ หรือเปล่า ถ้าไม่มีมันแล้วจะได้ไม่มีทุกข์ คือไม่มีตัวตน หมดสิ้นตัวตน ก็หมดทุกข์
2 อวิชา หรือเปล่า เพราะไม่รู้จึงทำให้เกิดทุกข์ตามมา ถ้ารู้ทุกอย่างในความดับทุกข์ มีวิชาเป็นสรณะพร้อม ก็ไม่มีทุกข์
3 สังขารคือความปรุงแต่งนามรูป ถ้าไม่มีสังขาร ไม่ปรุงแต่งใดๆ ทุกข์ก็ไม่มี
4 ตัณหาอุปาทาน ถ้าไม่ทะยานไม่ปราถนาอยากและไม่อยากไม่มีอะไร มีสภาพว่างเปล่า ทุกข์จะมีไหม๊เกิดไหมดับทุกข์ลงได้หมดไหม๊
ปัญหามีไว้ให้ขบคิด การเจริญสมาธิจิต สมถะและวิปัสสนา ย่อมเข้าไปเห็น ธรรมชาติ ของวงจรแห่งทุกข์ วงจรการทำงานของจิต ของเจตสิก ของสรรพสิ่งที่ไหลรวมลงสู่จิต พร้อมสลัดออกชำแรกออกมาหมดสิ้น เมื่อท่านเห็นจริงด้วยปัญญา ครับ สาธุ -
-
เมื่อเรากล่าวถึงวิญญาณ ไม่ต้องจำเพาะว่า ตรงไหน ในวงจรนั้น ที่ครบรอบเป็นวงจร เพราะมีวิญญาณประกอบร่วม ทุกตัวครับ
ตั้งแต่วิญญาณในอวิชชา-วิญญาณในสังขาร-วิญญาณคือวิญญาณ-วิญญาณในรูปนาม-วิญญาณในสฬายตนะ-วิญญาณในผัสสะ-วิญญาณในเวทนา-วิญญาณในตัณหา-วิญญาณในอุปทาน-วิญญาณในชาติภพ-วิญญาณในชรา-วิญญาณในมรณะ-....แล้วก็ไปต่อที่วิญญาณในอวิชชา ต่อไป -
โลกใบ อื่น ผู้มีปัญญา ย่อมเข้าใจโดยง่าย
ใบอื่น หมายถึง
ใบเก่าผ่านมานับไม่ถ้วน ก็ดี
ใบปัจจุบันก็ดี
ใบใหม่ที่จะเกิดในอนาคตอีกนับไม่ถ้วนก็ดี
ล้วนมีสภาพ คือความเป็นธรรมดาของโลกที่เสมอเหมือนกัน
ที่ต่างกันคือ โลกแต่ละใบ ไม่ได้มีพระพุทธเจ้า ถือกำเนิดทุกใบ ใบไหนมีสุญกัปป์ ใบนั้น ทุกข์มากมายเหลือเกิน สรรพสัตว์เกิดมาแล้ว เดือดร้อนเป็นทุกข์ มาก แต่ถ้าใบไหนมีพระพุทธเจ้าถือกำเนิด นั่นแหละถือว่าเป็นโชควาสนาอย่างยิ่ง ครับ นี่คือสิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรประมาทครับ -
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีความเคารพในพระสัทธรรมเป็นอย่างยิ่ง
เราทั้งหลายก็ควรจะต้องมีความเคารพในพระธรรมเช่นกัน
เพราะความเป็นธรรมดีของพระสัทธรรมนี่เอง ผู้เจริญแล้วเข้าถึงได้แล้ว ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ได้นั่นเองครับ สาธุ -
หลังเราตายไป...สมมุตว่าตายมาแล้วนะ หลังวิญญาณมรณะ
วิญญาณมรณะ-วิญญาณอวิชชา-วิญญาณสังขาร-วิญญาณคือวิญญาณ-วิญญาณในรูปนาม(นี่เกิดแล้ว)
หรือเรียกว่า วิญญาณก่อนมาเกิด ก็ได้....ผ่านมาแล้วเรียกอดีต ภพเก่า.....
ถ้ายังไม่ตายเรียก อนาคต ภพในอนาคต -
เมื่อวิญญาณมาเกิด ในรูปนาม ก็เป็นวิญญาณรูปนาม ถ้ายังไม่ตายนี่คือ วิญญาณปัจุบัน
วิญญาณรูปนาม- วิญญาณเก่า+(วิญญาณสฬายตนะใหม่)- วิญญาณ+(วิญญาณผัสสะใหม่) - วิญญาณเก่า+(วิญญาณเวทนาตัณหาอุปทานชาติภพชรามรณะใหม่)- วิญญาณเก่า+(วิญญาณอวิชชาเก่า อวิชชาใหม่คือ สัญญาใหม่ภพชาติใหม่) -
ตอนเกิดใหม่ร่างกายใหม่ โดยมีวิญญาณเก่า(บางคนเรียกจิตเก่า)ในจิตเก่ามีครบ ทั้ง สังขาร (รูปที่เป็นอรูป)สัญญา (อาหารที่หล่อเลี้ยงสังขาร)วิญญาณตัวรู้ที่เกิดจากการที่สังขารเสพสัญญา)........เมื่อจิตหรือวิญญาณเก่าจะไปเกิดใหม่....มันสร้างภพสร้างชาติเอาไว้ตั้งแต่ มีผัสสะเวทนาตัณหาอุปทานชาติภพ...ก่อนตายไว้แล้วเพราะความไม่รู้...
นี่คือสาระสำคัญ...มันสร้างภพชาติในอนาคตไว้แล้ว...เพราะมีอวิชชามีวิญญาณ
หน้า 11 ของ 14