ฉบับที่ ๑๓ เดือนมีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 14 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เดือนกรกฏาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    [​IMG]



    ถาม : ถ้าในกรณีที่เกิดว่าหนูสอบได้ทีนี้หนูจะต้องไปอยู่ป่าละอู ๓ เดือน คือตั้งแต่ปีที่แล้วตั้งใจว่าจะอยู่ธุดงค์ที่วัดท่าซุงในช่วงเดือนธันวากรณีที่เกิดว่า.....
    ตอบ : เราก็รอให้เลยธันวาก่อน เลยธันวาแล้วค่อยไปป่าละอู
    ถาม : คิดว่าถ้าไปตุลาแล้วพอธันวาเราพักเราค่อยไปต่ออย่างนั้นได้ไหมคะ ?
    ตอบ : อย่างนั้นก็ได้ แต่ต้องให้มันครบ ๓ เดือนจริง ๆ ประเภทที่ว่าตุลาเดือนหนึ่ง พฤศจิกาเดือนหนึ่ง จะได้ ๒ เดือนแล้ว ธันวาเราไปอยู่วัดใช่มั้ย ? มกราก็ไปอยู่ป่าละอูต่อนั่นแหละ เอาให้มันครบแล้วกัน
    ถาม : ที่เราไปอยู่ธุดงค์ให้ครบตรงนั้น ๓ เดือน เรียกว่าตัดไปเลยใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ตัดในช่วงธุดงค์ทั้งไปเลยเอาเฉพาะเราอยู่ป่าละอูเท่าไหร่เอาให้ได้ครบ ๓ เดือน หรือไม่ก็ถ้าต้องการให้ต่อเนื่องก็ให้เลยธันวาแล้วค่อยไป ป่าละอูสมัยที่อาตมาไปนะมันป่าทึบจริง ๆ จากหัวหินไปตลอดผ่านหนองพลับเข้าไปนี่ทางฝุ่นท่วมข้อเท้า มาระยะหลังถึงมีทางลูกรัง ไม่รู้ว่าตอนนี้ลาดยางหรือยัง ?
    ถาม : ลาดยางแล้วค่ะ
    ตอบ : ลาดยางแล้วก็สบายไป จากตลาดหัวหินไปมันตก ๖๐ กว่าโลได้
    ถาม : ประมาณ ๗๐ ค่ะ
    ตอบ : ประมาณ ๗๐ ถึงสำนักใช่มั้ย
    ถาม : จากที่ลาดยางไปจนถึงอีก ๑๐ กิโลได้ ตอนนั้นไปที่สำนักที่หลวงพ่อ...ให้ทำ
    ตอบ : อาตมาสมัยนั้นไปย่ำต๊อกตลอด ก็ป่ามันใหญ่แล้วบรรดาสัตว์ป่าเยอะมาก ไปเจอตัวจงโคร่งก็ป่านั้นแหละ ครั้งแรกก็ไม่รู้จักหรอก จงโคร่งนี่มันเป็นคางคกชนิดหนึ่งบางทีเขาเรียกคางคกไฟ จะมีอานุภาพแปลก ๆ บางอย่างคือว่า ถ้าเขาหมอบอยู่สัตว์อะไรบินผ่านเขาจะตกลงไปให้เขากินเอง ตอนแรก ๆ เราก็นึกถ้านกตกลงไปมันจะกินได้รึ ? พอไปเจอตัวมันเข้าจริง ๆ เจ้าพระคุณเอ๋ยตัวเบ้อเร่อเลย อย่างนั้นอย่าว่าแต่นกเลยแม่ไก่มันยังกินไหว
    แล้วพวกตัดช่องย่องเบาเขาจะชอบมาก เขาจะถลกหนังจงโคร่งไปต่กแดดให้แห้งแล้วป่นเป็นผงไปผสมกับธูปปั้นเป็นธูปขึ้นมา เวลาจะเข้าบ้านไหนพอตกค่ำก็ไปจุดเหนือลม รับรองได้ว่าหลับชนิดลากรอบบ้านไม่ตื่นหรอก มันเมาด้วย วิธีแก้มีวิธีเดียวคือใช้ว่านแสงอาทิตย์ ว่านแสงอาทิตย์โยมอาจเคยเห็น มันเป็นก้านเขียว ๆ แทงพ้นพื้นขึ้นมาแล้วดอกมันจะฟู ๆ แดง ๆ นั่นแหละใช้หัวว่านแสงอาทิตย์ตำผสมกับแอลกอฮอล์หรือว่าเหล้าโรงทาจมูกถึงจะฟื้น คนที่ไปจุดถ้าไม่ทาไว้ก่อนลมหวนก็หลับเหมือนกัน กว่าจะตื่นอีกเป็นวัน ๆ วิธีแก้ก็แก้วิธีนี้ แต่ว่าขณะเดียวกันว่านแสงอาทิตย์ถ้าเราไปทาส่งเดชโดยที่เขาไม่ได้จุดอันนี้นะ ตาค้างยิ่งกว่าม้าดีดอีก (หัวเราะ) ต้องระวังไว้หน่อย
    ถาม : แล้วที่ตำนี่เอาสด ๆ อย่างนั้นเลยหรือคะ ?
    ตอบ : ตำสด ๆ เลย ว่านสด ๆ ตำกับเหล้าโรงนะ ของพวกนี้มันมีกันมีแก้ มันต้องใช้คู่กัน ไปใช้อันเดียวมันอันตราย จงโคร่งทางปักใต้เขาเรียกว่ากง คางคกยักษ์ตัวเบ้อเร่อเลย
    เมื่อเดือนก่อนที่ลงไปปักษ์ใต้ เจ้าชาญมันเอาใส่ตะกล้ามาให้ดูตัวหนึ่งเต็มตะกล้าพอดี นึกเอาดูก็เเล้วกันว่าตัวใหญ่แค่ไหน อาตมาเจอครั้งต่อไปที่ถ้ำกระแซงที่ยะลา กำลังปีนถ้ำอยู่เห็นโขดหินก็เหนี่ยวเต็มที่เลย โขดหินมันลอยตามมือเรามา ขนาดเห็นมันเป็นโขดหินตัวมันต้องใหญ่มากเลยนะ เหนี่ยวปุ๊บมันโดดเลยหัวลงน้ำตูมไปเลย รู้จักไว้ก็ดี สัตว์แปลก ๆ มันเยอะ
    ถาม : แล้ววันนั้นพอดีท่านเล่าว่าวันดีคืนดีพอดีเจอเสือดำมั่ง เสือโคร่งมั่ง ช้างมั่ง ถ้าหนูไปอยู่หนูจะเจออะไร ?
    ตอบ : ของพรรค์นี้ไม่ต้องไปกลัวหรอก อาตมายืนยันว่าถ้าโยมกำลังใจมั่นคงนะ บารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คุ้มได้แน่นอน เพราะว่าเดินป่ามามากต่อมากด้วยกันจนกระทั่งเชื่อว่าในทุกที่เราก็อยู่ได้ถ้าเราอาศัยบารมีพระไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก ส่วนใหญ่เขากลัวเราซะด้วยซ้ำไป
    ให้ตั้งใจเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน เราแก่เขาก็แก่ เราเจ็บเขาก็เจ็บ เราตายเขาก็ตาย เราหิวเขาก็หิว เรากระหายเขาก็กระหาย เราเป็นคนเรายังไปเสาะได้ หาได้สะดวกสบายแต่ว่าเขาเป็นสัตว์ อาหารการกินก็หาไม่ได้อย่างใจ เขาทุกข์กว่าเราเยอะ เขาเดินทางมาบางทีเป็นวันไม่เจออะไรที่กินได้เลย ของเราอยากกินเดินเข้าร้านก๋วยเตี๋ยว....เขาทุกข์กว่าเรามากทำอะไรก็ไม่ได้ดังใจ น่าสงสารมากไม่ใช่น่ากลัว มีใครรู้จักป่าละอูบ้างมั้ย ?
    ถาม : ก็นี่แหละค่ะไปตอนบุกเบิก
    ตอบ : ทางด้านใต้ของไทยถ้าหากนับเป็นกลางตอนล่างก็ต้องป่าละอู มันต่อเนื่องกันเป็นผืนเดียวกับเเก่งกระจาน แก่งกระจานถ้าโยมเคยเข้าไปพ่อเจ้าพระคุณรุนช่องเถอะ ! ป่ามันมโหฬารติดไปถึงประเทศพม่าเลยผืนเดียวกันหมด เพราะฉะนั้นสัตว์ป่าเยอะมากวันดีคืนดีช้างมันโผล่มาเยี่ยมก็ยืนยิ้มให้มันนะ
    ถาม : ตอนไปครั้งแรกที่ไปถางป่าเห็นไก่ป่า
    ตอบ : ที่วัดอาตมาปัจจุบันมีไก่ป่าเป็นกุรุสเลย ตอนแรก ๆ ได้มาตัวเดียว มันหลอกอีท่าไหนไม่รู้นะหลอกสาวมาได้ตัวหนึ่ง ทีนี้ก็เป็นเรื่องล่ะเพราะว่าตอนแรก ๆ ไก่ป่าในป่ามันก็มีลูกแค่ ๕ ตัว ๖ ตัว ๓ ตัว ๔ ตัว พอมมาอยู่กับเรากินดีอยู่ดี โอ้โห... มันไข่ออกมา ๒๐ กว่าฟองแล้วมันฟักออกมาทีละ ๑๗- ๑๘ ตัว พักเดียวก็โตเต็มไปหมด เอาไปให้วัดท่าขนุนซะเกือบ ๓๐๐ ตัว วัดอื่นก็ให้เขาเอาไปเยอะ อยู่ที่โน่นพักเดียวก็มาสั่งเกตง่ายขาเขาจะสีดำหรือไม่ก็สีออกเขียวคราม ขาไก่บ้านจะสีเหลือง


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • L13_1.jpg
      L13_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.1 KB
      เปิดดู:
      1,021
    • L13_2.jpg
      L13_2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.8 KB
      เปิดดู:
      87
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : พอดีเมื่อวานไปวัดท่าซุงเจอหลวงพี่ตี๋ ก็เลยถามท่านว่าตอนนี้มีพระกี่องค์ ท่านบอกว่าพระที่ไปจากวัดเรา ๗ แล้วที่โน่น ๓
    ตอบ : ที่โน่นก็คงท่านบัญญัติมั่ง ท่านบัญญัติ เขาอยู่กับหลวงพี่นิภัทร อยู่ไปอยู่มาหลวงพี่นิภัทรคงจะแปรเจตนาท่านบัญญัติท่านเลยไม่อยู่ด้วย ลำบากหน่อย ... อยากรู้หวยไปถามหมอเพชร หมอเพชรเขามีพรสวรรค์ไม่ว่าหมอเพชรไปที่ไหนพวกผีเขาจะโผล่มา ส่วนใหญ่เขาจะบอกเรื่องหวย แล้วมันแปลกว่าถ้าหมอแกซื้อเองแล้วซื้อน้อยแกถูก แล้วถ้าหากประเภทที่เรียกว่าบอกคนอื่นแล้วคนอื่นไม่โลภก็ถูก แต่ถ้าทุ่มเทงวดไหนงวดนั้นจะผิด เพราะฉะนั้นอย่าไปซื้อเยอะเจ๊งเอาง่าย ๆ แกไปนั่งกรรมฐานที่ไหนผีก็มักจะมาบอกตรงนั้นแหละ
    ป่าละอูมันจะผ่านหนองพลับมันจะมีหน่วยจัดการต้นน้ำหนองพลับ สังกัดศูนย์ที่ ๑๖ ที่อาตมาอยู่ เวลาอบรมชาวบ้านอะไรถ้าเขาขอตัวมาก็ต้องไป เพราะฉะนั้นแถวนั้นจะชำนาญพื้นที่ โยมบอกมาหลับตานึกออกหมด
    ถาม : ที่ผีมาหานี่ ทำไมถึงมีผีอยู่ ทำไมเขาถึงไม่ลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ครับ ?
    ตอบ : (หัวเราะ) ผีในความหมายของเรา อะไรมันก๊อกแก๊กมาเราเหมาเป็นผีหมด ไล่ตั้งแต่เปรตจำพวก ๑๒ อสุรกาย สัมภเวสี (คนตายก่อนหมดอายุ) จนกระทั่งเทวดา มาร พรหม พระบนนิพพาน ของเราอะไรก๊อกแก๊กเราเหมาเป็นผีหมด ทีนี้ผีในความหมายของมาตมาว่านี่นะส่วนใหญ่เขาจะเป็นเทวดา เป็นเจ้าที่ในที่นั้น หรือไม่ก็บรรดาผีประเภทที่ว่ายังไม่ไปนรกไปสวรรค์ คือพวกสัมภเวสีพวกนี้จะตายก่อนหมดอายุ
    ในเมื่อที่ตายก่อนหมดอายุจะไปรับความดีความชั่วอะไรก็ไม่ได้ ต้องอยู่ไปก่อนจนกว่าจะหมดอายุขัยความเป็นมุนษย์ ซึ่งมันเวลาแป๊บเดียวของเขา สมมุติว่าในระยะนี้อายุขัยของมนุษย์เป็น ๗๕ ปี เกิดเขาตายตอนอายุ ๓๐ เหลือเวลา ๔๕ ปีใช่มั้ย ? มันก็ไม่ถึงวันหนึ่งของเขาแต่อย่าลืมว่าถึงจะแป๊บเดียวของเขาก็ตาม ถ้าเขาทำความดีมาน้อยอยู่ในลักษณะอดอยากหิวโหยเขาก็ลำบากมาก ของเราลองหิวข้าวซักวันหนึ่งดูซิ เป็นลมใช่มั้ย ? ของเขาเองเขาก็ลำบากเหมือนกัน อยู่ในสถานะไหนล้วนแล้วแต่มีทุกข์ทั้งสิ้น ไปนิพพานเถอะ...
    ถาม : แล้วที่ว่าเขาเห็น ๆ กันล่ะครับ ?
    ตอบ : ไอ้ที่เขาเห็น ๆ กันมันมีได้หลายอย่าง อาจจะมีทั้งเปรตจำพวกที่ ๑๒ มีทั้งอสุรกาย มีทั้งสัมภเวสี มีทั้งเทวดา แล้วแต่ว่าใครจะมาถ้าหากว่าเป็นพวกระดับต่ำอยู่ในอบายภูมิอย่างเปรตจำพวกที่ ๑๒ หรืออสุรกายหรือสัมภเวสีพวกนี้ ถ้าที่บารมีน้อย ๆ บางทีก็มาได้แต่กลิ่น บางทีก็มาได้เฉพาะเสียง บางทีก็มาให้เห็นได้แต่รูปได้แต่บอกอะไรเราไม่ได้
    ส่วนใหญ่เขาต้องการความช่วยเหลือ แต่พวกเราเองก็มักไปกลัวเขา เขาบุญน้อยบารมีน้อย ที่เขาทำได้สวยที่สุดก็คือพวกเราวิ่งอ้าวกันนั่นน่ะสวยสุดฝีมือมันแล้ว บุญเขาน้อยจริง ๆ เขาทำได้แค่นั้น
    เพราะฉะนั้นต่อไปไม่ต้องกลัวผีแล้ว ส่วนใหญ่ผีมันน่าสงสาร อาตมาเองเด็ก ๆ นี่กลัวผี ห้องน้ำมันอยู่นอกบ้าน โอ๋.... อั้นกันจนหน้าเขียวกว่าจะสว่างไม่กล้าไป พอหลังจากฝึกมโนมยิทธิรู้จักผีดีแล้ว มันเลิกกลัวไปตอนไหนบอกไม่ถูก คือเห็นแล้วว่าเขาน่าสงสารมาก ส่วนใหญ่เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาลำบากมากเลย ถ้าไม่ลำบากเขาไม่มาหาเราหรอก เขาเพลินกับความสุขของเขาอยู่ ดังนั้นหากว่าคราวหน้าคราวหลังผีมาไม่ต้องกลัวนะ เขาทำได้สวยที่สุดแค่นั้นแหละรีบ ๆ อุทิศกุศลให้เขาแล้วกัน เขาจะได้สวยขึ้น
    ถาม : แล้วอย่างพวกนางไม้ล่ะคะ ?
    ตอบ : พวกนางไม้ ถ้าบารมีน้อยหน่อยบางทีเจอพระเขาก็ขอมาทำบุญใส่บาตร อาตมาเองก็เจอนะ ก่อนจะออกบิณฑบาตก็มักจะซ้อมมโนมยิทธิ กำหนดใจดูก่อนว่าคนที่จะใส่บาตรเราคนแรกวันนี้ผู้หญิงหรือผู้ชาย ใส่เสื้อผ้าสีอะไรเหล่านี้เป็นต้น แล้วพอไปถึงก็ไปตรวจสอบว่าตรงมั้ย ?
    วันนั้นก็กำหนดใจดูแล้วว่า เออ...คนทีจะทำบุญให้เขาจะใส่เสื้อแขนยาวสีฟ้าเก่า ๆ เสื้อแขนยาวแบบเสื้อเชิ้ตแต่ว่าเป็นผู้หญิง คราวนี้ พอไปถึงปุ๊บพอเห็นก็เออเรารู้ถูก ก้มหน้าลงเปิดบาตร ตอนก้มลงเปิดบาตรความลับมันแตกคือเขาเองก็คงบังเราไม่หมด ชายผ้ามันแลบออกมามันไม่ใช่สีฟ้าเก่า ๆ นะซิ มันเป็นผ้าประดับทองด้วยนะ เราก็ปิดโครมไม่ต้องใส่ถามก่อนว่าเป็นใคร ? (หัวเราะ) เขาก็เลยต้องแสดงตัวจริงให้เห็นเป็นรุขเทวดาที่อยู่ใกล้ ๆ นั่น ผู้หญิงสวยมากเลยแต่ว่าเนื้อเขาคล้าย ๆ เนื้อเราแสดงว่าบุญน้อยมาก เทวดายิ่งบุญสูงเท่าไหร่ เนื้อเขาจะใสมากเท่านั้นนะ
    อันนี้เนื้อเขาคล้าย ๆ เราก็แสดงว่าเป็นเทวดาที่จนหน่อย แต่ขนาดจน ๆ ที่เข็มขัดทองเส้นขนาดเท่าฝ่ามือ ถามว่าเขามาทำอะไร เขาบอกขอทำบุญหน่อยเถอะค่ะ อยากได้บุญก็เลยบอกเขาบอกว่าผลบุญใดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขอให้เธอโมทนานะ เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไหร่ขอให้เธอได้รับด้วย เขาก็โมทนากลายเป็นนางฟ้าสวยแพรวพราวแล้วก็ไปแนบบาตรเบิดไม่ใส่เลย (หัวเราะ) อดแดก..... นี่จำจนขึ้นใจเลย ต่อไปต้องให้เขาใส่ก่อนนะ (หัวเราะ) งวดนั้นเสียท่ารีบให้เขา เขาได้แล้วเขาเลยไม่ต้องใส่บาตร ไปดีกว่า...แหม...
