ฉบับที่ ๓๒ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 3 ตุลาคม 2006.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>





    </TD></TR><TR><TD width=15 background=../images/left.gif>





    </TD><TD width="100%" background=../images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    อดีตที่ผ่านพ้น

    ๑. ตายแล้วฟื้น


    ชีวิตของเราคนเรา มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และมีความตายเป็นที่สุด ไม่มีใครหลบพ้นความตายไปได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก หนุ่มสาว เฒ่าชรา ต่างมีที่สุดคือความตายด้วยกันทั้งนั้น.....

    แต่สำหรับบางคนแล้ว ความตายไม่ใช่ที่สุดแห่งชีวิตของท่าน แม้ว่าท่านจะตายไปแบบผู้อื่นก็จริง แต่ท่านก็กลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ บางท่านก็ตายซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายวาระ แล้วกลับฟื้นคืนมา คืนมาทุกครั้งไป....

    ท่านที่ตายแล้วฟื้น ที่มีพยานหลักฐานบันทึกไว้ชัดเจนให้ผู้อื่นได้ทราบถึงเรื่องราวหลังความตาย ประกอบด้วย พล.ท.สมาน วีระไวทยะ พ.อ.พิเศษเสนาะ จินตรัตน์ และท่านที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษ คือ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)

    มีคนเป็นจำนวนมาก ที่ไม่เชื่อเรื่องตายแล้วเกิด มีความเห็นเป็นมิจฉาทิฏฐิ ปฏิเสธเรื่องชาติภพภายหน้า คิดเอาเองว่า นรก สวรรค์ไม่มี แล้วพยายามเสนอคนอื่นให้คล้อยตามความเห็นของตน...

    พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ชัดเจน ว่าผลบุญ-ผลบาป ชาตินี้-ชาติหน้า นรก-สวรรค์ นั้นมีจริง แต่ท่านนักปราชญ์เหล่านั้น กล้าค้านแม้คำสอนขององค์สมเด็จพระบรมครูของเรา....

    เป็นเรื่องน่าสงสารที่ท่านทำตามคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาไม่ได้ ท่านก็คิดว่าคนอื่นคงทำไม่ได้ด้วย ความจริงแล้วแม้แต่เด็ก ๆ จำนวนมากก็ทำได้และมีความสามารถกว่าท่านปราชญ์ใหญ่เหล่านั้นซะอีก...

    ประกอบกับเรื่องราวของท่านทั้งหลาย ที่ฟื้นคืนจากความตาย บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนั้น ท่านเหนื่อยเปล่าแล้วกับการสอนผิด ๆ ของท่าน....

    ในที่นี้ขอกล่าวถึงการตายแล้วฟื้นของอาตมาเอง ที่เป็นการตายเปล่า ๆ ไม่ได้มีเรื่องราวของชีวิตหลังความตายมาเล่าสู่กันฟังอย่างผู้อื่นเขา ขณะนั้น....อาตมาเพิ่งจะอายุสองขวบเท่านั้น....

    จากคำบอกเล่าของ พ่อ-แม่ และพี่ ๆ หลายคน ว่าตอนนั้นอาตมากับพี่สาว(คุณมุกดา เพชรชื่นสกุล) ได้รับแจกท็อฟฟี่จากพ่อ ก็แบ่งกันกิน พี่มุกดาเขารู้จักแกะเปลือกออกก่อน ส่วนอาตมานั้นไม่รู้ความ...

    รับท็อฟฟี่มาก็ใส่ปากอมเล่นทั้งเปลือก ท็อฟฟี่สมัยนั้นเม็ดโตมาก (ราคาเม็ดละ ๓๐ สตางค์) พออมไปอมมาเปลือกท็อฟฟี่ถูกน้ำลายลื่นเข้าก็ผลุบเข้าไปในหลอดลม อาตมาเลยชักตาตั้ง...!

    พ่อ
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒. วิเวกใต้บาดาล
    <HR SIZE=1>


    คำว่า "วิเวก" แปลว่า ความสงัด มีอยู่สามประการคือ

    กายวิเวก ความสงัดทางกาย
    จิตวิเวก ความสงัดทางใจ
    อุปธิวิเวก ความสงัดจากกิเลส

    ทั้งสามประการนี้เกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ คือ ความสงัดทางกาย(วาจาด้วย) พาให้เกิดความสงัดทางใจ เมื่อใจสงัดกิเลสเกิดขึ้นมาไม่ได้ ก็นับเป็นการสงัดจากกิเลสไปด้วย....

    ผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจริง ๆ จะแสวงหาความวิเวกทั้งสามประการ ชนิดเอาชีวิตเข้าแลกทีเดียว แต่ความสงบสงัดนั้น ใช่ว่าจะไขว่คว้าหามาโดยง่าย ที่ใดกล่นเกลื่อนด้วยหมู่ชน ที่นั้นย่อมหาความสงบได้ยาก...

    ดังนั้น...พระท่านจึงมักหลีกหนีจากหมู่คน ธุดงค์ไปตามป่าตามเขาแสวงหาความวิเวกจากธรรมชาติ กระนั้นก็ดี จิตที่ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลาก็หาได้สงบลงง่าย ๆ ไม่ ต้องทรมานกันขนาดหนักจึงจะพอควบคุมไหว...

    เมื่อเจ้าตัวกิเลสต้องพบกับการทรมานจึงยอมก้มหัวให้ บรรดาผู้มุ่งความสงบ จึงหันหน้าเข้าสู่ป่า อาศัยภัยจากสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจช่วยปราบปรามกิเลสให้สงบลงบ้าง ถ้าไม่สงบก็ให้มันตายไปเลย...

    สภาพจิตของคนเรา ถ้าไม่มีที่ให้กลัวเกรงแล้ว ก็มักโลดโผนโจนทะยาน ขึ้นฟ้าลงดินไปตามแต่มันต้องการ เมื่อพบภัยอันตรายเข้า ความกลัวตายก็ทำให้มันเลิกดิ้นรน รีบกลับมาภาวนาเป็นการใหญ่...

    การภาวนาโดยไม่ต้องบังคับ จิตใจก็ดิ่งสู่ความสงบวิเวกโดยเร็ว ดื่มด่ำกับความสุขของจิตที่สงัดจากกิเลส "สุโข วิเวโก" ความสงัดนี้เป็นสุขจริงหนอ...

    แล้วความสงบวิเวกหาได้จากในป่าเท่านั้นหรือ...? หามิได้...ที่ใดก็ตามที่เราทรงอารมณ์ภาวนาไว้ได้ ที่นั้นล้วนแต่เป็นที่สงัด เพียงแต่ว่าสภาพจิตต้องฝึกมาดีพอ จึงจะปักลงสู่ความสงบได้ในทุกที่....

    อาตมาพบกับความสงบวิเวกครั้งแรกนั้น เป็นเพียงเด็กน้อยที่อายุ ๕-๖ ขวบ แต่ความสงบสุขที่ได้รับนั้น มันดื่มด่ำลึกซึ้งจนบอกไม่ถูก ทำให้จำเหตุการณ์ได้แม่นยำ ความวิเวกคราวนั้นเป็นฉันใด...?

    ขณะนั้นเป็นหน้าฝน คูน้ำริมถนนที่ลึกเกือบสองเมตรน้ำกำลังเปี่ยมฝั่ง อาตมากับพี่น้องวัยซนทั้งหลาย ลงความเป็นเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องทำแพหยวกกล้วยเล่นกัน....

    เริ่มจากตัดต้นกล้วยขนาดเท่า ๆ กันมา ๕-๖ ท่อน จัดเรียงให้เป็นระเบียบ เอาหลาวไม้ไผ่ตอกติดกันเป็นแพ ในสายตาผู้ใหญ่แล้วทำแสนจะง่าย แต่กับเด็ก ๆ อย่างเราแล้วมันเป็นผลงานชิ้นมโหฬารเลยทีเดียว....

    ทั้งผลักทั้งดันแพลงไปในน้ำ หาไม้มาทำเป็นถ่อ แล้วทโมนทั้งฝูงก็ลงไปแออัดอยู่บนแพ ทั้งที่ว่ายน้ำไม่เป็นเลยสักคน แต่ขอให้ได้เล่นเถอะ เรื่องจมน้ำตายไม่ต้องคิดถึง....

    ปกติต้นกล้วยก็ลื่นอยู่แล้ว มาเปียกน้ำเข้าก็ยิ่งลื่นหนัก จังหวะที่อาตมาตึงถ่อขึ้นจากโคลนนั่นเอง...ก็พลาดท่าลื่นตกน้ำดังตูมใหญ่ จมหายไปในห้วงน้ำที่ขุ่นข้นและมืดมิด...!

    น่าประหลาด...ในความมืดอันเย็นเฉียบนั้น อาตมารู้สึกสงบเยือกเย็น สุขสบายจนบอกไม่ถูก เลยนั่งเงียบอยู่ใต้น้ำ ดื่มด่ำกับความสุขที่ได้รับ โดยไม่คิดดิ้นรนขึ้นไปแบบคนตกน้ำทั้งหลาย...

    เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่รู้...อาตมารู้สึกตัวเมื่อมีมือควานมากระทบ ดึงผมสั้น ๆ ของอาตมาจนตัวลอยขึ้นเหนือน้ำ...พี่มุกดานั่นเอง...กำลังนอนพังพาบบนแพ และควานไปพบดึงอาตมาขึ้นมา...

    ทุกคนตกใจหน้าซีดปากสั่น การล่องแก่งมหาภัยเลิกล้มไปโดยปริยาย ไม่มีใครบอกพ่อแม่ให้ถูกฟาดกัน อาตมาเงียบขรึมเป็นพิเศษ เพราะความรู้สึกยังดื่มลึกติดอกติดใจกับความสงัดที่ได้รับ...

    จนบัดนี้อาตมายังนึกไม่ออก ว่าทำไมเกือบ ๑๐ นาทีใต้น้ำนั้นอาตมาจึงรู้สึกหายใจได้สบาย ๆ เป็นการหายใจทางไหน...? ทำไมถึงไม่ตกใจ...? ใครสามารถเดาได้โปรดเมตตาเฉลยให้ด้วย...

    ชีวิตนี้เป็นของน้อย จะสลายไปยามใดก็ไม่แน่ ขอทุกท่านเร่งทำความดี เพื่อเป็นทุนไปสู่จุดหมายในภพหน้ากันเถิด...


    ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  3. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๓. ท่านเจ้าคุณนรฯ
    <HR SIZE=1>


    หากเอ่ยถึงนาม "หลวงพ่อธมฺมวิตกฺโก" หรือ ภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิ ที่ผู้คนเรียกกันสั้น ๆ ว่า ”ท่านเจ้าคุณนรฯ” แล้วเชื่อว่าทุกท่านต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเกียรติคุณของท่านมาไม่มากก็น้อย....

    ท่านเจ้าคุณนรฯ เป็นพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างแท้จริง ยากที่จะหาพระผู้เด็ดเดี่ยว เฉียบขาดในการปฏิบัติธรรมเสมอด้วยท่านอีกแล้ว ท่านเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติทุกอย่าง...

    ด้วยศีลาจารวัตรอันบริสุทธิ์งดงามของท่าน นำพาท่านโดดเด่นขึ้นมาเป็นหลักชัยของหมู่ชน แม้ท่านจะเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวสุงสิงกับใคร แต่คุณความดีของท่าน ก็เจิดจ้าสว่างไสวจนปิดไม่มิด...

    ดวงจิตอันบริสุทธิ์ ด้วยได้รับการขัดเกลาอย่างวิเศษ ก่อให้เกิดอิทธิปาฏิหาริย์อันศักดิ์สิทธิ์ สงเคราะห์ต่อหมู่ชนโดยไม่เลือกหน้า ปากต่อปากที่พากันกล่าวขาน เกียรติคุณของท่านยิ่งขจรขจายไป ไปอย่างไม่รู้จบ...

    ในที่สุดก็มีผู้สร้างรูปเหรียญของท่านขึ้นมาบูชา ท่านก็โปรดเมตตา ปลุกเสกอธิษฐานจิตให้ บุคคลผู้รับไปบูชา พบประสบการณ์พิสดารต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน อาตมาเองก็พบกับความมหัศจรรย์นั้นด้วย...

    นายตู่ (วิจิตร แซ่ล้อ) เพื่อนของอาตมา นำเหรียญนาคปรกใหม่เอี่ยมของท่านเจ้าคุณนรฯ มาแลกกับพระนางพญาของอาตมา ตอนนั้นอาตมายังไม่รู้คุณค่า เลยถูกพี่ก้อง คุณก้องเกียรติ เพชรชื่นสกุล) หักคอเอาไปซึ่ง ๆ หน้า...
    พอทราบว่าท่านดีอย่างไร อาตมาก็เสียดายใจจะขาด จนแม่ต้องไปหาให้ใหม่ ตอนนั้นอาตมาเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ต้องนำเงินไปจ่ายค่าเทอม ๒๒๐ บาท ได้เงินทอนกลับมา ๘๐ บาท...

    อาตมาสอดเงินไว้ในสมุด ขี่จักรยานกลับบ้านเป็นระยะทาง ๖ กิโลเมตร ถึงบ้านจะนำเงินไปคืนให้แม่ แต่พอเปิดสมุดขึ้นมาไม่ทราบว่าเงินนั้นอัตรธานไปไหนแล้ว...!

    เคราะห์ดีที่อาตมาไม่เคยเหลวไหล หาไม่คงถูกฟาดก้นลายแน่ แม่ให้บนท่านเจ้าคุณนรฯ ขอให้ได้คืนมา อาตมาไม่ทราบว่าจะหันหน้าพึ่งใคร ก็เลยต้องบนท่านตามที่แม่แนะนำ แต่ไม่คิดว่าจะมีทางได้คืนหรอก...

    พอเช้าขึ้นไปโรงเรียน อาจารย์ใหญ่ประกาศหาคนทำเงินหาย อาตมาแสดงหลักฐานถูกต้องทุกอย่างจึงได้รับเงินคืนมา เพื่อนหญิงชื่อ ”ทองคำ มาสุริวงศ์” เป็นผู้เก็บได้ ได้รับการสรรเสริญความดีจากครูและเพื่อน ๆ ทุกคน...
    นั่นเป็นความเมตตาของท่านเจ้าคุณนรฯ ที่สงเคราะห์แก่อาตมา หลังจากนั้นไม่นานอาตมาเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ มีโอกาสกราบฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มหาอำพัน (พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์)แห่งวัดเทพศิรินทราวาส...

    หลวงปู่ท่านเป็นสหธรรมิกของท่านเจ้าคุณนรฯ เมตตาเล่าเรื่องปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ต่าง ๆ ของท่านเจ้าคุณนรฯ ให้อาตมาฟังเสมอ ๆ จนกระทั่งอาตมาอยากได้พระเครื่องของท่านเจ้าคุณนรฯ รุ่นอื่น ๆ ขึ้นมาอีก...

    วันหนึ่งอาตมาอัดรูปไปถวายหลวงปู่ ๑ โหล กะว่าถ้าหลวงปู่จะให้เป็นมูลค่า อาตมาจะขอเปลี่ยนเป็นพระท่านเจ้าคุณนรฯ ด้วยทราบมาก่อนว่าหลวงปู่ท่านมีอยู่จำนวนหนึ่ง

    แต่เอาเข้าจริง ๆ อาตมากลับไม่กล้าขอ พอออกจากกุฏิของท่าน อาตมาก็เลยไปเยี่ยมคุณยายที่บางกอกน้อย น้าฟ้าบอกกับอาตมาว่าอยากได้พระอะไรไว้ใช้ ไปหาดูบนห้องพระข้างบนได้เลย...

    อาตมาพบะพระเครื่องเนื้อผงของท่านเจ้าคุณนรฯ ถึง ๔ องค์ คิดดูเถิด...อาตมาอยากได้ ท่านก็บันดาลให้ดังใจนึก แต่อาตมาเก็บของไม่อยู่ เพื่อนฝูงมาขอก็ให้เขาต่อไปจนหมด..ตัวเองมานั่งอยากต่อไป...

    มาภายหลังหลวงปู่มหาอำพันมอบเหรียญใบโพธิ์และรอยเท้าท่านเจ้าคุณนรฯ ให้อาตมาเป็นรางวัล ที่ไปเฝ้าพยาบาลท่านไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก...

    จากที่เล่ามา แสดงให้เห็นว่า ดวงจิตบริสุทธิ์ของท่านเจ้าคุณนรฯ แม้จะละสังขารไปแล้ว ก็ยังคอยอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่ผู้ศรัทธาท่านอยู่มิได้ขาดใครเดือดร้อนอะไร ท่านก็คอยช่วยเขาอยู่เสมอ...

    คุณความดีใด ที่ท่านให้การสั่งสอนไว้ ขอศิษย์ทั้งหลายจงนำไปปฏิบัติเถิด จะเกิดสุขแก่ตน และครอบครัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ จัดเป็นสังฆานุสสติกรรมฐาน นำท่านพ้นจากที่ชั่วได้อย่างแน่นอน...



    ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    __________________
     
  4. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๔. ครูกรรมฐานคนแรก
    <HR SIZE=1>ข้าฯ ขอนอบน้อมคุณ แต่ท่านครูผู้อารี
    กรุณาและปรานี อุตส่าห์สอนทุกทุกวัน
    ยังไม่รู้ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ ดีชั่วชี้ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดู อยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอน หวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่ เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซม กลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริง จึงได้รู้วิชาชาญ</B>


    บทสรรเสริญคุณครูบาอาจารย์นี้ ท่านจางวางอยู่ เหล่าวัตรเป็นผู้ประพันธ์ ลิขสิทธิ์เป็นของหลวงปู่หลุย (พระโศภณสีลคุณ) วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่มหาอำพัน เมตตาท่องให้อาตมาฟังทุกคืน...

    คำว่า "ครู" มาจากภาษาบาลีว่า "คุรุ" แปลตรงตัวว่า "หนัก" เพราะหน้าที่พ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติ ที่จะหล่อหลอมเยาวชนออกมาให้ได้ดีนั้น เป็นภาระที่หนักหนาสาหัสจริง ๆ ต้องเป็นทั้งพ่อแม่และครูอาจารย์ในเวลาเดียวกัน...

    สมัยอาตมาเรียนชั้นประถมอยู่นั้น ครูท่านเข้มงวดทั้งความรู้และความประพฤติ ไม่ยอมปล่อยปละละวางเด็ดขาด เพื่อนรุ่นพี่และรุ่นเดียวกัน ถูกปรับตกซ้ำชั้นคนละหลาย ๆ ปี ถ้าไม่ดีจริงไม่มีทางได้เลื่อนชั้นให้เสียชื่อครูหรอก...

    ที่เรียนซ้ำชั้นจนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวไปเลยก็มาก ส่วนใหญ่พวกนี้มักจะเกเร จึงต้องมีไม้กว้างสามนิ้วยาวสองเมตรไว้คุมประพฤติ ฟาดแต่ละทีแทบจะลอยตามไม้ไปเลย สมัยนี้ทำอย่างนั้นคงถูกย้ายไปดาวอังคารโน่น...!

    ครูบางท่านตีนักเรียนมาตั้งแต่รุ่นพ่อ รุ่นลูก มาจนถึงรุ่นหลาน ดังนั้น นักเรียนที่จะมาขึ้นเสียงกับครูจึงไม่มี ก็พ่อยังถูกครูตี ลูกมันจะดีกว่าพ่อได้อย่างไร มาฟ้องพ่อว่าถูกตีมีหวังโดนฟาดซ้ำอีกรอบ...

    สมัยนั้นจบป. ๔ มาก็มีการคัดตัวผู้ที่ต้องการเป็นครู เข้าสอนต่อโดยได้รับการบรรจุเลย จึงไม่ต้องสงสัยว่า การเรียนนั้นโหดขนาดไหน ความรู้ถ้าไม่แน่นจริง จะออกไปเป็นครูเขาได้อย่างไร...

    อาตมาเองมีครูจบป.๔ หลายท่าน ขอเอ่ยนามไว้เป็นที่เคารพบูชาสัก ๒ ท่าน คือ ครูเสงี่ยม หรั่งนิ่ม และครูพิส ถิ่นญวน จิตวิทยา ในการสอนเด็กของท่านนั้น ผู้ที่จบครุศาสตร์บัณฑิตในสมัยนี้ เทียบไม่ได้แม้หนึ่งในหมื่น...?
    ขอกล่าวถึงครูกรรมฐานคนแรกของอาตมาเสียที ตอนนั้นอาตมาเรียนอยู่ที่โรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน วิชาที่เป็นยาขมหม้อใหญ่ของทุกคนคือ คณิตศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเลขคณิต พีชคณิต ตรีโกณมิติ ไซคลิกออเดอร์ ฯลฯ....
    หลังจากถอดสมการสิบหกชั้น จนหน้ามืดตาลายกันทั่วหน้าแล้ว อาจารย์ณรงค์เดช บุญมี ก็ถามทุกคนว่า "นักเรียน มีใครอยากรู้โดยไม่ต้องเรียนบ้าง ?" ทุกคนยกมือกันสุดแขนเลย...

    ท่านอาจารย์เลยอธิบายวิธีรู้โดยไม่ต้องเรียน กลายเป็นว่าท่านสอนกรรมฐาน แบบรรมกายของหลวงพ่อวัดปากน้ำ และอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ แบบผู้รู้จริง โดยบอกว่า ถ้าถึงธรรมกายแล้ว อยากจะรู้อะไรให้ถาม "พระ" ท่านจะบอกได้ทุกอย่าง...

