ชีวประวติหลวงปู่เทศน์ นิโรธรังสี บรรพชา ธรรมเทศนา รูปภาพหลวงปู่เทศก์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย newhatyai, 6 ตุลาคม 2007.

  1. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ชีวประวัติ


    พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (เทสก์ เทสรํสี)

    เดิมชื่อ เทศน์ สกุล เรี่ยวแรง เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๔๕ เวลาประมาณ ๐๙.๐๐ น. ปีขาล ณ บ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี บิดาชื่อ อุตส่าห์ มารดาชื่อ ครั่ง อาชีพทำนาทั้งสองเป็นกำพร้าพ่อด้วยกัน ซึ่งได้อพยพมาคนละถิ่น คือบิดาอพยพมาจากอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย มารดาอพยพมาจากเมืองฝาง (บัดนี้เป็นตำบล) ขึ้นอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ แล้วได้มาแต่งงานกัน ณ ที่บ้านนาสีดา ตั้งหลักฐานทำมาหากินจนกระทั่งบัดนี้ มีบุตรธิดาร่วมกัน ๑๐ คน คือ

    <TABLE id=AutoNumber1 style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="99%" border=0><TBODY><TR><TD width="41%"> นายคำดี เรี่ยวแรง (ถึงแก่กรรม)
    นางอาน ปราบพาล (
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2007
  2. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ประวัติของบิดามารดา
    มาตอนนี้ เราอดที่กล่าวถึงประวัติของบิดามารดาไม่ได้ เพราะเราระลึกถึงพระคุณของท่านทั้งสองมากเป็นพิเศษ เกี่ยวกับในระยะนี้ท่านแบรมเราในด้านต่าง ๆ โดนเฉพาะเรื่องศีลธรรมมาก แล้วก็ดูเหมือนท่านจะรักเรามากเป็นพิเศษอีกด้วย พร้อมกันนั้นท่านก็เคยเล่าประวัติชีวิตผจญภัยของท่านทั้งสองมาให้ฟังโดยละเอียด เราได้ฟังเข้าแล้วทำให้เศร้าใจและเกิดความสงสารท่านมาก

    ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น บิดามารดาของเราทั้งสองเป็นชาวอพยพและกำพร้าพ่อด้วยกันทั้งสอง โยมพ่อ นั้นภูมิลำเนาเดิมอยู่บนที่สูงอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ได้พากันอพยพหนีความอดอยากแร้นแค้นลงมาสู่ที่ลุ่ม เพราะมมีคนเขาไปเล่าให้ฟังว่าทางเมืองหนองคายข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์มาก ถิ่นเดิมนั้นถึงแม้จะมีอาชีพทำนาก็ไม่พอกิน เพราะพื้นที่เป็นภูเขามาก ต้องทำไร่ตามดอยเพิ่มอีกแล้วก็ทำกันมาก ๆ เสียด้วย โยมพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านกำพร้าพ่อต้องพาน้อง ๔ ชีวีตกับแม่อีกหนึ่งคน ทำงานหาเลี้ยงกัน ทำไร่กว้างจนสุดลูกตา ไร่ไม่ต้องทำขนำ รับประทานข้าวกลางแจ้ง เพราะกลัวน้อง ๆ กินแล้วจะขี้เกียจไม่ลงทำงานถึงขนาดนั้นถ้าปีไหนฟ้าแล้งฝนไม่ดีก็ยังไม่พอรับประทานเลย บางครอบครัวอดข้าวรับประทานลูกมะก่อแทนข้าวพอประทังชีวิตไปตั้งเป็นเดือนก็มี
    การอพยพลงมาครั้งนี้มีน้อง ๔ คน กับแม่อีกคน คือ นางบุญมา ๑ นายกัณหา เรี่ยวแรง ๑ นายเชียงอินทร์ เรี่ยวแรง ๑ นางแตงอ่อน ๑ นอกจากนี้ยังมีญาติ ๆ แลผู้สมัครใจมาด้วยกันอีกเป็นอันมาก การอพยพจะต้องผ่านภูเขาสูง ๆ เช่น ภูฟ้า ภูหลวง และป่าดงทึบมาเป็นลำดับ ผู้มีช้างมีต่างเป็นพาหนะก็ค่อยยังชั่วหน่อย ผู้ไม่มีอะไรนั้นสิใช้บ่าแรงของใครของมันเป็นพาหนะหาบหาม กว่าจะถึงบ้านนางิ้วก็กินเวลานานกว่าอาทิตย์ เมื่อมาถึงครั้งแรกได้มาตั้งที่พักลงที่ริมหนองปลาที่หนองเต่าเลย แล้วภายหลังจึงย้ายมาอยู่ ณ บ้านนางิ้วจนกระทั่งบัดนี้
    ฝ่ายโยมแม่ เป็นชาวพวนซึ่งทัพไทยกวาดต้อนมาจากประเทศลาวสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้วได้เอาไปปล่อยทิ้งไว้เขตอุตรดิตถ์ จึงได้ตั้งรกรากลงที่เมืองฝาง (ปัจจุบันเป็นตำบล) อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ มารดาของเราเคยเล่าว่า
     