    ถาม : ที่บ้านพักที่โรงเรียนนะคะ มีอยู่ ๔ คืนด้วยกัน คือนอนตอนตี ๒ กำลังหลับก็มาเรียกชื่อ ๆ ก็สะดุ้ง เอ๊ะผีหรือเปล่า ก็ไม่ได้ขานนะคะ พออยู่อีก ๒ คืนมาเรียกอีก เรียกอยู่ประมาณ ๔ คืนแน่ะค่ะ เอ๊ะ...มันผีอะไร หนู่สวดยันทุนไล่ (หัวเราะ)
    ตอบ : ไม่ใช่ยันทุนหรอก ยันจนหมดทุนเขาก็ไม่ไปหรอกเพราะว่าถ้าเป็นพวกเทวดาเขาไม่กลัว
    ถาม : เสร็จแล้วบังเอิญก่อนวันเข้าพรรษา วันอาสาฬหะ ก็ขับรถไปแล้วก็ไปแวะร้านอีกร้านหนึ่งก็ถาม เจ๊ลม มันเป็นยังไงนี่มีคนมาเรียกอยู่ ๔ คืนติด ๆ กันแล้ว พอดีคน ๆ นี้เขาค่อนข้างจะปฎิบัติใช้ได้นะคะ เขานับถือเสด็จเตี่ย เสด็จพ่อ ร. ๕ ด้วย เขาก็บอก เอ๊ะคุณมันมีอะไร พวงมาลัยเหลือง ๆ ลอยนะ เอ้า! ดูให้ดี ดูให้หน่อยนะ เขาบอกมีพวงมาลัยแบบคล้าย ๆ พวงมาลัยดอกดาวเรืองน่ะคะ ใจหนูก็บอกว่าดูใหม่ซิ เขาก็บอกว่านี่ไงเดินผ่านไปแล้ว นุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวแล้วก็ใส่สไบสีเหลือง หนูก็ถามว่า ถามซิ เขาก็หันไปพูดที่โรงเรียนครูมีเสาที่แบบสีเหมือนเสาอันนี้มั้ย ? พอเขาพูดถึงเสา หนูก็นึกถึงนางไม้ที่โรงเรียนเลยคือท่านอยู่มาเป็นคิดว่าเป็นร้อย ๆ เป็นพัน ๆ ปีแล้ว เสร็จแล้วหนูก็เอ๊ะ...จะทำยังไงดี
    พอดีคืนนั้นนอนสวดมนต์เสร็จแล้วก็ทำสมาธิกว่าจะสร็จประมาณตี ๒ เอ๊ะ...ทำไมเรานอนไม่หลับ พอนอนไม่หลับหนูก็ลุกขึ้นมาทำสมาธิ ฟันเฟินไม่ต้องแปรงเอาตามหลวงพ่อเราน่ะค่ะ พอทำไปสักพักพ่อก็มา พ่อมาหาก็ถือไม้เท้านั่งอยู่ก็กราบท่าน ท่านก็ไม่พูดอะไร เสร็จแล้วเหมือนกับท่านหรี่ไฟ บังเอิญมีภาพเป็นนางไม้น่ะค่ะ ท่านเดินมา เดินมาก็ปรึกษาท่านว่าจะทำยังไง ท่านก็บอกว่าให้ไปซื้อผ้าสไบ จะเห็นหมดเลยคือองค์แรกจะเป็นแบบเห็นผมยาว ๆ ค่อนข้างหยักศก นุ่งผ้าโจงกระเบนสีเขียวแบบมัน ๆ หนูก็เรียกไม่ค่อยเป็นเหมือนกัน แล้วก็สไบสีเหลือง องค์ที่ ๒ ก็ผ้าโจงกระเบนสีเหลือง ผ้าสไบออกสีโอรส องค์ที่ ๓ ก็ผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงินแล้วสไบเป็นสีเหลือง แล้วก็กุมาร ๆ ใส่ชุดสีชมพู
    ทีนี้หนูก็มานั่งคิด โอ้โห... จะให้ซื้อถวายขนาดนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหน คือผ้าโจงกระเบนผืนหนึ่งก็หลายร้อยใช่มั้ย ? มีเงินอยู่แค่ ๓ พันกว่าบาท เลยทำยังไงดี ท่านก็เลยทำเป็นหุ่น ๆ จิตก็บอกว่า เอ้า...ไม่เป็นไร เป็นหุ่นก็ยังพอได้
    พอเช้าขึ้นมาแล้วหนูก็ไปถามว่าทำไมต้องทำให้หนูทำอย่างนี้ ท่านก็บอกว่าจะเข้าพรรษาแล้วท่านอยากเปลี่ยนเสื้อผ้า คือท่านตอนทำให้เห็นว่าผ้าท่านเก่ามากแล้ว ท่านบอกว่าอยากเปลี่ยนเครื่องทรง หนูก็เลยบอกว่าจะให้ทำยังไงต่ออีกทำไม่เป็นนะ ท่านก็บอกว่าให้ถวายผลไม้ ๕ อย่างแล้วท่านก็จำเพาะมา ท่านบอกว่า ๒ อย่าง สับปะรดกับชมพู่นะอีก ๓ อย่างจะเอาอะไรก็ได้ แล้วหนูถามว่าธูปล่ะจุดยังไงถวายยังไง ท่านก็บอกว่า...(ไม่ชัด) ... เช้าหนูไปหาพี่ถามพี่หนูทำอย่างนี้จะผิดมั้ย เออ...ไม่เป็นไร
    ก่อนจะไปหนูไปไหว้ท่านแล้วบอกว่าหนูจะไปดูหุ่นแล้วก็ตามไปเลือกเอาเองแล้วกัน ไปถึงก็ได้ตามนั้นทุกอย่างเลย ท่านบอกให้ทำวันนี้ หนูกลับมาประมาณบ่ายโมงได้หนูก็ทำวันนั้นเลย วันนั้นวันอาสาฬหะ พอทำเสร็จก็ไปวัด ทีนี้อยากจะเรียนถามว่าตรงนี้ท่านได้มั้ยคะ ที่หนูทำไปนี่ ?
    ตอบ : ถ้าทำตามที่ท่านต้องการท่านได้แน่ คือว่าเขามาขอเองนี่ในเมื่อขอเอง เขาบอกอย่างไรทำอย่างนั้นก็เป็นอันว่าดีตามที่ท่านบอก อาตมาเองไปอยู่เกาะพระฤๅษีใหม่ ๆ นะ เจ้าที่เขาขึ้นมาบอกว่าภายใน ๒ ปีสร้างศาลให้ผมหลังหนึ่งนะครับ ก็ถามท่านว่าเป็นใครอยู่ที่ไหน ท่านก็บอกว่าผมเป็นเจ้าที่อยู่แถวนี้แหละ เป็นอากาศเทวดาด้วยนะ ชาวบ้านเขาเรียก
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วอย่างนี้ สมมุติเกิดจะไหว้จะบูชาท่านจริง ๆ นี่ธูปกี่ดอกค่ะ ?
    ตอบ : อยู่เราถนัดนะจ้ะ ท่านไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว ท่านต้องการแต่ความเคารพของเรา ถ้าเราทำบุญอย่างเช่นว่า เลี้ยงพระให้เขาหรือว่าถวายสังฆทานให้เขา เวลาขอความช่วยหลือเขาก็จะสงเคราะห์ได้ไปจุดธูปบอกเลย บอกตอนนี้ต้องการเออลี่รีไทร์มาก รีบยัดเรื่องให้ไว ๆ หน่อยเดี๋ยวดีไม่ดีเขาดึงขึ้นมาแผ่นแรกให้เจ้านายเซ็นซะเลย
    ถาม : ตอนแรกหนูไหว้พระอะไร หนูก็บอกว่า...สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พักที่นี่นะ หนูอยู่มาตั้ง ๒๐ กว่าปีแล้ว หนูก็อยากจะไปที่อื่นมั่ง (หัวเราะ) อาจจะไปสร้างบารมีทาง (หัวเราะ) หนูบอกว่า ทางโลกทางประเทศชาติหนูก็ช่วย เพราะฉะนั้นให้หนูไปช่วยทางศาสนาบ้าง แล้วหลังจากนั้นไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงเรียกแล้วก็...
    ตอบ : ก็ได้โอกาสเลยถ้าท่านอยู่แถวนั้นด้วยยิ่งดี ถือว่าเป็นงานโดยตรง
    ถาม : เขาเห็นกันนะคะ แค่หนูบอกว่าอย่าให้หนูเห็นนะคะ หนูกลัว
    ตอบ : ส่วนใหญ่เขามาสวยนะ พวกนี้ไม่ต้องห่วงอาตมาเจอเอง อีกที่หนึ่ง ตอนนั้นธุดงค์ไป ตรงนั้นเขาเรียกบ้านลิ่นถิ่นเป็นบ้านกะเหรี่ยง ตอนเย็นใกล้ค่ำแล้วเราไปสวดมนต์ทำวัตรเย็น มันมีกระต๊อบอยู่ได้ ก็ปิดประตูสวดมนต์ทำวัตรเย็นปรากฏว่าเขาเดินเข้ามาหาเราเห็นเป็นผู้หญิงใส่เสื้อแขนยาวสีกากี แขนเสื้อมันถึงตรงนี้อย่างกับเอาของพ่อมาใส่ แล้วกางแกงยีนส์เก่า ๆ ด้วย ก็หยุดสวดมนต์ถามว่าอีหนูมีธุระอะไรลูก ? พอถามเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ว่าประตูเราล็อคอยู่มันเข้ามาได้ยังไงวะ ? (หัวเราะ)
    เขาบอกว่าเขาเป็นเจ้าที่อยู่ตรงนั้นชาวบ้านเรียกเขาว่า
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : หนูคิดว่าเรากำลังถือศีล ๘ อยู่ เราจะผิดมั้ยคะ ?
    ตอบ : ศีล ๘ ไม่เกี่ยวกับหวยอะไรเลย ไม่มีข้อไหนห้ามซื้อหวย แต่ขณะเดียวกันอาตมาเองสมัยก่อนเป็นฆราวาสเคยกราบเรียนถามหลวงพ่อว่าหลวงพ่อครับเล่นหวยผิดศีลมั้ย ? ท่านบอกว่าไม่ผิดหรอกลูก แต่มันร้อน โอ้โห... ได้ยินแล้วสะดุ้งเลย ร้อนจริง ๆ ก่อนหวยออกคิดพล่านไปหมด ถ้าได้เงินจะเอาไปทำอะไร ตอนนี้จะรอดูว่าโยมจะฟุ้งซ่านแค่ไหน
    ถาม : ตอนนี้ถ้าคิดก็คือ คิดว่าคงจะทำให้ท่านตรงนั้นค่ะ แล้วส่วนหนึ่งก็ช่วยซื้อที่สร้างป่าละอู
    ตอบ : ทำตามนั้นแหละคิดซะว่า ๕๐๐ นี่เราทิ้งน้ำไปได้เลย ได้ถือว่ากำไรไม่ได้ก็แล้วไปนะ แล้วคราวหน้าไปถามชื่อท่านด้วย ถึงเวลาจะได้ไหว้ถูก (หัวเราะ) ถ้าหมดท่าจริง ๆ นึกถึงหน้าท่าน ก็หลวงปู่องค์นั้นนั่นแหละ
    ถาม : ก็พยายามทำความรู้สึก แต่ท่านก็ไม่ให้เห็นชัด ๆ เท่าไหร่นะคะ ท่านค่อนข้างแก่
    ตอบ : ถ้าขนาดนั้นไม่ใช่ค่อนข้างแก่หรอก แก่เยอะเลย (หัวเราะ)
    ถาม : แล้วหลวงปู่อะไรค่ะ ?
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ โยมเจอฉันไม่ได้เจอนี่ (หัวเราะ) เอาไว้คราวหน้าไปนอนบ้านนั้นใหม่ ถ้าท่านมาแล้วถามชื่อท่าน แต่จริง ๆ แล้วเรียกหลวงปู่ล่ะดีแล้วนะ การถามชื่อเรียกชื่อนี่เป็นการปรามาสเหมือนกัน ยิ่งเทวดายิ่งเจ้าที่เจ้าทางเรียกพ่อปู่ แม่ย่า ไปเลย ไปเรียกชื่อเรียกเสียงอะไรถ้าท่านไม่ได้บอกไปเรียกตามนั้น บางทีมันเป็นล่วงเกินผู้ใหญ่ซะด้วยซ้ำ การที่เราจะไปเรียกชื่อเสียงเรียงนามอะไรเราต้องเป็นผู้ใหญ่กว่า ทีนี้ใครจะใหญ่กว่าเทวดา ใครจะใหญ่กว่าพระล่ะ โดยเฉพาะเราเป็นมันเล็กกว่าอยู่แล้ว ยังงั้นเรียก พ่อปู แม่ย่า หลวงปู่ หลวงตาอะไรไปเลยก็ได้ ฮึ ! เดี๋ยวคอยดูนะเขาซื้อตัวไหน ๕๐๐ ก็ตามแล้วกัน (หัวเราะ)
    ถาม : ถามซิว่า... ซื้อตัวไหนถึงจะไม่กินล่ะคะ ? (หัวเราะ)
    ตอบ : ถามได้ แต่ตอบไม่ถูก เรื่องที่หลวงพ่อห้ามกระทุ้งแค่ไหนก็ไม่เผลอหรอก เพราะถ้าเผลอล่ะแหม.... ท่านตีสะเด็ดเลย ยิ่งตายแล้วนี่ยิ่งเคาะหัวถนัดเลย ตอนมีชีวิตอยู่ยังหลบกันทัน ตอนตายนี่หลบไม่พ้นอยู่ที่ไหนท่านก็ตามได้
    ถาม : ถามเรื่องที่ว่าที่เขามาให้เห็นนะครับ คนที่เห็นบ่อย ๆ นี่เขาเลือกที่จะมาหาหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ไม่แน่ บางคนสภาพจิตเขาอยู่ในระดับนั้นพอดีก็สามารถรู้เห็นได้ง่าย แต่ว่าขณะเดียวกันบางทีก็มีกรรมบางอย่างเนื่องกันมาเขาถึงติดต่อมา ถ้าหากมีกรรมเนื่องกันมานี่เวลาทำบุญทำบาปอะไรเขาเองถ้าเขาโมทนา ส่วนของเขาก็จะมีอยู่นะ ส่วนใหญ่เขามาก็ต้องการบุญ อย่างเช่นว่าเปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร ขนาดไปหาพระพุทธเจ้าในอดีต ๓ องค์มาแล้วนะ คือตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันโธ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคม พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ไม่มีพระองค์ไหนช่วยได้เลยเพราะไม่มีกรรมเนื่องกันมาก่อนให้โมทนาบุญเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะโมทนา
    จนกระทั่งถึงพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ท่านบอกว่าอีกไม่นานสมัยที่พระพุทธเจ้าพระนามว่าพระสมณะโคดม ญาติของเธอจะเกินขึ้นเป็นพระราชาชื่อว่าพิมพิสาร ท่านจะได้ถวายทานในพระพุทธศาสนา ถึงเวลานั้นก็ไปโมทนาเอา รอกันจนเงกไปเลยนะ โมทนาของคนอื่นไม่ได้
    ดังนั้นว่าที่เขามาปรากฏนั้นมันมีได้ทั้งที่ว่าบุคคลผู้นั้นกำลังใจของเขาอยู่ในจุดที่จะรับรู้ติดต่อได้พอดี คือคลื่นมันบังเอิญตรงพอดีกับอีกอย่างหนึ่งว่าเขามีกรรมเนื่องกันมาเขาเลยทำให้เห็น ถ้าลักษณะนั้นควรจะสอบถามเขาว่ามาทำอะไรต้องการอะไร แล้วเขาบอกอย่างถ้าไม่เกินวิสัยก็ทำให้เขาด้วย
    ถาม : แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรครับ ?
    ตอบ : ตอนนั้นถ้าถามเขาความเป็นทิพย์ของใจจะบอกได้เลย เขาบอกมาอย่างไรให้เชื่ออารมณ์ ความรู้สึกแรกอันนั้น
    ถาม : เราไม่เห็นเขานี่คะ ?
    ตอบ : ไม่เห็นไม่เป็นไร เอาความรู้สึกอันนั้น เพราะบางอย่างเขาไม่มาให้เห็น ได้กลิ่นอย่างเดียว เพราะบารมีน้อยรูปยังปรากฏไม่ได้เลย บางทีได้ยินเสียงอย่างเดียวให้ตั้งใจว่าผลบุญที่เราทำให้เจ้าของกลิ่นนั้น ผลบุญที่เราทำให้เจ้าของเสียงนั้น ผลบุญที่เราให้เจ้าของรูปร่างนั้น ไม่ต้องรู้ชื่อก็ได้แค่เรานึกถึงเขาก็มีส่วนโมทนาได้แล้ว
    ถาม : สมมุติว่าเราจะทำบุญเราตั้งไว้เลยว่า ไม่จำเป็นต้องก่อนที่เราจะทำบุญถ้าเราทำบุญให้มาโมทนาบุญเขาจะได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : ได้ อนุญาตล่วงหน้าไว้เลยก็ได้ว่าถ้าเราทำบุญเมื่อไหร่ให้โมทนาบุญได้เลยไม่ต้องรอเราบอกเราเรียกอย่างนี้ไม่เช่นนั้น บางทีเราก็ลืมเหมือนกันนะ แต่เทวดาท่านไม่ลืมอยู่แล้วความเป็นทิพย์ของท่านเป็นร้อย ๆ เรื่องเลยท่านก็สามารถที่จะจำได้พร้อม ๆ กัน ทำได้พร้อม ๆ กันอนุญาตเอาไว้ล่วงหน้าได้ยิ่งดี (หัวเราะ)
    ถาม : ความเป็นทิพย์ อย่างเจ้ากรรมนายเวรนี่ความเป็นทิพย์เขามี...(ไม่ชัด)...
    ตอบ : ก็ไม่แน่ ท่านที่เป็นเทวดาก็มีความเป็นทิพย์เสมอเทวดา ถ้าไม่ได้เป็นมันก็ต้องต่ำกว่าใช่มั้ย หรือถ้าเป็นพรหมก็สูงกว่า
    ถาม : งั้นเจ้ากรรมนายเวรก็ไม่ได้จำกัดว่าต้องเป็นสัมภเวสี ?
    ตอบ : ไม่จำกัด คือส่วนใหญ่แล้วหมายถึงบุคคลที่เราล่วงเกินเขาเอาไว้ แล้วก็มักจะหมายถึงว่าเราฆ่าเขาด้วย อย่างนี้ท่านที่ตายแล้ว ท่านไปรับบุญรับบาปตามกรรมที่ท่านทำมา แต่ผลของการกระทำนั่นต่างหากล่ะที่คอยตามสนองเรา กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรไป
    ถาม : แล้วเทวดา ....(ฟังไม่ชัด)
    ตอบ : ได้ ยิ่งทำได้ดีเลย โดยเฉพาะชั้นยามา ชั้นยามานี่กรรมฐานยอดมากเลย ใครขึ้นชั้นยามาไปนี่จะมีปัญหาอยู่อย่างหนึ่งคือ พวกเรานี่บางทีสมาธิไม่ดีใช่มั้ย กลับไปชวนเทวดาคุยเขาก็คุยด้วย แต่พอคุยไปคุยมาเอาเผลอสมาธิไม่ดีทิ้งช่วงหน่อยเดียวหันไป อ้าว.. พ่อเจ้าพระคุณนั่งสมาธิไปเสียแล้ว
    ถาม : ถ้างั้นเขาสามารถมาต่ออายุของตัวเองได้มั้ยครับ ?
