ชมภาพ ถวายพระพุทธรูป แด่ ลพ.ทอง จันทสิริ และ ลป.แปลง สุนทโร ณ.วัดพุทธบูชา 3 ก.ย.ผ่านมา

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย บัวผลิหน่อ, 23 สิงหาคม 2011.

  1. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    ร่วมทำบุญตามกำลังทรัพย์
    เพื่อร่วม ถวายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม
    ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ์
    หน้าตัก 5 นิ้ว องค์ละ 1,700 บาท (เนื้อโลหะ)
    ณ.วัดพุทธบูชา เขตบางมด กรุงเทพมหานคร
    (ศาลาการเปรียญ)
    เพื่อน้อมถวายแด่ หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ
    วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    หมายเหตุ : หากหลวงพ่อติดกิจ กะทันหัน จะน้อมถวายพระกรรมฐานรูปอื่น แทน
    สามารถร่วมทำบุญได้ ตามกำลังศรัทธา
    หรือ จะขอรับเป็นเจ้าภาพทั้งองค์
    และ ประสงค์จะถวายพ่อแม่ครูอาจารย์องค์ใด ก็ระบุได้ จะน้อมถวายให้ตามความประสงค์ <O:p</O:p

    <O:p</O:p
    หากท่านใดจะฝากเงินเพื่อ<O:p</O:p
    1.ซื้อข้าว และ อาหาร คาวหวาน ใส่บาตร<O:p</O:p
    2.ทำบุญต่างๆ ที่วัดพุทธบูชา<O:p</O:p
    ฝากปัจจัยได้ และ แจ้งด้วยนะครับ จะได้แยกเงินได้ถูกต้อง<O:p</O:p
    หมายเหตุ:ได้ถวายพระพุทธรูป แล้ว จำนวน 4 องค์ <O:p</O:p
    วันที่ 26 มิ.ย.54 ถวายพระพุทธรูปปางสมาธิ แด่หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน จ.ยโสธร ที่สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย 3 กรุงเทพมหานคร<O:p</O:p
    วันที่ 2 ก.ค.54 ถวายพระพุทธรูปปางสมาธิ แด่หลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร ที่วัดพุทธบูชา กรุงเทพมหานคร
    <O:pวันที่ 23 ก.ค.54 ถวายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ แด่หลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร วัดป่าวิเวกพัฒนาราม จ.หนองคาย ที่ห้างแฟชั่นไอร์แลนด์ รามอินทรา กรุงเทพมหานคร</O:p
    <O:pวันเสาร์ที่ 6 ส.ค. 2554ถวายพระพุทธรูปประจำวันจันทร์ หน้าตัก 9 นิ้ว แด่ หลวงปู่คำผิว สุภโณ วัดป่าศรีวิไล จ.อุดรธานี ที่วัดพุทธบูชา กรุงเทพมหานคร


    <O:pร่วมทำบุญได้ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคม ถึง วันที่ 2 กันยายน 2554
    ผ่านบัญชี
    ธนาคารกรุงเทพ สาขาราษฎร์บูรณะ ประเภทออมทรัพย์
    ชื่อบัญชี นางสาวสุวรรณ เกตุชาติเลขที่บัญชี 186-4-12959-6
    โทร.สอบถามเพิ่มเติม เบิร์ด 085-361-4989<O:p</O:p


    หมายเหตุ :<O:p</O:p
    มีเวลาอยู่ที่วัดพุทธบูชา น้อยทำให้ต้องไปแต่เช้าตรู่ ประมาณ 06.00 น. เพื่อทำบุญตักบาตรและถวายพระพุทธรูป และจะเดินทางกลับบ้านเลย เพื่อเตรียมไปร่วมงานพิธีเจริญพระพุทธมนต์และบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ณ.วัดบางกระเจ้านอก ต่อ<O:p</O:p
    รายนามพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ได้รับนิมนต์มาที่วัดพุทธบูชา ดังนี้<O:p</O:p
    วันเสาร์ที่ 3 กันยายน 2554
    1.หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม<O:p</O:p
    2.หลวงปู่เกิด ยุตตธัมโม <O:p</O:p
    3. หลวงปู่ท่อน ญาณธโร <O:p</O:p
    4.หลวงปู่เจริญ ญาณวุฒโฑ <O:p</O:p
    5.หลวงปู่ประสาร สุมโน (ถวายแล้ว)<O:p</O:p
    6.หลวงปู่แปลง สุนทโร <O:p</O:p
    7.หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ <O:p</O:p
    8.หลวงพ่อทอง จันทสิริ <O:p</O:p
    9.หลวงพ่อสนธิ์ อนาลโย <O:p</O:p
    10.หลวงพ่อคำผิว สุภโน (ถวายแล้ว)<O:p</O:p
    11.หลวงพ่อคำ กาญจนวัณโณ<O:p</O:p
    12.หลวงพ่อสมหมาย จิตตปาโล <O:p</O:p
    13.หลวงพ่อวงศ์ สุภาจาโร<O:p</O:p
    14.พระวิมลศีลาจารย์ <O:p</O:p
    15. หลวงพ่อไม อินทสิริ <O:p</O:p

    ขออนุโมทนาบุญกับผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านนะครับ
    ทีมงานกลุ่มบัวผลิหน่อ<O:p</O:p

    </O:p
    </O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กันยายน 2011
  2. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    วันที่ 26 มิ.ย.54 ถวายพระพุทธรูปปางสมาธิ แด่หลวงปู่สรวง สิริปุญโญ วัดศรีฐานใน จ.ยโสธร ที่สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย 3 กรุงเทพมหานคร<O:p</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1000154.JPG
      P1000154.JPG
      ขนาดไฟล์:
      606.6 KB
      เปิดดู:
      98
  3. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    วันที่ 2 ก.ค.54 ถวายพระพุทธรูปปางสมาธิ แด่หลวงปู่ประสาร สุมโน วัดป่าหนองไคร้ จ.ยโสธร ที่วัดพุทธบูชา กรุงเทพมหานคร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1000220.JPG
      P1000220.JPG
      ขนาดไฟล์:
      154.9 KB
      เปิดดู:
      71
  4. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    วันที่ 23 ก.ค.54 ถวายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ แด่หลวงปู่สมภาร ปัญญาวโร วัดป่าวิเวกพัฒนาราม จ.หนองคาย ที่ห้างแฟชั่นไอร์แลนด์ รามอินทรา กรุงเทพมหานคร</O:p
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_0442.jpg
      100_0442.jpg
      ขนาดไฟล์:
      255.7 KB
      เปิดดู:
      81
  5. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    วันเสาร์ที่ 6 ส.ค. 2554ถวายพระพุทธรูปประจำวันจันทร์ หน้าตัก 9 นิ้ว แด่ หลวงปู่คำผิว สุภโณ วัดป่าศรีวิไล จ.อุดรธานี ที่วัดพุทธบูชา กรุงเทพมหานคร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • P1050014.JPG
      P1050014.JPG
      ขนาดไฟล์:
      83.2 KB
      เปิดดู:
      73
  6. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ
    วัดใหม่บ้านตาล ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร

