ชาวจีนเน้นกินอาหารให้สมดุลถูกธาตุ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย Catt Bewer, 11 สิงหาคม 2017.

  1. Catt Bewer

    Catt Bewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,768
    ค่าพลัง:
    +16,673
    ชาวจีนเน้นกินอาหารให้สมดุลถูกธาตุ
    โดย พชร ธนภัทรกุล

    โภชนาศาสตร์แผนจีนเชื่อว่า การกินอาหารให้ถูกธาตุ สอดรับกับพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นกับอวัยวะหนึ่งใดในร่างกาย ย่อมจะช่วยแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างสุขภาพได้

    ธาตุที่กำลังพูดถึงนี้ คือ ไม้ ไฟ ดิน โลหะ และน้ำ หรือที่เรียกว่า อู่หัง (五行 - Five elements principle) ตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณของชาวจีน ห้าธาตุนี้คือสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นกายภาพของจักรวาล ดังนั้น สรรพสิ่งจึงถูกจัดหมวดหมู่เรียงเข้าไปอยู่ในห้าธาตุนี้ และเชื่อมโยงกันด้วยความสัมพันธ์ที่ทั้งเกื้อกันและข่มกัน เป็นวัฏจักรดังนี้

    ไม้เกื้อไฟ ไฟเกื้อดิน ดินเกื้อโลหะ โลหะเกื้อน้ำ น้ำเกื้อไม้ …

    ไม้ข่มดิน ดินข่มน้ำ น้ำข่มไฟ ไฟข่มโลหะ โลหะข่มไม้


    ต่อมา การแพทย์แผนจีนได้ใช้ความรู้นี้อธิบายปรากฏการณ์ทางสรีรวิทยาและพยาธิสภาพของอวัยวะต่างๆ ส่วนเภสัชศาสตร์และโภชนาศาสตร์แผนจีน ก็ใช้อธิบายถึงคุณสมบัติของยาสมุนไพรและอาหาร เกิดการผสมผสานความรู้ทางด้านสรีรวิทยา พยาธิวิทยา และโภชนาศาสตร์ เข้าด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อใช้อาหารมาช่วยปรับหรือแก้ไขการทำงานของอวัยวะต่างๆของร่างกาย

    560000007887202.jpg
    น้ำเก๊กฮวย ขอบคุณภาพจาก https://www.sg92.com/sg2016/9/24/2016092439284117.jpg

    [​IMG]
    ธาตุไม้ (ตับ สีเขียว รสเปรี้ยว อารมณ์โกรธ)
    อวัยวะที่จัดอยู่ในธาตุนี้ คือตับ ถุงน้ำดี กล้ามเนื้อเส้นเอ็น และตา ทางแพทย์แผนจีนมองว่า ตับทำหน้าที่กำจัดพิษ ดูแลกล้ามเนื้อและข้อกระดูกทั่วร่างกาย ตับยังสัมพันธ์กับตาและอารมณ์โกรธด้วย ดังนั้น เมื่อใดที่ตับทำงานหนัก จนธาตุไฟเข้าแทรก อาการมักไปปรากฏที่ตา เช่น ตาแดงก่ำ คันตา ขี้ตามาก และมักมีอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่าย ปากขม คอแห้ง การดูแลบำรุงตับจึงควรเริ่มที่ต้องรู้จักควบคุมอารมณ์โกรธ พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าให้ร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป เพราะเมื่อใดที่เราเหนื่อยล้า เรามักจะควบคุมอารมณ์ไม่ได้ และวู่วามโกรธง่าย จากนั้นจึงเสริมด้วยอาหารเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว

    หากตับทำงานผิดปกติหรือเป็นโรคตับ ควรงดกินอาหารรสเผ็ดและเหล้า (รสเผ็ดอยู่ในธาตุโลหะ โลหะข่มไม้ เหล้าอยู่ในธาตุไฟ ไม้เกื้อไฟ) หรือกินให้น้อยลง เพื่อไม่ให้ตับทำงานหนักเกินไป เพราะต้องคอยขับพิษจากอาหารและเหล้านั่นเอง จากนั้น จึงบำรุงตับด้วยอาหารรสเปรี้ยวอ่อนๆ รสเปรี้ยวเป็นรสที่สัมพันธ์กับธาตุไม้ จึงมีผลต่อการทำงานของตับและถุงน้ำดี ช่วยบำรุงตับได้

    ส่วนอาหารสีเขียวซึ่งอยู่ในธาตุนี้ด้วย ช่วยขจัดพิษออกจากตับ และปรับการทำงานของตับให้ผ่อนเบาลง ไม่ให้ตับต้องทำงานหนักเกินไป

