ฉบับที่ ๒๐ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 9 ตุลาคม 2005.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    เดือนธันวาคม ๒๕๔๔
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ




    ถาม : ตอนนี้มีเคราะห์กรรมเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องทำบุญอะไรที่ว่ามีอานิสงส์สูงมากเพื่อที่จะให้เจ้ากรรมนายเวร ?
    ตอบ : คืออันนี้จริง ๆ มันไม่ใช่ว่าทำบุญที่มีอานิสงส์สูง แต่ว่าทำให้ถูกคือว่าการเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนใหญ่ เป็นเศษกรรมปาณาติบาตคือการเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์มาก่อนในอดีต อันนี้ต้องใช้ชีวิตให้เขาอย่างเช่นว่า ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยไก่ที่เขาจะฆ่า ต้องเป็นที่ ๆ เขาจะฆ่ากินด้วยนะ หรือไม่ก็จะทำร้ายที่ให้มันถึงแก่ชีวิตพวกนั้น เราช่วยให้เขารอดชีวิตไปได้ กุศลตัวนี้จะไปบรรเทาเบาบางกรรมตัวนั้นได้เยอะ
    อาตมาเองสมัยเป็นฆราวาสมันป่วยเรียกว่าหัวอาทิตย์ท้ายอาทิตย์เลย แล้ววันหนึ่งหลวงพ่อก็แนะนำให้ว่า แกเองเป็นทหารมาทุกชาติฆ่าเขาไว้เยอะ เศษกรรมตัวนี้จะทำให้ป่วยบ่อย แกควรจะไปปล่อยปลาซะเดือนละตัว สองตัวก็ได้ เป็นปลาที่เขาจะขายเพื่อให้เขาฆ่า ให้ฆ่าส่วนใหญ่จะไปทำอาหาร ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับการปล่อยปลามันเป็นการต่ออายุไม่ใช่เหรอครับ ? ผมเองไม่อยากจะอยู่ ๆ แล้ว ๆ จะไปปล่อยทำไม ท่านบอกว่าแกอย่าพึ่งเข้าใจผิดอย่างนั้น การปล่อยปลาจะเป็นการต่ออายุก็ต่อเมื่ออุปฆาตกรรมคือกรรมที่เราเคยฆ่าคนฆ่าสัตว์ใหญ่ในอดีตมันตามทันมาช่วงนั้นจะมาตัดรอนชีวิตของเราลง ถ้าอย่างนั้นการปล่อยชีวิตเขาก็จะเป็นการต่ออายุของเรา แต่ถ้าหากว่าในช่วงนั้นไม่มีอุปฆาตกรรมเราเองได้ปล่อยชีวิตเขาให้รอดไปให้ได้รับความสุขให้ได้รับความสะดวกสบายต่อไปทำอะไรก็สบายก็ง่ายไปหมด
    เลยปล่อยมาเรื่อย ๆ จะ ๒๐ ปีเต็มอยู่แล้ว ปล่อยทุกเดือน ๆ ละเยอะ ๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้แม่ค้าก็ยืดคอรอแล้ว (หัวเราะ) เดือนหนึ่งหลายพัน บางทีถึงเจ็ดแปดพัน ถ้าปล่อยวัวด้วยก็ตัวละหมื่นกว่า ปล่อยวัวนี่ชอบใจของมูลนิธิ....(ไม่ชัด)....ก็มีสัญญากันว่าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้ดีแล้วก็ห้ามขายห้ามฆ่า ยกเว้นว่าแก่ตายเอง
    ถาม : อย่างสมมติว่าการเกิดอุบัติเหตุรุนแรง ถ้าสมมติเรารู้ว่าจะมีการเกิดอุบัติเหตุอะไร เราควรจะแก้ไขด้วยวิธีนี้ ?
    ตอบ : ใช้วิธีนี้ คือการตัดเคราะห์กรรมมันมีตั้งแต่ถวายสังฆทานตั้งใจอธิษฐานโดยเฉพาะเลย ปล่อยชีวิตสัตว์ที่จะถูกฆ่า ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็น หรือไม่ก็อันดับสุดท้ายเลยจัดงานศพตัวเอง
    หลวงพ่อพระครูโวทานธรรมาจารย์ เป็นอาจารย์สอนเทศน์ให้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำของเราท่านจัดงานเผาศพตัวเอง ลูกศิษย์ลูกหาที่เป็นนักเทศน์มากันที ๔-๕ ร้อยองค์ เพราะฉะนั้นปกติท่านจัดเทศน์กัน ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์ แต่งานศพหลวงพระครูโวนี่จัดกันที ๕๐๐ ธรรมาสน์ ลูกศิษย์ถวายเงินองค์ละร้อยพร้อมกับผ้าไตรชุดหนึ่ง
    โยมลองคิดดู...เงินคนละร้อยพร้อมกับผ้าไตรชุดหนึ่งสมัยก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ เงินร้อยหนึ่งมันเท่าไหร่ของสมัยนี้โยมต้องคิดให้ดี คงเป็นแสนของสมัยนี้ เพราะว่าลูกศิษย์นักเทศน์ของท่านทั่วประเทศไทยจริง ๆ แล้วท่านเองท่านก็เป็นพระที่ปฏิภาณเฉียบแหลมชนิดที่ใครก็ต้อนไม่อยู่ คนก็ไปถามท่านว่าทำไมถึงจัดงานศพตัวเอง บอกว่าถ้ากูตายแล้วกูก็ไม่ได้เห็น เพราะฉะนั้นกูต้องจัดตอนเป็นถึงจะได้เห็นว่ามันทำอะไรให้บ้าง
    แต่ความจริงไม่ใช่ อันนั้นท่านก็พูดไปเรื่อย แต่จริง ๆ แล้วก็คือเป็นการต่ออายุ โยมจะเห็นว่ามีคนจีนหลายคนที่ซื้อโลงเตรียมไว้เลย เตรียมไว้ในบ้านเลยถึงเวลาตายได้ใช้โลงใบนั้น พวกเตรียมตัวตายซื้อโลงเตรียมไว้พร้อมนี่ อาตมาเห็นมาเยอะบางทีประแหงบ ๆ พอซื้อโลงเข้าบ้านมาหายป่วยแข็งแรงดีไปเลย มันเหมือนอย่างกับตัดเคราะห์ไปอย่างหนึ่ง
    ถาม : เป็นการแก้เคล็ด ?
    ตอบ : จ้ะ...ลักษณะนั้น อันนั้นวิธีการตัดเคราะห์กรรมอะไรใหญ่ที่จะมาถึงก็มีตั้งแต่ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ที่ถูกฆ่า ทำบังสุกุกลตายบังสุกุลเป็น จัดงานศพตัวเองแล้วแต่หนักเบา ปล่อยชีวิตสัตว์ที่ถูกฆ่าถ้าเราคิดว่าเคราะห์กรรมมันใหญ่ก็ปล่อยสัตว์ใหญ่หน่อย
    ถาม : ..........................
    ตอบ : เรื่องของทาน ศีล ภาวนา ทุกสิ่งที่เราทำคนได้ก็คือเราเอง ถามว่าดีอย่างไรก็ต้องดูว่าตัวผลคืออานิสงส์ที่จะได้เป็นอย่างไร ? เอาเรื่องของศีลเป็นตัวอย่าง ทุกคนไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาฆ่าเราทำร้ายเรา เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรที่จะฆ่าใครไม่ควรที่จะทำร้ายใคร เราไม่อยากให้ใครมาลักขโมยของเรา เราก็ไม่ควรจะลักขโมยของ ๆ ใคร คนที่เรารักเราไม่อยากให้คนอื่นมาแย่งไป เราก็อย่าแย่งคนอื่นเขา เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็ไม่ควรที่จะโกหกใคร เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์รู้ผิดรู้ถูกรู้อะไรควรรู้อะไรไม่ควรเป็นสิ่งที่ดี ยังไงก็อย่าไปเอายาเสพติดมาย้อมใจตัวเองให้มันมึนเมาจนขาดสติสัมปชัญญะไป ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา ท่านสอนเพื่อให้ตัวเราได้เองทั้งนั้น สิ่งที่เราทำคือเราได้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นพอเราทำแล้วตัวเราดี สิ่งที่เราทำดีพอตัวเราดีเสร็จมันก็จะส่งผลไปถึงคนรอบข้างด้วย คนรอบข้างก็เออ...เห็นตัวอย่างที่ดีก็เลียนแบบทำตามมันก็เป็นสังคมที่อยู่เย็นในวงเล็ก ๆ อาจจะเป็นว่าเฉพาะครอบครัวของเราก่อน
    แต่อย่าลืมว่าทุกครอบครัวตั้งใจทำดีอย่างนี้ หมู่บ้านนั้นทั้งหมู่บ้านก็ดี ทุก ๆ หมู่บ้านถ้าตั้งใจทำตำบลนั้นก็จะดี ถ้าทุกตำบลตั้งใจทำอำเภอนั้นก็ดี ทุกอำเภอตั้งใจทำจังหวัดนั้นก็ดี ถ้าทุกจังหวัดพร้อมใจกันทำประเทศของเราต้องดี ทุกสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนท่านสอนเพื่อประโยชน์สุขของเราทั้งนั้น
    สุขในปัจจุบัน คือไม่ต้องไประแวดระวังไม่ต้องไปกลัวภัยอะไร เพราะทุกคนไม่เบียดเบียนกัน สุขในอนาคต ผลที่เราทำ ถ้าหากว่าเกิดจากการให้ทานต่อไปในภายภาคหน้าก็จะเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ผลของการที่เรารักษาศีลก็จะเป็นผู้ที่มีรูปสวย มีจิตใจที่ดีงาม ผลของการเจริญภาวนาเกิดมาก็จะมีปัญญามาก ถ้าหากว่าเป็นทางโลกมีอุปสรรคอะไรก็แก้ไขได้ ถ้าเป็นทางธรรมต้องการจะต้ดกิเลสก็มีปัญญาสามารถตัดกิเลสได้เหล่านี้เป็นต้น
    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ท่านสอนท่านสอนให้อยู่สุขทั้งปัจจุบันและสุขทั้งอนาคตค่อย ๆ ดูไปค่อย ๆ ทำไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พิสูจน์ได้ในระยะยาว ๆ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่าย ๆ ตามพิสูจน์ตามค่อย ๆ ดูไป เขาบอกว่าพระองค์นี้ดีหลวงปู่องค์นี้ดีหลวงพ่อองค์นี้ดีค่อย ๆ ดูไป ถ้าหากว่าไม่ดีจริงถึงเวลาก็จะมีสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควรไม่เหมาะไม่สมหลุดออกมาให้เราเห็นจนได้
    แต่ถ้าหากว่าเป็นสิ่งที่ดีจริง กายวาจาใจของท่านเป็นผู้ที่บริสุทธิ์จริงต่อให้ระยะเวลายาวนานแค่ไหน ไม่ว่าระยะใกล้ไกล ใกล้ชิดหรือห่างไกลขนาดไหนก็ตามเราไม่สามารถที่จะหาจุดบกพร่องของท่านได้ สิ่งที่จะต้องมาตำหนิกันมันไม่มี ค่อย ๆ ดูไปนาน ๆ โบราณเขาว่าหนทางพิสูจน์ม้า เวลาพิสูจน์คนใช่มั้ย ? มันเกิดจากอะไรล่ะต้องใช้คำว่าประสบการณ์ ประสบการณ์ที่ตกผลึกลงมาจนกระทั่งกลายเป็นข้อคิด กลายเป็นคำคม กลายเป็นคำพังเพยขึ้นมา
    ฉะนั้นสิ่งที่ท่านพูดส่วนใหญ่มันก็แฝงไปด้วยความจริงเกือบ ๆ จะ ๑๐๐ เปอร์เซนต์เต็ม ท่านบอกหนทางพิสูจน์ม้าใช่มั้ย ? ม้าไม่ดีจริงมันเดินทางไกลไม่ไหวหรอก หรือไม่ก็เจอหนทางที่ทุรกันดารหน่อยหนึ่งก็ไปไม่รอดแล้ว มันต้องม้าดีถึงไปได้ ขณะเดียวกันเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์คน จะดีจะชั่วยังไงไดูไปนาน ๆ คบกันไปนาน ๆ เดี๋ยวก็เห็นเอง
    ถาม : สงสัยมีอะไรดลใจช่วงเมื่อเช้า ?
    ตอบ : เรียกง่าย ๆ ว่ามันถึงวาระที่สมควรแล้ว ในเมื่อถึงวาระถึงเวลาที่สมควรแล้วก็มา ถ้ายังไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลา เอาโซ่ไปล่ามเอาเชือกไปลากยังไงก็ไม่มาหรอก ของทุกอย่างจะมีวาระมีเวลาของมัน มันเหมือนยังกับวงกลมสองวงเขาเจาะช่องไว้ข้างละวงหมุนไปหมุนมา ในที่สุดมันก็จะตรงช่องพอดี แต้าถ้าตรงช่องนั้นแล้วเราไม่รีบมุดผ่านไป ถึงเวลามันก็หายไปอีก ต้องรออีกรอบหนึ่งซึ่งไม่รู้เมื่อไหร่ ก็ถือว่าวาระนี้เวลานี้เป็นสิ่งที่เหมาะสมถือว่าเป็นมงคลแล้ว อยู่ ๆ อุตส่าห์เปะปะมาเจอกันได้
    เพราะฉะนั้นอะไรดี ๆ ถ้าเก็บไปได้ก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเลย ใครเขาจะว่าบ้าก็ช่างมัน อาตมาทำมาก่อน ทั้งเพื่อนฝูงทั้งพี่น้องทั้งพ่อแม่เขาว่าเราบ้าทั้งนั้น ประกาศนียบัตรอันนี้ภูมิใจมากเลย ถ้าใครยังไม่ได้เจอคำว่าบ้าในสายตาของคนอื่นเขานี่ยังเอาดียาก อันดับแรกดูศีล ๕ ข้อของเราให้ดี ศีล ๕ ข้อตั้งใจว่าเราจะไม่ฆ่าสัตว์และไม่ทำร้ายสัตว์ให้ลำบากด้วยเจตนา จะไม่ลักขโมยไม่หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ จะไม่ล่วงเกินบุคคลอื่นที่มีเจ้าของมีคนรักมีคนหวง จะไม่โกหก จะไม่ดื่มสุราหรือว่ายาเสพติดใด ๆ ทั้งปวงตั้งใจอย่างนี้ไว้
    ถาม : ทั้งหมดจะค้างอยู่ ๒ ข้อ ?
    ตอบ : จ้ะ...ติดข้อไหนบ้าง ?
    ถาม : พยายามอยู่ ๒ ข้อนี่ยังทำไม่ค่อยได้ ?
    ตอบ : อันไหนบ้างเดี๋ยวบอกวิธีให้ โกหกเขาบ่อยมั้ย ?
    ถาม : โกหกไม่มีค่ะ
    ตอบ : แล้วติดข้อไหน ?
    ถาม : ศีลข้อที่ของผู้อื่นเขายั่วยวนเราเหลือเกิน เราก็ไม่รู้ว่าจะทำไงดีตอนนี้เราก็แบบ....?
    ตอบ : ตอนนี้เราไม่ได้ทำจำไว้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ตรงนี้ตอนนี้ศีลทุกข้อเราบริสุทธิ์สมบูรณ์แบบเลย ตั้งแต่ตอนนี้จนกระทั่งกลับบ้านนอนสบายมาก เพราะฉะนั้นรักษาเอาไว้ ถึงเวลาตั้งใจไว้เลยว่ากุศลผลบุญการที่เราเป็นผู้มีศีล ๕ บริสุทธิ์นี้ขอไปนิพพานที่เดียว เกาะพระได้ก็หลับยาวไปเลยกำไรไปอีกคืนหนึ่งเต็ม ๆ
    ถ้าหากว่ามันลำบากมากให้รักษาเป็นเวลา เอาเป็นว่าตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งไปทำงาน กี่ชั่วโมง สมมติตื่นหกโมงไปทำงานแปดโมง ๒ ชั่วโมงเต็ม ๆ รักษาให้ได้ พ้นจากนี่แล้วมันจะขาดกระจายยังไงช่างมันแต่ ๒ ชั่วโมงนี่ต้องรักษาให้ได้ต้องเป็นคนมีสัจจะ คือมีความตั้งใจจริง เป็นคนจริงจัง คราวนี้พอเรารักษาได้แล้วนาน ๆ ไประยะเวลามันก็จะยาวขึ้น มันก็ได้เป็นวันเป็นคืนเอง
    คราวนี้พอทำได้รักษาได้แน่นอนแล้ว อันนี้แค่ตัวเอง มันจะไปยุให้คนอื่นเขาทำน่ะสิ ตัวเองรักษาได้แล้ว สมมติว่ามดเดินมาเราไม่ฆ่าสัตว์ บอกคนอื่นช่วยจัดการทีซิเอายามาฉีด ตายแหง ...ก็ศีลไม่บริสุทธิ์เพราะเท่ากับสนับสนุนให้คนอื่นเขาทำ ก็ต้องรักษาว่าตัวเองเว้นได้ไม่ยุให้คนอื่นทำ คราวนี้เราเว้นได้เราไม่ยุให้คนอื่นทำเจ้านั่นหวังดีคว้าไบก้อนมาได้ฉีดตายแหงไปเลย เราก็เอ้อ...มันน่าจะทำซะนานแล้ว อ้าว...ซวยอีกใช่มั้ย ? อันนี้ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นทำ
    ถาม : .................................
    ตอบ : ต่อไปใช้วิธีนี้ว่า รักษาด้วยตัวเองได้แล้วก็อย่ายุให้คนอื่นเขาทำ แล้วก็ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเขาทำ ถ้าศีลได้ครบอย่างนี้สบายมาก สมาธิของเราต้องทรงตัวแน่ ๆ แล้วก็หามาได้โดยถูกต้องตามศีลตามธรรมสิ ถ้าสมมติเราเห็นของ ๆ เขาสวยใช่มั้ย ? อยากได้ ถ้าไปลักขโมยมารู้ว่าผิดศีล ลองสอบถามดูว่ามีขายที่ไหน ราคาเท่าไหร่ ไปเก็บสตางค์หาซื้อเอาเอง เดี๋ยวมันก็ได้มา
    ถาม : ..................................
    ตอบ : ถ้าแฟนเขาไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็แก่ แล้วอีกไม่นานมันก็อาจจะตาย
    ถาม : ตอนนี้มันมีอยู่ ๒ ข้อที่กำลังทำคือ......?
    ตอบ : ต่อไปใครมาวอแวใกล้ ๆ ชู้ดกระจายไปเลย ตอนนี้ฉันรักษาศีลแล้วอย่ามายุ่งกับฉันได้มั้ย ?
    ถาม : จะทำยังไงดี
    ตอบ : อันดับแรกตัดความสัมพันธ์ทั้งปวงเลย เลิกติดต่อไปเลย ภาษาพระเขาบอกไม่รู้ไม่เห็นได้ล่ะดี ถ้าจำเป็นว่าต้องรู้เห็นก็อย่าพูดด้วย ถ้าพูดด้วยก็พูดโดยธรรมคือเอาแต่เรื่องของธรรมะล้วน ๆ มาฟัง เขาเบื่อเดี๋ยวก็ไปเองแหละ (หัวเราะ)
    ถาม : โทรศัพท์มาไอ้เราก็กำลังอ่านหนังสือพระอยู่อย่างนี้น่ะค่ะ ?
    ตอบ : "ฮัลโหล ตอนนี้ไม่ว่างนะจ้ะ ขออนุญาตวางหูค่ะ" และก็วางไปเลยง่ายมั้ย ? นั่นแหละหลาย ๆ ทีเดี๋ยวเขาก็เบื่อเลิกติดต่อมาเอง อนุญาตให้มองได้ อนุญาตให้คิดถึงได้ แต่ห้ามแตะต้อง (หัวเราะ) แรก ๆ มันตัดยากนะ ให้คิดได้ให้มองได้แต่ห้ามแตะต้อง ค่อย ๆ ทำไป เพราะว่าตอนนี้ก็ถือว่าเราทำได้แล้ว เพราะว่าเราอยู่ตรงนี้ศีลทุกข้อเราบริสุทธิ์แล้วก็รักษามันไปยาวเลย ตีซะว่าจนกระทั่งพรุ่งนี้มันไปทำงานโน่นแหละค่อยว่ากันใหม่ เราก็ได้ตั้งหลายชั่วโมง วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมงให้เวลาที่ใจของเราอยู่กับศีลกับธรรมให้มีให้มากกว่าเอาไว้ ถ้าหากว่ามันมีมากกว่าก็เป็นอันว่าเราเองได้กำไร แต่ถ้ามันน้อยกว่าเมื่อไรเราก็ขาดทุน
    ถาม : ถ้าเราทำศีลข้อนี้ไม่สำเร็จแล้วจะ.............?
