ชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์

หลังไมค์ หรอจ้ะ

 

pm ไปแล้วครับ

 

องค์ส่วนองค์ มนุษย์ส่วนมนุษย์ พวกหลงว่าตัวเองมีองค์ ทนงตัวคุยฟุ้ง ภายหลังจะเพี้ยน เห็นมามากแล้ว

 

ก็อยู่มานานไม่เห็นจะเพี้ยนอะไร

 

เรียนท่านthontho

ตามที่ท่านกล่าว ว่า"องค์ส่วนองค์ มนุษย์ส่วนมนุษย์ พวกหลงว่าตัวเองมีองค์ ทนงตัวคุยฟุ้ง ภายหลังจะเพี้ยน เห็นมามากแล้ว"

มนุษย์ส่วนมนุษย์ เทพส่วนเทพ นั้นถูกต้องจ้ะ และขอบคุณในความหว่งใย ที่เป็นห่วงกลัวว่าบุคคลเหล่านั้นจะเพี้ยน แต่ขอความกรุณาอย่าปรามาส ว่า ท่านเหล่านั้นหลงตนเอง บุคคลย่อมแตกต่างกันนะจ้ะ อย่าเหมารวม บุคคลที่ท่านเห็นมาอาจขาดสติในการควบคุมตน ก็เป็นไปได้นะจ้ะ

ดังนั้น ท่านควรหมั่นชวนบุคคลที่ท่านเเห็นว่าเพี้ยน ให้เจริญสติให้มากๆๆ หรือ ไม่ ท่านก็ควรจะเจริญสติไปด้วยก็ยิ่งดีจ้ะ

 

เข้ามาทักทายครับ
ขอบคุณสำหรับกิจกรรม วันเสาร์ที่12มิถุนายน2553
และยินดีที่ได้รู้จักกับสหายธรรม ของชมรมนักปฏิบัติธรรมและคนมีองค์ทุกท่านครับ
hi5 - มหาเดวี แห่งหริหราลัย HariHaraLai

 

ยินดีกับทุกๆ ท่านที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้
อย่างน้อยที่สุด ทุกคนก็ได้มาร่วมกันสร้างบุญกุศล
ได้พบปะญาติธรรม มีแต่รอยยิ้ม ไมตรีจิต และความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน

ความรู้ และประสบการณ์ เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง
ที่ได้ร่วมกันร่วมสร้างสรรค์ เพื่อที่จะเผยแพร่เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความดีงาม
ขอทุกๆ ท่านประสบแต่ความสวัสดิ มีชัย
เจริญไปด้วยอายุ วรรณ สุขขัง พลัง และโภคทรัพย์

 

ที่ท่านพูดที่ท่านคิดเพราะจิตไม่ได้อยู่กับตน

 

กิจกรรมครั้งนี้ผมได้อะไรกลับมามากจริงๆ ครับ(ถึงแม้ช่วงท้ายๆ ได้ขอตัวกลับก่อน)
เพราะความรู้สึกก่อนไปแค่อยากจะไปดูเฉยๆ ว่าเค้าทำอะไรกัน พิธีเป็นไง มีคนทักว่าเรามีองค์ แค่อยากจะรู้เฉยๆ ว่าองค์ไหน มาทำไม แค่นั้นจริงๆ ครับ