    ๏ อัตโนประวัติ
    ข้าพเจ้ามีนามเดิมที่คุณตาตั้งให้ชื่อ คำบ่อ พวงสี เกิดเมื่อวันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2474 เวลาประมาณ 03.00 น. ตรงกับขึ้น 2 ค่ำ เดือน 12 ปีมะแม ณ บ้านตาล ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โยมบิดา-โยมมารดาชื่อ นายทอง และนางภู่ พวงสี มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด 7 ข้าพเจ้าเป็นบุตรคนที่ 1
    ๏ ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
    ในปฐมวัย ข้าพเจ้าได้เข้าเรียนชั้นประถมศึกษาที่ศาลาวัดศรีษะเกษ บ้านตาล ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เมื่อจบแล้ว โยมบิดา-โยมมารดา จะให้บวชเป็นสามเณร จึงตอบท่านไปว่า ยังไม่บวช จะอยู่ทำงานไปอีกสักระยะหนึ่งก่อน จึงจะบวช โยมบิดา-โยมมารดา ท่านก็ไม่ว่าอะไรแม้แต่คำเดียว
    ตั้งแต่วันนั้นข้าพเจ้าก็ทำหน้าที่การงานช่วยบิดามารดาให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้ท่านเป็นทุกข์เพราะเรา ตระกูลนี้ไม่เจริญเพราะเราก็จะไม่ให้เสื่อมเพราะเรา ตระกูลเจริญเพราะเราก็จะไม่ให้เสื่อมเสียเพราะเรา นี้เป็นความรู้สึกลึกๆ อยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า จนบิดามารดาของข้าพเจ้าไว้เนื้อเชื้อใจ จะซื้อจะขายอะไรที่จะต้องใช้เงินทองจำนวนมาก ท่านจะมาถามแทบทุกครั้ง ถ้าข้าพเจ้าตกลงอย่างไร ท่านก็จะเอาอย่างนั้น เพราะความไว้เนื้อเชื้อใจในตัวของข้าพเจ้า
    ท่านทั้งสองเป็นพุทธมามกะ เลื่อมใสในบวรพระพุทธศาสนา เพราะเชื่อว่าความดีก็มีเหตุ ความชั่วก็มีเหตุ ความดีก็เกิดจากการกระทำดีนั้น ความชั่วก็เกิดจากการกระทำชั่วนั้น ฉะนั้น ท่านทั้งสองจึงพยายามสร้างความดี ทำความดี ตามกำลังกายกำลังทรัพย์ กำลังปัญญาของท่าน จนกระทั่งท่านทั้งสองจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ
    ฉะนั้น ตระกูลพวงสีนี้จึงเป็นตระกูลเคารพนับถือบวรพระพุทธศาสนาอย่างไม่ลืมเลือนไปจากหัวใจ ในตระกูลพวงสีนี้ ก็นับว่าโชคดีที่ยึดเอาคำสอนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหลักปฏิบัติในการครองเรือน จึงทำให้ชีวิตความป็นอยู่ของตระกูลพวงสีพอกินพอใช้ไม่รวยและก็ไม่จน พอมีพอกินตามสภาพคนบ้านนอก
    ๏ ชีวิตเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์
    เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 ปีมะโรง อายุได้ 21 ปี วันนั้นคุณตามาที่บ้านประมาณ 1 ทุ่ม ท่านถามว่ากินข้าวเสร็จหรือยัง เลยบอกท่านว่ายัง ท่านเลยบอกให้รีบไปกินข้าว วันนี้จะพาไปมอบนาคที่วัดตาลนิมิต บ้านตาล ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร แบบนี้เขาเรียกว่าแบบจู่โจมไม่ให้รู้ตัว โยมบิดา-โยมมารดาไม่บอกให้ทราบ แต่ข้าพเจ้ากลับรู้สึกดีใจ จะได้หมดหนี้บุญคุณของท่านเสียที หนี้บุญคุณของบิดามารดา ยังฝังอยู่ในจิตใจไม่หลงลืมตลอดมา
    ถ้ายังไม่ได้บวชให้ท่านก่อนแล้ว ก็จะไม่แต่งงานเป็นอันขาด เพราะได้ยินญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ตาของเธอเขาดีใจมากเพราะได้หลานคนแรกเป็นผู้ชาย ท่านบอกว่าท่านได้กำไรแล้ว คำว่ากำไรคงหมายถึงความดีเท่านั้น คำพูดของท่านคำนี้จึงไม่ลืมเลือนไปจากจิตใจของข้าพเจ้าตลอดมา จนกระทั่งทุกวันนี้ เมื่อไปอยู่วัดป็นนาคแล้ว ก็ได้มีเพื่อนคนหนึ่งได้ตามไปเพื่อจะบวชเหมือนกัน เราก็ดีใจเพราะได้เพื่อน เมื่อเพื่อนไปเป็นนาคอยู่ด้วยกันได้ 3 วันก็มีเรื่องให้แตกกัน เนื่องจากหลวงพี่สงฆ์ให้ไปช่วยงานที่บ้าน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ชวนให้ไปด้วยกัน แกก็ไม่ไปตาม สุขเพราะความมีเพื่อนก็เลยหายไปอย่างง่ายๆ แต่ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับครูบาอาจารย์แล้วก็ต้องไป
    คิดว่าไปไหนก็ต้องมีพระเป็นเพื่อน ไปหาพระก็ต้องมีพระเป็นเพื่อน ไปหาคนก็ต้องมีคนเป็นเพื่อน และไปช่วยสร้างพระอุโบสถที่ยังไม่แล้วเสร็จ ออกเดินทางประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่วัดเจริญราษฎร์บำรุง บ้านมาย อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีทั้งหญิง ชาย คนหนุ่ม คนแก่ จำนวนมากช่วยงาน แต่อยู่ไปประมาณเดือนมีนาคม ครูบาอาจารย์อาจมองเห็นว่าจะมองว่าใกล้ไฟ มันร้อนใกล้ค้อนมันเจ็บ ท่านเลยลัดคิวบวชเป็นสามเณรให้
    ท่านก็ได้จับบวชเป็นสามเณรที่โบสถ์น้ำเรียกว่า อุทกุกเขปสีมา เป็นสามเณรจนกระทั่งเดือนเมษายน พระอุโบสถที่สร้างก็เสร็จ ทำพิธีพัทธสีมา แล้วทำพิธีบวช โดยมีพระมหาเถื่อน อุชุกโร เป็นพระอุปัชฌาย์, พระลี ฐิตธัมโม เป็นพระกรรมวาจารย์ และพระโง่น โสรโย เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2495 เวลา 09.45 น. ณ วัดเจริญราษฎร์ เสร็จแล้วก็เดินทางกลับมาที่วัดตาลนิมิต อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ที่วัดตาลนิมิต ได้ช่วยทำการงานที่ครูบาอาจารย์มีความประสงค์จะทำ คือเริ่มมีการก่อสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่ขึ้น โดยมีการเลื่อยไม้เอง แต่ข้อวัตรปฏิบัติอะไรก็มิได้ขาดทุกวัน จนกระทั่งเดือนมีนาคม-เมษายนนี่แหละ มี พระอาจารย์อ่อนศรี ฐานวโร มากราบคารวะหลวงปู่ลี อโสโก ที่เป็นผู้หนึ่งที่ท่านเคารพนับถือ และเคยอยู่จำพรรษากับท่าน ท่านจึงมาชวนไปจังหวัดอุบลราชธานี ในระหว่างพรรษานี้ก็ได้ช่วยงานมีการก่อสร้างภายในวัด
    จนกระทั่งออกพรรษา ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ว่าจะไปเที่ยวเขาพระวิหารกับอาจารย์อ่อนศรี และเพื่อนๆ พระเณร ไปด้วยกัน 4 รูป พอมาถึงตัวจังหวัดอุบลฯ ได้ไปลาเจ้าคณะจังหวัดแล้วพักอยู่ที่วัดสำราญนิวาส อ.วารินชำราบ ได้มาพบกับพระอาจารย์มุ่ย ณ วัดนี้ ท่านเลยชวนไปจำพรรษาจังหวัดชลบุรี ที่วัดวิเวการาม ที่ท่านอาจารย์อรุณท่านอยู่ ท่านไม่มีหมู่เพื่อนเท่าใดนัก ฉะนั้น ทุกคนก็ตกลงไปจังหวัดชลบุรีเพื่อจะอยู่จำพรรษาที่วัดวิเวการามแห่งนี้
    ๏ พระพุทธเจ้าปรากฏ
    ปี พ.ศ. 2498 ได้เดินทางไปทางภาคใต้ของประเทศไทย ไปพักอยู่จังหวัดเพชรบุรี วัดอุทัยโพราม กับหลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม พักอยู่ที่นี่ระยะหนึ่งเพื่อจะมีโอกาสได้ฟังโอวาทคำเตือนเกี่ยวกับธรรมวินัย ในการประพฤติปฏิบัติเพื่อแสวงหาความพ้นทุกข์ เมื่อได้โอกาสแล้วจึงได้กราบลาท่าน เดินทางต่อไปจังหวัดกระบี่ พักแรมอยู่ในป่าในจังหวัดกระบี่ประมาณ 1 เดือน ก็เดินทางต่อไปที่จังหวัดพังงา เพื่อจะได้พบครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี แต่ไม่ได้พบ ท่านมาประชุมงานวันบูรพาจารย์ที่วัดสุทธาวาส
    อยู่จังหวัดพังงาประมาณ 1 เดือน กับพระหลวงพ่อของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ ตกลงว่าจะอยู่กับท่านตามคำอาราธนานิมนต์ของศรัทธาญาติโยมที่นั่น แต่แล้วก็เป็นอนิจจังไปอีก คือเนื่องจากท่านมหาปิ่น ชลิโต ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ขอร้องให้ไปอยู่กับท่านที่อำเภอแม่พริก ท่านก็มองไปมุมหนึ่งของท่าน เพราะอยู่ที่นี่มีแต่ผู้หญิงมาอุปถัมภ์บำรุง เช้าก็มา เย็นก็มา ค่ำก็มา เขาดีจริงๆ ท่านก็กลัว ยังงั้นนะที่ว่าภัยนี่ ภัยของนักบวชก็มียังงั้น ก็เลยตกลงว่าไปอยู่กับท่านอาจารย์มหาปิ่น แล้วก็อาจารย์มหาเพิ่ม รวมเป็น 3 รูป อยู่ที่นี่นานประมาณ 2-3 เดือนละมัง จึงได้ไปอยู่ตำบลกะไหล อำเภอแม่พริก
    อยู่ที่กะไหลนี่เลยเป็นไข้มาลาเรียอย่างแรง จนได้กราบเรียนครูบาอาจารย์ว่าถ้าผมตาย ให้เผาเลย ให้เผา ไม่ต้องบอกให้ทางบ้าน คือ บิดามารดาของผมทราบเรื่อง เมื่อเขาทราบแล้วจะเป็นทุกข์ ไปกราบเรียนท่านว่ายังงั้น เวลาเจ็บป่วยเนี่ย ใจก็ยิ่งเร่งความพากเพียรทำให้มีกำลังใจ จนทำให้ปรากฏเห็นพระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวกเดินมาตามหาดทรายทะเลนั้น เกิดความปีติยินดีเป็นอันมากได้เห็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้หลับนอน ไม่โกรธเกลียดให้ใครทั้งนั้น ใจสบาย มีแต่อยากจะพูดธรรม ไม่มีเรื่องอะไรให้ใจกังวล การรักษาตามมีตามได้ ข้อวัตรปฏิบัติก็ไม่ขาดตกบกพร่องอะไร
    ที่มันปรากฏขึ้นมานี่ก็เพราะจิตใจเราเองนี้มันเป็นนิมิต เพราะเราว่าเราต้องตายแน่ ไม่มีที่พึ่งอะไร นอกเหนือจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เลยกลายเป็นภาพนิมิตปรากฏดังกล่าว แล้วก็ไม่ได้ทักทายปราศรัยไต่ถามอะไร เราเห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็มีความเลื่อมใสศรัทธา ในนิมิตที่ปรากฏเห็นนั้น เป็นที่ซาบซึ้งถึงใจจริงๆ เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ไม่ได้นึกถึงความเจ็บป่วย
    ในระยะนั้นที่ไม่ได้พักผ่อนหลับนอนหลายๆ วัน เขาจะว่ากันว่ามาลาเลียขึ้นสมองเพราะเราเป็นคนไม่พูดกลับพูดมากขึ้น ช่วงนั้นเจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราชท่านมาเยี่ยมเยียนพระตั้งแต่ภูเก็ต พังงา กระบี่ ได้มาแวะ ก็ได้ให้การต้อนรับท่าน ไม่มีอุปสรรคอะไรเกี่ยวกับการเจ็บไข้ เหมือนกับคนไม่ได้เป็นอะไร
    จากนั้นแล้วจึงพาศรัทธาญาติโยมไปจังหวัดภูเก็ต รอหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านมางานบูรพาจารย์ที่จังหวัดสกลนคร เพื่อจะเข้ารับฟังธรรมโอวาทของท่าน อยู่วัดไม้ขาว จังหวัดภูเก็ต จนหลวงปู่กลับจากสกลนครไปวัดไม้ขาว ได้ฟังธรรมเป็นคติเตือนใจจากท่านเป็นครั้งแรก ได้อยู่ที่วัดไม้ขาว จนกระทั่งญาติโยมจังหวัดชลบุรี ขออาราธนาให้กลับจังหวัดชลบุรีด้วยกัน ทั้งหมดที่ไปด้วยกันเลยตกลงกลับจังหวัดชลบุรีในต้นเดือนกรกฎาคม
    ๏ อดเอาทนเอา
    กลับจังหวัดชลบุรีในต้นเดือนกรกฎาคม แล้วมาจำพรรษาอยู่วัดวิเวการาม ปีแรกๆ ที่วัดวิเวการาม ก็ไม่ได้ทำอะไร ครูบาอาจารย์ท่านพานั่งภาวนาไหว้พระสวดมนต์หกโมงเย็น แล้วก็ภาวนายันเที่ยงคืน ฝึกกันอยู่อย่างงั้น เจ็บปวด ขาจะขาดจากกัน บางรูปร้องออกมา อดเอา ทนเอา มันก็ไม่ไหว อย่างนี้มันฝืนธรรมชาติธรรมดา มันไม่สงบ ก็จะให้สงบ มันไม่เป็น ก็จะให้เป็น มันก็ได้ความคิดนะที่อาจารย์พาทำนี่
    บางทีมันไม่ได้อะไร ไม่เกิดปัญญาสงบอะไร มีแต่คิดเมื่อไรจะพาเลิกสักที มันไม่อยากนั่งนานๆ หรอก สัก 2-3 ชั่วโมง ยังพอไหว ยังดี อดเอาทนเอา พรรษาที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ก็ยังไม่รู้เรื่อง แต่ก็ทำกิจวัตรอยู่อย่างนั้น ไม่ลดละอะไร แต่ไม่เกิดปัญญาอะไร พอไปเห็นการนั่งนานๆ นี่ บางองค์บางท่านสังขารร่างกายไม่อำนวย ความทุกข์มันเกิดจากอุปาทานทางจิตใจว่ามันเจ็บปวด มันปล่อยวางไม่ได้ เข้าสู่ความสงบไม่ได้ จึงร้องออกมาโดยไม่ตั้งใจ เราเกิดความคิดที่มันก็อาจเป็นบาปมั่งละ เพราะไปตำหนิครูอาจารย์ เอ๊...ทำไมท่านไม่ประมาณสังขาร ร่างกายก็เฒ่าแก่กันแล้ว สมาธิก็ทำกันไม่เป็น พุทโธไปงั้น ไม่รู้ว่าทำเพื่ออะไร ครูบาอาจารย์บอกให้นั่งมือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติให้มั่น อยู่ในอารมณ์คือพุทโธ กำหนดลมรู้ลมสั้นยาว ฯลฯ
    สมัยอยู่กับหลวงปู่ลี อโสโก เดินจงกรมไม่หยุดจนเที่ยงคืน แทบยกขาไม่ขึ้น แต่ไม่รู้เดินเพื่ออะไร รู้แต่เอาบุญ แม้แต่การบวชตอนแรกก็เพื่อตอบแทนบุญคุณปู่ย่าตายาย เพราะท่านประสงค์จะให้บวช ก็คิดว่าห่มเหลืองโกนหัวโล้นก็เป็นพระ ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะเราไม่รู้ว่าการเป็นพระนี่อยู่ที่ไหน
    ในระหว่างอยู่ในช่วงนี้ คือปี พ.ศ. 2497-2499 นี้ มีปัญหาเกิดขึ้นกับชีวิต หมายถึง ชีวิตพรหมจรรย์ คือมีคนอยากสึก ให้เตรียมกางเกง เสื้อ และอื่นๆ ต้องการอยากจะให้สึกไปจับจองที่ดินที่ยังเป็นป่ารกร้างว่างเปล่าไม่มีเจ้าของ แถวแหลมฉบัง พัทยา บางพระ เขาเขียว แถวนั้นเป็นป่าใครเข้าใกล้ไม่ได้ไข้มาลาเลียกินแทบตาย เราต่อสู้กับความอยากอย่างเดียว อยากมีอยากเป็น อดข้าวอดน้ำต่อสู้ หลังฉันข้าวเช้าแล้วจะไม่นอน ตั้งใจสู้ โดยนั่งสมาธิอีก 3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ จนถึง 6 ชั่งโมง ไม่ได้อะไรได้แต่ความอดทน ต่อสู้กับความคิดอย่างเดียว ต่อสู้กับความอยากจะไปเอาโน่นเอานี่ เป็นเครื่องกระตุ้นจิตใจ ว่าอยู่บ้านพ่อแม่ก็ไม่อดอยากอยู่แล้ว แล้วจะไปเอาทำไม อย่างที่สอง ไม่ไว้ใจตัวเองว่า ถ้าเราสึกไปเราต้องทำบาปแน่ๆ สาหัสสากรรจ์ ทบทวนดู โลกภายนอกมันมีแต่เรื่องชวนล่อไปลงนรก
    ความอยากสึกกับความไม่อยากสึกนี่มันต่อสู้กันอยู่ประมาณเป็นปี ความยินดีพอใจนั่นแหละมันต่อสู้กันอยู่อย่างนั้น ผลสุดท้ายก็แก้ไขแนวความคิดอันนี้ผ่านพ้นไปได้ คือหมดอยาก ความอยากได้นี่หมดไป
    เจ้าคุณวัดบวรมงคล ท่านนิมนต์ให้มาศึกษาในกรุงเทพฯ จะเข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ ก็ตัดสินใจไม่เรียน ถ้าเรียนก็จะต้องสึกแน่
    ๏ การแสวงหาธรรม
    จนกระทั่งปี พ.ศ. 2501 จึงได้ออกเดินทางไปเที่ยววิเวก มีสหธรรมมิก สหายธรรม ก็ว่าได้ ไปด้วยกัน 2 องค์ ไปจังหวัดระยอง ก็ไปพักอยู่วัดจุฬามณี กับอาจารย์มหาเชย อยู่เดือนสองเดือน ก็ออกไปแล้วไปพักอีกที่หนึ่งคือ อ.แกลง จ.ระยอง แต่ว่ามีหลวงตาองค์หนึ่งอยู่ที่นั่น ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดไป เมื่อเห็นท่านไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย มีแต่ความอยากได้อยากมี พอคนให้ทานมานี่ มีแต่ตะกละตะกาม อยากจะเอา มีญาติโยมตำหนิติเตียนว่าเอาเงินทองไปเลี้ยงลูกหลาน เลยสลดใจเมื่อเห็นความประพฤติ
    การเป็นนักบวชมิใช่บวชมาเพื่อสะสมสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าสอนให้ละ แต่เรามาสะสม ก็เห็นว่ามันไม่ถูก เห็นว่ามันไม่ดี ไม่ได้ตำหนิติเตียนท่าน แต่มีความสลดสังเวชในจิตใจ อันนี้มันเป็นเรื่องของใครของมัน เหตุนี้จึงอยู่ในสถานที่นี้ไม่ได้ จึงขึ้นรถไปจังหวัดจันทบุรี ไปอยู่วัดป่าคลองกุ้ง สมัยนั้นมีพระครูสันต์ เป็นเจ้าอาวาส ได้ถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ ในฐานะที่ท่านมีพรรษาอายุมากกว่า ว่าจะไปดูข้อวัตรปฏิบัติกับท่านเหมือนกัน ได้พักอยู่ที่นั่นประมาณหนึ่งเดือน จึงเดินทางไปจังหวัดตราด ไปอยู่เกาะกูด ญาติโยมสร้างเป็นที่พักสงฆ์อยู่ก็สงบดี เรื่องบิณฑบาต เสนาสนะพร้อม พออาศัยอยู่ได้เป็นสัปปายะได้
    ที่นี้อาจารย์มหาเชย ท่านเป็นผู้มีพรรษาอายุมาก ท่านเป็นนักพูด เป็นนักคิด ท่านไม่พอใจที่จะอยู่ที่นั้น จึงพาไปอยู่เกาะช้าง ปี พ.ศ. 2501 เนื่องจากเกรงว่าจะไปกีดขวางในการคิดการพูดของเขา จะทำให้เขาไม่เกิดความเจริญในศรัทธาเลื่อมใสของโยม ที่นั่นมีโยมทำกระต๊อบอยู่ อาหาร เสนาสนะ ก็สัปปายะ บุคคลก็สัปปายะดีไม่มีอะไร เป็นที่สบายใจดี แต่ความไม่รู้ธรรมเห็นธรรมของเรานี่ก็ยังไม่สิ้นสุดล่ะ พออยู่ไปอยู่ไปมันก็อยากไปต่อ อยู่เกาะช้างได้ประมาณ 2 เดือน ท่านจึงชวนกลับ
    ที่นี้จะมาวัดป่าคลองกุ้ง แต่ท่านอาจารย์มหาเชยไม่อยากมา จึงแยกทางกัน ท่านไป จ.ระยอง รู้สึกว่าจะสร้างวัดที่นี่อยู่จนมรณภาพไป เรามาพักที่วัดป่าคลองกุ้ง เนื่องจากเห็นท่านเป็นครูบาอาจารย์ พอสมควรแล้วจึงไปหาท่านพ่อลี ที่วัดอโศการาม สมัยนั้นกำลังฉลอง 25 พุทธศตวรรษ มีการจัดงานมโหฬาร แต่ขณะเราลงไปงานเลิกไปแล้ว มีหลวงพ่อเฟื่อง อาจารย์สนั่น อาจารย์บุญทัน ท่านธรรมรัตน์ก็อยู่ที่นั่นในเวลานั้นในระยะหนึ่ง จะเป็นหนึ่งถึงสองเดือนนี่แหละ ก็เลยชวนกันกับอาจารย์บุญทัน และมีพระอีกองค์หนึ่งชื่อธงชัย ท่านอยากให้ไปอยู่ที่วัดป่าช้าจีน แต่ได้ไปพักที่วัดเขาหน้าผาที่พระธงชัยพักอยู่ในระยะหนึ่ง ประมาณ 15 วัน ดูๆ แล้วคิดว่าถ้าอยู่ไปจะทำให้จิตใจไม่เจริญก้าวหน้า เพราะปัญหาสิ่งแวดล้อมมันไม่ค่อยดี จึงมาอยู่ที่นครสวรรค์ พระธงชัยที่นิมนต์ไปวัดป่าช้าจีน ก็มาสึกในภายหลัง
    มาถึงนครสวรรค์ไม่พอใจที่จะอยู่สถานที่นี้ จึงชวนกันกับอาจารย์บุญทัน โดยนัดกันที่จังหวัดลำปาง ท่านจะไปรถไฟ เราจะไปรถยนต์เจอกันที่นั่น แต่ท่านไม่ได้ไป ท่านไปอยู่ปราจีนบุรี เราก็เดินทางไปบวชนาคที่จังหวัดตาก บวชนาคแล้วพักอยู่ 1 สัปดาห์ จึงเดินทางต่อไปที่อำเภอเถิน ที่วัดป่านันทนาราม หลวงปู่เหรียญ, หลวงปู่หลอด, หลวงปู่อ่อน ท่านเคยอยู่ที่นี่มาก่อน เจออาจารย์สนั่น ที่นั่นอีกเลยชวนกันอยู่ เพราะท่านพ่อลี บอกให้อยู่นี่เพื่อสงเคราะห์ญาติโยม มีเจ้าน้อยเมืองดี, พ่อมอย, กำนันมุ้ย เป็นโยมอุปถัมภ์ที่วัดนี้ ก็ไปอยู่จำพรรษาร่วมกันกับอาจารย์สนั่น, ท่านจันยา, ท่านสงัด, หลวงพ่อหาญ, พระต่าง และสามเณรคำ จำพรรษารวมกัน 7 รูป ที่อำเภอเถิน ปี พ.ศ. 2501 ที่นั่น