  3. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พบพระอาจารย์สิงห์
    เมื่อ พ.. ๑๔๕๙ เจ้าคุณญาณวิศิษฏ์ (พระอาจารย์สิงห์) กับพระอาจารย์คำ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ ได้เดินรุกขมูลไปถึงบ้านนาสีดาเป็นองค์แรก ทั้ง ๆ ที่พระในวัดนั้นก็มีอยู่ แต่ท่านไปขอพักอยู่ด้วยคล้าย ๆ กับว่าท่านมุ่งจะไปโปรดเราพร้อมด้วยบิดาเราด้วยก็ได้ เมื่อท่านทั้งสองไปถึงเรากับบิดาของเราก็ได้ปฏิบัติท่านด้วยความเคารพและเลื่อมใสเป็นอย่างดียิ่งเพราะเห็นปฏิปทาของท่านผิดแผกจากพระกัมมัฏฐานคณะอื่น (เมื่อก่อนบิดาเราเคยปฏิบัติอาจารย์สีทัด) โดยเฉพาะท่านสอนเราในข้อวัตรต่าง ๆ เช่น สอนให้รู้จักของที่ควรประเคนและไม่ควรประเคน ท่านสอนภาวนา บริกรรมพุทโธเป็นอารมณ์ จิตของเรารวมได้รวมได้เป็นสมาธิจนไม่ยอมพูดกับคนอื่นเลย เราได้รับรสชาติแห่งความสงบในกัมมัฏฐานภาวนาเริ่มแรกจากโน่นมาไม่ลืมเลย เมื่อไปเรียนหนังสือเป็นสามเณรอยู่กับหมู่มาก ๆ เวลากลางคืนอากาศเย็นสงบดี เราทำกัมมัฏฐานของเราอยู่คนเดียวหามีใครรู้ไม่
    ท่านมาพักอยู่ด้วยกับเราราว ๒ เดือนเศษ ทีแรกท่านตั้งใจจะอยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น แต่เนื่องด้วยท่านมีเชื้อไข้ป่าอยู่แล้วพอมาถึงที่นั้นเข้า ไข้ป่าของท่านยิ่งกำเริบขึ้น พอจวนเข้าพรรษาท่านจึงได้ออกไปจำพรรษา ณ ที่วัดร้างบ้านนาบง ตำบลน้ำโมง อำเภอท่าบ่อ เราก็ได้ตามท่านไปด้วย ในพรรษานั้นท่านเป็นไข้ตลอดพรรษา ถึงอย่างนั้นก็ตาม ในเวลาว่าง ท่านยังได้เมตตาสอนหนังสือและอบรมเราบ้างเป็นครั้งคราว จวนออกพรรษาท่านจะมีความรู้สึกภายในใจของท่านขึ้นอย่างไรก็ไม่ทราบ ท่านบอกว่า ออกพรรษาแล้วจะต้องกลับบ้านเดิม แล้วท่านถามเราว่า เธอจะไปด้วยไหม ทางไกลและลำบากมากนะ เราตอบท่านทันทีว่า ผมไปด้วยครับ ยังอีกไม่กี่วันจะออกพรรษา เราขออนุญาตท่านกลับบ้านไปลาบิดามารดาท่านทั้งสองมีความดีใจมากที่เราจะไปด้วยอาจารย์ รับเตรียมดอกไม้ธูปเทียนให้เรา เพื่อขอขมาบิดามารดา (ธรรมเนียมอันนี้ท่านสอนเราดีนัก เราหนีจากบ้านไปครั้งก่อนท่านก็ให้เราทำเช่นนั้นเหมือนกัน) คืนวันนั้นเราขอขมาบิดามารดาแล้วไปขอขมาญาติผู้เฒ่าผู้แก่จนทั่วหมด เมื่อเราไปหาใคร ทุกคนพากันร้องไห้เหมือนเราจะลาไปตายนั่นแหล่ะ เราเองก็ใจอ่อนอดน้ำตาร่วงไม่ได้ รุ่งเช้ามารดาและป้าได้ตามมาส่งถึงอาจารย์พาเราออกเดินทางเลย ตอนนี้ป้าและชาวบ้านที่นั่นพากันมารุมร้องไห้อีก