แต่ตอนนี้สิ่งที่ไม่รู้ ก็ได้รู้ สิ่งที่ไม่เคยเห็น ก็ได้เห็น สิ่งที่คิดว่างมงายไร้สาะ ล้าสมัย กับเป็นสิ่งที่ ทันสมัย ล้ำยุค ยากที่จะหาวิวัฒนาการของเทคโนโลยีใดๆ มาพิสูจน์ และสิ่งที่อยู่ในความจริง ก็ยังมีสิ่งที่เหนือสิ่งนั้นยิ่งกว่า....
และในกิจกรรมครั้งนี้ทำให้ผมได้เห็นความจริง ว่าเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ หรือที่เราเรียกว่า "องค์" นั้นไม่ใช่หัวใจ ไม่ใช่แก่นสารหลักที่จะต้องนำมาเป็นสรณะในการดำเนินชีวิต ผมไม่คิดแล้วครับที่จะต้องไปขนขวาย หมกหมุ่น ถามคนนั้นคนนี้ คนทรงเจ้าที่นั้นที่นี่ ว่าเป็นองค์ไหน มีจริงมั้ย เพราะผมคิดว่ามนุษย์ทุกคนในโลกใบนี้ มีองค์กันทุกคน แต่องค์ไหน บารมีใดจะมีวาระมาอยู่หรือจะสื่อให้เราเห็น หรือรู้จักนั้น เราต้องมองที่ตัวเราก่อนว่าร่างเรานั้นเป็นอย่างไร เพราะต้องสะอาดจริงๆ ไม่ใช่สะอาดแค่ร่างกาย แต่ต้องสะอาดไปถึงจิต ถึงวิญญาน ต้องนิ่ง สงบระงับอย่างที่สุดของที่สุดเลยครับ หรือเรียกว่าสมาธิหรือพลังจิตต้องถึงจริงๆ

ซึ่งได้มีมนุษย์คนหนึ่งที่ค้นพบวิธีการนี้สำเร็จเป็นคนแรก พร้อมได้บันทึกความรู้ ความสำเร็จ วิธีการปฏิบัติทั้งหมดเป็นที่ประจักษ์ บนหลักฐานต่างๆ เท่าที่มนุษย์จะมองเห็นจะสัมผัสได้มากว่า 2500 ปีแล้ว และคนที่คนพบเส้นทางสายเอกนี้คือ "Buddha หรือ พระสมณโคดม หรือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" นั่นแล

ขอบคุณคุณภราดรภาพครับ และอนุโมทนา สำหรับทุกสิ่ง ทุกอย่างที่พี่ได้ทุ่มเทในกิจกรรมครั้งนี้เพื่อพวกเราโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเวลา สถานที่ ทั้งอาหารของกาย และสมอง ซึ่งไม่ได้หวังผลประโยชน์ด้านลาภ เงินทองสักการะตอบแทนใดๆ เลยจากพวกเราเลย...น่าทึ่งจริงๆ

 

----------ประสบการภวนาครั้งที่ 1 คนมีองค์------------------------
วันนี้ผมได้ไปเหมือนกันครับ ขอร่วมปันประสบการณ์ดังนี้
10:00 ไปถึงสถานที่ และท่านประธานพีธี กำลังทำพีธี ชมบารมีของแต่ละท่าน ร่วมกับผู้ร่วมงานทุกท่าน
ได้เห็นองค์มหาเทพ พระนาราย์ พระศิวร เทพเจ้าที่ เทพจีน เทพธิเบต ลง เพราะองค์ลง ท่านจะพูดภาเทพ มีการแสงท่าสัญลักษณ์ของแต่ละองค์ด้วย
10:30 ผมได้เข้าพีธีเปิดองค์ บารมี พอท่านประธานเชิญองค์ลง ผมรู้สึกมีแสงกรพริบที่ตาที่ 3 และ ตากระตุก ท่านประธานพีธี พูดองค์เทพต่าง ๆ จิตไม่รู้สึกอะไร แต่น้ำตาไหลตลอดเวลาเลยในระหว่างที่ทำพีธี
ในระหว่างนั้นท่านประธานบอกว่า มีหลายองค์บอก ทางธิเบต ทางภารตะ ทางพุทะ และอื่นๆ อีกมากมาย
ท่านประธานได้ถามว่าองค์ คือใคร มีจิตหนึ่งผุดขึ้น กลางใจผม ซึ่งไม่ใช่จิตผมแน่นอน บอกว่า เราไม่บอก
ท่านประธานถามว่า เป็นพระปิยใช่ใหม่ ถ้าใข่ให้พยักหน้า ผมรู้สึกหัวหมุน ๆ และ พยักหน้ารับ หลังจากนั้นท่านประธานส่งเสด็จองค์กลับ
10:00-11:00 ชมบารมีองค์อื่นต่อไป บางคนองค์ก้อลง บางคนองค์ไม่ลง
11:00-12:00 รับประธานอาหาร
12:00-13:30 บรรยายเรื่องจิต จักวาน ชมวิดีโอ และเล่าประสบการสู่การฟัง
( โชคดี ที่ผมได้ดู VD0 นี้มาก่อนแล้วจึงเข้าใจ )
13:30-14:00 หนังสมาธิ
( ช่วงนี้ รู้สึกขันธมาร ความปวดเมื่อยตามร่างกายมาเต็มไปหมด ปกติจะไม่เป็น ทำให้นั่งแล้วรู้สึกกระสับกระส่าย ทำให้สมาธิจิตไม่ค่อยดีนั ก )
14:00-14:30 ท่านประธานตรวจการบ้าน
14:30 แยกย้ายกลับบ้าน
----------------------------------------------------------------
**************ความคิดเห็นส่วนตัว*****************