    ๏ เหลือแต่กระดูก
    พอออกพรรษาแล้ว ก็มาพักวิเวกแถวดอนต้อก ที่นี้แหละที่ได้ทำความเพียร โดยมีพระที่ไปด้วยกัน ท่านทำกายนุปัสสนาสสติปัฐาน เห็นร่างกายเป็นตัวเปื่อยเน่าชำรุดทุดโทรม กำหนดไปตามคำสัญญาที่ครูอาจารย์แนะนำว่าให้พิจารณาอสุภะ เลยปราฏกเห็นเหลือแต่โครงกระดูก ท่านมองเห็นอย่างนั้นตลอดเวลา ท่านกลัวตายมาก ท่านเลยมาหา ท่านว่ามีแต่โครงกระดูกไม่มีเนื้อหนัง ท่านได้สำคัญไปตามความคิดเห็นว่ามันเป็นจริงๆ เลยกลัวตาย
    จึงคิดหาอุบายแก้ช่วยเหลือ จึงเรียกพระมาด้วยกัน 3 องค์ เพื่อเป็นสักขีพยานในการที่ท่านรู้ ท่านเห็น ท่านมี ท่านเป็น ว่าขณะนี้ท่านมีโครงกระดูกไม่มีเนื้อหนังและกลัวตาย พอมาดูแล้วก็หยิกตรงไหนมันก็จะเจ็บที่สุดเลย ให้พระหยิกที่โคนขาแรงๆ ไม่ต้องกลัวมันขาด ให้หยิกแรงๆ ร้องอ๊ากเลย นี้ ! คนตายแล้วเหรอ พอหยิกข้าจริงๆ แล้วความรู้สึกมันก็เกิดขึ้นมา ถึงจะลืมตาขึ้นมามันก็เห็นอยู่แค่กระดูกนะ ลืมตานะไม่ใช่หลับตา สำหรับท่านที่รู้แล้ว ท่านที่เห็นนะ พอรู้สึกเจ็บแล้วก็นั้นแหละ ก็รู้สึกว่ามีเนื้อหนังแล้วเหมือนเดิม เมื่อปรากฏความเป็นจริงอย่างนี้เล้ว ท่านจึงยอมนับถือเราเป็นครูเป็นอาจารย์ เคารพนับถือจนท่านตายจากเราไป
    อันนี้ส่อให้เห็นถึงสัจธรรม อันสัญญาที่ปรุงแต่งมันเกิดขึ้นมา เวลาจิตใจมันเงียบระงับแล้วน้อมจิต เวลาจิตมันเบาแล้วน้อมไปทางไหนก็ได้ เหมือนของเบายกไปใหนก็ไม่หนัก มันเลยเป็นไปตามสัญญาที่ปรุงขึ้นแต่งขึ้น จิตมันอ่อนแล้วน้อมยังไงก็เป็นไปตามอาการของจิตนั้นๆ แต่มันเป็นเฉพาะตนเอง ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเขาก็ไม่รู้ไม่เห็นด้วย เป็นเฉพาะคนที่มีจิตอ่อนล้าน้อมกันไปกับอาการนี้ๆ แต่รู้สึกเหมือนกันที่เห็นขนาดนี้ คำว่าสมุทัย เป็นเหตุให้สุขภาพเกิดความทุกข์ มันก็เกิดจากการปรุงแต่งนั้นเอง แต่งดีก็ได้เสียก็ได้ อันนี้ให้พิจารณาดู จิตสงบแล้วน้อมไป ดีน้อมไปทางเสียก็ได้เสีย ข้อสำคัญที่สุดคือสติปัญญา ถ้าขาดสติปัญญาในความรู้เห็น ความมี ความเป็นแล้ว อาจคล้อยตามมันไปตามมันในทางที่ผิดก็ได้
    บางครั้งมันก็โน้มไปในทางที่ดีบ้างและไม่ดีบ้าง เรื่องของจิตก็เป็นหลักสำคัญที่ประพฤติปฏิบัติ จึงควรศึกษากายกับจิตของเราให้มาก ศึกษาสิ่งที่มันผิดมันถูกนี้แหละ มันดีมันเลวนี้แหละ เราจะมีปัญญาได้ในสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้ามันไม่เกิดอย่างนี้มันก็ไม่มีปัญญา เราก็ไม่รู้ว่ามันผิด มันถูก สิ่งที่มันผิดมันถูกทำให้คนฉลาด มีสติปัญญา แก้ปัญญาชีวิตอย่างราบรื่นขึ้นไปได้อย่างหมดปัญหาไปเลย เพราะความรู้ความเข้าใจในอรรถในธรรมนั้นๆ แจ่มแจ้งด้วยสติปัญญาของเราเอง
    ๏ พระถ้ำ
    จากนั้นจึงไปช่วยงานหลวงพ่อลี วัดถ้ำพระสบาย อ.แม่ทะ จ.ลำปาง ท่านไปจัดงานฉลองพระเจดีย์ ฉลองถ้ำ เมื่อการพัฒนาจนเสร็จสิ้นงานแล้ว ก็ขึ้นไปเชียงใหม่ พักที่วัดสันติธรรมกับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร พักกับท่านนี้นาน แม้จะออกไปเที่ยววิเวกในสถานที่ต่างๆ เช่น อำเภอแม่แตง ไปฟังโอวาทธรรม อุบายธรรมจากหลวงปู่แหวน ที่วัดป่าบ้านปง บางครั้งก็พักกับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม วัดปากทางแม่แตง เพื่อรับฟังอุบายธรรมคำสอนของท่าน แล้วจึงกลับไปกลับมา โดยอยู่ที่วัดสันติธรรมนี้เป็นหลัก หลวงปู่สิมท่านได้ออกไปวิเวกที่ถ้ำเปียงประจำ ได้ติดตามท่านไปแสวงหาโมกขธรรม มีพระที่ติดตามกันไปบ่อยๆ คือ พระอาจารย์ทองสุก อุตตรปัญโญ
    ปีที่อยู่ปากเปียง อยู่ในรูก็ไม่เท่าไร พอออกนอกถ้ำก็หนาว ปีนั้นหนาวมาก ต้นกล้วยไม้ตายไหม้เป็นทิวหมด มีแต่ผ้าบางๆ หาไม้ฟืนมาไว้ แต่หาโยมจุดไฟให้ก็ไม่มี นอนกับฟากไม้ไผ่สับผูกเป็นแผ่นๆ เอาผ้าปูนั่งปู เสื่อก็ไม่มี พอหนาวก็ดิ้นผ้าหายหมด นั่งกอดเข่าก็แล้ว นั่งสมาธิก็ไม่หายหนาวหรือหายชั่วคราว ธรรมชาติมันบังคับอยู่นั่งคอยเมื่อไรมันจะสว่างซักทีจะได้หายหนาว ความง่วงเหงาหาวนอนจะได้หาย จะได้ไปบิณฑบาต เหมือนมันนานจริงๆ นะ ช่วงนั้นกลางคืนจะนานกว่ากลางวัน อยู่นานๆ หนาวไป หนาวไป จนชิน ไม่ตายหรอก มีอาจารย์สุบินจากจังหวัดจันทบุรีช่วยกันปั้นพระพุทธรูปที่นี่ เราอยู่ที่ปากเปียงได้ 4 เดือน
    ปี พ.ศ. 2502 จึงมาจำพรรษาที่ถ้ำแดนสวรรค์ ที่อำเภอเชียงดาวนั่นเอง แต่คนละแห่งที่ถ้ำปากเปียง เป็นที่ทุรกันดารมาก ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 9 กิโลเมตร มาบิณฑบาตลำบาก ต้องอาศัยบารมีญาติโยมส่งเสบียงอาหาร มีชีพราหมณ์ไปอยู่ด้วยเพื่อทำอาหารถวายพระ ปีนั้นมีพระ 3 รูป มีพระอาจารย์แขนดำ เป็นหัวหน้า แล้วก็เรา ท่านทองสุก แล้วก็มีชีพราหมณ์ มีชีอยู่ 3-4 คน แล้วพราหมณ์ชายนุ่งขาว 3 คน ไปอยู่ด้วยกัน ทำอาหารกินเอง โดยเขาส่งเสบียงไปให้ แม่น้ำปิงไหลผ่านข้ามไปมายาก ถ้าบารมีไม่มีจริงๆ ตายแน่
    ยังดีที่โยมอุปถัมภ์กันนั้นมีวาสนาบารมีพอสมควร ในอำเภอเชียงดาว นั่นก็คือผู้ช่วยกำนันที่เชียงดาวนั่นแหละคนหนึ่ง และโยมในเชียงดาวนั้นเป็นผู้นำเสบียงอาหารไปส่ง บางอย่างก็ต้องจ้างเขาเข้าไป ถ้ามันรีบด่วนเท่าไหร่ก็ต้องเสียเงินให้เขา แต่พวกที่เป็นกำลังใจอยู่ในเมืองก็มีเช่น คุณนายกิมเฮียง มีโยมโสฬส ลูกสาวแม่เลี้ยงเต่า ส่งปัจจัยไทยทานนี้ไปช่วยเหลือ เรื่องปัจจัยสี่จึงพออยู่ได้ เพราะมันเป็นที่กันดารมาก อยู่ถ้ำแดนสรรค์ลงไปอาบน้ำห่างไป 4 กิโลเมตร เดินกลับขึ้นมาเหงื่อแตกเหมือนเดิม แต่ยังดีกว่าไม่ได้อาบ ญาติโยมจึงซื้อแท็งก์สังกะสีขึ้นไปถวาย 5-6 ใบ
    อยู่ที่นั้นโยมเชียงใหม่ ลำปาง ส่งเงินไปซื้อสังกะสีไปมุง ซื้อแท็งก์ไปถวาย มันก็มีปัญหา โยมก็โยมเคยอุปถัมภ์ สมัยเราอยู่ถ้ำปากเปียงนั่นแหละ แกก็ไปพูดคุยกัน แม่ชีได้ยินมา เกิดทะเลาะกับโยมนี่อีก เราว่าจะทะเลาะกับเขาทำไม เรากินข้าวเขาอยู่ แกก็แก้ตัวไปเรื่อยๆ “โอ้ย มันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรอกโยม” เราก็แก้ไขไปเรื่อยๆ อาตมาไม่ใช่พระตาย ได้ยินอยู่นี่ คนนึงพูดอยู่ในฝาอีกคนฟังนอกฝา อาตมาก็ดูอยู่ไม่ใช่ตาบอด ถ้าจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ก็ใหญ่ได้ เรื่องเล็กก็ทำได้นะ
    เราอยู่ในถ้ำนี้ได้สี่เดือน ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนนะ ไม่ได้ออกไปเที่ยวเดินตามป่าอะไร อยู่ในถ้ำตลอด สบายดี ทำแค่อยู่หลังพระพุทธรูปอยู่สี่เดือน ตัวเหลืองเป็นกบซีดหมด
    การอยู่ในถ้ำแดนสรรค์แห่งนี้ได้สติปัญญา ได้ความรู้ความเข้าใจในอรรถธรรมบางสิ่งบางอย่างพอสมควรนะ ได้ความสงบดี มันเกิดความรู้ขึ้นมาว่า คนนี่นะ ดีก็มี ชั่วก็มี ไม่ต้องสนใจเขา เอาตัวเรา เราทำดีไว้เป็นที่พึ่งของเรา คนอื่นเขาจะมีความรู้ความเห็นยังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องของเขา
    เหมือนเพื่อนองค์นี้ อาจารย์แขนดำ สหธรรมมิก ท่านเขียนประวัติของท่านนะ ท่านว่าสมัยอยู่จังหวัดชุมพร ได้สร้างพระพุทธรูปปางประทานพร ใหญ่สุดบนเขา มีนายควง อภัยวงศ์ เป็นประธาน ท่านเล่าประวัติว่า เคยเหาะได้ เหาะจนชนเพดานบ้าง มีคนโน้นคนนี้รู้เห็นบ้าง เราก็ห้าม โอ๊ย ! อย่าไปเขียนเลย เหมือนกระบือจะถ่ายแล้วยกหางตัวเอง ไม่เข้าท่า เหมือนยกเรื่องของตนมา ว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ แกก็ไม่ฟัง เถียงว่าพระพุทธเจ้ายังเอามาพูดได้ ไม่ฟังเสียงคณะที่เตือน
    เราก็ปล่อย ไม่ใช่เรื่องของเรา เราก็สบายมีความสุข มันตัวใครตัวมัน ถ้าเราเอาเรื่องของคนอื่นมายุ่ง เราจะทุกข์ตลอดไปในโลกสงสาร เพราะมันมีปัญหาตลอด เราก็คิดให้มันเป็นปัญญา พูดให้มีปัญญา เราก็อยู่ได้สบาย ไม่เอาเรื่องใครมาเป็นปัญหา พยายามแก้ไขตนเองตลอด เลยสงบสงัดอยู่ด้วยความเยือกเย็น ใครจะร้อนเป็นไฟเราก็ไม่สนใจอะไร
    โยมของอาจารย์แขนดำ ทำหนังสือมาแจกว่าเหาะเหินได้ แบบที่เราห้ามแล้ว ก็ไม่ฟัง จนมาแจกที่กรุงเทพฯ ท่านพ่อลีเลยประชุมสงฆ์ บอกคำพูดนี้แม้จะเป็นความจริงก็เรื่องของท่าน พูดความจริงก็อาบัติปาจิตตีย์ ถ้าเท็จเป็นอวดอุตตรมนุสสธรรม ที่ไม่มีในตน ต้องปรับอาบัติปาราชิกไปเลย พวกเจ้าคุณวัดสัมพันธวงศ์บ้าง วัดบวรฯ บ้าง ว่าให้ท่านจนท่านต้องสึกไปเลย หายเงียบไปเลย
    นึกว่าตาย อ้าว ! ไปบวชเป็นมหานิกาย ไม่เข้ากับใครเหมือนกัน เป็นศาสดาอยู่องค์เดียว มาเจอกันตอนเผาสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (จวน อุฏฐายี) และมาชวนลงใต้บอกไม่อด มาอยู่กับเย้าเราว่าคนจนก็อยู่ได้ อยู่กับวัวกับกระบือ กับหมู กับหมา ได้ทั้งนั้นแหละ ถ้ามันจะเป็นพระพุทธเจ้าคงเป็นไปแล้วละ ท่านก็ยังอยู่ในโลกนี่เหมือนกัน คนรวยคนจนมีอยู่ มันจะเป็นก็ต้องมีเหตุ จะเป็นยาง กระเหรี่ยง อะไรก็อยู่ที่จิตใจใครจิตใจมัน ก็ได้พูดกันสนุกสนานกันไป
    เรายังไม่หมดยังต้องอยู่บนเขากับอีก้อ มูเซอ ต่อ เหตุที่เราได้ความสุขคือ เราไม่ยุ่งกับคนอื่นก็เลยสุขอยู่อย่างนี้ ลองดูสิเรื่องของสัตว์โลก จะให้ฉลาดมีสติปัญญา รวย รุ่งเรือง เหมือนกันหมดมันไม่มี จะไปเคี่ยวเข็ญให้มันมีได้ไง ทำไมเรียนด้วยกันมันจึงไม่ได้ดอกเตอร์เหมือนกันหมดละ เรียนทำไมแค่ปริญญาตรี ถ้าเราไปคิดละก็ยุ่งไปหมดแหละ เพราะเราไม่รู้จักเหตุปัจจัยของสัตว์โลกว่า มันมีวาสนาบารมีที่ทำมาต่างกัน มันจึงมีปัญญา มีความคิดเห็นผิดแผกแตกต่าง ปัญหามีได้เพราะขาดความรู้ที่ถูกต้องนั่นแหละ
    ๏ ตามรอยครูบาอาจารย์
    ทีนี้ขึ้นไปที่ตำบลโหล่งขอด เป็นที่ราบลุ่มน้ำแม่งัด แม่ขอด ไหลมาท่วมรวมกัน แต่หายเร็วลงไปหาลำห้วย หลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม หลวงปู่ชอบ หลวงปู่แหวน หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่หลายๆ องค์แหละเคยไปอยู่ เป็นศูนย์กลางที่ครูบาอาจารย์อยู่ปฏิบัติ แถวโหล่งขอดนี่มันเกิดความสงบ จิตใจมีปิติศรัทธาแรงกล้า ที่นี่หลวงปู่พรหมท่านกล่าวว่าจะไม่นอนสามเดือน หลวงปู่มั่นห้ามไม่ให้ทำ เพราะธาตุขันธ์ต้องพักผ่อน หลวงปู่ขาวว่าเดินจงกรมที่นี่เบาเหมือนบนอากาศไม่ง่วงเหงาหาวนอน
    ญาติโยมทำกุฏิให้อยู่กับท่านทองสุก สององค์ เอากระสอบปูนมากั้นเป็นฝา ไม้ขัดเป็นฝาตามะกอก แต่โหล่งขอดนี้มันไม่เหมือนสมัยที่หลวงปู่ครูบาอาจารย์มาปฏิบัติ หลวงปู่บ้านตาดให้เราพาไปดูดอยนะโม แต่สมัยก่อนความหมายคือดอยน้ำมัว น้ำมันจะขาวขุ่นมัว ที่ตรงนี้นะ หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าบ้านมะเข้า หลวงปู่ท่านไปบิณฑบาตที่นี่ เวลาแม่ปั๋งมันเอ่อล้นมานี่ข้าวไม่ได้กิน เราก็เคยอด ต้องทำขัว (สะพานทำจากต้นไม้ไช้พาดระหว่างสองสองฟากฝั่ง) ข้ามไป ถ้าน้ำมาขัวพัง ก็กินลมกินอากาศไปก่อน
    ที่นี่มีวัดเก่าเยอะ เช่น วัดดงมะไฟ เป็นจุดพักของครูบาอาจารย์ จะไปอำเภอพร้าว จะไปบ้านปง ก็ต้องผ่านทางนี้แทบทุกองค์ หลวงปู่ครูบาอาจารย์ที่ขึ้นเชียงใหม่ต้องผ่านตรงนี้แทบทุกองค์แหละ จะไปป่าเมียงแม่สายก็ขึ้นไปจากนี้ องค์สำคัญๆ หลายองค์ทีเดียวก็ได้อาศัยยายสมนี่แหละ ยายสมนี้เคยอุปัฏฐากเราจนตายจากนั่นแหละ อายุแกมากอุปัฏฐากสมัยหลวงปู่พรหม หลวงปู่ขาว เรายังพาแกมาอยู่ที่นี่ (บ้านตาล) เป็นเดือน ในปี พ.ศ. 2510
    มาพักอยู่ที่นี่ประมาณเกือบสองเดือน บังเอิญโยมกับอาจารย์มหาสุด มานิมนต์ พร้อมทั้งรับพระพุทธรูปที่เขาขุดได้หน้าตักประมาณ 9 นิ้ว เป็นพระสิงห์หนึ่ง ก็จะนำไปไว้ป่าเมี่ยงแม่สาย ในระยะนั้นเราป่วยเป็นไข้เดินทางขึ้นเขากับอาจารย์ทองสุก เดินไม่ทันเขา พวกโยมไปก่อนเราตามหลัง รู้สึกหมดแรงซะจริงๆ เดินแค่ขนาดเส้นหนึ่งก็ต้องหยุด แรกๆ ก็ไปได้ไกลอยู่ แต่พอขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ก็หมดแรงไปเรื่อยๆ หายใจได้ไม่อิ่มไม่เต็มปอด เลยบอกท่านทองสุกว่าตายที่ไหนก็ฝังหรือเผาเลยไม่ต้องทำให้ลำบาก เป็นอันว่าจบกันไป
    จะพยายามเดินทางตั้งแต่เช้าจนเกือบหกโมงเย็น พยายามเดินไปพักทีละนิดๆ ความเพียรความพยายามนี่ก็ไปจนถึงสำนักที่พักสงฆ์ป่าเมี่ยงแม่สายจนได้ เกือบถึงมืดน่ะแหละ ก็เป็นที่อยู่ของครูบาอาจารย์ที่เมตตาสงเคราะห์อนุเคราะห์ ยายคนนี้ชื่อ แม่สม เป็นผู้มีเจตนาศรัทธาแรงกล้า สามารถอุปถัมภ์บำรุงครูบาอาจารย์ตั้งแต่สมัยหลวงปู่พรหม หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม เคยจำพรรษาที่นี่ เพื่อสงเคราะห์ยายคนนี้ให้ออกจากการถือภูตผีปีศาจเป็นสรณะที่พึ่ง มาถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะที่พึ่ง
    สิ่งที่เขาถือนี่ก็มีความขลังศักดิ์สิทธิ์ หรือยังไงก็ลองคิดดูว่า เวลาหลวงปู่นำหิ้งผีเขาไปล่องน้ำแม่สายทิ้งไปแล้วนี่ ลูกสาวของยายเกิดเป็นลมชักน้ำลายฟูมปาก จนญาติพี่น้องร้องไห้กลัวหลานตายใครเห็นก็ร้องไห้เอาหิ้งกลับคืนมา เพื่อจะให้ลูกสาวของยายสมพ้นจากความตาย แต่ยายก็ตัดสินใจเด็ดขาดตายเป็นตาย ครูบาอาจารย์ท่านได้ทำแล้วก็ไม่ได้เป็นห่วงอีก เมื่อยายตัดสินใจไม่เอาคืนเด็ดขาดตายก็ตายไป ผลสุดท้ายลูกของยายกลับฟื้นคืนมาจนเป็นปกติ นี่เป็นยุคสมัยที่หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหมไปเมตตายายคนนี้ สถานที่นี้ก็มีหลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่ขาว หลวงปู่พรหม หลวงปู่ชอบ หลวงปู่แหวน หลวงปู่เทสก์ เคยไปพักปฏิบัติธรรมในยุคสมัยนั้น หลังจากนั้นแล้วเมื่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ออกจากที่นั่นมา ก็ได้กลายเป็นวัดไม่มีพระ
    จนกระทั่งมีอาจารย์มหาสุดมาอยู่และจนปี พ.ศ. 2503 ช่วงหลังจากที่ท่านพ่อลีอาพาธ แล้วเราได้มาปฏิบัติท่านอยู่ที่วัดสันติธรรม จนท่านไปพักที่โรงพยาบาลนพรัตน์แล้ว เรากับอาจารย์ทองสุกได้มาอยู่ด้วย สมัยนั้นมีป่ามีสัตว์หนาแน่น เก้งก็มาอาศัยอยู่ตามบริเวณ ไก่ป่าก็มาอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น พวกชะนีก็มีร้องสนั่นหวั่นไหว พวกหมีก็ยังมีมากเพราะไม่ถูกทำลาย ในสถานที่นี้ก็สงบสงัด จะถือว่าเป็นเรื่องเฉพาะตัวก็ได้ ทำจิตใจให้สบายมีแต่ผู้แสวงหาความสงบสงัดด้วยกัน จึงเป็นกัลยาณธรรมอยู่ด้วยความผาสุก ไม่มีปัญหาและอุปสรรคใดๆ ก็เป็นที่เคารพนับถือของคนในบริเวณนั้นหลายแห่ง ปางเจดีย์ ปางมะก๊าด ปางแม่สูน ยังสามารถมาทำบุญให้ทานได้ บางวันก็มาส่งอาหารบิณฑบาตก็ยังได้ บางครั้งไม่ใช่ทุกวันนะ ถ้ามีงานเขาก็ร่วมงานได้ เพราะความศรัทธาเลื่อมใสในพระป่า
    ในสถานที่แห่งนี้ก็นับว่าได้สัปปายะอีกแห่งหนึ่งคือ เสนาสนะสัปปายะ ธรรมสัปปายะ อาหารสัปปายะ ได้ความรู้ความเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติ ฝึกหัดอบรมจิตใจได้ด้วยความพากเพียร ในการฝึกหัดตนก็ทนเลี้ยงชีวิตอยู่ได้ไม่ฝืดเคืองนัก ไม่ฟุ่มเฟือยนัก
    ๏ นิมิต
    พวกนี้มันอันตราย บางทีบางคนอย่างหลวงตาองค์หนึ่งนึกว่าจะเหาะได้ มันมีต่างๆ ครั้งหนึ่งเรานั่งภาวนาที่ชานกุฎที่ป่าเมี่ยงปรากฏเห็นเป็นงูใหญ่มากๆ ลงจากเขาพุ่งเข้าใส่ เราก็กำหนดพิจารณาดูว่าเป็นงูจริงๆ หรือเปล่า การนิมิตนี่จะโง่หรือฉลาดมีปัญญาไหมก็ตรงนี้ บางคนวิ่งหนีหรือโดดลงจากกุฏิแต่เราไม่ คิดแต่ว่ามาสิจะเอาฆ้อนทุบหัวมัน จะกินกันเฉยๆ ไม่ได้นะ งูไม่ตายก็กูตาย ถ้าตายแล้วก็แล้วกันไป เป็นเช่นนั้นเสมอในจิตใจ บางครั้งบางโอกาสก็ยอมตาย พอยอมแล้วความกลัวก็น้อยลง
    เราเข้าใจว่ามันเป็นงู พอพิจารณาเข้าจริงๆ มันกลายเป็นตอไม้ไปเลย มันกลายเป็นสัญญาอนิจจา บางครั้งนั่งเฉยๆ เห็นแต่ช่วงเอวนี้กระดูกโผล่ขึ้นมามีแต่ส่วนขาข้างบนไม่มี เรามากำหนดพิจารณาดู มันก็หายไป เลยรู้ว่าเป็นของหลอก สังขารมันปรุงแต่งขึ้นมาได้ จิตมันปรุงขึ้นมา แต่เราไม่...ไม่หลงว่ามันเป็นความจริง เราพิจารณาเห็นความไม่แน่นอนของมัน สิ่งที่เกิดนี่อยากให้มันเกิดอีก มันก็ไม่เกิด พระพุทธเจ้าเลยว่ามันเป็นอนิจจัง สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง จิตเราจะคิดอย่างนี้อยู่ตลอด เอาอันนี้เป็นหลักไว้เป็นประจำไม่ยินดียินร้ายอะไร
    ๏ ปลีกวิเวก