    ในยุคนั้น...ใครปฏิบัติกรรมฐาน มักถูกกล่าวหาว่า "บ้า" ดังนั้นบรรดาครู และนักเรียนทั้งหมด จึงลงความเห็นเป็นเสียงเดียวว่าอาจารย์ณรงค์เดช “บ้า” แล้ว ยกเว้นอาตมาที่ไม่ได้คิดแบบนั้น...!


    คำสอนของท่านอาจารย์ เหมือนกับจุดไฟในกายอาตมาให้สว่างรุ่งโรจน์ขึ้น เหมือนม้าคะนองที่มีคนเปิดคอกให้โลดทะยานไป จิตของอาตมาได้รับความมหัศจรรย์ทางธรรมที่ใฝ่หามานานในคราวนี้เอง...!

    ท่านอาจารย์ณรงค์เดช บุญมี ประกอบด้วยปฏิปทาของผู้เสียสละอย่างเปี่ยมล้น ของทุกอย่างท่านสละให้แก่ผู้ต้องการโดยไม่ลังเล บ้านพักครูที่สมัยนั้นหายากกว่าทอง ท่านก็ยกให้เพื่อนครูไปอาศัยแทน...

    เงินเดือนของท่านจะแลกเป็นเหรียญบาทใส่พานไว้ นักเรียนคนไหนต้องการเงินซื้อข้าว ซื้อขนมไปหยิบเอาได้เลย...ถ้านึกสนุกขึ้นมาท่านจะบอกอดีตชาติของนักเรียนแต่ละคนว่าเป็นใคร มาจากไหน เกิดมาเพื่อทำหน้าที่อะไร...?

    ปัจจุบัน หากท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ คงจะชราภาพมากแล้ว ขอท่านอาจารย์โปรดทราบ...ศิษย์คนนี้ยังระลึกถึงอยู่มิรู้วาย...




    ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  5. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๕. คาถาชินบัญชร
    <HR SIZE=1>
    รากศัพท์ของคำว่า "คาถา" มาจากภาษาบาลีว่า ”กถา” แปลว่า ”วาจาเป็นเครื่องกล่าว” ดังนั้น...คำพูดของคนเราทุกคำก็คือคาถาทั้งสิ้น แต่คาถาในความเข้าใจของทุกคน ไม่ใช่ความหมายเช่นนั้น...

    คาถาที่เรารู้จัก คือถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ ที่สามารถแสดงผลอันวิเศษแก่ผู้ที่ยึดถือท่องบ่น ในบรรดาคาถาที่ท่านผู้รู้ผูกขึ้นมานั้น คาถาชินบัญชร ของ สมเด็จพุฒาจารย์ หรือ หลวงพ่อโต วัดระฆัง นับว่าแพร่หลายที่สุด...

    คาถาชินบัญชรนี้เพียบพร้อมไปด้วยอรรถและฉันทลักษณ์ ทั้งยังคงความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยิ่ง พระเครื่องสมเด็จวัดระฆังที่ลือลั่นสนั่นเมือง ก็ปลุกเสกด้วยคาถานี้เอง...

    แต่ว่า...คาถาชินบัญชรนี้ ก็ยังมีแปลกแตกต่างไปหลายฉบับ บางฉบับก็เพิ่มมาหนึ่งบทบางฉบับก็หดหายไปสองบรรทัด คาถาบางตัวก็ผิดเพี้ยนกันไป แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร...

    ความศักดิ์สิทธิ์ของคาถานั้น ขึ้นอยู่กับสมาธิจิตของผู้ท่องบ่น ต่อให้คาถาผิดพลาดเพียงไรก็ตาม หากจิตเป็นสมาธิแนบแน่นมั่นคงเสียแล้ว ผลก็เป็นไปตามการอธิษฐานทุกประการ...

    หากท่านผู้อ่านตัดความตะขิดตะขวงใจในตัวคาถาเสีย ตั้งใจท่องบ่นอย่างจริงจัง ผลดีย่อมบังเกิดแก่ท่านอย่างไม่ต้องสงสัย และต้องอัศจรรย์ใจในคาถาอันวิจิตรไพเราะ ที่เป็นผลผลิตจากอัจฉริยภาพของเจ้าประคุณสมเด็จท่านเป็นแน่แท้...

    อาตมาได้คาถานี้จาก "หนังสือลานโพธิ์" อ่านแล้วชอบใจตรงที่ว่าหากใครท่องบ่นด้วยความเลื่อมใสอย่างแท้จริง พระสมเด็จวัดระฆังที่หายากเป็นนักหนา จะเสด็จมาอยู่กับผู้ท่องบ่นเอง....

    ด้วยความอยากได้พระสมเด็จวัดระฆัง อาตมาจึงพยายามหัดท่องคาถา วันแรกก็ตะกุกตะกักไม่เป็นท่า เหนื่อยขึ้นมาเลยเอาคาถาหนุนหัวหลับไป เกิดฝันว่าท่องคาถาได้บรื๋อเลยล่ะ...!

    ตื่นขึ้นมาก็ท่องได้จริง ๆ ....! นับว่าอัศจรรย์มาก เพราะความฝันกลายเป็นความจริงไปได้ อาตมาก็เลยท่องคาถาทุกวัน ท่องไปก็อธิษฐานไป ขอให้สมเด็จวัดระฆังเสด็จมาทีเถอะ...เจ้าประคุ้ณ...!

    เวลาผ่านไป...ผ่านไป ไม่เห็นมีวี่แววว่า สมเด็จวัดระฆังจะมาซักที จนอาตมาท่องคาถาจนชิน วันไหนไม่ได้ท่องเหมือนขาดอะไรไป ความอยากได้พระหายไปจากใจ กลายเป็นหน้าที่ประจำที่จะต้องท่องอย่างน้อยวันละ ๑ จบ...

    ปีแล้ว...ปีเล่า...อาตมายังคงท่องคาถาโดยไม่เบื่อไม่หน่าย จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วในปีที่ ๑๑ ของการท่องคาถาติดต่อกันนั่นเอง สมเด็จวัดระฆังที่อยากได้เป็นนักหนาก็ได้มาสมใจนึก...

    ผู้มอบให้ เป็นนักสะสมพระเครื่องตัวยง ทั้งบ้านมีแต่ของเก่าแทบไม่มีที่จะเก็บ เขาติดหนี้บุญคุณอาตมาไม่ทราบจะทดแทนอย่างไร เลยมอบพระเครื่องสุดรักสุดหวงของตนให้อาตมา ๑ องค์...

    นี่แหละ...ท่านผู้อ่านทั้งหลาย ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ของทุกอย่างเขาดีจริงอยู่แล้ว ขอเพียงเราทำให้จริงเท่านั้น ผลสำเร็จย่อมเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน...




    ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  6. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๖. เสียงเรียกกลางดึก
    <HR SIZE=1>คนโบราณมักมีคำสอนแปลก ๆ เช่น "กินข้าวเย็นแล้วหน้าจะนวล” บรรดาลูก ๆ ต่างก็อยากสวยอยากหล่อ เลยแย่งข้าวเย็นก้นหม้อแทบจะตีกันตาย กว่าจะรู้ว่าเป็นนโยบายประหยัดก็หมดข้าวเย็นไปหลายเกวียน...

    "กวาดบ้านกลางคืนขโมยจะขึ้นบ้าน" ยุคนั้นมีไฟฟ้าใช้ซะเมื่อไรล่ะ เราเองนั่นแหละจะกวาดของมีค่าทิ้งเอง "หวีผมผัดหน้ากลางคืน ผีจะมาเอาตัวไป" อารามกลัวผีเลยแต่งตัวไปจู๋จี๋กันไม่ได้ ถูกผู้ใหญ่ต้มสุกสนิทเลย... "ได้ยินเสียงแปลก ๆ กลางคืนอย่าไปทัก" อันนี้สิสำคัญ เพราะของจำพวกไสยศาสตร์ คุณผีคุณคนนั้น ถ้าเราทักเข้าเท่ากับเปิดทางให้เขา มีของดีแค่ไหนก็หงายท้องทุกราย สมัยนี้ก็ระบาดมากไม่แพ้สมัยก่อน

    บรรดาหมอไสยศาสตร์มักจะร้อนวิชา ถ้าหากเป้าหมายให้ลงมือไม่ได้ ในสิบวันครึ่งเดือน ต้องปล่อยของอาถรรพ์ออกไปทีหนึ่ง ของพวกนี้เขาเรียกว่า ”ลมเพลมพัด” ได้ยินเสียงไปทักเข้าเราก็ซวยไป...

    ส่วนพวกอสุรกาย สัมภเวสี ที่หมอผีใช้มา มักทำให้เราตกใจแล้วฉวยโอกาสทับร่าง ถ้าเราอยู่ในบ้านก็พยายามทำให้เราทัก ถ้าเราทักเท่ากับอนุญาตให้เขาเข้ามา พระภูมิเจ้าที่ หมดสิทธิ์ขวางเขา เราก็เสร็จอีกนั่นแหละ...

    อาตมาฝึกกรรมฐานตามแนวหลวงพ่อมาเกือบสองปี จึงเข้ามาทำงานกับพี่ชาย (คุณประสิทธิ์ เพชรชื่นสกุล) ในกรุงเทพฯ คืนหนึ่งอาตมานอนภาวนาจนอารมณ์ทรงตัว ก็ได้ยินเสียงพี่ชายคนโต ซึ่งไปทำสวนอยู่จันทบุรี เรียกอย่างชัดเจน...

    เนื่องจากคำสอนที่จำขึ้นใจว่า "อย่าทัก" อาตมาจึงนอนฟังเฉยอยู่ ครั้นหมดความอดทนก็กระซิบกับแม่ว่า ”แม่...พี่ใหญ่เรียก...” แม่รีบดูให้อาตมานอนเงียบ ๆ บอกว่ากำลังฟังอยู่เช่นกัน...

    อาตมานอนภาวนาไปเรื่อย เวลาผ่านไป...ผ่านไป เสียงรถราต่าง ๆ เงียบลง แสดงว่าดึกมากแล้ว ทุกคนคงหลับกันหมด ทันใดนั้น...วัตถุกลม ๆ อย่างหนึ่ง ลอยวืดเข้ามาทางหน้าต่าง...

    ของสิ่งนั้นตกตุ้บกลิ้งขลุก ๆ เข้ามาใกล้ อาตมาเพ่งมองในความมืดสลัว ก็เห็นว่ามันคือ หัวกระโหลก...! เจ้าประคุณเอ๋ย...เพิ่งเคยถูกผีหลอกซึ่ง ๆ หน้าก็วันนี้แหละ...! เจ้าหัวกระโหลกทำปากพะงาบ ๆ หัวเราะแบบหนังใบ้...

    โยมแม่ของอาตมานั้น เคยถือไม้คานตามตีเปรต ที่มาขอส่วนกุศลกลางป่าไผ่ ในพายุฝน อาตมาก็ลูกแม่คนหนึ่ง ไอ้เรื่องจะกลัวอะไรง่าย ๆ นั้นไม่มีเสียล่ะ .... อาตมากระโดดตะครุบเจ้าหัวกระโหลกทันที...!

    มันกลิ้งหลบแฮะ...อาตมาหมุนตัวตามผีหัวกระโหลกที่กลิ้ง เอาเถิดเจ้าล่อไปรอบที่นอน ไล่ตะครุบจนเหนื่อยไม่ได้ซักที จนมันกลิ้งหนีไปหลบที่มุมมืดของซอกตึก คล้ายจะบอกว่า ขอพักก่อน...

    ที่นอนของอาตมาอยู่ข้างหน้าติดบันได แม่นอนห่างออกไปเกือบสิบเมตร อาตมานึกได้ว่ามีเครื่องทุ่นแรงอยู่ใต้บันได จึงควานได้แป๊บน้ำขนาดหนึ่งนิ้ว ยาวเมตรเศษ ๆ ขนาดกำลังเหมาะมือเลย...

    "คราวนี้แหละแกเอ๋ย...ข้าจะทุบให้กะโหลกกระจายเชียว อยากหลอกกันดีนัก..." ความโกรธที่ถูกหลอกบวกกับ ความพยาบาทจ้องจะล้างแค้น ทำให้อาตมาถ่างตารอเจ้าผีหัวกะโหลกโดยไม่รู้สึกง่วงแม้แต่น้อย...

    นาฬิกาบอกเวลาตีสอง เสียงแมวจรจัดสองตัวขู่ตะคอกใส่กันจนแสบแก้วหู ฟังเสียงแมวอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงเรียกชื่ออาตมาดังขึ้น... อาตมาเงื้อแป๊บน้ำสุดล้า..มาเลย...ไอ้ผีตัวแสบ..!

    “เฮ้ย..นี่ข้าเองนะ...!” เสียงพี่ประสิทธิ์โวยวายจนตื่นกันทั้งบ้าน ที่แท้พี่เขาจะปลุกอาตมาไปไล่แมว ดีที่ตาไวเห็นอาตมาเงื้อแป๊บน้ำจะบ้อมกบาล ไม่งั้นมีหวังถูกอาตมาฆาตกรรมแน่ ๆ ...!

    อาจเป็นเพราะอาตมาไม่กลัว ไม่ทัก ไอ้ผีเลยทำอะไรไม่ได้ ต้องใช้ลูกไม้หลอกให้พี่น้องฆ่ากันเอง ซึ่งจังหวะเวลามันเหมาะเจาะพอดี ทำให้แผนการของมันเกือบจะสำเร็จ กว่าจะอธิบายกันรู้เรื่องก็เกือบสว่างคาตา...

    หากท่านผู้อ่านทั้งหลาย หมั่นเจริญภาวนาจนจิตใจมั่นคง สิ่งลี้ลับอันเป็นภัยมืดเหล่านี้ ย่อมทำอันตรายท่านมิได้ และการเจริญภาวนานั้น ยังเป็นการเพิ่มบุญเพิ่มบารมี ช่วยให้ท่านเข้าถึงจุดหมายในชีวิตได้โดยง่าย...



    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  7. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๗. กายกรรมบนเก้าอี้
    <HR SIZE=1>
    อาตมาติดนิสัยชอบการห้อยโหนโยนตัวมาตั้งแต่เด็ก ขนาดขึ้นไปเล่นไล่จับกับพี่ ๆ น้อง ๆ บนยอดไม้เป็นประจำ ทำไมไม่ตกลงมาคอหักตายซะตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะเคยเกิดเป็นลิงมาหลายชาติก็เป็นได้...


    โตขึ้นมาหน่อยก็เป็นแฟนหนังทาร์ซาน ติดใจ นายจอห์นนี่ ไวท์สมุลเล่อร์ เป็นที่สุด แล้วมาเป็นแฟนยอดหญิงยิมนาสติค นาเดีย โคมานิซี่ มีการถ่ายทอดยิมนาสติคทีไร แทบต้องเอารถขุด มาขุดตัวจากหน้าจอทีวีเลยล่ะ...

    ความบันเทิงประเภทเดียว ที่สามารถควักเงินจากกระเป๋าอาตมาได้ คือ พวกกายกรรมหรือละครสัตว์ อย่างอเมริกันเซอร์คัสนั้น อยากดูแต่ไม่ได้ดู เพราะบวชมาหลายพรรษาแล้ว ขืนแหกคอกไปดู มีหวังถูกขับออกจากวัดเป็นแน่แท้...

    เมื่อมาฝึกกรรมฐานตามแนวของหลวงพ่อ จะด้วยเป็นวิสัยเก่า ๆ ที่ชอบหกคะเมนตีลังกาหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ทำให้อาตมาต้องมาเล่นกายกรรมซะเอง เป็นการเล่นที่เป็นเองโดยไม่ต้องมาเสียเวลาหัดซะด้วยซิ...

    ปกติอาตมาใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ" ซึ่งหลวงพ่อแนะนำว่า เป็นคำภาวนาที่ง่ายและมีผลใหญ่ถึงพระนิพพาน พอมีเวลาว่างจากงานประจำอาตมาจะฉวยโอกาสภาวนาทันทีโดยไม่ยอมหายใจทิ้งเปล่า ๆ อย่างเด็ดขาด...

    การภาวนาของอาตมานั้น แบ่งออกเป็นวันละสามเวลา คือ เช้ามืดตื่นตีสาม ออกกำลังกายแล้วอาบน้ำอาบท่า สวดมนต์นิดหน่อย อ่านกรรมฐาน ๔๐ วันละบท พออารมณ์ทรงตัว ก็จับคำภาวนา จนหกโมงเช้าถึงเริ่มทำงาน...

    รอบกลางวันพักเที่ยง เสียเวลาไปกับการกิน ๑๕ นาที แล้วมุดเข้าไปใต้ท้องรถ จับอารมณ์ภาวนาในอนุสติ ๑๐ ประการ เริ่มจากอานาปานุสติ ที่เป็นแม่บทใหญ่ คือนึกถึงลมหายใจเข้า ออก จนกระทั่งอารมณ์ทรงตัว...

    แล้วใคร่ครวญถึงความดีอันหาประมาณไม่ได้ของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลายเรื่อยไปถึงความดีของเทวดาว่าต้องทรงความดีเช่นไร จึงสามารถเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระอรหันต์วิสุทธิเทพได้...

    จากนั้น ตรึกตรองถึงอานิสงส์ใหญ่ของการบริจาคให้ทานและการรักษาศีล คิดถึงสภาพร่างกาย ที่มีแต่ความสกปรกโสโครก ไม่น่ารักน่าใคร่ ถ้าตายจากมันไปตอนนี้ เราขอไปพระนิพพาน จิตเกาะนิพพานเป็นจุดสุดท้าย...

    การภาวนาช่วงนี้ มีเวลาแค่ ๔๕ นาที อารมณ์บางทีแนบแน่นจนแทบไม่อยากลุกไปทำงานเลย แต่ก็ไม่อาจจะอู้ได้ เพราะชักช้าแม้นาทีเดียว ตีนหนัก ๆ จะลอยมากระทบจนหลุดจากการภาวนาไปเอง...!
    รอบค่ำร่างกายเหนื่อยมากแล้ว หลังจากบริหารร่างกาย อาบน้ำกินข้าวเรียบร้อยก็กราบพระ คิดตามที่หลวงพ่อสอนว่า เราอาจจะตายตั้งแต่คืนนี้โดยไม่ได้เห็นวันใหม่ก็ได้ ถ้าเราตาย เราขอไปนิพพานแห่งเดียว...

    แล้วนึกถึงพุทโธ หงายหลังไม่ทันแตะพื้นก็หลับคร่อกไปเลย แต่ละวันภาวนาได้ไม่สมใจอยาก ต้องมาเพิ่มการภาวนาในวันหยุดคือวันอาทิตย์ ซึ่งการภาวนาในวันหยุดนี้เองที่อาตมาต้องเล่นกายกรรมอยู่เป็นนาน...

    อาตมานั่งภาวนาอยู่ที่โต๊ะบัญชี ครู่หนึ่งก็เห็นแสงสว่างแพรวพราวยังกับเพชรลอยอยู่ข้างหน้า (หลับตาเห็น) แสงสว่างนั้นมีแรงดึงดูดมหาศาล อาตมาต้านไม่อยู่ถูกดูดจนสภาพร่างกายตัวเองก้มลงหน้าติดกับโต๊ะไปเลย...

    แสงนั้นยังคงดูดต่อไป จนหน้ากดลงบนมือที่วางราบบนโต๊ะ แรงกดหนักจนปวดมือเหมือนกระดูกจะแตก จึงเลิกการภาวนาถอนจิตคืนมา อาการก็หายไป ภาวนาใหม่เมื่อไรก็เป็นใหม่อีก...

    พอขยับเก้าอี้ห่างโต๊ะมาก ๆ มันดูดจนศรีษะติดกับปลายเท้า งอก่องอขิงไปเลย พอคิดว่าจะดูดไปถึงไหนวะ...? มันก็เปลี่ยนจากดูดเป็นผลักออกตัวค่อย ๆ ยืดตรง แล้วหงายไปทีละน้อย จนศีรษะติดพื้นดิน...!

    ก้นอยู่บนเก้าอี้กลม ศีรษะกับเท้าติดพื้นอยู่คนละด้าน เป็นการติดท่าสะพานโค้งของยิมนาสติค บางทีติดอยู่เป็นครึ่ง ๆ ชั่วโมง บางทีก็ดิ้นตูมตาม ตกเก้าอี้ไปกองแอ้งแม้งกับพื้นก็บ่อยไป...

    แม้ร่างกายมันจะอาละวาดขนาดไหน จิตมันก็เป็นสุขแนบแน่นกับการภาวนา เป็นอยู่นานนับเดือนกว่าอาการต่าง ๆ จะหมดไป อาตมาทราบภายหลังว่า เป็น ๑ ในปิติทั้ง ๕ ชื่อว่า อุเพ็งคาปิติ

    ถ้าท่านผู้อ่านภาวนาแล้วเป็นแบบนี้ จงอย่ากลัว อย่าตกใจ ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ ไม่นานอาการต่าง ๆ ก็จะหมดไปเอง บางคนกลัวจนไม่กล้าภาวนาทำให้ทิ้งความดีไปอย่างน่าเสียดาย....



    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  8. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๘. ท่องสวรรค์
    <HR SIZE=1>
    อาตมามุมานะฝึกกรรมฐานตามแบบของหลวงพ่อ ก็ด้วยความอยากมีฤทธิ์มีเดช อยากไปเที่ยว นรก สวรรค์ คร่ำเคร่งกับการฝึกแบบเอาเป็นเอาตาย ดีที่ทางบ้านศรัทธาหลวงพ่อทุกคน ไม่งั้นคงจับอาตมาส่งโรงพยาบาลไปแล้ว....