    ตอบ : ก็อีกต้อง ๔ ข้อนี่มันก็ยังดีอยู่นี่ มันได้ไปตั้ง ๔ ส่วน
    ถาม : ก็พยายามแบบสุด......?
    ตอบ : ทำไปเถอะ พอถึงเวลากำลังใจจะมั่นคงขึ้น โดยเฉพาะถ้าเรานั่งภาวนาคือนั่งสมาธิร่วมไปด้วย ตัวสมาธิภาวนามันจะทำให้เราเป็นคนมีจิตใจเข้มแข็ง ไม่อ่อนไหว ไม่เตลิดเปิดเปิงตามเขาง่าย
    ถาม : เวลานี้ก็รู้ทุกอย่างเลยอะไร ๆ ก็รู้หมด ก็จะพลาดหรือเปล่าเราก็พยายาม ?
    ตอบ : ถ้าหากว่ามีความตั้งใจอย่างนี้ต้องสำเร็จแน่ ๆ เพียงแต่ใช้ความพยายามนิดหนึ่ง แรก ๆ ที่เราทำมันเหมือนกับว่ายทวนน้ำ มันจะเหนื่อยจะหนักหน่อย แต่พอเราซ้อมบ่อย ๆ จนร่างกายแข็งแรงแล้วก็กลายเป็นของง่ายไป
    ถาม : แต่ฟังท่านพูดแล้วก็รู้สึกมีกำลังใจ ?
    ตอบ : โห....หมูมากเลยจ้ะ สมัยก่อนอาตมาชั่วกว่าโยมเยอะเลย (หัวเราะ) มันไม่มีใครหรอกที่มันไม่เคยทำความผิดมา แต่ถึงเวลาแล้วให้ลืมไปเลยว่าความผิดนั้นเคยทำอะไรไว้ ให้ตั้งหน้าตั้งตาเอาแต่ความดีอย่างเดียว ทำความดีเอาไว้โดยส่วนเดียวถึงเวลามันดีไปเอง


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>ถาม : โดยหลักของศาสนาพุทธ สมมติคนที่เป็นโรคถ้าเป็นโรคร้ายแรง...(ไม่ชัด)....?

    ตอบ : โรคร้ายแรงถ้าไม่ได้เกี่ยวกับที่เขาห้ามเอาไว้บวชได้ อย่างที่ท่านถามอยู่ในอันตรายิกธรรม คือส่วนที่จะเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ ไม่อนุญาตให้บวชอย่าง กุฏฐัง คันโท กิลาโส โสโส อัปปมาโร อะไรอย่างนี้ พวกโรคเหล่านี้มันเป็นโรคที่สังคมเขารังเกียจ แล้วถ้าอย่างปัจจุบันก็โรคเอดส์อย่างนี้
    จริง ๆ แล้วบวชได้แต่ว่าถ้าบวชเข้าไปนี่ คุณจะลำบากมาก โดยเฉพาะคนรอบข้างเขาจะกลัวเรา มันก็เลยกลายเป็นว่าจริง ๆ แล้วการบวชมันเป็นแค่รูปแบบนั้นเท่านั้น สำคัญอยู่ตรงการปฏิบัติของเรา ถ้าหากว่าเราตั้งใจปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนาจริง ๆ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนรูปแบบก็ได้ ขอให้ใจมันทำดีจริงเท่านั้นเอง เป็นพระหัวดำสบายกว่าเยอะเลยใช่มั้ย ? หิวขึ้นมากินข้าวเย็นก็ได้ ไม่ต้องแอบด้วย เข้าร้านสั่งเลย
    ถาม : มีปัญหาคือว่าตั้งแต่ช่วงหลังมาลักษณะการกำหนดดวงใจ มันจะมีอาการเปลี่ยนแปลงมาก คือมันเหมือนกับว่า ....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : มันอยู่ที่เรา ถ้าหากว่าเราส่งใจออกนอกจำไว้เลยนะ อะไรก็ตามที่เป็นปัจจัยให้เราส่งใจออกนอกมันก็จะพยายามฉุด พยายามดึง พยายามรั้งไม่ให้เราเอาใจกลับเข้ามาข้างใน ปล่อยให้เราฟุ้งซ่านหลงทางตามมันไป ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่เราจะก้าวหน้ามันก็ไม่มี มันมีวิธีเดียวคือทำอย่างไรจะรักษาใจของเราให้อยู่ภายใน ให้อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตอนนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้
    เพราะว่าสิ่งที่เราฟุ้งซ่านส่วนใหญ่มันก็คิดไปในอนาคตว่าต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ หรือไม่ก็คิดย้อนอดีตไป ตอนนั้นถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี ตอนนี้ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดี มันไม่ได้อยู่กับปัจจุบันก็เลยพาให้กำลังใจของเราพล่านไปหมด หาจุดที่จะสงบนิ่งอย่างแท้จริงไม่ได้ ในเมื่อหาจุดที่สงบนิ่งอย่างแท้จริงไม่ได้ ก็หาความก้าวหน้าไม่ได้ แล้วก็รู้สึกว่ามันจะโดนดึงออกไปสู่ในทางที่ต่ำได้ง่าย ฉะนั้นหยุดใจให้เป็น ในเมื่อหยุดเป็นอยู่กับปัจจุบันได้แล้วก็ทำอย่างไรให้จิตใจเราเข้มแข็ง ให้สติของเรารู้ทันอำนาจของกิเลสที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ระมัดระวังอย่างไรจะไม่ให้มันเข้ามาในใจของเราได้ทัน ถ้าทำได้ก็สบายหน่อย ถ้ายังทำไม่ได้ก็เสียท่าให้มันลากไปอยู่เรื่อย
    ถาม : จริง ๆ ก็คือพยายามควบคุมอารมณ์ใจ อย่างเช่นตอนเช้าก็ตั้งได้ พอไปทำงานปุ๊บก็ไหลแล้ว ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วของเราคือว่าพอเลิกภาวนาแล้วก็เลิกเลยทีเดียว ซึ่งมันใช้ไม่ได้ อันนั้นขาดทุนย่อยยับเลย เลิกภาวนาแล้วเรา ต้องรักษาอารมณ์ใจสูงสุดที่สุดของเราเท่าที่จะทำได้ให้อยู่กับเราให้นานทีสุด เวลาไปทำงานก็พยายามประคับประคองอารมณ์ใจให้อยู่กับตัวภาวนานั้นให้นานที่สุด
    เรารู้สึกเลยว่าอารมณ์กระทบรอบข้างมันเข้ามา ๆ ๆ แต่ถ้าหากว่าใจเรายังเกาะอารมณ์ได้เท่ากับที่เรานั่งอยู่เราจะกระทบกระเทือนน้อยมาก มันเหมือนยังกับตายด้าน ความรู้สึกช้าไปเลย ถ้าหากว่าเรารักษาอารมณ์ตัวนี้ให้ทรงตัวกับเราได้นานเท่าไร รัก โลภ โกรธ หลง ก็กินใจเราได้น้อยเท่านั้น เมื่อรัก โลภ โกรธ หลง กินใจเราได้น้อยเท่าไรจิตใจเราก็ผ่องใสเท่านัน จิตใจเรายิ่งผ่องใสเท่าไร ปัญญาก็ยิ่งเกิดมากเท่านั้น ปัญญายิ่งเกิดมากเท่าไรก็จะไประมัดระวังควบคุมกาย วาจา ใจของเราให้อยู่ในขอบเขตของ ทาน ศีล ภาวนามากขึ้นเท่านั้น ทาน ศีล ภาวนา ยิ่งเจริญมากขึ้นเท่าไร โอกาสที่สิ่งที่ไม่ดีคือกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรมจะมาสอดแทรกมันก็ได้น้อยลงไปเรื่อย ๆ
    เพราะฉะนั้นทำแล้วต้องรักษาอารมณ์ใจให้ต่อเนื่องยาวนานที่สุดเท่าที่เราทำได้ พลาดเมื่อไหร่เริ่มต้นใหม่ พลาดเมื่อไหร่เริ่มต้นใหม่เริ่มต้นใหม่ไม่ต้องไปเสียเวลาอยู่กับมัน ไม่ต้องไปนั่งคร่ำครวญเสียอกเสียใจกับมัน พลาดปุ๊บทำใหม่ได้เลย
    ถาม : ที่ผมอยากจะถามอีกจุดหนึ่งคือว่าลักษณะการเริ่มต้นของอารมณ์เพื่อที่จะให้ไปถึงจุดสูงสูดของอารมณ์นั้น ๆ ปฏิบัติยังไง แต่ละครั้งที่เริ่มต้นมันจากที่จับแล้วมันก็จะไม่เหมือนกันทุกครั้งและครั้งนี้ผมก็มีปัญหา คือสมมติว่าผมจะเริ่มใหม่ก็จะนึกถึงอารมณ์นั้นทิ้งไปบ้าง แต่พอนึกถึงอารมณ์เดิม ๆ ที่เคยได้ปรากฏว่ามันจะไม่....(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ปัจจัยรอบข้างมันเปลี่ยนแปลงไป ในเมื่อปัจจัยรอบข้างมันเปลี่ยนแปลงไปมันก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงอารมณ์อย่างที่ปัจจัยต่าง ๆ มันเคยเป็นในตรงรูปแบบนั้นมาก่อน อันนี้สำคัญที่สุดก็คือภาวนาให้อารมณ์ใจของเราทรงตัวให้ได้ ภาษาพระเรียกว่าทรงฌานให้ได้ แล้วฌานนั้นจะต้องคล่องตัวขนาดนึกเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้นด้วย ถ้านึกเมื่อไหร่ได้เมื่อนั้นคราวนี้สิ่งแวดล้อมอย่างไรไม่เกี่ยวแล้วเพราะถือว่าใจดีทุกอย่างดีหมด
    ถึงเวลาปุ๊บเราก็เกาะอารมณ์ใจของเรา รอบข้างมันจะตีกันหัวร้างข้างแตกขนาดไหนเราก็นั่งยิ้มของเราได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้สำคัญตรงที่ว่าซ้อมมันให้ได้ ซ้อมการภาวนาบ่อย ๆ ให้อารมณ์ใจมันทรงเป็นฌานให้ได้ ถ้าเป็นฌานได้ก็รักษาอารมณ์ฌานนั้นให้คล่องตัวให้มากที่สุด นึกเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้น เข้าเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อนั้น แล้วถึงเวลานั้นเราก็จะเอาตัวรอดได้ง่ายขึ้น
    ถาม : ทำไมเวลาตั้งใจทำสมาธิแล้วเห็นอะไรแปลกก็จะตกใจ แบบอย่างเวลาเห็นแสงสว่างเข้าตาก็จะตกใจหรือว่าเห็นภาพพระแล้วก็จะตกใจเป็นอย่างนี้ตลอดเลย แล้วคือเราก็จะกลับมาแล้วก็ทำอย่างนี้อยู่หลายครั้ง แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดเลยค่ะ ไม่ไปไหนเลย ?
    ตอบ : สมาธิมันยังไม่ทรงตัว ตอนที่เราเริ่มเห็นภาพเป็นอารมณ์ของอุปจารสมาธิเท่านั้น อารมณ์ของอุปจารสมาธินี่พอถึงเวลาแล้วเราดึงมันกลับมาเพื่อรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับเรา คราวนี้ถ้าหากว่ามันกลับมาเร็วเกินไปมันไม่สามารถประคองอารมณ์นั้นไว้ได้ อาการที่แสดงออกเขาเรียกว่าอาการตกใจ คือมันจะหลุดจากอารมณ์นั้นไป
    ทำอย่างไรที่จะทำใจให้ได้ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา อะไรเกิดขึ้นกับเราก็ช่างมัน ถ้าเราไม่ไปใส่ใจรับรู้มันตรงนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะปรากฏอยู่นาน มีเวลาพิจารณาได้สบายเลยแต่ถ้าหากว่าเราไปให้ความสนใจมันกำหนดใจนึกถึงตามมัน ถึงเวลาเกิดขึ้นปุ๊บรีบดึงใจกลับมาเพื่อจะรู้มัน อาการที่ใจมันกลับมาเร็วเกินไปมันก็หลุดออกจากสมาธิตรงช่วงนั้น กลายเป็นตกใจแทนไป ทำเมื่อไหร่มันก็อยู่แค่นี้ เพราะฉะนั้นก็อย่าไปสนใจมัน อะไรเกิดขึ้นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาไป ถ้าทำอย่างนั้นได้จะก้าวหน้า ตอนนี้ของเรามันเสียท่าไปสนใจมันบ่อยเกินไป
    ถาม : แล้วทำไมคือว่าทำแล้วนอนหลับไปเลย เวลาที่ไม่รู้สึกตัวช่วงที่แบบไม่รู้สึกตัวอย่างนี้ก็ไปได้อะไรอย่างนี้ ?
    ตอบ : ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจ เรื่องของกับความตั้งใจ ถ้าตั้งใจมากเกินไปมันจะเป็นตัวอุธัจจะกุกกุจจะ คือฟุ้งซ่าน มันก็จะทำให้กำลัใจของเราทรงตัวได้ยาก แต่ถ้าไม่ตั้งใจเรามีหน้าที่ทำ จะเกิดยังไงก็ช่างมัน แบบตอนนอนนั่นผลมันจะเกิดง่าย
    เรื่องของธรรมะเป็นเรื่องแปลก ต้องการไม่ค่อยได้หรอกหมดอยากเมื่อไหร่มาเมื่อนั้น ตั้ง ๑๐ ชาติมาแล้ว ชาติเดียวยังไม่สนใจเลย การดูอดีตชาติอย่าไปเอาจริงเอาจังอะไรกับมันมากนัก ถ้าหากว่ามันดีจริงเราไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก มันไปนิพพานซะนานแล้ว
    อะไรก็ตามที่ย้อนอดีตหรือไปในอนาคตมีแต่จะพาใจของเราส่งออกทำให้เราต้องเดือดร้อนและทุกข์อยู่เสมอ รับรู้ไว้ด้วยความเคารพแล้วก็กองไว้ตรงนั้นแหละ ส่วนชาตินี้ของเรา ๆ มีหน้าที่ อดีตมันแก้ไขอะไรไม่ได้เพราะมันผ่านมาแล้วเอาไว้แค่เป็นบทเรียนก็พอ เดี๋ยวช่วยซ้ำให้ตายอีกชาติหนึ่งดีมั้ย ?
    ถาม : แล้วที่เขาว่าวิญญาณจะแทรกเข้ามาที่ดวงจิตนี่คือเขาจะยังไงคะ ?
    ตอบ : อันนี้ไม่ทราบความหมายของเขา เพราะว่าวิญญาณ ตามภาษาบาลีคือประสาทความรู้สึก จิตก็คือตัวรู้ คราวนี้วิญญาณของเขามันหมายถึงอะไรล่ะ ? ทั่ว ๆ ไปถ้าหากสำหรับคนอื่น ๆ วิญญาณนี่ก็คือผีที่จะมาหลอก มันคนละความหมายกับบาลีเขา
    ถาม : มีอยู่วันอาทิตย์ที่แล้วคือนอนอยู่ที่บ้านแล้วก็เหมือนกับว่าตัวจะลอยออกไปได้ เราก็เลยแบบ เออ....ออกไปเที่ยวแถวนั้นดีกว่าอะไรแบบนี้เสร็จแล้วพออกไปสักพักหนึ่งก็เหมือนกับว่ามีเงาหรืออะไรอย่างนี้กระโดดเข้าใส่ร่าง ก็เลยวิ่งกลับเข้าไปในร่าง ?
    ตอบ : กลัวมันจะแย่งไป ลักษณะนี้มันมีอยู่ เวลาฝึกมโนมยิทธิแบบเต็มกำลังจะเห็นว่าทางหลวงพ่อท่านจะให้ทำน้ำมนต์พรหมเอาไว้ก่อน คือกันพวกนี้เขาจะมาแทรก ตอนนั้นมันเหมือนกับปล่อยบ้านทิ้งว่างไว้ เพราะว่าจิตมันจะออกไปเลย ในเมื่อปล่อยบ้านทิ้งว่างไว้บางคนมันเกเรมาถึงมันก็ยืมบ้านใช้ ไม่ยืมเปล่ามันจะยึดซะด้วย
    ถาม : มีจริง ๆ ด้วยเหรอคะ ?
    ตอบ : ทำไมล่ะ ? เราเองยังไปได้จริง ๆ ทำไมเขาจะมีจริง ๆ ไม่ได้
    ถาม : แล้วถ้าเกิดเขาเข้าไปได้แล้วเขา.....?
    ตอบ : ก็เตะมันออกมาสิ (หัวเราะ) ก่อนทำเพื่อความแน่ใจก็อาบน้ำมนต์ซะเลย อธิษฐานขอบารมีพระสงเคราะห์หรือไม่ก็ง่ายที่สุดก็คือว่า ตั้งใจขอท้าวมหาราชท่านสงเคราะห์ ส่งเทวดามารักษาในขณะที่เราทำกรรมฐานด้วย ถ้าอย่างนั้นเทวดาท่านจะช่วยกันให้ อันนี้ไม่ต้องเกรงใจว่ารบกวนท่าน มันเป็นภาระเป็นหน้าที่ ๆ ท่านเต็มใจทำเลย บุคคลที่ตั้งใจเจริญกรรมฐานถ้าทรงตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป ท้าวมหาราชจะส่งบริวารมาช่วยรักษาอยู่แล้ว เราก็แค่ตั้งใจนึกถึงท่านขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ป้องกันเรื่องเหล่านี้ให้เราด้วย ต่อไปพวกนั้นถ้าโดดเข้าใส่เมื่อไหร่ก็เจอกระบองกระเด็นกลับเท่านั้น
    ถาม : แล้วที่เขาบอกว่าคนที่จิตอ่อน วิญญาณจะเข้ามาแทรกในดวงจิต ?
    ตอบ : ลักษณะนั้นก็เหมือนกับที่เราคิดนั้นแหละ ที่เรียกว่าผีเข้าไง แต่จริง ๆ เขาได้เข้าหรอก เขาอยู่ข้างนอก แต่ใช้อำนาจจิตที่สูงกว่ากดบังคับให้เรามีการแสดงออกตามแบบที่เขาต้องการ บางทีคำพูดคำจาลักษณะท่าทางของเรามันก็กลายเป็นเขาไปเลย เขาไมได้มามุดเข้าอยู่ในตัวเราหรอก อยู่ภายนอกแต่ใช้กำลังจิตที่สูงกว่ากดบังคับให้เราทำตามที่เขาต้องการ
    ถาม : แล้วมันจะมีอยู่ ๒ อย่างค่ะ คือไม่นอนอยู่แล้วก็ยกแขนยกขาแล้วก็เดินออกไปเฉย ๆ กับพุ่งตัวออกไปเหมือนกับเครื่องบินจรวดนี่มันต่างกันยังไงคะ ?
    ตอบ : ไม่ต่างกันหรอกมันก็ออกได้เหมือนกัน คือวันไหนใจเย็นหน่อยก็ค่อย ๆ ไป (หัวเราะ) วันไหนใจร้อนหน่อยก็ติดเทอร์โบ อาการออกไปมันแล้วแต่เราตอนนั้นว่าต้องการแบบไหน จะออกไปจากส่วนไหนของร่างกายก็ได้
    ถาม : แล้วเวลาออกไปแล้วนี่จิตเราจะปรุงแต่งได้มั้ยคะ อย่างออกไปแล้วจะเห็น สมมติว่าออกไปแล้วเห็นพระท่านแล้วก็กลายเป็นพ่อเราอะไรอย่างนี้ ?
    ตอบ : ตอนนั้นก็ถ้าไม่มั่นใจก็อธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านช่วยสงเคราะห์ให้รู้เห็นตามความเป็นจริงด้วย ถ้าหากว่าขอแบบนี้จะเห็นตามความเป็นจริงตลอด ถ้าหากว่าท่านบอกเคยเป็นพ่อเราก็คือใช่ ตอนนั้นฟุ้งซ่านยากแล้ว ตอนออกไปอย่างน้อย ๆ มันต้องทรงฌาน ๔ ได้ ถ้าทรงฌาน ๔ ไม่ได้มันออกไปไหนไม่ได้หรอก เห็นมันเป็นแค่อุปจารสมาธิเท่านั้นเอง
    ถาม : คือพอเห็นท่านเป็นพ่อแล้วท่านบอกว่าให้มองข้างหลัง แล้วก็เลยนึกถึงพ่อตัวเองขึ้นมาอย่างนี้ค่ะ เป็นห่วงก็เลยกลับไป ?