    อาหารในธาตุนี้ได้แก่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง แตงกวา แตงร้าน หน่อไม้ ถั่วแขก ผักกาดหัว/ไช้เท้า ปวยเล้ง ผักกาดขาว ผักกาดหอม ผักโขมเขียว ผักโขมแดง ผักบุ้งจีน ขึ้นฉ่าย ตังโอ๋ (ไม่ใช่ขึ้นฉ่าย ที่พ่อค้าแม่ขายบางพื้นที่เรียกเป็นตั้งโอ๋) กุยช่าย ต้นหอม เก๋าคี่ ถั่วเขียว แห้ว ฝรั่ง สาหร่ายทะเลเคล็ป (kelp) สาหร่ายจีฉ่าย/สาหร่ายทะเลสีม่วงอ่อน แอปเปิล ส้มเช้ง ส้ม แปะก้วย กาน่า อ้อย ฝรั่งมะเฟือง ส้มโอ สาลี่ บ๊วย วอลนัท/มันฮ่อ ข้าวเหนียว ข้าวโพด เห็ดหูหนู ใบชา รากบัว มันฝรั่ง เป็ด ปูต้ม ตับไก่ ตับหมู ขาหมู/คากิ ขาเป็ด ขาไก่ ปีกไก่ เป็นต้น

    560000007887203.jpg
    ผัดเลือดหมูใส่ต้นหอมกระเทียมสับ ขอบคุณภาพจาก http://i3.meishichina.com/attachment/recipe/2013/03/14/20130314195423840209824.jpg@!p800

    [​IMG]
    รายการอาหารสำหรับดูแลบำรุงตับเช่น ตับหมูผัดกับผักต่างๆเช่น ปวยเล้ง ดอกกุยช่าย บร็อกโคลี่ ผักกาดขาว เลือกผักแค่อย่างเดียวก็ได้แล้ว แกงจืดปวยเล้งหรือผักกาดขาวใส่ตับหมู โจ๊กใส่ตับหมูล้วน เกาเหลาเลือดหมูเน้นใส่เลือดกับตับหมู แกงจืดไข่น้ำตับหมูมะเขือเทศ ขั้นตอนทำก็แสนง่าย ผัดมะเขือเทศพอให้สลด เติมน้ำใส่ตับหมู น้ำเดือด เทไข่ไก่ที่ตีแล้วลงไป คนให้ทั่ว ปรุงรสด้วยเกลือ

    รากบัวตุ๋นขาหมู ไชเท้าตุ๋นคากิ ส่วนมากที่พบมักใช้กระดูกซี่โครงหมู สองรายการแค่เปลี่ยนมาใช้ขาหมูกับคากิ (เท้าหมูกีบหมู) เนื้อเป็ดตุ๋นฟัก (ไม่ใส่มะนาวดอง) ถ้าใช้หม้ออัดแรงดันจะทำง่ายมาก เพียงล้างและเตรียมของทุกอย่างให้พร้อม ใส่ทุกอย่างลงในหม้อ เติมน้ำต้มให้เดือดก่อน จากนั้นปิดฝาหม้อ กดปุ่มเปิดแรงดัน ต้มต่ออีก 15 นาที ปิดไฟ กดปุ่มปล่อยแรงดันออกก่อน แล้วค่อยเปิดฝาหม้อ ปรุงรสด้วยเกลือหรือเครื่องปรุงรสอื่นตามชอบ
    มีอาหารแล้ว ก็ควรมีเครื่องดื่มและของหวานด้วย เครื่องดื่ม คือน้ำเก๊กฮวย จะชงหรือต้มก็ได้ ใส่น้ำตาลกรวด ดื่มแทนน้ำชา ส่วนของหวาน คือสาลี่ตุ๋นน้ำตาลกรวด ใส่ชวงป่วยบ้อตำแหลกด้วยสัก 10 กรัม กินช่วยขับพิษร้อนในตับและบำรุงสายตาได้

    ธาตุไฟ (หัวใจ สีแดง รสเผ็ด อารมณ์ดีใจ)
    หัวใจ ลำไส้เล็ก ลิ้นคืออวัยวะที่อยู่ในธาตุไฟนี้ ในสรีรศาสตร์แผนจีน ลิ้นคืออวัยวะที่แสดงให้รู้พยาธิสภาพของหัวใจ เมื่อใดที่รู้สึกเจ็บและแดงตรงส่วนปลายลิ้น หน้าแดงก่ำ นั่นแสดงว่าหัวใจกำลังทำงานหนักไป และเพราะหัวใจทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือด เมื่อหัวใจทำงานหนัก เลือดไหลเวียนจึงไม่ดี ซึ่งมักเผยให้เห็นอาการเป็นแผลที่ลิ้นและช่องปาก จิตใจกระสับกระส่าย ฝันมากหรือนอนไม่หลับ ปากแห้ง อยากดื่มน้ำให้มากๆ ปัสสาวะเหลืองเข้ม กระทั่งอาจปวดเจ็บร้อนขณะถ่ายเบา

    การป้องกันทำได้ด้วยการทำใจให้สงบ รักษาอารมณ์ให้นิ่งไว้ อย่าดีใจหรือเสียใจจนเกินไป กินผักผลไม้ให้มาก ดื่มน้ำให้มาก ลดอาหารรสเผ็ดลง ห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด และที่สำคัญออกกำลังกายสม่ำเสมอ แล้วเสริมบำรุงด้วยอาหารรสขมอ่อนๆ เพราะรสขมช่วยขจัดความร้อนในหัวใจ จึงช่วยบำรุงหัวใจได้ นั่นเท่ากับช่วยให้อารมณ์แจ่มใสขึ้น และบรรเทาความเหนื่อยล้าได้ด้วย