    เย็นวันหนึ่งของปลายปี ๒๕๒๑ พี่ชาย (คุณประสิทธิ์ เพชรชื่นสกุล) ชวนอาตมาไปฝึกมโนมยิทธิที่บ้านท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) โดยบอกว่าใครฝึกวิชานี้ได้สามารถไปนรก สวรรค์ ได้เลย...

    อาตมาแทบเหาะไปด้วยความดีใจ โธ่...เสียเวลาฝึกแทบล้มประดาตายก็เพราะเหตุนี้ พอรู้ว่ามีครูฝึกสอนให้ จะไม่ให้อาตมาดีใจได้อย่างไร กระนั้นก็ยังไปแทบไม่ทันเวลา เพราะเขาจะลงมือฝึกกันแล้ว...

    ผู้เข้ารับการฝึก รวมอาตมากับพี่ชายแล้วมีอยู่แค่เจ็ดคนเท่านั้น ได้รับความเมตตาจากพี่ ๆ ทุกท่าน จัดหาเครื่องบูชาครูมาให้ทุกอย่าง ยกเว้นเงินหนึ่งสลึง ที่อาตมาพาซื่อไปหาแลกมาจนได้ มารู้ทีหลังว่าใส่เกินก็ได้ ขายหน้าชมัดเลย...

    พอสมาทานกรรมฐานเสร็จ ครูฝึกก็ให้ทุกคนภาวนา “นะมะพะธะ” ครู่หนึ่ง พออารมณ์ทรงตัว ก็มีครูฝึกมานั่งอยู่ข้างหน้า แนะนำให้ทำตัวสบาย ๆ สอนให้ทำใจเลิกห่วงร่างกาย แล้วสอบถามว่า...

    “เห็นแสงสว่างมั้ย...?” “ไม่เห็นครับ” “เห็นภาพพระพุทธเจ้ามั้ย...?” “ไม่เห็นครับ” สารพัดจะไม่ครับ...อาตมาก็อยากเห็นอยู่หรอก แต่มันมืดตี๊ดตื๋อ แมวสักตัวก็ไม่เห็น แล้วจะให้บอกว่าเห็นอะไรได้ ทำเอาครูฝึกท้อใจ นั่งเงียบไปเลย...

    พอดีได้ยินเสียงครูฝึกอีกท่าน ที่กำลังสอนศิษย์ของท่าน กล่าวกับลูกศิษย์ขึ้นที่ข้างหลังอาตมาว่า “คุณนึกถึงภาพพระพุทธรูป ที่คุณรักชอบที่สุดดูซิคะ...เห็นชัดมั้ย...?” โอ๊ย...แบบนี้ก็หวานเท่านั้น...!

    อุตส่าห์จับภาพพระมาตั้ง ๓-๔ ปี มีหรือที่จะไม่ชัด เลยบอกครูฝึกว่าเห็นภาพพระแล้ว พลางอธิบายจ๋อย ๆ ไม่ขาดปาก พุทธลักษณะเป็นอย่างไร อธิบายซะละเอียดยิบ จนครูฝึกก็งงว่าอยู่ ๆ อาตมาผีเข้าหรืออย่างไร...?

    ครูฝึกค่อย ๆ ตะล่อมกำลังใจของอาตมา ให้เข้าที่เข้าทางที่ท่านต้องการ จนถึงตรงที่ว่า “นึกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ขอพระองค์โปรดประทับยืนขึ้นด้วย...” เหตุการณ์มหัศจรรย์พันลึกก็เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา...!

    ภาพพระที่อาตมาจับเป็นกสิณนั้น เป็นภาพวาดตอนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ วาดโดย คุณคำนวณ ชานันโท เป็นภาพนั่งสมาธิแท้ ๆ แต่พออาตมากำหนดจิตตามที่ครูฝึกสอน...

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับยืนขึ้นจริง ๆ ...! พุทธลักษณะกลายเป็นปางลีลา พระวรกายเหลืองอร่ามดังทองคำ สว่างไสวจนหาประมาณไม่ได้ อาตมาขนลุกซ่าเห่อไปทั้งตัว...!

    น้อมจิตกราบลงแทบพระยุคลบาท พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์งดงามสุดพรรณา...โอ...สมเด็จพ่อของลูก...! น้ำตาแห่งความปิติไหลพรากลงทันที...

    ยามนี้แม้ตายลงในทันทีอาตมาก็ยินดี ชีวิตนี้ไม่เสียดายอีกแล้ว เรามีโอกาสพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว...ครูฝึกแนะนำให้ตามเสด็จพระองค์ท่านไปยังพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์...

    ขอบารมีพระองค์ท่านขอให้พ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณในทุก ๆ ชาติ ที่เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นพระบนนิพพาน ได้โปรดมาประชุมรวมกัน ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ในบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด...

    ภาพที่ปรากฎพรึ่บขึ้นมาทำเอาตกใจ ทำไมช่างมากมายมหาศาลอะไรอย่างนี้ แน่นขนัดไปหมดในทุกที่ทุกทาง กราบลงแทบเท้าของทุก ๆ ท่าน แล้วตั้งใจดูพระอินทร์ตามที่ครูฝึกบอก อยากเห็นมานานแล้ว...

    เห็นลุงแก่คนหนึ่ง ครึ่งนั่งครึ่งนอนพิงหมอนขวานอยู่บนแท่น ลุงแก่อ้วนพุงพลุ้ย ไว้หนวดยาวโง้ง นุ่งกางเกงขาสามส่วนไม่ใส่เสื้อ มีผ้าขาวม้าพาดชายอยู่สองบ่า สูบบุหรี่มวนเบ้อเริ่ม ควันโขมงเลย...

    “นี่น่ะเหรอ...พระอินทร์....?” คิดแค่นั้นลุงกำนันก็ลุกนั่งตัวตรงถามว่า “จะเอาแบบไหนล่ะ...?” พริบตาเดียวท่านเปลี่ยนให้ดูเป็นร้อยเป็นพันแบบ ในที่สุดก็ทรงเครื่องเต็มอัตรามหามงกุฎยอดแหลมรัศมีสีเขียวสวยจนบอกไม่ถูก...

    กราบลาท่านตามพระไปยังจุฬามณีเจดียสถาน เห็นเจดีย์แก้วสว่างไสวดุจอาทิตย์ยามเที่ยง รายรอบด้วยราชวัตรฉัตรธง และวิหารเจดีย์มณฑป สวยงามเหลือที่จะบรรยาย รู้สึกเย็นฉ่ำชื่นใจจนบอกไม่ถูก...

    พบเทวดาร่างใหญ่ดังภูเขาเฝ้าทางเข้าพระจุฬามณี ท่านบอกว่าชื่อ “มเหสักข์” เรียกท่านว่าพี่ก็ได้ จึงขอให้ท่านนำเข้าไปภายใน เพื่อกราบพระเขี้ยวแก้วและพระเกตุมาลา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...

    ภายในพระจุฬามณีที่กว้างขวางใหญ่โตนั้น เต็มไปด้วยเหล่าเทวดา พรหม และพระอรหันต์ มาถวายนมัสการเป็นพุทธบูชา เป็นหมวดหมู่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่านแบ่งหมู่กันเอง ตามลักษณะของกายทิพย์...


    พระทันตธาตุเขี้ยวแก้ว เป็นเพชรสว่างสดใส พระเกตุมาลานั้นเป็นคล้ายแก้วสีดำละเลื่อม ต่างเปล่งฉัพพรรณรังสีละลานตา อาตมากราบบูชาด้วยความปลาบปลื้มใจเป็นที่สุด นับว่าไม่เสียทีที่เกิดมา...!

    ท่านผู้อ่านทุกท่านจะเชื่อหรือไม่...? บรรดานักปราชญ์ที่โลกยกย่อง ท่านบอกว่า นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี แล้วที่อาตมาพบเห็นอยู่นี่เป็นอะไร ขอทุกท่านใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญดูเถิด...!

    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  9. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๙. นิมิตจากในหลวง
    <HR SIZE=1>
    ๙. นิมิตจากในหลวง

    ประเทศไทยของเราโชคดีกว่าทุกประเทศในโลก เพราะเรามีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงทศพิธราชธรรม เป็นหลักชัยของมหาชนทั้งแผ่นดิน ยิ่งองค์ภูมิพลมหาราชด้วยแล้ว เป็นสุดยอดของพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรมเลยทีเดียว...

    “ท่านผู้รู้” เมตตาเล่าว่า องค์ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของเรานั้นเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยบารมี ได้ทิพยจักขุญาน ตั้งแต่พระชนมายุ ๗ พรรษา ทรงปฏิบัติธรรมได้ละเอียดลึกซึ้งยิ่งนัก สามารถทรงสมาธิได้ทุกเวลาที่ต้องการ...!

    หลังจากออกจากพระจุฬามณีแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วเสด็จนำอาตมาไปยังดินแดนแห่งเอกันตบรมสุข คือพระนิพพาน อาตมาได้พบเห็นเมืองแก้ว แพรวพราวงามระยับจับตา สูงส่งสง่า สงบ เยือกเย็น เป็นสุขสบายจนบอกไม่ถูก...

    อาตมาได้มีโอกาสได้เข้าไปกราบ สมเด็จพระพุทธสิขีทศพลที่ ๑ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกสุด พร้อมด้วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ และพระอรหันตเจ้าทั้งหมด...

    ถ้าใครบอกว่าเป็นการสะกดจิต เป็นการนึกฝันเอาเอง อาตมาก็ยอมให้สะกดจิต ยอมเพ้อฝันเอาเอง ขอให้มีคนสามารถสะกดจิต ให้คนไปนิพพานได้จริง ๆ เถอะน่า จะยอมให้สะกดทั้งชาติเลยซิเอ้า...ถ้าท่านทำไม่ได้ ก็อย่าแสดงความโง่ด้วยการปฏิเสธเลย...!

    ออกจากวิมานขององค์สมเด็จพระบรมสุคต อาตมาก็ตรงไปยังวิมานของตน ที่หน้าวิมานนี่เอง อาตมาพบองค์ในหลวงในเพศพระภิกษุห่มจีวรเหลืองอร่าม ในพระหัตถ์ทรงบาตร ประทับยืนขวางทางอยู่...

    อาตมาถวายบังคมอย่างปลาบปลื้มใจ ทูลถามว่า เสด็จมาด้วยพระประสงค์ใด พระองค์ชี้พระดัชนีลงในบาตร อาตมาเห็นว่ามีน้ำอยู่ครึ่งบาตร และมีเรือสำเภาลำน้อยลอยวนอยู่...
    ทันใดนั้น...อาตมาลงไปอยู่ในเรือได้อย่างไรไม่รู้ น้ำในบาตรกลายเป็นมหาสมุทรกว้างสุดลูกหูลูกตา กระแสน้ำกลายเป็นวังวนมหึมาหมุนวนเชี่ยวกรากน่าสะพรึงกลัว ดูดเอาเรือสำเภาที่มีอาตมาอยู่ในนั้นเข้าไปใจกลางวังวนอย่างรวดเร็ว...!


    “ทำไมมาแกล้งกันแบบนี้...!” อาตมาตะโกนด้วยความตกใจ องค์ในหลวงมีดำรัสว่า "หาทางขึ้นมาซิ..." พริบตานั้น...ปรากฏเส้นเชือกใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพาดจากฝั่งมายังเรือ อาตมาเลือกเชือกเส้นใหญ่ที่สุดปีนกลับขึ้นมาบนฝั่งอย่างง่ายดาย กราบทูลถามว่า "นิมิตนี้หมายถึงอะไรพระเจ้าข้า...?" ทรงตรัสว่า "นานไปแล้วเธอจะรู้เอง"....

    หลังจากนั้นหลายปี มีผู้รู้พยากรณ์นิมิตนั้นว่า เรือสำเภาหมายถึงพระโพธิสัตว์ ผู้บำเพ็ญบารมีมาเพื่อขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารแสดงว่าอาตมาคงบำเพ็ญบารมีมาในด้านนี้ แต่การที่สละเรือขึ้นสู่ฝั่งแปลว่าอาตมาต้องลาจากพุทธภูมิ...!

    เชือกเส้นใหญ่ที่สุดที่อาตมาเลือกเพื่อปีนขึ้นฝั่ง คือหนทางปฏิบัติที่อาตมาเห็นว่ามั่นคงที่สุด ที่จะพาตนพ้นจากวัฏสงสาร เข้าสู่ดินแดนแห่งพระนิพพาน คือการที่อาตมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อนั่นเอง...!

    องค์ในหลวงของเราทรงปฏิบัติภารกิจ เพื่อความอยู่ดีมีสุขของประชาชนทุกถ้วนหน้า อย่างมิคำนึงถึงความเหนื่อยยากของพระองค์ เกียรติคุณของพระองค์ท่าน ขจรขจายไปทั่วโลก ทุกชาติทุกภาษาทั้งอิจฉาทั้งเลื่อมใส ที่เรามีผู้นำที่วิเศษเห็นปานนี้...

    ดวงแก้ววิเศษอยู่กับเราแล้ว อีกกี่ยุคกี่สมัยจึงจะมีเช่นนี้อีก ขอทุกท่านจงคำนึงและยึดมั่นในพระองค์ท่าน สิ่งใดที่เป็นการแบ่งเบาพระราชภาระ และแสดงออกซึ่งความจงรักภักดี ขอทุกคนจงทำสิ่งนั้นอย่างเต็มสติกำลังโดยถ้วนหน้ากันเถิด...

    บารมีพระมากพ้น รำพัน
    พระพิทักษ์ยุติธรรม์ ถ่องแท้
    บริสุทธิ์ดุจดวงตะวัน ส่องโลก ไซร้แฮ
    ทวยราษฎร์รักบาทแม้ ยิ่งด้วย บิตุรงค์




    ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  10. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๐. อานุภาพพระภูมิเจ้าที่
    <HR SIZE=1>
    ๑๐. อานุภาพพระภูมิเจ้าที่


    พระภูมิเจ้าที่เป็นเทวดาประเภทหนึ่ง เรียกว่า ภุมมเทวดา มีหน้าที่รักษาพื้นที่ของโลกมนุษย์ และบันทึกความดีของมนุษย์ส่งต่อท้าวจตุโลกบาล เพื่อนำเสนอต่อพระอินทร์ในการประชุมเทวสภา วิมานของภุมมเทวดาเป็นทองคำหรือเงิน ทั้งหลัง ลอยสูงจากพื้นประมาณ ๑ ศอก แต่ละองค์รับผิดชอบอาณาเขต องค์ละหลายตารางกิโลเมตร...

    น่าสลดใจที่มีบุคคลจำนวนไม่น้อย ที่นอกจากจะไม่เคารพพระภูมิเจ้าที่แล้ว ยังจาบจ้วงด้วยวจีกรรม ที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เช่น ว่าท่านเป็นเทวดาตีนโรงตีนศาล ดีแต่อาศัยชาวบ้านอยู่ ควรจะทุบศาลทิ้งซะให้หมดเรื่อง ที่ใจกล้าหน้าด้านกว่านั้น ก็กล่าวว่าเลี้ยงหมาไว้ยังมีประโยชน์กว่า เพราะหมาเฝ้าบ้านได้ ถ้าภุมมเทวดาเห่าได้เหมือนหมา ก็จะตั้งศาลให้...!

    ท่านคงจะลืมไปว่าเทวดานั้น อย่างน้อยต้องประกอบด้วยคุณธรรม ๒ อย่าง คือ

    ๑. หิริ มีความละอายแก่ใจไม่กล้าทำความชั่วทุกอย่าง
    ๒. โอตตัปปะ กลัวว่าผลของความชั่ว จะทำให้ตกสู่อบายภูมิ

    และต้องมี ศีล ๕ บริสุทธิ์ จึงจะมีสิทธิ์เกิดเป็นเทวดา ไม่ทราบว่าตัวท่านผู้เหยียดหยามเทวดานั้น มีคุณธรรมสูงส่งประการใดจึงกล้ากล่าววาจาเช่นนั้น...

    พระภูมิเจ้าที่แต่ละองค์มีศักดานุภาพแตกต่างกันไป ตามแต่วาสนาบารมีที่บำเพ็ญมา มีที่สังเกตคือให้ดูที่มือขวาของท่าน จากข้อศอกลงไปจะเป็นสีแดง ยิ่งสีแดงจัดมากก็ยิ่งมีอานุภาพมาก ภุมมเทวดาที่เป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงก็มีอยู่ไม่น้อย หลวงพ่อเคยพบภุมมเทวดาที่เป็นพระอนาคามีถามท่านว่าทำไมไม่ไปอยู่ สุทธาวาสพรหม ท่านว่าอยากเป็นแค่นี้...!

    การตั้งศาลพระภูมินั้นเป็นการแสดงความยอมรับนับถือ ว่าเราขออยู่ใต้การดูแลของท่าน ไม่ใช่ไปสร้างบ้านให้ท่านอยู่ วิมานของท่านมีเองอยู่แล้ว สวยกว่าศาลที่เราตั้งให้เป็นล้านเท่า เมื่อเรายอมรับนับถือท่าน มีเรื่องอะไรที่ไม่เกินวิสัย ท่านก็ช่วยสงเคราะห์เราอย่างเต็มที่...

    หลวงพ่อเคยท้ารบกับพระภูมิเจ้าที่ ผู้รักษาวัดบางนมโคมาแล้ว ท่านมาขอให้ตั้งศาลให้ หลวงพ่อบอกว่า ถ้าเก่งจริงถึงจะยอมรับนับถือ เทวดาท่านก็รับคำท้า ปรากฎว่า วันแรกจมูกข้างซ้ายหายใจไม่ได้ วันที่สองจมูกข้างขวาตันไปอีกข้าง ตันขนาดสั่งไม่ออกเลย ต้องหายใจทางปากแทน จึงยอมตั้งศาลให้ ไม่งั้นวันที่สามคอจะตันไปด้วย องค์นี้มือขวาแดงแช้ดเลย...

    การตั้งศาลพระภูมินั้น มีหลักเกณฑ์คือ ตัวศาลต้องอยู่ทางทิศเหนือ หรือตะวันออก หรือ ตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้านเท่านั้น (ทิศใต้เป็นทิศของอากาศเทวดา ห้ามตั้งทางทิศใต้อย่างเด็ดขาดอาจถึงตาย) หน้าศาลหันไปทิศใดไม่จำกัด แต่ตัวศาลต้องอยู่ในทิศดังกล่าว หลวงพ่อบอกว่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือดีที่สุด ทิศตะวันออกมักให้หวยแม่น (จุดธูปขอกับท่าน แล้วเอากระดาษกับดินสอใส่ไว้ในศาล ใกล้รุ่งให้รีบไปดู ถ้าสว่างตัวเลขจะเลือนหายหมด) ผู้ที่บอกว่าไม่มีที่ตั้งศาล ให้ดู คุณเซียวมิ้น กาญจนอุทัย เป็นตัวอย่าง หลวงพ่อบอกให้ตั้งศาลที่หัวเตียง งวดนั้นถูกรางวัลที่ ๕ ซะหลายใบ...!

    ที่อู่ซ่อมรถของพี่ประสิทธิ์ มีศาลพระภูมิอยู่หนึ่งหลัง อาตมาบูชาท่านทุกวัน จะออกจากบ้านก็บอกท่านว่า “ปู่ครับ...ผมกลับมาแล้ว ขอบพระคุณมากนะครับ” ทุกวันพระจะจัดข้าวปลาอาหารชุดเล็ก ๆ ถวายท่านหนึ่งชุด ท่านก็ช่วยคุ้มครองรักษา ให้ทุกคนอยู่เย็นเป็นสุขตลอดมา...

    ทำไมอาตมากล้ากล่าวเช่นนั้น...? ก็ซอยที่ตั้งอู่นั้น เป็นแหล่งรวมยาเสพย์ติดและการพนันทุกชนิด บรรดาสิงห์เฮโรอีน ทินเนอร์ กัญชา เดินชนไหล่กันทุกวัน ข้าวของชาวบ้านหายเป็นประจำ วันดีคืนดี ตำรวจก็ปิดซอยกวาดล้างกันที วิ่งหนีกันตกน้ำตกท่า ของอะไรที่พอจะเปลี่ยนเป็นเงินได้ เผลอเมื่อไรเป็นหายวับติดมือเจ้าพวกนี้ไปทันที...

    บ้านช่องของใครเจ้าของไม่อยู่ จะมีผู้ถือวิสาสะเข้าไปช่วยขนข้าวของไปอย่างหน้าตาเฉย ปิดประตูสามชั้นมันก็ปีนหลังคา งัดกระเบื้องมุดฝ้าเข้าไปแทน...ทีนี้บ้านของพี่ชายคือ พี่ก้องเกียรติ กับ พี่ประสิทธิ์นั้น มีรั้วเฉพาะด้านหน้าเท่านั้น ด้านข้างกับด้านหลังปล่อยโล่งทิ้งไว้เย้ยฟ้าท้าดินเล่นโก้ ๆ ซะอย่างนั้นแหละ...

    ทีนี้เมื่อมีการฝากกับพระภูมิเจ้าที่แล้ว ทั้งที่โล่งโถงปานนั้น แถมทิ้งเครื่องมือซ่อมรถไว้เกลื่อนอู่ ตลอดห้าปีไม่เคยหายซักชิ้น มีกางเกงที่อาตมาใส่ทำงาน ถูกสอยไปตัวเดียว อาตมาดีใจแทบแถมเงินให้มันด้วยซ้ำ เพราะใส่มาตั้งหลายปี อยากได้ของใหม่เต็มทีแล้ว...