    พอออกพรรษาแล้ว ปี พ.ศ. 2505 จึงตัดสินใจลาครูบาอาจารย์ คือ อาจารย์มหาสุด อาจารย์ทองสุข เดินทางไปหาสถานที่วิเวกที่อำเภอเวียงป่าเป้า ในการไปนี้ก็ไปหาประสบการจากสิ่งแวดล้อม ทดสอบตัวเองนั้นแหละ ก็ไปพักอยู่ที่แม่ขะจานนี้ระยะหนึ่ง จึงเดินทางออกไปทางอำเภอวังเหนือ ไปพักแรมไปตามถ้ำที่ต่างๆ ที่มีหมู่บ้าน วัด ถ้ำบ้าง ไม่ใช่เดินทางวันเดียวจะถึงที่หมายปลายทางคือไปหาที่วิเวกก็ไปพักอยู่บ้านร้าง แต่บ้านไม่ได้ร้างแต่อยู่เขตอำเภอวังเหนือ พอพักอยู่ที่นี้ก็ได้รับความสะดวกสบายจากเจ้าอาวาสและศรัทธาญาติโยมพอสมควร พอได้กินข้าวกับเขา เมื่อถึงบ้านนี้ก็เดินทางต่อไปข้ามลำน้ำ ลำน้ำอันเดียวนี้มันไกลจากเทือกเขา เขาจะพาเป็นที่ท่องเที่ยว
    เหมือนกันที่แห่งนี้ เดินทางทั้งวันจนถึงหมู่บ้านเย้า บ้านจวนเรือน พักอยู่ที่นี้สองสามวัน จากเขาไปอยู่ในป่า เขาก็กลัวไม่ให้ไปอยู่ จะให้อยู่ในบ้านก็เป็นที่ไม่สบายเรา เพราะไม่เคยพักอยู่ตามบ้านเรือนเขา จึงลาญาติโยมลงมาอำเภอพะเยา แต่ได้พูดเล่นกับเขาว่าเราเนี่ยฉันข้าวมื้อเดียว เลยรับรองว่าจะให้อยู่ได้ เลยบอกเขาว่าหากมีเจตนาศรัทธาอยากให้จำพรรษาด้วย ก็ให้ช่วยทำกระต๊อบเล็กๆ สักหลังหนึ่งพอได้อยู่ อาตมาก็จะลงไปอำเภอพะเยา แล้วประมาณเจ็ดวันจะขึ้นมาใหม่
    มีเรื่องแปลกอยู่ว่า ขณะมาป่าเมี่ยแม่สาย ได้เคยปรากฏเห็นบ้านที่ตรงอำเภอพะเยา เห็นอะไรๆ เหมือนเคยอยู่มาแล้ว มาที่นี้ญาติโยมก็พากันมานิมนต์ให้อยู่จำพรรษาที่สถานที่นั้น เลยได้เล่าให้เขาฟังว่าอาตมาได้พูดกับเย้าจวนเรือนที่ยอดเขาไว้ จะลงมาแค่เจ็ดวัน ให้เขาทำที่จำพรรษาให้ ถ้าเขาไม่ทำจะค่อยลงมาใหม่ เมื่อครบเจ็ดวันจึงเดินทางไปบนภูเขาแห่งนี้ เขาก็ทำสถานที่ให้อยู่จริง เลยตกลงใจจำพรรษาที่นั่น
    ที่เย้าทำที่พักให้นั้น มันห่างจากหมู่บ้านประมาณสองกิโลเมตร เป็นสันเขามองลงไปเห็นอำเภอพะเย้าได้ชัดเจน จึงได้ตรัสสัจจะอธิฐานมอบกายถวายชีวิตบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าการมาอยู่ในสถานที่นี้ไม่มีความมุ่งมาดปรารถนาสิ่งใด มีเพื่อจะอบรมนิสัยจิตใจให้เกิดความสงบ ความรู้ความฉลาดของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีกรรมไม่มีเวรต่อกัน สัตว์ทั้งหลายจะเป็นหมี เสือ ก็แล้วแต่ อย่ามาเบียดเบียนกันและกัน เราไม่ได้ตั้งใจมาเบียดเบียนใคร หากมีกรรมเวรต่อกันแล้วก็มอบกายถวายชีวิตบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปเลย ยอมตายในสถานที่นั้นพูดง่ายๆ
    ในการไปพักในที่นั้น ในเบื้องต้นคิดไว้ว่าจะไม่พูดกับคน แต่เอ๊ะ...มีปากเขาเจาะไว้ให้พูดแล้วไม่พูดนี่จะมีประโยชน์อะไร มาพิจารณาแล้วว่าจะไม่อธิฐานต้องเลิก ต้องพูดกับญาติโยมที่ไปมาหาสู่ แล้วตั้งคำสัตย์จะไม่บอกใบ้ให้หวย เลขเบอร์ กับใครทั้งนั้น อยู่ในสถานที่แห่งนี้ก็มีสัตว์หลายจำพวก มีหมี มีเสือ เป็นทางผ่านของมัน แต่เราไม่รู้มันไปมันอยู่ ได้ยินแต่เสียง แต่ไม่เข้าใจนะก็เลยไม่กลัว ก็เลยอยู่ได้สบายๆ เดินจงกลมภาวนาไม่มีสิ่งที่จะก่อให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนอะไรในสถานที่นั้น
    อยู่ที่นี่มีแต่เรื่องแปลกๆ เช่นเล่านิทานไป เขาคิดเป็นหวยถูกจนเจ้ามือยอมแพ้ คนวุ่นวายมาเรื่องหวยนี้แหละ เลยหนีเขาป่าห้วยซ่าน พอได้ที่ราบๆ เดินจงกลมภาวนา
    ไปวันแรกเขาก็ทำที่พักไว้ให้แล้ว โดยนัดเขา เขาก็ทำให้จริงๆ นานประมาณสองเดือนได้อยู่ที่นี่ เราเลยได้โอกาสลามาที่แม่ใจ เมื่อตอนที่ได้ไปอยู่ที่บนเขา พวกพระเจ้าคณะอำเภอเขาชวนกันมา จะมาไล่เรา พวกเย้าก็บอกว่า พวกพระเจ้าคณะอำเภอสู้ท่านไม่ได้หรอก พูดไม่ทันท่านหรอกว่างั้น มันก็เป็นเรื่องบังเอิญจะตามเรามาที่ห้วยซ่าน มาเราหนีแล้ว เราหนีไปอยู่โน่นก็จะไปอีก เขาเอาข้าวใส่บาตรไป ข้าวที่เย้าเขาถวายอาหารน่ะ บังเอิญบาตรนี่ตกลงไปคว่ำกับขี้หมูขี้หมาอยู่หน้าบ้าน มันเลยกลัวเราเลยแค่นั้นแหละ กลัวแล้วไม่ตามเราไป แต่ก็ไม่รู้จะไล่เราเรื่องอะไร มันขึ้นไปดูๆ อยู่บางทีน่ะ แต่ว่าพวกพระที่อยู่แถวๆ นั้นมันข้นไป มันอยากจะได้เงินบ้างอะไรบ้างที่เราเคยให้ ปัจจัยอะไรที่เขาถวายมานี่เราให้เขาเหน็บไว้ตามฝาแหละ อยากได้ก็เอาไปเลย ว่างั้นนะ
    “ฝนตกไม่ยอมหยุด น้ำหลาก การบิณฑบาตมันลำบาก มันไกล ต้องอดข้าว ไม่กิน จนเย้าถามว่า ทำไมท่านไม่กินข้าว ไม่กินก็ไม่ตายหรอก จนเขาสงสัยว่า ทำไมอดข้าวหลายวันแล้วเป็นปกติอยู่ ไม่เป็นอะไร เขาจะเอามาให้เราก็ลำบาก เราจะไปก็ลำบาก จึงยอมอดไปเฉยๆ มิใช่ตั้งใจทรมานตนให้ลำบาก ใจว่าไม่กินก็ไม่กิน มันเลยไม่อยาก แม้มันอยากก็ไม่กิน มันก็จบเท่านั้นเอง”
    ๏ ปรากฏเห็นหลวงปู่มั่นกับหลวงตามหาบัว
    อยู่ที่จวงเรื้อนนี่ มีคนมาอาศัยค้างกับเราเยอะเพราะหวังจะร่ำรวย คอยฟังเราพูดอะไรออกมาเป็นเลข เช่น พูดว่าสองเส้นสามเส้นไม่ได้ มันจะจับไปซื้อหวยซื้อเบอร์ คนพากันหลั่งไหลขึ้นมา เพราะว่าเขาจับไปเป็นหวยเป็นเบอร์หมด มันก็แปลกอยู่เพราะอยู่ในสถานที่แห่งนี้ วันหนึ่งปรากฏเห็น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กับ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ไปหาคนบนหลังเขานั้น เอ๊...เราก็งง เพราะไม่เคยเห็นหลวงปู่มั่น เคยเห็นแต่รูปท่าน ตัวจริงๆ ไม่ได้เห็น หลวงตามหาบัวก็ไม่เคยสนิทสนมกับท่าน เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงของท่านบ้าง
    ทำไมจึงปรากฏเห็นท่านทั้งสองว่าได้ขึ้นไปบนเขาลำบากทุรกันดารเช่นนั้น ไปท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร ปรากฏเห็นท่านก็รู้สึกว่าท่านยิ้มๆ ให้ ท่านว่า “ดี อดทนเอานะ” ท่านว่างั้น แล้วท่านก็เดินผ่านไป เราก็ได้ยกมือไหว้ท่าน นึกว่าจะไปจัดสถานที่ให้ท่านนั่ง ท่านก็ผ่านไปเลย จึงไม่ได้ฟังโอวาทของครูบาอาจารย์ ท่านเพียงกล่าวคำเดียวเท่านั้นว่า “อดทนเอานะ” ท่านว่างั้น หลังจากนั้นเราก็อดทนเอา
    ๏ ผีกองก๋อยที่หมู่บ้านจวงเรื้อน
    ประมาณเดือนแรกเข้าพรรษาแล้วนี่ เคยได้ยินเย้ามาเล่าให้ฟังว่า ไปเจอเด็กเล็กๆ สองคน อายุประมาณสองสามปี เขาไปกับภรรยาของเขา เขาว่ามันงัดก้อนหินก้อนใหญ่ๆ เท่าเตียงนอนนี่ ทำไมมันจึงแข็งแรง มันตัวอะไร ถามเขาว่า มันงัดเพื่ออะไร มันหาอะไรมันหากินปูกินหอย เขาสองผัวเมียยืนดูอยู่ เราเลยมานึกถึงครูบาอาจารย์เคยเล่าถึงผีกองก๋อย มันต้องเป็นผีกองก๋อยแน่นอนเรารู้สึกแต่เราไม่ได้พูดหรอก เราไปอยู่นั้นเริ่มแรกทางผ่านมันวิ่งอยู่ ร้องก๋อยๆๆๆ ทุกวันๆ แต่เราก็ไม่รู้ พอเย้ามาพูดแล้วใจจึงปักลงว่า ผีกองก๋อยแน่นอน
    ทางเดินจงกรมที่ให้เย้าทำไว้ แต่ก่อนเดินสามสี่ทุ่มก็ไม่กลัว เสือก็ไม่มี ผีกองก๋อยก็ไม่มี พอได้ยินเขาเล่าว่าเห็นเด็กเล็กๆ สองคนงัดก้อนหินใหญ่ได้ กับได้ยินเสียงร้องก๋อยๆๆ ใจจึงปักลงว่าผีกองก๋อยมาหาทุกวัน ความกลัวจึงเกิดขึ้น เดินจงกรมพอมืดหน่อยก็อยากเข้ากุฏิแล้ว มันก็กลัวอยู่อย่างนั้นแหละ คิดยังไงก็ไม่ตก ทั้งๆ ที่คิดมอบกายถวายชีวิตบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว คิดหาวิธีแก้ นั่งภาวนาก็ไม่มีวิธีแก้ตก
    อยู่มาวันหนึ่งที่มันจะมาแก้ตกคือ เราต้องไปดูให้เห็นตัวมัน ตายก็ตายไป เราเอาตายเข้าสู่เลยอะไรที่ไม่เป็นธรรม เรามอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว มากลัวจะได้ประโยชน์อะไร ยอมตายพอแรงแล้วนี่...อยู่ไปก็ตายอยู่ดีถึงจะคิดยอมตาย แล้วสัญชาตญาณการต่อสู้ยังมีอยู่ จึงถือมีดมือขวา ถือไฝฉายมือซ้าย ต้องไปดูมันมานี่ทุกๆ วันต้องเจอมันแน่ๆ ไปแอบอยู่ที่ไม้สนนี่แหละ มันยังไม่มืดพอมองเห็น แรกๆ ได้ยินเสียงมันร้องก๋อยๆๆ ขนลุกซู่ เอาล่ะ ตายเป็นตายไม่ตายก็เป็น กูไม่ตาย มึงก็ตาย มึงไม่ตายก็เป็นกูตายว่างั้น มันวิ่งมาห่างประมาณสองเส้นข้างหน้าว่างั้น มันชูสองขายกขึ้นร้องก๋อยๆ โอย...มันทำกูกลัวเกือบเป็นเดือน ทีนี้กูไม่กลัวแล้วมึงเป็นอีเห็น...พอรู้จริงว่ามันเป็นอีเห็นความกลัวก็หายไป ตั้งแต่นั้นมาจึงหายกลัวผีกองก๋อย เดินจงกรมภาวนาได้ตามปกติ
    ๏ เสือกับอารมณ์
    สมัยนั้นที่จวงเรื้อนมีเสือโคร่งใหญ่ขนาดเท่าวัวหรือม้า อำนาจเสียงของมันฮึมมม...อาววว แม้แต่จิ้งหรีดร้องๆ เงียบไปหมดเลย นี่ ! อำนาจของมันเราได้ยินเสียงพึมพำมา ลูกคอเสือมันหายใจฮึกฮักเหมือนคนคุยกัน นึกว่าโยมมันมากลางคืนอีก ยังคิดว่าเดี๋ยวเสือจะกินโยมตาย แต่ไม่เห็นมีโยมมา
    จนกระทั่งเสือมากินหมูตาย ครั้นวันหนึ่ง ตี 4 แล้วให้โยมไปไล่หมู กลัวมันมาขุดเม็ดมะม่วงที่ปลูกกันไว้ เรานั่งภาวนาต่อ ได้ยินเสียงดังก๊กๆ นึกว่ามันกัดกัน วันที่สองมีคนมาถาม จึงบอกว่าได้ยินเสียงมันกัดกัน อะไรได้ เสือมันลากหมูไปไว้ที่คลองที่เราตักกินนั้นแหละ โอ๋ย...ตั้งแต่วันนั้นนน...ก็ไม่ยอมจริงๆ มันยังจะสู้กับเสืออยู่นะ ไม่ให้ตายเปล่าๆ ฟรีๆ หรอก จิตใจนี่อันนี้นี่ของจริงนะ มันเกิดขึ้นกับจิตเรา สัญชาตญาณการต่อสู่นะมันยังไม่ยอมเลิกนะ
    แค่คำสัจจอธิษฐานในใจนี่อย่าไปไว้ใจมัน เอาจริงๆ แล้วมันกลัว มันเลยจะสู้อยู่ ตายก็ตายต่อเมื่อเราได้สู้กันน่ะหละ สุดท้ายจึงเดินตามเสือพิสูจน์ดูซิว่ามันจะทำอะไรไหม ห่างกันประมาณสี่ห้าเมตร มันก็เดินหนี พอมันหยุด เราก็หยุด แต่เราก็ถือมีดไปด้วยนะ ถ้ามันเล่นงานเรา เราก็สู้เหมือนกัน มันก็ไม่ทำอะไร เราก็ไม่หันหลังกลับนะ กลัวมันจะย้อนมาเล่นงานเรา รอดูจนกระทั่งมันไป เราจึงกลับ เอาไปเอามามันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็หายไปความกลัวนี้
    ช่วงนั้นมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นกับจิตใจหลายอย่างเหมือนกันนะ ในสถานที่นั้นใครพูดอะไรก็ถูก จนคนเขาว่าเราเป็นพระอรหันต์ มันได้แต่หันซ้ายหันขวารู้ว่ากิเลสมีอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เราถือคำสัจจ์ พูดอะไรไว้จะทำอย่างนั้น คนวุ่นวายมากเรื่องหวยนี่แหละ เลยหนีเข้าป่าหวยซ่าน เราไม่เคยอยู่ไม่เคยได้ยินเสียงสัตว์ป่ามันร้องคือ นกขัว (ไก่ขัว) เหมือนนกยูงหางยาว บินไม่ค่อยได้ ขาแดงปากแดง
    พอเรานั่งฉันน้ำร้อนอยู่ เขามายิงเขามาบอกอยู่เหมือนกันนะ ยิงปืนปัง เสียงมันร่วงตูมเหมือนค้างคาวร่วง เขาหิ้วมาตัวใหญ่อยู่เท่าเป็ดไม่ใช่เป็ดเหมือนห่านเนี่ยตัวใหญ่อยู่ เราเลย เอ๊...เป็นนิมิตที่ไม่ค่อยดีนะ ไม่เป็นมงคลแล้ว มันมาฆ่าสัตว์ให้เห็น มาวันเดียวนี่เขามายิงสัตว์ตายแล้ว อยู่หลายวันจึงได้โอกาสขอบิณฑบาต ไม่ให้ยิงสัตว์ในบริเวณนี้ให้เว้นไว้ เขาก็ยกให้ตามที่ขอไว้ อย่ามาฆ่าอย่าเบียดเบียนสัตว์ในสถานที่นี้นานประมาณสองเดือนได้อยู่ จนเสือมันมากินหมู วัว ควายเขา เสียงปืนมันยิงสนั่นหวั่นไหว เหมือนรบทัพจับศึก
    เรายังคิดว่า เออ...จะได้เคี้ยวเสือละมัง จริงๆ เขาแค่ยิงไล่เฉยๆ มันอาละวาดเขาไว้ หัวค่ำมืดๆ เสือมันจะมาทุกวันๆ เราไม่เห็นมันทำอะไรเรา เราก็ไม่กลัวเสือ เวลามันมากลางวันเห็นเราตามทางมันก็กระโดดเข้าป่า หมีก็เหมือกันไม่เห็นมันจะทำอะไร จึงหายกลัวตั้งแต่นั้นมา
    “เป็นเรื่องที่ให้คนเห็นอำนาจแห่งความกลัว ให้คนเห็นชัดว่าเราควรจะต่อสู้ยังไงจึงไม่กลัว ต้องเอาตายเข้าสู้ สู้ตาย ถ้ามันเห็นแล้วว่ามันไม่เป็นความจริง มันก็จะหายกลัวไปเลย เช่น กลัวเสือนี่ไปดูมันเลย พอรู้ว่ามันไม่ทำอะไรเราจึงหายกลัว ผีกองก๋อยก็ไปดูมันเลย เอาตายเข้าสู้ แต่ไม่ยอมตายหรอกต้องสู้กัน ตายแล้วแล้วกัน ถ้าผีไม่ตายเราก็ตาย เสือไม่ตายเราก็ตาย
    เมื่อมันไม่มีอะไร เห็นความจริงแล้วก็หายกลัว ตั้งแต่นั้นเดินจงกรมได้สบายเลย เสือมีแต่วิ่งหนีเรา แต่มันมาก็ต้องสู้เหมือนกันจะอยู่เฉยๆ แล้วยอมให้มันกัดก็ไม่เอานะ การสู้คือการสู้เอาตัวรอดนะ ถ้ามันมีทางหลบหลีกเราก็หนีไปไม่ใช่เจตนาจะฆ่าเสือ ถ้ามันอยู่ดีๆ กระโดดมาสู้กับเรา เราก็ต้องสู้มันเลย จะให้มันมากินง่ายๆ ก็โง่เต็มที สู้ก็ต้องสู้เพื่อเอาตัวรอดมิใช่สู้เพื่อจะฆ่าจะตายอะไร ถ้าจะให้มันกินตายเฉยๆ ก็ไม่ใช่ละมันก็โง่เต็มทีแล้ว ถึงจะยอมตายแล้วให้เสือมันกิน นี่ก็เหมือนกันกับฆ่าตัวเองนั่นแหละเป็นบาปเป็นกรรม เราจะรอดวิธีไหนก็ต้องสู้ไปก่อนล่ะ”
    จนวันหนึ่งพวกเย้ามาสองทุ่มนี่ มาเจอเสือเข้า เสือดาวตัวเล็กๆ นี่เขาจะมายิงเพราะมันมากินหมูไก่ โอ...ไม่ให้ยิงๆ เราขอบิณฑบาตไว้ เลยไม่ยิง เราไม่ให้ยิง เขาเลยไม่กล้ายิง เขาก็ว่าพระองค์นี้มีบุญเสือไม่กล้ากิน เราก็นึกขำจนทุกวันนี้แหละ ทุกวันนี้ยังมีเย้าที่ห้วยซ่านอยู่ ที่จวงเรื้อนไปไม่หมดแล้ว มีเจ้าหน้าที่เขามาบอก
    สาเหตุที่จะได้ลงจากเขามาเนี่ยเพราะเสือมันอาละวาด มันมากัดควายที่เขาเลี้ยงไว้ แรกๆ มันก็ไม่มีอะไรนะ เราไปคอยรับบิณฑบาตเขาอยู่ เขาบอกว่า ท่านอย่าตกใจนะ เขายิงปืนแม่นจริงๆ นกเหยี่ยวมันบินมาเฉี่ยวไก่เขา เขาก็ยิงปัง ตั้งแต่นั้นเสือโคร่งใหญ่อาละวาดใหญ่เลย เราเลยว่า เอ๊...มันไปผิดอะไรเขาอย่างใดอย่างหนึ่ง ม้าอยู่ดีๆ ก็เกิดโรคขึ้นมา วิ่งไม่รู้จักเป็นจักตาย แล้วก็พิงต้นไม้อยู่เท่านั้น เขาก็งงหายาให้มันกินมันจะเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ ผลสุดท้ายเราแผ่เมตตาให้มัน มันก็ยังอยู่ได้ วันหนึ่งคิดว่ามันหายดีแล้วละ แต่เขามารายงานว่ามันตายแล้ว พอเสือมาอาละวาดสัตว์เขามากๆ เขาก็ยิงปืนเหมือนรบทัพจับศึก มันจะผิดผีเขาละมั่ง ค่ำลงก็ร้องกันพวกหมอผีนั่น เราเลยได้โอกาสลามา
    ๏ ตายแบบไหนก็ดี
    มาที่แม่ใจ ขอขึ้นรถเขามาจังหวัดพะเยา จังหวัดลำปาง มาถึงลำปางก็มืดแล้วว่าจะเดินทางไปวัดสำราญนิวาส รถมาเห็นถามจะไปไหน “ไปเกาะวัดสำราญนิวาส” ท่านจะเดินถึงเหรอ “โอ๊ะ ถึงไม่ถึง ก็จะเดิน” เขาจึงนิมนต์ขึ้นรถ เออ...ไกลเหมือนกันนะ มาถึงก็มืดแล้วเกือบสองทุ่มได้ มาพักกับอาจารย์หลวง กตปุญโญ พักอยู่ในโบสถ์ ตั้งใจว่าเดินทางลงปักษ์ใต้ไม่กลับแล้ว ถึงอาจารย์มหาสุดเคยสั่งไว้ว่าออกพรรษาให้มาช่วยสร้างศาลาที่ป่าเมี่ยง
    ที่เกาะคานี่ มีพระมาเล่าให้ฟังว่า ไม้ทับอาจารย์มหาสุด สมองเละเลย ทำไงดี จะลงใต้หาครูบาอาจารย์ดีหรือยังไง มาคิดว่าทั้งโยมทั้งพระท่านทองสุขคงยังไม่ได้ทำอะไร เลยตัดสินใจกลับป่าเมี่ยงอีกที ซึ่งก็มีปัญหาจริงๆ ได้แต่เก็บศพไว้ยังไม่ได้เผา หลวงปู่หนูท่านอยากเผาซะ แต่ญาติโยมยังไม่พร้อม เลยยังไม่เผ่า เราจึงเขียนจดหมายไปกราบเรียนหลวงปู่แหวน สุจิณโณ และอาจารย์มหาปิ่น ปญฺญาพโล ที่สมัยนั้นท่านออกจากราชบุรีจากเหมืองแร่ทุ่งเจดีย์ เลยไปทางพม่าเข้าแม่สอด มาจำพรรษากับหลวงปู่แหวน หลวงปู่หนู สุจิตฺโต เลยถือโอกาสกราบเรียนท่านว่าจะให้ผมทำอย่างไร เขียนหนังสือไป ท่านก็ไม่ตอบมาว่าจะทำอย่างไรมาแล้วก็ยังเฉยๆ เราก็มีหน้าที่ซึ่งลำบากเหมือนกัน เสื่อก็ไม่มี ผ้าห่มก็ไม่มาก อะไรๆ ก็บกพร่องมันเป็นที่กันดาร คิดว่าศพปีหน้าก็คงเผาแน่
    เราก็หาให้ญาติโยมทอดผ้าป่าถ้วย จาน เสื่อ หมอน ที่ต้องการใช้ในวัดเตรียมพร้อมไว้ แล้วโยมยายสมเนี่ย เราก็ถามว่า “มีเงินเท่าไร”...“มี 8,000” เออ ! งั้นก็ไม่มีอะไร ไปนิมนต์หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่หนู พระหลายองค์มาในงานนี้ด้วย ท่านก็เป็นนักเทศน์ มีพวกมหาอัมพร อยู่ราชบุรีมาสอนหนังสือที่วัดเจดีย์ หลวงพ่อก็ไป ก็ให้โยมเอาช้างไปรับ ตกลงแล้วกัน สุดท้ายไม่ได้เรื่องต้องขี่ม้าขึ้นเขามาร่วมงาน ได้จัดไทยทานถวาย ผู้คนก็มามากพอสมควรสำหรับในป่าที่กันดารเพราะคนเคารพนับถือท่านมาก
    คนโทรจันก็ว่าพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทำไมตายแบบนี้ เราจึงบอกว่ามันไม่ได้สำคัญเรื่องตาย สมัยพุทธกาลก็มีพระสาวกตายเยอะแยะ เช่น พระพาหิมะ โดนวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย อย่างพระโมคคัลลานะ ก็ถูกโจรทุบตาย มันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ปฏิบัติดี คนทำชั่วอยู่จะตายแบบไหนก็ชั่วอยู่นั้นเอง คนทำดีอยู่จะตายแบบไหนก็ดีอยู่นั้นเอง ไม่เห็นแปลกตรงไหน
    การตายของพระอาจารย์มหาสุดนี่ก็แปลกอยู่ ก่อนตาย 1 สัปดาห์ มีคนมาร้องไห้อยู่ที่ทางเดินจงกรมท่าน ไม่เห็นตัวแต่มีเสียงร้องไห้อาลัยอาวรณ์เกี่ยวกับท่าน จนท่านรำคาญ ท่านจึงไล่หนีซะ ท่านก็ว่า เอ้า...ทุกข์ยากอะไรมาร้องอยู่ได้จะหนีไปไหนก็ไปซะเถอะ ในช่วงนั้นแผ่นดินก็ไหวด้วย จะเพราะเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ท่านก็มรณภาพในช่วงนั้นพอดี เรื่องนี้ท่านผู้มีปัญญาต้องใคร่ควรวินิจฉัยเอง