    ตอบ : ได้ ถ้าหากว่าทำบุญอยู่เสมอก็ต่อได้ แต่ว่าบุญใหญ่ในลักษณะของบุญกรรมฐาน ส่วนใหญ่ดีไม่ดีมันจะเป็นการเลื่อนภูมิให้สูงขึ้นไปเลย ต่ออายุมันเรื่องเล็กล่ะ ทำบุญใหญ่ขนาดนั้นได้แน่ ๆ อยู่แล้ว

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : อย่างงั้น อรูปพรหมก็.....(ฟังไม่ชัด)....
    ตอบ : อรูปพรหมนั้นไม่มีสิทธิ์ เพราะท่านเหลือแต่จิตแล้ว ในเมื่อเหลือแต่จิตแล้วทุนเดิมมีเท่าไหร่ก็ใช้แค่นั้น คือท่านไม่ต้องการอย่างอื่นนอกจากความมีจิตอย่างเดียว ไปยึดเอาความว่างของอากาศ ไปยึดเอาความไร้ขอบเขตของวิญญาณ ไปยึดเอาความไม่มีอะไรเลย มันก็เลยทำให้ท่านไม่สามารถรับรู้อย่างอื่นได้ นอกจากสิ่งที่ตัวเองยึดอยู่ มีทุนเท่าไหร่ก็ใช้แค่นั้น
    ถ้าทุนหมดแล้วทำชั่วไว้เยอะก็ลงยาวไปเลย ถ้าพอมีความดีอยู่บ้างก็เกาะอยู่ในขอบเขตของสถานที่ ๆ พอที่จะทำความดีต่อได้ </B>อรูปพรหมอย่างหนึ่ง อสัญญีอสันตาพรหมอย่างหนึ่ง ๒ อย่างนี้บอกให้โมทนาบุญเท่าไหร่ท่านไม่เอากะเราหรอก</B>
    ถาม : แสดงว่าท่านเสร็จแล้วซิครับก็ต้องลงนรก ?
    ตอบ : ก็ไม่แน่ เพราะบางทีเศษบุญของบุญก็ยังมีเหลืออยู่อาจจะลงมาเป็นมุนษย์ก็ได้ บางทีเศษของเทวดาแต่ว่ามันเป็นของเหลือเฟือของมนุษย์ มากกว่าที่เราคิด อาจจะเกิดเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์เป็นผู้นำคนอะไรไปเลย แต่ถ้าหากว่าทำบาปเอาไว้เยอะ ผลบุญที่เป็นเทวดาขาดช่วงลงปั๊บกำลังบาปมันสูงกว่ามันก็ดึงยาวลงไปเลย
    ถาม : ...........................
    ตอบ : ถ้าหากว่ายังเป็นพรหมอยู่ พรหมมี ๑๖ ชั้น ที่เป็นรูปพรหมคือยังมีร่างกายอยู่ ส่วนอรูปพรหมที่มีแต่จิตอีก ๔ ชั้นรวมแล้ว ๒๐ นะถ้าลงท้ายด้วยพรหมก็คือต้องเป็นพรหม ๑ ใน ๒๐ นี้ แต่ว่าพระวิสุทธิเทพหมายถึงผู้ที่เข้าพระนิพพานได้แล้ว ไปอยู่พระนิพพานแล้ว มีตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านเรียกว่าวิสุทธิเทพ คำว่าเทพคือเทวดามี ๓ ประเภทคือ
    ๑. สมมติเทพ แปลว่าเป็นเทวดาโดยการนับถือยกย่องกันขึ้นมาเอง อย่างเช่น พระมหากษัตริย์หรือพระเจ้าจักรพรรดิ์
    ๒. อุปัติเทพ เกิดเป็นเทวดาโดยตรงคือ บรรดาอากาศเทวดาหรือว่ารุกขเทวดา ภูมิเทวดา ตลอดจนถึงพรหมทั้งหมด
    ๓. วิสุทธิเทพ เทวดาที่บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้ว หมายถึงตั้งแต่พระอรหันต์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
    ถาม : ที่ท่านทำสมาธิและทำกรรมฐานแล้วสามารถสอนตัวเองได้เลย พรหมท่านจะมาทรงฌานอยู่ตลอดเวลา ทำไมตรงนั้นไม่สามารถจะต่ออายุของท่านได้ ?
    ตอบ : ตรงนั้นข้อจำกัดมันมีอยู่ว่าถ้าหากเป็นโลกียพรหมยังไม่ได้อยู่ในชั้นสุทธาวาส ก็จำเป็นที่จะต้องลงมาเกิดอีก แต่ถ้าเราอยู่ในชั้นสุทธาวาสท่านเป็นพระอนาคามีขึ้นไปแล้ว การลงมาเกิดก็ไร้ความหมายสำหรับท่าน ท่านก็อยู่ข้างบนต่อไปนิพพานเลย แต่ว่าท่านที่ทำความดีถ้าหากว่ายึดฌานโลกีย์อย่างเดียวมันไปนิพพานไม่ได้อยู่แล้วใช่มั้ย ? มันยังไม่เข้าถึงความบริสุทธิ์โดยแท้จริง
    อย่างสมัยพุทธกาลท้าวผกาพรหมพอท่านหมดอายุปุ๊บท่านก็เกิดเป็นพรหม หมดอายุปุ๊บท่านก็เกิดใหม่เป็นพรหม หมดอายุปุ๊บท่านก็เกิดใหม่เป็นพรหม จนกระทั่งท่านเชื่อว่าพรหมเลิศที่สุดแล้วเป็นอมตะแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เพราะความเข้าใจผิดอันนี้เป็นมิจฉาทิฐิ พระพุทธเจ้าถึงต้องเสด็จไปโปรด ถ้าไม่ไปสงเคราะห์ท่านก็แหงแก๋อยู่แค่นั้นแหละเป็นมิจฉาทิฐิไป
    ถาม : .........(ไม่ชัด)....จิตของท่านก็จะอยู่ที่นั้นจุดเดียวเลย ความเสื่อมของจิตจะเกิดจากอะไร ?
    ตอบ : มันอยู่ตรงที่ว่าหมดบุญ หมดกำลังบุญที่ทำมา ในเมื่อหมดกำลังบุญที่ทำมาก็ต้องจุติ ถ้าทำชั่วเอาไว้เยอะบางทีก็ลงยาว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วถึงระดับนั้นแล้วความดีของท่านมาก เพราะฉะนั้นเศษของความดีที่เหลืออยู่ก็เกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ทำบุญกันใหม่หรือว่าถ้าทำบาปอีกคราวนี้ก็พักเป็นมนุษย์หน่อยก็ลงยาวเหมือนกัน
    ถาม : .........................
    ตอบ : เขาทำหน้าที่ของเขาถึงที่สุดแล้วเดี๋ยวหาตัวใหม่ หาตัวใหม่อย่างน้อย ๆ จะได้มีเพื่อน พวกนี้หู ตาเขาไวนะ จมูกหมาดีกว่าคน ๔๐ เท่า สายตาหมาดีกว่าคนประมาณไม่ถูก หลวงพ่อท่านบอกเคยไปเทศน์ที่สมุทรสาคร กลางคืนหมามันมองออกไปทางนอกศาลา ท่านเองท่านนอนศาลาริมน้ำมองออกไปนอกศาลาไปทางในน้ำแล้วเห่าใหญ่ ท่านเองท่านก็แปลกใจ ส่องไฟไปจนสุดสายตาก็ไม่เห็นอะไร
    พออีกตั้งพักใหญ่ ๆ ถึงได้ยินเสียงแจวกระทบน้ำแล้วก็มีเรือพายเข้ามา ส่งไฟตอนนั้นถึงเห็น ขนาดสุดแสงไฟนะเรามองไม่เห็น หมามันเห็นตั้งแต่ไกลกว่าแสงไฟอีก แล้วท่านบอกว่าท่านทดสอบจมูกหมาดู โดยการใช้น้ำผึ้งห่อผ้าใบ ทดสอบระหว่างหมากับมดว่าใครจะจมูกดีกว่ากัน ท่านเอาน้ำผึ้งเทใส่ผ้าใบแล้วห่อมัดไว้ชั้นที่ ๑ มดก็ตอมนะ ชั้นที่ ๒ มดก็ตอมพอชั้นที่ ๓ นี่มดเลิกสนใจมันไม่ได้กลิ่นแล้ว
    แต่ว่าท่านบอกว่าห่อเนื้อแล้วก็แขวนไว้ชั้นที่ ๑ หมาก็ตะกายเสา ชั้นที่ ๒ ก็ตะกาย ๓ ก็ตะกาย ๔ ก็ตะกาย ๕ ตะกาย ๖ ก็ตะกาย ชั้นที่ ๗ โน่น ผ้าใบมันหนานะ ๗ ชั้นโน่นหมามันถึงไม่ได้กลิ่น แต่ว่ามดนี่แค่ ๓ ชั้นบ้อท่านะ ฉะนั้นจมูก ตาของเขาดีกว่าเราเยอะ โดยเฉพาะสายตาของเขานี่เห็นผีได้โดยไม่ต้องฝึกทิพจักขุญาณเลย อันนี้มันเป็นฤทธิ์โดยกรรมวิบากของเขา วิบากกรรมทำให้เขาเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ก็มีความพิเศษตรงที่ว่าเขาสามารถเห็นผีได้เป็นปกติ ไม่ต้องเสียเวลาฝึกอย่างเรา เขาเรียกว่าฤทธิ์ที่เกิดโดยกรรมวิบาก บาลีเรียกกัมมวิปากชาฤทธิ์
    ถาม : แล้วอย่างข่าวที่หนังสือพิมพ์ลงที่ว่าเด็กคนนั้นตายแล้ววิญญาณเขาเข้าตัวเงินตัวทองนั้น ?
    ตอบ : อันนั้นน่าจะเป็นเปรตจ้ะ เปรต ๑๒ จำพวก มีอยู่จำพวกหนึ่งเป็นเปรตในร่างสัตว์เดรัจฉานเรียกว่า อชรังคเปรต พวกนี้จะเป็นโอปปาติกะคือเกิดปุ๊บก็โตเลย ไม่อย่างนั้นไม่มีทางหรอก ตัวเงินตัวทองอายุมันก็นานกว่าจะโตได้ขนาดนั้น แต่ถ้าหากว่าเป็นเปรตเขาเป็นโอปปาติกะ เกิดขึ้นก็โตเลย
    ทีนี้เขายังจำได้อยู่ว่าตัวเองเป็นใครเขาก็ย้อนกลับไปที่เดิม ลักษณะนี้เคยเจอมาทีหนึ่งเป็นงูเหลือมใหญ่ พ่อตายยังไม่ครบ ๗ วันเลยงูเหลือมใหญ่เลื้อยมา มันมานอนใต้โลง คนก็แตกตื่นกันหมดลูกเมียก็จุดธูปบอกบอกว่าถ้าเป็นพ่อกลับมาจริง ๆ ต้องการจะบอกเรื่องอะไรก็ขอให้แสดงออก งูเหลือมมันเลื้อยขึ้นไปบนขื่อแล้วก็เลื้อยกลับลงมา แล้วมันก็เลื้อยขึ้นไปบนขื่อแล้วก็เลื้อยกลับลงมา ๒-๓ วาระด้วยกัน
    เขาแปลกใจเอาบันไดพาดปีนขึ้นไปดูปรากฏว่าตานั่นเขาเจาะขื่อที่มันเป็นกระบอกไม้ไผ่ เขาเลื่อยแล้วเอาสิ่วตอกมันออกเอาทองใส่ไว้ในนั้นแล้วก็ครอบปิดเอาไว้ ใจมันห่วงก็เลยไปเสวยความดีไม่ได้เลยกลายเป็นเปรตมา แต่เป็นเปรตในร่างของงูเหลือมใหญ่เขาเรียกอชรังคเปรต เปรตจำพวกนี้อยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉานนะ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้วอย่างนี้ทำไมพ่อแม่เขาไม่ถามพระที่ท่านรู้ ?
    ตอบ : บางทีของเขาเองเขามั่นใจแล้วนี่ ทุกอย่างมันเป็นอาการของลูกชายเขา แต่เสียท่าอยู่อย่างเดียวโดนรูดซะหนังถลอกเลย (หัวเราะ) มันจะขัดเอาตัวเลขอย่างเดียว น่าสงสารจัง (หัวเราะ)
    ถาม : อย่างนี้ก็แสดงว่า เขามีบุญในตอนที่เป็นมนุษย์เล็กน้อยแต่ตอนหมดบุญ....?
    ตอบ : ผลบุญเขาอาจจะเยอะแต่ตอนตายจิตไม่ได้เกาะบุญอาจจะเศร้าหมองไปนึกถึงความไม่ดีอะไรบางอย่างเอาไว้ ก็เลยไปเกิด แต่ว่าเกิดเป็นเปรตเสียนี่ ในสายตาของอาตมาถือว่าโชคดีแล้ว กรรมมันน้อย ถ้าลงนรกนี่ซิมันนานกว่าจะหลุดขึ้นมาได้ อันนี้อย่าถือเป็นข้อยุตินะมันอาจจะกลายเป็นตัวเงินตัวทองดวงเฮงก็ได้ มาเจอชาวบ้านขัดซะจนดังไปทั่วประเทศเลย
    ถาม : แต่มันก็แปลกนะคะคือพอเขาเรียกชื่อลูกเขา มันก็ตาม....
    ตอบ : ลักษณะนั้นถ้าเป็นตัวเขาเองเขาจำได้ ก็แบบเดียวกับตานั่นที่เป็นงูเหลือมน่ะ
    ถาม : เพราะปกติตัวเงินตัวทองนี่เห็นคนเขาวิ่ง....
    ตอบ : ของอาตมานี่มันเดินส่ายตะโพกข้ามถนน (หัวเราะ) เจ้าพวกนี้ถ้ามันไม่ส่ายตะโพกมันเดินไม่ออก แปลกมาก บางทีมานี่ตัวหยั่งกับตะเข้ สมัยที่อยู่ชายแดนตาพระยาบางตัวยาว ๖ ฟูต ตะเข้ดี ๆ นี่เอง มันใหญ่ขนาดนั้น
    เพราะว่าช่วงอาตมาอยู่ชายแดนนั่นไทยยังรบกับเขมรย่อย ๆ เหตุการณ์โนนหมากมุ่นตายกันที ๑๐๐ ศพก็มี เจ้าพวกนี้มันกินศพมันก็ใหญ่เป้งเลย อีกาตัวใหญ่กว่าแม่ไก่อีกขนมันวับเลย (หัวเราะ) เจ้าพวกนี้มันคุ้ยศพขึ้นมากิน บางทีมันทุเรศลูกกะตาทนไม่ได้ก็ลากพลั่วไปกลับให้มันที ตายเกลื่อนกลาดไปหมด บางศพก็ผูกติดกับต้นไม้ ยิงทิ้งเสร็จก็ปล่อยอยู่อย่างนั้น เน่าเหลือแต่กระดูกมั่ง หนังติดอยู่หน่อยหนึ่งแห้งแหงแก๋อยู่อย่างนั้นก็มี คราวนี้มันเกลื่อนกลาดไปหมด
    มีอยู่คืนหนึ่งกำลังอยู่เวรหน้าด่านมันราว ๆ ๕ ทุ่มกว่าเกือบเที่ยงคืนแปลกมาก เวลานี้เป็นเวลาที่อาตมาโดนผีหลอกประจำช่วง ๕ ทุ่มกว่าช่วงหนึ่งกับช่วงใกล้ตี ๒ กว่าช่วงหนึ่ง ช่วงนี้จะโดนผีหลอกประจำเลย อยู่ ๆ มันมีเสียงประหลาดบอกไม่ถูก มันโหยหวนบาดลึกเข้าไปในหัวใจ เหมือนใครเป็นหมื่นเป็นแสนมันร้องเข้ามาแน่นไปหมดทุกด้าน แล้วหมาในหมู่บ้านทับเซียมที่ห่างไปซัก ๒ กิโลมันหอนประสานกันทั้งหมู่บ้านเลย ไอ้เราก็ตายแล้วหว่ากูวันนี้เจอกองทัพผีเข้าแล้ว บอกกับเพื่อนที่อยู่เวรด้วยกันเขารุ่นพี่ เอ้าเฮ้ย! เอ็งฉายไฟข้าจะยิง ลองกับผีมันดูหน่อยเราก็เตรียมเอ็ม ๑๖ พร้อมเลย
    พอเพื่อนมันฉายไฟปุ๊บ ลักษณะเสียงที่มันร้องเข้ามาคือไม่น่าจะเกิน ๒ เมตรแล้ว มันไม่มีอะไรเลยมันเป็นทุ่งนาโล่ง ๆ นั่นแหละ ไอ้เจ้านั่นเขาคงอยากจะมาขอส่วนบุญแต่บังเอิญเจอเขาอุทิศส่วนกุศลด้วยกระสุนเอ็ม ๑๖ เลยเปิดกันหมด ถือถ้ามาขอดี ๆ ไม่เป็นไร อาตมาประเภทใจดี แต่หากว่ามาในลักษณะนั้นมักจะสู้ เป็นคนที่กลัวนะ แต่กลัวลักษณะกลัวแล้วไม่หนี กลัวแล้วสู้ เจอบ่อยอีกทีหนึ่งนั้นช่วงประมาณตี ๒ อยู่เวรกับรายเดิมนั่นแหละ เขาจัดเวรเป็นคู่ ๆ กันประมาณตี ๒ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาใส่เสื้อแขนกระบอกสีดำยาวถึงนี่ แล้วก็ผ้าถุงสีดำ ไว้ผมยาวเกือบถึงก้น แกใส่ชุดดำปี๊ดปี๋เลยนะ แต่แปลก
    ถาม : .......................
