ฉบับที่ ๔๖ เดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ในห้อง 'กระโถนข้างธรรมาสน์' ตั้งกระทู้โดย paang, 10 ธันวาคม 2007.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG]



    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21>[​IMG]</TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD>
    ช่วงแรกของเล่ม "กรรมฐาน ๔๐" สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนตุลาคม ๒๕๔๕
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ถาม: ..............(คุยเรื่องพระเครื่องสมเด็จองค์ปฐม)...................
    ตอบ : พระองค์ที่ ๑๑ ก็คือ พระสมเด็จองค์ปฐมในกายพระสงฆ์ โยมเขาประเภท เจอพระดีที่ไหนก็ยัดใส่มือให้ท่านเสกท่าเดียว ไปเจอพระที่ท่านรู้จริง ท่านรับได้ก็ใส่หัวไปเลย บอกไม่ต้องเสกแล้ว พูดง่าย ๆ ว่า จะเอาใครมีอานุภาพกว่า พระสมเด็จองค์ปฐม ท่านคงหาไม่ได้ พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมี เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ด้วยการตั้งหน้าตั้งตาทำจริง ๆ จะมีหลักสูตรประเภท ปัญญาธิกะ อสงไขยกับแสนมหากัป ศรัทธาธิกะนี่ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป วิริยาธิกะสร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป แต่สมเด็จองค์ปฐม ท่านไม่มีแบบอย่างให้ศึกษา หลักสูตรยังไม่กำหนด ท่านต้องค้นคว้าเอง ฟาดเสีย ๔๐ อสงไขย ถ้าอยากรู้ว่าอสงไขยหนึ่งนานแค่ไหน ก็ต้องเริ่มที่อสงไขยปี อสงไขยปีนี้เขาเริ่มต้นตั้งเลข ๑ ขึ้นมา แล้วเขียนเลขศูนย์ต่อท้ายไป ๑๔๐ ตัว เป็นตัวเลข ๑๔๑ หลัก นี้แค่อสงไขย

    พอเป็นต้นกัปที่ อาภัสราพรหมท่านลงอาภัสราพรหมที่หมดบุญ พอไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลก แล้วฝนตก กลิ่นดินมันหอม ท่านจะลงมากินดิน พอกินของหยาบเข้าไปกายหนัก เหาะกลับไม่ได้ คราวนี้รัศมีกายท่านยังมีอยู่ ไม่มีพระอาทิตย์ พระจันทร์ ไม่มีอะไรก็กินง้วนดินไปเรื่อย คราวนี้พอกินมากเข้า ความหยาบมันมีมากขึ้น จากกายทิพย์ก็กลายเป็นกายหยาบ รัศมีกายก็หมดไป เมื่อรัศมีกายหมดไปก็ต้องมีพระอาทิตย์ พระจันทร์ เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นการรองรับ

    คราวนี้พืชพรรณธัญญาหารก็เกิดขึ้นเพื่อรองรับ คนก็ปรากฏเพศขึ้น ก็แบ่งเป็นเพศหญิงเพศชาย ก็เริ่มมีลูกหลานไปเรื่อย ๆ คราวนี้คนที่อยู่ต้นกัปนี้ บารมีเขาคือ พรหมลงมาเกิด อายุมันก็เลยมาก อายุจะได้อสงไขยปี คือตั้งตัวเลข ๑ แล้วเขียนเลขศูนย์ไป ๑๔๐ ตัว กลายเป็น ๑๔๑ หลัก คืออายุขัยตอนนั้น