 

----------ประสบการภวนาครั้งที่ 1 คนมีองค์------------------------
วันนั้นผมได้ไปเหมือนกันครับ ขอร่วมปันประสบการณ์ดังนี้
10:00 ไปถึงสถานที่ และท่านประธานพีธี กำลังทำพีธี ชมบารมีของแต่ละท่าน ร่วมกับผู้ร่วมงานทุกท่าน
ได้เห็นองค์มหาเทพ พระนาราย์ พระศิวร เทพเจ้าที่ เทพจีน เทพธิเบต ลง เพราะองค์ลง ท่านจะพูดภาเทพ มีการแสงท่าสัญลักษณ์ของแต่ละองค์ด้วย
10:30 ผมได้เข้าพีธีเปิดองค์ บารมี พอท่านประธานเชิญองค์ลง ผมรู้สึกมีแสงกระพริบที่ตาที่ 3 และ ตากระตุก ท่านประธานพีธี พูดองค์เทพต่าง ๆ จิตไม่รู้สึกอะไร แต่น้ำตาไหลตลอดเวลาเลยในระหว่างที่ทำพีธี
ในระหว่างนั้นท่านประธานบอกว่า มีหลายองค์ ทางธิเบต ทางภารตะ ทางพุทธะ และอื่นๆ อีกมากมาย
ท่านประธานได้ถามว่าองค์ คือใคร มีจิตหนึ่งผุดขึ้น กลางใจผม ซึ่งไม่ใช่จิตผมแน่นอน บอกว่า "เราไม่บอก"
ท่านประธานถามว่า เป็นพระปิยใช่ใหม่ ถ้าใช่ให้พยักหน้า ผมรู้สึกหัวหมุน ๆ และ พยักหน้ารับ หลังจากนั้นท่านประธานส่งเสด็จองค์กลับ
10:00-11:00 ชมบารมีองค์อื่นต่อไป บางคนองค์ลง บางคนองค์ไม่ลง
11:00-12:00 รับประธานอาหาร
12:00-13:30 บรรยายเรื่องจิต จักวาล ชมวิดีโอ และเล่าประสบการสู่การฟัง
( โชคดี ที่ผมได้ดู VD0 นี้มาก่อนแล้วจากที่อื่นจึงเข้าใจ )
13:30-14:00 นั่งสมาธิ
( ช่วงนี้ รู้สึกขันธมาร ความปวดเมื่อยตามร่างกายมาเต็มไปหมด ปกติจะไม่เป็น ทำให้นั่งแล้วรู้สึกกระสับกระส่าย ทำให้สมาธิจิตไม่ค่อยดีนั ก )
14:00-14:30 ท่านประธานตรวจการบ้าน
14:30 แยกย้ายกลับบ้าน
----------------------------------------------------------------
**************ความคิดเห็นส่วนตัว*****************
1 มนุษย์ ทุกคนมีองค์กันทุกคน ไม่ใช่เรื่องแปลก องค์ในที่นี้หมายถึง เพื่อน ญาติ มิตร ครู อาจารย์ ที่อยู่ในโลกทิพ นั้นแหละที่มาดูแลเรา เมื่อก่อนเราได้อยู่ในโลกทิพย์ ที่มีความสัมพันธ์กับท่าน ไม่ว่าทางใด ทางหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเรามาเกิด เพื่อมาบำเพ็ญบารมี ท่านก้อตามมาคุ้มครอง ปกป้อง รักษา เหมือนพี่เลี้ยงให้เราอยู่ใน ทางกุศล
2 ผมนับถือสิ่งศักสิทธิทุกรูปทุกนาม ที่เป็นสัมมาทิฐฐิ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมากันหลายองค์
3 องค์แต่ละองค์ในโลกทิพย์ มีกรรมหรือมีวาระที่ต้องดูแลในแต่ละช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ตามกฏแห่งกรรม จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ที่จะไปเจอคนทัก ในองค์ที่แตกต่างกัน ในแต่ละช่วงเวลา
4 ถ้าเรารู้จักปล่อยวางมากขึ้นเท่าไหร่ องค์เทพ หรือสิ่งศักสิทธิ์ที่ดูแลเราจะเปลี่ยน ไป ตามภูมิธรรมของเรา
5 คนมีองค์ คุ้มครอง หรือ เทพคุ้มครอง จะมีองค์บารมีแตกต่างกันจากน้อยไปหามาก เราไม่ควรจะยึดองค์บารมี หรือเทพใดเป็นพิเศษ แต่ต้องเข้าใจว่าเมื่อท่านดูแลเรา เมื่อเราแผ่กระแสบุญ ท่านสามารถรับบุญได้จากการอนุโมทนา