    ตอบ : คราวนี้ก็คิดว่าเป็นพวกชาวบ้านเขามาหาหมอทหาร เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยฉุกเฉินเขาจะวิ่งมาหาหมอทหาร ก็ถามว่า อีหนู... มีธุระอะไร? มันไม่ตอบ มันเอื้อมมือจะคว้าคอเราเลย เราก็ผงะหลบ คราวนี้ตัวเองนั่งอยู่ แท่นที่เข้าเวรน่ะมันเป็นป้อมสูง โห.... ตกลงไปก็คอหักสิ มันเป็นเนินเขานะ พอผงะหลบตั้งใจมองหน้ามันคราวนี้ใจแป้วเลย ลูกตามันยังกับลูกแก้วใส ๆ เลย เราก็ตกใจ ยายนั่นก็เดินทื้อเข้ามาจะทำไงดีหว่า ? มันเดินเข้ามามันกั้นตัวเรากับปืนเอาไว้เอื้อมมือก็ไม่ถึง (หัวเราะ) ฉุกเฉินนึกอะไรไม่ทัน
    ตอนนั้นภาวนาคาถาอยู่หลายบท นึกถึงคาถาชินบัญชรก็ตั้งใจนึกถึงหลวงพ่อโตวัดระฆังว่า ชะยาสะนาคะตาพุทธา... ยังไม่ทันจะครบประโยค มันหายวับไปยังกับหนังขาดโดนกระชาก เคยดูหนังที่ถึงเวลาแล้วฟิล์มมันขาดใหม ? วึ๊บเดียวภาพหายเกลี้ยงเลยหรือไม่ก็เหมือนโดนใครกระชากหายไป เราก็มานั่งอกสั่นขวัญแขวนทบทวนแล้ ทบทวนอีก ใครวะ ? เราอยู่ที่นี่ทหารที่ปะทะกันมันยิงฆ่ากันก็เรื่องปกติ แต่เราไม่เคยยิงผู้หญิงนี่หว่า ?... แล้วทำไมผีผู้หญิงถึงจะมาหักคอเรา นึกไปนึกมานึกได้
    ตอนช่วงบ่ายเป็นช่วงว่างของเราไปซ้อมขว้างมีดปลายปืนกัน มีดปลายปืนจะยาวสักคืบน่ะ แล้วด้ามหนัก ๆ จะสวมติดกับลำกล้องปืนเอาไว้เวลาถ้ายิงกับจนหมดแล้วมันจะเป็นอาวุธยาวได้ ซ้อมกับต้นไม้ ขว้างซะพรุนไปเลย นึกขึ้นมาได้ปุ๊บก็ อ๋อ...สงสัยว่าจะเป็นนางไม้ที่ต้นนั้นแหละ แม่เจ้าประคุณคงยั๊วะเต็มที่แล้ว ต้นนั้นอยู่บนจอมปลวกใหญ่ด้วย เป้าเด่นดีใช่ไหม ? ซ้อมขว้างซะพรุนไปเลย ตั้งใจว่าเดี๋ยวตอนเช้าจะไปขอโทษ
    ตอนเช้าก็เลยจัดอาหารหน่อยหนึ่ง ไม่เยอะหรอก มีข้าวหน่อยหนึ่ง น้ำหน่อยหนึ่ง กับหน่อยหนึ่ง ไปถึงก็จุดธูปปักเลย บอกว่าสิ่งที่ล่วงเกินเธอโดยไม่ได้เจตนานั้นขอโทษด้วยนะเพราะว่าไม่รู้จริง ๆ ว่าเธออยู่ตรงนั้น ถ้าหากว่าโกรธแค้นอะไรก็ขอให้อภัยกันด้วย ต่อไปถ้าทำบุญอะไรแล้วจะอุทิศให้ เรื่องมันก็เงียบไปเฉย ๆ คือคืนต่อมาก็ไม่มารบกวนอีก อยู่ที่นั่นผีหลอกประจำจ้ะ มันหลอกทั้งเห็นตัวหลอกทั้งได้ยินแต่เสียง หลอกมาตั้งแต่กลิ่นอะไรสารพัดสารเพ เพราะว่ามันตายซับตายซ้อนนับกันไม่ถ้วน
    มีอยู่เที่ยวหนึ่งเขาวิทยุมากลางดึกบอกว่าฝ่ายตรงข้ามมันเคลื่อนไหวกันคึกคัก ดูท่ามันเข้าตีเราคืนนี้แน่ ผบ. ร้อยสั่งการให้ทหารเคลื่อนกำลังออกไปยันไว้ก่อน พอไปถึงเข้าจัดวางกำลังกัน คนอื่นเขาต้องไปวางกำลังตามจุดของตัวเอง ของเราประจำอยู่กองบัญชาการกองร้อยไปไหนไม่ได้ เขาบอกเอ็งเฝ้ารถไว้ เรามองดูรถมันจอดอยู่บนคันคูยุทธศาสตร์
    คนไทยเราฉลาด พื้นที่ข้างหน้าของเราน่ะแผ่นดินไทยนะ แต่เรายอมร่นพื้นที่ลงมา ๒ กิโลเมตร แล้วขุดเป็นคูยาวตลอดเลย บนคันคูก็เอาดินขึ้นมาถม ต้องถมเป็นคันใหญ่เบ้อเร่อเป็นถนนให้พวกเขมรเขาอาศัยอยู่ได้ ถ้าเกิดเรื่องอะไรนี่เรายิงเขาได้ทันทีเลย เพราะว่าเขาบุกรุกอยู่ในพื้นที่เรา ๒ กิโลเมตร เขาเคลื่อนไหวผิดปกติดูท่าว่าจะเข้าตีก็เลยต้องทำวิธีนั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> คราวนี้เจ้ารถคันนั้นมันจอดอยู่บนคันคูยุทธศาสตร์เรามองไปแล้วมันเป็นทุ่งโล่ง ๆ พอตัดกับขอบฟ้ากลางคืนนี่ อะไรที่มันเด่นขึ้นมามันเห็นชัดมากเลย มองเสร็จเรียบร้อย... ตูขืนอยู่เป็นเป้าอาร์พีจีแน่นอนเลย มันต้องยินรถก่อน พอมันยิงรถเสร็จแล้วหนียากแล้วใช่ไหม? ไม่มีไอ้เคลื่อนที่ได้เร็วมันก็ล้อมเราได้ ถ้าขืนอยู่ตูเป็นเป้าอาร์พีจีแน่แผ่นดีกว่า เราก็หลบเข้าไปชายป่า พอหลบเข้าไปในชายป่าหมอบไปใต้ต้นไม้ใหญ่มันมีพายุหมุน ลมหัวด้วนที่เราเรียกว่าลมบ้าหมูน่ะ มันหมุนวน ฮือ ๆ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ยังไงก็ไม่ไป วนไปวนมา วนมาวนไป เราก็... มันจะวนไปทำอะไรของมันวะ ? แล้วพายุกลางค่ำกลางคืนก็ไม่เคยเห็นเพิ่งจะเคยเห็นเนี้ย มันวนไปวนมาสักพักนึกขึ้นมาได้ เอ๊ะ ! ดูท่าจะมีใครมาขอส่วนกุศลเรามั้งหว่า ? ก็เลยตั้งใจว่า เออ... ใครก็ตามนะที่เธอต้องการส่วนกุศลนี้ ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตลอดจนกระทั่งบุญที่เราปกป้องรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอให้เธอทั้งหลายโมทนานะ เราได้รับประโยชน์ ความสุขเท่าไหร่ขอให้เธอได้รับด้วย พอคิดแค่นั้นแหละพายุมันก็สลายตัววึ๊บ คราวนี้สิขอรับ ยุงมาเป็นหอบ ๆ เลย ตอนลมพัดอยู่ยุงมันไม่มี (หัวเราะ) โอ้โห ทนให้ยุงมันกินจนคันไปทั้งตัว
    จนกระทั่งผ่านไปสักค่อนชั่วโมงได้ก็มีเสียงสัญญาณบอกผ่านของฝ่ายเรามา เขาจะทำเป็นเสียงนกกลางคืนมา เราก็ตะโกนถามระหัสผ่าน มันต้องมีสัญญาณซ้อนสัญญานนะ ถ้าบอกผิดขึ้นมานี่พ่อยิงกระจายเลย ถ้าไม่งั้นขืนปล่อยไว้ฝ่ายตรงข้ามมันแทรกเข้ามาได้ใช่ไหม ? ตะโกนถามเขาบอกรหัสผ่านถูก ถามปลาร้า ตอบ แซ่บอีหลี (หัวเราะ)
    พวกรหัสนี้เราจะตั้งเป็นคืน ๆ แล้วกระซิบบอกกัน ไม่งั้นฝ่ายตรงข้ามถ้ามันรู้แล้วมันแทรกเข้ามาได้ ตะโกนตอบเสร็จเรียบร้อยก็โผล่หัวออกไป เจ้านายเขาบอกมึงหายหายไปไหนมาวะ? ก็บอกว่าผมเห็นว่าถ้าขืนอยู่ตรงนั้นเป็นเป้าอาร์พีจีแน่ ผมก็หลบ แต่ว่ารถมันอยู่ในสายตาผมครับไม่มีใครขโมยได้แน่ ลูกน้องก็ถามพี่ ๆ หลบอยู่ใต้ต้นไม้นี่นะเหรอ ? บอกว่า เออ...มีอะไรล่ะ ? อาทิตย์ก่อนผมฝังไว้ ๓ ศพ (หัวเรา) ไว้เวร ! แล้วมันก็ไม่บอกเรา ให้เราอยู่บนหลุมฝังศพตั้งครึ่งคืน
    ตอนนั้นไม่รู้สึกกลัวเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าเขาฝังศพไว้ตรงนั้น คือมันปะทะกับบ่อยแล้วก็ตายกับบ่อย ๓ ศพ ๕ ศพนี่ถือว่าขอกันกิน แต่ไม่มีข่าวหรอกจนแต่ว่าครบปีพระราชทานเพลิงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุก็ ๔๐๐-๕๐๐ ศพล่ะกว่าจะรู้กันทีหนึ่ง แต่ถ้าเสียพื้นที่เมื่อไหร่ต้องรีบออกข่าวเพื่อให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินวิธีตามการทูต ถ้าประเภทปะทะกันตาย ๓ ศพ ๕ ศพ ถือว่าขอกันกิน บังเอิญบางทีมันขอเรามากเราก็เจ๊งเยอะเพราะว่าตอนช่วงที่อยู่นั่นถ้าทหารตายศพหนึ่งเขาหักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๒ บาท
    ถ้าอยู่ ๆ จ่ากองร้อยมาบอกงวดนี้ ๒ บาทนะครับก็แปลว่าเพื่อนตายอีกศพแล้ว ถ้า ๔ บาทก็ ๒ ศพ อยู่ตรงนั้น ๕ เดือน ปกติแล้วจะอยู่ฐานละ ๔ เดือน รวมแล้ว ๓ ฐานปีนั้น จะเป็น ๑ ฐาน ในแนวหน้า แล้วก็ ๒ ฐานที่เป็นกองหนุน ฐานที่อยู่แนวหน้าจะอยู่บ้านหนองเสม็ด ฐานที่แนวหลังจะอยู่บ้านโคกสูงกับบ้านแซร์ออ บ้านหนองเสม็ดจะอยู่ในเขตตาพระยา บ้านแซร์อออยู่ในเขตวัฒนานคร บ้านโคกสูงก็เขตอรัญประเทศ มันคนละอำเภอกัน
    แต่ว่าของเรากำหลังหนุนมันพร้อมที่จะขึ้นไปได้ทุกเวลา ปกติจะอยู่ฐานละ ๔ เดือน อาตมาโชคดีไปหน่อยมันปะทะติดพันอยู่ถอยไม่ได้ เราเคลื่อนย้ายกำลังฝ่ายตรงข้ามเสียบเข้ามาก็บรรลัยแล้ว ช่องว่างมันเกิด ใช่ไหม ? เลยติดแหง็กอยู่ฐานหน้า ๕ เดือนกว่า รวมเวลาภาระกิจเขาปีหนึ่ง เราล่อไปปีกว่า ช่วงอยู่ข้างหน้า ๕ เดือนปะทะทุกวัน เพื่อน ๆ กองร้อยเดียวกันตายไป ๒๖ ศพ ร้อยเอกหนึ่งศพ ร้อยตรี ๑ ศพ นายสิบ ๘ ที่เหลือพลทหาร แค่ ๕ เดือนนะ..... แต่ว่าอยู่ที่นั่นไม่ได้กลัวอะไรเลย เพราะว่ามีธงมหาพิชัยสงครามหลวงพ่อติดตัวอยู่ หลวงพ่อขึ้นไปแจกให้ด้วยตัวเอง
    สมัยก่อนธงมหาพิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่หลวงพ่อหวงมากเพราะว่าทำยากทำเย็นเหลือเกิน สมัยก่อนนี่เขาเขียนด้วยมือ ผืนหนึ่งเขียนเป็นเดือนกว่าจะเสร็จ หลวงพ่อท่านศึกษาตำราเสร็จบอกชอบใจแต่ว่าทำไม่ไหว ไม่มีเวลา ท้าวมหาชมภูที่เป็นเจ้าของธงท่านเคยเกิดเป็นพระร่วงมาก่อนเป็นเจ้าของธงมาบอกว่าให้ทำ หลวงพ่อบอกว่าทำไม่ไหวท่านก็เลยผ่อนผันให้ บอกว่าให้ไปปั๊มขึ้นมาก็ได้แล้วก็นำมาเสก เอามาแสกหลวงพ่อก็บอกว่าเสกไม่ไหว มันยาวเหลือเกินคาถา ท่านก็เลยบอกว่าแกทำมาข้าเสกเอง หลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่างั้นเออ..พอไหว ท่านบอกถ้าไม่ใช่น้องไม่ใช่นุ่งไม่ใช่ลูกไม่ใช่หลานเดี๋ยวจะอัดให้ร่วงเลย..ว่างั้น อะไรที่ลำบากหลวงพ่อไม่เอา ท่านเอาแต่สบาย ๆ
    คราวนี้การเสกธงมหาพิชัยสงครามตอนนั้นน่ะทำที่ไหนโยมรู้ไหม ? วัดบวรจ้ะ เหลือเชื่อไหม ? เพราะตอนนั้นสถานการณ์ชายเเดนไม่ดีมากเลยต้องมีการทำวัตถุมงคลสำหรับส่งไปให้ทหารที่ชายแดน งวดนั้นเสกธงมหาพิชัยสงครามที่วัดบวรประมาณ ๑ คันรถปิ๊กอัพ แต่ว่าหลวงพ่อหวงมากใครมาขอธงถามว่าเป็นทหารตำรวจชายแดนหรือเปล่า แล้วถ้าไม่ใช่แนวหน้าก็ไม่ให้ด้วย
    ตอนช่วงนั้นหลวงพ่อออกเยี่ยมชายแดนเป็นว่าเล่นเลย มีรายที่ประเภทเขี้ยวลากดินที่สุดก็คือผู้การประจักษ์ ผู้การประจักษ์ก็คือ พันเอกประจักษ์ สว่างจิต ยังเติร์กดัง ตอนนั้นน่ะเป็นผู้บังคับการกรมทหารม้าที่ ๒ อยู่ .... เขาเรียกบูรพาพยัคฆ์ คือค่ายมันอยู่ทางตะวันออกวัฒนานคร แกเล่นเอารถถังทุกคันมาให้หลวงพ่อติดธงมหาพิชัยสงคราม เจิมให้ด้วย กะเอาชนิดที่ว่ายังไง ๆ กูต้องรอดแน่
    ส่วนตัวแกเองเสื้อกั๊กที่ใส่อยู่เย็บเหรียญหลวงพ่อติดซะแน่นพึ่บ คนมันศรัทธามากขนาดนั้นจริง ๆ ของ ๆ หลวงพ่อนี่ชอบมากเลยอยู่ชายแดน ของยิงไม่ออกไม่ชอบหรอก ยิงออกไม่ถูกอย่างหลวงพ่อนี่ชอบมากมันตรงกับนิสัยเรา ได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วมันส์ไง พอได้ยินแล้วมันอยากวิ่งใส่อย่างเดียว เพราะงั้นอยู่ที่ชายแดนนี่ปลอดภัยมาก ถึงที่เรียกว่าโดนหนัก ๆ
    ขนาดมีอยู่ครั้งหนึ่งทหารญวนเฮงสัมริน เฮงสัมรินนี่มันเป็นเขมรแต่ญวนสนับสนุนจะถอนกำลัง มันใช้วิธีรุกอำพรางการถอย ปืนใหญ่ ๓ กระบอกมันระดมใส่เราตั้งแต่ตี ๒ กว่า ๆ หมู่ปืนใหญ่ที่คล่อง ๆ นะ ๓ วินาทียิงได้นัดหนึ่ง เราตีว่ามันห่วยแตก ๖ วินาทียิงได้นัดหนึ่งเลยเอ้า มันยิงอยู่ ๑๕ นาทีเต็ม ๆ แผ่นดินไหวเป็นไกวเปลเลย ๓ กระบอกมันล่อไป ๔๐๐-๕๐๐ นัด แผ่นดินไหวยังไม่พอบังเกอร์มันทรุดหมดน่ะ บังเกอร์เขาเรียกสั้น ๆ ว่า
     
  8. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้ บอกมอบกายถวายชีวิตเลยหลวงพ่อ... ของดีขนาดนี้ และตั้งแต่นั้นมาไม่กลัวอะไรเลย ถูกใจมาก ยิงไม่ออกนี่ไม่ชอบมันไม่ได้ยินอะไร ยิงออกไม่ถูกนี่ชอบจริง ๆ มันส์มาก ได้ยินเสียงปืนมันอยากวิ่งใส่ตอนนั้นเลย วัตถุมงคลทุกอย่างหลวงพ่อบอกฉันไม่รับรองว่าจะเหนียวเพราะว่าบางคนมันถึงที่ตายนะ ถ้าถึงที่ตายเหนียวก็เข้า
    ดังนั้นท่านบอกว่าท่านไม่รับรองให้ใคร แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำมาท้าวมหาราชท่านรับรองว่าถ้าเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ต่อให้หมดอายุจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน ท่านเอาขนาดนั้น ตอนแรก ๆ ที่ท่านทำท่านบอกว่าหนังแตกได้แต่ห้ามกระดูกหัก ไป ๆ มา ๆ ท่านให้ถึงขนาดว่าหมดอายุขันจริง ๆ ก็ให้มาตายที่บ้าน แสดงว่าเทวดาจริง ๆ เหนื่อยกว่าเราเยอะใช่ไหม ? ทหารออกรบ ๑ กองร้อยพกพระไป ๑ กองพล แต่ละคนพวงเบ้อเริ่มเลย มีเราพกธงอยู่ผืนเดียวคนอื่นเขาไม่เชื่อถือกันหรอก เขาคลำคอแล้วไม่มีพระสักองค์มีธงหลวงพ่อผืนเดียว ตอนนั้นไม่ใช่ธงเปล่า ๆ อย่างนี้ จะติดธงชาติเล็ก ๆ อยู่ด้วย พอพับ ๆ เสร็จแล้วก็จะคล้าย ๆ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งใส่กระเป๋าอยู่ คนอื่นเขาก็รู้แค่เรามีของดีไม่รู้ว่ามีอะไร
    มีอยู่งวดหนึ่งเบิกเบี้ยเลี้ยง อยู่ชายแดนนี่รวยมากมันจะมีเบี้ยเลี้ยงปกติ เบี้ยเลี้ยงสนาม เบี้ยกันดารแล้วก็เงินเดือน โห... รวยอย่าบอกใครเลย แต่ว่าพอถึงเวลาไม่การปะทะเซ็งไง มหรสพทุกอย่างไม่มีมันก็เขย่าไฮโล เบี้ยเลี้ยงเท่าไหร่มันก็หมดใช่ไหม ? ของเราเองเราไม่ค่อยเบิกมันไม่ได้ใช้อะไรนี่ ถึงเวลาคนอื่นเขามันไม่มีการมีงานเราก็นั่งภาวนาของเรา
    ปรากฏว่าวันนั้นเบิกมาพอดีถึงงวดออกเบิกมา ๘,๐๐๐ บาท ใส่มากระเป๋าตุง เผลอถอดเสื้อไปอาบน้ำหน่อยเดียวกลับมาหายเกลี้ยงทั้ง ๘,๐๐๐ กูไม่ว่าแต่ถ้าเอาธงพ่อจะตามล่าจนกว่าจะได้คืน คือคนอื่นเขาไม่รู้ว่าธงดียังไงใช่ไหม ? เขารู้อยู่อย่างเดียวว่าเขาจะเอาเงิน ก็ ๘,๐๐๐ บาทให้มันไป ไม่ว่ากัน นึกว่าขอกันกิน
    ถาม : พระแต่ละองค์วัดท่าซุงนี่ส่วนมากเป็นทหารกันเยอะนะครับ ?