    ตอบ : เสียท่าเขาแล้ว (หัวเราะ) เอ้า....ไม่เป็นไรคราวหน้าแก้ตัวใหม่ คือถ้าท่านบอกก็ขออนุญาตหน่อยไม่ได้สงสัยหรอกแต่เพื่อความแน่นอน ขอรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วย ถ้าเป็นไปจริงตามนั้นก็รับรู้ไว้ด้วยความเคารพ ไม่ต้องไปตื่นเต้นหรอก เพราะชาติโน้นย่อมไม่ใช่ชาตินี้ ถ้าดีจริงเราไม่มานั่งอยู่นี่หรอกไปนานแล้ว
    ถาม : เรื่องของกรรมนี่คือ.....?
    ตอบ : เรื่องของกรรมคือการกระทำ คราวนี้จะทำอะไรดีล่ะ ?
    ถาม : ถ้าเกิดสมมติว่าถูกตีกรอบมาก ๆ แล้วก็เคยไปปล่อย ๆ ปลาหรืออะไรอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นมาเลยค่ะ ?
    ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป เราต้องทำสม่ำเสมอต่อนเองกันไประยะหนึ่ง ถ้าหากว่าเราทำทีหนึ่งแล้วตั้งใจว่าจะให้มันเป็นไปตามนั้นเลยเป็นไปไม่ได้ ปัจจัยคือสิ่งที่เราทำต้องพอ ไม่ใช่ปัจจัยที่แปลว่าต้องสะตุ้งสตางค์อะไรในความหมายของเขานะ ปัจจัยตัวนี้ก็คือเหตุที่เราทำมันต้องพอ เพราะฉะนั้นให้มันต่อเนื่องยาวนานไปซักระยะหนึ่งแล้วกุศลตัวนั้นก็จะส่งให้ อาตมาทำมาจนป่านนี้จะ ๒๐ ปีแล้ว ของเราปล่อยปลาครั้งหนึ่งจะให้มันหนีเขาได้ทุกเที่ยวเลยเหรอ ?
    ถาม : คือไปปล่อยปลาคะ ก็คิดว่าจะปล่อยบ่อย ๆ แต่ว่าปล่อยใช้ตังค์ทีละนิดทีละนิดพอค่ะ แต่ว่าพอไปทีไรก็แบบเพิ่มปลาอยู่เรื่อยเลย ?
    ตอบ : พวกเดียวกัน พอเห็นแล้วอดไม่ได้มันตาปริบ ๆ อยู่ก็เหมามันหมดนั้นแหละ
    ถาม : ก็เลยแบบต้องนาน ๆ ทีค่ะ ?
    ตอบ : เอาเดือนละนิดหนึ่งสิ ตรงนี้ก็ทำทุกเดือน วันนี้เขาก็เพิ่งไปปล่อยมา ร่วมกับเขาทีหนึ่ง ๒๐ บาท, ๓๐ บาทก็ได้ จะได้ไม่ต้องผอมมากน่าเห็นใจ มันได้แปลว่าเราต้องปล่อยเองนี่ ฝากเขาก็ได้ ร่วมกับคนอื่นเขาก็ได้
    ถาม : มันโกรธไว มันมีอารมณ์ที่มันรู้สึกฉุนเฉียวมันเพราะอะไร ?
    ตอบ : ลักษณะนั้นเป็นลักษณะของการเก็บกด คืออารมณ์ใจของเราจริง ๆ ตอนแรกเรารับมา ๆ แต่เราไม่รู้ว่าตัวที่มันถึงที่สุดของเราอยู่ตรงไหน คราวนี้พอคนมาสะกิดนิดเดียวอาการมันจะออกเลย
    ถ้าหากว่าเรารู้จักคิดรู้จักพิจารณาปล่อยอารมณ์คลายอารมณ์ตัวนั้นได้มันก็จะไม่อยู่ในลักษณะสะสมตัว คราวนี้การปล่อยวางคลายอารมณ์นั้นต้องพิจารณาเป็น ต้องให้เห็นว่าเราโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา เขาก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ตัวเองก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป มีความเป็นอนิจจังไม่เที่ยงเหมือนกัน ในขณะดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์พออยู่แล้ว เราจะโกรธเขาไม่โกรธเขา ๆ ก็ทุกข์พออยู่แล้ว แล้วในที่สุดก็เสื่อมสลายตายกันไปคนละข้าง เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขา ๆ ก็ตาย เราจะโกรธเขาหรือไม่โกรธเขาเราก็ตาย ถ้าเราพิจารณาเป็นใจมันจะปล่อยวางอารมณ์มันจะไม่สะสมอยู่
    แต่ส่วนใหญ่แล้วที่ปัจจุบันที่พบส่วนมากก็คือไปสะสมมันไว้มาก คือประเภทรู้ว่าถ้าหากว่าโกรธแล้วจะผิดก็พยายามที่จะไม่โกรธ คราวนี้พอรับอารมณ์นั้นไว้รับอารมณ์นั้นไว้เยอะ ๆ เข้ามันเหมือนอย่างกับลูกโป่ง พอพองตัวเต็มที่คนสะกิดคนท้ายซวยมากเลย มันไประเบิดตูมใส่เขาโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาทำนิดเดียวทำไมต้องโกรธเขาเยอะขนาดนั้น
    นั่นแหละต้องหัดพิจารณาให้เป็นแล้วปล่อยวางมันให้ได้ ให้เห็นว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันน่าเกลียด น่าชังขนาดไหน มันเป็นทุกข์เป็นโทษต่อผู้อื่นและตัวเขาเองอย่างไร ในเมื่อคนที่เขาไม่รู้ถึงขนาดนั้นแล้วคนเหล่านี้จริง ๆ แล้วน่าสงสารไม่น่าโกรธหรอกก็จะอภัยให้เขาได้ คิดให้เป็น คิดไม่เป็นแล้วเดี๋ยวสะสมเยอะ ๆ แล้วลำบาก
    ถาม : โดยปกติช้างทรง ม้าทรงต้องมีชื่อ ? (ใช่) ช้างทรงพระนเรศวรมีชื่อ ? (มี) แต่ม้าทรงไม่มี ?
    ตอบ : ก็....ในประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกไว้มั้ง ? เหตุที่ช้างทรงได้รับการบันทึกไว้ว่าเป็นเจ้าพญาปราบหงสาวดี ก็เพราะว่าตอนที่ชนะ ถ้าหากว่าไม่ชนะก็คงใช้ชื่อเดิม ๆ
    ถาม : ไปที่อยุธยาเขาก็มีพระบรมราชานุสาวรีย์ที่ทรงม้า ?
    ตอบ : พระนเรศวรความคุ้นเคยของเราก็ทรงช้าง โดยเฉพาะตอนจะทำยุทธหัตถีพอไปเจอภาพปั้นทรงม้าบางทีก็นึกไม่ออกว่าใคร
    ถาม : องค์นั้นก็ถนัดขวา ?
    ตอบ : ไม่ทราบเหมือนกันของกองทัพภาคสามนี่ดาบเขาสะพายอยู่ด้านซ้าย ซึ่งยังไงก็ต้องถนัดซ้ายแน่ ถ้าคนถนัดขวานี่ชักดาบท่านั้นได้หูเป็นของแถมข้างหนึ่ง
    ถาม : ด้านซ้ายต้องถือทวนด้านซ้ายด้วยสิครับ ?
    ตอบ : ท่านบอกว่ามันอยู่ในลักษณะกำลังเลียบค่ายสบาย ๆ เขาว่างั้นก็เลยมือหนึ่งจับบังเหียนอีกมือเท้าเอวเล่นเลยประเภทเขาทำออกมาอย่างนั้น กำลังเลียบค่ายตรวจพลอยู่ก็เลยสบาย ๆ อยู่ แต่จังหวะนี้เป็นไปไม่ได้หรอกนักรบนี่ความเคยชิน ยังไง ๆ อาวุธก็ต้องอยู่ในมุมที่ตัวเองถนัดที่สุด
    ถาม : .......(ไม่ชัด)......ที่ว่าตอนนั้นปะทะกับมอญ ?
    ตอบ : มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ใช้พระแสงดาบแล้วก็ขึ้นปล้นค่ายเขากลางคืนเห็นชัด ๆ ว่าจริง ๆ แล้วท่านถนัดดาบมากกว่า แต่ว่าอยู่ในลักษณะที่ว่ายัง ๆ อาวุธสั้นยาวทุกอย่างต้องศึกษาจนครบอยู่แล้ว
    ถาม : อยู่อย่างคนฆราวาสที่ปฏิบัติอย่างนี้เข้าสมาบัติได้มั้ย ?
    ตอบ : ได้.....แต่ว่าถ้าจะเป็นนิโรธสมาบัติ ต้องเป็นอนาคามีขึ้นไป
    ถาม : สมาบัตินี่คือการเข้า ....?
    ตอบ : การเข้าฌานใดฌานหนึ่งก็ได้เรียกว่าเข้าสมาบัติ ทั้งนั้น แต่ถว่าถ้าหากว่ามันยังไม่ใช่พระอนาคามีขึ้นไปจะไม่เป็นนิโรธสมาบัติ
    ถาม : ก็เป็นสมาบัติธรรมดา ?
    ตอบ : เป็นธรรมดาไป
    ถาม : ไม่ใช่พระก็คือคว่าเรียกเข้าสมาบัติได้ ?
    ตอบ : เรียกว่าเข้าสมาบัติได้
    ถาม : แล้วอันนี้จะมีผลยังไง ?
    ตอบ : แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขึ้นไป เขาจะเรียกผลสมาบัติ มันต่างกันไปนิดหนึ่ง จะมีผลอย่างไร ? อันดับแรกก็ความอยู่สุขของตัวเอง ทรงอารมณ์สูงได้มากเท่าไรใจก็จะไกลจากกิเลสมากเท่านั้น อันดับทีสองถ้าหากมีผู้ใดให้การสงเคราะห์อะไรก็ตามผลบุญของผู้นั้นก็จะมากกว่าปกติ ทำบุญกับบุคคลที่มีศีลสักร้อยครั้งไม่เท่ากับทำบุญกับบุคคลที่ทรงฌานสักครังหนึ่งอย่างนี้
    ถาม : การเข้าสมาบัติเพื่อ....?
    ตอบ : เพื่อสงเคาะห์เขาก็ได้
    ถาม : แล้วไปแก้กรรมเขาได้มั้ยค่ะ ?
    ตอบ : เรื่องแก้กรรมนี้ขอทีเถอะ มันยากเต็มทียกเว้นผู้ที่รู้กฎของกรรมละเอียดจริง ๆ ในชีวิตที่ผ่านมาก็เจอหลวงปู่ธรรมชัยองค์เดียว หลวงปู่ธรรมชัยนี่ท่านจะรู้รายละเอียดเลยว่าในแต่ละชาติที่ผ่านมาคน ๆ นั้นได้ทำอะไรไว้ เจ้ากรรมนายเวรเขาต้องการอะไรแล้วก็แก้ไขตามนั้น แล้วก็จะมีผลเลย ถ้าหากว่าการแก้กรรมนี้ต้องดูผลด้วยถ้าหากว่ามีผลตามนั้นก็แปลว่าเขาทำได้ แต่เรื่องหนัก ๆ บางทีเจ้ากรรมนายเวรเขาไม่ยอมเหมือนกัน
    ถาม : คืออย่างนี้ค่ะ เหมือนกลัวจะปรามาส พอดีได้เทปมาเพื่อนเขาเอามาฝากของคุณป้าคนหนึ่งที่รู้จัก ทีนี้ก็ฟังแล้วมีความรู้สึกว่าใจเรามันค้าน ?
    ตอบ : ฟังดูแล้วทำอารมณ์สบาย ๆ ตามไป จะรู้เลยว่าตรงไหนที่เขาพูดเป็นความจริง ตรงไหนที่เขาพูดเป็นการอวดอ้าง ตรงไหนที่พุดเพื่อต้องการจะแสดงตัวเพื่อดึงศรัทธาคน อะไรก็ตามถ้าหากว่าเราปล่อยใจสบาย ๆ ไปแล้วจะรู้เลยว่าตรงนี้มันยังไม่ดีจริงหรือว่าตรงนี้ดีจริง กำลังใจระดับพวกเรานี่ทำได้ทั้งนั้น
    ถาม : แต่เราเองก็ยังแบบติดอยู่ในใจแล้วมันจะบาปมั้ย เลยเดี๋ยวถามดีกว่า ?
    ตอบ : ถึงได้บอกว่าทำใจสบาย ๆ แล้วก็ฟัง ถ้าหากว่ามันมีอะไรที่มันไม่ถูกต้องมันจะรู้เลยหลวงพ่อท่านสอนเราไง เวลาได้มโนมยิทธินี่เขาเล่าเรื่องอะไรเราก็จับภาพพระทำใจสบาย ๆ ไปรู้เลยว่าจริงหรือโกหก
    ถาม : แล้วอย่างนี้วิชาไม่เสื่อม ?
    ตอบ : มันไม่หรอกเพราะว่าบางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ ลักษณะของฌานสมาบัติโดยเฉพาะฌานสี่นี้คุณจะเข้าสัก ๓ ปี ๕ ปีก็ได้ไม่มีใครเขาว่า แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญเพราะมันทรมานตัวเองมากเกินไป
    ถาม : แก้ในส่วนที่เป็นแบบว่า .....?
    ตอบ : ลักษณะอย่างนั้นถ้าหากว่าแก้ได้จริง ๆ ต่อไปตัวเองจะแย่มาก เพราะว่าผลกรรมมันจะต้องมีการสนองเป็นปกติเขาอยู่แล้ว ในเมื่อเขายิงกันแล้วคุณไปยืนขวาง คนโดนเองก็คือคุณนั้นล่ะ ถ้าหากว่าเขาทำได้จริง ๆ ต่อไปเขาจะลำบาก
    ถาม : จะทำได้มั้ย ?
    ตอบ : มันทำได้แต่ว่ากำลังใจระดับนั้นส่วนใหญ่ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ เพราะว่าพระอริยเจ้าหรือว่าพระพุทธเจ้าท่านจะยอมรับกฎของกรรมอยู่แล้ว อะไรที่เกินวิสัยท่านก็ไม่แตะต้อง แต่าพระโพธิสัตว์นี่เพื่อความสุขของคนอื่นบางทีก็ทุ่มเทตัวเองลงไป ตัวเองลำบากอย่างไร เพื่อความสุขคนอื่นก็ยอมทนอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นทำได้แต่ว่าก็อย่างว่าถึงเวลาก็รับไป


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ............................
    ตอบ : มีชีวิตอยู่มันก็ต้องทุกข์ก็ธรรมดาของมัน เราผ่อนทุกข์เท่าที่จะผ่อนได้ มันหนาวก็หาเสื้อผ้าให้มัน มันร้อนก็หาน้ำให้มันอาบหรือไม่ก็เข้าห้องแอร์ มันหิวหาให้มันกิน มันเจ็บไข้ได้ป่วยรักษาพยาบาลมัน ยอมรับว่าสภาพปกติธรรมดาของมันมีเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่ขึ้นชื่อว่าสภาพร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ โลกเราที่เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราไม่ขอมาเกิดอีก ใจมันจะปลดออกห่างออกมา ออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุดพอไม่เกาะก็เป็นอันว่าพ้นไป
    ถาม : แล้วถ้าธรรมดาคนอื่นมาทำให้เรารู้สึกว่าเราเหนื่อยหน่าย....(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : ธรรมดาของแต่ละระดับขั้นมันไม่เท่ากัน ให้เพิ่มปัญญาลงไปอีกนิดหนึ่งว่าตัวเขาเองยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ดีที่แท้จริงเป็นอย่างไร ? แล้วเราเองก็เคยเป็นอย่างเขามาก่อน ในเมื่อเราเคยเป็นอย่างเขามาก่อน สิ่งที่เขาทำก็คือสิ่งที่เราทำมาแล้วนั่นเอง เขามาย้ำรอยเดิมคือรับมรดกธรรมที่เราทิ้งเอาไว้ให้ ในเมื่อเขาเป็นผู้รับมรดกเขาก็คือทายาทของเรา ในเมื่อเป็นทายาท เป็นญาติโยมกันเองแท้ ๆ ทำไมต้องไปท้อแท้ ต้องไปเบื่อหน่าย ต้องไปรังเกียจอะไรเขา ? ทำไมเราสงเคราะห์เขาอย่างญาติของเราไม่ได้ ?
    ถาม : จริง ๆ มันก็ต่อหน้าก็สงเคราะห์ได้อยู่ แต่พอลับหลังเขามีความรู้สึกกะฟัดกะเฟียดในจิตใจขุ่นมัว
    ตอบ : ถ้างั้นก็มองอีกนิดหนึ่งว่า ตัวเราเองที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรมก็ยังประกอบด้วยความทุกข์เข็นปานนี้ ขึ้นชื่อว่าผู้อื่นที่จะไม่ทุกข์นั้นไม่มี ในเมื่อมันทุกข์ขนาดนี้แล้วอยากเกิดอีกมั้ยล่ะ ? ถามตัวเองด้วย
    ถาม : แต่ยังมีข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่ง สมมติว่าเราเจอคน ๆ นี้ แล้วเราควรที่จะบอกกล่าวมั้ยว่าสิ่งที่เขาเข้าใจมันผิด หรือว่าเราควร....?
    ตอบ : ถ้าสามารถ และมีโอกาส แต่อย่าลืมว่าทุกคนมีทิฐิคือความเห็นของตัว เขาย่อมเห็นว่าเขาทำดีแล้วถูกแล้วเขาถึงได้ทำสิ่งนั้น แต่ว่าสิ่งที่เขาทำมันยังไม่ดีไม่หมดยังถูกไม่หมดเราก็พยายามชี้แจงในสิ่งที่ดีกว่าถูกกว่าให้เขาเพื่อที่จะได้ปรับทิฐิคือความเห็นของเขามาให้เห็นถูก
    แต่เรามั่นใจมั้ยว่าสิ่งที่รู้เห็นมันถูกกว่า ถ้ามั่นใจก็ประกาศอย่างกล้าหาญแบบพระพุทธเจ้าประกาศพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยล้างทิฐิของคนอื่นเลย สังเกตว่าการประกาศธรรมของท่าน เช่นว่า ชฎิล ๓ พี่น้อง อุรุเวละกัสสปะ นทีกัสสปะ คยากัสสปะ เขาบูชาไฟพระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าการบูชาไฟดี แต่การบูชาไฟภายนอกยังดีไม่พอ ต้องบูชาไฟภายในด้วย แล้วเสร็จแล้วก็ท่านถามว่าไฟภายในคืออะไร ท่านก็ไล่ให้ฟัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจล้วนแล้วแต่เป็นไฟ ถ้าหากว่าตาสัมผัสรูปภายนอก ถ้าหากว่ารับเอามาข้างในมันก็พาให้ร้อนใจ ท่านก็ไล่ไปเรื่อย อทิตตปริยายะสูตร เสร็จแล้วจนกระทั่งเขาหันกลับมาพิจารณาธรรมตามที่ท่านสอนก็กลายเป็นพระอรหันต์กันหมด
    อย่างสิงคาลมานพ ที่ไหว้ทิศทั้ง ๑๐ ไปไหว้เหอะทั้งวัน ๆ ก็ได้แต่เอาน้ำชโลมตัวเองจนโชกไปทั้งตัว แล้วก็ไหว้ผงก ๆ อยู่คนเดียว พระพุทธเจ้าถามว่า ทำอะไรท่านก็บอกให้ฟัง บอกว่าทางด้านบิดาที่เป็นพรามหณ์สอนต่อ ๆ มาว่าให้ไหว้ทิศทั้ง ๑๐ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบอกว่า ที่พ่อสอนมาถูกแล้ว แต่ว่าสิ่งที่ถูกกว่าดีกว่ายังมี ตถาคตจะชี้แจงให้ฟังแล้วก็ไล่ให้ฟังทีละอัน อย่างเช่นว่าทิศเบื้องบนก็คือสมณะชีพราหมณ์ ทิศเบื้องซ้ายเบื้องขวาคือใครครูบาอาจารย์บิดามารดาไล่ไปเรื่อย จนกระทั่งถึงทิศเบื้องต่ำคือผู้รับใช้สอยอะไรเป็นบริวารของเรา แล้วก็บอกแต่ละวิธีว่าควรจะทำอย่างไร ควรจะปฏิบ้ติอย่างไรแก่บุคคลอย่างนั้น ๆ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยล้มล้างทิฐิของใคร แต่แนะนำในสิ่งที่ดีกว่าเพื่อให้เขาพิจารณา ถ้าคนมีปัญญาจะเห็นว่าสิ่งทีพระพุทธเจ้าแนะนำดีกว่าปฏิบัติตามก็จะได้ผลอันนั้น
    คราวนี้การประกาศศาสนาของพระพุทธเจ้าท่านทำเพื่อการสงเคราะห์ไม่ได้หวังชื่อเสียงหรือว่าลาภยศใด ๆ ทั้งสิ้น ในเมื่อทำเพื่อเป็นการสงเคราะห์ เขาจะตามหรือไม่ตามพระองค์ท่านถือว่าท่านได้ทำหน้าที่ของท่านสมบูรณ์แล้ว เราเองสามารถทำอย่างนั้นได้ไหม ? ไปบอกเขาถ้าเขาไม่ทำตาม ไปโกรธเขาอีก
    ถาม : ไม่โกรธหรอกค่ะ ถ้าไม่มีเอฟเฟ็กมาถึงเรา ?