บทสรุบเรื่อง คนมีองค์ สำหรับผมเอง คือ
1 รับรู้ว่าท่านมีอยู่จริง ท่านช่วยคุ้มครองเรา เมื่อไหร่ที่เราทำความดี เราต้องแผ่ หรือ ถวายบุญให้ท่าน เป็นปฏิบัติบูชา
2 ไม่ควร รับ ท่าน เข้ามาใช้ขันธ์ 5 ร่วมกับ เรา . ไม่ต้องไปยึดองค์ไหน ให้นับถือทุกองค์ที่เป็นสัมมาทิฐฐิ และขอให้ท่านช่วยคุ้มครอง ปกปักรักษา ให้พ้นจากอุบุติเหตุ หรือ เรื่องไม่ดีต่างๆ
( บางครั้งท่านช่วยเราไม่ได้ ตามหลักกฏ แห่งกรรม แต่ตัวเราช่วยตัวเองได้ ด้วยการปฏิบัติธรรม และ แผ่ไปให้เจ้ากรรม นายเวร เรา ให้เขามีความสุข พ้นทุกข์ และกลับใจมาเป็นกัลยามิตร เรา)
3 เราต้องฝึกปล่อยวาง เพื่อ กลับสู่ความว่าง นิพพาน สุญญตา จิตจักวาลใหญ่ ทุกๆ ดวงจิต ไม่ว่าเทพ พรหม หรือ องค์ไหน ๆ ในจักวาลนี้ ล้วนมาจากที่เดียวกัน ปล่อยว่าง ความยึดมั่น ถือมั่น ในลักษณะต่างๆ ให้จิตเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง และกลายเป็นจิตประภัสสรในเร็ววัน

 

ท่านประธานเปิดโครงการเมื่อไหร่ บอกด้วยนะครับ ผมจะเฝ้าติตตาม ถ้าไปได้ ผมจะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ รอบ 2 ของผมครับ และมาเล่าสู่กันฟังใหม่

 