    ตอบ : ของอาตมาเองไม่ได้คิดจะเป็นทหารหรอก มันจับพลัดจับผลูเข้าไปอีท่าไหนก็ไม่รู้มันเป็นจนได้ เสร็จแล้วมันก้าวหน้าผิดปกติชาวบ้านชาวเมืองเขาด้วย แต่ว่าไป ๆ มา ๆ แล้วมันก็เบื่อ มันเบื่อตรงไกลหลวงพ่อ ไกลหลวงพ่อมันเซ็งขึ้นมาก็ลาออกเลย ของทหารเขาเรียนมาต้องใช้ให้ครบอายุราชการ ถ้าไม่ใช้ให้ครอบต้องควักเงินคืนเขา พอใช้อายุราชการครบก็เปิดดีกว่า
    ตรงจุดนี้จุดหนึ่งที่เห็นคุณหลวงพ่อจะได้เห็นว่า
     
  9. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : หลวงพี่กับหลวงพี่หยัด ( พระบัญญัติ) นี่บวชพร้อมกันไหมเจ้าคะ ?
    ตอบ : ไม่ล่ะจ้ะ อาตมาบวชก่อนหลายพรรษาเลย
    ตอบ : ท่านก็บวชที่วัดท่าซุงเหรอคะ ?
    ตอบ : หลวงพี่หยัดนี่อยู่ที่วัดพุทธไชโยแล้วก็ไปเป็นนาคที่ท่าซุง บวชจากวัดท่าซุงเสร็จค่อยย้ายไปพุทธไชโย คือ ที่วัดท่าซุงมีระเบียบว่าถ้าเป็นพระวัดอื่นจะไปบวชต้องไปเป็นนาคที่วัดท่าซุงก่อน เพื่อจะได้ศึกษาระเบียบแบบแผนอะไรต่าง ๆ ให้ครบ พอบวชเสร็จแล้วถึงจะกลับไปอยู่วัดตัวเองได้ สมัยนั้นทางด้านพุทธไชโยก็ส่งพระมาบวชที่ท่าซุงประจำล่ะ ท่านเป็นรุ่นน้องหลายปีแต่ว่าท่านเอาจริงเอาจังมากนะ
    ตอบ : ......................
    ตอบ : เวลาตื่นนอนน่ะรีบปั๊มสมาธิให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ มันจะเป็นกำลังให้เราได้ทั้งวัน ถ้าสมาธิไม่ดีนี่ทำงานมาก ๆ มันเหนื่อยมันเพลียบางทีเอนตัวลงยังไม่ทันตั้งท่าเลยมันน็อคไปแล้ว ฟิวส์ขาด
    เพราะฉะนั้นตอนช่วงเช้าเอาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เสร็จแล้วสังเกตอารมณ์ใจตัวเองดูให้ตลอดเวลา พอใกล้เพลนี่พอดีมันชนโน่นชนนี่เข้ากำลังมันเริ่มลดลง หาเวลาว่างหลบซะนิดหนึ่งเข้าส้วมก็ได้เอานานหน่อยใช่ไหม ? แกล้งบอกเขาว่าท้องผูกไปอะไรไปเลยแล้วไปภาวนาต่อในส้วมนะ พออารมณ์ใจมันทรงตัวออกมาชนกันมันต่อ คราวนี้ก็จะประคับประคองอยู่ได้ถึงไม่เย็นก็ใกล้ ๆ เย็นแหละ กลับบ้านมาเราก็ทำของเราต่อให้อารมณ์ใจมันต่อเนื่องกันในลักษณะนี้
    สมัยอาตมาหัดใหม่ ๆ น่ะใช้วิธีนี้นะ ตื่นตั้งแต่ตี ๓ ภาวนาจน ๖ โมงเช้า ๖ โมงเช้าเริ่มทำงานต่อ....ลูกจ้างเขานี่เขาใช้งานตั้งแต่ ๖ โมงเช้านั่นแหละ พอพักเที่ยงปุ๊บรีบกินข้าวมีเวลากินข้าวแค่ ๑๐ กว่านาทีแค่นั้นแหละแล้วที่เหลือก็มุดผลับหลับเลย เวลาพักของเราไม่ถึงบ่ายโมงห้ามเรียกอยู่แล้วใช่ไหม ? ภาวนาของเราเต็มที่คนอื่นเขาคิดว่าเรานอนพักความจริงนอนภาวนา นอนภาวนาถึงบ่ายโมงทำงานต่อ ๕ โมงเย็นเลิก คราวนี้โลกเป็นของเราจะทำอะไรอยู่ที่เราใช่ไหม ? อารมณ์ใจมันต่อเนื่องอยู่ตลอดกำลังสมาธิดีงานหนักแต่ไหนก็สู้ได้
    ตอบ : ......คุยเรื่องสอบ.........
    ตอบ : อย่าลืมคาถาท่านปู่พระอินทร์แล้วกัน ใช้ให้ประจำ ๆ ไว้จะได้เคยชิน มีคุณมหาศาลมากเลยล่ะ
    ตอบ : ถ้าใช้มาก ๆ ถือว่าใช้ท่านไหมคะ ?
    ตอบ : ไม่เกี่ยวจ้ะ ท่านเองท่านพร้อมที่จะสงเคราะห์อยู่แล้วถ้าใครบอกคาถานี้ก็คือลูกหลานของท่าน ท่านอนุญาตเอาไว้แล้ว ในเมื่ออนุญาตเอาไว้แล้วก็รีบ ๆ ใช้เยอะ ๆ
    ตอบ : ...................
    ตอบ : ถ้าหากว่าเราภาวนาแรก ๆ นี่มันเป็นสมถภาวนาอยู่แล้ว เมื่อไปถึงจนกำลังใจเต็มมันจะถอนออกเองโดยอัตโนมัติ มันเหมือนเราเดินชนที่ตันไปต่อไม่ได้ ตอนมันถอนออกมานี่แหละถ้าเราไม่ควบคุมให้มันคิดโดยการใช้ปัญญาอย่างที่เรียกว่าวิปัสสนา คือ คิดให้รู้เห็นตามความเป็นจริงมันก็จะไปฟุ้งซ่านหารัก โลภ โกรธ หลง ของมัน
    คราวนี้วิธีคิดมีหลายวิธี วิธีแรกดูตามไตรลักษณ์คือลักษณะความเป็นจริงสามอย่างว่าสภาพของเราก็ดี คน สัตว์ วัตถุธาตุ สิ่งของทุกอย่างก็ดี มันเป็นอนิจจังไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด มันเป็นทุกข์ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหนก็ต้องมีสภาพจะทนอยู่เสมอ มันเป็นอนัตตาคือบังคับบัญชาไม่ได้ เป็นตามใจของเราไม่ได้ มันเป็นสภาพที่แท้จริงของมัน เขาเรียกว่าไตรลักษณ์ ลักษณะความเป็นจริง ๓ อย่าง ดูให้เห็นให้จิตยอมรับให้ได้ วิธีที่ ๒ เรียกว่าดูตามอริยสัจ คือ ความเป็นจริง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จริง ๆ แล้วเขาให้เราดูทุกข์กับสมุทัยเท่านั้นเพราะว่าสมุทัยคือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ว่าเราทุกข์อยู่นี่เกิดขึ้นเพราะอะไร
    อย่างเช่นว่า ตอนนี้เราเมื่อย เมื่อยเกิดจากอะไร เมื่อยเพราะเรานั่ง ถ้าเราเปลี่ยนอริยบทเสียมันก็หายเมื่อย อย่างนี้เป็นต้น คราวนี้ว่าเขาดูไป ๆ จนกระทั่งเห็นชัดว่าสาเหตุที่เราทุกข์อยู่ทุกวันนี้เพราะว่าเราเกิดมาตัวเดียว ถ้าเราไม่เกิดอีกความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอีก
    ดังนั้นเราจะดับต้นเหตุก็คือว่าต้องไม่เกิดอีกนะ จริง ๆ แล้วดูทุกอย่างรอบตัวของเราว่าเป็นทุกข์มันก็พอแล้วเพราะอะไร แต่ว่าถ้าหากขยันหน่อยขยับไปหาเหตุมันซะนิดหนึ่งว่ามันทุกข์เพราะอะไร แล้วก็ดับตรงจุดนั้นเขารียกว่าดูตามอริยสัจ
    วิธีต่อไปเรียกว่าดูตามวิปัสสนาญาณ ๙ อย่างในวิสุทธิมรรค เขาแยกไปชัดเจนเลย ตั้งแต่อุทยัพยานุปัสสนาญาณ เห็นการเกิดและดับของทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด ภังคานุปัสสนาญาณเห็นว่าทุกอย่างต้องดับหมดทั้งสิ้น สลายหมดทั้งสิ้น ภยตูปัฏฐานญาณ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของที่น่ากลัวกระทั่งร่างกายของเรานี่ก็น่ากลัว มันเหมือนกับเลี้ยงเสือเอาไว้ถึงเวลาเดี๋ยวมันก็หิว เดี๋ยวมันก็กระหาย เดี๋ยวมันร้อน เดี๋ยวมันหนาว เดี๋ยวมันก็เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องคอยหาให้มันกิน หาให้มันดื่ม ต้องไปถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ ต้องรักษาพยาบาล เป็นต้น ต้องหาน้ำให้มันอาบ หาผ้าให้มันห่ม เหมือนกับเลี้ยงเสือไว้เผลอเมื่อไหร่ มันกัดเรา
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องหัดคิดให้เป็น พิจารณาให้เป็น พอเราพิจารณาไปเรื่อย ๆ จนสภาพจิตมันยอมรับ หรือว่าไม่ยอมรับแต่กำลังดำเนินไป ตามปัญญาและสติเฉพาะหน้านั้นก็ตาม มันจะค่อย ๆ เป็นสมาธิโดยไม่รู้ตัว พอมันเป็นสมาธิมันทรงตัวเต็มที่ถ้ามันอยากเป็นสมาธิก็ให้มันเป็นสมาธิทรงตัวไปเลย พอมันทรงตัวเต็มที่เดี๋ยวมันคลายออกมาอีกเราก็ต้อนเข้ามาหาวิธีการคิดเหล่านี้อีกสลับกันไปเรื่อย
    สมถภาวนาคือการทำใจให้สงบ วิปัสสนาคือการสร้างความรู้จริงเห็นจริงให้เกิดขึ้นในใจของเรา มันเหมือนอย่างกับคนผูกขาติดกันนะต้องสลับกันเดิน เราจะไปสมถะอย่างเดียวคือการภาวนาอย่างเดียวพอไปเต็มที่แล้วมันโดนกระตุกกลับมันไปต่อไม่ได้ มันจะโดนกระตุกกลับคือมันคลายตัวกลับมา
    เราต้องใช้วิปัสสนาญาณคือต้องคิดต่อเท่ากับว่าก้าวต่อไป พอคิดจนเต็มที่แล้วมันจะทรงเป็นสมาธิภาวนาต่อไปคือ เป็นสมถะต่อเราก็ก้าวทางด้านนี้ต่อ ต้องสลับกันไปถึงจะก้าวหน้า การกระทำทั้งสองอย่างนี้ถ้าเป็นวิปัสสนามันจะได้เปรียบตรงที่ว่ามันภาวนาไปแล้ว พอพิจารณาไปแล้วมันจะเป็นภาวนาไปด้วย แต่ว่าสมถภาวนาถ้าทำอย่างเดียวทำไปแล้วไม่ถอนกำลังใจออกมาเพื่อคิด ถึงเวลาแล้วมันจะฟุ้งซ่าน สองอย่างต้องทำรวมกันแต่ว่าถ้าทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้เลือกทำวิปัสสนากำลังใจให้ทรงตัว
    ตอบ : จะทำวิปัสสนาต่อเมื่อจิตสงบหรือครับ ?
    ตอบ : ก็พอมันเต็มที่ของมันน่ะ จะใช้คำว่านิ่งบางคนมันก็ยังไม่นิ่งดีหรอก
    ตอบ : คือ...ไม่รับรู้ ได้ยินเสียงแต่ไม่แขว ?
    ตอบ : อาการเหล่านั้นมันเป็นขั้นตอนแรก ๆ ของการปฎิบัติเท่านั้น บางคนก็สามารถเข้าไปถึงขนาดที่เรียกว่าฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่ได้ยิน แล้วถึงเวลามันคลายตัวออกมาก็มาใช้วิปัสสนาญาณพิจารณาต่อ

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  10. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : การออกจากวิปัสสนาแล้ว ทำไมกินของแล้วไม่รู้สึกอะไร ?
    ตอบ : ลักษณะนั้นบางทีเป็นกำลังของสมาธิมันคุมอยู่ เป็นลักษณะของกำลังฌานยังคุมอยู่ เมื่อกำลังฌานยังคุมอยู่จิตกับประสาทมันจะแยกกันเป็นคนละส่วนกัน ที่ว่าตาเห็นแต่ไม่ค่อยอยากจะสนใจ หูได้ยินก็เบาลงขาดความสนใจในมัน นี่ลิ้นได้รส ในเมื่อจิตกับประสาทแยกจากกันมันก็ไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรประเภทเดินตากแดดก็ไม่ร้อน เดินตามลมก็ไม่หนาว ลักษณะนั้นถ้าทำได้ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นเอาไว้
    ส่วนใหญ่พวกเราทำไปแล้วพอถึงเวลาเลิกแล้วเลิกเลย ปฎิบัติมันจะไม่ก้าวหน้าเพราะเราเลิกแล้วทิ้งเลย เหมื่อนกับว่าเราว่ายน้ำทวนน้ำมา พอถึงเวลาก็ปล่อยมือให้มันลอยตามน้ำไปอีก ถึงเวลาว่ายน้ำใหม่มันก็ได้แต่งาน ผลงานมันไม่ได้มีเพิ่มขึ้น ต้องรู้จักรักษาอารมณ์ที่เราทำได้ให้อยู่กับเรานานที่สุดเพื่อความสุขความเย็นใจของเราให้มากที่สุด แล้วพอความเคยชินของการรักษาอารมณ์มันจะทำให้เรารักษาได้ยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา เมื่อยาวนานขึ้นเรื่อยจนกระทั่งบางทีติดต่อกันเป็นเดือนเป็นปี นี่กำลังจิตมันทรงตัวตลอด กิเลสต่าง ๆ มันก็เหมือนหญ้าที่ถูกหินทับเอาไว้ พอทับนาน ๆ ไม่ได้อากาศไม่ได้แสงแดดมันก็เฉาตายไปเอง
    ถาม : ................................
    ตอบ : อย่าเพิ่งเชื่อมันสิ ต้องฝืนมันบ้าง แต่ว่าบางคนถนัดในการนอนภาวนา ยืน เดิน นั่ง นอน ๔ อิริยาบถนี้ อิริยาบถไหนก็ภาวนาได้ แต่อิริยาบถนอนต้องฝึกให้ชินก่อนถ้าไม่ชินขาดสติปุ๊บมันจะตัดหลับไปเลย
    เพราะฉะนั้นถ้าหากว่ามันอยากจะนอนทั้ง ๆ ที่เรานั่งอยู่ให้คิดไว้ก่อนว่าเป็นตัวนิวรณ์ คือ ถีนมิทธะนิวรณ์มากวน ตัวนี้มันชวนให้ง่วงนอนแล้วก็ขี้เกียจ ต้องลองฝืนมันดูถ้าเราไม่ได้ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันมาถึงเวลาปุ๊บแล้วมาชวนนอนเลย อย่างนั้นให้ถือว่าตัวนิวรณ์ตัวนี้มันกำลังรังแกเราอยู่ ให้ฝืนใจเอาไว้ทำต่ออีกหน่อยเดียวพอก้าวข้ามตรงจุดนี้ไปมันก็จะสว่างโพลงอยู่แล้วก็จะไม่อยากนอนอีก
    บางคนภาวนาไป พอถึงระดับจิตมันโพรงตื่นอยู่ตลอดเวลา จะไปบังคับให้มันหลับแทบจะคลุ้มคลั่งบังคับกันทั้งคืนมันก็ไม่หลับ ตอนนั้นให้รับรู้อาการไว้เฉย ๆ นะตัวมันนอนมันได้รับการพักผ่อนอยู่แล้ว สภาพจิตจริง ๆ นี่ถ้าผ่องใส่จริง ๆ นี่เขาไม่นอนหรอก เขาจะตื่นอยู่ตลอดเวลาทั้งหลับทั้งตื่นจิตจะดำเนินไปในลักษณะของการระมัดระวังไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วเราภาวนาเฉพาะตอนตื่นสติสมบูรณ์รู้อยู่เราสู้กิเลสได้ระวังกิเลสทัน แต่ว่าถ้าหากเผลอหลับ หลับเมื่อไหร่มันก็เอาทั้งหลับ ๆ นั่นแหละ
    บางคนนี่ดิ้นรอบห้องเลยบังคับตัวเองไม่ได้ บางคนก็ฝันว่าไล่ตีไล่ฆ่าเขาไปซะไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่...สนุกสนานกัน ถ้าหากว่าจิตมันตื่นอยู่ ทั้งหลับทั้งตื่นเราจะควบคุมได้ ระวังไม่ให้กิเลสเกิดกับเราได้ สภาพของจิตจริง ๆ แล้วมันตื่นพอเราไปทำมันตื่นขึ้นมาปุ๊บจะไปบังคับให้มันหลับบังคับเท่าไหร่ก็ไม่หลับ
    บางคนลุกขึ้นมากินยานอนหลับหน้าตาเฉย ความจริงมันนอนอยู่แล้ว มันได้รับการพักผ่อนพออยู่แล้ว ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่าถึงจะรู้สึกว่าไม่ได้หลับเลยแต่ตื่นขึ้นมาแล้วมันไม่เพลียก็ว่าซะเต็มที่แล้ว บางทีได้ยินเสียงของตัวเองกรนซะด้วยซ้ำไป เพียงแต่ว่าจิตมันตื่นอยู่ก็เลยรู้สึกว่าไม่ได้หลับ
    ถาม : อรูปฌานน่ะครับ เราจะรู้ได้ยังไงว่าเราทำได้แล้ว ?