    ตอนนี้พออยู่ไปเรื่อย ๆ กิเลสมันเริ่มเข้า รัก โลภ โกรธ หลง เริ่มมีทีละน้อย ๆ อายุขัยก็จะลดลง ผ่านไป ๑๐๐ ปี อายุขัยก็จะลดลงปีหนึ่งไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ จากอสงไขยปีหนึ่ง ลดลงเหลือจนเหลือ ๑๐ ปี อย่างสมัยของเรานี้เกณฑ์อายุสมัยพุทธกาลจะ ๑๐๐ ปี เป็นประมาณ ผ่านไป ๑๐๐ ปี ลดลงปี คราวนี้ผ่านไป ๒๕๐๐ ปีเศษ ลดลง ๒๕ ปีเศษ ๆ เพราะฉะนั้น คนในช่วงนี้จะเหลืออายุ ๗๔ ปีเศษ ๆ เท่านั้น จนกระทั่งถึงอายุ ๑๐ ปี จะเป็นจุดต่ำสุด แล้วลองคิดดูว่านานแค่ไหน ๑๐๐ ปี ลดหนึ่ง จากเลข ๑๔๑ ตัวมา มันนานจนประมาณเป็นตัวเลขได้ยาก แล้วพอถึงเวลานั้น มันก็เกิดที่เรียกว่า มิคสัญญี ประเภทที่ว่าพี่น้องก็ฆ่ากันเอง ครอบครัวก็ฆ่ากันเอง เพราะจำหน้ากันไม่ได้ คนที่เกิดสลดใจเพราเริ่มระลึกถึงความดีได้อะไรได้ ก็เริ่มตั้งใจให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาใหม่ คุณความดีที่ทำก็จะส่งให้อายุสูงขึ้นเรื่อย ๆ ก็ ๑๐๐ ปี เพิ่มปี เหมือนกัน ไปเรื่อย ๆ เหมือนกัน

    จนกระทั่งความดีสูงสุดก็จะส่งผลให้อายุอสงไขยปี เป็นประมาณเท่าเดิม จากอสงไขยปี ลดลงมาเหลือ ๑๐ แล้วจาก ๑๐ ขึ้นไปจนถึงอสงไขยปีเรียกว่า ๑ รอบอันตรกัป ตามอรรถกถาท่านเปรียบไว้ว่า มีภูเขาหินยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ กว้างยาวสูงด้านละ ๑ โยชน์ คือ ๑๖ กิโล ๑ โยชน์ มี ๔๐๐ เส้น ๑ เส้น ๒๐ วา ก็เท่ากับ ๑ โยชน์ ๘,๐๐๐ วา ๑๖,๐๐๐ เมตร คือ ๑๖ กิโล ๑๐๐ ปี เทวดาเอาผ้าเนื้ออ่อนมาเช็ดทีหนึ่ง ร้อยปีเช็ดทีหนึ่ง ภูเขาลูกนั้นสึกเสมอพื้นได้เวลา ๑ รอบอันตรกัป คือจาก ๑๔๐ ตัว ลงมาเหลือ ๑๐ และจาก ๑๐ ขึ้นไป ๑๔๐ อีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือภูเขาหินลูกหนึ่ง ร้อยปีปัดทีหนึ่งจนกระทั่งสึกเสมอพื้น คราวนี้ ๖๔ รอบอัตรกัป เท่ากับหนึ่งอสงไขยกัป แล้ว ๔ อสงไขยกัปถึงจะเท่ากับ ๑ มหากัป

    แล้วลองคิดดูพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป หน้ามืดไหมล่ะ ? มันนานเท่าไร ในรอบอสงไขยกัป จะประกอบด้วย ๔ อสงไขยกัป มันจะมีสังวัฏฏะอสงไขยกัป เป็นเวลาที่โลกกำลังโดนทำลายลงไปเรื่อย ๆ สังวัฏฐายีอสงไขยกัป เป็นเวลาที่โลกกำลังโดนทำลายลงไปเรื่อย ๆ สังวัฏฐายีอสงไขยกัป โลกโดนทำลายเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรหลงเหลือเลย แล้วก็จะเริ่มรอบใหม่เป็นวิวัฏฏะอสงไขยกัป โลกกำลังเริ่มกลับฟื้นคืนขึ้นมาแล้วก็วิวัฏฐายีอสงไขยกัป โลกเราเจริญเรียบร้อยขึ้นมาแล้ว ประเภท ๑๔๐ ลง ๑๔๐ ขึ้น ๖๔ รอบอัตรกัปเท่ากับ ๑ อสงไขยกัป เพราะฉะนั้น อสงไขยกัปจะเท่ากับ ๖๔ อัตรกัป ถ้า ๔ อสงไขยกัปก็เท่ากับ ๒๕๖ อัตรกัปใช่ไหม ? แล้ว ๒๕๖ อัตรกัปเท่ากับ ๑ มหากัป พระพุทธเจ้าท่านต้องสร้างบารมีต่ำสุด ๔ อสงไขยกับ ๑ แสนมหากัป เครื่องคิดเลขใช้ไม่ได้จ้ะ มัน ๑๔๑ หลัก