    ตอบ : (หัวเราะ) ต้องมีถ้าด้วย ถ้าไม่มีถ้านี่ไม่สนุก
    ถาม : ขอถามปัญหาเรื่องเดียวกัน การที่เคยได้ยินว่าบางนิกายเขามีผู้มีบารมีสูง ๆ สามารถที่จะแบ่งภาคอมตะมันเป็นยังไงครับ ในการที่จะแบ่งจิต ?
    ตอบ : อันนั้นเป็นการเชื่อของเขา จริง ๆ แล้วจิตเดียวกายเดียว ถ้าหากว่าคุณจะลงมาเกิด คุณก็ต้องเอาจิตของคุณลงเมื่อเพื่อหากายใหม่ ไม่สามารถที่จะแบ่งออกมาหลายอย่าง หลาย ๆ สถานที่ พร้อม ๆ กันได้ แต่ว่าถ้าหากในลักษณะที่ว่าอยู่ในกายทิพย์อย่างเช่น เทวดา พรหม หรือพระบนนิพพานนี่ท่านสามารถที่จะแบ่งจิตเพื่อรับรู้เรื่องต่าง ๆ ได้หลายเรื่องพร้อมกัน เพราะฉะนั้นประเภทลงมาเกิดเป็นหลาย ๆ คนเป็นไปไม่ได้
    แต่คราวนี้เขาเชื่ออย่างนั้น ในเมื่อเป็นความเชื่อคือทิฐิของเขาอย่างนั้น เราก็ค้านเขาไม่ได้ซะด้วย เพราะเขาไม่เชื่อเราหรอก แล้วมาตอนหลังก็พยายามล้มล้างซะด้วย บอกว่าพระพุทธเจ้าก็คือปางหนึ่งของพระนารายณ์ เป็นพุทธาวตาร แหม ! ร้ายมากเลย มันกลืนสนิทเลย นารายณ์ ๑๐ ปางมีอะไรบ้างเคยศึกษามั้ย ? นั่นแหละเขาเล่นเอาพระพุทธเจ้าเป็นปางหนึ่งคือพุทธาวตาร เขาจะมีกูรมาวตารแปลงเป็นเต่าอวตารลงมาเป็นเต่าเพื่อที่จะรองเขาพระสุเมรุตอนที่เทวดากวนเกษียรสมุทรไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันจะทิ่มจักรวาลทะลุ วราหาวตารเป็นหมู หมูป่าตัวใหญ่ขึ้นไปปราบยักษ์ นรสิงหาวตารเป็นมนุษย์ครึ่งสิงห์กับยักษ์เหมือนกันรามาวตารนี่มันมากเลยรบกับทศกัณฑ์....ยักษ์อีกเหมือนกัน ตกลงว่ายักษ์ในฮินดูนี่หาดียาก ยักษ์ในฮินดูที่มีดีรู้สึกว่าจะมีท่านพิเภกอยู่องค์เดียวมั้ง ? นารายณ์ ๑๐ ปางเขาจัดพุทธาวตารยัดเข้าไปด้วยอวตารเป็นพระพุทธเจ้า
    วันก่อนฟังหลวงตาบัว ท่านว่าศาสนาอื่น ๆ ไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ของจริงสามารถจับผิดโกหกกันได้ แต่ศาสนาพุทธนี่เขาเอหิปัสสิโก ท้าให้มาดูเลย (หัวเราะ) ถ้าหากว่าทำก็จะได้ผลตามนั้น เอหิปัสสิโกเรียกร้องให้สัตว์ทั้งหลายมาดู ก็คือท้าพิสูจน์ ท้าพิสูจน์อยากจะจับผิดอะไรก็เชิญ สิ่งที่ฉันว่าไป ถ้าหากว่าเธอทำได้แล้วยังผิดอยู่ก็ยอมรับว่าผิด แต่คราวนี้ว่าถ้าคนทำได้ไม่มีใครว่าผิดนี่
    ถาม : บอกว่าเทวดาท่านอยากจะรู้ไปที่ต่าง ๆ ท่านจะส่งจิตออกไป ?
    ตอบ : สามารถแยกจิตเป็นกายทิพย์หลาย ๆ กายออกไปพร้อม ๆ กันได้ สามารถรู้ได้สมบูรณ์แล้วทำหน้าที่จำเพาะตรงจุดนั้น ๆ ได้สมบูรณ์ทุกอย่างด้วย
    ถาม : ในเวลาเดียวกัน ?
    ตอบ : ในเวลาเดียวกัน
    ถาม : อย่างเช่นเทวดาที่วัดพระแก้ว ?
    ตอบ : ทำไมล่ะ
    ถาม : รับเรื่องเยอะ ?
    ตอบ : อ๋อ ! ไม่เยอะก็ไม่ได้ ก็แหม ....มันอธิษฐานกันเพียบเลย เป็นเทวดาที่วัดพระแก้ว ก็ยุ่งมาก มันคนทั้งประเทศและต่างประเทศเลย ก็อย่างว่า....หน้าที่ของท่านนี่
    ถาม : การทำงานหนักนี่ก็เป็นการใช้กรรมอย่างหนึ่ง ?
    ตอบ : การทำงานหนัก เป็นการสร้างกรรมอย่างหนึ่ง ใช้กรรมนี่ไม่แน่ การทำงานหนักเป็นการสร้างกรรมอย่างหนึ่ง แต่ว่าการกระทำของเราที่ผ่านมาอาจจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เราทำไม่ดีแล้วมันจะมาสนองมาเกิด มาเป็นกับเราในช่วงนั้น ถ้าเรารอให้เขาเกิดเองให้เขาเป็นเองเราเลือกไม่ได้ บางทีรับไม่ไหวรับไม่ทัน
    เพราะฉะนั้นบางทีเราก็เลือกด้วยการกระโดดเข้าใส่งานอะไรที่มันลำบาก ๆ ซะอย่างหนึ่ง ซึ่งพอสมน้ำสมเนื้อกันไปสิ่งที่ควรจะเกิดก็กลายเป็นว่า แทนที่เราจะให้เขาเกิดเองเราก็เลือกที่จะให้เขาเกิดแทน สิ่งที่เราเลือกเรารับได้แน่นอนมันจะเหนื่อยหน่อยลำบากหน่อยแต่ว่าเรามั่นใจว่าเราสามารถที่จะควบคุมให้อยู่ในแวดวงที่เราต้องการได้ แต่ขณะเดียวกันถ้าให้เขามาเองบางทีรับไม่ไหว ก็เลยใช้วิธีกระโดดเข้าใส่งานเยอะ ๆ แทนมันก็ดีแล้ว จะรู้สึกว่าอย่างอื่นมันผ่อนคลายไปเยอะเลย ลองดูบ้างก็ได้นะวิธีนี้ไม่ว่า
    ถาม : นอกจากทำงานหนักแล้วก็มี......?
    ตอบ : มันต้องดูกำลังตัวเองด้วย ไม่ไหวจริง ๆ อาตมาก็หงายแผ่.....หลับ
    ถาม : จ่ายเงินทำบุญเยอะ จ่ายเงินทำบุญเยอะ ๆ แล้ว......?
    ตอบ : จ่ายเงินทำบุญเยอะ ถ้างั้นดีกับพระ แต่ไม่ค่อยดีกับโยม ทำบุญเขาให้ทำแต่น้อย แต่ทำบ่อย ๆ เพราะให้ใจมันชินแก่การสละออกไม่ใช่ทำเยอะ ๆ
    ถาม : เผื่อช่วงนั้นเรารู้ว่าเราดวงตกไงคะ แล้วแทนที่เราจะถวายพระองค์เล็ก ๆ เราก็ถวายพระประธานอะไรอย่างนี้ฟาดเคราะห์ เผื่อจะแบบหนักเป็นเบา ?
    ตอบ : เป็นไง รอดมาได้นี่รู้สึกว่าได้ขึ้นสวรรค์เลยมั้ย ? พยายามให้อารมณ์ใจมันอยู่ลักษณะนี้ คืองานแต่ละอย่างพอมันจบลง เรารู้สึกว่ามันปลดได้มันปล่อยได้ มันวางได้ อารมณ์ใจตัวที่วางนี่พยายามศึกษามันไว้ พวกเราส่วนใหญ่ปล่อยให้บทเรียนดี ๆ มันล่วงเลยไปโดยที่ไม่ได้ดึงมาใช้ประโยชน์ ตอนที่เรายกภูเขาออกจากอกสบายแค่ไหน ? ปัญหาต่าง ๆ ถึงเวลาที่เขาบอกอย่าไปแบก ไปแบกก็คืออาการเดียวกันนั่นแหละ นึกออกหรือยัง ? เลยมาหลายวันนึกไม่ค่อยออกแล้ว
    ถาม : นึกออกว่าช่วงที่จบ ยังโลดแล่นอยู่เลยค่ะ ช่วงนั้นฟู ?
    ตอบ : ยังดีใจอยู่
    ถาม : ช่วงนี้มันมาหมกมุ่นอยู่กับความคิดตัวเอง ?
    ตอบ : ก็เริ่มทุกข์ต่อ
    ถาม : เริ่มทุกข์ต่อ เริ่มเปลี่ยนเป็นมิจฉาทิฐิ ?
    ตอบ : ไม่เป็นไรหรอก ถ้ารู้ตัวเป็นมิจฉาทิฐิ ยังพอดึงกลับทัน
    ถาม : เวลาเคราะห์กรรมเข้ามาเยอะ ๆ ต้องวางจิตยังไงถึงจะดี ?
    ตอบ : ให้เห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งหมด คือเราทำเองในเมื่อเราทำเองทำไมเราจะยอมรับมันไม่ได้
    ถาม : ถ้ามันมาแรงเกิน ?
    ตอบ : ก็เราทำไว้แรงเอง ที่มันมามันไม่ใช่เงินต้นนะ มันแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น เพราะฉะนั้นก่อนหน้านี้เราร้ายกาจ น่าเกลียดน่าชังมากเลย ทำเอาไว้เยอะขนาดนั้น (หัวเราะ) เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราทำเองมันถึงเกิดกับเราในปัจจุบนันนี้ นั้นเราทำเองเราต้องรับได้
    ถาม : มีวิธีหนีมั้ยคะ ?
    ตอบ : มีเหมือนกัน แต่เป็นพระอรหันต์รับรองหนีได้แน่
    ถาม : ถ้ายังไม่เป็นล่ะคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่ายังไม่เป็น พยายามทำทาน ศีล ภาวนา ให้มันเข้มข้นเข้าไว้ เคราะห์กรรมจะตามได้ไม่เกินยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ให้ต่อเนื่องแล้วก็หนักแน่น เข้มข้น จริงจัง ตัวบุญใหญ่นี่จะทำให้เคราะห์กรรมต่าง ๆ มันเพลาลงคือตามไม่ทัน ที่ตามได้คือพวกที่หนักจริง ๆ ก็ได้ไม่เกินยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์หรอก ตัวภาวนาสำคัญต้องทำให้พอดี ๆ เกินพอดีเดี๋ยวเคราะห์กรรมมันจะช่วยซ้ำเอง เกินพอดีมันเครียดเกินไป เครียดเกินไปเดี๋ยวกันก็ติงต๊อง
    ถาม : แล้วอย่างคนที่เขาไม่สามารถนอนหลับ เขาบอกว่าต้องพึ่งยานอนหลับไม่งั้นนอนไม่หลับ ?
    ตอบ : ที่เขานอนไม่หลับส่วนใหญ่เพราะเขาคิด พอคิดแล้วจิตใจมันฟุ้งซ่าน คนเราถ้าตั้งใจภาวนาจริง ๆ จับลมหายใจเข้าออกให้ครบ ๓ ฐาน ลองดูเหอะไม่เกิน ๓ นาทีหรอกหลับทุกคน ที่ไม่หลับเพราะมันคิดแล้วส่วนใหญ่คิดแล้วควบคุมความคิดตัวเองไม่เป็น ในเมื่อควบคุมมันไม่อยู่คิดไปเรื่อย ๆ ก็จะฟุ้งซ่านมันอยู่ตรงนั้นแหละ จะเริ่มจาก ๐ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ พอครบ ๐ เสร็จมันก็เริ่มต้นใหม่อีก ถ้าตามจับความคิดตัวเองจะเห็นเลยว่ามันเริ่มอยู่ในลักษณะอย่างนั้น วนไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเราก็ทำงานนะ ปีนี้ได้สองขั้น เงินเดือนจะได้เท่านั้น (หัวเราะ) มันจะไล่ของมันไปเรื่อยถึงเวลาผลตอบแทนเป็นอย่างนี้ มีแฟนกี่คน มีลูกกี่คน มีครอบครัวอย่างนั้น ๆ เอาจบ เสร็จแล้วก็เริ่มต้นใหม่ ถ้าอีกมันถ้าอยู่นั่นแหละไม่รู้จักเลิกซะที
    เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่คิดเป็นแล้วหยุดคิดไม่เป็น ต้องหยุดให้เป็น หยุดความคิดที่ดีที่สุดก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออกอยู่กับปัจจุบัน ไม่ว่าความคิดในลักษณะใดก็ตามมมันมีอยู่ ๒ อย่างเท่านั้น คือไม่ไปอดีต มันก็มุ่งไปอนาคต ซึ่งใช้ไม่ได้ทั้งคู่ อดีตผ่านมาแล้ว เราไปนิพพานไม่ได้หรอก ถ้าไปได้มันไม่มานั่งอยู่อย่างนี้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง เรื่องที่ยังมาไม่ถึงให้ไปได้ก็เป็นไปไม่ได้อีกเหมือนกัน มันต้องเดี๋ยวนี้เท่านั้นปัจจุบันนี้เท่านั้น
    ถาม : ไปเจอคนหนึ่งเขาบอกว่า เขาเครียดมากนอนไม่หลับคือเคยไปนวดน่ะครับ ประมาณว่าผมได้ยินเสียงเขากรนครับ แต่เขาก็บอกว่าเขานอนไม่หลับเขาก็รู้ตัวด้วยว่าเขากรน ?
    ตอบ : จริง ๆ ก็คือร่างกายมันหลับ แต่ว่าจิตใจมันยังฟุ้งซ่านอยู่ ความจริงนักปฏิบัติอยากได้อารมณ์ตรงนั้นมากเลย เพราะว่ามันจะเป็นอารมณ์ในลักษณะที่ว่าตื่นกับหลับความรู้สึกมันเท่ากัน ในเมื่อความรู้สึกมันเท่ากันบางคน เวลากลางวันสามารถกดข่มอารมณ์ความรู้สึกของ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะไว้ได้ แต่ถ้าพอกลางคืนหลับแล้ว จิตมันคลายออกมันเผลอ ก็จะอาละวาดตอนหลับแทน ฝันบ้าง ละเมอบ้างให้ยุ่งไปหมด
    เคยเจอน้องอยู่คนหนึ่ง เล่นตะกายรอบห้องเลย แล้วใครบอกว่าละเมอแกจะไม่เชื่อเพราะว่าประมาณตีสี่กว่าใกล้ตีห้าแกจะคลานกลับไปที่เดิม แล้วนอนท่าเดิมที่ตอนเริ่มนอนเป๊ะเลย ให้ขีดเส้นมันก็นอนตรงนั้นแหละ พอดีเป๊ะเลย บอกให้ตายมันก็ไม่เชื่อว่ามันละเมอ คราวนี้วันหนึ่งก็คงจะได้เวลาที่เขาจะรู้ตัวซะที ก็กำลังคลานของเขาอยู่พอดีฝนมันสาดเข้ามาทางหน้าต่างเลยตื่น เขาก็เลยเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเขาเองออกจากที่นอนมาตั้งหลายวา (หัวเราะ) ตอนแรก ๆ มีปัญหามากเพราะเราไม่เคยเจอ ไล่ตะครุบไล่จับไล่ปล้ำกันไปทั้งคืนกลัวเขาจะปีนลงหน้าต่างไง พอรู้แล้วเราก็นอนของเราไปเรื่อย ปล่อยมันคลานไปเหอะมันเหนื่อยมันก็เลิกเอง (หัวเราะ)
    ถาม : อย่างที่เวลาเราภาวนาก่อนนอนแล้วมันเครียด มันเครียดจนนอนไม่หลับ ?
    ตอบ : จริง ๆ มันไม่น่าจะเครียดนะ คาดว่ามันจะถึงตัวปีติขึ้นไปแล้ว พอถึงตัวปีติแล้วจิตมันจะโพลงอยู่ มันจะไม่หลับ ความรู้สึกง่วงไม่มี ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนั้นทำใจสบาย ๆ เลย เอ็งไม่หลับล่ะดีข้าจะภาวนาให้ทั้งคืนเลย เชื่อเหอะ จับลมหายใจได้ไม่ถึงสามคู่หรอกไปแน่บ ถ้าตั้งใจทำดีมันไม่ให้ทำหรอก
    ถาม : มันมีความรู้สึกเหมือนว่าเราตั้งใจมากพอตั้งใจมากแล้วแบบจะว่ามันฟุ้งซ่านก็ไม่เชิง แต่มันรู้สึกเหมือน...?
    ตอบ : มันเป็นตัวฟุ้งเหมือนกัน อย่าลืมว่าตัวตั้งใจหรือว่าตัวอยากมันเป็นอุธัจจกุกกุจจะ คืออารมณ์ฟุ้งเหมือนกัน ถึงได้ว่าของเราเองเรารู้ว่าเราทำอะไรเพื่ออะไร ถึงเวลาก็จดจ่ออยู่กับการกระทำของเรา อยู่กับเฉพาะหน้าอย่าไปคิดมาก คิดมากเมื่อไหร่มันจะฟุ้ง ไปคิดไม่พอบังคับอีกต่างหาก ?
    ถาม : ตัวปฏิบัติคิดกับตัววางอารมณ์ ตัวคิด ....(ไม่ชัด).....เหมือนกันมั้ย ?
    ตอบ : ไม่เหมือน ตัวหยุดนี่เราจะต้องบังคับมัน ตัววางนี่มันเป็นโดยธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับแล้ว
    ถาม : หยุดนี่ไม่ถูกใช่มั้ยคะ มันจะทำให้เครียดใช่มั้ย ?
    ตอบ : มันไม่ถูกตั้งแต่แรกแล้ว ต้องใช้คำว่ามันไม่ถูกตั้งแต่เกิดมาแล้ว (หัวเราะ) ไปถึงต้นเหตุเกินไปหรือเปล่า
    ถาม : ถ้าเกิดว่า อย่างก่อนอนจะมัวนั่งนับจบ สมมติว่าให้ได้ ๑๐๘ จบแล้วค่อยนอน กับภาวนาให้สบายใจแล้วให้หลับไปเลย อันไหนจะมีผล....?
    ตอบ : อันที่ไม่ต้องไปผูกพันมากมันจะดีกว่า ภาวนาให้หลับ ๆ ไปเลย เอ็งไม่หลับได้ละดี ข้าจะเอาให้เยอะเลย อาจจะเกิน ๑๐๘ ก็ได้ ดีไม่ดี ๘ ยังไม่ได้เลยไปซะแล้ว แต่ถ้าไปคิดจะให้มันหลับ จะบังคับให้มันหลับมันยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก เสร็จแล้วก็หงุดหงิดฟุ้งซ่าน ประเภทที่ว่ารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้นอนเลย แต่ความจริงตัวมันนอนอยู่มันได้พักแล้ว ถ้าเขาสังเกตุอีกนิดหนึ่งก็คือว่า เขาเองเขาจะเครียดกับความรู้สึกนั้นอย่างเดียว แต่ว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ง่วงเลย มันจะง่วงได้ยังไงมันกรนแล้ว (หัวเราะ)
    ถาม : เขาบอกเขาได้ยินเสียงกรน ?
    ตอบ : แล้วมันกรนเองด้วย แล้วมันก็รู้ว่ามันกรนด้วยแต่มันบอกว่ามันไม่หลับบ้ามั้ยล่ะ
    ถาม : แล้วถ้าหากเขาวางกำลังใจ ?
    ตอบ : ถ้าวางกำลังใจถูกนี่ใช้ได้เลย ตรงระดับนั่น กำลังใจหลับกับตื่นต้องให้ได้เท่ากันนักปฏิบัติถ้าทำถึงตรงนั้นพอจะมีที่พึ่งได้ ถ้ายังไม่ถึงตรงนั้นนี่กลางคืนมันยังฟัดเราอยู่
    ถาม : เวลาไปอยู่วัดแล้วคอยจะไม่หลับ มันเป็นเพราะอะไร ถ้ามันอยู่บ้านหลับ ๆ ไม่ยอมตื่น ?