    ชาวจีนมักมองสีแดงด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น เร่าร้อน ดีใจ มีความสุข ความมีสิริมงคล อาหารสีแดงมีผลต่อการทำงานของหัวใจ ช่วยบำรุงหล่อเลี้ยงหัวใจที่ทำหน้าที่ควบคุมการไหลเวียนของเลือด บรรเทาความเหนื่อยล้า กระตุ้นให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น และเลือดก็มีสีแดง ดังนั้น ใครที่มีอาการหน้าตาซีดเซียว ดูไม่มีสีเลือด มือเท้าเย็น ควรบำรุงด้วยอาหารสีแดง

    560000007887204.jpg

    ลูกบัวต้มน้ำตาลกรวด ขอบคุณภาพจาก http://www.healthy-food.hk/wp-content/uploads/2013/06/kk-106-600x400.jpg
    [​IMG]
    อาหารในธาตุนี้ได้แก่ พริกแดง กระเทียม ขิง พริกไทยขาว พริกไทยดำ แครอท ถั่วแดง มะเขือเทศ มะพลับ พุทราจีน แตงโม ลิ้นจี่ แอปเปิล เชอร์รี่ ลำไยแห้ง แก้วมังกร ทุเรียน ปูทะเล นกพิราบ หัวใจไก่ หัวใจเป็ด หัวใจหมู เลือดไก่ เลือดเป็ด เลือดหมู เนื้อแพะ เนื้อวัว ไวน์แดง (ในปริมาณที่พอเหมาะ) น้ำองุ่นแดง ช็อกโกแลต ถั่วเหลืองและเต้าหู้ต่างๆ ปลาชนิดต่างๆ น้ำมันถั่วลิสง น้ำมันมะกอก เป็นต้น

    รายการอาหารแนะนำ เช่น แกงจืดไข่น้ำเต้าหู้อ่อนกับมะเขือเทศ เป็นตำรับเดียวกับแกงจืดไข่น้ำตับหมูมะเขือเทศที่พูดถึงข้างต้น วิธีทำเหมือนกัน เพียงเปลี่ยนตับหมูเป็นเต้าหู้อ่อนเท่านั้น หัวใจไก่ปิ้ง ตับไก่หัวใจเป็ดผัดพริกชี้ฟ้าแดง เลือดหมูผัดพริกกระเทียมโคนต้นหอม (ควรลวกเลือดหมูก่อน เพื่อลดกลิ่นคาว) เลือดเป็ดพะโล้ปรุงใส่พริกสดกระเทียมเจียว หัวใจหมูนึ่งผักเสฉวน วิธีทำไม่ยาก ล้างและฝานหัวใจหมูเป็นชิ้นบาง ส่วนผักเสฉวนหั่นเป็นเส้น หมักหัวใจหมูด้วยเกลือ ซีอิ๊ว น้ำตาลทราย เหล้าจีน และแป้งมันเล็กน้อย จัดใส่ภาชนะปิดหน้าด้วยผักเสฉวน นึ่งหลังน้ำเดือดสัก 10 นาที ได้อาหารจานอร่อยสำหรับบำรุงหัวใจ

    ของหวานเป็นลูกบัวต้มน้ำตาลกรวด หรือพลับแห้งจีนต้มใส่น้ำตาลกรวด เพิ่มสมุนไพรเต็งซิมเช่าสักเล็กน้อย สัดส่วนและปริมาณเครื่องปรุง ก็ประมาณเอาตามความต้องการ เช่น พลับแห้งจีน 2 ลูก น้ำ 300 ซีซี ต้มให้เหลือน้ำ 100 ซีซี เป็นต้น

    เรื่องราวยังไม่จบครับ ยังมีธาตุอาหารอีก 3 ธาตุที่ต้องคุยกันต่อ ฝากไว้นิดหนึ่งว่า กินอาหารให้สมดุล ถูกธาตุ ดีต่อสุขภาพแน่นอนครับ


    ที่ มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9600000076043
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2017
  2. Catt Bewer

    Catt Bewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,768
    ค่าพลัง:
    +16,673
    ชาวจีนเน้นกินอาหารให้สมดุลถูกธาตุ (ธาตุดิน)

    560000008133401.jpg
    ผัดฟักทอง ขอบคุณภาพจาก http://www.sohu.com/a/122242743_148173


    [​IMG]
    โดย พชร ธนภัทรกุล

    สัปดาห์ที่แล้ว ผมเล่าถึงเรื่องธาตุกับอาหาร ไปสองธาตุ คือ ธาตุไม้ กับธาตุไฟ ครั้งนี้ จะมาเล่าถึงธาตุดิน ทบทวนนิดหนึ่งเกี่ยวกับคุณสมบัติที่เกื้อและข่มกันของห้าธาตุไว้ตรงนี้