    หลังจากเผาแล้วก็ได้นำอัฐิท่านไว้ใต้ฐานพระพุทธรูปที่ศาลาป่าเมี่ยงแม่สายนั่นเอง ซึ่งทีแรกคิดว่าจะใส่กระดูกยายสม กลายเป็นอาจารย์มหาสุด ผึ้งมันเข้าไปอยู่ในรูนะตอนนั้น จึงคิดว่าถ้าจะให้เอาอัฐิครูบาอาจารย์ใส่ก็ให้ผึ้งหนีไป ไม่ถึงอาทิตย์ผึ้งก็ไป เลยได้เก็บอัฐินั้น เลยกลับไปจำพรรษาที่ป่าเมี่ยงติดต่อกันมาหลายปี
    ปี พ.ศ. 2510 ได้มารับเอาน้องชายเข้าบวช คือ พระอาจารย์ชดี ธัมมวโร ท่านบวชเป็นสามเณรที่สกลนครนี่ ในปีเดียวกันก็ได้บวชเป็นพระภิกษุที่จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่วัดสันติธรรม กับหลวงปู่สิม พุทธาจาโร มีผู้ติดตามไปบวชที่เชียงใหม่ในคราวเดียวกันสิบรูป ที่ยังเหลือเป็นพระอยู่คือ อาจารย์ชดี อาจารย์คำพาว ท่านประสิทธ์ และอาจารย์เจริญ สุวัฑฒโน ซึ่งเป็นพระที่อยู่กับ ท่านอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ทุกวันนี้
    ป่าเมี่ยงแม่สายนี้อยู่นาน อยู่เพื่อสงเคราะห์ยายคนนี้ที่ตั้งใจในการให้ทาน รักษาศีล ก็อยู่ไปเพราะครูบาอาจารย์เคยอยู่สงเคราะห์ยายคนนี้ เลยอยู่ที่นี่ถึงสิบสองปี ที่ป่าเมี่ยงแม่สาย
    ๏ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ มรณภาพ
    อยู่ป่าเมี่ยงแม่สายจน พ.ศ. 2512 จึงมาจำพรรษาที่ผาปก จังหวัดราชบุรี กับอาจารย์ทองสุกองค์หนึ่ง สาเหตุคือท่านรังสี มานิมนต์ว่าให้ไปช่วยพุทธาภิเษกพระพุทธรูป พอมาถึงเห็นโลง อ้าว ! ท่านรังสีรถคว่ำตายซะแล้ว โยมที่อุปัฏฐากอยู่เลยนิมนต์ไปจำพรรษาที่ผาปก ปีนั้นมีเรา ท่านทองสุก อาจารย์คำพาว อาจารย์ดาด เลยไปอยู่จำพรรษาให้เขา
    ปี พ.ศ. 2512 เราก็ไปป่วยอยู่ รู้สึกเหมือนถูกดาบเสียบเข้าหน้าอกทะลุหลัง นั่งกระดิกไม่ได้ปวด นั่งภาวนาตายๆๆๆ อย่างเดียวตั้งแต่หัวค่ำ มาได้ยินเสียงว่าให้เอาไม้ไผ่กับแกนฝางมาต้มกิน มากินแล้วรู้สึกอาการมันดีขึ้น แถวนั้นมันมีมาลาเรียเหมือนกัน มันกลับมาเป็นอีก ออกพรรษาแล้วก็ขึ้นมาสกลฯ นี่แหละ มากราบหลวงปู่พรหม ได้ยินเสียงมีคนมาบอกว่าท่านป่วยลื่นล้มหัวฟาดพื้น มันก็ป่วยจริงๆ อย่างที่ได้ยินนั้นแหละ
    ช่วงที่ท่านล้มหมดสติไปชาวบ้านช่วยกันย่าง (การรักษาแบบโบราณ นอนแคร่ รมด้วยสมุนไพร) ท่านก็กลับแข็งแรงดีแล้ว คิดจะสร้างเจดีย์ถวายท่าน ไปใส่ฟันให้ท่าน ท่านยังสดชื่นดีอายุยังไม่ถึง 80 ดี แต่ท่านจะรู้ตัวดีว่าท่านจะมีปัญหาชีวิต จึงเก็บเรียบร้อยหมด มีด เสียมอะไร ท่านยังถามเราอยู่ว่า ”จะกลับอยู่เหรอ” ก็ตอบว่าจะกลับ พระท่านจะสร้างกุฏิ ท่านเห็นว่า “เออ” เราก็โง่ไม่ได้ถามท่าน ไม่ได้คิด เราไปแล้วก็มีแต่หลวงตาอยู่กับท่าน
    อีกสองสามวันมีคนมาตามอาจารย์สอน ซึ่งระยะนั้นท่านกลับมาจากจังหวัดเลย ได้นิมนต์ให้ท่านพักที่วัดตาลนิมิต คนตามให้ท่านไปดงเย็น หลวงปู่ป่วยหนักท่านท้องเสีย เรามีกิจนิมนต์ไปทำบุญสองสามแห่ง กลับมาถึงวัดประมาณเที่ยงๆ ทราบว่าหลวงปู่ป่วยหนัก คิดว่าบ่ายสี่โมงก่อนจะไปกราบหลวงปู่ อาจารย์สอนไปแต่เช้าแล้ว อาจารย์ลีกับอาจารย์สุภาพไปบ้านก่อน
    พอเราไปถึง บ้านดอนเชียงยืน เลยพบกับโยมที่เป็นครู 2 คนคือ อาจารย์ชายกับอาจารย์สวัสดิ์ ได้แจ้งว่าหลวงปู่มรณภาพแล้ว เขากำลังไปซื้อสิ่งของต่างๆ มาใช้งาน เรากับอาจารย์สอนก็ช่วยจัดอะไรให้เรียบร้อย ไมมีใครกล้าฉีดยาท่าน เราก็เอาเอง ฉีด คลุมผ้า จัดให้นอน จนตีหนึ่งตีสองอาจารย์ลีกับอาจารย์สุภาพมาถึง มันลำบากนะเดินทางเท้า ทางรถทางเรือก็ไปไม่ถึง หลวงปู่เสียปีนั้นแหละ พ.ศ. 2512 เราก็กลับไปที่ป่าเมี่ยงเหมือนเดิม ออกพรรษาจึงลงมาที่บ้านดงเย็น จัดงานศพหลวงปู่พรหม เผาเมื่อปี พ.ศ. 2513 ท่านมามรณภาพเรื่องท้องเสีย คืนเดียวเท่านั้นเอง ก่อนนั้นยังเทศน์ให้ญาติโยมฟังอยู่เลย หลวงตาถามท่านว่า เป็นไงหลวงปู่ ท่านว่า “เจ็บหมดตัว” เป็นแค่คำพูดคำเดียวจนมรณภาพไป ตอนงานเผาศพ มีหลวงปู่ชอบ ฐานสโม มาเล่าเรื่องไปพม่าด้วยกันกับหลวงปู่พรหม แล้วมีฤาษีมาศรัทธา อุปถัมภ์บำรุงจนตลอดพรรษา
    ปี พ.ศ. 2513 เราได้กลับไป ได้จำพรรษาที่ป่าเมี่ยงเหมือนเดิม
    ๏ ปฏิบัติหลวงปู่แหวน สุจิณโณ
    ปี พ.ศ. 2512 เราได้ไปกราบนมัสการฟังธรรมจากครูบาอาจารย์รูปต่างๆ อาทิเช่น หลวงปู่สิม หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่แหวน ฯลฯ เป็นประจำไปๆ มาๆ อยู่บริเวณนี้แหละ บางครั้งก็พักผ่อนอยู่กับท่าน พอสมควรแก่เวลาแล้วก็ออกไปเที่ยววิเวกตามป่าที่ครูบาอาจารย์แนะนำมาว่า ที่นั่นดีที่นี่ดีสงบสงัด สงบเย็น เสนาสนะสัปปายะ อาหารสัปปายะ พอเป็นได้ แต่ก็ไปกันไม่มาก โดยส่วนมากแค่สองสามองค์เพราะมากกว่านั้นก็ไม่ไหว อาหารบิณฑบาตจะลำบาก วัดดอยแม่ปั๋ง เราก็เคยไปพักอยู่กับหลวงปู่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503-2504 ท่านอยู่องค์เดียวจนปี พ.ศ. 2505 หลวงปู่แหวนจึงขึ้นมาอยู่ก็ไปๆ มาๆ อยู่แถวนี้แหละ
    ช่วงประมาณปี พ.ศ. 2512 อาจารย์ทองสุกมาเริ่มสร้างวัดขึ้นแถวอำเภอพร้าว เรียกว่า วัดภูริทัตตะวนาราม...ทำนองนี้ ที่หลวงปู่มั่นเคยพักอยู่ตรงนั้นรวมทั้งหลวงปู่เทสก์ หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว หลวงปู่อ่อนสี หลวงปู่เหรียญ ตามที่หลวงปู่แหวนเล่าให้ฟัง ฉะนั้น ในบริเวณนี้ก็ถือว่าเป็นสัปปายะในการบำเพ็ญสมณธรรมของครูบาอาจารย์หลายองค์ในยุคนั้น ที่ได้มาพำนักพักอาศัยก่อนแยกย้ายไปบำเพ็ญสมณธรรมในบริเวณนั้น
    เราจำพรรษาที่ป่าเมี่ยง จนปี พ.ศ. 2515 ถึง 2517 ก็จำพรรษาที่วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่แหวนขึ้นมาอยู่วัดดอยแม่ปั๋งเมื่อปี พ.ศ. 2505 ซึ่งปี พ.ศ. 2504 ท่านอยู่ที่บ้านปง เลยแวะพักกับท่าน มีหลวงปู่แหวน อาจารย์หนู ท่านทวี ท่านจันดี จำพรรษาด้วยกัน
    ในปี พ.ศ. 2515-2517 นั้นได้อยู่ปฏิบัติครูบาอาจารย์เป็นสำคัญ เนื่องจากหลวงปู่ท่านชรามากแล้ว นี่คือความประสงค์ส่วนแรก อีกส่วนอยู่เพราะรับปากกับหลวงปู่หนูว่าจะสร้างศาลา เพราะหลวงปู่หนูกับท่านทวี 2 คน คงทำกันไม่ไหวจึงอยู่ช่วย ศาลามันไม่ดีเลยรื้อสร้างใหม่ เราอยู่ช่วยท่านสร้างศาลาร่วมกับท่านอาจารย์จันดี อาจารย์ทวี รวมเป็นอยู่ด้วยกัน 5 องค์ เมื่อทำศาลาเสร็จจึงมาขออนุญาตสร้างเหรียญรุ่นลูกมะพร้าว เป็นอนุสรณ์ของอำเภอพร้าวเพื่อแจกในงานฉลองศาลา
    ปี พ.ศ. 2515-2516 นั่นแหละ ได้ไปทำซ่อมพระที่ทางขึ้นวัดดอยแม่ปั๋ง โดยมีซากพระพุทธรูปชื่อ พระเจ้านั่งช้างอยู่ หน้าตักประมาณ 4 เมตร พอฉันเสร็จแล้วเราก็สะพายย่ามขึ้นไป โยมเป็นคนผสมปูนให้ เราเป็นคนทำ ไม่ได้ดิบดีมีเครื่องมือ และละเอียดลอออะไรสมัยนั้น จนปี พ.ศ. 2518 จึงมาจำพรรษาที่วัดบ้านตาลเป็นปีแรกเลย
    “การทำดี ไม่ผิดศีลผิดธรรมแล้ว เราไม่กลัว ใครไม่ทำเราก็ไม่ไปเดือดร้อนให้ใคร การจะไปดุด่า ไปว่าตำหนิติเตียนนี่ ไม่มีละ และต้องทำให้สำเร็จ แล้วก็สำเร็จจริงๆ ใครจะช่วยรึไม่ไม่เกี่ยว ช่วยก็ยินดี ไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร เราตั้งใจไว้อย่างนั้น อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันนะ จนมีหลวงปู่องค์หนึ่งพูดว่า “แปลกเหมือนกันนะพระองค์นี้ ไปทำอะไรกลางแดดร้อนอยู่องค์เดียว” พอฉันเสร็จเราก็ไปแล้ว ฉาบ เลื่อยไม้ ไสกบ อะไร แดดร้อน ยังไงก็ทำอยู่องค์เดียวนั่นแหละ”
    ๏ สถานที่จำพรรษา
    พรรษาที่ 1 (พ.ศ. 2495)
    วัดตาลนิมิตร บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    พรรษาที่ 2 (พ.ศ. 2496)
    วัดประชาอุทิศ อ.คำเขื่อนแก้ว จ.อุบลราชธานี (ปัจจุบัน จ.ยโสธร)
    พรรษาที่ 3 (พ.ศ. 2497)
    วัดวิเวการาม ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
    (ออกพรรษาปลายปี 2497 เดินทางไปภาคใต้)
    พรรษาที่ 4-6 (พ.ศ. 2498-2500)
    วัดวิเวการาม ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
    พรรษาที่ 7 (พ.ศ. 2501)
    วัดป่านันทนาราม อ.เถิน จ.ลำปาง
    พรรษาที่ 8 (พ.ศ. 2502)
    ถ้ำแดนสวรรค์ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ 9-10 (พ.ศ. 2503-2504)
    ป่าเมี่ยงแม่สาย ต.โหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ 11 (พ.ศ. 2505)
    หมู่บ้านจวงเรื้อน อ.พาน จ.เชียงราย
    พรรษาที่ 12-18 (พ.ศ. 2506-2511)
    ป่าเมี่ยงแม่สาย ต.โหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ 19 (พ.ศ. 2512)
    เหมืองแร่ผาปก ต.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี (ปัจจุบันเป็น อ.สวนผึ้ง)
    พรรษาที่ 20-21 (พ.ศ. 2513-2514)
    ป่าเมี่ยงแม่สาย ต.โหล่งขอด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ 22-24 (พ.ศ. 2515-2517)
    วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่
    พรรษาที่ 25-ปัจจุบัน (พ.ศ. 2518-ปัจจุบัน)
    วัดใหม่บ้านตาล ต.โศกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    ๏ เหตุปัจจัยในการสร้างวัดใหม่บ้านตาล
    เริ่มแรกมีวัตถุประสงค์อยู่สองอย่าง คือ
    1. ต้องการสงเคราะห์โยมบิดาและมารดา นี่คือวัตถุประสงค์ที่สำคัญ เพราะท่านก็มีความสนใจในการประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว
    2. จะขยายวัดตาลนิมิต ให้กว้างให้มีที่ดินมากขึ้น จะซื้อที่นาก็ตกลงกันไม่ได้ ให้สองหมื่นอยากได้สามหมื่น ให้สามอยากได้สี่หมื่น จึงหยุด เมื่อขยายวัดตาลนิมิตไม่ได้ ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันบอกว่าจะยกที่ดินป่าสาธารณะ (ป่าช้า) ให้ เลยกล่าวว่าก็ดีเหมือนกัน ถ้ายินยอมพร้อมใจกันทั้งบ้านนี้แล้ว ก็จะทำให้แผ้วถางในบริเวณนี้ แล้วเราจะหาเงินมาให้หนึ่งแสนบาท ถ้าญาติโยมพร้อมใจจะสร้างวัดนี้จริงๆ ก็ให้ส่งข่าวไปบอกที่วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมื่อเขาบอกข่าวตกลงแล้ว ออกพรรษาจึงมาดูสถานที่
    ในปี พ.ศ. 2518 ได้นำปัจจัยหนึ่งแสนบาทมาให้เขาตามที่พูดไว้ เมื่อเห็นว่าเขาพร้อมใจจริงๆ เลยตกลงให้สร้างศาลาขึ้นมา คือหลังปัจจุบันนี้แหละ มูลค่ารับเหมาทั้งหมดห้าแสนบาท กำหนดให้เสร็จ 8 เดือน และสร้างกุฏิขึ้นอีกหลังหนึ่ง แล้วจึงสร้างถังน้ำ กว้าง 4 เมตร ยาว 14 เมตร สูง 3 เมตร หมดค่าก่อสร้างหนึ่งแสนบาท
    “การงานอะไรต่างๆ มันก็ต้องต่อสู้ทั้งนั้นกับอุปสรรค แต่สำหรับเราไม่เคยทำฎีกาเรี่ยไรบอกบุญอะไร อะไรที่ยากสำหรับเขา สำหรับเรามันง่ายนะ ตลอดมาศรัทธาญาติโยมเขาทำกันเอง บอกกันเอง เขาพร้อมจะสนับสนุนช่วยเหลือเสมอมาจนกระทั้งวันนี้...อยู่ไปตามมีตามได้ ไม่ดิ้นรนขวนขวายอะไร ถ้าเขามีศรัทธาอยากทำ ก็พาเขาทำตามวัตถุประสงค์ของญาติโยม ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ทำเช่นนี้”
    โยมพ่อได้เข้ามาช่วยตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ท่านมีเพี่อนที่เคยเป็นทหารด้วยกัน เขาให้เป็นนายสิบแต่ลาออกจากทหารมีครอบครัวที่บ้านตาลนี่ มาอยู่เป็นเพื่อนกันเพื่อดูข้อวัตรปฏิบัติประมาณ 1 ปีเศษและสมัครใจบวชพร้อมกัน รู้สึกว่าท่านต้องการที่จะบวชมาก จึงอนุญาตให้ท่านบวชด้วยกัน 2 คน
    ได้สร้างวัดนี้เรื่อยมา มีกุฏิหลายหลังเป็นที่อาศัยของพระเณร ปีแรกที่จำพรรษารวมกัน 5 รูป ได้พัฒนาวัดนี้ขึ้นจนสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย ความเป็นจริงแล้ว การเป็นป่าสาธารณะนั้นไม่มีโฉนด หรือ น.ส. 3 จึงได้จับจองเป็นที่สร้างวัด มีคุณเลื่อน คำคุณเมือง เป็นเจ้าของแทนชาวบ้านทั้งหมด
    จนเมื่อได้ น.ส.3 แล้ว ได้วงเล็บไว้ว่าเพื่อเป็นที่สร้างวัด ตั้งชื่อวัดตาล ตามกฎหมาย แต่ชาวบ้านเรียกว่าวัดใหม่บ้านตาล สำหรับโยมพ่อเมื่อบวชเป็นภิกษุอยู่จำพรรษาร่วมกัน จนกระทั่งท่านอายุ 80 ปี จึงมรณภาพ นี่คือการสงเคราะห์ญาติคือโยมบิดาได้เขามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์ในพระพุทธศาสนา ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่มีความตั้งใจใฝ่อรรถใฝ่ธรรมของพระพุทธเจ้า เอาจริงเอาจังเอาเป็นตาย ฝากชีวิตไว้ในพระพุทธศาสนาตลอด โดยท่านได้ละสังขารเมื่อพรรษาได้ 12 พรรษา
    วัดนี้ได้มีพระมาจำพรรษาเพิ่มขึ้นประมาณ 10-25 รูป แต่ไม่ต่ำกว่า 15 รูป เป็นประจำตลอดมา นอกจากนี้ก็มีญาติเข้ามาบวชเป็นแม่ชี ได้แก่ ยายชีสิม (ซึ่งบวชกับหลวงปูพรหม จิรปุญฺโญ) ยายชีโส ยายชีบัวเลย ส่วนโยมแม่ไม่ได้บวช เป็นแต่ผู้มีศรัทธาในการให้ทาน การชวนมารักษาศีลนั้นไม่ยอม รวมทั้ง ก็มีศรัทธาญาติโยมทั้งจาก กทม. และที่อื่นๆ ช่วยอุปถัมบำรุงให้วัดนี้เจริญตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้
    “ครั้งหนึ่งหลวงปู่พรหมท่านได้ปรารภเองว่า ถ้าอยากได้วัดดี ก็ให้มาเอาวัดตรงนี้สิ ที่ป่าช้านี่ เราก็ว่าไม่มีบารมีหรอกหลวงปู่...มันก็บังเอิญจริงๆ”
    ๏ ข้อวัตรปฏิบัติ
    02.00-04.00 น. เดินจงกรม
    04.00-05.00 น. เตรียมตัวเพื่อไปบิณฑบาต
    06.00 น. บิณฑบาต
    07.30 น. ฉัน 1 มื้อ เดินจงกรม อ่านหนังสือ ฟังเทปธรรมะ พักผ่อน 30 นาที-1 ชั่วโมง
    11.00 น. เดินตรวจวัด รับญาติโยม ปฏิบัติกิจต่างๆ ภายในวัด
    15.00 น. กวาดตาด (ลานบริเวณวัด)
    16.00-17.00 น. รับญาติโยม สรงน้ำ
    18.00 น. พร้อมกันที่ศาลา นำไหว้พระสวดมนต์ อบรมธรรมะและข้อปฏิบัติ
    22.30 น. เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา สวดมนต์
    23.00-24.00 น. พัก
    ๏ ทุกข์ที่สุดในชีวิต
    พระชื่อพระอาจารย์คำผาย เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตนน่าเคารพ ท่านอยู่กับ หลวงปู่สิงห์ ขันตยาคโม เป็นหัวหน้าพาไปใต้ ท่านเคยไปแล้วคงสบายดี ไปกันทั้งหมดห้าองค์ มีอาจารย์ประทัง เรานี่ เณร ฯลฯเผอิญไปห้วยยอด เจอโยมเขาศรัทธานิมนต์เข้าไปพักในสวนที่เป็นศาลเจ้า โยมเขาก็คลอดลูกพอดีวันนั้น เกรงอกเกรงใจญาติโยม เป็นทุกข์อยู่นั่น ไปอยู่บ้านเขาเห็นอกเห็นใจ เขาทุกข์ที่สุดเพราะบวชมาไม่เคยอยู่บ้านโยมนาน ไม่เคยไปนั่งบ้านคนถึงสองชั่วโมงโดยไม่มีธุระ สวดมนต์เสร็จแล้วก็ออกมาเลย เขาก็ป่วยคลอดบุตรใหม่ๆ ใจมันเลยร้อน เห็นใจเขาที่ต้อนรับให้ความสะดวก น้ำดื่มกิน...ตกนรกทั้งเป็น เป็นทุกข์อยากจะเดินไป เงินก็ไม่มีสักบาท ทุกคนลูกศิษย์ก็ไม่มี โยมนั้นจึงเรียกรถและให้ค่ารถไปสี่สิบบาท เหมือนไปบังคับให้เขาต้องเสียค่ารถค่าเรืออะไรให้
    เมื่อหมดค่ารถก็ขนบาตรลง แต่ได้ถามเขาว่าจะไปไหน เขาจะไปจังหวัดพังงาและไม่มีคนไปด้วย จึงได้ขนบาตรขึ้นอีก และได้นั่งไปจนค่ำจึงลงที่จังหวัดกระบี่ ทุกข์ที่สุดก็คราวนี้คราวหนึ่ง “ตั้งแต่บวชมานี่ เข้าไปในหมู่บ้านเก่าของโยมพ่อโยมแม่ที่บ้านตาลไม่เกิน 20 ครั้งนะ เว้นแต่ญาติโยมป่วยจึงเข้าไปมีอะไรบอกๆ เขาเสร็จก็กลับแล้ว ไม่เหมือนพระเณรสมัยนี้ ชอบเข้าไปในหมู่บ้าน เราไม่มีกะจิตกะใจ เว้นแต่นิมนต์ จบแล้วก็กลับวัดเลย”
    อีกครั้งหนึ่งไปเกาะล้าน ด้วยเจนตาดีของโยม มีนิมนต์ไปขึ้นเรือน เขาบอกจะพาไปเกาะช้างแต่เช้า ไปกับหมู่หลายองค์ เก้าองค์ด้วยกัน ถ้าไปองค์เดียวถ้าจะตับแตกตายเป็นทุกข์ ทุกที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกข์เพราะมันไม่น่าไป พอลงเรือแล้วคนเยอะแยะมาก เป็นพันคนมีสารพัดบนนั้น ฉายหนังรำวง คนสนุกสนานกันชาวบ้าน แต่เราเป็นทุกข์ ใครก็ทุกข์ทั้งนั้น เพราะไม่รู้ว่าเขาจะพาไปอย่างงั้น
    ขึ้นไปนั่งเหมือนลิงนั่ง..ง...ง ไป มีผู้ชายแต่งตัวแต่งหน้าแบบผู้หญิงส่องกระจก ฮู้ย ! ถ้าเหาะได้ก็เหาะแล้ว แต่มันหนักกิเลสเลยเหาะไม่ได้ ถ้าดำน้ำหนีมาได้ก็อยากจะโดดเรือมานั้นแหละ หัวเราะกันถ้าคนเดียวนี่แย่เลยนะ นี่ยังดีมีหลายองค์ไปดูปะการังขี่เรือที่มีกระจกใสสมองลงพื้น พวกฝรั่งมาอาบแดดนอนอยู่โน่น..โอ๊ย ! เราคิดมาดูของอะไรอย่างนี้เหรอนี่ เจตนาดีของขา ของศรัทธา อยากให้ครูอาจารย์ได้ดูของแปลกๆ แต่มันไม่เหมาะกับสมณสารูป ไม่ใช่ที่ที่น่าไป เลยเป็นทุกข์เอาจริงๆ เลยคราวนั้น เพราะนี้มันไม่เคยไปอย่างนั้น ถ้าไปเป็นกิจจะลักษณะก็ไปอย่าง แต่ไม่เที่ยวแบบนั้น นี่ไปเพราะไม่รู้ เขาบอกว่าชื่อตั๋วไว้หมดแล้ว
    ๏ เรื่องของอารมณ์
    ครั้งหนึ่งสมัยอยู่จวงเรื้อน สงสารตัวเองว่า ทำไมต้องมาอยู่สถานที่อดๆ อยากๆ กินข้าวกับต้มผัก เขาทอดผักกาดใส่เกลือกับน้ำมันหมู กินกับข้าว ก็อยู่กินพอตายฉันได้เยอะ แต่มันไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย มีน้ำมันก็พอยังชั่ว สงสารตัวเองความคิดมันปรุงแต่งขึ้นมา เอ๊ะ เราอยู่ที่ไหนก็ไม่ได้อดอยากอะร ทำไมมาอยู่ในที่แบบนี้ ทำให้น้ำตาร่วงออกมาเองไม่ได้ร้องไห้ แต่มันไหลออกมาเอง พอได้สติก็นึกด่าตัวเองเป็นอยู่วันนั้นวันเดียวเอง...ไม่เคยเป็นอีก