    บ้านพี่ก้องเกียรติถูกงัดครั้งหนึ่ง โทรทัศน์ ตู้เย็น หม้อไฟฟ้า มันไม่แตะเลย เอาแต่วิทยุเทปรุ่นคุณย่ายังสาวไปเครื่องเดียว ซึ่งพี่เขาก็อยากแถมตัวแปลงไฟให้มันไปเช่นกัน ถ้าพระภูมิเจ้าที่ไม่สงเคราะห์ คงถูกขนหมดบ้านตั้งแต่ปีแรกแล้ว...!

    ก่อนนอนอาตมาบอกพระภูมิท่านว่า “ปู่ครับ...ถ้ามีเหตุร้ายปลุกผมก่อน ๑๕ นาทีนะครับ” และแล้วคืนหนึ่ง...เวลาตีหนึ่งกว่า ก้อนดินขนาดหัวแม่มือก้อนหนึ่ง หล่นป๊อกลงที่หัวนอน อาตมาคว้าลูกซองห้านัดแบบกึ่งอัตโนมัติขอบราวนิงก์ติดมือ ย่องออกจากห้องอย่างเงียบกริบ แต่มาเสียท่าตรงเปิดประตูบ้าน มันลั่น...แ..อ๊...ด...ด...!

    เสียงฝีเท้าไม่ต่ำกว่าสามคู่ เผ่นออกนอกเขตบ้านไปทันที อาตมาเลื้อยตามไปดูที่นอกรั้ว เห็นแต่ไฟบุหรี่แดงวาบ ๆ อยู่เท่านั้น ซุ่มรอจนฝ่ายตรงข้ามหมดความอดทน พากันหนีกลับไปจนหมด อาตมาจึงกลับเข้าบ้าน...

    เปิดไฟหยิบเอ้าก้อนดินก้อนนั้นเก็บไว้เป็นที่ระลึก ก่อนนอนอาตมาแง้มบานเกล็ดหน้าต่างไว้นิดเดียว ต้องขว้างย้อนจากข้างล่างขึ้นบน ก้อนดินนี้จึงมีสิทธิ์เข้ามาในห้องได้ แต่ว่าเจ้าดินก้อนนี้มันตกลงมาตรง ๆ จากหลังคา...!

    หลังจากบวชแล้วไม่นาน อาตมาก็ “ฝัน” ว่าไปเยี่ยมบ้าน เห็นมีแสงสว่างล้อมรอบศาลพระภูมิ เป็นวงกลมใสสะอาด กว้างประมาณสองเมตร นอกนั้นมืดตื๋อไปทั้งบ้าน อาตมาถามพระภูมิเจ้าที่ท่าน ว่าเป็นเพราะเหตุใด...?

    พระภูมิท่านบอกว่า พี่ประสิทธิ์ไม่ทราบว่าเห็นผิดเป็นชอบประการใด เอาของขลังจากหมอไสยศาสตร์ชาวอิสลามเข้ามาไว้ในบ้าน บอกว่าช่วยให้การงานดีขึ้น ท่านเองไม่ทราบว่าจะขัดขวางอย่างไร จึงได้แต่รักษาเฉพาะตนเท่านั้น...!


    ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  11. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๑. คาถามหาประสาน
    <HR SIZE=1>
    ๑๑. คาถามหาประสาน

    คาถาแต่ละบทนั้น ผูกขึ้นโดยครูบาอาจารย์ที่ทรงอภิญญาสมาบัติอย่างหนึ่ง หรือได้มาจาก พระ หรือพรหม หรือ เทวดา ท่านมาบอกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าหากเราเชื่อถือ และตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความเคารพเลื่อมใสแล้ว ท่านเจ้าของคาถาก็จะแผ่บารมีลงมาช่วยให้คาถานั้น ๆ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ สมดังความปรารถนาของเราทุกประการ...

    การเล่นคาถานั้นเป็นการทดสอบตรง ๆ ว่าเรามีความลังเลสงสัยในครูบาอาจารย์หรือไม่เพียงใด เพราะคาถาบางบท ฟังดูแล้วตลกขบขันไม่น่าเลื่อมใส บางทีก็เป็นคำด่าที่หยาบคาย ไม่น่าจะมีสรรพคุณ ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกเลยซักนิดเดียว...!

    หลวงพ่อเล่าว่า หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ จังหวัดสุพรรณบุรี มีคาถาบทหนึ่ง ถ้าท่านขึ้นกุฏิจุดธูป แล้วด่าลั่นไปสามบ้านแปดบ้านเมื่อไร ชาวบ้านจะขนเอาผักหญ้า ข้าวสาร อาหารแห้ง มาถวายให้ท่านเลี้ยงพระเป็นหาบ ๆ เลย หลวงพ่อถามท่านว่า ทำไมต้องด่ากันหยาบคายขนาดนั้นด้วย...? ท่านตอบว่า “ก็คาถามันเป็นอย่างนั้นเองนี่หว่า...!”

    หลวงพ่อบอกว่า คาถาเป็นบาทของอภิญญา คือขั้นต้นของอภิญญา เพราะสมาธิจิตของคนเล่นคาถานั้น ต้องเข้มระดับใกล้อภิญญา ไม่อย่างนั้นเล่นคาถาไม่ขึ้น ที่สำคัญคือต้องเป็นคนจริงจังไม่เหลาะแหละมีสัจจะตั้งมั่น โดยเฉพาะตัวสัจจะสำคัญที่สุด จะเห็นได้จากบรรดาอ้ายเสือยุคก่อน ปล้นเขากินแท้ ๆ แต่กลับอยู่ยงคงกระพัน เป็นที่ปวดเศียรเวียนเกล้าของเจ้าหน้าที่ผู้ปราบปราม เหตุที่พวกนี้หนังดี เพราะเล่นของเล่นคาถา และมีสัจจะมั่นคงนั่นเอง

    ตัวสัจจะที่แต่ละคนยึดมั่น แตกต่างกันไปตามแต่ครูบาอาจารย์สั่งมา บ้างก็ห้ามลอดราวผ้า ห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามกินผักผลไม้บางอย่าง ที่เชื่อว่าล้างอาถรรพ์ได้ เช่นผักกระเฉด ฟัก แฟง แตง น้ำเต้า เป็นต้น ถ้าครูบาอาจารย์เป็นพระ ส่วนมากก็จะให้ลูกศิษย์ ถือศีล ๕ อย่างเคร่งครัด ถ้าศีลบกพร่อง คาถาก็เสื่อม เป็นต้น

    หลวงพ่อของอาตมานั้น ท่านมีกุศโลบายยอดเยี่ยม ในการสอนศิษย์ทุกประเภท ถ้าเป็นนักรบเก่าอย่างอาตมา ท่านจะหลอกให้คาถาไปภาวนา โดยกำชับว่า ต้องภาวนากันจริง ๆ และต้องรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นจะทำคาถาไม่ขึ้น...

    อาตมาได้คาถาไปก็ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ภาวนากันแบบเอาเป็นเอาตาย พอได้ผลก็วิ่งโร่หน้าบานมารายงาน หลวงพ่อก็จะให้คาถาบทใหม่ ที่มีอานุภาพแปลก ๆ ไปภาวนาใหม่ กว่าจะรู้ตัวก็ติดการภาวนาและรักษาศีลจนเป็นนิสัย ทีนี้หลวงพ่อก็เปลี่ยนให้ใช้การภาวนาพิจารณาตามแบบ กรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัฏฐานสูตร หรือ วิปัสสนาญาณ ๙แทน ผลก็คือสามารถทำได้เร็วกว่าการปฏิบัติตรง ๆ ตามปกติ...

    วันหนึ่ง...หลวงพ่อบอก “คาถามหาประสาน”ให้ คาถาบทนี้หากทำถึงที่สุด ต่อให้เกิดบาดแผลใหญ่ขนาดไหน ก็สามารถเป่าให้แผลนั้น ประสานติดเป็นเนื้อเดียวกัน โดยไม่มีแผลเป็นหลงเหลืออยู่ ซึ่งดีกว่าศัลยกรรมใหม่หลายเท่า เพราะไม่ต้องเสียเงินซักบาท...

    คาถานี้มีเคล็ดสำคัญ คือต้องใช้ใบตองสดปิดแผล แล้วกลั้นใจว่าคาถาเป่าลงไป ตัวคาถาว่าดังนี้...

    “วะโรวรัญญู วะระโท วะราหะโร อนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ”

    อาตมาภาวนาคาถานี้อยู่เป็นนาน แต่โอกาสทดลองไม่ค่อยมีเพราะไม่ได้รับบาดแผลบ่อยนัก แรก ๆ เป่าลงไป พอเปิดใบตองดู เลือดก็ยังไหลโกรกเหมือนเดิม กว่าจะได้เป่าอีกหน อาจจะสองเดือนครึ่งปีไปโน่น พยายามแล้วพยายามเล่า ในที่สุด ก็สามารถเป่าให้เลือดหยุดไหลได้...

    หลังจากทบทวนว่า ใช้กำลังใจอย่างไร ใช้สมาธิระดับไหน พอแน่ใจแล้วอาตมาก็นอกครู เพราะขี้เกียจไปหาใบตองสด เอามือปิดแผลว่าคาถาเป่าไปเลย...มันง่ายดี...ผลก็คือเป่ากี่ทีก็เลือดนองอย่างเก่า กลั้นใจซะหน้าเขียว เป่าจนตาเหล่ก็ไม่เป็นผล...!

    เลยต้องยอมแพ้ไปหาใบตองมาปิดแผล เป่าปุ๊บเปิดดู เลือดหยุดแล้ว เฮ้อ...แปลว่าคำสั่งครูบาอาจารย์คือพรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ต้องเทิดไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า อย่าได้บังอาจฝ่าฝืนเป็นอันขาด ถ้าเป็นบาดแผลขนาดใหญ่ หัวรั้นนอกครูอย่างอาตมา คงวายชีวาไปแล้ว...
    แต่อาตมาทำคาถาบทนี้ไม่ถึงที่สุด เพียงเป่าให้เลือดหยุดไหลเท่านั้น บาดแผลต้องไปให้หมอเย็บกันเอาเอง เลยไม่ใช่คาถามหาประสาน กลายเป็นคาถาห้ามเลือดไปซะฉิบ...และ ห่างต้นกล้วยไม่ได้เลย ขาดใบตองสดเมื่อไร ต้องปล่อยตามเวรตามกรรมเมื่อนั้น...


    ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  12. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๒. คาถาเรียกเงิน

    ขึ้นชื่อว่าเงินตรา รู้สึกว่ายุคสมัยนี้จะซื้อได้แทบทุกอย่าง แม้แต่ศีลธรรมจรรยา ถ้าเงินเข้าทางประตู ศีลธรรมก็ถูกเบียดออกทางหน้าต่างจนมีคนให้สมญาแก่เงินว่า “พระเจ้า” แต่คงเป็นพระเจ้าที่โหดร้ายอยู่สักหน่อย เพราะถ้าขาดเงินเสียแล้ว รู้สึกว่าจะหาน้ำใจยากเหลือประมาณ ยิ่งในกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ ขาดเงินก็เหมือนขาดใจ พึ่งพาใครไม่ได้เลย...

    ยิ่งมาสมัยของแผ่นเงินพลาสติค อยากซื้ออะไรก็รูดบัตรเอง ความแล้งน้ำใจก็ยิ่งมากเป็นเงาตามตัว อาตมาเคยฝันเฟื่องว่า ถ้าสามารถเสกเงินได้เมื่อไร จะแจกจ่ายแก่คนทั่วไปให้สนุกไปเลย อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะนา...คนเสกเงินได้มีจริง ๆ นะ...!


    ท่านคือขรัวอีโต้ ฆราวาสผู้ทรงอภิญญา เป็นสหายทางธรรมของหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค ท่านขรัวอีโต้มีวิชาดักเงินด้วยลอบ ตกเย็นท่านจะเอาลอบดักปลาใบเล็ก ๆ ไปแขวนไว้บนต้นไม้ ตอนเช้ามืดก็ขึ้นไปเอาลงมา มีธนบัตรใบละ ๑๐ บาท ใหม่เอี่ยมติดมาด้วย สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยว ๒ ชาม ๕ สตางค์ ได้วันละ ๑๐ บาทก็รวยอื้อแล้ว...!

    ส่วนท่านที่เสกเงินได้คือ หลวงพ่อเอง ท่านไปพบคาถาเสกข้าวตอกเป็นเงินที่หลวงปู่ปานทิ้งไว้ให้ทดลอง เลยไปขโมยข้าวตอกที่หลวงปู่เก็บไว้สำหรับทำข้าวตอกน้ำกะทิมาเสกเป็นเงิน พอทำคล่องตัว แค่กำข้าวตอกหว่านไป กลายเป็นเหรียญเงินร่วงกราว เด็ก ๆ วิ่งเก็บกันเป็นที่สนุกสนาน...

    หลวงพ่อน้อมกับหลวงพ่อสวัสดิ์เอาอย่างบ้าง แต่หลวงพ่อทั้งสองเป็นพระอภิญญา พอโรยข้าวตอกไป มันกลายเป็นเหรียญทองคำซะนี่...สนุกได้พักเดียว หลวงปู่ปานโผล่มาทางไหนไม่รู้ โดนตะพดเคาะกบาลไปตาม ๆ กัน แถมต้องหาข้าวเปลือกมาคนละกระบุง คั่วเป็นข้าวตอกเอาไปคืนอย่างเดิม ไม่อย่างนั้นโดนตะพดอีกแน่ ๆ ...!

    แต่การเสกแบบนี้ เอาเงินไปใช้ไม่ได้ เพราะเมื่อถึงเวลากำหนดเงินจะกลายเป็นข้าวตอกอย่างเดิม คนที่รับเป็นคนสุดท้ายก็ซวยไป...แต่มีคาถาบทหนึ่งเวลาทำขึ้นแล้ว ข้าวของเงินทองต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างน่าพิศวง คล้ายกับเรียกเงินมาได้ และเงินที่ได้มาใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายซะด้วย คาถาบทนี้ชื่อ “คาถาพระปัจเจกโพธิโปรดสัตว์”เรียกกันง่าย ๆ ว่า “คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า”...

    พระปัจเจกพุทธเจ้าก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง แต่ละองค์สร้างบารมีมาเพื่อตรัสรู้เองเท่านั้น ไม่ต้องการรับภาระ ขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไปหาพระองค์เพื่อศึกษาวิธีการ พระองค์ก็จะสอนให้ แต่สำหรับคนทั่วไปแล้ว พระองค์จะสอนเฉพาะ การปฏิบัติความดีเบื้องต้น ไม่สอนถึงมรรคผลนิพพาน...

    ระยะเวลาที่ปรากฏมีพระปัจเจกพุทธเจ้า คือระยะที่ว่างลงของพระศาสนา ระหว่างที่สิ้นพระศาสนา ก่อนจะปรากฏพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ขึ้น ช่วงเวลา “หนึ่งพุทธันดร”นั้น จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้าเกิดขึ้นทีละมาก ๆ ...

    พระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเถระมหาลาภ เพราะชอบเข้านิโรธสมาบัติแล้วเสด็จไปโปรดผู้ที่วาระของบุญแสดงผล ทำให้บุคคลนั้นร่ำรวยขึ้นมาอย่างฉับพลัน...

    หลวงพ่อเล่าว่า หลวงปู่ปานเรียนคาถาบทนี้มาจาก “ครูผึ้ง”ชาวนครศรีธรรมราช คราวที่หลวงปู่ธุดงค์ไปทางใต้ ครูผึ้งนั้นชาวบ้านเรียกท่านว่า “ผึ้งบุญ” หมายถึง ผึ้งผู้ใจบุญ หรือผึ้งผู้มีบุญ ใครไปขอให้ท่านช่วยทำบุญ ท่านจะช่วยเขารายละ ๑๐๐ บาท สมัยนั้น เงิน ๕ สตางค์ ซื้อก๋วยเตี๋ยวได้ ๒ ชาม คนได้เงิน ๑๐๐ บาท คงนอนไม่หลับไปหลายคืน...!


    หลวงปู่ปานกลับจากปักษ์ใต้ มาพักที่วัดสระเกศ หลังจากฉันแล้ว ท่านก็พูดถึงคาถาบทนี้ แต่ไม่มีใครสนใจ ยกเว้นนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ้าของห้างขายยาตราใบโพธิ์ ชาวท่าเตียน จังหวัดพระนครเพียงผู้เดียว หลวงปู่ปานจึงมอบคาถาให้ไป และกล่าวว่า หากนายประยงค์ทำคาถานี้ไม่มีผล ท่านจะไม่ถ่ายทอดให้ใครอีก คาถาว่าดังนี้...


    พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ
    วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา วิระทาสี
    วิระทาสา วิระอิตถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ
    พุทธัสสะ สวาโหม

    นายประยงค์ ตั้งตรงจิตร ตั้งใจนำไปปฏิบัติ ตอนเช้าจุดธูปไหว้พระภาวนาคาถานี้จนใจตั้งมั่น จึงเปิดร้านทำการค้าขาย จะหยิบยามาบรรจุดห่อจำหน่าย ก็ว่าคาถา ๙ จบ จะเอายาออกขาย จะเอายาเก็บ ก็ว่าคาถา ๙ จบ จะเอาเงินออกใช้ จะเอาเงินเก็บ ก็ว่าคาถา ๙ จบ ชั่วเวลาไม่นานก็ปรากฏผล ทั้งยาและเงินที่นับดีแล้ว เวลานับใหม่ จะเกินมามาก ๆ ทุกที ค้าขายจนร่ำรวยมหาศาล ปวารณากับหลวงปู่ว่า ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม หากขาดปัจจัยเท่าไร ขอถวายทั้งหมด...!

    มารดาของนายประยงค์ ตั้งตรงจิตร เจ็บป่วยไปไหนไม่ได้ นอนภาวนาคาถานี้อยู่ทุกวัน วันหนึ่ง ท่านเห็นมีแสงสีทองสว่างจ้า พุ่งหายเข้าไปในตู้เก็บเงิน จึงเรียกลูกชายมาเปิดดู เห็นภายในตู้ซึ่งแต่เดิมทิ้งว่างไว้ มีธนบัตรใบละร้อยเป็นมัด ๆ อัดอยู่แน่นทั้งตู้เลย...!

    อีกรายคือ นายแจ่ม เปาเล้ง ชาวดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี มีอาชีพทำไร่ ได้คาถานี้ไปก็บอกกับลูกหลานว่า “หลวงพ่อปาน บอกว่า ภาวนาคาถานี้แล้วรวย ข้าจะภาวนาทุกวัน พวกเอ็งมีหน้าที่ส่ง ข้าวส่งน้ำเท่านั้น ห้ามรบกวนเรื่องอื่นเป็นอันขาด...” ลูกหลานก็แสนดี ปล่อยแกภาวนาอย่างเป็นล่ำเป็นสันไปคนเดียว...

    เมื่อถึงหน้าเก็บเกี่ยว ไร่พริกของนายแจ่ม ที่ดูต้นแคระแกร็น ใบหงิกใบง่อย กลับเก็บได้มากกว่าคนอื่นเขา ทั้งน้ำหนักมาก ขายได้ราคาดี เป็นที่ต้องการของตลาดมาก และที่สำคัญคือ ของคนอื่นเก็บ ๒-๓ ครั้งก็หมด ของนายแจ่มเก็บตั้ง ๕-๖ ครั้ง ยังไม่อยากจะหมด ปีนั้นได้กำไรใช้หนี้หมด แล้วยังเหลือเงินปลูกเรือนหลังใหญ่สบายไปเลย...!

    อาตมาได้คาถาไปจากหลวงพ่อ ก็ตั้งใจภาวนาเป็นกรรมฐาน คือปกติใช้ “พุทโธ” หรือ “นะมะพะธะ” ก็ภาวนาคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้าแทน อาตมาทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายของตนอย่างละเอียดทุกเดือน อยู่มาวันหนึ่ง...

    อาตมาพกเงินไปซื้อของสามร้อยกว่าบาท เหตุที่ต้องเอาไปแค่พอซื้อของ เพราะว่าอาตมาเป็นคนใจง่าย ถ้าพกไปเยอะ ๆ มีเท่าไรก็หมด... เมื่อซื้อของไปประมาณสามร้อยแล้ว อาตมาก็กลับบ้านมาทำบัญชี...

    พอเอาเงินที่เหลือออกมานับ มันยังคงเหลืออยู่สามร้อยกว่าบาท...! ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นแบบนี้บ่อย ๆ เสียอย่างเดียวว่า เรียกเงินมาตอนไหนก็ไม่รู้ ถ้ารู้คงได้ใช้กันลื่นไปเลย แต่ถ้าไปบอกคนอื่นเมื่อไรจะหยุดไปนานกว่าเงินจะมาอีก คือถ้าทำได้ก็มิบังควรไปอวดใคร หาไม่จะถูกตัดการช่วยเหลือ เช่นเดียวกับอาตมาฉะนี้แล...ฯ


    ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  13. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๓. ผีนางไม้

    ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดกล่าวไว้ ว่าเกิดมาเป็นลูกผู้ชายชาติหนึ่ง ถ้าต้องการรู้ว่าความเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่างการเป็นทหาร กับการบวชพระ แล้วจะซาบซึ้งว่า รสชาติของชีวิตเป็นอย่างไร...!