    ตอบ : ความไม่คุ้นที่ มันไม่เคยชิน
    ถาม : วันที่ ๓ ที่ ๔ ก็ยังไม่หลับอีก คือไม่คุ้นต้องอยู่เป็นเดือนบวชชีไปเลย (หัวเราะ) ตอนช่วงที่ไปธุดงค์อะไรอย่างนี้ มันจะแบบเขานอนกันหมดแล้ว แล้วเราไม่หลับ ?
    ตอบ : เกิดใหม่ เกิดอีกสักหลาย ๆ แสนกัป เดี๋ยวมันก็จะชินเองในโลกนี้มันจะไม่มีที่ ๆ ไม่เคยเกิดมันก็หลับได้ทุกที่ ตัวนี้บางทียังภูมิใจตัวเองอยู่ว่า เออ...เราเองไปนอนที่ไหนไม่เคยแปลกที่เลยนะ ตรงไหนก็หลับ มันขยันเกิดเกินไป ตรงไหนก็บ้านเราหลับมันได้เรื่อย ในป่าในดงยังไงก็หลับ นอนในรอยเท้าช้างมันจะเหยียบหรือเปล่าก็ไม่รู้ก็หลับ
    ถาม : ยืนบนรถเมล์หลับ ?
    ตอบ : อันนี้ความสามารถสูงส่ง สมัยที่อยู่บ้านสายลมกว่าจะเลิกจากสายลมประมาณ ๔ ทุ่ม แล้วมันเหนื่อยมาทั้งวัน รับใช้หลวงพ่ออยู่ใกล้ ๆ กลางวันก็สอนกรรมฐานด้วยอะไรด้วย มันก็เพลีย รถเมล์สาย ๓๘ มันจะวิ่งไปโน่นสุขุมวิท เราจะลงซอยอ่อนนุช พอขึ้นสะพานพระโขนงปุ๊บจะถึงแล้ว ป้ายต่อไปเราได้ลงแน่ แสบตาเต็มทีกระพริบตาทีเหอะ พอกระพริบตาทีลืมขึ้นมาโน่นกรมอุตุบางนา (หัวเราะ) กระพริบตาทีเดียวจริง ๆ นะ ทำไมมันกระพริบนานแท้ก็ไม่รู้ ๆ ต้องนั่งรถย้อนกลับมาอีกเสียเวลานอนเป็นบ้า
    ถาม : คราวนี้เลยไม่ยอมกระพริบตา (หัวเราะ) บางทีทำไมทำบุญแล้วมันเกิดความรู้สึกเหมือนกับว่าโดนบังคับล่ะค่ะ ที่ทำงานนี่ตั้งแต่ย้ายไปตึกใหม่แล้วจะอยู่ใกล้ศาลพระภูมิ ศาลเจ้าที่กับพระพรหม มีความรู้สึกว่าอยากซื้อดอกไม้ พอวันจันทร์ก็จะซื้อดอกไม้ไหว้ท่าน พออีกจันทร์ถัดไปไม่ซื้อนี่รู้สึกผิดมากเลยเจอปุ๊บก็ต้องซื้อไปไหว้ท่าน อาทิตย์ถัดมาก็ยิ่งหนัก ๆ ขึ้น ความรู้สึกว่าทำไมเราไม่เก็บไว้หยอดกระปุก แล้วก็ทำบุญให้ท่านจะดูดีกว่าเยอะ แต่มันก็อดไม่ได้ถึงเวลาจะมีความรู้สึกผิดมาก ทำไมมันต้องมีความรู้สึกผิดอย่างนั้น ?
    ตอบ : ก็อยากรู้สึกเองนี่ อะไรที่มันเคยทำก็ทำไปสิ
    ถาม : มันไม่เคยทำ แต่ว่าอยู่ ๆ มันก็ทำไปหนหนึ่ง ก็รู้ตัวเลยว่าพอทำไปแล้วหนหนึ่งแล้วจะรู้เลย แบบว่าตายแล้วอาทิตย์หน้าต้องเป็นอีกแน่ ๆ เลย ?
    ตอบ : เสร็จแน่ ๆ ต่อไปก็บอกท่านว่าเดือนละครั้งนะ เอาเฉพาะวันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ ถ้าลืมแล้วเตือนด้วย

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ..............................
    ตอบ : วันก่อนคนงานของน้องเพชร น้ำมะพร้าว แก้วเบ้อเร่อ เนื้อมาด้วย น้ำเขายังไม่ให้ฉันเลย เนื้อมาด้วย รับหน้าตาเฉยเหมือนกันรับเสร็จแล้วก็ส่งคืน
    ถาม : แล้วเขาได้บุญมั้ยคะ ?
    ตอบ : ได้ เพราะว่าเขาตั้งใจทำบุญ เขาไม่รู้ว่าพระห้ามฉัน
    ถาม : ศีลแปด ตรงข้อ อะพรัมหมจะริยา ขอบเขตของตรงนั้นอยู่ที่ตรงไหนคะ อย่างเช่นว่า เราสมาทานศีลแปด แต่เรายังสามารถคิดถึงคนที่เรารักอยู่ ?
    ตอบ : คิดไปเหอะ คิดไม่ผิด คือถ้าหากว่าคิด ศีลมันไม่เป็นไร ถ้าหากว่าเรื่องของธรรมนี่ก็จะพร่องไปนิดหนึ่ง เพราะว่าถือเป็นมโนกรรม แต่ว่ากายกรรมกับวจีกรรมมันจะเป็นตัวที่ให้ศีลขาด จริง ๆ ศีลแปดตั้งแต่ข้อที่ ๖ ขึ้นมาถ้าผิดโทษทางธรรมไม่มี จะไม่มีโทษลักษณะที่ว่าต้องลงนรกลงอะไร แต่ว่าตัวธรรมะที่ควรจะได้มันจะมาช้าไปนิดหนึ่ง กินข้าวเย็นไม่ตกนรก แต่ว่ามันมัวแต่ไปหุงข้าวกินอยู่ มันก็เลยจากช่วงเวลาของปฏิบัติธรรม ขาดไปหน่อยหนึ่ง การแต่งตัว การดูหนัง ดูดนตรีอะไรก็ตาม ไม่ลงนรกหรอกถ้าไม่ไปติดมันจริง ๆ แต่ว่าตัวธรรมะที่ควรจะปฏิบัติมันก็มาช้า เพราะมัวแต่ไปเพลิดเพลินกับอย่างอื่นแทน
    ถาม : แต่ถ้าอย่างฟังเทปธรรมะ แบบว่าเป็นเพลงก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ฟังไปเถอะ ต่อให้เป็นเพลงจริง ๆ ก็ฟังได้ เราฟังแล้วเราพิจารณาด้วย เอาอย่างพระสารีบุตรท่านไง พระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรไปดูการละเล่นด้วยกันทุกวันตอนสมัยเป็นลูกชายเศรษฐีอยู่ ดูไปดูมาวันนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าจะมีประโยชน์อะไรที่เรามาดูเรื่องพวกนี้ คนทั้งหลายเหล่านี้ไม่ถึงร้อยปีมันก็ตายกันหมดแล้ว ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของคู่กัน มีมืดมีสว่าง มีร้อนมีหนาว คนเราถ้าจะตายก็ต้องมีที่ไม่ตาย คนมีปัญญาเขาคิดนะ ท่านก็เลยตกลงกันว่า เออ....เราไปแสวงหาธรรมะที่ทำให้ไม่ตายกันดีกว่า แล้วก็ทำปฏิญญาคือสัญญากันไว้ว่า ถ้าใครพบธรรมะที่เป็นอมตะนี้ก่อนก็ให้มาบอกกันด้วย
    ปรากฏว่าพระสารีบุตรพบก่อนคือพบพระอัสสชิ พระอัสสชิแค่เห็นปุ๊บก็รู้ว่าเป็นผู้มีปัญญามาก ท่านเห็นพระอัสสชิออกบิณฑบาต กิริยาท่าทางทุกอย่างเป็นผู้ที่สมบูรณ์ไปด้วยสติ ก็เลื่อมใสมากเดินตาม เดินตามอย่างเดียว ตามจริง ๆ เพราะรู้ว่าเป็นวาระที่ท่านออกบิณฑบาตเพื่อหาภัตตาหารไม่สมควรที่รบกวนท่าน รอจนกระทั่งท่านนั่งลงพร้อมจะฉัน แล้วก็เข้าไปกราบถามว่าพระคุณท่านเป็นศิษย์ของศาสดาองค์ใด ? ท่านก็บอกว่าเป็นสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอนแบบใดพระอัสสชิบอกว่าท่านเป็นพระใหม่พูดให้ฟังยาว ๆ ไม่ได้หรอก เอาแต่ใจความนิดหน่อยก็แล้วกัน พระสารีบุตรบอกนิดหน่อยก็เอา ท่านก็พูดที่ขึ้นด้วย เยธัมมา เหตุปัพพวา ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ตถาคตท่านตรัสถึงเหตุแห่งธรรมนั้นและความดับแห่งธรรมนั้น
    พระสารีบุตรฟังปุ๊บเป็นพระโสดาบันเลย เพราะรู้ตลอดแล้วว่าที่ตัวเองเห็นว่าคนทั้งหมดอายุไม่ถึงร้อยปีต้องตายหมดนั้นแหละ ท่านกราบถามว่าพระอัสสชิพักอยู่ที่ไหน พระพุทธเจ้าพักอยู่ที่ไหน ถามเสร็จเรียบร้อยก็ลาไปบอกพระโมคคัลลาน์ บอกพระโมคคัลลาน์เสร็จพระโมคคัลลาน์ได้ฟังธรรมนั้นก็เป็นพระโสดาบันด้วยกัน เลยชวนบริวารทั้งหมดตามไป
    คราวนี้บริวารท่านมีฝ่ายละสองร้อยห้าสิบรวมแล้วห้าร้อย ตอนแรกก่อนไปโดยมารยาทก็ไปกราบลาอาจารย์เก่าคือสัญชัยปริพาชกก่อน บอกว่าธรรมะที่อาจารย์สอนมานั่นผมศึกษามาจนหมด ตรองดูแล้วว่ามันยังไม่เข้าถึงความดีที่แท้จริง ตอนนี้ผมคาดว่าพบธรรมะที่เข้าถึงความดีที่แท้จริงแล้วเป็นของพระสมณโคดม ขอให้อาจารย์ไปหาพระสมณโคดม เพื่อฟังธรรมด้วยกัน
    ท่านอาจารย์สัญชัยก็อย่างว่านั่นแหละ อาจารย์ใหญ่มาก่อนลูกศิษย์ลูกหาเยอะ ลาภผลเยอะ สรรเสริญเยอะ ไม่อยากละทิ้งไป ก็ถามพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรที่ยังเป็นอุปติสสะมานพ กับโกลิตะมานพว่า ในโลกนี้คนโง่กับคนฉลาดอย่างไหนมากกว่ากัน พระสารีบุตรก็บอกว่าคนโง่ย่อมมีมากกว่า สัญชัยปริพาชกก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเธอที่เป็นคนฉลาดก็จงไปหาพระสมณโคดม เดี๋ยวคนโง่ก็มาหาเราเอง ประเภทดื้อจนวินาทีสุดท้าย พวกเดียวกันใช่มั้ย ? (หัวเราะ) เสร็จแล้วบริวารก็แบ่งออกเป็นสองส่วน คือครึ่งหนึ่งอยู่กับสัญชัยปริพาชก อีกครึ่งตามไป
    ทั้งสองไปกราบพระพุทธเจ้าเทศให้ฟังไม่บรรลุ คนอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไปฟังพระพุทธเจ้าครั้งเดียวบรรลุธรรมเป็นแถว ๆ สององค์นี้ฟังอยู่ไม่บรรลุกับใคร พระโมคคัลลาน์นั่งภาวนาเมื่อไหร่ก็ง่วงตาปิดเมื่อนั้นแหละ โงกแล้วโงกอีกจนพระพุทธเจ้าต้องบอกวิธีแก้ง่วงให้ ประเภทที่ว่าอะไรล้างหน้าใช่มั้ย จ้องดาว บิดคอ เดินจงกรมอะไรสารพัดวิธี บอกหมดบอกให้ทั้งนั้นปล้ำอยู่ ๗ วัน ถึงจะเป็นพระอรหันต์
    พระสารีบุตรหนักกว่านั้นอีกสิบกว่าวันแล้วก็ยังไม่ได้ซะทีหนึ่ง จนกระทั่งอะไร....พระพุทธเจ้าเทศน์โปรดทีฆนขมนพมั้ง ? ที่ถ้ำสูกรขาตา ท่านฟังแล้วก็ส่งจิตตามไปถึงเป็นพระอรหันต์ได้ คนก็ข้องใจมากว่าคนทั่ว ๆ ไป ทำไมบรรลุมรรคผลเร็ว แต่ว่าพระอัครสาวกทั้งสองถึงบรรลุได้ช้า ปรากฏว่าสองท่านฉลาดมากไป ในเมื่อฉลาดมากเกินไปก็ต้องไตร่ตรองให้ละเอียดลึกซึ้งจนกว่าจะยอมรับได้จริง ๆ ไม่มีที่คัดค้านแล้ว จิตถึงจะยอมลงว่าอันนี้ถูกต้องและยอมรับ ยอมว่าเชื่อถือว่าเป็นไปตามนั้น ก็เลยช้ากว่าเขานิดหนึ่ง เขาเปรียบเทียบให้ฟังว่า แบบว่างานเขาจัดงานด้วยกันเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่คนสำคัญเขาจะมาถึงทีหลังจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ ? ส่งบริวารล่วงหน้าไปก่อนคนใหญ่คนโตจริง ๆ ไปช้าหน่อยก็ได้
    ถาม : บางคนบอกว่าเวลาที่เราปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปเร่งมาก เพราะว่าก่อนที่เราจะมาเกิดเรารูว่าเราจะบรรลุตอนไหน ตรงไหนอะไรอย่างนี้ ก็คือเราเหมือนกับว่าพยายามที่จะทำใจให้สบาย ๆ แล้วก็เรื่อย ๆ หมายถึงว่าไม่ว่างเว้นที่จะคิดในการปฏิบัติธรรม แต่ว่าไม่ต้องไปรีบเร่ง ?
    ตอบ : นั่นยิ่งเร่งใหญ่เลย ไม่ว่างเว้นนี่แย่มากเลย จริง ๆ แล้วแนวการปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ ๔ อย่างด้วยกัน สุขา ปฏิปทา ขิปปา ภิญญา ปฏิบัติง่าย ๆ บรรลุก็เร็ว, ทุกขา ปฏิปทา ขิปปา ภิญญา ปฏิบัติยากแต่บรรลุเร็ว , สุขา ปฏิปทา ทันทา ภิญญา ปฏิบัติง่ายแต่บรรลุยาก, ทุกขาปฏิปทา ทันทา ภิญญา อันนี้แย่มากทีสุดปฏิบัติก็ลำบาก บรรลุก็ยากนะ ทั้งหมดมันจะไม่เกิน ๔ แนวนี้ คราวนี้ว่าถ้าหากว่าคิดอย่างนั้น มันเป็นการประมาทเกินไป เราทำไปเต็มกำลังเต็มความสามารถโดยสม่ำเสมอดีกว่า จะบรรลุตอนไหนช่างมันเรามีหน้าที่ทำ
    ถาม : ๔ กองนี่ครับ ถ้าเกิดถือศีลแปดแล้วข้อ ๖, ๗, ๘ นี่พร่องเล็กน้อย กับถือศีลห้าแล้วสมบูรณ์อย่างนี้ อันไหนกำไรกว่ากัน ?
    ตอบ : ศีลแปดกำไรกว่า เพราะบกพร่องเล็กน้อยก็จริง แต่ส่วนดีมีมากกว่า ศีลแปดคุมศีลห้าอยู่แล้วนี่ มากกว่าอยู่แล้ว จริง ๆ ศีลแปดมันเก้าข้อนะ นัจจะคีตะวากับมาลาคันธะ สองข้อนี่เขารวบเป็นข้อเดียวค่อย ๆ ทำไปเดี๋ยวความเคยชินมันก็จะทรงตัวไปได้เอง
    ถาม : ตรงข้อแปดน่ะค่ะ ที่อุจจาสะยะนะ เวลาที่เรานอน นอนเป็นที่นอนนุ่ม ถ้าอย่างเราปวดหลังล่ะคะ เรานอนกับพื้นธรรมดาแล้วเราปวดหลัง ?
    ตอบ : นอนไปเถอะ หนาซักศอกหนึ่งก็ได้ ที่นอนสูงที่นอนใหญ่ภายในยัดด้วยนุ่นและสำลีเขาหมายเอาว่า อรรถกถาท่านบอกคืบหนึ่ง คืบหนึ่งสมัยก่อนมัน ๑๒ นิ้ว เป็นฟุตเลยจริง ๆ แล้วที่ท่านห้ามเป็นเพราะท่านกลัวว่าจะติดสัมผัส คือว่าถึงเวลาแล้วจะติดเย็นติดร้อน อ่อนแข็งอะไรนั่น ไม่ได้มาก็ดิ้นรนต้องให้ได้มา จิตใจมันจะไปฟุ้งซ่านถึงตรงจุดนั้น ถ้าไม่ติดเรารู้อยู่ว่าร่างกายของมัน ๆ เจ็บมันป่วยอยู่ ไม่ใช่ข้ออ้างที่เราอ้างขึ้นมาเพื่อที่จะติดสุขตรงนั้น นอนไปเถอะ
    ถาม : อย่างนั้นเราก็สามารถอย่างเช่นว่า สมาทานศีลแปดตั้งแต่เช้าถึงเย็น แล้วเย็นเป็นคนที่ต้องทานข้าวทุกมื้อ แล้วก็ต้องทานข้าวเย็น ก็คือลา ๆ แล้วก็ทานข้าวได้ ?
    ตอบ : อ๋อ ! ไม่ต้องลาหรอก อนุญาตให้กินได้เลย
    ถาม : แล้วก็สมาทานศีล ?
    ตอบ : สมัยก่อนเคยเป็นอย่างนี้อยู่ช่วงหนึ่ง คือมาไล่ไปไล่มาเสร็จ เอ๊ ! ของเรามันศีลแปดชัด ๆ เพียงแต่มันเสียเวลาไปกินอยู่สิบนาทีแค่นั้นเอง เลยตัดสินใจไม่กินตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาว่าเลิกกินกัน ก็เป็นอันว่าจบ แม้แต่ประเภทที่ว่าวินาที สองวินาทีก็ได้ เพราะว่าอานุภาพของศีลแปดสูงกว่าศีลห้ามาก อานิสงส์มากกว่านะ รักษาขนาดนั้นของเรานี่มันยังไม่ละเท่ากับว่าเราขาดแค่แป๊บเดียว
    ถาม : ไม่ต้องลาใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : ไม่ต้องลาหรอก ถึงเวลาบ๊าย บาย ขออนุญาตกินแป๊บหนึ่งแล้วก็ไม่ต้องสมาทานใหม่หรอก เรารู้อยู่แล้วว่าเป็นยังไงก็งดเว้นต่อไป
    ถาม : ถ้าเราไม่ได้สมาทานแต่เผอิญ เราไม่ได้ตั้งใจแต่บังเอิญที่นอนที่บ้านก็ไม่หนา ข้าวก็กินแป๊บเดียว ทีวีเสียไม่ได้ดูอะไรแบบนี้ ?
    ตอบ : กุศลไม่มี
    ถาม : คะ ....ผลไม่มี ?
    ตอบ : ขาดเจตนาคือตัวตั้งใจ ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจละผลบุญไม่มี
    ถาม : ถึงแม้มันจะตรงตามนั้นก็ตาม ?
    ตอบ : ก็ท่านบอกแล้ว เจตนาหังภิกขเว ปุญญังวทามิ ต้องเจตนาคือตั้งใจถึงจะเป็นบุญ
    ถาม : ถ้าตั้งใจละ คือปวดท้องมันหิว ?
    ตอบ : อันนั้นก็ไม่เป็นไร แค่แหว่ง ๆ หน่อยหนึ่ง จริง ๆ แล้วสิ่งที่ท่านอนุญาตให้กินได้ ให้ฉันได้มันก็เยอะแยะไป เพียงแต่ว่ามันคิดที่จะกินข้าวท่าเดียว
    ถาม : แล้วอย่างบางคนไม่กินข้าวแต่กินนมเยอะ ๆ ?