    ในปี พ.ศ. 2505 เราได้ไปแสวงหาความสงบ ไปจำพรรษาอยู่กับชาวเขาเผ่าเย้า จังหวัดเชียงราย ตั้งกายตั้งใจไปแสวงหาความสงบ ได้อธิษฐานมอบกายถวายชีวิตบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้ามาอยู่ที่สถานที่นี้ไม่มีความปรารถนาสิ่งอื่นใด นอกเหนือจากความสงบ เยือกเย็นเป็นสุขจากธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าหากว่ามีกรรมมีเวรกับสิ่งใดๆ แล้วก็ขอมอบกายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา นี่คือความต้องการในสถานที่แห่งนี้ มาอยู่ที่แห่งนี้ในป่าเขาลำเนาไพร ถึงแม้ว่าจะทุกข์อยากลำบากจากร่างกายจิตใจอย่างไร ก็ไม่ย่อท้อ จะตั้งหน้าปฏิบัติบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี่คือความตั้งใจที่ไปแสวงหาความสงบระงับทุกข์
    มีอยู่วันหนึ่ง ในขณะที่เรานั่งสมาธิอยู่ในกระต๊อบของเราเอง ก็มี 3 คนไปหา แต่เขาเข้าใจผิดคิดว่าเราไม่อยู่ในสถานที่นั้น เขาจึงตระโกนเรียกหา ใช้เสียงดังสุดเสียงของเขา ทำให้เรามีอารมณ์ข่มใจขึ้นใจไม่อยู่ เพราะคิดว่าเขาเหยียดหยามไม่เคารพต่อเรา ความคิดนี้เกิดขึ้นมาอย่างรุนแรง จึงคว้าเอามีดที่อยู่ในกระต๊อบออกมาหวังจะฆ่าพวกที่คิดว่าเขาดูถูกเรา ไปตระโกนเรียกเราในสถานที่นั้น นึกว่าตัดคอมันทั้ง 3 คน
    พอเปิดประตูออกมาเห็นกิริยาของคนทั้ง 3 กราบลงทั้ง 3 ครั้ง เราก็เดินออกมา เขาก็กล่าว “ขอโทษ พวกผมไม่รู้ว่าท่านอยู่ที่นี่” กิริยาที่แสดงออกของเขาทั้งกาย วาจา ที่เปล่งออกมานั้น บอกว่า ขอโทษ จิตมันวูบลง เมื่อเห็นเขาแสดงความเคารพเลยสะกดจิตไว้ได้เย็นลงทันที ความร้อนนี้ การสะกดจิตนี้อย่าไปสะกดคนอื่นเลย ให้สะกดจิตตัวเองนี้ ถ้าทำได้เวลาเกิดอารมณ์ ความยินดีบางทีให้คูณก็ได้ให้โทษก็ได้ ยินร้ายให้คุณก็ได้ให้โทษก็ได้ ยินร้ายให้คุณเมื่อได้สติปัญญาขึ้นมาไม่เช่นนั้นก็รู้สิ่งเหล่านี้เห็นสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ยินดียินร้ายนั้นให้ทั้งคุณทั้งโทษนั่นแหละ
    เรื่องของอารมณ์ที่มันเกิดขึ้นกับจิต สิ่งเหล่านี้ต้องมีสิ่งกระทบนะ ที่เกิดจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เข้ากระทบจิตเรียกว่า เจตสิกธรรม จึงจะนำอารมณ์ให้ยินดีและยินร้ายขึ้นมาได้ จึงให้สะกดจิตเราอย่ายินดีอย่ายินร้าย จะค่ำมืดดึกดื่นอะไรก็แล้วแต่ สมัยเป็นฆราวาสไม่กลัวเป็นกลัวตายมันอยากจะฆ่าคนอื่น ไม่รู้จักสะกดจิตตนเอง พอมารู้อรรถธรรมก็สะกดจิตได้ เกิดเมตตาสงสารได้ ยินดียังไงก็สะกดได้ โอกาสการทำชั่วผิดศีลผิดธรรมนั้นมีโอกาสทำได้ แต่เราสะกดจิตเราไม่ฆ่าไม่ทำลาย พอสะกดจิตอยู่แล้ว จะมีปัญญาขึ้นมาอีกที
    พิจารณาให้เห็นประโยชน์ เห็นโทษ เห็นภัย ความยินดีก็ทุกข์ได้ ความยินร้ายก็ทุกข์ได้ ความโกรธที่มันมีขึ้นอย่างรุนแรงก็จะอ่อนลง ทำให้เกิดความเมตตาสงสารขึ้น ในเวลานั้นมาระลึกนึกว่า ถ้าเราฆ่าคนตายจะได้อะไรจากความตายของเขา เราได้อะไรจากการกระทำของเราเมื่อเขาตายไปแล้ว คือได้ความไม่สงบจะต้องถูกจับ ถูกตำหนิติเตียน ติดคุก ติดตาราง อย่างนี้หรือเป็นผู้มาแสวงหาความสงบ ระงับดับทุกข์ มันผิดจากสมณะ ผู้สงบระงับดับความชั่วความเลว ดับทุกข์ ดับโทษ อย่างที่ปรารถนาไว้เบื้องต้น
    เมื่อได้สติสัมปชัญญะ ความรู้ตัวขึ้นมาเช่นนี้แล้ว ความโกรธจึงค่อยระงับดับลง ไม่ได้ทำความชั่วถึงทำลายชีวิตผู้อื่นให้ถึงซึ่งความล้มความตาย ผิดจากความมุ่งหมายที่ตั้งเอาไว้เป็นเบื้องต้น เมื่อได้สติจึงพูดออกมาว่า “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป อย่าได้พากันทำเช่นนี้อีก”
    เขาทั้งสามคนตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงเราได้กล่าวตักเตือนก็ยังประนมมือ ขอโทษ ขออภัย กราบลงกับพื้นดินหน้ากุฏิ ใจของเราก็เย็นลง เย็นลง ไปเป็นลำดับ หายจากความโกรธ เกลียด เคียดแค้น เห็นโทษ เห็นภัยในความโกรธ ของตนเองลงไปได้ มีสติ มีปัญญา ไม่พูดชั่ว พยาบาทอาฆาตคนทั้งสามนั้น เขาทั้งสามก็ได้พักกับเราในคืนวันนั้น จึงได้ซักไซ้ไต่ถามว่า ไปไงมาไง ปรารถนาอะไรจึงมาที่นี่ เขาจึงบอกมาจากบ้านนั้นบ้านนี้ มีชื่ออย่างนั้น นามสกุลอย่างนี้ ที่มานี่ต้องการให้ท่านเมตตาบอกบัตรบอกเบอร์
    จึงได้บอกเขาว่า “ถ้าอยากได้เลขให้ไปขอกับพวกครูที่สอนนักเรียน เขาคงศึกษามาเรื่องเลข แต่ถ้าโยมอยากได้เลขอะไรจะเขียนให้ก็ได้ จะเอากี่ตัวล่ะ เลข 1 ถึง 0 น่ะ อาตมาก็เขียนให้ได้ โยมไม่ได้เรียนหนังสือรึ”
    เขาก็บอกว่า “ได้เรียนอยู่ แต่อยากได้สามตัวให้ท่านเขียนให้”
    “ถ้าโยมเขียนได้ก็เขียนเอาเอง แค่สามตัวอาตมาก็เขียนให้ไม่ได้ เพราะว่าอาตมาอยู่สถานที่นี้ได้ตั้งสัจจอธิษฐานว่าจะไม่บอกบัตรบอกเบอร์ให้ใครทั้งนั้น อาตมาจึงเขียนให้ไม่ได้ อย่างที่โยมปรารถนา ถ้าหากว่าจะให้พระเขียนให้ ก็ให้ไปหาพระที่บ้านโยมให้ท่านเขียนให้ก็ได้ หรือให้ครูให้ใครที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา ถ้าเขาเขียนหนังสือเขียนเลขเป็น เขาก็เขียนให้ได้” ก็กลายเป็นเรื่องสนุกสนานกันไป จิตใจก็ร่าเริงเบิกบาน ความโกรธที่เกิดขึ้นก็ลืมไปหมด
    สมัยอยู่ป่าเมี่ยงแม่สาย มีคนมาขโมยพระพุทธรูปหน้าตักประมาณ 9 นิ้ว เกิดอารมณ์โกรธอย่าง รุนแรง คิดจะไปฆ่าเขาทั้งๆ ที่ตนเองก็ยังเป็นพระอยู่นี่ จะคว้ามีดไปฟันคอมันให้ขาดคาบ้าน เอาขนาดนั้นนี่ความคิดเวลาจิตมันฟุ้งขึ้นมา มันว่า เออ...เรานี่ไม่มีวาสนาละมัง เลยคิดแต่ว่าจะไปฆ่าเขานี่จะไปยังไงดี ก็ไม่พ้นจากการนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ ไปในเพศสมณะ คิดไปคิดมาอยู่นี่
    เวลาอารมณ์มันขึ้นมาแต่ละที คิดแต่จะไปฟันคอมันด้วยความกรุ่นความโกรธที่เขาไม่เกรงกลัวเรา ดูถูกเหยียดหยามเรา กว่าจะได้สติปัญญาละเลิกความคิดนี้ได้ใช้วเลาอยู่เป็นเดือน เดินจงกรมก็แล้วหาวิธีแก้ความคิดที่จะไปฆ่าเขา ว่าเขาดูถูกเหยียดหยามเรา หาวิธีแนวทางให้จิตสงบระงับลงไปได้ใช้เวเลาอย่างน้อยเป็นเดือนนะ เพียงคิดแต่จะไปฆ่าเขานี่มันก็เป็นทุกข์แล้วนะ คิดแล้วคิดอีกกลับไปกลับมาวกวน มันไม่ไปไหนแล้วนั่น ภาษาผู้พฤติปฏิบัติเรียกว่าจิตฟุ้งซ่านไม่สงบ นี่คือความที่จิตไม่สงบนะ มันเกิดอารมณ์อาฆาตพยาบาท คิดไม่นอกเหนือไปอย่างอื่น นอกจากการฆ่าเขานะ มองเห็นแต่คนมาร่วมกันขโมยพระอยู่ตลอดนะ ก็เลยเกิดอารมณ์นี้ คืออยากไปฆ่าเขาคนนั้นแหละ
    เมื่อมันเกิดความโกรธแล้ว ความโลภ ความหลง ก็ตามกันมาทั้งชุดนั่นแหละ หลงไปซะตนเองย่ำแย่กินอยู่มันก็คิดจะไปฆ่าเขา เดินจงกรมก็คิดจะไปฆ่าเขา ไม่ธรรมดานะจิตใจนี้ ที่มันได้สติก็ต้องทบทวนดูว่า ได้ฆ่าเขาแล้วเราจะได้อะไรขึ้นมา เขาตายแล้วคนตายจะได้อะไร คนที่จะไปฆ่านี่ได้อะไร นี่มันวิตกวิจารอยู่ในความคิดนั่นแหละ พอมาคิดแล้วจิตใจมันอ่อนลง ว่ามันดียังไง มันมีโทษยังไง มันเสียยังไง พระพุทธรูปนี่มันได้ไป ก็คงไม่ได้เอาไปแกงกินนะ อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนกราบไหว้ คนไม่ไหว้ก็เทวดาไหว้ หรือไปซื้อไปขาย หวังเอาเงินทองไปใช้จ่าย อย่างมากได้ไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทประมาณนี้แหละ
    มาทบทวนจิตใจนี้ว่าเขาก็จะกราบไหว้นั่นหล่ะ พระพุทธรูปเรายังมีเยอะแยะตั้งสิบกว่าองค์ กราบเท่าไร่ก็ไม่หมดจะขี้เกียจกราบด้วยซ้ำไป จะกราบองค์เล็กก็ได้ องค์ใหญ่ก็ได้ จะไปคิดทุกข์ยากทำไมนี่ จะมาโกรธไปทำไม โกรธแล้วก็เป็นทุกข์ นอนไม่หลับ ฟุ้งซ่านรำคาญอยู่นั่น เวลามันเห็นโทษเห็นภัยแล้วว่า ถ้าฆ่าเขาคงติดคุกแน่นนอน เราไม่ได้อะไร...ได้แต่ติดคุก เขาจะมาจับเข้าคุก ความเป็นพระของเราจะหายไปเมื่อโดนจับแล้ว ความทุกข์ ความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้นอีก เมื่อติดคุกติดตะรางจองจำทำโทษ ก็จะเกิดขึ้นอย่างนี้
    เมื่อมันเห็นโทษเห็นภัยพิจารณาไปอย่างนี้...ญาติโยมที่เคารพเทิดทูนเราว่า เป็นพระดีมีความสงบระงับเหยือกเย็นเป็นสุข มันก็จะหายไปจากใจของผู้สักการบูชา มันจะหายไปหมดเลย ความเป็นพระก็ไม่มีแล้ว ความเป็นผู้มีศีลธรรมอันดีที่เคยประพฤติปฏิบัติมาแล้ว ความดีที่ทำไว้แล้วก็หายไปหมดไม่มีเหลืออะไร เขาก็จะมองเรานี่ว่า เป็นคนโหดร้ายทารุณ นี้มัน...ถ้าเราวิตกวิจารดู ท่านเรียกว่า ธัมมวิจยะ
    เมื่อเราเดินจงกลมภาวนาไม่ว่าจะอยู่อิริยาบถไหน มันก็จะคิดทบทวน เห็นโทษเห็นภัยใจก็เลยสบาย แล้วก็มาคิดอีกว่าช่างหัวมัน สุดท้ายเงินหมดมันก็กลับมาขอข้าวก้นบาตรเรากินที่วัดตามเคย แล้วก็จริงมันก็มา...เราก็รู้อยู่...ความเสียดาย ยินดีพอใจในพระพุทธรูปอันนั้นก็หมดไปได้ จิตใจก็เลยสงบจากการกระทำนั้นได้ กายของเราก็ไม่ได้ทำบาป วาจาก็ไม่ได้พูดในทางที่เป็นบาป จิตใจก็ไม่ได้คิดในทางที่เป็นบาปอีกต่อไป เพราะเห็นภัยในปัจจุบันที่จะเกิดขึ้น เพราะอนาคตเรามองไม่เห็น
    เช่น คำสอนที่ว่าทำชั่วแล้วจะตกนรก ต้องเข้าใจว่านรกนี่มันตกในปัจจุบัน ไม่ได้ไปตกที่ไหน เมื่อเราไปฆ่าเขาแล้วนี่ นรกก็เกิดขึ้นแม้แต่คิดที่จะฆ่า แค่นี้มันก็ตกนรกแล้ว มันมีแต่ฟุ้งอยู่ทั้งวันทั้งคืน กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นอยู่อย่างนั้นความคิดนี่ไม่ใช่คิดแล้วจะจบไปเลย ต้องคิดอยู่เรื่อยๆ มันต้องพิจารณา วิตกวิจารจนจิตใจมันเยือกเย็น ไม่ใช่จะใช้เวลาแค่วันหนึ่งหรือสองวัน ต้องใช้เวลานานพอสมควร ถึงแม้ว่าจะปลงตกแล้วมันก็จะวูบขึ้นมาเป็นบางที เหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า ทำให้มากเจริญให้มาก จนมีความชำนิชำนาญซาบซึ้งถึงใจจริงๆ ว่าบุญนั้นมีจริงๆ บาปนั้นมีจริงๆ
    พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า ภาวิตา พหุลีกตา คือทำให้มากเจริญให้มาก ไม่ใช่มันฟุ้งซ่านนะ อันนี้ถ้าไม่คิดมันก็จะไม่เกิดปัญญา นักปฏิบัติ นักภาวนานี่ปัญญามันก็จะเกิดจากความคิดนี่แหละ ถ้ามันเข้าใจแล้วก็เป็นธรรมะเห็นโทษเห็นภัยได้ ถ้าไม่เข้าใจก็เป็นกิเลสอยู่ ปัญญายังไม่เกิด มันก็ระงับอารมณ์ไม่อยู่ ต้องเห็นโทษเห็นภัยในการกระทำในการประพฤติปฏิบัตินั้น
    มีความตั้งใจจะฆ่าคนตั้งสามครั้ง แต่เราไม่มีกรรมที่จะทำชั่วจึงไม่ได้ทำ แต่บางครั้งนี่ไม่น่าคิดจะฆ่า มันคงไม่มีกรรมเวรจะฆ่าแต่จิตใจมันเป็นเช่นนั้น สมัยเป็นฆราวาสวันหนึ่งมีคนเมามาร้องตะโกนลั่นบ้าน รู้สึกว่า เอ๊ะ ! ทำไมมันก่อกวนขนาดนั้น จึงหยิบค้อนขึ้นมาจะทุบทีเดียวเอาให้เหยียดไปเลย มันเดินมาตามทางนี่แหละแล้วก็เลี้ยวหายไปเลย เราจึงมาได้สติ
    มานึกได้ว่าเราจะฆ่าคนถึง 3 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมันคลาดเคลื่อนไปได้
    “ปัจจุบัน เราไม่ค่อยโกรธให้ใครนะ เราเห็นมันเป็นบาป เห็นการเบียดเบียนกันไม่ดีทั้งปวง มีแต่เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นภัย เป็นเวร ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยคิดจะฆ่าใครทั้งนั้นล่ะ”
    คราวหนึ่งอ่าวลึก ได้เดินทางต่อไปทับปุด มันมืดแล้ว ถ้าเดินทางต่อไปไม่ได้ และมีบ้านคนแค่ 3-4 หลังคาเรือน จะไม่มีที่บิณฑบาต ต้องนอนอยู่ที่แคมป์คนทำทาง ฉันเสร็จออกจากอำเภอทับปุด ไปถึงจังหวัดพังงา จะค่ำแล้วเลย...โยมนิมนต์ให้ฉันน้ำ จึงถามโยมว่า มีวัดพอที่จะให้อาศัยไหม ตามเนี่ยเขาจะให้พักได้หรือเปล่า เขาเลยบอกว่ามี แต่มีหลวงตาอยู่องค์เดียว เราก็มาจินตนาการไปก่อนแล้วว่า เอ๊ะ วัดทั้งวัดมีองค์เดียวนี่...วัดอื่นครูบาอาจารย์ต้องมีหลายองค์ นี่องค์เดียว เลยคิดว่าพระมันคงจะดุร้ายพอสมควรสิ และขี้เหนียวละมัง จนกระทั้งว่า ขอนอนแค่คืนเดียวนี่ ไม่ได้ก็ให้รู้กันไปสิ ถ้ามันอาละวาดก็จะสู้กัน ถ้าได้ชกต่อยกันแล้วละก็ มึงไม่ตายกูก็ตายละวะ ให้จบเรื่องกันไปแค่นั้น
    พอไปเอาเข้าจริงๆ ความคิดมันผิดความคาดหมาย หลวงตาที่ฉันว่านั้นเป็นหลวงพ่อของหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ โอ๊ะ ท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่น่าเคารพเลื่อมใสอยู่ ท่านมีอุปนิสัยเหมือนหลวงพ่อเราของเรานี่แหละ อ่อนน้อมถ่อมตนดีมาก พอเห็นหมู่คณะไปหา ท่านก็รีบลงมาตอนรับด้วยความยินดี เพราะท่านอยู่คนเดียว พอท่านส่งภาษาภาคอิสานลงมาให้เราได้ยินนี่ เหมือนอยู่ในความมืดแล้วเจอแสงสว่าง จ้าาา...ขึ้นมาทีเดียว มันเหมือนกับอีกโลกหนึ่ง เออ ! กูไม่ตายแล้วคราวนี้ นั่นปี พ. ศ. 2498 พอดีในระยะนั้นเป็นวันบูรพาจารย์ครูอาจารย์ทั้งหลายมาประชุมกันแทบทั้งหมดที่วัดป่าสุทธาวาส (จ.สกลนคร) หลวงพ่อท่านจึงอยู่เฝ้าวัด
    ๏ อยากสึก !
    ครั้งหนึ่งต่อสู้กับความอยากที่ว่า มีคนเอาเสื้อ เอากางเกงมาให้ อยากให้สึก และชวนไปทำมาหากิน จับจองที่ดิน บางครั้งนี่ก็ยินดี ความพอใจมันเกิดขึ้นนะ เรื่องของความอยากนี่ บางครั้งมีคนชวนไปทำงานโรงเลื่อยเงี้ย ก็เลยเป็นเหตุให้เกิดความอยากก็คืออยากร่ำอยากรวย อยากเป็น คืออยากจะเป็นฆราวาสเพื่อออกไปหาเอาที่ดิน หรือไม่ความอยากนี่ ความคิดสองอย่างนี่มันรบกันอยู่ การต่อสู้กับความอยากนี้มันไม่ใช่ธรรมดา สู้ไหวหรือไม่ไหว สึกดีหรือไม่สึกดีนี่ มันสู้กันอยู่ เพราะคนที่มานี้เขายินดีเขาพอใจ คนมีกิเลสนี่มันก็เกิดความยินดี เวลามันอยากได้อยากมี
    อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องการไปเรียนหนังสือ ดีหรือไม่ดีนี่ ความคิดอย่างนี้ท่านเจ้าคุณวัดบวรมงคลได้ชวนไปเรียนหนังสือ แต่ไม่มีปัญหาอะไรมันตัดสินใจได้ง่าย เพราะมันเห็นโทษทันทีเลยตัดสินใจได้ง่าย ไม่นานหลายวัน เพราะว่าเมื่อไปเรียนหนังสือแล้วเราต่อสู้กับสิ่งแวดล้อมไม่ได้ จะสึกเร็ว ส่วนการต่อสู้กับความอยากได้นี่ อยากมีทรัพย์สมบัติ อันนี้ต่อสู้ ม้าก...ก ที่สุดเลย เกือบเป็นเกือบตายพอๆ กัน
    แต่ผลสุดท้ายก็เห็นว่าคนมีแล้วเขามีความสุขที่ตรงไหน เขาร่ำรวยมั่งมี มีเงินหมื่นเงินล้านแล้วนี่ ! ก็เห็นมันเป็นทุกข์อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ ทีนี้เรามาระลึกว่าสิ่งที่เราอยากได้นี่ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ของเราก็คงมีมาพอสมควร ไม่ร่ำรวย พออยู่ พอกิน แต่เรื่องการทำทานนี่ทำเท่าไรก็ไม่พอ ก็เบื่อหน่ายเหมือนกัน ให้เท่าไหร่ก็ไม่พอ พอได้ให้ก็มีคนมาเอาคนทำนี่มันทำยาก คนรับนี่มันรับง่าย เลยตัดสินใจง่าย ถึงแม้ว่าจะมีสมบัติให้ทานนี่มันเป็นทุกข์อยู่นะ ไม่ใช่ความสุขที่เคยมีมาแล้ว ความเป็นมาแล้วในชีวิต ก็เลยตัดสินใจว่าไม่เอา
    ถ้าเอาในสิ่งที่อยากได้มันก็จะเป็นทุกข์ใหญ่ ภัยอันตรายก็จะมีกับชีวิต ความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็จะเกิดขึ้นเพราะเราทำบุญทำบาปนี่แหละ ไม่ใช่ว่าเราจะทำแต่บุญนะ เราทำบาปไปด้วย มาทำบุญแล้วก็มาทำบาปอีกหลายอย่างนะ มาคิดทบทวนดูเรื่องเหล่านี้แหละ จนความอยากได้นี่พอจะเห็นโทษเห็นภัย เลยยอมแพ้ ตัดใจไม่สึกดีกว่า
    ถ้าพูดจริงๆ การต่อสู้กับความยินดีความพอใจ คือ ความโลภ โลภะ ความอยากนี่ เราอย่ามองมุมเดียว แค่มีความเจริญรุ่งเรือง เราต้องมองมุมกลับกันด้วย สิ่งที่เรายินดีพอใจ เราอยากได้เนี่ย ทีนี้คนส่วนมากจะมองแต่ในแง่ดีอย่างเดียว มันไม่มองเห็นในแง่ร้าย ผู้มีปัญญาจะมองในแง่ร้าย ให้เห็นโทษเห็นภัยในสิ่งที่เราพึงพอใจ ด้วยความยินดี ความยินร้าย ทั้งสองอย่างนี่ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งสิ้น ยังไม่เป็นธรรม มันยังไม่ใช่ธรรม ถ้ามันเป็นธรรมนี่เราจะต้องเห็นทั้งคุณและโทษ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีทั้งคุณและโทษอยู่ด้วยกัน
    ข้อสำคัญนี่ ทำยังไงเราจึงจะมีปัญญา เกิดความรู้ความฉลาดว่า สิ่งต่างๆ นั้นมันไม่ดี มันเสียอย่างไร เราจะต้องรู้จักแยกแยะความดีกับความไม่ดีออกจากกัน ตามกาลตามเวลาของสิ่งนั้นๆ เวลาหนึ่งอาจเป็นอย่างหนึ่ง เวลาหนึ่งอาจเป็นอย่างหนึ่ง เวลาหนึ่งอาจเจริญ เวลาหนึ่งอาจเสื่อมได้ ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้ คือเราพิจารณาอนิจจังด้วยตัวมันเอง เออ ! อะไรก็ตามไม่ใช่มันจะเจริญเสมอไป ไม่ใช่ว่ามันจะเสื่อมเสมอไป ทำใจไว้ให้กลางๆ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดี พูดอะไรก็ดี ก็จะไม่ทำแบบสุดๆ พูดไม่แบบสุดๆ ถ้าเราทำแบบสุดๆ ก็เท่ากับคนขึ้นต้นไม้ไกล
     