    ออกจากบ้านครั้งที่สองตามพระอาจารย์สิงห์ไป

    อาจเป็นประวัติการณ์ของเด็กคนแรกในจำพวกเด็กวัยเดียวกันในแถบนี้ที่จากบ้านไปสู่ถิ่นทางไกล ทั้งไร้ญาติขาดมิตรอันเป็นที่อบอุ่นอีกด้วย แล้วก็ดูจะเป็นเด็กคนแรกอีกด้วยที่ออกเดินรุกขมูลติดตามพระกัมมัฏฐานไปอย่างไม่มีความห่วงไยอาลัยทั้งสิ้น ออกเดินทางจากท่าบ่อลุยน้ำลุยโคลนบุกป่าฝ่าต้นข้าวตามทุ่งนาไปโดยลำดับ เวลาท่านจับไข้ก็ขึ้นนอนบนขนำนาหรือตามร่มไม้ที่ไม่มีน้ำชื้นแฉะ รุ่งเช้าท่านยังอุตส่าห์ออกไปบิณฑบาตมาเลี้ยงเราเลย เดินทางสามคนจึงถึงอุดรแล้วพักอยู่วัดมัชฌิมาวาสสิบคืน จึงได้ออกเดินทางต่อไปทางจังหวัดขอนแก่นผ่านมหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร การเดินทางครั้งนี้เราสองคนกับอาจารย์ใช้เวลาเดือนเศษ จึงถึงบ้านหนองขอน ตำบลหัวตะพาน อำเภออำนาจเจริญ อันเป็นบ้านโยมแม่ของท่าน ท่านพักอบรมโยมแม่ของท่าน ณ ที่นั้นราวสามเดือน