ขอบคุณ คุณจิตอิสระมาก ที่ได้แสดงความเห็นและเข้าใจถึงสภาวะของคนมีองค์

ทุกครั้งที่มีกิจกรรม ผมจะไม่บอกกล่าวเป็นนัยว่า มีการเชิญองค์ แต่ต้องการเปิดบารมี โดยมุ่งเน้นให้นักปฏิบัติธรรมได้เจริญพระกรรมฐานแห่งวิชชาสามต่อพระบรมศาสดา ว่าด้วยอภิญญาสามแห่งพระสัมมาสัมโพธิญาณ ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นพิธีกรรมแห่งวิชชาสาม

1. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (อดีตังสญาณ) ระลึกชาติได้
2. ทิพพจักขุญาณ หรือ จุตูปปาตญาณ ตาทิพย์ และรู้จุติปฏิสนธิของสัตว์ทั้งหลาย
3. อาสวักขยญาณ รู้วิชาที่ทำให้สิ้นกิเลสและอาสวะ

จึงจำเป็นต้องมีพิธีกรรมนี้ขึ้น เพื่อให้นักปฏิบัติธรรมได้ทราบและเข้าใจเสียก่อน ที่จะเข้าถึงสภาวะของจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยการเปิดองค์บารมีให้กับคนมีองค์ที่มีจิตสัมผัสได้แล้ว ส่วนคนที่ยังสัมผัสไม่ได้หรือได้แต่แผ่วเบาก็จะแนะนำให้ไปฝึกสมาธิและชำระจิตเพื่อเตรียมความพร้อมในโอกาสต่อไป

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า กายมนุษย์นั้นเปรียบเหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ย่อมสกปรก แต่จิตที่สะอาดและได้รับการฝึกฝนเท่านั้น ย่อมมีจิตสัมผัสได้ พูดง่ายๆ ก็คือ แม้นกายสกปรกอย่างไร แต่ก็อย่าให้ใจเราสกปรกก็เพียงพอแล้ว เวลาเขาจะดูความดีงามของคน เขาไม่ดูที่กาย แต่เขาจะดูที่จิตใจหรือพลังแห่งชีวิต สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงจะมาให้สัมผัสได้

เมื่อองค์ประธานส่งอณูทิพย์แห่งจิตสัมผัสให้กับร่าง ร่างก็สามารถจะรับรู้ถึงพลังที่เหนือสามัญวิสัย บ้างก็แสดงอัตลักษณ์ให้เห็นเป็นเนื้อนาบุญ บ้างก็กล่าวเป็นภาษาเทพ พรหม พุทธะ ที่สามารถสื่อสารกันได้ ไม่ว่าจะเป็นภาษาเทพเทวัญ ภาษาภารตะ ภาษาจีน ภาษาไทย ภาษาทิเบต อันนี้ ก็แล้วแต่บุพกรรมที่เกี่ยวพัน

หากคนใดยังไม่เคยประสบด้วยตนเอง ก็ยากที่จะเข้าใจกับสิ่งนี้ ดั่งคำว่า สิบปากว่า ไม่เท่ากับตาเห็น สิบตาเห็น ก็ไม่เท่ากับการได้สัมผัส

เมื่อจิตสัมผัสกับสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ไม่ต้องไปยึดติดกับการมีองค์บารมี เพียงแต่มองเห็นและเข้าใจถึงสภาวะนี้ เช่นเดียวกับการตามจิต เมื่อเข้าใจจิตตัวเองแล้ว ก็มองย้อนกลับไปเห็นสภาวะจิตนั้นอีกครั้ง เราต่างมุ่งมั่นฝึกจิตเราให้เกิดพลังแห่งชีวิต เพื่อที่จะนำปัญญามาใช้ตัดสินใจในการแก้ปัญหาต่อไป