  7. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ขอร่วมกุศลด้วย100 บาทครับถวายพระพุทธรุปต่อพ่อแม่ครุบาอาจารย์ตครับ
    กราบอนูโมทนาสาธุการในกุศลทั้งปวงกับท่านและทุกท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ จะโอนเข้าบชก่อนวันกำหนดครับ
     
  8. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    สาธุครับ จะถวายพระกรรมฐาน ทุกเดือน เป็นอย่างน้อยครับ
     
  9. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    <TABLE style="WIDTH: 296pt; BORDER-COLLAPSE: collapse" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=395><COLGROUP><COL style="WIDTH: 111pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 5412" width=148><COL style="WIDTH: 77pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 3766" width=103><COL style="WIDTH: 108pt; mso-width-source: userset; mso-width-alt: 5266" width=144><TBODY><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; WIDTH: 111pt; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext 0.5pt solid; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl63 height=35 width=148>วันที่</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; WIDTH: 77pt; BORDER-TOP: windowtext 0.5pt solid; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl63 width=103>ยอดเงิน</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; WIDTH: 108pt; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8" width=144></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl64 height=35 align=right>23/8/2011</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl65 align=right>200.00</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl64 height=35 align=right>23/8/2011</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl65 align=right>1,500.00</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl64 height=35 align=right>24/8/2011</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl65 align=right>300.00</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl64 height=35 align=right>24/8/2011</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl65 align=right>200.02</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl64 height=35 align=right>25/8/2011</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl65 align=right>20.00</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl64 height=35 align=right>25/8/2011</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl65 align=right>200.00</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl66 height=35>ยอดรวม</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: #92d050; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl67 align=right>2,420.02</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl68 height=35 align=left>ถวายพระพุทธรูป </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: yellow; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl69 align=right>1,820.02</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #d4d0c8; BORDER-LEFT: #d4d0c8; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: #d4d0c8; BORDER-RIGHT: #d4d0c8"></TD></TR><TR style="HEIGHT: 26.25pt" height=35><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext 0.5pt solid; BACKGROUND-COLOR: transparent; HEIGHT: 26.25pt; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl68 height=35 align=left>ซื้ออาหาร+ทำบุญ</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: #fcd5b4; BORDER-TOP: windowtext; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl70 align=right>600.00</TD><TD style="BORDER-BOTTOM: windowtext 0.5pt solid; BORDER-LEFT: windowtext; BACKGROUND-COLOR: transparent; BORDER-TOP: windowtext 0.5pt solid; BORDER-RIGHT: windowtext 0.5pt solid" class=xl68 align=left>คุณแอนและคุณอรุณี</TD></TR></TBODY></TABLE>