    ตอบ : ต้องทรงกสิณให้คล่องตัวเลย คล่องตัวนี่มันต้องให้ผลของกสิณได้ถ้าหากว่าไม่สามารถใช้ผลของกสิณได้คล่องตัวอรูปฌานไปไม่รอด เพราะอรูปฌานต้องตั้งต้นด้วยกสิณ ตั้งภาพกสิณกองใดกองหนึ่งขึ้นมาแล้วก็กำหนดใจเพิกภาพกสิณนั้นเสียให้เห็นว่าแม้แต่ภาพกสิณมันยังเป็นส่วนหยาบ มันยังมีรูปอยู่ เราไม่ต้องการรูปนี้เราต้องการความว่างเปล่าของอากาศ กำหนดใจจับความว่างของอากาศไปเรื่อย จนกระทั่งเป็นวงสว่างแจ่มใสอยู่ตรงหน้าใหญ่ก็ได้เล็กก็ได้กำหนดความว่างของอากาศไป
    พอมันเต็มที่เสร็จแล้วคลายอารมณ์ขึ้นมาแล้วก็ว่าอรูปฌานที่ ๒ ต่อว่าตั้งภาพนิมิตของอากาสานัญจายตนขึ้นมา กำหนดแล้วว่าถึงมันจะเป็นอากาศแต่มันก็ยังมีความหยาบอยู่ จับความว่างไม่มีขอบเขตของวิญญาณแทน เพราะฉะนั้นต้องเริ่มด้วยกสิณก่อนถ้ากสิณไม่คล่องทำอรูปฌานไม่รอด
    ถาม : แล้วอย่างมโนมยิทธิถือเป็นการใช้ผลของกสิณไหมครับ ?
    ตอบ : มโนมยิทธิถือเป็นผลของกสิณอยู่แล้ว เพราะว่ากสิณ ๓ กอง คือ อาโลกกสิณการกำหนดแสงสว่าง โอทาตกสิณการกำหนดสีขาว เตโซกสิณการกำหนดไฟ เหล่านี้ ผลของมันจะทำให้เกิดทิพจักขุญาณแล้วขณะเดียวกันถ้าหากว่าเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังก็เป็นอภิญญาด้วยเพราะว่าสามารถถอดจิตไปได้ อันนี้เป็นการใช้ผลของกสิณอยู่แล้ว
    ถาม : ถ้าอย่างนั้นทรงมโนมยิทธิก็ได้เหมือนกัน ?
    ตอบ : ได้อยู่ แต่ว่ากติกาของอรูปฌานต้องตั้งรูปขึ้นมาก่อน ถ้าจะทรงมโนมยิทธิก็ต้องกำหนดรูปที่เราถนัดขึ้นมาก่อนเช่นว่าภาพพระก็ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือว่าจะเล่นอรูปฌานนี่ต้องได้ฌาน ๔ ก่อน
    ถาม : วิธีการปฎิบัติมหาสติปัฏฐานเป็นอย่างไรครับ ?
    ตอบ : วิธีการปฎิบัติมันหนักอยู่อันเดียว สติปัฏฐาน ๔ หนักอยู่อันเดียว บรรพแรกก็คืออานาปานสติเพราะว่าอันอื่นเป็นการคิดการพิจารณาซะส่วนมาก โดยเฉพาะอันท้าย ๆ นี่จะละเอียดมากคือ พิจารณาเห็นจิตในจิต ธรรมในธรรม จิตในจิตคืออารมณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ ธรรมในธรรมก็คือว่าดูความงอกงามของอารมณ์ทั้งกำลังการปฎิบัติของเราทั้งดีและทั้งชั่วอะไรเหล่านี้เป็นต้น
    สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็จะเป็นการอาศัยกำลังของอานาปานสติ คือ การภาวนา จับบรรพ คือตอนแรกมาใช้ ถ้าสามารถทำตอนแรกได้คล่องตัวตอนอื่นก็ง่าย ถ้าตอนแรกไม่ผ่านตอนอื่นก็ยากหน่อย
    ถาม : วิปัสสนาคือช่วงตอนไหนครับ ?
    ตอบ : วิปัสสนานี่จริง ๆ แล้วท่านจะต่อท้ายไว้ทุกบรรพ คือ ทุกตอน บางทีเราก็ไม่ได้พิจารณา ท่านบอกว่า นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ เราอย่าได้ยืดติดอะไร ๆ ในโลกนี้ นั่นน่ะวิปัสสนาญาณชัด ๆ เลยเพียงแต่ว่าท่านแทรกเอาไว้บางทีเราขาดการพิจารณาอ่านแล้วเผลอลืมไป มองข้ามไป
    ถาม : ถ้าวิปัสสนาเรายังไม่ไปถึงไหนแล้วเราไปเพ่งกสิณนี่ถือว่าเป็นการข้ามขั้นตอนไหมครับ ?
    ตอบ : ไม่ถือว่าเป็นการข้ามขั้นเพราะว่ากสิณนี่นับเป็นเริ่มต้นก็ได้ คือเรากำหนดภาพพร้อมกับลมหายใจเข้าออกอยู่แล้ว การกำหนดภาพพร้อมลมหายใจเข้าออกพอภาพพระติดตาติดใจนี่ก็เท่ากับอุปจารสมาธิ พอภาพเริ่มเปลี่ยนสีเริ่มอะไรก็เท่ากับว่าเป็นฌานจนกระทั่งภาพสว่างเจิดจ้าเต็มที่บังคับให้ใหญ่ได้เล็กได้ ให้มาได้ให้หายได้ นั่นเท่ากับเป็นฌาน ๔ เท่ากับว่าเราค่อย ๆ ฝึกกำลังสมาธิของอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกเหมือนกันเเพียงแต่เพิ่มตัวกสิณเข้ามาประกอบแล้วใช้คำภาวนาเฉพาะเท่านั้นเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : นั่งสมาธิเห็นนิมิตกับไม่เห็นอันไหนดีกว่ากันครับ ?
    ถาม : ไม่รู้ไม่เห็นเลยดีกว่า รู้เห็นมากเท่าไหร่โอกาสที่จะไปยึดติดและโดนหลอกมีมากเท่านั้นส่วนใหญ่แล้วมันจะไปยึดอยู่ตรงนั้นน่ะ
    พอครั้งแรกเห็นครั้งที่สองก็จะเห็นซะให้ได้ พอจะไปเห็นซะให้ได้ตรงนั้นน่ะมันเป็นอุทธัจจะคือฟุ้งซ่าน พอไม่เห็นก็ยิ่งคลุ้มคลั่งมากเข้าไปใหญ่ เป็นอันว่าการปฎิบัติไม่ก้าวหน้าไปไหนติดอยู่แค่นั้นเอง น้อยคนที่เห็นนิมิตแล้วจะทำให้ละได้อย่างง่าย ๆ และสะดวก ส่วนใหญ่จะอดไปยึกติดอยู่กับมันไม่ได้ ยิ่งประเภทเขาแสดงให้รู้อย่างนั้นรู้อย่างนี้เข้า พอเหตุการณ์เป็นไปตามที่รู้จริง ๆ ก็ยิ่งไปยึดมั่นถือมั่นตรงนั้นใหญ่ มันจะไปติดหนักเข้าไปอีก
    ถ้าเป็นไปได้ไม่รู้ไม่เห็นน่ะปลอดภัยดี ยิ่งรู้ยิ่งเห็นยิ่งชัดยิ่งแจ่มใสมากเท่าไหร่โอกาสโดนหลอกยิ่งมากเท่านั้น ส่วนใหญ่เราจะเผลอไง ไม่ได้กำหนดใจถามพระว่าสภาพความเป็นจริงเป็นอย่างไร ถ้ากำหนดใจถามพระอยู่ เรื่อย ๆ ไม่เผลอซะก่อนโอกาสพลาดก็น้อย
    ถาม : โดนหลอก... มารเข้าแทรกเหรอครับ ?
    ถาม : จะเรียกว่ามารก็ได้จ้ะ ถ้าเป็นมารเรียกว่าอภิสังขารมาร มารก็คือสิ่งที่ประเภทเหนือสังขารเหนือการปรุงแต่งต่าง ๆ ก็คือจะเป็นเรื่องของฌาน เรื่องของสมาบัติ เรื่องของทิพจักขุญาณ
    ถาม : ไม่เกิดการหลง ?
    ถาม : มันหลงแหง ๆ เลยล่ะ ส่วนใหญ่ก็จะไปคิดว่า เออ.. เราก็เก่งนี่หว่า เรื่องนี้รู้ถูกนี่ พอคนชมเข้าหน่อย แหม....เก่งจังเลย ทำไมรู้ได้ชัดเจนอย่างนี้ ก็ไปพองติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข โลกธรรม เข้าไปอีก
    ถาม : อย่างเราฝึกมโนมยิทธิ การที่เรานิมิต...(ไม่ชัด)...?
    ถาม : มโนมยิทธินี่ใช้กำลังของสมาธิ แล้วขณะเดียวกันบวกการสงเคราะห์ขององค์เทวดาด้วย เพราะจะสามารถรู้เรื่องได้ตลอดตามกำลังนั้น ถ้ายิ่งขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ยิ่งรู้ได้ชัดเจน แต่นิมิตที่เกิดขึ้นมันจะไม่มีต้นไม่มีปลายอยู่ ๆ มันโผล่ขึ้นมาอยู่ ๆ มันก็หายไป กว่าเราจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรกว่าเราจะตีความได้เรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว พอเกิดขึ้นแล้ว อ๋อ ... เรารู้มาแล้วนี่หว่า แก้ไขไม่ทันแล้วจ้ะมโนมยิทธินี่รู้ล่วงหน้าแล้วสามารถแก้ไขได้ทัน
    ถาม : ฝึกกสิณอันตรายใหมคะ ?
    ถาม : ก็ดูว่าเราเองนี่สติสัมปชัญญะบกพร่องหรือเปล่า ถ้าบกพร่องไปได้กสิณไฟเดี๋ยวไปไล่เผาชาวบ้านเขาสนุกสนาน จริง ๆ แล้วคนที่ทำได้ถ้าไปใช้ผิดมันจะเสื่อม แต่ว่าในการเสื่อมลักษณะนี้ไม่นานหรอกพอเรารวบรวมกำลังใจได้มันก็ได้ใหม่ แต่ถ้าใช้ผิดอีกมันก็พังอีก
    เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าฝึกกสิณอันตรายไหม ? ก็ต้องดูอย่างหลวงพ่อท่านฝึกปฐวีกสิณ คือ กสิณดินแล้วก็ไปหัดเดินในน้ำ ปรากฏว่าก้าวลงไปร่วงตูมเลย อธิษฐานใช้ผิด ตอนนั้นถ้าว่ายน้ำไม่เป็นก็อันตราย (หัวเราะ) ถ้าว่ายน้ำเป็นก็ไม่เท่าไหร่ ท่านไปอธิษฐานว่าให้แม่น้ำทั้งสายแข็งตัว มันผิด เพราะว่าเรือแพต่าง ๆ สัญจรไม่ได้ ต้องอธิษฐานว่าน้ำทุกจุดที่เราเหยียบเท้าลงไปให้แข็งเหมือนแผ่นดินถ้าอย่างนั้นน่ะได้ ใช้ผิดหน่อยเดียวอาบน้ำเที่ยงคืนเลย (หัวเราะ) หนาวแทบแย่ ฤดูหนาวด้วย
    หรือไม่ก็อย่างเจ้าจ๊อบเจ้าเมล์ลูกสาวพี่สามารถเขา ตอนนี้คงจะโตเป็นสาวแล้ว ตอนนั้นเรียนมัธยมอยู่มันแกล้งเพื่อน เข้าห้องน้ำได้ห้องน้ำของวัดเขาจะทำรางน้ำยาว ๆ ทะลุถึงกันทุกห้องเลย เจ้านั่นเข้าไปถึงก็เพิ่งน้ำ เพื่อนจ้วงลงไปเสียงดัง ก๊อง! แทนที่จะเป็นน้ำกลายเป็นน้ำเเข็งไปเลย เด็ก ๆ มันเล่นกันสนุก จะตักน้ำล้างก้นมันไม่ให้ล้างน่ะ (หัวเราะ) แกล้งทำให้น้ำแข็งซะ
    ถาม : ฝึกกสิณกับฝึกอานาปานสติอย่างไหนเร็วกว่ากันครับ ?
    ถาม : จริง ๆ แล้วฝึกกสิณมันมีภาพเป็นเครื่องจูงใจจะกำหนดได้ง่ายกว่า อานาปานสติเรากำหนดรู้ตามลมไปใช่ไหม ? บางทีรู้สึกว่ามันไม่เห็นภาพไม่เห็นอะไร สำหรับบางคนแล้วมันจะไม่ตรงกำลังใจเขา เพราะฉะนั้นต้องดูว่าตัวเองถนัดอย่างไหน ถ้าเราถนัดอย่างไหนอย่างนั้นเราจะได้เร็ว ดังนั้นถามว่าอันไหนมันจะได้ผลเร็วกว่ากันหรือว่าคล่องตัวกว่ากัน ก็ต้องลองดูว่าเราชอบเราถนัดแบบไหน
    ถาม : สมมุติว่าได้มาแล้วเสื่อมเร็ว ?
    ถาม : ได้มาแล้วเสื่อมเร็วก็ต้องหัดให้ให้คล่องตัว ถ้าใช้จนคล่องตัวนึกเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้น โอกาสเสื่อมยากยกเว้นเราไปใช้ผิด ใช้ผิดประเภทโดนลงโทษคิดอยากจะช่วยเขาอยู่เรื่อย
    พวกเราส่วนใหญ่แล้วมันติด ...ใช่ไหม ? นิสัยเห็นเขาแล้วอดสงสารไม่ได้ เห็นเขาลำบากโดยไม่ได้ดูซะก่อนว่าเขาลำบากเพราะทำกรรมอะไรมา ถึงเวลาก็ลุยไปช่วยเลยมันก็เป็นการฝืนกฏของกรรม </B>ถ้าฝืนกฏของกรรมวิชาเสื่อมไปจนกว่าจะรวบรวมกำลังใจได้ใหม่อีก การใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาสำคัญตรงต้องยอมรับกฏของกรรม ตราบใดที่จิตยังไม่ยอมรับกฏของกรรมจริง ๆ มันจะต้องไปฝืนนี้เราไม่สามารถใช้ได้เต็มที่หรอก</B>
    บางคนก็แปลกใจขนาดฝึกกสิณมาแท้ ๆ แต่ใช้ได้นิดเดียว คือ ถ้ายังไม่ยอมรับกฏของกรรมจริง ๆ ใช้ยาก โดยเฉพาะพวกฤทธิ์พวกอภิญญาสำหรับนักปฎิบัติแล้วนะ ท่านให้ใช้ส่วนของธรรมะเท่านั้นไม่ใช่สำหรับตัวเอง ตัวเองต้องยอมรับกฏของกรรมเป็นปกติจึงสามารถเข้าถึงมรรคผลได้
    ถาม : แสดงว่าใช้กรรม ...?
    ถาม : จริง ๆ แล้วก็คือว่า มีหรือไม่มีมันก็เท่ากันนั่นแหละ มีมันดีตรงที่กำลังใจมันเข้มแข็งทำให้อาศัยกำลังตัวนั้นตัดกิเลสได้ง่ายแต่ถ้าเผลอก็ติดแหง็กอยู่แค่นั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : เทวดาที่แปลงร่างเป็นคน... ผมได้อ่านหนังสือของหลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่าถ้าเกิดเทวดาแปลงร่างเป็นคนจะไม่กะพริบตา ?
    ตอบ : อย่าเพิ่งไปเชื่อตามนั้น เขาจะตามทันความคิดของเราทั้งหมด เคยเห็นแล้วนั่งคุยดันอยู่ด้วย แต่ว่าเราคิดจะไปจ้องตาเขา เขารู้ทันความคิดของเราบางทีเขากะพริบตาล้อเอาซะด้วย แต่ถ้าเผลอจริง ๆ นี่เขาไม่ได้กะพริบตาหรอก หลวงพ่อท่านบอกพอเขาไปกันหมดแล้ว ท่านบอกเอ็งโง่ดีมาก มันนั่งจ้องเป๋งไม่ได้กะพริบตาสักคนเสือกไม่ดูอยู่ด้วยกันวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ตอนที่พระองค์ที่ ๑๐ เขามาในลักษณะองครักษ์คือคอยป้องกันอันตราย เสร็จแล้วพออยู่ในเหตุการณ์มีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะพูดจะคุยจะสนุกสนานอะไรก็เห็นท่านแค่ยิ้ม ๆ หน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยก็คิดว่าอีตา ๒ องค์นี่เส้นมันลึกจัง มารู้ทีหลังว่าไม่ใช่
    แล้วก็มีบางช่วงที่พระองค์ที่ ๑๐ ท่านถูกคนรายล้อมมาก ๆ ท่านก็หลบไป หลบไปในลักษณะที่ว่าอย่างกับหายไปจากที่นั่นน่ะ แล้วบางทีพอท่านเรียกก็โผล่มาจากหลังต้นไม้เหมือนอย่างกับตัวเองอยู่หลังต้นไม้ แต่ถ้าสังเกตให้ดี ๆ เพิ่งจะโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้เพราะฉะนั้นอย่าไปเชื่อหลักสูตรนี้ว่าจะไม่กะพริบตา เขารู้ทันความคิดของเรา ถ้าตั้งใจไปจ้องว่ากะพริบตาหรือเปล่า ? เดี๋ยวก็กะพริบตาให้ดูหรอก เทวดาเก่งหลอกสนิทแท้เลย พ่อก็โดนหลอก ลูกไม่โดนหลอกก็เกินไปเนอะ บางทีเจอแล้วไม่รู้เป็นส่วนใหญ่
    ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะใช้กำลังของท่านนี่บังคับคล้าย ๆ กับว่าบล็อกให้เราเป็นไปตามความต้องการของท่าน นั่งคุยกันอยู่เป็นวันไม่ได้นึกสงสัยเลยน่ะ แต่ตอนไปนี่สงสัย แต่ของอาตมาเองนี่ขนาดเขาไปยังไม่สงสัยเลยน่ะ คือว่าตอนกลับนี่พระองค์ที่ ๑๐ ท่านนั่งคู่กับคนขับ อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม ท่านขับรถให้ รถก็เป็นโตโยต้า RT ๑๐๐ เล็กกระเปี๊ยกเดียว แล้วก็หลวงพี่สมานใหญ่ท่านนั่งอยู่ตรงกลางเบาะหลัง อีก ๓ ท่านก็ยัดกันอยู่เบาะหลังเหมือนกัน นั่งเข้าไปได้ยังไงเบาะหลัง ๒ คนก็แน่นแล้ว มันยัดเข้าไป ๔ คนน่ะ เราเห็นหลวงพี่สมานนั่งอยู่องค์เดียวปรากฏว่ายายติ๋วเพื่อนกันเขาบอกว่าก็นั่งด้วยกันนั่นแหละ ๔ คน เอากับพ่อสิ เลยแปลกใจก็ถามหลวงพ่อทีหลัง หลวงพ่อบอกว่าเขาเห็นเอ็งโง่มากก็พยายามแสดงให้รู้ยังเสือกไม่สงสัยอีก ข้องใจมากไปถามหลวงพี่สมานใหญ่บอกหลวงพี่ครับทั้ง ๓ คนนั่นเขานั่งไปกับหลวงพี่จริง ๆ เหรอครับ บอกเออจริงว่ะ บอกหลวงพี่คิดให้ดี ๆ นะครับ รถของอาจารย์ประเสริฐมันคันกะเปี๊ยกเดียวนั่ง ๒ คนก็แน่นแล้วมันยัดเข้าไปได้ยังไงตัง ๔ คน ท่านบอก เออ จริงว่ะ นั่งหลวม ๆ สบาย ๆ มันจะไม่สบายยังไงเห็นนั่งอยู่คนเดียว
    นั่นน่ะหลอกได้สนิทดีแท้ ๆ เลย ทุกวันนี้ยายติ๋วเขาคุยได้เต็มปากเต็มคำว่าเทวดานะเหรอ ฉันนั่งคุยได้เป็นวัน ๆ เลย เอากับแม่สิ จริงของมันเถียงไม่ได้ด้วยมันนั่งคุยเป็นวันเลย เราเองก็ทะเลาะกับพระองค์ที่ ๑๐ ใช่ไหม ? ของเขานั่งคุยกับลูกศิษย์พระองค์ที่ ๑๐ ยังดีไม่เผลอขอลายเซ็นมา
    ก็ตอนแรกคนขออนุญาตถ่ายรูปแล้วพระองค์ที่ ๑๐ ท่านไม่ให้ถ่าย พอเจ้าเพิร์ล ชื่อจริงเขาชื่อสรัญญา แสงหิรัญ ลูกของพี่อ้อย ปาริชาต แสงหิรัญ ที่ใช้นามปากกาว่า สุนิสา วงศ์ราม เขียนในโลกทิพย์ เจ้าเพิร์ลเขาขอถ่ายไอ้เราก็สงสารน้องผู้หญิงตัวเล็กของเราขอถ่ายทั้งทีเดี๋ยวมันหน้าแตกก็เลยช่วย พอท่านถามว่าถ่ายไปทำอะไรส่วนใหญ่คนอื่นตอบไม่ได้ก็เลยตอบแทน ขออนุญาตตอบแทนน้องนะครับ ถ่ายไปเป็นอนุสสติครับ ท่านบอกเออ .. ถ้าอย่างนั้นถ่ายได้ ติดแต่หลวงพ่อท่านห้ามเผยแพร่ ท่านบอกว่าถ้าคนเห็นแล้วเคารพแล้วเชื่อก็เสมอตัว ถ้าเขาปรามาสแม้แต่คำเดียวมันเท่ากับว่าหานรกให้เขาน่ะ ใครมันจะไปเชื่อคนหนุ่ม ๆ อย่างนั้นอายุจะเป็นร้อย ๆ ปี
    ถาม : ป่าหิมพานต์มีจริงหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : มีจริง ๆ หิมะ แปลว่า หมอก วานะ คือ ป่า ป่าที่มีหมอกลง ป่าไหนที่มีหมอกลงถือว่าเป็นป่าหิมพานต์ทั้งนั้น ป่าหิมพานต์ในความหมายของเราก็คือป่าที่เชิงเขาพระสุเมรุ นั่นมันเป็นสถานที่กึ่งแดนเทวดาแล้ว มีจริง ๆ จ้ะ คือ คล้าย ๆ กับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้คล้าย ๆ กับวนอุทยานของโลกมนุษย์เรานี่แหละ ประกอบไปด้วยสิ่งพิลึกพิลั่นอะไรต่าง ๆ ซึ่งเป็นทั้งเทวดาหรือว่าเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ก็มี พวกเดรัจฉานกึ่งทิพย์นี่เขาสร้างบุญใหญ่มาแต่ว่ากรรมหนักก็ยังมีอยู่เลยยังอยู่ในเขตของเทวดาจริง ๆ ไม่ได้ เขาจะมีเขตเฉพาะของเขาอยู่ ถ้านับภพภูมิของเราแล้วก็เป็นภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน แต่ว่าเนื่องจากความเป็นทิพย์สามารถบิดเบือนแปลงกายอะไรก็ได้หลายอย่าง อย่างพวก ครุฑ พวกนาค เหล่านี้เป็นต้น บางทีของเราเองยังอยากเห็นอะไรพิลึกพิลั่นท่านก็แสดงให้เห็น
    ถาม : แล้วเดินไปได้ไหมครับ ?