    ไม้เกื้อไฟ ไฟเกื้อดิน ดินเกื้อโลหะ โลหะเกื้อน้ำ น้ำเกื้อไม้ …

    ไม้ข่มดิน ดินข่มน้ำ น้ำข่มไฟ ไฟข่มโลหะ โลหะข่มไม้

    ทีนี้เข้าเรื่องเลยครับ

    ธาตุดิน (ม้าม สีเหลือง รสหวาน อารมณ์เครียด) อวัยวะที่อยู่ในธาตุนี้ได้แก่ ม้าม กระเพาะอาหาร ปาก ซึ่งทำหน้าที่สนองสารอาหารแก่ร่างกาย โดยม้ามกับกระเพาะอาหารทำงานสอดประสานกันได้ดี ร่างกายจึงจะเผาผลาญอาหารได้เป็นปกติ ไม่เช่นนั้น ร่างกายก็จะเผาผลาญอาหารได้ไม่ดี ซึ่งจะทำให้ร่างกายรับสารอาหารได้ไม่เต็มที่ และนั่นเป็นผลเสียต่อสุขภาพแน่นอน

    การทำหน้าที่ย่อยและดูดซึมสารอาหารของม้ามและกระเพาะอาหาร เป็นปรากฏการณ์ที่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เรียกว่าต้องเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ หากว่าม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ ไม่ว่าจะหนักไปหรือหย่อนสมรรถภาพลง ย่อมก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยต่อร่างกาย แสดงออกด้วยอาการปวดแน่นบริเวณชายโครง หลังและหน้าอก และอาจกระทบต่อการทำงานของปอดและอวัยวะอื่นในช่องท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝนที่อากาศมีความชื้นสูงมาก ความชื้นอาจแทรกเข้าสู่ร่างกาย ไปทำร้ายม้ามและกระเพาะอาหาร อาการที่เห็นคือเบื่ออาหาร กินอะไรก็ไม่อร่อย ยิ่งกว่านั้น อาจรู้สึกไม่สบายท้อง ท้องเสียถ่ายเหลว หรือปวดท้องบริเวณที่ตั้งของกระเพาะอาหาร เป็นต้น

    560000008133402.jpg
    ข้าวต้มธัญพืช ขอบคุณภาพจาก http://b0.rimg.tw/yeh0938/97547df8.jpg


    [​IMG]

    ในกรณีที่ม้ามทำงานหนักไป มักปรากฏอาการให้เห็นได้จากในช่องปาก เช่น ลิ้นมีฝ้าเหลืองหนา ปากขม ปากแห้ง มีแผลในช่องปากตามกระพุ้งแก้ม ริมฝีปาก หรือลิ้น เป็นต้น มักดื่มน้ำมากกว่าปกติ ส่วนกรณีที่กินดื่มมากไป จนม้ามและกระเพาะอาหารทำงานหนักหรือผิดไปจากปกติ จนเกิดอาการท้องอืดเฟ้อ แน่นท้อง ถ่ายเหลว อ่อนล้า หายใจลำบาก อึดอัดแน่นหน้าอก เส้นเอ็นกล้ามเนื้อหย่อนยาน บวมน้ำ เป็นต้น ถ้ามีอาการเหล่านี้ ก็คงได้เวลาต้องหันมาใส่ใจดูแลม้ามและกระเพาะอาหารของตัวเองให้ดีแล้วครับ

    เริ่มจากการเน้นกินอาหารที่มีฤทธิ์และรสละมุน ไม่มันเลี่ยน ย่อยง่าย เช่น รากบัว แครอท แอปเปิล นมวัว และเพื่อเสริมสร้างม้ามและกระเพาะอาหารให้แข็งแรงขึ้น การกินอาหารรสขมให้มากไว้ ก็จะช่วยได้ เหตุผลเพราะรสขมจัดอยู่ในธาตุไฟ ธาตุไฟเกื้อธาตุดินอยู่แล้วนั่นเอง

    สีประจำธาตุดิน คือสีเหลือง และมักมีรสหวานในตัวเอง อาหารสีเหลืองที่มักมีรสหวาน จะช่วยดูแลช่วยเสริมสร้างม้ามและกระเพาะอาหารให้แข็งแรงขึ้น ทำงานดีขึ้น ซึ่งย่อมเป็นผลดีต่อการเผาผลาญอาหารและฟื้นฟูกำลังวังชา อาทิเช่น ถั่วเหลืองช่วยฟื้นฟูการทำงานของม้ามและกระเพาะอาหาร บำรุงเสริมสร้างร่างกาย ฟักทองช่วยเสริมสร้างกำลังวังชา ขณะที่ส้มช่วยขับลมและคลายเครียด มะนาวช่วยขจัดอาการอ่อนล้า ชะลอการเหี่ยวย่นของผิวหนัง เป็นต้น

    อาหารในธาตุดิน ได้แก่ ลูกเดือย ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวฟ่าง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต เกาลัด กระจับ เผือกหอม เผือกหัวเล็ก มันเทศ รากบัว ฟักทอง พริกหวานสีเหลือง ถั่วงอกหัวโต (ที่เพาะจากถั่วเหลือง) ดอกไม้จีน ข้าวโพดอ่อน กุยช่ายขาว เกาลัด ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเช่น เต้าหู้แผ่นสีเหลือง เต้าหู้อ่อน เต้าหู้ทอด เต้าหู้พวง ฟองเต้าหู้ เต้าหู้ยี้ (หู่ยู่) น้ำเต้าหู้ เต้าฮวย หมี่กึงในรูปแบบต่างๆ เช่น ไส้หมูเจ เนื้อหมูเจ เนื้อไก่เจ เนื้อเป็ดเจ ลูกชิ้นเจ เป็นต้น