การบรรยายมุ่งเน้นการภาวนา ทั้งแบบ สติภาวนา สมาธิภาวนา และปัญญาภาวนา รวมถึงเรื่องพลังแห่งชีวิตและพลังเอกภพ ส่วนการเจริญสมาธิ ก็แล้วแต่จริตของผู้ปฏิบัติ โดยจะบอกแนวทางเลือกที่เหมาะสมกับจริตตน เพราะการจะบรรลุธรรมหรือมรรคผลได้ ก็จะต้องเป็นไปตามจริตเป็นสำคัญ

จากนั้นก็จะมีการสอบอารมณ์ของผู้ปฏิบัติ ไม่ว่าจะเข้าฌาน ประคองฌาน หรือออกฌาน จนถึงการเข้าสมาบัติ ตั้งแต่ฌาน 5 - 8

ส่วนการสนทนานั่นเป็นไปในลักษณะการแลกความรู้และ เปลี่ยนประสบการณ์ โดยการโต้ตอบและสนทนาธรรมอย่างมีอรรถรส

สำหรับใครจะเห็นเป็นอื่น หรือชอบติเตียนคนมีองค์ ติเตียนคนมีญาณบารมี ก็อยากให้รับรู้และเข้าใจถึงสภาวะ แต่ก่อนจะติเตียนผู้ใด ก็ควรดูจิตตนเองให้ดีเสียก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุป โดยปราศจากความเข้าใจอย่างแท้จริง

 

สาธุ สาธุ สาธุ

ขอบคุณครับ
ท่าน ภราดรภาพ มีวิธีการฝึกวิชา 3 อย่างไร ช่วยกรุณา บอกทาง Web หรือ ทาง PM มาให้ผมด้วยครับ
ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยทั้ง 3 กาลเป็นประธาน จงอำนวยพรให้คุณ ภราดรภาพ เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุข พละ
เอกะ จิตตัง รัตตะนัง
เปตา ปารมี กุศลานัง ปุญญัง

 

<CENTER>วิชาสาม</CENTER>
1. ในพระพุทธศาสนา
@ู ความรู้เบื้องสูงในพระพุทธศาสนา ตามเนื้อความในพระบาลี มีทั้งหมด ๘ ประการ ฯ หากกำหนดไว้เพียง ๓ ประการ เข้าใจได้ทันทีว่าเป็น วิชชา ๓ หมายถึง องค์ความรู้ประเสริฐ ๓ อย่าง ได้แก่ รู้ระลึกชาติได้ ๑ รู้วันเกิดตายของสัตว์ ๑ รู้ดับกิเลสให้สิ้นเชิง ๑

2. ในศาสนาพราหมณ์
@ู ความรู้เบื้องในศาสนาพราหมณ์ เรียกว่า ไตรเพท เป็นเนื้อหาวิชาที่มีอยู่ในพระคัมภีร์พระเวท ๓ บรรพ์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สามเวท มี การสวดคาถาบูชาเทวดา เป็นอาทิ ซึ่งไม่นับอาถรรพ์เวท (ไสยศาสตร์) ไว้ในความหมายนี้ ฯ

ไตรเพทนี้มีกล่าวถึงไว้ในพระสูตรเหมือนกัน ในลักษณะว่าพระโพธิสัตว์และพระอรหันต์ฉฬภิญโญหลายรูป เคยศึกษาไตรเพทจนแตกฉาน (ถึงที่สุดแห่งเพท) ในอดีตชาติ แลมีโอกาสพบพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งมาก่อน จึงได้มาเกิดเป็นพระอรหันต์ ฯ

อนึ่ง สำหรับท่านผู้อ่านที่หวังได้พบพระพุทธเจ้าในชาตินี้ อาจพิจารณาเคล็ดลับดังต่อไปนี้:

- สิทธิการิยะ บุคคลผู้ปรารถนาจะพบเห็นพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ในชาตินี้ ท่านให้พิจารณาดูพระคาถาหัวใจพระเจ้าห้าพระองค์ คือ นะ โม พุท ธา ยะ
- สิทธิการิยะ บุคคลผู้ปรารถนาเปิดภาคเอกภพและพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ท่านให้พิจารณาด้วยมนตรา คือ โอม นะ โม พุท ธา ยะ