    ตอบ : ได้อยู่ แต่ว่ามันมี ๒ อย่าง อย่างหนึ่งก็คือต้องหาคนนำทางที่พาไปได้ อย่างที่ ๒ ต้องได้อภิญญาห้า ถ้าได้ไม่ถึงก็เสร็จ
    ถาม : ถ้าได้ทั้ง ๒ อย่าง ?
    ตอบ : อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไปได้แล้ว คือถ้าหากมีผู้นำทางก็เจ้าของถิ่น ไม่ต้องมากหรอกเอาแค่แถว ๆ กลางเขาพระสุเมรุหรือยอดเขาก็ได้เขาพาเราไปได้แล้ว จะไปเอามักกะลีผลหรือไง ? ถามหาเขาหิมพานต์
    ถาม : คือพอดีผมฟังเรื่องพระเวสสันดรนะครับ ในเรื่องบอกว่าท่านเดินไปที่...
    ตอบ : นั่นเขาวงกต ไม่ใช่หิมพานต์ คนละที่กัน พระเวสสันดร ๑๓ กัณฑ์ จะมีอยู่ที่เขาวงกตเรียกมหาพน จุลพน คือ ป่าใหญ่กับป่าเล็กไง จะบรรยายสภาพป่า

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนสิงหาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม : แล้วเอาสิ่งของอะไรไปนี่จะตกนรกไหมครับ ?
    ตอบ : ถ้าลักษณะอย่างนั้นเขาถือว่าเป็นหนี้สงฆ์ คราวนี้มันมีวิธีคือว่าไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเรารู้หรือว่าไม่มั่นใจว่าจะเป็นหนี้สงฆ์หรือเปล่าให้ตั้งใจทำการชำระหนี้สงฆ์ การชำราหนี้สงฆ์ทำในลักษณะที่ว่าเมื่อถึงเวลาครบปีก็นำเงินจำนวนหนึ่งจะเป็นร้อยบาท สองร้อยบาท เท่าไหร่ก็ได้ไปหาพระที่อยู่วัดใกล้ที่สุดจะได้สะดวกในการทำบุญ บอกกับท่านว่าอันนี้เป็นการชำระหนี้สงฆ์เช่าที่ เราถือว่าเราเช่าที่นั้นอยู่เราขอชำระหนี้ด้วยเงินจำนวนนี้ ทำอย่างนั้นทุกปี บางทีที่อยู่แล้วหาความเจริญไม่ได้ทีหลายที่นะ
    ทางด้านหลังวัดท่าซุงไม่ทราบว่าโยมเคยไปกันไหม ? หลังวัดท่าซุงก่อนหน้านั้นมันเป็นที่วัดทั้งหมด แต่ว่าเจ้าอาวาสรุ่นเก่า รุ่นหลวงหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ มานี่ท่านขายที่กันครึกครื้นไปเลย จนกระทั่งเดี๋ยวนี้คลองยางฝั่งตรงข้ามที่ลุงมาโบสถ์อยู่กลางนาเลย โบสถ์เก่าแล้วสถานที่เหล่านี้นั่นน่ะเขาทำนากัน แต่ละปี ๆ ถามเขาว่าได้ผลไหม ? เขาบอกว่าไร่หนึ่งได้ไม่ถึง ๒๐ ปี๊บ ปี๊บนี้ไม่ใช่ข้าวสารนะ ... ข้าวเปลือกแล้วคิดดูว่าสีเป็นข้าวสารมันจะเหลือสักเท่าไหร่ ? ทำยังไงก็ไม่พอกิน คือว่าเอาที่สงฆ์ไปทำกิน แล้วอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าทำประโยชน์เพื่อตนเอง โดยไม่มีส่วนของสงฆ์เลย ไม่ได้ทำการชำระหนี้สงฆ์อย่างนี้มันไม่เจริญ หลวงพ่อท่านแนะนำให้ทำอย่างนี้ว่าถ้าหากเราไม่มั่นใจหรือว่าเชื่อแน่ว่าที่นั้นเป็นที่สงฆ์แน่นอนให้ทำวิธีชำระหนี้สงฆ์ทุกปีนะ ถ้าอย่างนี้จะปลอดภัย
    ส่วนใหญ่แล้วบางทีนี่วัดวาอารามจมหายไปเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นั้นเป็นที่วัดมาก่อน อย่างนี้ถ้าเราไม่มั่นใจทำกินเท่าไหร่มันก็ไม่เจริญ ลองทำวิธีชำระหนี้สงฆ์ดู มันปลูกข้าวต้นสูงไม่ถึงคืบเราเดินไปบิณฑบาตทางด้านหลังวัด ... สายหลังวัดวีรกรรมในการบิณฑบาตเยอะมากเลย พาไปพระใหม่ ๆ ไป บางทีพระท่านก็เอาแต่ภาวนา บอกให้ระวังงู พอบอกระวังงูมันก็เลี้ยวฟึ่บ ! หลบ นึกว่างูอยู่บนถนน งูเขียวหางไหม้มันพันอยู่บนต้นไม้เบียดงูซะเกือบร่วง เราบอกให้ระวังแทนที่จะหลบมันเดินชนเลย สายหลังวัดไปดู ๆ เขาทำไร่นาแล้วน่าสงสาร
    ถาม : แล้วไม่มีใครบอกเขาหรือครับ ?
    ตอบ : บอกเขาก็คงไม่เชื่อเพราะว่าคนแถวนั้นมันกินวัดเป็นปกติ สมัยหลวงพ่อไปอยู่ใหม่ ๆ นี่ศาลาเหลือแต่ไม้พื้นกับเสา ข้างฝามันแงะขายหมด เป็นการร่วมมือกันดีมากเลยระหว่างผู้ที่ครองวัดกับผู้ที่อยู่นอกวัดไปกันได้ลื่นมาก ขนาดไม้ฝามันแงะหมดลำบากมาก
    มาตอนหลังหลวงพ่อพายามซื้อที่ขยายไปเพื่อที่จะเอาวัดเก่าคืนมา คราวนี้ซื้อไปซื้อมาแล้วถ้าหากว่าโยมไปสังเกตจะเห็นว่าระหว่างตรงที่สวนไผ่ ๖ ไร่ครึ่งกับพระจุฬามณีจะมีที่หนึ่งที่เป็นเวิ้ง ที่หลวงพ่อท่านทำทางเดินทำห้องพักล้อมเอาไว้ทิ้งเอาไว้ ด้านนั้นติดอยู่ด้านหน้าที่แถวนั้น จริง ๆ เขาขายไร่หนึ่งประมาณ ๘,๐๐๐ บาท ตรงนั้นพอเห็นหลวงพ่อซื้อที่ตรงโน้นซื่อที่ตรงนี้มันโก่งราคาเอาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท หลวงพ่อท่านก็เลยอ้อมหลบมันทิ้งเอาไว้ ปล่อยให้มันลงนรกให้พอ (หัวเราะ) ไร่ละ ๘,๐๐๐ เอาไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ มันบอกว่าหลวงพ่อรวย....มันว่างั้น น่ารักไหม ?
    ขนาดที่ฝั่งตรงกันข้ามที่โรงเรียนอยู่ต้องให้นายดาบตระกูลไปซื้อ นายดาบตระกูลเป็นคนพื้นที่นั้น แล้วซื้อนี่เขาก็ถามว่าหลวงพ่อซื้อหรือว่าดาบซื้อ ดาบก็ยืนยัน เฮ้ย!ผมซื้อเอง ผมเกษียณแล้วผมจะได้ทำกินบ้างอะไรบ้างนั่นน่ะค่อยถูกหน่อย บอกว่าหลวงพ่อซื้อหลังแอ่นเหมือนกัน อุตสาห์สร้างโรงเรียนจนเสร็จนั่นน่ะ นายดาบตระกูลช่วยซื้อให้ คนแถวนั้นแปลกมากเลยเรื่องจะทำบุญไม่มีหรอก มีแต่กินวัด
    ถาม : ตอนนี้ยังมีไหมครับ ... อย่างพระนารายณ์แบ่งภาคมาเกิด ?
    ตอบ : แบ่งภาคคงไม่ต้องแบ่งหรอกจ้ะ ถ้ามาคงมาเลย คำว่าพระนารายณ์ที่เป็นตำแหน่งไม่ใช่เป็นชื่อเฉพาะ ดังนั้นใครมากินตำแหน่งนั้นเขาเรียกว่าพระนารายณ์ ปัจจุบันเขาเรียกท่านพี่มเหสักข์ นอกจากท่านจะทำหน้าที่พระนารายณ์แล้วท่านยังเฝ้าทางเข้าพระจุฬามณีด้วย ถ้าหากท่านพ้นตำแหน่งไปองค์อื่นก็มาเป็นเขาเรียกพระนารายณ์เหมือนกัน ถ้ามาเกิดคงมาเกิดเลยเรื่องแบ่งภาคไม่มีหรอก แบ่งไม่ออก (หัวเราะ)
    พราหมณ์เขาเก่งเขาตั้งเทวดาได้ คือเขาจะกำหนดว่าเทวดาชื่อนั้นมีความสามารถอย่างนั้น ๆ เสร็จแล้วทางข้างบนเขาก็ลำบากกันเพราะว่าการเคารพเทวดาตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือเป็นเทวตานุสสติ ระลึกถึงความดีของเทวดาท่าน แต่ว่าพรหามณ์เขาไม่ระลึกถึงความดีในลักษณะที่ว่าเทวดาดีอย่างไรแล้วทำตาม เช่น เทวดาต้องมี หิ ริ รู้จักละอายชั่ว โอตตัปปะ เกรงกลัวผลของความชั่วจะให้ผล หรือว่าอย่างน้อยต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ เป็นต้น ถ้าหากว่าเป็นพรหมซึ่งถือว่าอากาศเทวดา ชั้นสูงขึ้นไปอย่างน้อยต้องได้ฌานสมาบัติเขาไม่ได้ดูตรงจุดนี้ แล้วก็ไม่ได้ทำตามตรงจุดนี้ เขาใช้วิธีอ้อนวอนร้องขออย่างเดียว แต่ว่าก็ยังเป็นการยึดในเทวตานุสสติ ในเมื่อเป็นการยึดความดีในคำสอนของพระพุทธเจ้า
    พระอินทร์ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าเทวดาก็เลยต้องหาผู้มารับตำแหน่งรับหน้าที่ตามนั้น ผู้ใดมีความสามารถใกล้เคียงกับที่เขากำหนดไว้ เอ้า ! เขาว่าไว้ต้องเก่งอย่างนั้น ต้องดีอย่างนั้น มีความสามารถด้านนั้นก็หามารับตำแหน่งไป
    อย่างพระศิวะของเขาในปัจจุบันก็คือท่านปู่พระอินทร์รับไปอย่างนั้น พระแม่อุมาเทวี ก็ท่านย่ารับไป แต่ว่าประวัติเทวดาของเขาแต่ละอย่างพิลึกพิลั่นบางทีกิเลสท่วมหัวยิ่งกว่ามนุษย์อีก เช่นพระอินทร์ไปเป็นชู้กับเมียพระฤๅษีก็มี....อะไรอย่างนี้ ของเขาสนุกมากประวัติเทวดาแขกลองไปอ่านดู
    ถาม : พระพิฆเณศวร์ล่ะครับ ?
    ตอบ : พระพิฆเณศวร์ก็มีจ้ะ ปัจจุบันนี้ก็คือท่านปิยะสิกขะรับตำแหน่งอยู่ เป็นตำแหน่งเฉย ๆ ใครมารับตำแหน่งก็เรียกพระพิฆเณศวร์ ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งศีลปวิทยาการทั้งปวง แต่ท่านไม่ได้มีเศียรเป็นช้างอย่างที่เห็นนะ ที่เป็นช้างนั่นตามตำราพราหมณ์เขาว่าไว้ จริง ๆ แล้วท่านหล่อกว่าชายงามจักรวาลอีก เรื่องนี้โกหกหรือเปล่าพระก็เล่าไปเรื่อยนะ จับผิดไม่ได้โกหกมันไปเรื่อยอย่างนั้นพูดหน้าตาเฉยอย่างกับรู้จักกันดี (หัวเราะ) ว่าไปเรื่อยเปื่อย... มันเป็นตำแหน่งของเขา

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  14. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ผมอ่านหนังสือของหลวงพ่อเจอเรื่องที่ว่าพรหม เทวดาที่ท่านจะหมดบุญท่านจะมาเลือกเกิด อันนี้ไม่แน่ใจว่าท่านเลือก....?
    ตอบ : จริง ๆแล้วมีเยอะจ้ะ แต่ไม่ใช่ว่าก่อจะหมดบุญแล้วเลือกลงมา ถ้าหากว่าตัวเองจะหมดบุญแล้วโอกาสเลือกมันน้อย ส่วนใหญ่จะลงมาก่อน ลักษณะลงมาก่อนนี่จะต้องมีเทวดาผู้ใหญ่ให้การรับรองด้วย การรับรองนั้นก็คือรับรองว่าถ้าลงมาเกิดแล้วอย่างน้อยต้องกลับไปดีเท่าเดิมหรือว่าดีกว่าเดิมถึงยอมให้ลงมา
    คราวนี้บรรดาท่านที่ลงมาเกิดลักษณะอย่างนี้ท่านจะเลือกที่ของท่านได้ แต่ว่ากติกามันจะบังคับอยู่เพราะฉะนั้นบางคนนี่อยากจะทำชั่วใจแทบขาดมันทำไม่ได้หรอก มีอะไรบางอย่างคอยบีบคอยกันคอยกีดขวางอยู่ตลอดเวลา ก็คือท่านข้างบนซึ่งรับรองอยู่นั้นท่านต้องคอยบังคับให้เราอยู่ในช่อง อออกนอกเมื่อไหร่ท่านเดือดร้อนด้วยเพราะท่านเป็นคนรับรองให้ เพราะฉะนั้นบางทีเขาด่าเราว่าชิงหมาเกิดนี่จริง ๆ แย่งเขาเกิดจริง ๆ ไม่ใช่คิวของตัวเองหรอก อต่ถ้าหากว่ารอจนหมดบุญแล้วส่วนใหญ่จะลงอบายภูมิไปเลย เพราะฉะนั้นก็ลงมาก่อนหมดบุญดีกว่า
    ถาม : ส่วนใหญ่นี่รวยหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ไม่แน่ เพราะว่าส่วนใหญ่จะเลือกในสถานที่ ๆ ว่าเมื่อถึงวาระหนึ่งในชีวิตนั้น ๆ จะมีโอกาสได้ทำความดีในพระพุทธศาสนาเพื่อเสริมบุญของตนให้กลับไปในที่เดิมหรือว่าได้ที่ดีกว่าเดิม เพราะฉะนั้นบางทีถึงแม้จะลำบากหน่อยแต่ถ้าหากว่าลงมาแล้วจะมีความเจริญก้าวหน้าในการปฎิบัติสามารถส่งตนให้ขึ้นสู่ภพภูมิขึ้นไปท่านก็ยอมลำบาก แต่จะรู้ล่วงหน้าเลย....
    ตอนนั้นก็จะสัญญิงสัญญากันดิบดีประเภทเหนื่อยแค่ไหนลำบากแค่ไหนก็จะทน...ลงมาลำบากหน่อยบ่นฉิบหายเลย (หัวเราะ) ใครบ่นมั่ง ? ลำบากแค่ไหนก็จะทน .. ลำบากหน่อยบ่นกันจัง น่ารักไหม ? ตอนที่จะลงมายังไงก็ได้ใช่ไหม ? รับปากได้ทุกเรื่อง พอลงมาหน่อยนี่แหม... บ่นซะไม่มี
    ถาม : แล้วอย่างถ้าเรากำหนดว่าจะลงมาตำแน่งของคน ๆ นี้นี่ครับ คือมันต้องคงลงอยู่แล้วหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : ตำแหน่ง ?