    ตอบ : ท่านให้รู้จักประมาณในการกิน มันมีอยู่คณะหนึ่ง รู้สึกว่าจะเป็นลูกศิษย์อาจารย์โอ๋มั้ง ? อาจารย์โอ๋ บุปผชาติ พงษ์ประดิษฐ์ เจ้านั่นรักษาศีลแปด กำหนดเอาว่าเวลากินข้าวของมันมื้อสุดท้ายคือบ่ายสอง ตั้งแต่เช้ายันบ่ายสองมันฟาดไปสิบกว่าหน ถ้าอย่างนั้นคุณรักษาศีลห้าดีกว่า ไม่เปลืองมาก ท่านให้มีโภชเน มัตตัญญุตา คือรู้จักประมาณในการกิน ตัวโทษของการกินอาหารเย็น มันลำบากอยู่อย่างหนึ่งคือว่าพอถึงเวลาแล้ว เลือดทั้งหมดมันจะวิ่งลงไปที่กระเพาะเพื่อไปย่อยอาหาร แล้วโบราณท่านให้ใช้คำว่าไฟธาตุ มันพร้อมที่จะสันดาปเพื่อเผาผลาญอาหารตอนที่เลือดมันวิ่งลงไปที่กระเพาะ สมองจะมึนเพราะมันเลี้ยงอยู่น้อย จะหลับท่าเดียว มันจะทำให้การภาวนาการอะไรทุกอย่างไม่ได้อย่างที่เราต้องการ
    เพราะว่าร่างกายอยู่ในสภาพที่หนักไปด้วยอาหาร ในเมื่อหนักไปด้วยอาหารการภาวนาการอะไรมันก็ไม่คล่องตัว เลือดลมก็ไม่ปลอดโปร่ง จะทำให้เสียผลตรงนี้ แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไปถ้าหากว่าไม่สามารถที่จะงดเว้นได้จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลห้าก็ไปนิพพานได้
    ถาม : ตรงที่ว่า มหาผลที่ทานได้ตั้งแต่ไม่ให้ใหญ่กว่ามหาผล ?
    ตอบ : อันนั้นของพระ
    ถาม : แล้วอย่างฆราวาสต้องระดับไหนคะ ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าฆราวาสเองจะต้องรักษาแบบพระด้วยก็งดเว้นพวก แตงโม, ส้มโอ, สับปะรด, มะพร้าว เหล่านั้นลองดู ท่านบอกว่าโตประมาณผลมะตูมก็คงประมาณกำปั้น ถ้าโตกว่ากำปั้นก็อย่าไปยุ่งกับมัน แต่นี่หมายถึงคั้นน้ำนะ ไม่ใช่ว่าประเภทที่ว่าโตกว่ากำปั้นตูก็ไม่กินอย่างนี้ ก่อนเพลก็ฟาดไปเถอะ หลังเพลแล้วคั้นน้ำอย่าไปทำตรงจุดนั้น
    จริง ๆ แล้วตรงนี้มีพระจำนวนมากก็สงสัยว่าพระพุทธเจ้าห้ามทำไม ? มาตอนหลังฝรั่งเขาวิจัยเรียบร้อยแล้ว บรรดามหาผลทั้งหมดฮอร์โมนเยอะมาก ประเภทที่เรียกว่าถ้าหากว่าเรากินลงไปร่างกายฮอร์โมนมาก ๆ นี่มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน เพราะว่าแรงขับดันมันอาจมากเกินกว่าที่จิตใจเราจะควบคุมไว้ได้
    ถาม : แล้วน้ำผักยูนิฟ กินได้มั้ยคะ ?
    ตอบ : ยูนิฟ.....นั่นมันแทบจะประเภทที่เรียกว่าน้ำล้วน ๆ แล้ว แต่ถ้าพระต้องระวัง เคยเห็นเขามีส่วนผสมพวกสับปะรด ฟักทอง อย่างนั้น พระฉันไม่ได้
    ถาม : น้ำผักนี่ถือว่าผิดศีลมั้ย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าจะว่าไปแล้วสิ่งทีพระพุทธเจ้าท่านห้ามนี่มันก็อยู่ที่เราว่าเราเห็นว่ามันเหมาะมันควรกับตัวเองแค่ไหน โดยยึดหลักโภชเนมัตตัญญุตา อย่างเช่นว่า สิ่งที่ท่านอนุญาตให้ฉันเป็นยาได้ ท่านบอกว่า ตถาคตอนุญาตสมอไทย, สมอพิเภก, ดีปลี, พิลังกาสา หรือผลไม้อื่นอันอาจจะมี มันก็เวรกรรม คนไหนมันกินทุเรียนรักษาโรคได้มันก็ฟาดอิ่มอยู่คนเดียว
    เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่เราเหมือนกัน อยู่ที่เราว่าเราจะโกหกตัวเองมั้ย ? ถ้าเรารู้สึกว่าเรากินเพราะอยากนี่รีบเบรกเอาไว้เลย แต่ถ้าหากว่ากินเพื่อยังร่างกายให้อยู่ได้เท่านั้นตามแบบที่พระพิจารณา เราจะไม่กินเพื่อความอ้วนพีของร่างกายจะไม่กินเพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ ไม่กินเพื่อยังกิเลสให้เกิดขึ้น จะกินเพื่อรักษาร่างกายนี้ไว้เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น รักษาร่างกายนี่ ๒ มือมันก็เยอะแล้ว อย่าลืมว่าพระที่ท่านฉันมื้อเดียวก็เยอะแยะไปใช่มั้ย
    ถาม : อย่างตั้งใจรักษาศีลนี่ครับ ตั้งเจตนาครั้งเดียวตอนเช้าหรือว่าต้องตั้งใจรักษาตลอด ?
    ตอบ : คือว่าการรักษาศีลนี่ความรู้สึกของเรา ถ้าจะเอาสมบูรณ์จริง ๆ เรียกง่าย ๆ ว่าแค่ขยับเราก็รู้เลยว่าศีลจะขาดมั้ย ? บกพร่องมั้ย ? ความตั้งใจงดเว้นนี่ ตั้งใจแค่ครั้งแรกก็พออาจจะเป็นสิบปีที่แล้วก็ได้ แต่ว่าให้มันทำต่อเนื่องกันมา
    ถาม : แต่ว่าถ้าเกิดตั้งใจไว้ตอนเช้า แล้วระหว่างวันลืมไปบ้างอย่างนี้มันจะเกิดผลมั้ยครับ ?
    ตอบ : ก็ลืมไปบ้างถ้าหากว่าศีลไม่ขาดไม่เป็นไร
    ถาม : แล้วถือว่าได้อานิสงส์ ?
    ตอบ : ได้อยู่ แค่เผลอสิตลืมนึกถึง
    ถาม : การทรงฌานได้นี่ช่วยระงับความกลัวด้วยได้ใช่มั้ย ?
    ตอบ : ได้จ้ะ
    ถาม : ความโลภ ความกลัวได้หมด ?
    ตอบ : แต่ว่ามันได้ไม่หมด อย่างตอนผีหลอกทั้ง ๆ ทรงฌานอยู่มันก็ยังรู้สึกกลัว ๆ อยู่ จริง ๆ แล้วมันไม่ได้กลัวผีหรอกมันกลัวตายมากกว่า ผีหลอกมันจะมาทำอะไรล่ะ ? มันจะมาบีบคอเรา บีบคอแล้วเป็นไงตายแหงใช่มั้ย ? สรุปแล้วมันคือกลัวตายมันไม่ได้กลัวผีหรอก
    ถาม : จำความรู้สึกตัวเองได้เหมือนกันว่าในการกลัวแปลกที่กลัวผีมันบอกไม่ถูก บอกว่ากลัวตายไม่ใช่ ?
    ตอบ : กลัวตาย เชื่อเถอะ ให้เขาพิจารณาดูใจตัวเองจริง ๆ อันนี้ไม่ต้องเถียงอาตมาเลยแหละ ตามดูมาหลายปี ไล่ดูจนกระทั่งรู้เลยว่า ที่กลัวทั้งหมด ไม่ว่ากลัวอะไรก็ตามมันเกิดจากการกลัวตายตัวเดียว ถ้าไม่กลัวตายซะอย่าง ตัวอื่นมันไม่กลัวหรอก
    ถาม : กลัวทรมาน ?
    ตอบ : ทรมานแล้วเป็นไง ? ทรมานแล้วตายใช่มั้ย ? มันก็ลงตรงตายนั่นแหละไล่ไปเหอะ
    ถาม : แต่บางทีเราก็รู้สึกเหมือนกัน ถ้าเราตายแบบสบาย ๆ เราไม่กลัวเรากลัวเจ็บ ?
    ตอบ : เจ็บแล้วเป็นไง ? เจ็บมาก ๆ มันจะตาย
    ถาม : แลัวทรมานไง แบบกินยาแล้วเราหลับอย่างนี้ ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปเลี้ยวหรอก เชื่อเหอะอาตมาตามดูมันมานานแล้ว
    ถาม : นี่เฉพาะกรณีนั้น ?
    ตอบ : ไม่ใช่เฉพาะหรอก ทุกคนต้องเป็นเหมือนกันหมด ถ้าขึ้นชื่อว่ากลัวนะ สรุปฟันธงไปได้เลยว่ากลัวตายแน่นอน

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : บุคคลที่รู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกขัง คือว่าเราฟังธรรมะ รู้หัวข้อธรรมต่าง ๆ การปฏิบัติจะต้องมีสติระลึกรู้ในสิ่งต่าง ๆ คราวนี้สมมติว่าเรารู้แล้ว แต่ว่ากำลังใจที่ละในสิ่งต่าง ๆ มันไม่สูงเพียงพอ ?
    ตอบ : มันยังแค่จำได้
    ถาม : มันจะรู้สึกมั้ยว่า ตัวเองถูกขังไว้ไม่สามารถที่จะออกไปในสิ่งต่าง ๆ ไม่พ้นจากสิ่งต่าง ๆ นั้นไปได้ มันยิ่งทรมานยิ่งกว่าผู้ที่ไม่รู้ ?
    ตอบ : ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ประเภทน้ำชาล้นถ้วยไง คุณด็อกเตอร์เขาไปหาอาจารย์เซ็น อาจารย์เซ็นก็รินน้ำชาให้ รินไปเรื่อย ๆ ๆ ล้นแล้วครับ ล้นแล้วครับ เอ....ก็รู้อยู่มันก็เหมือนกับคุณนั่นแหละ
    ถาม : คราวนี้เขารู้แล้ว เขาก็รู้ด้วยว่ามันเป็นอยู่ เขาทุกข์ทรมานแต่เป็นเพราะเหตุใดเขาถึงยังไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้นไปได้ ?
    ตอบ : เขาไม่ยอมทิ้งในสิ่งที่เขายึดอยู่ ถ้าหากว่าเขาทิ้งทั้งหมดที่เขารู้มาโดยที่ไม่มีมานะทิฐิ ตัวถือตัวถือตนอยู่ว่าเขารู้มาแล้ว ยอมรับฟังแล้วก็ตั้งใจคล้อยตามในตัวธรรมะนั้น ๆ เขาก็จะได้ไปเลย แต่ว่าส่วนใหญ่ที่เขาโดนขังอยู่เป็นเพราะเขาไปยึดเอง เขาจะลากมันออกจากกรงมันไม่ยอม มันเกาะซี่กรงอยู่นั่นแหละ
    ถาม : ที่ผมถามก็คือ ผมก็มีอารมณ์อย่างนี้อยู่เหมือนกัน อยากทราบว่าทุกคนนี่มีอารมณ์อยู่ตรงนี้มั้ย ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น เคยอ่านกำลังภายในอยู่เรื่องหนึ่ง อาจารย์เขาพาพระเอกเข้าไปในห้องตำรา ชี้ให้ดูหนังสือกองท่วมหัวเลย ทั้งหมดนี่ใช้เวลาอ่านนานเท่าไหร่ ? พระเอกมองซ้ายมองขวาเสร็จ อ่านแล้วต้องจำหรือเปล่าครับ ? ต้องจำให้ได้ทั้งหมดด้วย มองเสร็จเรียบร้อยก็บอกประมาณปีครึ่งอ่านหมดจำได้ด้วยนะ ไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนตัวอักษรแล้วถ้าต้องลืมหมดล่ะ ? พระเอกนั่งคำนวณอยู่พัก น่าจะถึง ๓ ปีครับ ตกลงว่าไอ้เวลาลืมมันนานกว่าเวลาจำอีก แล้วเขาก็ถามว่าทำไมต้องลืมด้วย ? ปัญหาเดียวของคุณนั่นล่ะ ถ้าไม่ลืมมันจะไม่เข้าถึงแก่นแท้
    ถาม : อย่างนี้บุคคลที่ชอบมีปัญหาเยอะ มักถามที่มันไม่ค่อยจะเกี่ยวกับการปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกี่ยวแล้วมันมีหลายสายหลายทางทำให้เขาปฏิบัติได้ยากยิ่งขึ้น ?
    ตอบ : ยิ่งรู้มากก็ยิ่งยากขึ้น แบบเดียวกับมโนมยิทธิ ถ้าทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย ๆ คล้อยตามไปครั้งเดียวก็ได้แล้ว ประมาณสิบกว่านาทีก็ได้ ถ้าประเภทรู้มากถึงเวลาแล้วต้องตอบอย่างนี้ ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วต้องบอกอย่างนี้ มัวแต่ไปยึดถือของเดิมอยู่ก็เจ๊งไม่เป็นท่า มันกอดต้นเสาอยู่ แล้วมันก็บอกว่ามันจะไปเชียงใหม่ เมื่อไหร่มันจะถึง
    ถาม : แล้วบุคคลที่เขาสร้างกำลังใจน่ะครับ ตอนนี้เราจะสร้างกำลังใจ สมมติเรามีสติที่จะรู้ในสิ่งต่าง ๆ คราวนี้พอเรามีสติแล้ว เราจะทำกำลังใจเพื่อที่จะทำในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้สำเร็จในสิ่งต่าง ๆ ?
    ตอบ : กำลังใจมันก็ต้องกำลังกายด้วยก็ต้องใช้ตัวภาวนาเป็นหลัก ยิ่งอารมณ์ทรงเป็นฌานได้มากเท่าไหร่ ความเข้มแข็งของกำลังใจก็จะมีเท่านั้น ถ้าหากว่าความเข้มแข็งของอารมณ์ใจคือทรงฌานได้ทรงตัว ไฟของเรามันก็จะสม่ำเสมอ มันไม่ใช่ไฟไหม้ฟางวูบเดียวหมด เพราะฉะนั้นก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาภาวนาเลย กำลังใจมันจะทรงตัวมากเท่าไหร่ มันก็จะหนักแน่นมั่นคงต่อกิจที่เราทำมากเท่านั้น
    ถาม : นี่หมายถึงทุกกิจเลยใช่มั้ยครับ ?
    ตอบ : ทุกอย่างเลย รวมทั้งทางปฏิบัติด้วยรวมทั้งทางโลกด้วย
    ตอบ : อย่างความหวาดกลัว ถ้าเกิดทรงฌานแล้วยังมีความหวาดกลัวอยู่ แต่ว่า....?
    ถาม : อันนี้กลัวตายแน่ ๆ อาตมายืนยัน เพราะเจอมาเองแล้ว
    ตอบ : แล้วถ้าเกิดว่า ผู้ที่บรรลุธรรมอย่างนี้จะมีความกลัว ?
    ถาม : ถ้าหากว่าบรรลุธรรม ก็ต้องถามว่าบรรลุขั้นไหน ถ้าเป็นพระอรหันต์นี่ไม่กลัวแน่นอน ถ้าต่ำกว่านั้นยังมีความกลัวอยู่
    ตอบ : ถ้าอย่างนี้หายกลัวแมลงสาบ ?
    ถาม : (หัวเราะ) หายกลัวแมลงสาบเหรอกินมันซะ เห็นโทรทัศน์มันฉายให้ดูมันใส่ปากเคี้ยวเลย
    ตอบ : ถ้าคนที่เขาไม่ปฏิบัติตามอะไรแบบนี้ เป็นคนบ้าบิ่นไม่กลัวอะไรคนพวกนี้เป็นเพราะว่าเขามีฌานอยู่แล้ว
    ตอบ : ไม่แน่เหมือนกันว่า ชาติก่อนเขาอาจจะทำได้ซะจนเหลือเกินแล้ว ชาตินี้มันลืมไปแป๊บเดียว
    ถาม : แล้วอารมณ์เก่าไม่ลืมใช่มั้ยคะ ?
    ตอบ : อยู่....ถึงเวลางมเจอเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ระวังนะนั่งคุยคนเดียวเขาจะว่าบ้า
    ถาม : แล้วอย่างนี้เวลาที่เราภาวนา กับเวลาที่เราสัมผัส ....(ไม่ชัด)....?
    ตอบ : สวดมนต์ก็คือการภาวนา ให้เราตั้งสมาธิเอาไว้ตรงหน้าเลย ตั้งใจว่าทั้งหมดที่เราสวดมนต์เราถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา สิ่งที่เราทำนี่ตั้งความปรารถนาที่เดียวคือพระนิพพาน เอาจิตเกาะนิพพานไว้ข้างบนก็ได้ ตั้งใจไปกราบเอาแทบเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้างบน สวดถวายท่านบนนั้นเลย ตายตรงนั้นก็ไปนิพพานเดี๋ยวนั้นเลย ดีกว่าจะมานั่งภาวนาอยู่ตั้งนานเนกาเล
    ถ้าจะซ้อมตัวมโนมยิทธิด้วยก็ตั้งใจนึกไป สวดภาวนาอิติปิ โส ภะคะวา ก็ให้ตัวหนังสือขึ้นมาเป็นตัว ๆ ไปเลย เห็นตัวหนังสือชัดเท่าไหร่ ทิพจักขุญาณก็ชัดเท่านั้น มันอยู่ที่ว่าเราทำเป็นมั้ย ? ถ้าเขาถามว่าสวดมนต์ได้อะไร ? บอกไม่ถูกมันได้ตั้งแต่เบื้องล่างเล็ก ๆ ขึ้นไปยังนิพพานเลย แล้วแต่ว่าเราทำถูกมั้ย ? ทำเป็นมั้ย ? บางคนก็บอกว่าสวดมนต์มันไม่ได้อะไร ลองสวดอย่างที่ว่าดูสิ ดีไม่ดีก็ไปนิพพานเอาดื้อ ๆ อย่างนั้น เอ๊ะ ! ทำไมอยากจะกลับแล้วมันไม่กลับวะ (หัวเราะ) ไอ้ข้างล่างมันตายไปแล้ว
    ถาม : การสวดมนต์อย่างนี้ครับ บางทีเราทำไปถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่าควรจะทำใหม่เป็นประจำทั้งเช้าและเย็นแต่ก็ยังขี้เกียจอยู่ ก็ยังรู้สึกผิดเล็ก ๆ ว่าไม่ได้ทำ ?
    ตอบ : อ้อ ! อย่างงั้น กิเลสมันยังชนะอยู่ ถ้าหากว่าทำตามที่ตัวเองว่าป่านนี้มันทรงฌานไปแล้ว เพราะว่าความรู้สึกที่ว่าถึงเวลาไม่ได้ทำแล้วมันรู้สึกผิดหรือว่ารู้สึกว่ามันยังไม่ได้ทำกิจที่เราควรจะทำ อย่างนั้นเขาเรียกว่าทรงฌานคืออยู่ในอารมณ์ที่เคยชิน ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งภาวนาก็เป็น
    ถาม : แล้วเวลานอนสวดกับนั่งสวด ?
    ตอบ : ตีลังกาสวดก็ได้ มันสำคัญอยู่ตรงรักษาอารมณ์ใจ ถ้ารักษาอารมณ์ใจได้เท่ากันอานิสงส์ก็เท่ากัน ยกเว้นว่า นอนสวด อิติปิโส ไม่ทันจะ ภะคะวา ก็ไปซะแล้ว
    ถาม : อย่างนี้ให้ผลเท่ากันมั้ยครับ ?
    ตอบ : ก็ดูสิ เขาดูกำลังใจตรงสูงสุด นายบัญชีเขาจะจดตอนกำลังใจสูงสุด กำลังใจยังไงเรียกว่าสูงสุด ก็เกาะพระนิพพานไปเลยง่ายดี
    ถาม : .................................
    ตอบ : ทำไงจะเห็นได้บ้าง ? ตั้งใจอันดับแรกขอขมาพระก่อน เพราะว่าการที่เราไปจับไปทดลองลักษณะนั้น เป็นการปรามาสพระรัตนตรัย คือเราไม่เชื่อมันเราถึงไปลอง
    เพราะฉะนั้นขอขมาก่อน แล้วตั้งใจขอบารมีท่านให้สงเคราะห์ว่า พุทธานุภาพ ที่บรรจุอยู่ในองค์พระนี้ จะเป็นไปในลักษณะไหนขอให้โปรดให้แสดงออกให้ทราบด้วย แล้วก็เอาพระกำไว้ในมือเบา ๆ ก็ได้สบาย ๆ ทำตัวเหมือนยังกับว่าง ๆ เปล่า ๆ เหมือนกระดาษขาว ๆ ใบหนึ่งตั้งใจภาวนาว่า สุนักขัตตัง สุมังคะลังไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวอาการมันออกเอง ถ้าดิ้นไม่รู้จักเลิกก็รีบปล่อยพระนะเดี๋ยวเหนื่อยตาย
    สุนักขัตตัง สุมังคะลัง มันเป็นวิธีสร้างสมาธิที่ดีอย่างหนึ่งเหมือนกัน สมัยก่อนหลวงพ่อท่านเคยบอกให้ ท่านจะบอกวิธีหลาย ๆ อย่างด้วยกันในการทดสอบพลังงานของพระ แต่ว่าต้องขอขมาพระก่อนท่านบอกว่ากำลังใจเหล่านี้มันเป็นเบื้องต้นของอภิญญา ถ้าเราทำจนชินแล้วจะไปฝึกสมาธิเพื่ออภิญญาเพื่อฌานสมาบัติอะไรมันจะได้ง่าย
    ถาม : แล้วอย่างนี้เราจะรู้ได้ไงครับว่าหลวงพ่อองค์ไหนเป็นอย่างไร ?