    อาตมาเกิดมาโชคดีเสมอ อะไรที่เพิ่มความมันแก่ชีวิต มักจะได้พบมากกว่าเขา เป็นทหารก็เป็นซะเอียน ตอนนี้ยังบวชพระอยู่อีก ขอให้คำจำกัดความง่าย ๆ ว่า “เป็นทหาร ลำบากกาย เป็นพระลำบากใจ” ถ้อยคำสั้น ๆ แค่นี้ จะแฝงความหมายสาหัสสากรรจ์เพียงไร ผู้ที่ผ่านมาแล้วเท่านั้น ที่จะซาบซึ้งจนน้ำตาร่วง...!

    ด้วยเหตุจำเป็นบีบบังคับ ทำให้อาตมาต้องเป็นผู้เสียสละ หลบไปเรียนวิชาทหารและรับใช้ชาติอยู่ระยะหนึ่ง ตั้งแต่วาระแรกที่เหยียบย่างเข้าไป จนเบื่อระบบนายใครนายมัน ออกจากราชการมา บอกได้เลยว่า ไม่เคยพบความสุขใจเลยแม้แต่นิดเดียว...!

    ท่านลองนึกภาพดู...ว่าถ้าเป็นท่านแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องตื่นนอนแต่ตีห้า ภายในสามนาที ต้องอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันเข้าส้วม แต่งกายให้เรียบร้อย แล้วลงมาเข้าแถว จัดระเบียบแถวให้เรียบร้อย ขอย้ำ...ภายในสามนาทีเท่านั้น...!

    หากไม่ทันหรือ...? สารพัดการลงโทษที่ท่านจะได้รับ จากนั้นก็วิ่งไปเถอะ จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วมาเล่นกายบริหารอีกเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กินข้าวเช้าบางทีเกือบจะได้เวลาเคารพธงชาติ ก่อนจะกินยังพบการทรมานจิตใจสารพัด บางทีให้เวลากินนาทีเดียว ซึ่งท่านไม่มีโอกาสโวย ไม่อย่างนั้นอด...!

    รีบ ๆ ยัดอาหารลงกระเพาะ แล้วไปตั้งแถวเคารพธงให้ทัน จากนั้นเป็นการตรวจร่างกาย ใครแต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่โกนหนวด ไม่ตัดเล็บ รับเละลูกเดียว...! แล้วลงสนามฝึก ทั้งระเบียบแถว ท่าอาวุธ ยุทธวิธีในการรบ กว่าจะได้หยุดก็เที่ยงกว่า ยัง...ยังไม่ได้กินหรอก ต้องเดินแถวสวนสนาม จนกว่าครูฝึกจะพอใจ แล้วไปพบกับการกลั่นแกล้งทุกรูปแบบในโรงเลี้ยง จะได้กินแต่ละมื้อแทบน้ำตาร่วง...!

    เสร็จจากอาหารก็บ่ายโข ไปลงสนามฝึกต่อจนห้าโมงเย็น เวลาจะขึ้จะเยี่ยวยังไม่มี ไปวิ่งออกกำลังยามเย็นต่อ แล้วไปทนทรมานในโรงเลี้ยงอีกรอบ ถึงได้อาบน้ำอาบท่า ไม่ใช่นอนพัก ทฤษฎียังรออยู่อีกบานตะไท ไปเข้าห้องเรียนซะดี ๆ ...

    เกือบสามทุ่มเลิกเรียน ให้เวลาจัดที่หลับที่นอน และขัดเครื่องหมาย รองเท้า เข็มขัด ทุกชิ้นต้องเงาวับ สามทุ่มตรงเป๊ะแตรนอนดังต้องหลับทันที ใครขยุกขยิกแม้แต่นิดเดียวถือว่าไม่อยากนอน ต้องลงไปวิ่งอยู่คนเดียว หรือ ถ้าโชคดีก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรม ที่หลับนั้นอย่าเพิ่งฝันดี...สี่ทุ่มนกหวีดปลุกดังสนั่นหวั่นไหว ไปฝึกการรบเวลากลางคืน ห้ามชักช้างัวเงีย ไม่เช่นนั้นเจ็บตัว...!

    กว่าจะจบการฝึกก็ตีสองขึ้นไปนอนได้ แต่พวกเวรยามต้องถ่างตาต่อไป ตีห้าแตรปลุก ให้ลุกไปพบกับระบบนี้ของวันใหม่ ใครทนไม่ได้จะหนีก็เชิญ ถ้าไม่มีค่ารถจะแถมให้ ไปเป็นคนเถื่อนไม่มีชื่อในทะเบียนบ้าน เกิดอะไรขึ้นมีหวังติดคุกหัวโต...!

    นั่นแค่ภาคที่ตั้งเท่านั้น ภาคป่าและเขานั้น ท่านต้องลุยไปแก้ปัญหาการฝึก ครึ่งเดือนไม่ได้อาบน้ำซักหยด ตัวเหม็นกว่าสกั๊งค์หลายเท่า เดินจนรองเท้าคอมแบ็ทพังเป็นคู่ ๆ กว่าจะแก้ปัญหาแต่ละจุดได้ แทบอ้วกเป็นเลือด...!

    ภาคที่ลุ่มนั้นระยะทางแค่ ๑๐๐ เมตร ให้เวลาตั้งแต่ ๑ ทุ่มถึงตี ๕ ยังไม่แน่ว่าท่านจะลุยโคลนถึงอกขึ้นฝั่งมาได้หรือไม่... ภาคทะเลนั้นท่านต้องฝึกร่วมกับมนุษย์กบที่มาจากหน่วยทำลายใต้น้ำของราชนาวี แต่ละคนว่ายน้ำอย่างกับปลา ให้เราแบกเรือยางวิ่งจนเม็ดทรายฝังเข้าหนังหัว เอาเราไปทิ้งกลางทะเลให้ว่ายน้ำกลับเอง หรือสามวันทิ้งให้อยู่บนเกาะร้างมีมีดให้หนึ่งเล่มกับน้ำอีกหนึ่งลิตร ทำอย่างไรก็ได้ที่ท่านจะรักษาชีวิตไว้ จนกว่าเขาจะมารับ...!

    ยังไม่หมดง่าย ๆ หรอก วิ่งเจ็ดไมล์นี่เจอทุกวัน ค้นแผนที่ปัญหาจากศพอย่างนี้ กระโดดร่มจนไส้เลื่อนแทบรับประทาน หรือดิ่งพสุธาจากผาสูงด้วยเชือกเส้นเดียว ท่านจะไม่กระโดดก็ได้ ครูฝึกยินดีช่วยถีบส่งให้...! เขาโหดร้ายต่อท่าน เพื่อให้ท่านรักษาชีวิตอันมีค่าไว้ได้ในยามที่เกิดการรบขึ้นมาจริง ๆ ...!

    ความทุกข์สาหัสทั้งกายทั้งใจของการฝึกทหาร ไม่ได้หนึ่งในร้อยของการบวชพระ ที่มีเงื่อนไขว่า “ต้องเอาดีให้ได้” จะไม่เอาดีก็ไม่มีใครว่า ไฟนรกลุกท่วมฟ้ารอท่านอยู่ ไม่ต้องไปเลือกให้เสียเวลา “อเวจีมหานรก” คือที่ไป...!

    อาตมาถูกส่งไปเปลี่ยนกำลังพล ที่พื้นที่ชายแดนสามอำเภอของจังหวัดปราจีนบุรี คือวัฒนานคร อรัญประเทศ และตาพระยา หลังเหตุการณ์ที่บ้านโนนหมากมุ่นจบลงใหม่ ๆ มีการปะทะใหญ่ ๆ ย่อย ๆ เกือบสามสิบครั้ง สูญเสียเพื่อนรักและเจ้านายไป ๒๖ คน...!

    ปกติฐานแต่ละแห่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนพื้นที่กัน ฐานละ ๔ เดือน แต่อาตมาติดอยู่ที่ฐานหน้าตาพระยาเกือบครึ่งปี เพราะปะทะติดพันเปลี่ยนกำลังไม่ได้ และที่นี่เอง ที่อาตมาได้พบกับสิ่งมหัศจรรย์ต่าง ๆ มากมาย...!

    เวลาว่างเว้นจากการรบ ฝ่ายหมอเสนารักษ์ก็ทำการรักษา ทั้งชาวบ้านทั้งทหาร ที่บาดเจ็บ ฝ่ายกำลังพลก็ตรวจตราการวางกำลัง ต้องพร้อมรบอยู่ทุกขณะจิต อาตมาอยู่กับส่วนบัญชาการกองร้อย เมื่อว่างจากเวรยาม ก็ตรวจตราอาวุธ และซักซ้อมการใช้เพื่อความคล่องตัว ที่ชอบเป็นที่สุด คือ การซ้อมขว้างดาบปลายปืน...

    ตั้งแต่ระยะห่าง ๗ ก้าว ถึง ๑๒ ก้าว เป็นระยะที่อาตมาแม่นยำที่สุด เป้าหมาย คือ ต้นไม้ใหญ่ที่สมมุติเป็นตัวคน เพื่อนก็ช่วยกันขว้างจนพรุนไปเป็นต้น ๆ พอเบื่อก็เปลี่ยนต้นใหม่ วันหนึ่ง...เพิ่งเปลี่ยนไปขว้างต้นใหม่กัน พอเที่ยงคืนเพื่อนก็มาปลุกไปเข้าเวร...

    ตีหนึ่งกว่า อาตมานั่งถ่างตาอยู่คนเดียว ที่ด่านตรวจหน้าฐาน เห็นหญิงสาวคนหนึ่งตรงมาหา อาตมาคิดว่าเป็นชาวบ้าน ที่มาตามหมอไปช่วยรักษาคนป่วย แต่แปลกที่ถามอะไรเธอไม่ยอมตอบซักคำ พอเพ่งดูถนัด อตามาก็เย็นวาบไปทั้งตัว...!

    ในความมืดสนิทนั้น อาตมากลับเห็นเธออย่างชัดเจน เธอใส่ผ้าถุงสีดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ ปล่อยผมดำสนิทยาวถึงเอว อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับดวงตาคู่นั้น มันไม่มีแววของคนมีชีวิตเลยแม้แต่น้อย ซ้ำจ้องอาตมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ...! ผีนี่หว่า...!

    นางผีร้ายไม่พูดพล่ามทำเพลง เอื้อมมือคว้าหมับเข้าที่คอ อาตมาเผ่นวูบไปสุดช่วงแขน เกือบจะพลัดตกจากป้อมลงไปคอหักตาย มันยังเดินทื่อเข้ามาอีก พ่อแก้วแม่แก้วช่วยลูกด้วย...!

    “ชะยาสะนากะตาพุทธา...”พระคาถาชินบัญชรที่ท่องจำขึ้นใจ กระหึ่มขึ้นมาทันเวลา ร่างนั้นหายวับไปเหมือนถูกกระชาก อาตมาถอนใจเฮือกทั้งที่เหงื่อท่วมตัว มันเรื่องอะไรกัน มาถึงก็ไม่พูดไม่จา จะฆ่ากันท่าเดียว...!

    นั่งคิดทบทวนอยู่จนออกเวร “เราไม่เคยฆ่าผู้หญิงนี่หว่า...บรรดาศพที่ถูกพวกเขมรฆ่าตายเกลื่อนทุ่ง เราก็ช่วยฝังให้แท้ ๆ แล้วยายผีนี่มาจากป่าไหน...? ป่า...? เฮ้ย...! มาจากต้นไม้ละมั้ง...? ใช่แล้ว...นางไม้แน่ ๆ เลย...!”

    รุ่งเช้า...อาตมาไม่ได้บอกใคร กลัวจะทำให้เพื่อน ๆ เสียขวัญ แอบเอาข้าวปลาอาหารไปขอขมาต่อเธอ เราไม่ได้เจตนาล่วงเกินเธอเลยสิ่งที่แล้วมาจงอภัยแก่เรา และเพื่อน ๆ ด้วยเถิด...!

    ยอมรับผิดก็หมดปัญหา เพราะบรรดาภูติผีปีศาจ เขามีเหตุมีผลอยู่แล้ว เรายอมขอขมา เขาก็ยินดีให้อภัย การขอโทษเป็นการขอที่ไม่น่าละอาย การให้อภัยเป็นการให้ที่ไม่สิ้นเปลือง ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อาตมาเลิกขว้างดาบปลายปืนโดยเด็ดขาด กลัวเจอแจ๊คพ็อตอีกนะซิ...!


    ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  14. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๔. ธงมหาพิชัยสงคราม

    วัตถุมงคลของหลวงพ่อที่อาตมาประจักษ์ชัดในอานุภาพมากที่สุด เชื่อมั่นติดตัวเป็นที่พึ่งสุดท้ายในยามคับขันตลอดมาคือธงมหาพิชัยสงคราม ด้วยธงเล็ก ๆ ผืนเดียวนี่แหละที่ช่วยอาตมารอดจากการบอมบ์ด้วยปืนใหญ่ อย่างไม่ลืมหูลืมตาของฝ่ายตรงข้ามมาแล้ว ทั้งยังรอดจากจรวดอาร์พีจี และกระสุนปืนที่ระดมมาเป็นห่าฝนยิ่งกว่าปาฏิหาริย์...!

    ธงมหาพิชัยสงครามนั้น สร้างขึ้นตามตำราพระร่วง เป็นธงนำทัพในสมัยนั้น กว่าจะเขียนเสร็จ กว่าจะปลุกเสกเป็นที่เรียบร้อย ก็กินเวลาเป็นเดือน ๆ แต่มีอานุภาพคุ้มกับความเหนื่อยยาก ผืนเดียวคุ้มกันได้ทั้งกองทัพ ตามตำรากล่าวว่า เพียงถือด้ามธงเข้าไปในป่า รับรองว่าไม่อดตาย ป้องกันอันตรายและเสนียดจัญไรทุกชนิด ซ้ำยังดึงดูดแต่สิ่งที่ดีมีมงคลเข้ามาสู่ผู้ใช้อีกด้วย ให้มีแต่ความสุขความเจริญทุกประการ...

    หลังจากอาจารย์แจง ชาวสวรรคโลกตาย หลวงพ่อก็ไปขอตำราพระร่วงที่ท่านยืมไปจากหลวงปู่ปานคืนมา เปิดดูแล้วชอบยันต์มหาพิชัยสงครามที่สุด แต่วิธีทำตามที่ระบุในตำรา มันช่างยากเย็นเหลือประมาณ นิสัยของหลวงพ่อนั้น ถ้าอะไรมันยากก็ไม่เอาซะเลย หมดเรื่อง...! จึงปล่อยทิ้งคาตำราไว้อย่างนั้นเอง...

    คืนหนึ่ง...ปรากฏท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง เสด็จมาหาหลวงพ่อ บอกว่า หลวงพ่อเป็นเชื้อสายสุดท้ายของพระร่วง ขอให้ช่วยทำธงมหาพิชัยสงครามขึ้นมา ของวิเศษชิ้นนี้จะได้ไม่สูญหายไปจากโลก ถ้าผิดจากหลวงพ่อแล้ว คนอื่นเอาไปทำเท่าใดก็ไม่เป็นผล เพราะไม่ใช่เชื้อสายกัน หลวงพ่อท่านปฏิเสธไม่ขอทำ บอกว่า “มันยาก”...

    ท่านท้าวมหาพรหมพยายามขอร้องให้หลวงพ่อทำให้ได้ ต่อรองกันจนในที่สุด ท่านขอแค่ว่า ถ้ากลัวเขียนยาก ก็ให้ลูกศิษย์ไปจ้างเขาพิมพ์มา แล้วตั้งเครื่องบวงสรวงไว้ ท่านจะเสด็จมาทำพิธีให้เอง...! เป็นอันว่าตกลงตามนี้ หลังเสร็จพิธี ท่านบอกว่า “ลง” ให้หนักที่สุดอย่าให้ใครเอาไปทดลองปลุก จะทานอานุภาพไม่ไหว ถึงตายเอาง่าย ๆ ....!


    ระยะแรกหลวงพ่อท่านแจกให้เฉพาะทหาร และต้องเป็นทหารที่อยู่แนวหน้าเท่านั้น อานุภาพประจักษ์ชัดเป็นที่เลื่องลือ ขนาดรถจิ๊ปโดนกับระเบิด แหลกราญหมดทั้งคัน ยังลุกขึ้นมายิงกับฝ่ายตรงข้ามได้หน้าตาเฉย ตกอยู่ในวงล้อมชนิดหนึ่งต่อร้อย ยังฝ่าออกมาได้ ชนิดที่กลับถึงฐานเพื่อนเผ่นกระเจิง...นึกว่าผีหลอกเพราะจำหน่ายว่าตายไปแล้ว...!

    อาตมาขึ้นชายแดนคราวนั้น สิ่งเดียวที่ติดกระเป๋าไป คือ ธงมหาพิชัยสงคราม ที่รับมาจากหลวงพ่อ ภารกิจหลักอย่างหนึ่งของอาตมาคือ ๒-๓ วัน ต้องเข้าไปอรัญประเทศเพื่อซื้ออาหารสดมาเลี้ยงกำลังพล ระยะทาง ๕๐ กิโลเมตร มีโจรเขมรดักปล้นทุกวัน ออกไปลำบากยากเข็ญขนาดนั้น แต่เพื่อขวัญและกำลังใจของเพื่อน ๆ ก็ต้องยอม เสี่ยงเอา...

    รถขนเสบียงนั้น จ่าสิบเอกสมชัย สะอิ้งทอง รับมาจากตอนยานยนต์ มีธงมหาพิชัยสงครามติดอยู่ด้วย เก่าแก่จนแทบจะกลายเป็นสีขาว ไม่ทราบว่าใครเอามาติดไว้ตั้งแต่เมื่อไร วันเกิดเหตุนั้น อาตมากับลุงจ่าและเพื่อนทหารอีกหนึ่งนาย ออกไปรับเสบียงตามปกติ...
    ขาไปสะดวกราบรื่นดี ขากลับมาถึงทางช่วงสุดท้าย เลยบ้านนางามไปเล็กน้อยเป็นรอยต่อระหว่าง ร้อยร. ๙๑๐๒ กับ ร้อยร. ๙๑๐๓ ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่างกองร้อยของอาตมากับกองร้อยข้างเคียงเสียงจรวดอาร์พีจีก็ลั่น...แ..ว้..ด...ด...!


    จุดอ่อนของจรวดทำลายรถถังชนิดนี้ คือ ขณะถูกส่งออกจากลำกล้อง จะมีเสียงดังให้รู้ตัวชั่วเสี้ยววินาที จ่าสมชัยกระทืบเบรคทันที เสียงตูมสนั่นฝุ่นตลบ จรวดมหาประลัยตกห่างจากหน้ารถไม่ถึง ๑๐ เมตร แรงอัดระเบิดกระแทกทุกคนผงะหงายหลัง...!

    ถ้าไปด้วยความเร็วเดิมรับรองเละทั้งคัน...! ไม่ทราบว่าลุงจ่าแกเหยียบคลัชเปลี่ยนเกียร์อีท่าไหน รถทั้งคันกระโจนพรวดอย่างกับเหาะ พร้อม ๆ กับเสียงแ..ว้...ดตูมขึ้นสั่นขึ้นอีกครั้ง ตรงที่รถเพิ่งกระโจนออกมากลายเป็นหลุมมหึมา แรงอัดอากาศกระแทกจนตับไตไส้พุงแทบขย้อนออกทางปาก...!

    ยอดพลขับเหยียบคันเร่งจนมิด ยี.เอ็ม.ซี.คู่ใจทะยานไปแข่งกับเสียงจรวดที่ลั่นตามมาอีกอย่างจะไม่ให้รอดกันเลย แถมด้วยกระสุนปืนระนาดด้วยฤทธิ์อาวุธสงครามนานาชนิด…!

    สิงห์ทะเลทรายประจำกองร้อยของเราสวนออกมาเร็วทันใจดีเหลือเกิน เอ็ม.๖๐ผงาดร่าพ่นมัจจุราชหัวทองแดงเข้าหาฝ่ายตรงข้ามเป็นห่าฝน เท่านั้นเอง...ฟาดกันนัวไม่รู้ว่าใครเป็นใคร จนกองร้อยทหารพรานที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ ต้องยกกำลังมาเสริมทั้งกองร้อย...!

    จ่าสิบเองสมชัย สะอิ้งทอง กลายเป็นวีรบุรุษไปเลย แต่ลุงจ่าแกบอกอยู่คำเดียวว่า “ไม่ใช่ฝีมือผม...ผมทำแบบนั้นได้ซะเมื่อไหร่..เดชะบุญคุณพระคุ้มแท้ ๆ ....!” แต่ไม่มีใครฟังแกเลย ต่างคว้าพระที่คอของลุงจ่าไปดูกันเป็นการใหญ่ แต่สรุปไม่ได้ว่าองค์ไหนช่วย...!

    อีกไม่กี่วันต่อมา หมู่ปืนเล็กลาดตระเวนของสิบเอกอภิชาติ อินต๊ะรัตน์ ไปถูกล้อมกรอบที่เนิน ๔๒ สิบเอกบุญยูร ทรัพย์อุปการ ตัดสินใจขับรถปาฏิหาริย์คันนี้ ลุยเข้าไปกลางวงล้อม ช่วยพรรคพวกทั้งหมดออกมา ชนิดที่รถไม่ระคายเลยแม้เท่ารอยแมวข่วน...! ทุกคนอัศจรรย์ใจเหลือที่จะกล่าว รถคันเท่าบ้านเท่าตึก ฝ่ายตรงข้ามยิงไม่ถูกซักนัด...! มีเพียง พลทหารวรรณะ ใสรังกาบาดเจ็บที่ข้อเท้าคนเดียว...!