    ถาม : คือใครจะเป็นใครอย่างนี้น่ะครับ ?
    ตอบ : อ๋อ...ไม่ใช่อย่างนั้นจ้ะ คือตัวเราลงมาเกิดก็จะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าหากคนอื่นมาเกิดก็จะเป็นไปตามบุญตามบาปของเขาน่ะ ผลกรรมที่เขาทำมาแต่ว่าอย่างน้อยส่วนดีคือผลของศีลห้าเก่าอย่างน้อยต้องมี ถ้าหากว่าไม่มีนี่เกิดเป็นคนไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคนที่เกิดมาเป็นคนต้นทุนของเราพอแล้ว คืออย่างน้อยต้องเคยมีศีลห้าทรงตัวมาก่อน แล้วผลของศีลห้าก็ส่งผลไห้เราเกิดมาเป็นคน คราวนี้ว่าเกิดมาชาตินี้เราจะขาดทุนหรือว่าจะกำไรอยู่ที่ว่าเราจะรักษามันต่อได้แล้วทำดีได้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปหรือเปล่า ถ้าทำได้ก็กำไร ถ้าทำไม่ได้ก็ขาดทุน
    ถาม : แล้วที่เขาลงมารู้ไหมครับ ?
    ตอบ : ที่ลงมาส่วนใหญ่จะลืม แต่ว่าลงมาแล้วทำไปทำมาถึงวาระหนึ่งถึงเวลาหนึ่งก็ได้ทำหน้าที่ ๆ ตัวเองต้องการบางทีก็ไปรู้เอาตอนข้างบน แต่ว่ามีบางราย อย่างนางปติปูชิกาที่เป็นภรรยาของมาลาพาลีเทพบุตร ลงมาจุติแล้วท่านจำได้ ในเมื่อท่านจำได้ท่านทำความดีทุกครั้งท่านจะอธิษฐานว่าขอให้ได้เกิดในสำนักของสามีตนเอง
    ในเมื่ออธิษฐานอย่างนี้แฟนก็คิดว่า แหม... มันรักเราจังเลยกี่ครั้ง ๆ ก็อธิษฐานขอให้เกิดด้วยกัน ความจริงไม่ใช่หรอก ท่านตั้งใจจะไปเกิดกับมาลาพาลีเทพบุตร แล้วพออายุ ๕๐ กว่าก็ป่วยตายไปเกิดที่เดิม อันนั้นเขารู้....แต่ท่านที่ไม่รู้ จนถึงวาระสุดท้ายก็มี พอกลับไป อ๋อ.... ที่แท้เราลงไปเพื่ออย่างนี้ ๆ แต่ทำไปซะเต็มที่แล้วล่ะ
    ถาม : .......................................
    ตอบ : ไม่เหมือนกัน บางทีเขาใช้คำว่า อสงไขยกัป (หัวเราะ) ยิ่งหนักเข้าไปอีก หนึ่งกัปนี่ระยะเวลาตามอรรถกถาท่านเปรียบเอาไว้ ท่านบอกว่ามีภูเขาหินล้วนลูกหนึ่ง กว้างหนึ่งโยชน์ ยาวหนึ่งโยชน์ สูงหนึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์มัน ๔๐๐ เส้น ๔๐๐ เส้นก็ ๘,๐๐๐ วา เส้นหนึ่งเท่ากับ ๒๐ ว่า เท่ากับหนึ่งหมื่นหกพันเมตร เท่ากับสิบหกกิโลเมตร กว้าง ยาว สูง ด้านละ ๑๖ กิโลเมตร
    ร้อยปีมีเทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนเหมือนสำลีมาเช็ดทีหนึ่ง หนึ่งร้อยปีมาเช็ดทีหนึ่ง... จนภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นดินเป็นเวลาหนึ่งกัป ไหวไหม ? เมื่อไหร่มันจะสึกสักคืบหนึ่งเราก็รอไม่ไหวแล้ว (หัวเราะ) ถูทุกวันมันยังไม่อยากจะสึกเลย หรือไม่ท่านก็เปรียบว่ามีถังเหล็กใบหนึ่ง กว้าง ยาว สูง ด้านละ หนึ่งโยชน์เหมือนกัน เอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดใส่ไว้จนเต็ม ใครเคยเห็นเมล็ดพันธุ์ผักกาดบ้าง มันยังกับผงดำ ๆ น่ะ ร้อยปีหยิบออกเมล็ดหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ผัดกาดหมดถังเมื่อไหร่ได้เวลาหนึ่งกัป นับอยากจัง
    ถาม : อย่างเทวดา... สมมุติว่าเทวดาท่านอยู่หลายกัปแล้ว การที่ท่านจะลงมาเกิดอย่างนี้ หมดบุญมันก็นานมาก ?
    ตอบ : ที่อยู่กันหลายปกัปจริง ๆ ต้องพรหมน่ะจ้ะ ถ้าเทวดาทั่ว ๆ ไป อายุท่านราว ๆ อย่างเช่น ๑๐๐ ปีทิพย์ ๒๐๐ ปีทิพย์ ๔๐๐ ปีทิพย์อย่างนี้เป็น ถ้าหากว่าท่านไม่ได้ทำบุญในลักษณะที่ว่าอยู่มานาน เช่นบุญบวชพระ อานิสงค์การบวชพระจะอยู่ได้ ๖๐ กัปนะ พอครบ ๑๐๐ ปีทิพย์ท่านก็จุติ คือเคลื่อนจากจุดนั้นแล้วก็เกิดใหม่ซ้ำที่เดิมเลยจนกว่าจะครบ ๖๐ กัป หมดบุญอันนั้นถึงจะต้องไปตามภพภูมิของบุญของบาปที่ตัวเองทำอยู่ ถ้าอย่างนั้นน่ะได้
    ถ้าจะนับอายุเทวดาจริง ๆ ที่ถึงขนาดกัปนี่ส่วนใหญ่จะเป็นอรูปพรหม โดยเฉพาะเนวะสัญญานาสัญญายตนพรหม คือชั้นที่ ๒๐ เขาเรียกชั้นที่ ๒๐ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔ อันนั้นอายุจะแปดหมื่นมหากัป... อยู่กันลืมไปเลย แบบเดียวกับท้าวผกาพรหมท่านสร้างบุญไว้มาก พอจุติแล้วท่านก็เกิดเป็นพรหมใหม่ จุติแล้วเกิดเป็นพรหมใหม่จนกระทั่งท่านเองสัญญาวิปลาส คือเข้าใจผิดคิดว่าพรหมน่ะสูงสุดไม่มีวันตาย
    ความจริงแล้วก็คือท่านหมดอายุของความเป็นพรหมในช่วงนั้นพอดีจุติใหม่ท่านก็เป็นพรหมใหม่ อานุภาพบุญมันยังเหลืออยู่มาก ก็ซ้ำที่เดิมไปเรื่อย ๆ จนพระพุทธเจ้าต้องขึ้นไปแก้ให้ถึงกลับมาเป็นสัมมาทิฐิ ไม่อย่างนั้นท่านก็ยังเชื่อว่าพรหมสูงสุด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : แล้ว ๑๐๐ ปีทิพย์นี่เที่ยบกับปีมุนษย์ยังไงครับ ?
    ตอบ : แต่ละชั้นละเอียดประณีตต่างกัน อย่างจาตุมหาราชนี่วันหนึ่งของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีมนุษย์ แล้วก็คูณไปเป็นเดือน เป็นปี ของชั้นดาวดึงส์วันหนึ่งเท่ากับ ๑๐๐ ปีมนุษย์ ก็ใช้เวลาวัน เดือน ปีคูณไปเหมือนกันนะ ของชั้นยามาก็ ๒๐๐ ปีมนุษย์ ชั้นดุสิต ๔๐๐ ปีมนุษย์ อย่างนี้เพิ่มขึ้นเท่าตัวไปเรื่อย ทำไมมันนานแท้ ...ความจริงแป๊บเดียว มันหนึ่ง ๑๐๐ ปีมนุษย์ใช่ไหม ?
    ส่วนนรกนี้สัญชีพนรกที่ถือว่าเป็นขุมที่ตื้นที่สุด ๑ วันนี่ ๙ ล้านปีมนุษย์ ที่ทนทุกข์ทรมานก็เลยทำให้รู้สึกว่าระยะเวลามันนาน ตอนเราทุกข์มาก ๆ เวลามันไม่ผ่านไปสักทีใช่ไหม ? แต่ขณะเดียวกัน ตอนที่เรามีความสุข .. แหม...แป๊บเดียวเอง มันก็ลักษณะเดียวกัน ที่ ๆ มีความสุขอายุก็เลยสั้นกว่า ทั้ง ๆ มีความทุกข์รู้สึกว่าอายุมันยาวเหลือเกิน
    ถาม : ตอนเช้านี่เราใส่บาตรให้กับพระสงฆ์ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในอารมณ์ แต่เราเป็นคนใส่บาตรแล้วตั้งอารมณ์อยู่ในวิปัสสนานุสสติกรรมฐาน อย่างนี้ พระภิกษุสงฆ์รูปนั้นจะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : จะเป็นอะไร เขาก็เป็นพระเหมือนเดิม (หัวเราะ) อันนี้พูดเล่นนะ พระที่จะออกบิณฑบาตจริง ๆ แล้วถ้าตามแบบหลวงพ่อนี่ตอนเช้าท่านให้ทำกรรมฐานให้เต็มที่สูงสุดเท่าที่ตัวเองทำได้ แล้วออกบิณฑบาต
    โดยเฉพาะตอนอยู่วัดท่าซุง วันไหนพออารมณ์ใจรักษาไม่ดีแทบไม่อยากจะออกบิณฑบาตเลย เนื่องจากว่าบรรดาญาติโยมทั้งหลายที่ใส่บาตรบางทีท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มีเยอะ เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี เป็นพระอนาคามี อย่างนี้ถ้าเราตั้งอารมณ์ไม่ดีนี่ไม่อยากจะไปรับบาตร ... อายโยมเขา! เพราะฉะนั้นถ้าทำตามแบบหลวงพ่อก็คือต้องตั้งอารมณ์ให้สูงสุดเท่าที่ตัวเองทำได้
    แต่ถ้าในลักษณะที่ว่าเราตั้งอารมณ์ของเราสูงสุดเอาไว้แล้วพระองค์นั้นท่านไม่ได้ตั้งใจอะไรมาเลย ตั้งท่าจะมากินจริง ๆ คือจะมารับบาตรจากเราอย่างเดียวจริง ๆ นี่ สิ่งที่จะเป็นโทษกับท่านก็คือตรงที่ว่าของที่เราตั้งใจเจตนาไว้บริสุทธิ์ วัตถุทานที่ได้มาบริสุทธิ์ ตัวเราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วผู้รับไม่บริสุทธิ์ นั่นแหละโทษจะเกิดขึ้นกับท่าน ขณะเดียวกันบุญของเราก็พร่องไปส่วนหนึ่ง เพราะว่ามันต้องครบทั้ง ๔ ส่วนถึงจะได้บุญ ๑๐๐ % เต็ม
    คราวนี้บุญของเราพร่องไปส่วนหนึ่งของท่านเองก็เกิดโทษขึ้น ที่หลวงพ่อท่านเคยกล่าวเอาไว้ว่ากินก้อนเหล็กแดง ๆ ซะยังดีกว่า กลืนลงไปแล้วมันร้อนมันก็ตายไปเลย มันหมดเรื่องหมดทุกข์แป๊บเดียว แต่ที่ทำตัวประเภทนั้นน่ะลงอเวจีมหานรกท่านบอกว่ามันต้องทนทรมานนานเหลือเกิน ท่านถึงได้สอนพระไว้ว่ากินก้อนเหล็กเเดงซะยังดีกว่าไปกินข้าวของโยมทั้ง ๆ ที่ตัวเองกำลังใจไม่ไดี ตอนนั้นท่านยังคงไม่เป็นอะไรหรอก มันต้องรอตอนตายก่อนนะ
    ถาม : หลวงพ่อฤๅษี ท่านเล่าว่ามีนักปฎิบัติท่านหนึ่งมาปฎิบัติไม่กี่ครั้งแล้วก็มีครอบครัวแล้วมีบุตรแล้ว ท่านบอกว่าอารมณ์ของท่านไม่มีอารมณ์ห่วงสามีและลูก และหลวงพ่อท่านก็บอกอารมณ์เฉยตรงนี้เลยสังขารุเปกขาญาณมาแล้ว อยากถามว่าอารมณ์นี้อยู่ในขั้นไหนครับ ?
    ตอบ : บอกไม่ถูกถ้องถามคนปฎิบัติเอง นี่เขายังไม่ตายมั้งมีใครได้ข่าวบ้างมั้ย ? พี่รัชนีเจอครั้งสุดท้าย ๑๐ กว่าปีมาแล้ว พี่เขายังไม่ตายหรอกต้องถามเขาเอง (หัวเราะ) เรื่องของการปฎิบัตินี่เราพยากรณ์ไม่ได้ โดยมารยาทแล้วเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าองค์เดียวหลวงพ่อเตือนนักเตือนหนา ฉะนั้นเรื่องของอารมณ์ปฎิบัติอันนี้บอกไม่ถูก ถ้าหลวงพ่อไม่บอกก็แปลว่าไม้ต้องรู้ต่อไป
    ถาม : แล้วมีเรื่องเล่าว่ามีคนหนึ่งครับ ไปติดอยู่ในเกาะแห่งหนึ่งแล้วได้พบกับผู้หญิงทุกคืน แล้วก็ได้เสพสมกันทุกคืนแล้วตอนเช้าก็หายไป จนวันหนึ่งชายคนนั้นก็ได้พบว่าตอนกลางวันหลังเขาลูกนั้นผู้หญิงคนนั้นได้กลายร่างและถูกสุนัขกัดกินเนื้อและเป็นอย่างนี้ทุกวัน อยากถามว่าผู้หญิงคนนั้นได้ทำกรรมอะไรจึงต้องเป็นอย่างนี้ครับ ?
    ตอบ : กรรมอย่างนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านทำอะไรไว้นะ แต่ว่าตัวท่านเองนะเป็นเปรตเรียก เวมานิกเปรต เวมานิกเปรตนี่มันจะมีเวลาหนึ่งที่ตัวของตัวเองจะอยู่ในลักษณะเหมือนกับเทวดาแต่ขณะเดียวพออีกช่วงหนึ่งก็ต้องได้รับการทุกข์ทรมานกันตามสภาพของเปรตเขา คน ๆ นั้น บังเอิญเขาได้ทำความแต่ว่าเขาทำโดยไม่เจตนาไม่ได้เต็มใจ จิตใจที่ตั้งอยู่ในบุญของเขาก็ไม่มี
    แต่เนื่องจากความดีที่เขาทำมามันมีอยู่ก็เลยทำให้เขาได้ไปลักษณะที่ว่ามีเมียเป็นเวนิกเปรต คืออย่างน้อย ๆ ก็คือในสภาพความเป็นทิพย์ในความเป็นเทวดาเป็นอะไรของเขานี่มันก็จะดีกว่าเป็นมนุษย์ปกติอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะมีอยู่ช่วงหนึ่งคืออย่างที่ว่ากลางคืนจะมา แต่ว่ากลางวันต้องกลับไปกลายเป็นเปรตโดนลงโทษอยู่ในลักษณะเดิมของเขา
    อันนั้นจะเป็นพวกที่อยู่ในเปติวิสัยภูมิจำพวกหนึ่งเขาเรียกเวมานิกเปรต เปรตพวกนี้ถ้าหากว่าสร้างบารมีไว้ดี ๆ นะอย่างเช่นว่าเลี้ยงสัตว์อะไร แต่ว่าต้องไปกักขังเขา ถึงจะประกอบไปด้วยความเมตตาก็จริงท่านทั้งหลายเหล่านี้สวยเหมือนเทวดาเลย มีวิมานทองมีอะไรอยู่ แต่ออกจากวิมานไม่ได้ เพราะว่าโทษที่ไปกักขังเขาไว้ถึงจะทำด้วยความเมตตาก็เหอะ
    แต่ว่าถ้าหากว่าเคยทำบุญอื่นไว้ไอ้ผลบุญจากการที่เมตตาสงเคราะห์สัตว์นี่ก็จะส่งผลให้เขาได้รับบุญของเขาไปเลย แต่ถ้าไม่เคยทำบุญอื่นไว้เลยนอกจากการเลี้ยงสัตว์โดยการกักขังอย่างเดียวจะเกิดเป็นเวมานิกเปรต จะเป็นจำพวกเดียวกับเวมานิกเปรตบางพวกก็ลงโทษตัวเองอย่างเช่นว่ามีสภาพร่างกายสวยงามอย่างกับเทวดาแต่ท่านใช้คำว่ายังไง.... ตามที่บรรยายไว้มีเล็บเหมือนกับเคียวอันแหลมคมเกี่ยวเนื้อตัวเองกินลักษณะนั้นเหมือนกัน อันนี้เขาเป็นเปรต ถ้าหากว่าถามว่าทำบาปอะไรบอกไม่รู้เหมือนกัน ต้องถามคนทำเขา
    สมัยหนึ่งที่พระโมคคัลลาน์ในวิมานวัตถุ ท่านไปเจอเปรตไปเจอเทวดาท่านจะถามเขาที่ละคน ๆ ไปเลยว่าไปทำอะไรมา ดูก่อนเทพธิดาเธอมีรัศมีกายอันงามโสภายิ่งนัก ประกอบไปด้วยวิมานแก้วสามประการ ห้าประการ เจ็ดประการ ก่อนหน้านี้ที่เธอเป็นมนุษย์เธอได้ทำบุญอะไรไว้ ? เขาถึงจะบรรยายให้ฟังทีละอย่าง ๆ ฉะนั้นพวกนี้ต้องไปเจอเองแล้วต้องถามเอง
    มีรายหนึ่งเป็นต้องใช้คำว่าเป็นเปรตเกิดจากความขี้เหนียวหวงที่ พระธุดงค์ไปเจอ พระธุดงค์หลงป่าอยู่ตั้ง ๓-๔ วันไปเจอเข้า เจอชายคนนั้นไถนาอยู่ ไถไปไถมาก็แปลกใจ เอ้! อยู่ในป่าลึกขนาดนี้มีคนมาทำนาหรือ... ก็ถามเขาว่าทำไมถึงมาไถนาอยู่ที่นี่ เขาบอกเขาไม่ได้อยากทำอยากทำหรอกเขาโดนบังคับ เพราะว่าเขาเป็นเปรต ในเมื่อเขาเป็นเปรตแล้วเขาหวงที่เขาไปไหนไม่ได้เขาเลยต้องเดินวนไถนาอยู่อย่างนั้น แล้วพระท่านก็ถามว่าแล้วจะออกไปทางไหนทางของท่าน ๆ หลง เขาก็อุตสาห์ชี้ทางให้คงจะได้บุญส่วนนั้นช่วยไปสักหน่อยละมั้ง ต้องถามเขาเองเลย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...