    ตอบ : อาการที่แสดงออกจะบอกเอง ประเภทที่ดิ้นตึง ๆ ๆ ๆ ส่วนใหญ่จะออกไปในทางประเภทอยู่ยงคงกระพัน พวกนั้นจะตีกับชาวบ้านเขาท่าเดียว บางอันอย่างสมเด็จวัดระฆัง ดึงตัวพุ่งขึ้นข้างบนไปเลย ลักษณะถ้าหากว่าอย่างนี้ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้วก็ขอให้พระท่านช่วยนี่กำลังใจจะทรงตัวได้เร็วมาก เพราะว่าเจตนาจะทำเพื่อให้สงเคราะห์กับคนปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้า
    ถ้าหากว่าของหลวงปุ่บุดดานี่ ลักษณะจะออกไปทางเมตตาสูงมาก เพราะว่ามือไม้ไปหมด เราเอาพระพนมไว้ในมือ ๆ มันไปอย่างนี้ นิ่มมากเลยนิ่มจริง ๆ ดูแล้วสวยดี เพราะฉะนั้นเราจะดูอาการก็รู้ว่าพระองค์นั้นจะมีอานุภาพไปทางด้านไหน ลอง ๆ ดูได้แต่ถ้ามันเหนื่อยทนไม่ไหวก็เอาพระออก ถ้าไม่เอาออกก็ดิ้นอยู่นั่นแหละ ถ้าตอนนั้นกำลังใจมันจะเปิดรับนะ
    แต่ว่าหลังจากนั้นที่ทำไประยะหนึ่งเราจะเคยชินกับอารมณ์ใจตรงจุดนั้น คราวนี้มันจะแย่ตรงที่ว่า แค่นึกมันก็ดิ้นแล้ว ไม่ต้องมีอะไรหรอก แค่นึกมันก็ดิ้นแล้ว เพราะมันกลายเป็นว่าเราสามารถรับพลังงานได้แล้ว
    ตอนสมัยก่อนที่หลวงพ่อท่านสอนก็สามารถที่จะจับได้ ตอนระยะหลัง ๆ นี่ทำไม่ได้แล้ว เพราะว่าหลังจากที่เลิกทำมาเนื่องจากว่าไม่ว่าจะเป็นรูปพระที่จะเป็นเศษกระดาษเป็นอะไรก็ตามพอเราจับเข้ามาปุ๊บความรู้สึกของเราก็จะบอกก่อนเลยว่านี่เป็นรูปพระพุทธเจ้า ความเคารพที่เต็มเข้ามาในใจของเรา ภาพนั้นจะกลายเป็นของขลังที่ใช้ได้ไปเลย จะมีพลังงานที่ใช้ได้ทันทีเดี๋ยวนั้นเลย เพราะฉะนั้นไม่สามารถจะจับอะไรได้อีก หยิบอะไรขึ้นมาก็ใช้ได้หมดแล้ว ทดสอบเขาไม่ได้แล้ว ลอง ๆ ทำดูสนุกดีเหมือนกัน แต่อย่าไปทำเพื่อสนุกนะ ทำเพื่อการศึกษาเพราะอยากรู้จริงและทำแล้วต้องขอขมาพระทุกครั้งด้วย
    ถาม : แต่อย่างเห็นแสงนี่คือ ..............?
    ตอบ : ก็แล้วแต่ ถ้าหากว่าเห็นแสงก็ไปแยกแยะอีกสีเขียว สีแดงก็จะออกไปทางอิทธิฤทธิ์ สีเหลืองก็เมตตา เขาจะมีของเขาอยู่ไปสอบถามคนที่เขารู้เคยทำแล้วกัน
    ถาม : พี่ชายถาม บอกว่าทำยังไงจะต้องทำยังไงถึงจะเห็นแสง ?
    ตอบ : อย่างน้อย ๆ ก็ต้องภาวนาไประยะหนึ่ง คือมันต้องมีสมาธิด้วย ตัวเห็นแสงนี่มันแค่อุปจารสมาธิ เท่านั้นแหละ แต่สำหรับคนไม่เคยทำอุปจารสมาธิเราก็รู้สึกว่ามันเต็มกลืนแล้ว อันนั้นบอกเขาบอกพยายามภาวนาหน่อย ดีเหมือนกันเผื่อจะเลี้ยวเข้ามาทั้งตัวเลย
    ถาม : อยากถามว่าทำอะไรดี ?
    ตอบ : ขายยาบ้า (หัวเราะ) รวยง่ายที่สุดเลย ระยะนี้ถ้าหากว่าใครมีงานประจำก็ค่อยยังชั่วหน่อย ถ้าหากว่าเป็นกิจการส่วนตัวนี่จะลำบาก เพราะสภาพเศรฐกิจมันผันผวนเอาอะไรแน่นอนไม่ได้ แล้วก็อย่าลืมว่าปีหน้ามันหนักกว่านี้ ปีหน้าเศรษฐกิจมันยังกับกราฟหัวใจขึ้นปุ๊ด ๆ ๆ แล้วก็ลง ช่วงจังหวะที่เราคิดว่าจะดีมันก็ร่วงซะแล้ว ตอนที่คิดว่าไม่ดี ๆ อยู่ ๆ มันก็พุ่งขึ้นเฉยเลย
    ฉะนั้นปีหน้าสภาพมันจะผันผวนมาก แล้วพอใกล้ ๆ กลางปีปลายไตรมาสที่สองเป็นต้นไป สภาวะสงครามมันจะขยายตัวขึ้น ปลาย ๆ ปีก็พวกกูพวกมึงตีกันให้ยุ่งแล้ว ไม่ต้องวิตกนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกฝันเฟื่องเรื่องโกหกหลอกเขาไปวัน ๆ ถ้ามันตรงก็ถือว่าฟลุ๊คเราคิดว่าเรามีวันนี้แค่วันเดียวนะ เราอาจจะไม่พ้นวันนี้ก็ตายลงไปก่อนก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้ามันตายลงไปวันนี้เราก็ขอไปนิพพานดีกว่า ภาวนาจับภาพพระไปเลย เรื่องปีหน้ามันอีกตั้งนานอยู่ไม่ถึงหรอกตายก่อนแน่ ๆ เลย
    ถาม : แล้วอย่างพวกที่เป็นตุ๊ดเป็นเกย์นี่เขาอยู่ด้วยกันจะเป็นบาปมั้ย ?
    ตอบ : ถ้าหากว่าพ่อแม่อนุญาตไม่เป็นไร ผู้ปกครองอนุญาตไม่เป็นไรเพราะว่าจริง ๆ แล้วมันก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของเขา
    ถาม : .....................ก็คือกว่าจะได้ ต้องเริ่มจากการนั่งสมาธิ ?
    ตอบ : พื้นฐานใหญ่คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ๓ ตัวรวมกันทีพระพุทธเจ้าท่านเรียกว่ามรรคแปด แต่ว่ามันจะมาเข้มข้นตรงที่ว่าพอเรารักษา ศีลบริสุทธิ์นี่เราตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ สมาธิจะทรงตัวได้ดี ยิ่งได้สมาธิสูงเท่าไหร่เรื่องฤทธิ์เรื่องอภิญญาก็ยิ่งเป็นเรื่องง่ายเท่านั้น

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม : ที่ท่านสร้างนิกายนี่ถือว่าเป็นสังฆเภทมั้ยครับ ?
    ตอบ : ต้องดูเจตนาของท่าน สมัยนั้นนี่องค์การสงฆ์นี่มันเละจริง ๆ ขนาดระดับพระผู้ใหญ่ชนิดที่เรียกว่าระดับเจ้าคุณระดับสมเด็จโดนจับปาราชิกเข้า สังฆราชโดนจับสึกอย่างนี้ เคยอ่านประวัติศาสตร์ช่วงนั้นมั้ย ?
    คราวนี้ท่านทนไม่ไหว ในเมื่อท่านทนไม่ไหวท่านก็ประเภทที่ว่าทำอย่างไรจะหาพระที่มีศีลาจารวัตรเป็นที่งดงามเป็นที่เชื่อถือของชาวบ้าน เพื่อที่ชาวบ้านจะได้ศรัทธาพระศาสนาใหม่ ก็ไปเจอว่าพระมอญยังเคร่งครัดอยู่ ก็เลยดึงเอาการปฏิบัติแบบพระมอญเข้ามาก็เลยกลายเป็นธรรมยุติกนิกายขึ้นมา ถ้าหากว่าดูเจตนาแล้วของท่านก็ไม่ได้เจตนาที่จะทำให้เป็นสังฆเภท ส่วนตายแล้วไปไหนอันนี้ต้องใช้ความสามารถเอง
    ถาม : แล้วทีนี้ก็ลองใช้ปัญญาของตัวเองลองเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ตาม....(ไม่ชัด).....?
    ตอบ : พอเลยเรื่องนี้เลิกพูดได้เลย ตราบใดที่เราเข้าไม่ถึงพระนิพพานจริง ๆ พูดไปเมื่อไหร่ก็ผิดต่อให้เข้าถึงจริง ๆ พูดแล้วก็ยังผิด เพราะว่าสภาวะความเป็นทิพย์ไม่ต้องนิพพานหรอกแค่เทวดาพรหมก็แย่แล้ว สิ่งที่เราเห็น ภาษามนุษย์หรือภาษาหนังสือมันหยาบเกินไปที่จะอธิบายได้
    สมมติว่าเราไปเที่ยววัดพระแก้วแล้ว เสร็จแล้วเราก็ไปบอกคนไม่เคยไปว่าวัดพระแก้วสวย ๆ ๆ สวยยังไงอธิบายให้เขาฟังได้มั้ย ? มันก็ได้สวยแค่คำเดียวใช่มั้ย ? เออ....ภาษามนุษย์มันหยาบเกินไป ภาษาเขียนก็หยาบเกินไป แต่เรื่องของธรรมะพอปฏิบัติไปถึงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่าปัจจัตตัง คือผู้ที่ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง การรู้เห็นทางใจนี่มันจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนจนกระทั่งอธิบายเป็นคำพูดได้ยาก
    เท่าที่พบ ๆ มาก็คือหลวงพ่อท่านอธิบายธรรมะจากยากให้เป็นง่ายได้ดีที่สุด แต่ว่าถึงท่านทำได้ดีขนาดนั้นแล้ว ขอยืนยันว่ามันไม่ได้หนึ่งในร้อยของความเป็นจริง ท่านบอกว่าถ้าหากว่าเราจะเข้าถึงการทรงฌานพอถึงสุขมันจะสุขเยือกเย็นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน นึกออกมั้ยเป็นยังไงถ้าเราไม่เจอเอง ภาษามนุษย์มันหยาบเกินไป
    ถาม : อย่างนี้ต้องไปอธิบายคืน ?
    ตอบ : ไม่ต้องไปอธิบายคืนหรอก เถียงกันไปก็ยิ่งผิด เลิกเถียงซะมันก็ผิดน้อยหน่อย หลวงพ่อท่านเคยว่าเป็นกลอนไว้ว่าพระนิพพานมีสภาพอย่างนี้
    รูปสดับสุรศัพท์พร้อม คำขาน
    พอกล่าวว่าพระนิพพาน สุขแท้
    เป็นศิวาลัยสถาน เลอเลิศ
    หายากหากเปรียบแม้ ว่าด้าว แดนใด
    รูป เสียงท่านใช้คำว่าพร้อม รูปสดับสุรศัพท์พร้อม คำขาน พอกล่าวว่าพระนิพพาน สุขแท้ สัมผัสได้ทุกอย่างเพียงแต่ว่ามันเป็นทิพย์พิเศษที่ต่างหากออกไป
    ถาม : เคยไปอ่านในพระไตรปิฎก......(ไม่ชัด)......
    ตอบ : ก็ไม่มี ขณะเดียวกันท่านก็ไม่ได้ยืนยันไว้ แบบเดียวกับกรรมบถ ๑๐ กรรมบถ ๑๐ ไม่มีข้อห้ามเรื่องสุรา แต่กรรมบถ ๑๐ นี่จรงิ ๆ แล้วเป็นคุณสมบัติของพระสกิทาคามี บุคคลที่ทรงความดีขนาดนั้นย่อมรู้อยู่แล้วว่าการดื่มสุราเมรัยไม่ใช่ของดีก็ไม่ไปล่วงละเมิดเอง
    แต่คนก็จะมากล่าวหาว่า เอ้ย...อย่างงั้นกรรมบถ ๑๐ ก็กินเหล้าได้น่ะสิ ตะแบงข้างไปจนได้เพราะฉะนั้นเอาเรื่องของคนตั้งใจจะละกิเลสกับเรื่องของคนมีกิเลสมาชนกันเมื่อไหร่ก็เละเมื่อนั้น ยิ่งเถียงไปกิเลสก็ยิ่งงอกงาม
    ถาม : จากประสบการณ์ที่เจอ ๆ มานี่พุทธศาสนนิกชนส่วนใหญ่นี่ คือในลักษณะของความเชื่อเรื่องนิพพานเป็นสูญ ถ้าคนนี่เทียบเป็นเปอร์เซ็นต์นี่เทียบได้มั้ย ?
    ตอบ : เทียบยาก ตีซะว่าปัจจุบันนี้ คนไทยตอนนี้ ๖๒ ล้านคน ผู้ชาย ๓๐ ล้านเศษ ผู้หญิง ๓๑ ล้านเศษ ผู้ชายน้อยกว่าผู้หญิงล้านกว่าแล้ว ก่อนนี้น้อยกว่าประมาณสองแสนเอง (หัวเราะ) น้อยกว่าเป็นล้านยังไม่พอ ยังหนีไปบวชซะอีกสามแสนได้ ยิ่งน้อยหนักเข้าไปอีก เราตีว่า ๖๒ ล้านคน ถ้าหากว่านับถือศาสนาพุทธสัก ๕๐ ล้านที่เหลือให้เป็นครัสต์เป็นอิสลามอะไรไป ๕๐ ล้านนี่มีตั้งหน้าตับงตาปฏิบัติจรงิ ๆ และรู้จักนิพพานไม่เกินสามแสนคน คุณว่ากี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ ๓๐ ล้านก็ยังนึกเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ว่า มันซัก ๑ เปอร์เซ็นต์ได้มั้ย ? นี่มันตั้ง ๕๐ ล้าน
    เพราะฉะนั้นลำบากหน่อย เรื่องของพระนิพพานเป็นเรื่องของปรมัตถบารมีจริง ๆ คนที่จะสร้างบารมีมาถึงขนาดปรมัตถบารมีเกิด ๆ ตาย ๆ กันจนนับกันไม่ถ้วน
    พระพุทธเจ้าตรัสกับพระนางกีสาโคตมีว่าหยาดน้ำตาของเธอที่ต้องร้องไห้เพราะสูญเสียคนรักไปในแต่ละชาติถ้ารวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ เกิดมาเท่าไหร่แล้วล่ะ ? แต่ละชาติถ้าเสียคนรักไปทีร้องไห้ที จนมาถึงชาติปัจจุบันน้ำตารวมกันนี้มากกว่ามหาสมุทรทั้งสี ๗๐ เปอร์เซ็นต์ของพื้นโลกมันเป็นน้ำใช่มั้ย ? เกิด ๆ ตาย ๆ มานี่น้ำตามากกว่าน้ำนั้นอีก เกิดกันจนลืมไปข้างหนึ่ง
    ถาม : ...............................
    ตอบ : ไปเมืองจีนต้องขยันอุทิศส่วนกุศล เทวดาแถวนั้นเขาหิวบุญเจ้าที่เจ้าทางแถวนั้นเขาหิวบุญ เพราะว่าคนจีนถึงขยันทำบุญก็จริง มันมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือทำผิดประเภทเผากระดาษเงินกระดาษทองเผากงเต็กไปให้ อย่างที่สองก็คือทำถูกแต่อุทิศส่วนกุศลไม่เป็น เพราะฉะนั้นถ้าคุณไปก็ให้ดะไปเลย คราวนี้ลำบากอะไรบอกให้เขาช่วย คราวนี้คล่องมากเลย
    ถาม : พ่อชอบเผากระดาษเงินกระดาษทองเยอะ ๆ ค่ะ ?
    ตอบ : ก็ให้เขาเผาไปสิ
    ถาม : บอกเขาแล้วเขาบอกว่า .............?
    ตอบ : ไม่ต้องบอกเพียงแต่ว่าแนะนำให้เขาทำอันนี้เพิ่มขึ้น ถ้าหากว่าเราไปค้านความเชื่อเก่าเขาไม่สำเร็จ พระพุทธเจ้าไม่เคยค้านใคร พระพุทธเจ้ามีแต่บอกว่าของเก่าที่เขาทำนะดี แต่ตถาคตมีวิธีที่ดีกว่าและก็บอกวิธีเพิ่มให้
    เพราะฉะนั้นถ้าเราค้านนี่ผิดวิธี เพียงแต่ถ้าบอกว่า เออ.....ถวายสังฆทานเพิ่มซะนิดหนึ่งนะป๊าก็สบายแล้ว ที่เหลือก็ควักกระเป๋าเพิ่มอยากจะเผารถเบนซ์อีกคันหนูก็ซื้อให้ได้แต่ที่เหลือขอให้มาถวายสังฆทานแล้วกัน
    ถาม : เคยเอาพระบรมสารีริกธาตุ พ่อบอกว่าลื้อไปเอากระดูกอะไรมาก็ไม่รู้บอกว่าโอ้โหเสียวเลย บอกไม่อยากจะบอกพ่อเลย ?
    ตอบ : (หัวเราะ) ก็เขาไม่รู้จริง ๆ
    ถาม : เขาบอกว่าคนจีนเขาถือนะ ซี้ซั้วเอาของจากวัดมาอย่างนี้ ?
    ตอบ : ก็คราวหน้าก็อย่าบอกสิ คราวหน้าเชิญเข้าไปเฉย ๆ
    ถาม : ....................................
    ตอบ : ถ้ามีเวลาไปล่องแยงซีเกียงซะวันหนึ่ง เสียดายต้าซานเสีย สร้างเสร็จนี่พวกทิวทัศน์สวย ๆ ของแยงซีเกียงมันจะเสียหมดเสียหมดเลย น้ำท่วมหมด เขื่อนยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่มีเขื่อนที่ไหนใหญ่เท่านั้นอีกแล้ว ฮูเวอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกปัจจุบันนี้ ถ้าต้าซานเสียสร้างเสร็จนี่ไม่มีทางใหญ่กว่าได้เด็ดขาดเลย
    ถาม : .................(ไม่ชัด).................จมไปในน้ำ ?
    ตอบ : มันไม่ถึงกับจมไปในน้ำ พวกทิวทัศน์ต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงอย่างประตูมังกรจมเลย สมัยก่อนเขามีคำกล่าวกันว่า "ปลาหลี่ฮื้อผ่านสามด่านกลายเป็นมังกร" ทางมันลำบากขนาดไหน ? ขนาดปลาไปนี่ยังแทบตายเลย ซาเกี๊ยบช่องเขาสามแห่งมันจะบีบเข้ามาจากแม่น้ำใหญ่ ๆ กลายเป็นช่องนิดเดียว และมันเป็นหินแท้ ๆ ด้วย
    เพราะฉะนั้นเวลาน้ำพุ่งผ่านตรงนั้นมันจะแรงมหาศาลแล้วปลาก็ต้องทวนน้ำขึ้นไปเพื่อวางไข่ ถึงได้ว่าถ้าหากว่าปลามันสมารถผ่านสามด่านได้ก็เป็นมังกรไปเลย (หัวเราะ) ความเชื่อเขาเชื่อกันขนาดนั้น เขื่อนยักษ์ต้าซานเสียโครงการเขาจะเสร็จปี ๒๕๔๗ จะเริ่มกักน้ำ กักน้ำใหม่ ๆ นี่ข้างล่างก็คงแห้งไปพักหนึ่ง เห็นเขาว่าบ้านของขงเบ้งดีไม่ดีก็โดนจมไปด้วย
    ถาม : ..................................