    อานุภาพธงมหาพิชัยสงครามที่เด่นชัดที่สุดที่อาตมาพบ เกิดขึ้นเมื่อฝ่ายตรงข้าม ถล่มกองร้อยของอาตมาด้วยปืนใหญ่ขนาด ๑๕๕ ม.ม.เสียงระเบิดปานฟ้าผ่าปลุกทุกคนขึ้นมาตอนใกล้รุ่ง อาตมากระโดดลงหลุมปืนกลหนักขนาด ๑๒.๗ ม.ม. ระดมยิงสวนไปอย่างหูดับตับไหม้ หมู่ ค. ๘๑ เผ่นเข้าประจำที่ ส่งกระสุนตอบโต้อย่างกับเด็กหาญสู้ผู้ใหญ่...!

    ตามปกติแล้วหมู่ปืนใหญ่ที่ชำนาญมาก ๆ ภายในสามวินาทีจะยิงได้ ๑ นัด อาตมาให้อย่างช้าหกวินาทีต่อนัดเลยเอ้า ...ปืนใหญ่ทั้งสามกระบอกรุมบอมบ์อยู่ ๑๕ นาที ๔๕๐ นัด...! มัจจุราชแตกอากาศ ที่รัศมีแห่งความตายของแต่ละนัด เท่ากับ ๕๐๐ เมตร ไม่ทราบว่าวิ่งชนกำแพงอะไร ตกอยู่แค่แถวหน้าฐานทั้งหมด กระทั่งข้ามฐานยังข้ามไม่ได้เลย...!

    “ผืนเดียวคุ้มได้ทั้งฐาน” เสียงหลวงพ่อที่บอก ขณะอาตมาตั้งรับธงจากท่าน ดังก้องขึ้นในใจ อาตมาขนลุกซู่ไปทั้งตัว สาธุ...พระเดชพระคุณคุณหลวงพ่อ ถ้าไม่ได้ความเมตตาจากท่านช่วยคุ้มครอง ลูกคงตายไปหลายวาระแล้ว...!

    ต่อมาภายหลัง อาตมาได้รับวัตถุมงคลรุ่นเก่าของหลวงพ่อหลายอย่าง ที่คนอื่นเขาหากันทั้งชีวิตก็ไม่ได้ เช่น เหรียญเกลียวเชือก ธงเขียว ธงแดง ลูกแก้วจักรพรรดิ มีดหมอ พระเนื้อชินตะกั่ว ยันต์ท้าวมหาชมภู ตลอดถึงพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุพระสีวลี เป็นต้น ไว้ในครอบครองอย่างง่ายดาย อาตมามั่นใจว่า เป็นอานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม ที่ดึงดูดแต่สิ่งที่ดีเข้าหาเจ้าของ ช่วยบันดาลให้เป็นไปอย่างแน่นอน...!


    ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  15. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๕. บนหลุมฝังศพ

    อาตมาชื่นชมกับพระนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ที่ขยายความบทเพลง “ความฝันอันสูงสุด” ได้ลึกซึ้งกินใจเป็นที่สุด ซึ่งอาตมาขออัญเชิญมา เพื่อท่านผู้อ่านได้ร่วมกันชื่นชม ในพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่าน ณ. โอกาสนี้...

    ฝันจะทำความดีนี้แสนยาก ต้องลำบากกว่าจะรุดถึงจุดหมาย
    ย่อมน่าขำสำหรับผู้อยู่สบาย ไม่เคยกรายใกล้ระกำน้ำตากระเด็น
    พบศึกหนักสักเท่าใดไม่หวาดหวั่น แต่สู้ใจตนนั้นแสนยากเข็ญ
    ถึงหนักหน่วงสู้แน่แม้ยากเย็น เลือดกระเซ็นก็เพราะห่วงหวงแผ่นดิน
    ยามมีทุกข์มาผจญจะทนสู้ ถึงมีผู้กล่าวหยามประณามสิ้น
    ถูกทอดทิ้งเดียวดายหมายชีวิน เจียนพังกินท์ยังสู้ผู้รุกราน
    แม้จะมีภยันตรายมากรายกล้ำ ศัตรูล้ำโหมหนักเข้าหักหาญ
    จะฝ่าฟันเสี่ยงชีวิตพิชิตพาล ให้ชาติผ่านผองทุกข์ยุคเข็ญคลาย
    เราเป็นเพียงปุถุชนธรรมดา ไม่ใช่เทวาเพราะร่างยังเสื่อมสลาย
    มีอารมณ์เปลี่ยนไปไม่เว้นวาย จะแน่วแน่แก้ให้หายไม่ช้าพลัน
    แม้ชีวิตเป็นสิ่งยิ่งแหนหวง แต่ความรักใหญ่หลวงใช่ความฝัน
    รักผืนแผ่นดินแม่แน่นอนครัน ยอมสละแม้ชีวันไม่หวั่นภัย
    ยอมสูญเสียชีวารักษาสัตย์ รักษารัฐสีมาที่อาศัย
    ดีกว่าสูญธรณินทร์สิ้นชาติไทย สิ้นธงชัยจะชักสู่ฑิฆัมพร
    แสนเห็นใจเพื่อนไทยที่หวาดหวั่น อาสาพลันทอดชีพสู่สมร
    บุกระเบิดฝ่ากระสุนในคงดอน เพื่อนิกรผาสุขทุกนาที
    ตั้งจิตมั่นในพระธรรมอันล้ำเลิศ ทำแต่สิ่งประเสริฐไม่หน่ายหนี
    ไม่ท้อถอยมุ่งทำล้วนความดี ถ้าถึงที่ยอมสละละลมปราณ
    เราก็มีเลือดเนื้อที่ปวดเจ็บ แต่ต้องเก็บความรู้สึกอย่างอาจหาญ
    จะมุ่งมั่นฝ่าฟันทุกวันวาร เพราะยึดในอุดมการณ์ต้องอดทน
    นึกว่าได้เกิดมาทำหน้าที่ เพื่อศักดิ์ศรีเลือดไทยไม่หมองหม่น
    ไม่น้อยใจโชคชะตากล้าผจญ แม้บางคนไม่เคยทุกข์ทุกยุคกาล
    มอบเลือดเนื้อกายใจพลีให้ชาติ อย่างแกล้วกล้าสามารถองอาจหาญ
    ถึงสิ้นชีพไว้อย่างลายว่าชายชาญ มอบวิญญาณเลือดเนื้อเพื่อบ้านเมือง
    ปณิธานคือชาติศาสน์กษัตริย์ ร่วมขจัดเสี้ยนหนามเมื่อยามเฟื่อง
    สมานสามัคคีไทยให้รุ่งเรือง เกียรติกระเดื่องแดนดินทั่วถิ่นไกล
    คงไม่มีแต่เราเพียงเท่านั้น ที่ฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายได้
    ผู้อื่นอาจปราดเปรื่องเลื่องลือชัย หมายผดุงทุกสิ่งไว้ให้ยุติธรรม์
    สักวันหนึ่งเขาคงเข้าใจว่า การมีชาติศาสนาทุกสิ่งสรรพ์
    มีไตรรงค์ธงชัยพร้อมใจกัน นั่นคือสิ่งยึดมั่นที่ควรตรอง
    ขอเดชะบารมีที่ปกเกล้า บุรพกษัตริย์เจ้าไทยทั้งผอง
    บันดาลดลคนไทยให้ปรองดอง ไม่ผยองอิจฉาผลาญรุกรานกัน
    แล้ววันที่ปรารถนาคงมาถึง จะตราตรึงความดีที่บากบั่น
    โลกมนุษย์สุดสะอาดปราศทุกข์ทัณฑ์ เพราะเรานั้นเข้าใจกันได้ดี
    เขาจะรู้ว่าเหตุใดไม่ยอมแพ้ เพราะถึงแม้ถูกเหยียดถูกเสียดสี
    หาว่าอยากเด่นดังหวังชื่อดี อยากครอบครองปฐพีก้องกำจาย
    ไม่เคยคิดหวังเป็นวีรบุรุษ แต่ก็สุดจะเห็นชาติพินาศสลาย
    ด้วยเผ่าไทยมอบชีวีพลีใจกาย มามากมายเหลือที่จะลืมเลือน
    จะถมร่างกายนี้พลีชีวิต เพื่อพิชิตไพรีที่เชือดเฉือน
    เพื่อแผ่นดินของไทยไม่กระเทือน เพื่อให้เพื่อนผองไทยปลอดภัยเทอญ.



    ขอน้อมเกล้าถวายความคารวะ ในพระปรีชาสามารถอันยอดยิ่งของพระองค์ ที่ทรงเข้าถึงจิตใจทหารหาญอย่างแท้จริง อาตมายอมรับว่า เมื่ออ่านจบแล้วเกิดอาการ “ซึม” ไปพักใหญ่ อาการแบบนี้อาตมาเคยเป็นมาสองครั้งเท่านั้น...

    ครั้งแรก...ขณะที่กอดปืนยืนเหงา อยู่เวรยามค่ำคืนบนยอดเขาสูงทั้งหนาวเหน็บทั้งว้าเหว่ สิบตรีสุรสิทธิ์ ด่านบางกูมิ ชี้ให้อาตมาดูตัวเมืองไกลลิบ ๆ สุดสายตา ที่แพรวพราวไปด้วยแสงสียามค่ำคืน พลางกล่าวว่า “พี่ครับ...พวกเขาจะรู้บ้างไหมว่า ขณะที่พวกเขามีความสุขกันอยู่นั้น พวกเรากำลังลำบากกันขนาดไหน...?”

    อาตมาได้ยินเข้าถึงคอหอยตัน น้ำตาพาลจะไหลออกมาดื้อ ๆ ...ครั้งที่สองเกิดขึ้นขณะแกะห่อของขวัญที่ได้รับเป็นกำลังใจจากแนวหลัง ในห่อใบน้อยที่มีทอฟฟี่ ๓ เม็ด และบะหมี่แห้งอีก ๑ ห่อนั้น มีกระดาษสมุดเขียนด้วยดินสอตัวเท่าหม้อแกง มาจากหนูน้อยแห่งชั้น ป.๓ ร.ร.สมาคมสตรีไทย ชื่อ เด็กหญิงวิลาวัณย์ อุดมพงษานนท์ มีข้อความว่า “คุณอาต้องไปยิงกับข้าศึกใช่ไหมคะ...? หนูเป็นห่วงคุณอา...ขอให้คุณอาปลอดภัยนะคะ...!”

    อาตมาถึงกับน้ำตาซึม หนูเอ๋ย...ถ้าทุกคนมีน้ำใจ เห็นความทุกข์ยากลำบากของทหารแนวหน้า เช่นเดียวกับหนูแล้วไซร้ ถึงชีวิตของอาต้องสิ้นไป ในการปฏิบัติหน้าที่นี้อาก็เต็มใจ ด้วยมั่นใจว่า ความดีที่ทำไปไม่สูญเปล่า อย่างน้อยญาติมิตรในแนวหลังยังมองเห็น...!
    การปะทะในแต่ละครั้ง ย่อมมีการสูญเสียเป็นธรรมดา ถ้าเพื่อนเราตาย ทุกคนจะถูกหักเบี้ยเลี้ยงคนละ ๒ บาท ช่วยงานศพของเพื่อน ถ้าฝ่ายตรงข้ามตาย พวกเราก็ช่วยกันขุดหลุมฝังให้ ขอจงอโหสิกรรมด้วยเถิด อย่าได้มีเวรมีกรรมแก่กันเลย...

    ป่าช้าชั่วคราวที่เราฝังพวกเขานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นบริเวณที่ปะทะนั่นเอง การฝังก็ไม่ได้ปราณีตอะไรนัก บรรดาสัตว์ต่าง ๆ มักมาขุดคุ้ยกินกันอยู่เสมอ ถ้าเป็นที่ทุเรศแก่สายตามาก ก็ลากพลั่วไปกลบใหม่ซะที พวกสัตว์กินศพเป็นอาหารประท้วงกันให้วุ่น แต่ละตัวใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เหี้ยตัวขนาดจระเข้ อีกาตัวเท่าแม่ไก่ แค่เห็นก็สยองแล้ว...!

    คืนหนึ่ง...ประมาณสองทุ่ม เวรยามจากจุดตรวจบนคันคูยุทธศาสตร์ รายงานถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติ มีท่าทีว่าฝ่ายตรงข้ามจะเข้าตีคืนนี้ ร้อยเอกวีรพล คุ้มบน ผบ.ร้อย รีบนำกำลังไปเสริมทันทีทิ้งพาหานะไว้ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ ๕๐๐ เมตร แล้วเดินเท้าเข้าไปทิ้งอาตมาให้เฝ้ารถอยู่คนเดียว...

    พิจารณาฉากหลังที่เป็นท้องฟ้าขาวโล่งแล้ว รถคันนี้ตกเป็นเป้าเด่นของอาวุธหนักแน่ ๆ อาตมาจึงหลบเข้าไปชายป่า อาศัยต้นไม้ใหญ่เป็นที่กำบัง พอย่างเข้าใต้ต้นไม้นั่นเอง...พายุหมุนลูกเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ลมบ้าหมู” ก็เกิดขึ้น...!

    ลมประหลาดหมุนฮือ ๆ อยู่ไปมา ตั้งหลายนาทีผ่านไปก็ไม่ยอมเคลื่อนไปไหน คงหมุนไปรอบ ๆ ตัวอาตมาอยู่นั่นแหละ จนอาตมาฉุกใจคิดขึ้นมาว่า “เขา” คงจะมาขอส่วนกุศล จึงตั้งใจอุทิศให้ พออุทิศส่วนกุศลจบ พายุก็สลายตัวไปอย่างฉับพลัน...!

    เมื่ออากาศนิ่ง คราวนี้กองทัพยุงก็บุกแหลก รู้อย่างนี้ให้พายุหมุนอย่างเดิมก็ดีแล้วจะได้ช่วยไล่ยุงให้...ประมาณหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ผบ.ร้อยนำกำลังกลับมา ตอบรหัสบอกฝ่ายได้ถูกต้อง อาตมาจึงออกจากที่ซ่อน พลทหารพายับ สุขหอม เห็นทิศที่ออกมา ก็ถามขึ้นว่า...

    “เมื่อกี้หมู่แอบอยู่ใต้ต้นไม้นั้นเหรอ...?” “เออ” “วันก่อนผมเพิ่งฝังไว้ ๓ ศพ...!” เจริญมั้ยล่ะลูกน้องฉัน... ไม่บอกซะยังดีกว่า คิดแล้วยังเสียวสันหลังไม่หาย กลางค่ำกลางคืนแท้ ๆ ไปยืนกินลมเอ้อระเหยเล่นอยู่บนหลุมศพ ช่างกล้าหาญชาญชัยอะไรเช่นนั้น...!



    ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ


    พุทธพจน์


    [​IMG]

    ธรรมดาบัณฑิต พึงเปลื้องความอาลัยในขันธ์ทั้งหลาย
    ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
    จึงจักพ้นจากทุกข์ มีชาติเป็นต้น

    (องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสแก่ อุคคเสนะ บัตรคฤหบดี ชาวกรุงราชคฤห์ ได้บรรลุ
     
  16. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๖. เสียงสยองขวัญ

    ขึ้นชื่อว่าเสียงแล้ว ย่อมเป็นที่พอใจและไม่พอใจของคนเราแตกต่างกันไป เสียงที่คนพอใจเป็นอิฏฐารมณ์นั้น ต้องเป็นเสียงที่ไพเราะน่าฟัง อย่างเสียงจากเครื่องดนตรี หรือเสียงหวานจากเพศตรงข้าม เป็นต้น เสียงดนตรีนั้น ถ้ามีฝีมือจริง ๆ แล้ว สามารถแสดงผลเป็นที่น่าอัศจรรย์

    ขณะเข้าชมภาพยนตร์เรื่อง "นางพญาจิ้งจอกขาว" อาตมาเผลอหลับ พอเสียงขลุ่ยเปิดตัวนางเองดังขึ้น อาตมาถึงกับหูตาสว่างโพลง ความง่วงเหงาหาวนอนหายไปสิ้น ช่างเป็นเสียงที่ไพเราะเบิกบานอะไรเช่นนั้น กระตุ้นความรู้สึกให้คึกคักกระปรี้กระเปร่า นึกถึงสายน้ำรี่ไหล สกุณาระเริงไพร ทุ่งหญ้าแมกไม้เขียวขจี

    อานุภาพของเสียงดนตรีนั้น "สุนทรภู่" เปรียบไว้ว่า "อันดนตรีมีคุณทุกสิ่งไป ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์" แต่เสียงดนตรีแม้จะมีพลานุภาพเพียงไหน ยังแพ้เสียงออดอ้อนเว้าวอนของเพศตรงข้าม จิตใจที่แข็งแกร่งดังเหล็กเพชร ก็อ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟมานักแล้ว
    ดังนั้น...ผู้ถือพรหมจรรย์ จึงไม่ควรให้เพศตรงข้ามมาเว้าวอนมากนัก ไม่อย่างนั้นมักเสียท่า ถูกสมิงสาวแห่งป่ากิเลส งาบไปรับประทานซะเยอะแล้ว...!

    ส่วนเสียงที่เป็นอนิฏฐารมณ์อันไม่น่าพอใจ ได้แก่ เสียงอันเป็นปฏิปักษ์กับอารมณ์ของเราในขณะนั้น ๆ เช่น กำลังฟังเพลงอยู่อย่างสุดมันในอารมณ์ คุณแม่ก็บ่นว่าหนวกหู ฟังอะไรก็ไม่รู้ เสียงยังกับควายออกลูก...! เช่นนี้เสียงเพลงก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่คุณแม่ และเสียงบ่นของคุณแม่ก็ไม่เป็นที่ชอบใจของคุณลูกเช่นกัน หรือ ท่านที่ปฏิบัติกรรมฐานย่อมไม่ต้องการเสียงอึกทึกครึกโครม เพราะเป็นศัตรูกับสมาธิ เป็นต้น

    อาตมาชอบป่าเขาลำเนาไพรเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่าบรรยากาศในป่าเขา ก่อให้เกิดความสงบวิเวกอย่างบอกไม่ถูก เสียงลมพัด เสียงน้ำไหล เสียงกิ่งไม้ใบไม้หล่น เสียงนก เสียงสัตว์ป่าร่ำร้อง เสียงจั๊กจั่นเรไรหรีดหริ่งลองไนกรีดเสียง ชวนให้จิตใจสงบเยือกเย็น คงเป็นเพราะเสียงเหล่านี้ เป็นเสียงของธรรมชาติ ไม่มีการปรุงแต่ง สภาพจิตอันเป็นธรรมชาิติมาแต่เดิม จึงยอมรับได้ง่าย ไม่ดิ้นรนส่งส่ายไปสู่อารมณ์อื่น...

    เสียงธรรมชาิติที่เป็นศัตรูของความสงัด ส่วนใหญ่เป็นเสียงคนและต้องเป็นเสียงที่เราฟังเข้าใจด้วย จิตจะนึกคิดปรุงแต่งไปตามคำพูดของเขา เลยวุ่นวายหาความสงบไม่ได้ อาตมาเคยไปอาศัยกับกะเหรี่ยงในป่าเขา ฟังภาษาเขาไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับฟังเสียงนกเสียงกา เขาพูดอะไรมาเราสั่นหัวท่าเดียว จิตใจจึงไม่ฟุ้งซ่าน แต่พอสาวกะเหรี่ยงมาพูดบ้าง เสียงนกเสียงกาก็ชักจะฟังรู้เรื่อง เสียงเพศตรงข้ามจึงทรงมหิทธานุภาพที่สุด...!

    เสียงอีกประเภทหนึ่ง เป็นเสียงที่เราไม่ทราบที่มา ไม่ทราบว่าต้นเสียงเป็นอะไร ทำให้ขวัญหนีดีฝ่อเอาง่าย ๆ เช่น เวลาอยู่ในป่า มีเสียงคนแก่คุยกัน เสียงร้องไห้คร่ำครวญ เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวน ถ้ามีกันหลายคน ก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เผ่นเข้ากลางวง ถ้าอยู่คนเดียวมีหวัง เผ่นป่าราบจับไข้หัวโกร๋น หมดสิทธิ์ใช้หวีตลอดชาติ...!

    บางทีอาตมาได้ยินพระนับร้อยนับพัน สวดมนต์ดังกระหึ่มน่าเลื่อมใส แต่หาแหล่งที่มาไม่เจอ ขณะรับราชการอยู่ที่กองพลทหารราบที่ ๙ ค่ายกาญจนบุรี (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นค่ายสุรสีห์) วันดีคืนดี จะมีเสียงโห่ร้องเอาวา เสียงช้างม้าโกญจนาท เสียงขับพลเข้าประจัญบาน เสียงอาวุธปะทะกัน เหมือนกับมีกองทัพโบราณ กำลังรบราห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และไม่ใช่ได้ยินกันแค่คนสองคน บางทีทหารทั้งกองพันได้ยินพร้อม ๆ กัน แต่เมื่อตามหาเข้าจริง ๆ ก็ไม่รู้ว่าดังมาจากไหน ?

    หลวงพ่อท่านไปธุดงค์ มีขบวนทิพย์ดุริยางค์ ตามขับกล่อมไปตลอดทาง เมื่อเห็นว่าไม่สนใจจริง ๆ พวกเล่นโผล่มาทั้งขบวนเลย ทั้งโห่ทั้งแห่พร้อมสรรพ หรือพระบางท่านกำลังอดอาหาร ได้ิยินเสียงขูดมะพร้าว ตำน้ำพริกอยู่ใกล้ ๆ แต่เดินตามไปเถอะ...เหนื่อยแทบขาดใจ ไม่ถึงซักที ไม่ทราบว่ามาจากฟากฟ้าป่าหิมพานต์ไหน...?