    นอกจากนี้ ยังมีมะนาว ส้มสีเหลืองชนิดต่างๆ ผลไม้สุกต่างๆ เช่น กล้วยหอม มะละกอ มะเฟือง มะม่วง ทุเรียน พลับจีน มะปราง มะยงชิด สับปะรด แอปเปิล กีวีเนื้อเหลือง แตงโมเนื้อเหลือง เกรปฟรุต (grapefruit เป็นผลไม้ลูกผสมส้มกับส้มโอ แต่มักเรียกส้มโอ ในที่นี้ให้เลือกชนิดเนื้อเหลือง) อ้อย แคนตาลูบ แปะก้วย ถั่วลิสง วอลนัท มะม่วงหิมพานต์ น้ำผึ้ง น้ำมันจากพืช ไข่แดง เนย ชีส นมวัว เนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อเป็ด เนื้อห่าน เนื้อหมูส่วนที่เป็นเนื้อแดง เป็นต้น

    รายการอาหารที่ขอแนะนำมีเป็ดต้มฟัก เป็ดสับชิ้นใหญ่ ฟักเขียวหั่นชิ้นโต ลูกเดือยและเห็ดหอมแช่น้ำไว้สักพักใหญ่ก่อน เปลือกส้มแห้งหรือขิงแก่ ใส่เป็ด ฟักเขียว เห็ดหอมลงหม้อ เติมน้ำให้มากไว้ ต้มเดือดแล้วค่อยใส่เปลือกส้มแห้งหรือขิงแก่ เกลือ เหล้าจีน และปรุงรสตามชอบ หรี่ไฟอ่อนต้มต่ออีกสัก 30 นาทีจนเนื้อเป็ดนุ่ม ได้แกงจืดเป็ดต้มฟัก ที่ช่วยขับลดพิษร้อน ขับน้ำในร่างกาย บำรุงม้ามและกระเพาะอาหารให้แข็งแรงขึ้น

    ข้าวต้มธัญพืช เราจะใช้ข้าวกล้อง ลูกเดือย ข้าวโพดต้มสุกแกะเม็ด ฟักทองหั่นเต๋า เผือกหอมนึ่งสุกหั่นเต๋า ข้าวกล้องกับลูกเดือยควรแช่น้ำไว้ 1 คืน จะได้หุงสุกง่าย หุงข้าวกล้องกับลูกเดือยให้สุกก่อน จึงใส่ข้าวโพด เผือกและฟักทอง ต้มต่อสักครู่ให้ฟักทองสุก ได้ข้าวต้มธัญพืชเพื่อสุขภาพ เพราะทั้งข้าวกล้องและลูกเดือยช่วยขับความชื้นและบำรุงเสริมสร้างม้ามและกระเพาะอาหารให้แข็งแรงได้ดี

    560000008133403.jpg
    น้ำต้มรากบัว ขอบคุณภาพจาก http://4.share.photo.xuite.net/chun87210428/14b1aac/12304417/601300619_m.jpg


    [​IMG]

    ฟักทองผัดหวาน หั่นฟักทองเป็นชิ้น ไม่ต้องหนามากนัก กระทะตั้งไฟ ใส่น้ำมัน พอน้ำมันร้อนใส่ใบหอมซอยลงเจียว จนได้กลิ่นหอม ค่อยใส่ฟักทองลงผัด ใส่เกลือเล็กน้อย เติมน้ำเล็กน้อย จากนั้นใส่น้ำตาลทรายในปริมาณมากพอสมควร เคี่ยวผัดไปจนกว่าน้ำจะงวดแห้ง และน้ำตาลละลายเหนียวเคลือบฟักทองไว้ทุกชิ้น ได้ฟักทองผักหวานที่เหมาะสำหรับบำรุงม้ามและกระเพาะอาหารที่อ่อนแอหย่อนสมรรถภาพ

    รายการอาหารยังมีอีกมากมาย รวมทั้งของว่างด้วย เช่น เผือกทอด ทั้งชนิดขูดเป็นเส้นชุบแป้งแล้วปั้นทอด ชนิดหั่นเป็นชิ้นยาวชุบแป้งทอด และชนิดขูดเป็นเส้นคลุกผสมด้วยเครื่องปรุงต่างๆ ห่อใส่แผ่นฟองเต้าหู้ นึ่งสุกแล้วทอด รวมทั้งเผือกทอดตำรับติ่มซำด้วย ของหวานก็มีลูกเดือยเปียกเผือก เผือกหิมะ มันเทศเชื่อม ของว่างเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ดีต่อการทำงานของม้ามและกระเพาะอาหารทั้งสิ้น

    ส่วนเครื่องดื่มและผลไม้ ก็เช่น น้ำต้มรากบัว นอกจากได้น้ำต้มไว้ดื่มแล้ว รากบัวที่ต้มแล้ว ยังนำมาเคี่ยวน้ำตาลทราย ทำเป็นรากบัวเชื่อมได้ด้วย น้ำต้มรากบัวและรากบัวเชื่อม ช่วยขับพิษร้อนให้ความชุ่มชื้น และช่วยฟื้นฟูม้ามและกระเพาะอาหารที่หย่อนสมรรถภาพให้กลับมาทำงานดีขึ้น ผลไม้สีเหลืองเนื้อเหลือง มีอยู่มากมาย เลือกกินได้ตามชอบเลยครับ