    ตอบ : ธรรมดา กำลังมันยังไม่พอ ถ้ากำลังมันยังไม่พอนี่เราสู้แค่เสมอตัวกับชนะ อย่าไปอยู่ให้แพ้ รู้ว่าไม่ไหวให้หลบจากตรงนั้นไปเลย
    ถาม : บางครั้งมันเกิดภาวการณ์แบบว่าเราไม่ผิด แต่ความรู้สึกยังน้อยใจทำให้เกิดว่าไปโกรธเขาอีก ?
    ตอบ : ก็ธรรมดา ถ้าหากว่าไม่รู้ว่าตัวเองผิดตรงไหนก็ให้คิดซะว่าผิดตั้งแต่เกิดแล้ว เสือกทะลึ่งเกิดมา นั่นเป็นข้อผิดที่ร้ายแรงที่สุด ในที่สุดเราก็หาความผิดได้สบายใจ (หัวเราะ) เรื่องจริง ๆ นะ ไม่ได้พูดเล่น
    เคยมีอยู่หลายทีสมัยก่อนพยายามพิจารณาแล้วว่าเราผิดตรงไหนอย่างชนิดไม่เข้าข้างตัวเอง แล้วมันก็หาไม่ได้ ไล่ไปไล่มาในที่สุดก็เจอโจทย์ มึงผิดตั้งแต่เกิดแล้ว เสือกทะลึ่งเกิดมา โทษมันไปเต็ม ๆ เลย
    ถาม : เห็นหลวงพ่อที่วัดบ่อทองยกย่องว่าหลวงพ่อเป็นยอดเนื้อนาบุญ ?
    ตอบ : แล้วไงจ๊ะ ไม่น่าเชื่อเนอะ
    ถาม : ไม่น่าเชื่อหลวงพ่อยังหนุ่มอยู่เลย ?
    ตอบ : อะไรก็ตาม ที่มันยังไม่คุ้นเคยยังไม่ได้สัมผัสกับระยะยาว ๆ อย่าเพิ่งไปเชื่อ ตามพิสูจน์ไปเรื่อย ๆ ของแท้เขาไม่กลัวการพิสูจน์ ตามดูไปเรื่อย ๆ อย่าเพิ่งไปเชื่อซะทีเดียว
    ที่พระพุทธเจ้าเจ้าถามพระสารีบุตรว่าสิ่งที่พระองค์เทศนาไปพระสารีบุตรเชื่อมั้ย ? พระสารีบุตรบอกว่ายังไม่เชื่อก่อนพระเจ้าข้า พระปุถุชนโกรธไฟแลบเลย (หัวเราะ) อวดดีว่าเป็นพระอัครสาวกแล้วไม่เชื่อพระศาสดาหรือ....แต่พระพุทธเจ้าท่านทราบท่านก็ถามต่อว่าแล้วเธอคิดอย่างไร พระสารีบุตรบอกว่าต้องให้ปฏิบัติตามก่อน ถ้าหากว่าปฏิบัติแล้วได้ผลตามนั้นถึงจะเชื่อ
    ถาม : ถ้าเชื่อแล้วพิสูจน์ไม่ได้ถึงจะแย่ ถ้าไม่เชื่อแล้วพิสูจน์ไม่ได้นี่ก็แย่มันลำบาก ?
    ตอบ : จริง ๆ วิธีพิสูจน์มันเยอะ ยิ่งสมัยนี้ฝึกมโนมยิทธิได้พิสูจน์ง่ายออก
    ถาม : เห็นว่า ร.๖ จะมาเกิด เมื่อไหร่จะมาดูแล ?
    ตอบ : รอก่อน เพราะว่าถ้าตามที่หลวงพ่อท่านบอกก็ต้องอายุ ๓๒ ก็เหลืออีกประมาณ ๒๐ ปี
    ถาม : ..................................................
    ตอบ : ตอนนี้ก็เป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นเล่นการเมืองเล่นอะไรขึ้นไปมีชื่อมีเสียงมีอะไรขึ้นมาคงจะเป็นผู้นำได้
    ถาม : เป็นพุทธภูมิหรือเปล่า ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่พระมหากษัตริย์จะเป็นพุทธภูมิทั้งนั้น คำทำนายอันนี้ก็คือว่าบุคคลที่มาหาหลวงพ่อตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ ถึง ๒๕๓๔ ในระยะเวลา ๒๐ ปีนี้ถ้าตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ จะสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ได้ ๑๗๕,๓๐๐ คน หลังจากปี ๒๕๓๔ เป็นต้นไปจะเป็นเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญา บุคคลจะได้ฤทธิ์ได้อภิญญามาก แต่ว่าเรื่องของการเข้าถึงมรรคผลจะเหลือน้อยจะเหลือพระอนาคามี ๓๖ องค์ พระสกิทาคามี ๑๔๗ องค์ แล้วก็พระโสดาบันประมาณ ๓,๐๐๐ ถ้าถึงเวลาแล้วส่วนใหญ่จะไปติดอยู่แค่ดาวดึงส์ เพราะว่าอานิสงส์ของการถวายสังฆทาน เฉพาะสายหลวงพ่อจะบรรลุมรรคผลเมื่อพระศรีอาริยเมตตรัยขึ้นไปเทศน์โปรดพุทธมารดา ๗ แสนกว่า ประมาณ ๗๓๐,๐๐๐ คน
    ถาม : แสดงว่าในสายหลวงพ่อนี่เยอะ ?
    ตอบ : ก็เยอะ แ ต่ว่ามันจะมีเด็กฝากเยอะ เด็กฝากนี่ไล่ตั้งแต่สมเด็จองค์ปัจจุบันลงมา ท่านปู่พระอินทร์ พระศรีอาริยเมตตรัย คือท่านจะฝาก ๆ เอาไว้ว่าบางอันก็ให้วางพื้นฐานให้ บางอันก็ประเภทที่ท่านเองเข้านิพพานไปแล้ว เด็กของท่านก็ยังไปไม่ได้ซะทีก็ต้องมาเคี่ยวเข็ญกัน
    ถาม : ท่านบอกว่าคนที่เกิดในยุคนี้มีทั้งเฮงมีทั้งซวย ตอนหลังนี้ท่านบอกว่าถ้าใคร....(ไม่ชัด).... พระพุทธเจ้าทั้ง ๕๐ พระองค์ ?
    ตอบ : ส่วนใหญ่ถ้าก้าวเข้ามาในจุดของความดีขนาดนี้แล้วละเมิดความดีได้หมายความว่ากำลังใจมันแย่จริง ๆ ในเมื่อแย่จริง ๆ ลงข้างล่างไปนี่ พระพุทธเจ้ากัปนี้ไปหมดแล้ว ก็ไม่มีโอกาสได้เจอแน่เลย เพราะเวลาข้างล่างมันนานเหลือเกิน
    ถาม : ๕๐ พระองค์ที่จะตรัสรู้ข้างหน้าลงมากราบหลวงพ่อหมดแล้ว ?
    ตอบ : อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันไม่ได้สอบถามไว้ แต่ว่าในช่วงที่หลวงพ่อลงรับแขกที่วัดจะมีบุคคลทั้งพระและฆราวาสที่มั่นใจว่าตัวท่านเองปราถนาพระโพธิญาณก็มาอธิษฐานต่อหน้าหลวงพ่อกันมาก
    ถาม : มีฝรั่งอยู่คนหนึ่ง ผมก็เลยเอ้ย.....ทำไมมีฝรั่งด้วย ก็เลยเปิดไปอ่านเขาบอกเขาฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังที่โน่นใครไปสอนจำไม่ได้แล้วครับ ฝึกเสร็จฝึกไม่ได้กลัวจะไปรบกวนคนอื่นเขาก็เลยนั่งภาวนาไปเองเรื่อย ๆ กลายเป็นแบบ่ออกเต็มกำลังไปเฉยเลย ?
    ตอบ : แสดงว่าครูฝึกเก่งสู้ไม่ได้ ลูกศิษย์เก่งกว่า
    ถาม : แล้วพอออกไปเสร็จ ผมก็นั่งอ่านตามแล้วผมก็แบบ เขาก็บอกว่าเขาขึ้นไปข้างบนเห็นพระจุฬามณีเป็นเหมือนพระปฐมเจดีย์แล้วเป็นองค์ทองทั้งองค์เลย ผมก็เฮ้ย...เห็นเหมือนเราเลยเว้ย เราก็เห็นอย่างนี้
    พอเขาเห็นเสร็จเขาก็นึกยังไงไม่รู้ เขาก็เข้าไปข้างในพอเขาเข้าไปข้างในเขาก็ไปเจอหลวงพ่อ ไปเจอพระพุทธเจ้า ไปเจอพระอินทร์อะไรอย่างนี้ครับ ผมก็แบบเออเว้ย...ผมก็เลยตามเข้าไปด้วย เสร็จแล้วพอผมเข้าไปด้วยเขาก็กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เลย แล้วผมก็อ่าน ๆ ไปสักพัก เอะ...ทำไมมันง่ายอย่างนี้วะ ทำไมอยู่ ๆ มันง่ายขนาดนี้เรารู้สึกมันง่ายจังเลย แล้วก็เห็นหลวงพ่อชัดมากเลยแล้วตาก็ยังลืมอยู่เลย ผมก็ เอ๊ ! มันไม่น่าง่ายขนาดนี้ สงสัยมันง่ายไปต้องไม่ใช่แน่เลย ?
    ตอบ : ก็ไปหาเรื่องยาก ๆ ทำเอาก็แล้วกัน (หัวเราะ)
    ถาม : เขาเหมือนมันตก ๆ ?
    ตอบ : มโนมยิทธิถ้าหากว่าเราทำถูกมันง่าย ส่วนใหญ่แล้วมันทำกลายเป็นของยาก เพราะมันทำเกิน ตรงช่วงพอดีมันมีนิดเดียว ส่วนหใญ่ที่ทำมันไม่ขาดก็เกิน มันก็เลยไปไม่ได้ถ้าทำพอดีไปง่าย
    ถาม : แบบ....อะไรก็ไม่รู้เหมือนกับรีบเก็บตังค์ขนาดนั้น ผมว่าอย่างที่ผมได้หลาย ๆ ทีนี่มันเหมือยกับตอนนั้นเรามันไม่มีสติรึเปล่า เราถึงได้ไม่รู้ว่าอารมณ์ตอนนั้นมันยังไง ทำไมมันถึงจะจำได้แม่น ๆ ?
    ตอบ : คือมันไม่ได้ตั้งสติที่จะดูไว้ ในเมื่อไหม่ได้ตั้งสติที่จะดูที่จะจำมันก็เลยจับไม่ได้ซะทีว่ตอนไปมันไปยังไง หาเหตุไม่เจอผลก็เลยไม่เกิด
    ถาม : เหมือนกับอ่าน ๆ หนังสืออยู่ ๆ มันก็ตามไปเฉยเลย เราก็ไม่ได้นึกเลยว่ามันตั้งใจแล้วมันไม่เคยได้ ?
    ตอบ : บอกแล้วว่า ตั้งใจมากไม่ได้ ตัวตั้งใจเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ มันพาให้ฟุ้งซ่าน ทำสบายๆ คิดว่าเราทำเพื่อจะไปนิพพานไม่ว่าจะไปไหนก็คิดไว้ แล้วก็ลืมซะ ตั้งใจภาวนาอย่างเดียว
    ถาม : ....(ไม่ชัด).....จริงซะที ไม่ทราบว่าคิดผิดรึเปล่าครับที่คิดว่าตัวเองไม่มีทางลำบาก ?
    ตอบ : คิดไม่ผิดหรอก พอถึงเลาลาบากเข้ามันจะได้รู้ว่าเป็นไง
    ถาม : มันเหมือนกับพอถึงเวลาแล้วจะมีคนขี่ม้าขาวมาช่วยทุกทีเลย ?
    ตอบ : มี ๆ ๆ ถ้าทำบุญเอาไว้ดีต้องมีแน่นอน
    ถาม : แต่ผมคิดอย่างนั้นตั้งแต่ผมยังไม่สนใจพุทธศาสนา ผมคิดตั้งแต่ผมยังเด็ก ๆ เลยแหละว่า แบบผมแบบมันมีคนช่วยตลอด ?
    ตอบ : ถ้เป็นนักปฏิบัติเขาถือว่าประมาทมาก
    ถาม : ..........................................
    ตอบ : คนที่ทำสมาธิสูงเกินกว่าอุปจารสมาธิจะไม่สามารถที่จะเห็นความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ได้จนกว่าจะเป็นฌานสี่ไปเลย มันก็เลยเหมือนกับว่ามีห้องสองห้อง ห้องหนึ่งอยู่ใต้ถุน ห้องหนึ่งอยู่หลังคา สองห้องนี้เครื่องประดับตกแต่งทุกชิ้นเหมือนกันหมด ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่าคุณจะมาข้างล่างหรือไปข้างบนเท่านั้น
    คราวนี้สมาธิที่แน่นแต่ว่าลดกำลังไม่เป็นหรือว่าขึ้นไม่ถึงสูงสุด โอกาสที่จะได้อะไรมันจะไม่มีเลย เพราะว่ามันเหมือนกับว่าอยู่ระหว่างกลางบันได ห้องบนก็ไม่เห็น ห้องล่างก็ไม่เห็น ดังนั้นต้องบอกเขาว่าให้เขาซ้อมสมาธิให้หนักแน่นกว่านี้ แต่ขณะเดียวกันให้ลดกำลังใจมาให้เป็นด้วย ถ้าลดกำลังใจคล่องถึงเวลาลงอุปจารสมาธิปุ๊บก็เริ่มเห็นได้เลย
    ถาม : แล้วลักษณะที่เขาเห็นเป็นแสงคือนั้นเป็นฌานสี่ ?
    ตอบ : ตรงนั้นแหละอุปจารสมาธิเริ่มเห็น ต่อให้เห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นนิพพานก็ยังเป็นอุปจารสมาธิอยู่จนกว่าเราจะไปถึงที่นั้นได้ถึงจะเป็นกำลังของฌานสี่..... อารมณ์ใจนี่มันตัดมันตัดจริง ๆ นะ
    สมัยก่อนนั่งอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อสังเกตมั้ย ท่านคุยเรื่อง ๆ หนึ่งไปถึงกำลังสนุกเลยมีคนขัดคอปุ๊บ ท่านก็ไปว่าเรื่องของเขาเสร็จแล้วก็หันมาถามว่าไปถึงไหนแล้ว นั่นตัดเกลี้ยงโดยสิ้นเชิงเลย จะเหลือแต่เฉพาะหน้าจริง ๆ ในเมื่อตัดเกลี้ยงขนาดนั้นก็เลยไม่มีเรื่องอะไรที่มันยุ่งยากอยู่ในใจของท่านเลย คิดเฉพาะตอนอยู่ตรงหน้าเลิกแล้วเลิกกัน ไม่ได้เก็บงานเอาไปคิดตอนนอน พวกเราเก็บไปคิดตอนนอนด้วย
    ถาม : ลักษณะที่เขาเคยทำได้ค่ะ แต่ว่าตอนหลังนี่ทำไม่ได้เพราะว่าสมาธิเขาจะสั้น ?
    ตอบ : เขาทิ้งมันนานเกินไป ฝึกใหม่ยังจะง่ายกว่า คนที่ทำได้แล้วทิ้งนี่กว่าจะได้เหมือนเดิมนี่ลำบากยากเข็ญแสนสาหัสเลย กระแสโลกนี่มันเหมือนกับน้ำ ถ้าหากว่าเราจะต่อต้านกระแสโลกเราต้องว่ายน้ำทวนขึ้นไป คราวนี้พอเราว่ายทวนน้ำไปทวนน้ำไป ถึงเวลาก็ปล่อยไหลตามน้ำ กว่าจะว่ายทวนน้ำอีกทีหนึ่งคราวที่แล้วก็เหนื่อยแล้ว ตอนนี้จะเอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนมา มันก็ไปยาก ต้องทำให้ต่อเนื่อง จะบอกเขาบอกว่ากัดฟันหน่อยกัดลิ้นด้วยก็ดีนะ ใช้ความพยายามให้มันมากกว่าเดิมนิดหนึ่ง
    หลังจากที่ฟันฝ่าอยู่ระยะหนึ่ง พอความสามารถเดิมคืนมาได้คราวนี้อย่าเผลอปล่อยให้หลุดเชียว หลุดเมื่อไหร่แย่เมื่อนั้น ให้เขาพยายามจุดไฟให้ลุกให้ได้ ไฟก็คือตัวฉันทะ มันต้องพอใจที่จะทำก่อน พอเขาพอใจที่จะทำ คราวนี้ก็จะทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วถ้าหากว่าตัวพอใจที่ทำยังไม่มีนี่ลำบากมากเลย
    ถาม : การที่จะทำจริง ๆ จัง ๆ นี่จะต้องวางทางโลกหมดเลยรึเปล่าคะ ?
    ตอบ : ไม่จำเป็นต้องวาง แต่ว่าให้มันมีเวลาเป็นของเขาโดยเฉพาะ ซักช่วงหนึ่ง อย่างตอนเย็น ๆ ซักชั่วโมงหรือเช้า ๆ ซักชั่วโมงอย่างนี้
    ถาม : ต้องให้ต่อเนื่องกัน ?
    ตอบ : ทำแล้วพยายามรักษาอารมณ์ที่ทำได้ให้ต่อเนื่อง ให้อยู่ในช่วงของวันเวลาให้มากที่สุดอย่างเช่นว่า ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเราสามารถรักษาอารมณ์ต่อเนื่องได้สัก ๘ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง ไม่ขาดทุนมากก็โอเค คือถึงเวลาพอเราเลิกภาวนาแล้วอารมณ์ใจมันทรงตัวอยู่ระดับไหนให้ประคับประคองอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด
    ถาม : แต่คราวนี้มันพอเขาอยากจะทรงอารมณ์ตรงนั้น พอได้แค่ช่วงเดียวมันก็จะเกิดอาการทุกข์ ?
    ตอบ : มันทุกข์ยังไง ?
    ถาม : มันก็จะไม่สามารถทำได้ต่อไป ?
    ตอบ : ไม่สามารถทำได้ต่อไป ถึงเวลาเราไปนั่งเสร็จก็ไปขยับใหม่อีก ทำลักษณะนั้นไปเรื่อย ๆ และระยะเวลามันจะยาวขึ้นมากขึ้น จากชั่วโมงก็เป็นสองชั่วโมง สามชั่วโมงเป็นครึ่งวันเป็นวันหนึ่งไล่ไปเรื่อย
    ถาม : ไม่จำเป็นต้องนั่ง ?
    ตอบ : ไม่จำเป็นจะ ยืน เดิน นั่ง นอน รักษาอารมณ์นั้นได้เหมือนกันหมด ประคับประคองอารมณ์นั้นไว้ ไปเปิดดูกรรมฐาน ๔๐ก็ได้ บทที่ ๗ เรื่องการทรงฌาน หน้า ๔๐ พอดีนั้นแหละ แล้วจะได้รู้ว่าการรักษาอารมณ์ฌานคือการประคองอารมณ์นั้นแหละ ต้องใช้ยังไงบ้าง ทำยังไงบ้างหลวงพ่อบอกไว้ละเอียดเลย
    ถาม : ก็อย่างที่บางครั้งนี่เผลอ ๆ ก็จะเห็นแสงแวบเข้ามาแป๊บเดียวค่ะเสี้ยววินาที ?
    ตอบ : ตอนนั้นกำลังใจของเราตอนเผลอมันมักจะเป็นตอนที่กำลังใจลงล็อคพอดี บอกแล้วว่าถ้าตั้งใจมากแล้วมันจะเกิน ขณะเดียวกันไม่ตั้งใจมันก็ขาด ปัจจุบันนี้มันมีแต่เกินกับขาดซะเยอะ พอดีมันน้อย ถ้าพอดีเมื่อไหร่มันก็เห็นได้เมื่อนั้น แล้วส่วนใหญ่ก็คือพอเห็นปุ๊บก็ไปให้ความสนใจมันแล้วมันก็หายจ้อยและก็ต้องรอรอบใหม่

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/right.gif> </TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    ประกาศ

    ขอเชิญร่วมหล่อพระพุทธรูปทองคำ
    สมเด็จองค์ปฐม (ทรงเครื่องจักรพรรดิ)
    ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว
    (ใช้ทองคำน้ำหนักประมาณ ๓ กิโลกรัม)

    ประธานเททองหล่อ โดย
    เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ)
    วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

    ในวันเสาร์ที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘
    ณ. วัดพระธาตุห้าดวง
    ต. ลี้ อ.ลี้ จ.ลำพูน ขอเชิญทุกท่านร่วมทำบุญถวายทองคำหล่อพระพุทธรูปได้
    ที่บ้านอนุสาวรีย์, บ้านบางโพ และที่วัดพระธาตุห้าดวง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...