    บรรพชาเป็นสามเณรแล้วเรียนต่อ

    ณ ที่นั้น ท่านให้เราไปบรรพชาที่พระอุปัชฌาย์ลุยบ้านเค็งใหญ่ เมื่ออายุย่างเข้า ๑๘ ปี ตอนนี้เราอ่านหนังสือคล่องขึ้นบ้าง เราได้อ่านหนังสือไตรโลกวิตถาร ตอนโลกเสื่อมจนเกิดสมัตถันตรกัป ทำให้สลดใจมากน้ำตาไหลพรากอยู่เป็นเวลาหลายวัน เวลาฉันอาหารก็ไม่ค่อยจะรู้สึกรสชาติ ใจมันให้มัวแต่คิดถึงความเสื่อมวิบัติของมนุษย์สัตว์ทั้งหลาย คล้าย ๆ จะมีภาพให้เห็นปรากฏในวันสองวันข้างหน้าอย่างนั้นแหละ แล้วท่านพาเราเข้าไปพักอยู่ที่ วัดสุทัศนาราม ในเมืองอุบล ซึ่งเคยเป็นที่พักเดิมของท่าน แล้วเราก็ได้เข้าเรียนหนังสือไทยต่อที่ โรงเรียนวัดศรีทอง ออกพรรษาแล้งท่านปล่อยให้เราอยู่ ณ ที่นั้นเอง ส่วนตัวท่านได้ออกเที่ยวรุกขมูลกลับมาทางจังหวัดสกลนครอีก เพราะในขณะนั้นคณะของท่านอาจารย์มั่นยังเที่ยวอยู่แถวนั้น คืนก่อนที่จะไปท่านได้ประชุมพรพระเณร บอกถึงการที่ท่านจะจากไป ขณะนั้นเรารู้สึกอาลัยอาวรณ์ท่านมากถึงกับสะอื้นในที่ประชุมหมู่มาก ๆ นั้นเอง เรารู้สึกละอายเพื่อนรีบหนีออกมาข้างนอก แล้วมาตั้งสติใหม่ มาระลึกได้ถึงเรื่องพระอานนท์ร้องไห้เมื่อครั้งพระพุทะองค์ทรงปลงพระชนมายุสังขาร จิตจึงค่อยคลายความโศกลงบ้าง แล้วจึงได้เข้าไปในที่ประชุมใหม่ ท่านได้โอวาทด้วยประการต่าง ๆ เรารู้ตัวดีว่าเราอายุมากแล้วเรียนจะไม่ทันเขา ขณะที่เรียนหนังสือไทยอยู่นั้น เราได้แบ่งเวลาท่องสวดมนต์ ท่องหลักสูตรนักธรรมเรียนนักธรรมตรีไปด้วยแต่ก็ไม่ได้สอบ เพราะเจ้าคณะมณฑลท่านมีกำหนดว่า ผู้อายุยังไม่ถึง ๒๐ ปีไม่ให้สอบนักธรรมตรีปีที่ ๓ จึงได้สอบนักธรรมตรีและสอบได้ในปีนั้น แล้วเราท่องบาลีต่อพร้อมกันเรื่องปาฏิโมกข์ไปด้วย เพราะเราชอบปาฏิโมกข์มาก เราเรียนหนังสือไทยจบแต่ประถมบริบูรณ์ (เพราะโรงเรียนรัฐบาลมีแค่ประถม ๓ เท่านั้น) เมื่อเราออกจากโรงเรียนภาษาไทยแล้ว เราก็ตั้งหน้าเรียนบาลี แต่ในปีการศึกษานั้นบังเอิญพระมหาปิ่น ปัญญาพโล น้องชายชองท่านอาจารย์สิงห์กลับมาจากกรุงเทพฯ มาเปิดสอนนักธรรมโทเป็นปฐมฤกษ์ในมณฑลหัวเมืองภาคอีสาน เราจึงได้สมัครเข้าเรียนด้วย แต่ทั้งบาลีและนักธรรมโทเราเรียนไม่จบทเพราะในศกนั้นอาจารย์สิงห์ท่านได้กลับไปจำพรรษา ณ ที่วัดสุทัศนารามอีก ออกพรรษาแล้วท่านได้พาเราพร้อมด้วยมหาปิ่น ออกเที่ยวรุกขมูลก่อนสอบไล่