    แต่คราวนี้ว่า เทวดาก็ดี พรหมก็ดี พระบนนิพพานก็ดี หรือว่ามนุษย์ที่ได้อภิญญาสมาบัติระดับที่เรียกว่า ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ความที่เรียกว่า ความผ่องใสของจิต ความละเอียดของจิต จะคำนวณตัวเลขนี้ออกมาง่ายมากเลย แต่ของเราจะคำนวณไม่ได้เพราะว่า มันละเอียดเกินไป ฟังแล้วยังอยากเกิดอีกไหม ?
    สุด ๆ นี่หมายเฉพาะที่ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้านะ จริง ๆ แล้วท่านต้องทำอย่างน้อย ๒๐ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะว่าจะต้องคิดว่าตัวเองจะเป็นพระพุทธเจ้า คิดอย่างเดียวตลอด ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป แล้วเอ่ยปากว่าเราจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนั้นเป็นการคิดของศรัทธาธิกะพระโพธิสัตว์

    คราวนี้คิดว่าจะเป็น ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป พูดว่าจะเป็น ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อให้เป็น ดังนั้นคุณเจอไป ๒๐ ถ้าเป็นศรัทธาธิกะโพธิสัตว์ก็เท่าตัว ๔๐ วิริยาธิกะโพธิสัตว์ เจอไปอีกเท่าหนึ่งก็ ๘๐ หน้ามืด เขาบอกว่าในจักรวาลอันไพศาล มนุษย์ของเราก็เหมือนกับสะเก็ดฝุ่นเม็ดเดียวเท่านั้นเอง

    แต่ตราวนี้ส่วนใหญ่แล้วว่า สายตาและปัญญาไม่ได้กว้างไกลขนาดนั้น ก็เลยกลายเป็นความมานะ ถือตัว ถือตน กูดี กูเก่ง กูใหญ่ ตัวกู ของกู ก็เลยแน่นหนาไปหน่อย แต่ถ้าหากว่าเราสามารถที่จะมองได้กว้างไกลขนาดนั้น จะเห็นว่าตัวเราเอง จริง ๆ แล้วเป็นธุลีเดียวของจักรวาลนี้เท่านั้น ท่านบอกว่าใครอยากรู้ว่าตัวเองเล็กแค่ไหนนะ เอาเรือลำเล็ก ๆ ออกไปกลางทะเล ถึงอีตอนที่ไม่เห็นฝั่งแล้วจะรู้เองว่าตัวเองแค่ไหน ...เคยเห็นพระอรหันต์ปลงธรรมสังเวชไหม ?

    ถาม : แล้วตรงนี้ ผมเชื่อว่า คนทุกคนเกิดมา มันจะมีส่วนของชาติที่แล้วที่สร้างเอาไว้ เช่นว่า จะต้องประสบกับเหตุการณ์อะไร ที่ทำให้ชีวิตมันเปลี่ยนไปในทางว่าเลื่อมใสแล้วเดินทางเข้าสู่หลักศาสนา มันจะมีตัวนั้นเป็นตัว...?

    ตอบ : มันจะต้องสะสมมาด้วย ถ้าหากว่าไม่มีของเก่าส่งมา ก็อาจจะเข้ามาได้ยาก เข้ามาได้ช้า หรือไม่ก็บางคนถึงมีของเก่าสร้างสมมา แต่ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีเอาไว้ ก็อาจจะถูกสิ่งที่ไม่ดีมาคอยขัดขวาง ทำให้เข้ามาได้ช้าเหมือนกัน แต่ว่าท้ายสุดแล้วทั้งหมดก็ต้องไปนิพพานเพียงแต่จะช้าจะเร็วเท่านั้น

    คนหนึ่งอาจจะ ๒๐-๓๐ อสงไขยกัปข้างหน้า ขณะที่อีกคนหนึ่งอาจจะไปชาตินี้เลย ท้ายสุดไปนิพพานหมด เพียงแต่ว่าจะช้าจะเร็ว แล้วแต่บุญกรรมที่ตัวเองสร้างสมเอาไว้ พวกเรา
     