    เงินที่เกินมา จะนำไปสมทบทุนเช่าพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม เดือนหน้า ถวายครูบาอาจารย์องค์อื่นๆ อีกต่อไป
    บริจาคได้เรื่อยๆ ครับ
    ถึงวันที่ 2 กันยายน 54
     
  10. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ หน้าตัก 5 นิ้ว
    ใช้ถวายแบบเดียวกับที่ถวายหลว่งปู่สมภาร ปัญญาวโร นะครับ
    วันศุกร์ หรือ วันเสาร์ จะไปเช่ามาแล้วครับ
    แนบภาพมาให้ชมกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_0382.jpg
      100_0382.jpg
      ขนาดไฟล์:
      269.6 KB
      เปิดดู:
      60
    • 100_0386.jpg
      100_0386.jpg
      ขนาดไฟล์:
      5.4 MB
      เปิดดู:
      52
  11. Piticha

    Piticha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +2,057
    :cool:
    โมทนาสาธุค่ะ ไปทุกเดือนเหมือนกันค่ะ :cool:
    หลวงปุ่วงศ์ท่านจะหล่อพระพุทธชินราช ว่าจะนำทองเหลืองไปถวายท่านเหมือนกันค่ะ

    ....หล่อพระพุทธชินราช หน้าตัก ~2.9 เมตร เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งจะประดิษฐานไว้ที่ศาลาปฏิบัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณรและอุบาสกอุบาสิกา และสร้างศาลาปฎิบัติธรรมเพื่อให้ชาวบ้านได้เข้ามาปฏิบัติธรรมกันมากขึ้น
     
  12. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    สาธุครับ ที่แจ้งข่าวสารหล่อพระ เดี๋ยวจะเตรียมไปถวายท่านด้วยครับ ถ้ามีโอกาส คงได้พบกันนะครับ ที่วัดพุทธบูชา
    ผมเองก็ไปทุกเดือนครับ ใกล้ๆ บ้าน ไปถวายภัตตราหารและกราบครูบาอาจารย์ เอาบุญ เอากุศลใหญ่
     
  13. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    และ ขอประกาศความดี และ อานิสงส์แห่งการถวายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมนี้ แด่ คุณภูริตา ศุกรินทร์ จ.นครราชสีมา (ทราบว่า บกพร่องทางร่างกาย เดินไม่ได้) ประสงค์จะอยากได้บุญกุศลตรงนี้ เลยโทร.มาแจ้ง กับ ผมว่า ขอรับเป็นเจ้าภาพ คนเดียว 1 องค์ เจาะจง ถวายหลวงพ่อทอง จันทสิริ วันที่ 3 กันยายน นี้
    สรุป วันที่ 3 ก.ย.54 นี้ที่วัดพุทธบูชา ถวายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องจักรพรรดิ์ หน้าตัก 5 นิ้ว แด่ครูบาอาจารย์ 2 องค์<O:p</O:p
    คือ หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล จ.สกลนคร<O:p</O:p
    และ หลวงพ่อทอง จันทสิริ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ<O:p</O:p

    สาธุบุญกับทุกท่านนะครับ<O:p</O:p
     
  14. Lek2010

    Lek2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    8,925
    ค่าพลัง:
    +42,467
    ร่วมทำบุญถวายพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิ์ หน้าตัก 5 นิ้ว (เนื้อโลหะ) แด่ หลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    อนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยค่า

    <table class="MainTb" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr class="SwapR"><td class="LeftCL">เลขที่บัญชีผู้รับโอน</td> <td colspan="2" class="RightCL">186-4-12959-6</td> </tr> <tr class="SwapBR"> <td class="LeftCL">ธนาคารผู้รับโอน</td> <td colspan="2" class="RightCL">ธ.กรุงเทพ - BBL</td> </tr> <tr class="SwapR"> <td class="LeftCL">ชื่อบัญชีผู้รับโอน</td> <td colspan="2" class="RightCL">SUWAN KATCHAT</td> </tr> <tr class="SwapBR"> <td class="LeftCL">จำนวนเงิน</td> <td colspan="2" class="RightCL">40.00</td> </tr> <tr class="SwapR"> <td class="LeftCL">ค่าธรรมเนียม </td> <td colspan="2" class="RightCL">0.00</td> </tr> <tr class="SwapBR"> <td class="LeftCL">วันที่ได้รับยอดเงินโอน</td> <td colspan="2" class="RightCL">29/08/2011 17.30 น.</td> </tr> <tr class="SwapR"> <td class="LeftCL">วันที่ตัดยอดเงินจากบัญชี</td> <td colspan="2" class="RightCL">29/08/2011</td> </tr> <tr class="SwapBR"> <td class="LeftCL">หมายเลขอ้างอิงรายการ</td> <td colspan="2" class="RightCL">tmbi12006716</td></tr></tbody></table>

     
  15. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962

    สาธุครับ คุณ lek 2010
    ให้ได้รับอานิสงส์ทั่งหมด ทั้งมวลครับ
     
  16. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    เมื่อวานนี้ ๓๑/๘/๒๕๕๔ โอนเงินร่วมบุญ จำนวน ๑๐๐ บาท ค่ะ
    สาธุ ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะเจ้าคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2011
  17. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    สาธุครับ รับทราบครับ
    ขอให้ได้อานิสงส์
    บารมีของพ่อแม่ครูอาจารย์ ด้วย พร้อมกัน
     
  18. ohm0444

    ohm0444 นิพพานปัจจุบัน

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    501
    ค่าพลัง:
    +1,298
    อนุโมทนา สาธุครับ

    วันที่ 1 กันยายน 2554 ร่วมทำบุญทุกอย่าง 100 บาทครับ โอนไปแล้ว วันนี้ หักค่าธรรมเนียม 20 บาท เหลือเข้าบัญชี 80 บาท ผมขอร่วมทำบุญทุกอย่างครับ อนุโมทนา สาธุ กับทุกท่าน ทุกบุญ ทุกกุศล สาธุ สำเร็จทุกประการ
     
  19. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    สาธุครับ
    อนุโมทนาบุญครับ
     
  20. บัวผลิหน่อ

    บัวผลิหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,264
    ค่าพลัง:
    +14,962
    ปิดรับบริจาค
    การถวายองค์พระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ์
    ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว แด่พ่อแม่ครูอาจารย์ ในวันที่ 3 เดือน ก.ย.นี้นะครับ
    สรุป ถวาย 2 องค์ครับ
    องค์ที่ 1 ถวายหลวงพ่อคำบ่อ ฐิตปัญโญ วัดใหม่บ้านตาล จ.สกลนคร
    องค์ที่ 2 ถวายหลวงพ่อทอง จันทสิริ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ

    ทุกท่านที่ทำบุญ และ เข้ามาอ่านกระทู้ ร่วมกันตั้งจิต อนุโมทนาบุญร่วมกันนะครับ
    ส่วนท่านใด ที่ไปวัดพุทธบูชา เห็นการถวายพระพุทธรูปแด่ครูบาอาจารย์
    สามารถ ขอถวายร่วมกันได้เลย ไม่ปิดกั้นบุญกันครับ
    แล้วพบกันที่วัดพุทธบูชา วันที่ 3 นี้นะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...