    ชีวิตทหารชายแดนนั้น อยู่ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์อย่างน่าอิจฉา แสงจากปากกระบอกปืนและพลุส่องสว่าง สีเขียวแดงเหลืองของระเบิด ควันและกระสุนส่องวิถี เสียงสนั่นลั่นป่าของอาวุธสงครามนานาชนิดไงล่ะ พระคุณท่าน...ใครว่าห่างไกลแสงสีอย่าไปเชื่อเชียว...เสียงสยองขวัญสั่นประสาทอาตมาก็เจอมาแล้ว...เรื่องมันเป็นอย่างนี้...

    คืนนั้น อาตมากับสิบตรีมาโนต วานะวงศ์ และ สิบตรีรัว สุดใจ อยู่เวรดึกที่หน้าฐานตามเคย ประมาณตีหนึ่งเศษ ๆ เสียงประหลาดอย่างหนึ่ง ก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน มันโหยหวนแซ่ส่ำไปหมด เหมือนกับมีกองทัพปีศาจนับหมื่นนับแสน รายล้อมเข้ามารอบด้านเสียงสุนัขในหมู่บ้านทัพเซียม ที่ห่างไปเล็กน้อย หอนประสานรับกันระงมทั้งหมู่บ้าน...!

    อาตมาคว้าเอ็ม.๑๖ คู่มือ ร้องบอกหมู่มาโนตที่ผวาลุกอย่างขวัญหายว่า "ฉายไฟเร็วข้าจะยิง...!" แสงไฟฉายขนาดห้าท่อนสว่างจ้า นิ้วที่แตะไกปืนของอาตมาชะงักค้างเสียงไอ้ผีนรกหายวับไปเหมือนฟิวส์ขาด... เบื้องหน้ามีแต่ต้นไม้กับทุ่งหญ้า เจ้าของเสียงที่กะว่าบุกเข้ามาห่างไม่ถึงวา ไม่รู้ว่าอันตรธานไปไหน...!


    ท่านผู้อ่านช่วยบอกหน่อยได้ไหม...? ว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่...?


    ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  17. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๗. ลิงลม

    ลิงลมที่กล่าวถึงในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง เจ้าตัวน้อยตาโตแสนจะขี้อายนั่นหรอก หากแต่หมายถึงวิชาไสยศาตร์ประเภทหนึ่ง ซึ่งใช้คาถาหัวใจลิงลม ปลุกตัวเองขึ้นมา หรือให้ครูบาอาจารย์ที่ชำนาญในคาถานี้ทำการสักอักขระหรือรูปลิงลม แล้วปลุกเสกให้...

    วิชาประเภทนี้ ต้องหมั่นปลุกตัวเองอยู่เสมอ หาไม่แล้วเวลาฉุกเฉินขึ้นมา มักถูกเขาเหยียบอาน เพราะของดันไม่ขึ้น ทีตอนไม่ต้องการให้ขึ้น กลับขึ้นได้ขึ้นดี อาตมาเองอยากรู้อยากเห็นมาก ว่าเวลาของขึ้นแล้ว มันจะแน่จริงซักแค่ไหน...!

    นิสัยเชื่อยากแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก กว่าจะยอมเชื่ออะไรซักทีต้องลองแล้วลองอีก ถ้าไปเจอที่เขาดีจริงก็เสมอตัว ถ้าเจอพวกดีแต่คุยโม้เราไม่ติดคุกก็ได้ศัตรูเพิ่มขึ้น การทดลองบางทีก็เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่ง พลาดพลั้งขึ้นมาตายโหงเอาง่าย...!

    เช่นหลวงพ่อบอกว่า ข้าวตอกพระร่วง มีอานุภาพกันงูได้ อาตมาเชื่อน่ะเชื่ออยู่ แต่ก็ขอลองให้หายคันหัวใจหน่อย คว้าคองูเขียวหางไหม้ตัวเบ้อเริ่ม ปรากฎว่ามันไม่กัดจริง ๆ ตั้งแต่นั้นมา งูอะไรเจออาตมาเป็นเผ่นกระเจิง เพราะถูกไล่จับเล่นเป็นของสนุกไปเลย...!

    เมื่อขึ้นเปลี่ยนกำลังพลที่ฐานหน้าตาพระยา ผบ.ร้อยสั่งทหารทุกนายว่า "อย่ารับของกินของใช้ทุกอย่างจากชาวบ้านที่นี่ พวกนี้เลี้ยงผีและเล่นไสยศาสตร์กันทุกบ้าน...!" อาตมารับทราบ แต่ไม่รับปฏิบัติ ก็มันไม่เชื่อนี่ครับ...!

    ด้วยบารมีหลวงพ่อคุ้มหัว ทำให้อาตมารอดจากยาพิษ ยาสั่ง และอาถรรพ์มืดที่หมอผีพวกนี้ตั้งใจจัดการกับอาตมา เหตุเพราะนำกำลังพลไปปิดตลาดมืด ทำให้พวกเขาหมดทางทำกิน จึงมีหนี้แค้นที่ต้องชำระกัน และทหารโดนเวทย์มนต์ลี้ลับเล่นงานปางตายไปหลายคน...

    เมื่อเข้าเวรดึก อาตมาและเพื่อน ๆ ได้ยินเสียงหวืดหวือ เหมือนกับมีตัวแมลงขนาดใหญ่ บินฉวัดเฉวียนไปมารอบฐาน พอมองไปยังต้นเสียงทั้งที่มืดสนิทก็ยังมองเห็น วัวขี้ผึ้ง ตัวเล็ก ๆ ควบตะบึงอยู่บนอากาศอย่างคึกคะนอง...!

    อาตมาพกธงมหาพิชัยสงครามของหลวงพ่อ จึงไม่ได้หวั่นเกรงเจ้าวัวอาคมแม้แต่น้อย เพียงแต่บอกเพื่อน ๆ ว่า "อย่าทัก" เจ้าวัวร้ายก็หมดช่องทางทำอันตราย ต้องย้อนกลับไปหาเจ้าของในที่สุด อีกคราวหนึ่ง...ทหารยามของร้อย ร.๙๑๐๒ เข้าเวรดึกเช่นกัน...

    เห็นนกประหลาดตัวมหึมา บินพึ่บพั่บมาจับยอดไม้ข้างฐาน ด้วยความกลัวสุดขีดเลยซัดด้วย ปืนกล ๙๓ เป็นชุด เจ้านกยักษ์ตกพลั่กลงมา ผบ.ร้อย และเพื่อนทหารที่ตกใจตื่น แห่กันไปดูแล้วก็พบกับสิ่งสยองขวัญ...!

    เป็นร่างของชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายท่อนบนกำยำล่ำสัน กล้ามเนื้อเป็นมัด ๆ อย่างกับนักมวยปล้ำ ท่อนล่างตั้งแต่หัวเข่าลงไป ถูกมัดติดกันจนเล็กลีบนิดเดียว หน้าตาเหี้ยมแสยะอย่างกับยักษ์มาร แขนสองข้างคล้องกระด้งที่ใช้เป็นปีก..."ผีกระหัง"...!

    แม่นแล้ว...ผีกระหังที่เขาเล่าลือกันนั่นแหละ เห็นแล้วต้องยอมเชื่อว่า มันบินด้วยกระด้งได้จริง ๆ ก็แขนมันแข็งแกร่งออกปานนั้น คว้าคอใครเข้าคงหักทันที ร่างกายมันไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย แต่โดนแรงปะทะของกระสุนปืน กระแทกจนกระดูป่นไปทั้งตัว...!

    จบภารกิจจากแนวหน้า กลับมาพักผ่อนยังที่ตั้งปกติที่ส่วนหลัก เนื่องจากการรบติดพัน ทำให้ทหารเกณฑ์ผลัดที่ ๒ ปี ๒๕๒๒ ค้างปลดเป็นเวลาสามเดือน อาตมาที่เข้าเวรอยู่ จึงผ่อนผันให้พวกเขาหาความสำราญกันได้ อย่าให้มีเรื่องเดือดร้อนก็แล้วกัน...

    อาตมานั่งคิดเบี้ยเลี้ยง ขณะที่ทหารตั้งวงชนแก้วกัน กำลังลงบัญชีเพลิน ๆ เสียงตึงตังโครมคราม และเสียงเอะอะโวยวายไม่ได้ศัพท์ อาตมาพรวดเข้าไปจะห้ามทัพ เพราะคิดว่ามีการเมาแล้วตีกัน กลับเห็นพวกเขาล้อมวงดูอะไรบางอย่าง...!

    ที่กลางวงนั่นเอง...พลทหารสมศักดิ์ หกคะเมนตีลังกาอย่างคล่องแคล่ว บางทีก็หงายหลังเอาหัวชนส้นเท้า แต่มันกลับเดินได้ ปากก็ร้องว่า "อาจารย์...อย่าทำผม...อย่าทำผม" ถามดูจึงรู้ว่าเขาสักลิงลม และฝืนคำครูกินเหล้าเหลือเดนคนอื่น เลยถูกครูเล่นงาน...!

    วิธีแก้ง่ายมาก แค่ตบบ้องหูผัวะเดียวก็หายแล้ว พรรคพวกมันมัวแต่กลัวกันอยู่ ส่วนอาตมานั้น อยากลองดูกับของอย่างนี้มานานแล้ว เลยโดดเข้าล็อคคอ แบกเจ้าตัวดีลอยขึ้นมาทั้งตัว คิดว่าเขาพ้นพื้นจะใช้แรงไม่ได้ มันกลับดิ้นตูมเดียวกระเด็นไปคนละทิศละทาง...!

    ฮ่า...แบบนี้ก็มันสิขอรับ...! ตามปล้ำตามฟัดกันแทบกองร้อยถล่ม พวกทหารเห็นดังนั้นก็เอาด้วย ช่วยกันจับช่วยกันคว้า แต่พ่อเจ้าประคุณเอาแรงบ้ามาจากไหนไม่รู้ เหวี่ยงเอา ออกหัวออกก้อยไปตาม ๆ กัน พลทหารถวิล โมโหเข้า เอาน้ำสาดโครมลิงลมหายจ้อยเลย...!
    รุ่งขึ้น...อาตมาระบมอย่างกับชกมวยไทยมาห้ายก แต่เจ้าตัวแสบไม่เป็นอะไรเลย บอกแค่ว่า "เมื่อคืนผมคงเมามาก หลับไปตอนไหนไม่รู้ตัวเลย..." เออ...ฝากไว้ก่อนเถอะน่า...ของขึ้นอีกเมื่อไหร่เจอกัน...อูย...ระบมทั้งตัวเลยเรา...!


    เครื่องรางของขลังทุกชนิด เป็นที่พึ่งชั่วคราวเท่านั้น ที่พึ่งแท้จริงของเราคือ ทาน ศีล ภาวนา เร่งใช้ปัญญา พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความทุกข์ ความตั้งอยู่ไม่ได้ของร่างกายนี้ ถอนความพอใจในมันเสีย ตั้งใจไปนิพพานกันดีกว่า...!


    ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  18. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๘. ปาฏิหาริย์พระปฐมเจดีย์

    "นครปฐมเมืองอุดมสิ่งดีเลิศหล้า เป็นเมืองพัฒนาเหล่าประชาอยู่ร่มเย็น บ้านเมืองเราก็รื่นรมย์สมมีสิ่งที่บูชา อร่ามงามตาสูงส่งเสียดฟ้าเขาเหิน สร้างความเพลิดเพลินหากใครได้มา สักการบูชาพระธาตุนั้นหนาของพุทธองค์..."

    นี่เป็นท่อนแรกของเพลงประจำจังหวัดนครปฐม ดินแดนแห่งส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวสวย ผ้าดำดี และปัจจุบันเพิ่ม โต๊ะจีนดัง ขึ้นมาอีก เป็นจังหวัดแรกของไทย ที่มีนิยามคำขวัญประจำจังหวัดก่อนใคร จนทุกวันนี้ทุกจังหวัด ต่างก็ตั้งคำขวัญตามกันเป็นแถว ๆ ...

    อาตมาเป็นลูกนครปฐมขนานแท้ ที่เขาว่า "ใจกว้างดังฐานองค์พระ ปัญญาแหลมดุจยอดเจดีย์" เกิดที่นี่ โตที่นี่ เห็นความเปลี่ยนแปลงของจังหวัดทุกอย่างกับตา เป็นที่น่าเสียดายว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางลบเสียส่วนมาก...

    ส้มโอหวาน เป็นส้มโอนครชัยศรี ข้าวสารขาว เป็นข้าวพันธุ์ปิ่นแก้ว ที่ชนะเลิศที่ ๑ ของโลก ปัจจุบันกลายพันธุ์ไป จนไม่มีใครรู้จักข้าวพันธุ์ปิ่นแก้วกันแล้ว ลูกสาวสวย ถูกหนุ่มต่างเมืองขอไปแทบหมดไม่เหลือให้หนุ่มนครปฐมบ้างเลย จนต้องหันหน้าเข้าวัดอยู่นี่...!

    ผ้าดำดี เป็นผ้าย้อมมะเกลือ ถูกวิทยาการสมัยใหม่ตีตกคู่ไปนานแล้ว ข้าวหลามชั้นดี ก็ถูกข้าวหลามหนองมนแย่งตำแหน่งไปซึ่ง ๆ หน้า เหลือแต่ องุ่นรสดี กับมะพร้าวน้ำหอม ที่พอจะกู้หน้าของจังหวัดเอาไว้ได้บ้าง...

    สิ่งที่ชาวนครปฐมภาคภูมิใจและเคารพบูชาอย่างสูงสุดคือ องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นมหาเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ ยอดแหลมเสียดฟ้า บุกระเบื้องโมเสค สีทองอร่ามตระการตา ใครมานครปฐม จะมองเห็นองค์มหาเจดีย์ สูงเด่นเป็นสง่าอยู่แต่ไกล...

    ความสูงขององค์มหาเจดีย์นั้น ตำราว่า สูงชั่วนกเขาเหิน คือสูงสุดเพดานบินของนกเขานั่นแหละ จนร่ำลือกันว่า สูงจนไม่มีเงา คือเงาเจดีย์ตกไม่พ้นฐาน ส่วนความกว้างของฐานนั้น เดินกันลิ้นห้อยกว่าจะรอบเป็นปูชนียสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก...!

    ประวัติการสร้างพระปฐมเจดีย์มี ๒ ตำนาน เรื่องแรกว่า พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งชมพูทวีป ได้ส่งพระมหาเถระ ๕ รูป มี พระโสณะ และพระอุตตระ เป็นประธานอัญเชิญพระไตรปิฎกมา เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ...

    เวลานั้นตรงกับสมัยของ พระเจ้าตวันอธิราช แห่งเมืองทวาราวดี พระมหาเถระทั้ง ๕ มาขึ้นที่เมืองท่าแห่งนี้ เป็นแห่งแรกในสุวรรณภูมิ จึงขนานมงคลนามว่า "นครปฐม" และเรียกสืบ ๆ กันมานับแต่บัดนั้น...

    เรื่องที่สองกล่าวถึงพระยากงผู้ครองนครปฐม มีโอรสองค์หนึ่ง โหรทำนายว่าจะฆ่าพ่อ จึงให้เอาไปลอยน้ำทิ้งเสีย ยายหอมเก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรให้ชื่อว่า พาน ต่อมาไปศึกษาศิลปวิทยาการที่เมืองราชบุรี เจ้าเมืองราชบุรีต้องชะตา จึงขอไปเป็นพระโอรส...

    ขณะนั้น เมืองราชบุรีกับนครปฐมเป็นศึกกัน พระยาพานโตเป็นหนุ่ม จึงยกทัพมาตีนครปฐม พระยากงทำยุทธหัตถีกับลูกชาย ถูกฟันตายคาคอช้าง พระยาพานเข้าเมืองได้ สั่งริบของทุกอย่างเป็นราชบาท แม้แต่มเหสี และนางสนมกำนัลทั้งหมด...!

    เทวดา (ยุ่งกับเขาได้ทุกเรื่อง) เห็นว่าพระยาพานทำปิตุฆาต เป็นอนันตริยกรรมแล้ว ยังจะเอาแม่เป็นเมียอีก จึงแปลงร่างเป็นแมวแม่ลูกอ่อนนอนขวางประตู พูดกับลูกถึงเรื่องพ่อแม่ที่แท้จริงของพระยาพาน (แมวพูดได้...จะเชื่อดีมั้ยเนี่ย...?)

    พระยาพานไปเค้นถามจากยายหอม พอทราบความจริงก็โกรธหาว่ายายหอมปิดบังตน จึงฆ่ายายหอมซะอีกคน (เจริญมั้ยล่ะ...?) ต่อมาสำนึกผิด (สายไปซะแล้ว) จึงสร้างเจดีย์สูงชั่วนกเขาเหิน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ อธิษฐานขอไถ่บาป (ไม่สำเร็จหรอกจ้ะ)...

    ตำนานทั้งสองเรื่องตำนานเกินไป เลยแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี แม้ว่าต่างก็มีเค้าความจริง แต่องค์มหาเจดีย์ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้เป็นองค์ใหม่ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๔ ทรงพบขณะที่ยังผนวชอยู่ เมื่อขึ้นครองราชย์ จึงทำการบูรณะซ่อมแซมขึ้นมา เป็นรูปทรงในปัจจุบันนี้...

    สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่องค์มหาเจดีย์ นอกจากพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติ ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ได้ พระเศียร พระหัตถ์ และพระบาท มาจากหัวเมืองฝ่ายเหนือ ทรงให้ช่างหล่อเสริมจนเป็นองค์สมบูรณ์ ประดิษฐานอยู่คู่กับองค์มหาเจดีย์สืบมา ประทานนามให้ว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์ มีพระพุทธลักษณะงดงามมาก...

    ความศักดิ์สิทธิ์ขององค์มหาเจดีย์ เป็นที่เลื่องลือไปทั่ว ครั้งในหลวงรัชกาลที่ ๖ ยังดำรงพระยศสยามมงกุฎราชกุมาร แปรพระราชฐานมาประทับที่ พระราชวังสนามจันทร์ ทรงพบพระบรมสารีริกธาตุเสด็จพระมหาเจดีย์เปล่งรัศมีสว่างไสวไปทั้งองค์...!

    ทรงมีจดหมายเหตุกราบถวายรายงานต่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง องค์พระปิยมหาราชดำรัสว่า เมื่อครั้งเสด็จประพาสต้นผ่านไปทางนครปฐม ก็พบปาฏิหาริย์แบบนี้เช่นกัน มีรับสั่งให้มหาดเล็กตรวจค้นหาดูว่า มีผู้ใดแกล้งทำให้เป็นไปแบบนั้นหรือไม่...? ปรากฎว่าไม่มี...!

    งานนมัสการพระปฐมเจดีย์จะมีขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ของทุกปี ประชาชนทุกสารทิศหลั่งไหลมาเที่ยวงาน มีการออกร้านเป็นที่เอิกเกริกรื่นเริง อาตมาเบื่อคนมาก ๆ จึงไม่เคยเยี่ยมกรายไปในงานเลย นอกจากส่งงานฝีมือ มาช่วยหาทุนให้โรงเรียนเท่านั้น...

    ก่อนงานประจำปี จะมีการประดับไฟรอบองค์พระ สมัยก่อนเทคโนโลยีเครื่องไม้เครื่องมือไม่ทันสมัย ต้องใช้นักโทษปีนขึ้นไปประดับไฟ ใครพลาดก็ตายไปเลย ถ้ารอดลงมาก็ได้รับอภัยโทษ ปลดปล่อยให้เป็นอิสระ นับว่าเป็นนโยบายที่ดี...

    อาตมาออกจากราชการทหาร จึงไปกราบขอพรที่องค์พระ นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มานมัสการพระปฐมเจดีย์ (เจริญมั้ยล่ะโยม...!) เห็นยอดมหาเจดีย์สูงทะยานเยี่ยมเมฆ บวกกับตำนานนักโทษประดับไฟ จึงเกิดความคิดอยากลองดีขึ้นมา...!

    ความคิดอยากพิชิตยอดมหาเจดีย์ เพื่อเป็นเกียรติประวัติแก่ตน โดยไม่คิดว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง พออาตมาปีนขึ้นไปตามท่อเหล็ก ที่สูงประมาณ ๔ เมตร ขึ้นไปถึงบันไดเล็ก ๆ ก็คิดว่า สบายข้าล่ะ...ง่ายยังกับปอกกล้วย...!

    สำรวจร่างกายว่าพร้อมทุกประการ อาตมาก็ไต่ขึ้นไปตามบันไดเหล็กอย่างระมัดระวัง เรื่องหมู ๆ แค่นี้เอง ภูเขากี่ลูกต่อกี่ลูกก็ข้ามมาแล้ว ขึ้นบันไดแบบนี้สบายมาก...มัวแต่คิดฝันเฟื่องเพลิน ขึ้นไปได้นิดเดียว พลัน...ลมแรงประหลาดก็พัดกระโชกลงมา...!

    องค์มหาเจดีย์ขยายใหญ่ขึ้น เต็มไปทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้า ตัวของอาตมาดูไปคล้ายตัวไรไต่ภูเขา ลมแรงพัดเฮือก ๆ เหมือนจะกระชากอาตมาปลิวไปให้ได้ พยายามปีนสวนขึ้นไปหนักเหมือนแบกภูเขาไว้ทั้งลูก จนเหงื่อแตกท่วมตัว เรี่ยวแรงหดหายไปทุกที...!