  2. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG][​IMG] <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=15 height=21></TD><TD align=middle width="100%" background=images/up.gif height=21></TD><TD></TD></TR><TR><TD width=15 background=images/left.gif> </TD><TD width="100%" background=images/glass.gif bgColor=#fefefe><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 width=680 align=center border=0><TBODY><TR><TD> ถาม: ...........................................
    ตอบ : ...๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปน่ะ เกิดกันไม่ต้องนับอยู่แล้ว ในเมื่อเกิดกันไม่ต้องนับอยู่แล้ว เอาไว้เฉพาะที่ใกล้ ๆ กันก็ไม่รู้จะเท่าไรต่อเท่าไหร่แล้ว แล้วที่ดีใจถือว่าทุกวันนี้เขาก็ยังเหนียวแน่นกันดี โดยเฉพาะที่ยะลา ศูนย์ใหญ่อยู่ที่บ้าน อ. ระพี เลขะกุล คุณหมอบุญสิทธิ์ อ. ระพี เลขะกุล บ้านนั้นถ้าหากว่าหลวงพ่อลงไปก็จะต้องไปพักที่นั่นเป็นประจำ ที่ยะลาก็เข้มแข็งดีรวมกันได้หลายจุด บ้านนั้น คุณชลัท, คุณชลดา ไชยเทพ, บ้านของคุณปรีชา วีรเมธปกรณ์ เขา... ลูกศิษย์เก่า ๆ ของหลวงพ่ออย่างพวก คุณเซี้ยง ก็ไปร่วม ๆ กับเขา ด้านกลกก็เยอะ ทางด้านแว้งก็เยอะ ตอนแรกเห็นหน้ายังนึกว่าอิสลาม ที่ไหนได้ไทยพุทธทั้งนั้น

    ถาม : ผมว่าความเหนียวแน่นบางครั้งอาจจะเป็นเพราะหลวงพ่อเคยไปแสดงบารมีให้รู้ถึงความลึกซึ้ง ทำให้เกิดความปักใจ ?

    ตอบ : จ้ะ คือ มีลูกศิษย์หลวงพ่อบางท่านที่พอปฏิบัติไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็สามารถช่วยคนอื่นเขาได้ ก็เลยยิ่งกลายเป็นที่เลื่อมใสเข้าไปอีกว่า เออ...ขนาดลูกศิษย์ปลาย ๆ แถวยังช่วยได้ขนาดนี้ หลวงพ่อต้องเก่งกว่านี้แน่ แล้วที่ตลกก็คือว่า หลายต่อหลายรายได้สมาธิ ได้อภิญญากันอย่างชนิดที่คล้ายกับว่าถึงเวลาสุกงอมจริง ๆ บางคนกรีด ๆ ยางอยู่อภิญญาเข้าเฉยเลย กรีดยางมันต้องใช้สมาธินะ (หัวเราะ) แล้วหลวงพ่อท่านก็มาบอกว่าให้ช่วยคนอย่างนั้น ให้ช่วยคนอย่างนี้ ต้องใช้อย่างนั้น ต้องใช้อย่างนี้ พอไปทำก็มีผลจริง

    บางคนเป็นทหาร เป็น ต.ช.ด. อยู่ ออกลาดตระเวน เวลาอยู่ในพื้นที่มันตึงเครียด ไม่รู้ทำไงก็อาศัยพระเป็นที่พึ่ง ภาวนาไปภาวนามา อ้าว...หลวงพ่อโผล่มาบอกให้ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ต่อหน้าเฉยเลย ของเขายึดมั่นกันจริง ๆ เพราะว่าของเขาเหมือนกับห่างพระ โดยเฉพาะปัตตานี ยะลา นราธิวาส ๓-๔ จังหวัดนี้ วัดจะน้อยมากและพระปฏิบัติน้อยมาก ก็เลยกลายเป็นว่าถ้ามีพระปฏิบัติลงไปนี่ เขามายังกับคนหิวข้าวเลย ยังไงก็ต้องกอบโกยกินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

    ถาม : นั่นน่ะ ผมเชื่อตรงนั้นว่าหลวงพ่อเคยไปแสดงบารมีอะไรให้เขาเชื่อ... อย่างผมนี่มีอยู่คราวหนึ่ง ตอนนั้นผมหัดเจริญพระกรรมฐานใหม่ ๆ ก็เอาหนังสือของหลวงพ่อเล่ม
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...