    ฝากไว้นิดหนึ่งว่า เนื้อ ผัก ผลไม้ต่างๆ ส่วนใหญ่มักไม่ได้จัดอยู่ในธาตุใดธาตุหนึ่งเพียงธาตุเดียว แต่มักมีมากกว่าหนึ่งธาตุเสมอ โดยธาตุผสมในอาหารมักเกื้อกันไม่ข่มกัน เช่น เนื้อแดงเป็นทั้งธาตุไฟและธาตุดิน ซึ่งก็เกื้อกัน ดังนั้น สาระสำคัญคือควรเลือกอาหารในธาตุที่เหมาะกับธาตุของตัวเอง เพราะอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ที่คุณเลือกเอง กินดีถูกธาตุ สุขภาพดีครับ

    ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9600000078403
     
  3. Catt Bewer

    Catt Bewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,768
    ค่าพลัง:
    +16,673
    ชาวจีนเน้นกินอาหารให้สมดุลถูกธาตุ จบ

    560000008492901.jpg
    ชาวจีนมีคติสอนใจว่า “รู้ตำรายา ไม่สู้รู้ตำราอาหาร” สำคัญที่ต้องกินให้เหมาะกับภาวะสุขภาพของตัวเอง ถึงจะกินดีมีสุขภาพดีได้
    [​IMG]
    โดย พชร ธนภัทรกุล

    เรามาถึงบทสุดท้ายของเรื่องธาตุในอาหารกันแล้ว ต่อไปนี้จะเป็นเรื่องของธาตุที่ 4 และ 5 คือธาตุโลหะและธาตุน้ำต่อจากได้เล่าไปแล้ว 3 ธาตุ คือธาตุไม้ ธาตุไฟ และธาตุดิน ทบทวนกันก่อนนะครับว่า ...

    ไม้เกื้อไฟ ไฟเกื้อดิน ดินเกื้อโลหะ โลหะเกื้อน้ำ น้ำเกื้อไม้ …

    ไม้ข่มดิน ดินข่มน้ำ น้ำข่มไฟ ไฟข่มโลหะ โลหะข่มไม้

    เอาละ มาเข้าเรื่องกัน

    ธาตุโลหะ (ปอด สีขาว รสเผ็ด อารมณ์เศร้า วิตก)

    กลุ่มอวัยวะที่จัดอยู่ในธาตุโลหะได้แก่ ปอด ลำไส้ใหญ่ จมูก ผิวหนัง (รูขมขน) ปอดเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางดินหายใจทั้งระบบ ทำหน้าที่หายใจ เกี่ยวข้องกับหลอดลมและจมูก แต่การแพทย์จีนเชื่อว่าปอดทำงานมากกว่านั้น การทำงานของปอดสัมพันธ์กับการทำหน้าที่ระบายทั้งของลำไส้ใหญ่และผิวหนัง หากปอดไม่แข็งแรง จึงมักมีอาการเกี่ยวกับลำไส้ เช่น ท้องผูก หรือไม่ก็มีอาการทางผิวหนัง เช่น เกิดฝีพุพอง เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่ที่สำคัญยังเป็นเรื่องของระบบทางเดินหายใจ อาการสำคัญที่พบเห็นได้ เช่น ไอ เจ็บคอ มีเสมหะเหลือง ปากแห้ง ชอบดื่มน้ำเย็น กระทั่งอาจหายใจขัด แน่นหน้าอก หอบ ถ้ามีอาการเหล่านี้ ไม่ว่าจะหนักหรือเบา ก็ควรก็ดูแลปอดกันแล้ว

    เบื้องต้นที่สุดคือ ควรหลีกเลี่ยงไม่อยู่ในที่ที่มีความร้อนชื้นสูงหรือเย็นจัด เพื่อมิให้พิษชื้นพิษร้อน หรือความเย็นจัดเข้าแทรกสู่ปอด เพราะจะเป็นอันตรายต่อปอดโดยตรง ส่วนในแง่การดูแลด้วยอาหาร ควรดื่มน้ำให้มาก และเน้นกินอาหารสีขาว เพราะจะได้ช่วยสร้างความชุ่มชื้นและดูแลบำรุงปอดให้แข็งแรงขึ้น และยังระงับอาการไอได้ด้วย ควรกินให้มากขึ้น บ่อยขึ้นตามความเหมาะสม โดยเฉพาะผักผลไม้ต่างๆ เช่น แปะฮะ เห็ดหูหนูขาว หัวไชเท้า สาลี่ กล้วยหอม รากบัว น้ำผึ้ง มันฮ่อหรือวอลนัท ผลิตภัณฑ์จากนมวัว นมแพะ เป็นต้น