ขออาราธนา มนตราแห่ง โอม แทน สรรพสิ่งแห่งเอกภพ ขออัญเชิญเสด็จประทับเหนือกล้าเหนือกระหม่อม
ขออาราธนา มนตราแห่ง นะ แทน พระไวโรจนะพุทธเจ้า (กกุสันโธ) ขออัญเชิญเสด็จประทับ ณ พระนาลาฎ (หน้าผาก)
ขออาราธนา มนตราแห่ง โม แทน พระอักโษภยะพุทธเจ้า (โกนาคมโน) ขออัญเชิญเสด็จประทับ ณ พระอังสา (ไหล่) เบื้องขวา
ขออาราธนา มนตราแห่ง พุท แทน พระรัตนสัมภวะพุทธเจ้า (กัสปะ) ขออัญเชิญเสด็จประทับไณ พระอังสา(ไหล่) เบื้องซ้าย
ขออาราธนา มนตราแห่ง ธา แทน พระอมิตาภะพุทธเจ้า (สมณโคดม) ขออัญเชิญเสด็จประทับ ณ ฝ่าพระหัตถ์ขวา (ฝ่ามือ)
ขออาราธนา มนตราแห่ง ยะ แทน พระอะโมฆะสิทธิพุทธเจ้า (เมตไตรยะ) ขออัญเชิญเสด็จประทับ ณ ฝ่าพระหัตถ์ซ้าย (ฝ่ามือ)
ขออาราธนา องค์พระประธานและครูบาอาจารย์ทุกพระองค์ ขออัญเชิญเสด็จประทับ ณ พระอุรา (อก)


รับรองว่าได้ผล เปิดโลก เปิดจักรวาล เปิดสามภพ เปิดบารมี เปิดวิชชาสาม เปิดตาที่สาม (สำหรับคนที่เปิดวิชชาสามแล้วเท่านั้น)

คนที่เปิดวิชชาสามแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามข้างต้น ส่วนคนที่ยังไม่ได้เปิดวิชชาสาม ขอให้มารับการเปิดก่อนนะครับ เดี๋ยวจะผลข้างเคียง

3. ในปรัชญาจีน
@ู วิชาสามประการของเขา หมายอย่างหนึ่งถึง ไตรวิทยา คือ ความรู้ศักดิ์สิทธิ์สามสาขาวิชา ได้แก่ พุทธ ๑ เต๋า ๑ ขงจื้อ ๑ ฯ กล่าวกันว่า เต๋านั้นเป็นฝ่ายสันโดษไม่ข้องเกี่ยวกับทางโลก ปฏิบัติบำเพ็ญพรตตามแนวฤาษีจนสำเร็จฌานสมาบัติเป็นเซียน ไม่แก่ไม่ตาย (อมตะ) ส่วนขงจื้อนั้นสอนจารีตประเพณี การเป็นคนดีอยู่ในสังคม แลว่า พุทธนั้นอยู่ระหว่างกลาง ไม่สุดโต่งข้างใดข้างหนึ่ง (ทางสายกลาง) อนึ่ง มีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า ถ้าคนต้องการน้ำ พุทธนั้นเสมือนฝน เต๋าเสมือนน้ำตกบนยอดเขา ขงจื้อเสมือนแม่น้ำ ฯ

 

คุณตรีพักตร์ นำรูปเคารพของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่ท่านบูชา และส่วนที่ท่านปั้นหรือสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่
ให้ญาติธรรมได้รับชมหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ

 

ยินดีครับ แต่รูปค่อนข้างเยอะครับ
แวะเวียนเข้าไปดูใน hi5 ก่อนได้ครับ
hi5 - มหาเดวี แห่งหริหราลัย HariHaraLai
หริหราลัย ยินดีต้อนรับผู้บูชาทุกท่านครับ