    "โอย...เข็ดแล้ว...ไม่ขอลองดีอีกแล้ว..." คิดเพียงแค่นี้ทุกอย่างก็คืนสภาพเดิม...! อาตมารีบไต่ขึ้นไปจนถึงประตูรูปกลีบบัว มุดเข้าไปหอบเป็นหมาหอบแดด พักจนหายเหนื่อยจึงปีนกลับลงมา ใช้เวลาแค่แป๊บเดียว สะดวกสบายทุกประการ...

    ประจักษ์ตากับความศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ประกอบกับหลวงปู่มหาอำพันสั่งอาตมาให้ไปนมัสการทุกปี ดังนั้น...ออกพรรษาแล้วของทุกปี อาตมามีงานประจำคือ ต้องเดินทางไปกราบนมัสการพระปฐมเจดีย์ เสมอมามิได้ขาด...



    ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  19. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๑๙. ยันต์เกราะเพชร

    หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดนครศรีอยุธยา องค์บูรพาจารย์ของหลวงพ่อ เป็นต้นตำรับการเป่ายันต์เกราะเพชร หลวงพ่อเมตตาเล่าว่า งานเป่ายันต์แต่ละครั้ง เรือแพแน่นขนัดไปทั้งแม่น้ำ เดินข้ามไปอีกฝั่งได้สบาย ๆ ผู้คนหลั่งไหลกันมามืดฟ้ามัวดิน หุงข้าวพร้อมกันทีละแปดกระทะ ตั้งแต่เช้ายันเย็นยังไม่พอเลี้ยงคนเลย...!

    ยันต์เกราะเพชรนี้ หลวงปู่ปานศึกษาจากตำราพระร่วง โดยตัดมาจากส่วนหนึ่งของธงมหาพิชัยสงคราม เป็นการนำเอาพุทธคุณบทต้นมาเขียนเป็น ตัวขอม อ่านตามขวางว่า

    อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา
    ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง
    ปิ สัม ระ โล ปุ สัต พุท
    โส มา ณะ กะ ริ ถา โธ
    ภะ สัม สัม วิ สะ เท ภะ
    คะ พุท ปัน ทู ทัม วะ คะ
    วา โธ โน อะ มะ มะ วา
    อะ วิ สุ นุต สา นุส ติ


    บางคนเรียกว่า คาถาปิติปิโสแปดทิศ เขียนแล้ว ชักสูตร จะออกมาเป็นยันต์เกราะเพชร
    วันเป่ายันต์ เป่าได้เฉพาะ วันเสาร์ห้า คือ ต้องตรงกับ วันเสาร์ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนใดก็ได้ ผู้รับยันต์ต้องมี ธูปเทียน ๑ ชุด เป็นเครื่องบูชาพระ ถ้าเป็นหญิงมีครรภ์ ต้องจัดธูปเทียน เผื่อลูกในท้องอีก ๑ ชุด ธูปเทียนนี้ไม่ต้องจุด เมื่อเสร็จพิธีแล้ว นำกลับบ้านได้ ใช้สำหรับไล่ผีชะงัดนัก เอาธูปเทียนจี้เข้า ผีเผ่นกระเจิง...!


    การเป่ายันต์ไม่ได้เป่าทีละคน หากแต่เป่าทีละเต็มศาลา กี่หมื่นกี่แสนคนก็เป่าพร้อมกันทีเดียว "พระ" ท่านบอกว่า เป่าทีเดียวทั่วจักรวาล จะอยู่มุมไหนของโลกก็ตาม ถ้าตั้งใจรับด้วยความเคารพก็มีผลเช่นเดียวกับคนที่มาเข้าพิธีด้วยตัวเอง...

    หลวงพ่อจะให้ผู้รับยันต์ สมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน แล้วดูภาพยันต์ที่ตั้งไว้ในพิธี ตั้งใจจำภาพยันต์ไว้ในใจ แล้วหลับตาภาวนาว่า พุทโธ ไปเรื่อย ๆ จนกว่าหลวงพ่อจะบอกว่าเสร็จพิธี...

    ยันต์เกราะเพชรคือพุทธานุภาพ ขณะที่เราหลับตาภาวนา พระพุทธเจ้าจะเปล่งฉัพพรรณรังสีลงมา ครอบคลุมท่านที่ตั้งใจรับยันต์ หลวงพ่อท่านจะคอยดูอยู่ พอพระท่านบอกว่าเต็มแล้ว หลวงพ่อก็จะบอกให้เลิกภาวนา...

    เมื่อยันต์เกราะเพชรเริ่มจับตัว ผู้รับจะมีอาการต่าง ๆ กัน เช่นร้อนหู ร้อนหน้า ขนลุกขนชัน หนักศีรษะ หรือ คันยุบยิบเหมือนมีตัวไรไต่ บางคนจับไข้ไปเลย อาการเหล่านี้จะทรงอยู่ไม่เกิน ๒-๓ วัน พอยันต์เข้าตัวหมดก็หายไปเอง...

    ผู้ที่ถูกไสยศาสตร์มา ไม่ว่าจะเป็นคุณผี-คุณคน หรืออะไรก็ตาม เมื่อเริ่มทำการเป่ายันต์ ท้าวจตุมหาราชและบริวาร จะช่วยขับของเหล่านั้นออกให้ คนที่โดนของมาจะทั้งดิ้นทั้งร้อง ต้องปล่อยให้สงบไปเอง เลิกดิ้นเลิกร้องเมื่อไร แปลว่า ของอาถรรพ์สลายตัวหมดแล้ว...!

    การเป่ายันต์เกราะเพชร เป็นการปลุกเสกวัตถุมงคลไปในตัวด้วย ใครมีวัตถุมงคล ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด หรือ เครื่องรางใด ๆ ก็ตาม เวลาเข้าพิธีให้วางไว้บนตักตัวเอง เสร็จพิธีเป่ายันต์ ก็นำไปใช้ได้เลย...


    การรักษายันต์เกราะเพชรให้อยู่กับตัว ผู้รับยันต์ไปต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์ หรืออย่างน้อย ต้องมีศีล ๒ ข้อ คือห้ามกินเหล้า และห้ามลักขโมย ตอนเช้าต้องสวดมนต์ไว้พระ นึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาราธนาบารมีของท่าน ลงมาเป็นเกราะเพชรคลุมกายเรา ภาวนา "พุทโธ" ให้ใจสบาย แล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง ถ้าทำแบบนี้ได้ทุกวัน อานุภาพของยันต์เกราะเพชร จะคุ้มครองรักษา ให้ท่านมีความปลอดภัยทุกประการ...

    ผู้ที่รับยันต์ไปแล้ว ถ้ารักษาไว้ได้จะมีอานุภาพดังนี้

    ๑. จะไม่ตายโหงอย่างเด็ดขาด
    ๒. จะไม่ตายด้วยพิษสัตว์ทุกชนิด
    ๓. ปลอดภัยจากไสยศาสตร์ทุกชนิด
    ๔. ไสยศาสตร์ทุกประเภท จะสะท้อนกลับไปเอง


    ผู้รับยันต์ไปเป็นผู้ใหญ่ ถ้ารักษาไว้ด้วยดี เมื่อตายแล้วเผา จะมียันต์ติดอยู่ที่กระดูก สำหรับเด็กในท้อง ถ้าเป็นลูกชายคนหัวปี เมื่อคลอดออกมา จะมียันต์ติดอยู่ตามตัว เป็นลวดลายต่าง ๆ กันไป...

    ลูกศิษย์หลวงพ่อหลายคน เมื่อตายแล้วเผามียันต์ติดที่กระดูก บางคนกระดูกลายเป็นพระธาตุไปเลย เด็กที่เกิดมามียันต์เกราะเพชรติดตัวเป็นจำนวนมาก บางคนลายเป็นแตงไทย บางคนหูดำทั้งสองข้าง บางคนเป็นยันต์เกราะเพชรอย่างชัดเจน...


    รายหนึ่งอยู่ลพบุรี ผู้เป็นแม่รับยันต์ไปแล้ว ตั้งใจรักษาศีล ๘ อย่างเคร่งครัด ลูกเกิดมามียันต์เป็นสีแดง และปรากฏขึ้นทุกวันพระ อีกรายมียันต์ติดกระหม่อมเป็นรูปกงจักร ซึ่งลวดลายยันต์เหล่านี้จะค่อย ๆ ซึมเข้าเนื้อ ไปอยู่ที่กระดูกจนหมด คุณแม่รายหนึ่ง เกรงว่าลูกจะเสียโฉม ให้หมอตำแยเอาเหล้่าพ่นพรวดเดียว ยันต์หายวับไปเลย...!

    หลวงพ่อเริ่มเป่ายันต์อย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ที่ ศาลาพระพินิจอักษร คนมารับยันต์หลายพันคน ต้องทำพิธีเป่าอยู่หลายรอบ ครั้งที่ ๒ เมื่อ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๖ ที่ ศาลา ๒ ไร่ ผู้คนแห่กันมาหลายหมื่นคน ศาลา ๒ ไร่ ที่ยังไม่เสร็จดี ต้องเปิดรับคนจนล้นหลายรอบเช่นกัน...

    พอเป่ายันต์ครั้งที่ ๓ วันที่ ๗ มกราคม ๒๕๒๗ ศาลาสองไร่ พัง...!ผู้คนแทบจะเหยียบกันตาย มากันเป็นแสน ๆ คน ข้าวที่เคยหุงเลี้ยงคนครั้งที่แล้ว ๒๒ กระสอบ ครั้งนี้แค่ช่วงเช้าหมดไปแล้วเกือบ ๓๐ กระสอบ...!

    มาถึงปัจจุบันนี้ หลวงพ่อทำการเป่ายันต์ไปแล้ว ๑๓ ครั้ง แต่ละครั้งผู้คน มากขึ้นทุกที ขนาดใ้ช้ ศาลา ๑๒ ไร่ ยังต้องเป่าถึง ๓ รอบผู้ที่โดนไสยศาสตร์มา ดิ้นกันศาลาแทบพัง คนที่มาเข้าพิธี เห็นเข้าก็ช่วยบอกกันต่อ ๆ ไป คนเลยหลั่งไหลกันมามืดฟ้ามัวดิน...!

    อาตมาเข้ารับยันต์เกราะเพชรครั้งแรก เกิดไข้จับไปเกือบสามวัน ครั้งที่สองขนลุกเป็นตุ่มพราวไปทั้งตัว เป็นอยู่หลายชั่วโมงจนรู้สึกเจ็บ ครั้งต่อ ๆ มาคงจะอยู่ตัวแล้ว จึงไม่รู้สึกอะไร ช่วยจำหน่ายวัตถุมงคลของหลวงพ่อ อย่างสบายอกสบายใจ...

    อานุภาพยันต์เกราะเพชรที่พบมา คือ โยมแม่ของอาตมา มารับยันต์ไปแล้ว โดนรถชนจนกระดูกหักไปทั้งแถบ ร่างกายยุบไปซีกหนึ่ง นอนห้องไอซียูอยู่ ๑๘ วัน อาตมาถวายสังฆทานให้ล่วงหน้า เพราะคิดว่าตายแน่ ๆ แม้แต่หมอก็คาดเช่นนั้น...

    แต่หลวงพ่อท่านยืนยันว่า คนรับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ไม่ตายโหงอย่างแน่นอน และก็เป็นความจริง หลังจากออกจากโรงพยาบาลมารักษาตัวอยู่กับบ้าน และไปให้หมอตรวจประจำทุกอาทิตย์ สามปีให้หลังโยมแม่ก็หายเป็นปกติ แข็งแรงดีทุกประการ...

    อีกราย คือจารุณี สุขสวัสดิ์ ดารายอดนิยมแห่งยุค รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ไปรถคว่ำหลังหัก แต่ก็รักษาหายเป็นปกติเช่นกัน แสดงว่าผู้รับยันต์เกราะเพชรไปแล้ว ถ้ารักษาเอาไว้ได้ รับรองว่าไม่ตายโหงอย่างแน่นอน...ส่วนอาตมาเอง โดนงูพิษกัด เพราะไปจับมันเล่นพิษวิ่งขึ้นมาแค่ข้อศอก แล้วกลับลงไปที่ปากแผล ขึ้นลงอยู่ ๓-๔ วาระ ก็สูญสลายไปเอง อานุภาพยันต์เกราะเพชร ป้องกันพิษสัตว์ได้จริง...!


    ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  20. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    ๒๐. พรท้าวจตุมหาราช


    ในฉกามาพจร แห่ง มัชฌิมสงสารนั้น ประกอบด้วยสวรรค์ ๖ ชั้นคือ

    ๑. จตุมหาราชิกา ๒. ดาวดึงส์ ๓. ยามา ๔. ดุสิต ๕. นิมมานรดี ๖. ปรนิมมิตวสวัสดี สวรรค์ทั้ง ๖ ชั้นนี้ จะมีจอมเทพผู้ทรงศักดานุภาพ ปกครองในแต่ละชั้นนั้น ๆ ศูนย์กลางการปกครองขึ้นกับชั้นดาวดึงส์ มี ท้าวโกสีย์สักเทวราช คือพระอินทร์ เป็นใหญ่กว่าเทวดาทั้งหมด ในที่นี้ จะกล่าวถึงชั้นจตุมหาราชิกาเท่านั้น...

    สวรรค์ชั้นนี้ตั้งอยู่ที่ กึ่งกลางเขาพระสุเมรุ (อย่าไปเปิดหาในแผนที่ซะให้ยากเลย หาเจอคงมหัศจรรย์พิลึก...!) ประกอบด้วยมหานครทั้งสี่ทิศ (ไม่ใช่ตลาดสี่มุมเมืองนะจ๊ะ) ล้วนแล้วไปด้วยกำแพงสุวรรณปราการมหึมา (แคะมาซักก้อนก็รวยอื้อแล้ว...)

    บนพื้นนั้นเป็นทองคำทั้งสิ้น (อะไรจะร่ำรวยปานนั้น) เวลาเดินทองคำจะยุบตัวลงไป เป็นรอยเท้า (ทองคำแท้ ๑๐๐% รับรองว่าไม่ขี้โกงผสมอย่างเด็ดขาด) เมื่อเดินผ่านไปแล้ว พื้นก็จะเต็มเสมอขึ้นเหมือนเก่า (ไม่เคยไปหรอก..."ฝัน" เอาเองจ้ะ...!)

    ในมหานครแต่ละทิศ ประกอบด้วยเทพยดาแต่ละเหล่า มีจอมเทวราชของตนปกครองดังนี้

    ๑. ทิศตะวันออก ปกครองโดย ท้าวธตรฐ หรือบางที่เรียกท้าวทศรถ เทวดาเหล่านี้เรียกว่า คนธรรพ์ เปรียบได้กับทหารอากาศของเรา...

    ๒. ทิศใต้ ปกครองโดย ท้าววิรุฬหก เทวดาเหล่านี้เรียกว่า กุมภัณฑ์ เปรียบไปแล้วคงเหมือนกับตำรวจของเรา...
    ๓. ทิศตะวันตก ปกครองโดย ท้าววิรูปักข์ เทวดาเหล่านี้เรียกว่า นาคา หรือ นาค เปรียบไปคงได้แก่ทหารเรือของเรา...
    ๔. ทิศเหนือ ปกครองโดย ท้าวเวสสุวรรณ หรือบางทีเรียกว่า ท้าวกุเวร ปกครองเทวดาเหล่าที่เรียกว่า ยักษ์ เปรียบได้กับทหารบก เพราะมีบทบาทมากที่สุด การปกครองทั้งสี่ทิศนี้ ขึ้นกับท้าวเวสสุวรรณทั้งหมด...

    ในท้าวมหาราชทั้งสี่ จะมีมือรอง (คงคล้ายรองผบ.เหล่าทัพ) ที่เรียกว่า "อินทกะ" ทิศละ ๑,๐๐๐ องค์ คอยช่วยเหลืออยู่ หากท้าวมหาราชองค์ใด หมดวาระพ้นจากตำแหน่งท่านอินทกะทั้งหนึ่งพันองค์ของทิศนั้น ก็จะคัดเลือกองค์ใดองค์หนึ่งที่เหมาะสม ขึ้นมารับตำแหน่งแทน (รับรองว่าไม่มีใบปลิว หรือบัตรสนเท่ห์โจมตีกันอย่างเด็ดขาด) ส่วนตำแหน่งที่ว่างลง ก็จะเลือกเทวดาชั้น วชิระ ขึ้นมาแทน...

    เทวดาชั้นจตุมหาราชนี้ จัดว่าชอบยุ่งกับมนุษย์มากที่สุด (ไม่ใช่ชอบยุ่งโว้ย...ไอ้น้อง...รู้จักคำว่าหน้าที่มั้ย...? ถ้าไม่ใช่หน้าที่ พี่ก็ไม่"เสือก" หรอก...!) แฮ่..เย็นไว้น่าท่านพี่ แค่ล้อเล่นนิดหน่อย โหสิให้น้องเถอะนะพี่นะ...!
    หน้าที่ของเทวดาเหล่านี้คือ ปกครองดูแลโลกมนุษย์ในทิศทั้งสี่ (ก็ทั่วโลกนั่นแหละ แค่นี้ก็ต้องเล่นสำนวนให้เวียนหัวด้วย...) คอยเก็บบัญชีความดีชั่วของมนุษย์ จากพระภูมิเจ้าที่ บัญชีความดีส่งให้ ปัญจสิกขเทพบุตร บันทึกไว้รายงานต่อพระอินทร์ ส่วนบัญชีความชั่วนั้น สิริคุตมหาอำมาตย์นายบัญชีใหญ่แห่งเมืองนรก จะเป็นผู้บันทึก (ความจริงไม่ต้องบันทึกให้เสียเวลา มันก็ปรากฏขึ้นเองโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว) และหน้าที่หลักคือ รักษาสถานที่สำคัญต่าง ๆ บนโลกมนุษย์ทั้งหมด...

    ใครอยากเกิดเป็นเทวดาชั้นนี้ ต้องฝึกฌานสมาบัติให้ได้ แล้วเวลาตายให้แกล้ง ๆ ลืมเข้าฌาน ก็จะมาเกิดที่นี่ อยากมีรูปร่างสะโอดสะองก็ไปเป็น คนธรรพ์ (พระเอกลิเก) อยากอ้วนม่อต้อเป็นตุ่มต่อขาก็ไปเป็น กุมภัณฑ์ อยากล่ำบึ้กเป็นแรมโบ้ ก็ไปเป็น ยักษ์ หากเห็นว่าเดินมันจะเมื่อย ขอเลื้อยเล่นเวลาทำงาน ก็ไปเป็น นาค ความจริงทุกเหล่า ต่างก็มีกายทิพย์สวยงาม แต่เวลาทำงานมันก็ต้อง แต่งเครื่องแบบ กันหน่อย...

    หลวงพ่อเคยสงสัยว่า ท้าวมหาราชทั้งสี่ มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร...? เห็นแต่รูป ย.ยักษ์เขี้ยวใหญ่ที่เขาวาดไว้ เวลาบวงสรวงหลวงปู่ปานจึงแนะนำให้ขอเชิญพบ ท่านก็มาตามคำเชิญจริง ๆ ซ้ำยังรายงานตัวว่า เป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน และให้การสงเคราะห์หลวงพ่อตลอดมา ขนาดอยากฉัน ผักบุ้งต้มจิ้มน้ำปลาพริก ท่านก็ช่วยหามาให้ แต่ท่านไปเก็บผักบุ้งมาจากไหนก็ไม่รู้ ปล้องใหญ่ขนาดสอดแขนลงไปได้ ยาวเป็นวาเลย ขดมาในชามดินเผาใบโตเท่ากาละมัง น้ำพริกก็เผ็ดน้ำหู น้ำตาเล็ด...อร่อยจริง ๆ ให้ดิ้นตาย...!

    ในงานฉลองวันเกิดหลวงพ่อ ปี ๒๕๒๖ ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ให้พรแก่ลูก ๆ หลวงพ่อถึง ๕ ข้อด้วยกัน อาตมาจำข้อสุดท้ายได้ข้อเดียว คือ "ลูกหลวงพ่อทุกคน บาดเจ็บได้หนักที่สุด แค่เย็บไม่เกิน ๕ เข็ม" อาตมามีนิสัยชอบลุยอยู่แล้ว จึงรับพรใส่เกล้าด้วยความยินดี...

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ขึ้นรถทีไรมักสั่งว่า "๑๒๐ เป็นอย่างต่ำ เกินเท่าไหร่ไม่ว่ากัน...!" แหม...มันถึงที่หมายทันใจดีเหลือเกิน ยิ่งได้มือซิ่งประจำตัว คือ มงคล จอมผา ไอ้น้องรักมีแต่เกินไม่มีขาด ขนาดโค้งอันตราย เขาให้ไป ๓๐ ก.ม./ช.ม. นายแดงเขาใจดี แถมให้ฟรีอีก ๑๐๐ กลายเป็น ๑๓๐ ทิ้งโค้งทีหายวับไปเลย...!

    ครั้งหนึ่งอาตมาป่วยเป็นซีสต์ ขนาดลูกปิงปองที่หนังตาขวา ไปผ่าตัดก็เย็บแค่ ๕ เข็ม หลวงตาวัชรชัย(พระวัชรชัย อินทวํโส) ไปผ่าตัดไส้เลื่อน ก็เย็บ ๕ เข็มเช่นกัน พรของท่านแน่นอนจริง ๆ ...!



    ๑ มีนาคม ๒๕๓๓


    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ



    บันทึกเพิ่มเติม หลวงตาวัชรชัย ปัจจุบันนี้คือ พระครูภาวนาพิลาศ เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาวง(ถ้ำนารายณ์) รองเจ้าคณะอำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี



    ๘ กรกฎาคม ๒๕๔๙

    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...