    อาหารในธาตุโลหะได้แก่ หัวไชเท้า เห็ดหูหนูขาว งาขาว ถั่วงอก รากบัว หอมใหญ่ กระเทียมโทน ห่วยซัวหรือกลอยจีน ผักกาดขาว สาลี่ สาคู เนื้ออกไก่ ไส้ไก่ ไข่ไก่ เนื้อห่าน ปอดหมู ไส้หมู เนื้อวัว นมวัว เนย ชีส น้ำส้มหมัก และสมุนไพรจีนบางอย่าง เช่น เปลือกส้มแห้ง หล่อฮั้งก้วย รังนก แปะฮะ แปะก๊วย ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ขับพิษร้อนในปอด ฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของปอด ขับเสมหะได้

    รายการอาหารเพื่อการดูแลปอด ขอเริ่มที่ตือฮวน(เกี่ยม)ฉ่าย อาหารโบราณของชาวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งก็คือเครื่องในหมูต้มผักกาดดอง ให้เน้นปอดและไส้ เครื่องในอื่นไม่มี ไม่เป็นไร ก๋วยจั้บน้ำข้นที่เน้นใส่ปอดและไส้หมู หัวไชเท้าต้มปอดหมูแทนซี่โครงหมู กระดูกสันหลังหมูต้มรากบัว บวบผัดไข่ไก่ ผักกาดขาวผัดซอสหอยนางรม ขาหมูเย็นหรือตือคาตั่ง อาหารเหล่านี้ช่วยสร้างความชุ่มชื้นแก่ปอด เหมาะสำหรับคนที่มีอาการไอแห้งเรื้อรัง มีเสมหะครับ

    560000008492902.jpg
    ขาหมูเย็นหรือหมูหนาว ภาพจาก http://www.lssp.com/doc/20425.html
    [​IMG]
    มาดูของหวานกันครับ รายการแรกเห็ดหูหนูขาวต้มน้ำตาล ลวกหรือต้มเห็ดหูหนูขาว แปะก๊วย ลูกบัว สาคู ให้สุก ส่วนพุดซาจีนเชื่อมให้ผ่าซีกเตรียมไว้ ต้มน้ำใส่น้ำตาลกรวด ต้มไปคนไปให้น้ำตาลละลาย ชิมให้ได้รสหวานตามต้องการ แล้วใส่ทุกอย่างลงต้มอีกครั้ง ได้ของหวานที่กินขับพิษร้อนบำรุงปอดได้ดีไม่แพ้รังนกต้มน้ำตาล

    น้ำสาลี่เชื่อมกัน ใช้สาลี่และพุดซาจีน อย่างละ 5-6 ผล หั่นหรือขูดละเอียด ขิงแก่เล็กน้อย ใส่น้ำต้ม เดือดแล้วลดเหลือไฟอ่อน ใส่น้ำตาลกรวดต้มต่ออีกครึ่งชั่วโมง ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น กรองคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนกากทิ้งไป ใส่น้ำผึ้งลงผสมให้เข้ากัน เก็บใส่ภาชนะ ปิดฝาให้สนิท แช่ไว้ในตู้เย็น กินครั้งละ 1-2 ช้อนชา จะกินแบบชงน้ำอุ่นหรือไม่ชงก็ได้ แต่ควรอมไว้ค่อยๆกลืนช้าๆ กินแก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงปอดให้แข็งแรงขึ้น

    น้ำหล่อฮั้งก้วย ใช้หล่อฮั้งก้วย 1 ผล บิเป็นชิ้นเล็ก ชงน้ำเดือดเหมือนชงชา พักไว้ 10 นาที ก็ดื่มได้ ไม่จำเป็นต้องใส่น้ำตาลเพิ่ม เพราะหล่อฮั้งก้วยมีความหวานในตัวอยู่แล้ว ดื่มแทนน้ำหรือเครื่องดื่มอื่นได้ทุกเวลาทั้งร้อนและเย็น (แช่เย็น) ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ประโยชน์คือ ช่วยขับพิษร้อนในปอด ขับเสมหะ หล่อลื่นลำไส้ เหมาะเป็นเครื่องดื่มในหน้าร้อนและหน้าฝนอย่างยิ่ง

    560000008492903.jpg
    น้ำหล่อฮั้งก้วย ภาพจาก http://www.newrank.org/?p=8676
    [​IMG]
    ธาตุน้ำ (ไต สีดำ รสเค็ม อารมณ์กลัว ตกใจ)
    กลุ่มอวัยวะในธาตุน้ำคือ ไต กระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ น้ำที่เรากินเข้าไป เมื่อถูกกรองกลายเป็นของเสีย จะไปเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ และกระเพาะปัสสาวะก็จะทำหน้าขับน้ำเสียนี้ออกมาเป็นน้ำปัสสาวะ โดยไตจะคอยทำหน้าที่กำจัดของเสียที่ว่านี้ ในทางการแพทย์จีน ไตยังมีหน้าที่เก็บสะสมพลังชีวิต ดูแลควบคุมน้ำในร่างกายด้วย และน้ำก็มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อไขกระดูก เนื้อเยื่อเลือด ไตจึงทรงความสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องทำหน้าที่ทั้งเก็บ “ของดี” และระบาย “ของเสีย”

    การแพทย์จีนมองว่า ปัญหาที่เกิดกับไตมีเพียงสองด้าน คือไม่ยินพร่องก็หยางพร่อง ไตที่มีอาการยินพร่อง หมายถึงไตทำงานหนักเกินไป อาการที่แสดงออกก็เช่น วิงเวียน หูอื้อ ปากแห้งคอแห้ง หงุดหงิด ใจร้อนวู่วาม คันตามผิวหนัง ปวดหลังเข่าอ่อน เหงื่อออกโดยไม่ทราบสาเหตุ นอนไม่หลับ ฝันมาก ร้อนอุ้งมืออุ้งเท้า แต่ถ้าเป็นอาการหยางพร่อง นั่นก็หมายถึงไตหย่อนสมรรถภาพหรืออ่อนแอ จะมีอาการกลัวหนาว กลัวลม สีหน้าซีดหมองไม่มีสีเลือด แขนขามือเท้าเย็นไปหมด มีเหงื่อง่าย ปวดหลังเมื่อยเอว ไม่เบิกบาน เบื่ออาหาร ขัดเบา ตัวบวมน้ำ ท้องร่วงเป็นต้น

    หากเกิดอาการต่างๆเหล่านี้ขึ้น แสดงว่าได้เวลาที่ต้องหันมาดูแลไตกันแล้ว

    เริ่มต้นกันที่ควรพยายามควบคุมอารมณ์อย่าให้ตื่นตกใจง่าย หรืออารมณ์เสียง่าย ควรปล่อยวางเรื่องไม่สบายใจโดยเร็ว อย่าได้เก็บกดหรือระเบิดอารมณ์ออกให้เห็น นอกจากนี้ ช่วงที่ไตอ่อนแอมากนี้ ต้องไม่ตรากตรำงานจนดึกดื่นหรืออดหลับอดนอน ควรพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจให้เพียงพอ

    ในเรื่องของอาหาร ให้เน้นอาหารสีดำมีรสเค็มเล็กน้อย รสเค็มเพียงเล็กน้อยจะช่วยกระตุ้นให้ไตและกระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่ขับระบายของเสียได้ดีขึ้น แต่ถ้าเค็มจัดเกินไป ก็จะเป็นผลร้ายต่อไตได้ จึงไม่ควรกินเค็มจัด อาหารสีดำส่วนมากมักช่วยเสริมบำรุงไตได้ดี

    อาหารในธาตุน้ำ เช่น ถั่วดำ งาดำ ลูกจ๊อดำหรือพุดซาดำ บ๊วยดำ เห็ดหอม บลูเบอร์รี่ เห็ดหูหนูดำ ฟักเขียว แตงโม มะระ แตงร้าน บวบ น้ำเต้า มะเขือสีม่วง เต้าหูอ่อน ไตหมู/เซ่งจี๊ สมองหมู ลิ้นหมู ไส้เป็ด ไส้ห่าน พวกสัตว์น้ำ เช่น หอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล สาหร่ายทะเล แมงกะพรุน กุ้ง หอยขม ปลาช่อน และอื่นๆ เช่น ถั่งเช่า (สมุนไพรจีน) น้ำผึ้ง รังนก นมวัว นมเปรี้ยว โยเกิร์ต น้ำผลไม้ เป็นต้น

    หากท่านต้องการดูแลบำรุงไต ให้กินปลาดีที่สุด เพราะปลาทุกชนิด ไม่ใช่แค่ปลาช่อนคืออาหารชั้นยอดในการบำรุงไต แถมกินปลายังช่วยให้มีความจำดีขึ้นด้วย จะต้ม นึ่ง ทอด เผา ย่าง ทำปลาดิบ ได้ทั้งนั้น รายการนี้ขอเป็นสูตรใครก็สูตรใคร ปรุงเอาเองตามใจชอบครับ

    ไตหมูผัดดอกกุยช่าย ลิ้นหมูต้มมะระ ไส้เป็ด/ห่านพะโล้ แกงจืดเห็ดหูหนูดำ เต้าหู้อ่อนใส่ไตหมู หมูสับ ผัดปลิงทะเล กุ้งสดกับหน่อไม้ฝรั่งกระป๋อง รายการนี้ต้องลงแป้งมันละลายน้ำเล็กน้อย เพื่อความข้นและมันเงาของน้ำปรุง ของหวานก็เลือกเอาจากนมเปรี้ยว โยเกิร์ต รังนกต้มน้ำตาล เครื่องดื่มก็ได้น้ำผลไม้ หรือใช้ถั่งเช่าสัก 5-6 ตัว ต้มใส่กาน้ำชา ดื่มแบบสบายๆ น้ำหมด เติมน้ำต้มใหม่ น้ำต้มใสแล้วก็เลิก

    560000008492904.jpg
    รังนกต้มน้ำตาลกรวด ภาพจาก http://www.nipic.com/show/1/60/7835701k24769dff.html
    [​IMG]


    560000008492905.jpg
    แกงจืดเห็ดหูหนูดำ ภาพจาก http://www.ziqicompressor.com/post/15.html
    [​IMG]
    ชาวจีนมีคติสอนใจว่า “รู้ตำรายา ไม่สู้รู้ตำราอาหาร” สำคัญที่ต้องกินให้เหมาะกับภาวะสุขภาพของตัวเอง ถึงจะกินดีมีสุขภาพดีได้ สวัสดีครับ

    ที่มา : http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9600000081998
     

แชร์หน้านี้

Loading...