    สามเณรได้เป็นเศรษฐีของรัฐบาล

    นั่นคือสามเณรเทศก์ กล่าวคือสมัยนั้นรัฐบาลคิดจะสร้างให้มีเศรษฐีขึ้นในเมืองไทยปีละหนึ่งคน จึงได้ออกลอตเตอรี่ปีละครั้ง ตั้งรางวัลที่หนึ่งให้เจ็ดแสนบาทพอแก่ฐานะเศรษฐีเมืองไทยพอดี เพื่อจะได้มิอับอายขายหน้าแก่นานาประเทศเขาบ้าง บังเอิญคืนวันหนึ่งสามเณรเทศก์แกนอนไม่หลับ เพราะแกไปถูกลอตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งเข้า แล้วแกก็ลงมือจัดแจงหาที่สร้างอาคารหลังใหญ่โตมโหฬารเป็นบ้านตึกสามชั้น ตกแต่งด้วยเครื่องเฟอร์นิเจอร์อย่างดีทันสมัย ณ ท่ามกลางย่านการค้า ให้ลูกน้องขนสรรพสินค้ามาใส่เต็มไปหมด ตัวแกมีความสุขกายสบายจิต ไม่คิดอะไรอีกแล้ว นอนเก้าอี้ยาวทำตาปริบ ๆ มองดูบรรดาสาว ๆ สวย ๆ ที่พากันเร่เข้ามาหาซื้อสินค้าต่าง ๆ ตามชอบใจ คนไหนชำเลืองตามาดูแกแล้วยิ้ม ๆ แกก็จะยิ้มตอบอย่างมีความสุข ในชีวิตของแกแต่เกิดมาได้ ๑๘
     
  4. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ออกจากอุบลเป็นคณะเที่ยวรุกขมูล

    คณะของเราพระ ๘ สามเณร ๔ รวมเป็น ๑๒ รูป โดยพระอาจารย์สิงห์เป็นหัวหน้า ได้เดินทางออกจากเมืองอุบลในระหว่างเดือน ๑๒ ได้พักแรมมาโดยลำดับ จนถึงบ้านหัวตะพานหยุดพักอยู่นั่นนานพอควร แล้วย้ายไปพักที่บ้านหัวงัวเตรียมเครื่องบริขารพร้อมแล้ว จึงได้ออกเดินรุกขมูลต่อไป
    การออกเดินรุกขมูลครั้งนี้ ถึงแม้จะไม่ได้วิเวกเท่าที่ควร เพราะเดินด้วยกันเป็นคณะใหญ่ แต่ก็ได้รับรสชาติของการออกเที่ยวรุกขมูลพอน่าดูเหมือนกัน กล่าวคือ คืนวันหนึ่งพอจัดที่พักแขวนกลดกางกลดตกมุ้งไหว้พระสวดมนต์เรียบร้อยแล้ว ฝนตกเทลงมาพร้อมด้วยลมพายุอย่างแรงนอนไม่ได้นั่งอยู่น้ำยังท่วมก้นเลย พากันหอบเครื่องบริขารหนีเข้าไปขออาศัยวัดบ้านเขา แถมยังหลงทางเข้าบ้านไม่ถูกเดินวกไปเวียนมาใกล้ๆ ริมบ้านนั้นตั้งหลายชั่วโมง พอดีถึงวัด
    ณ ที่นั้นมีโยมเข้าไปนอนก่อน คือโยมที่เขาเดินทางมาด้วย ๖ คน เขามีธุระการค้าของเขา แต่เขาเห็นก้อนเมฆในตอนเย็น เขาบอกว่าพวกผมไม่นอนละจะเขาไปพักในบ้าน พอพวกเราไปถึงเข้าเขาถึงช่วยจัดหาที่นอนตามมีตามได้ หมอน เสื่ออะไรก็ไม่มีทั้งนั้น แล้วจึงรีบกลับไปรับอาจารย์กับพวกเพื่อนอีก ๗-๘ รูป พอถึงเก็บบริขารเรียบร้อยแล้วก็นอนเฉยๆ ไปอย่างนั้น เพราะกุฏิก็เปียก ๆ อยู่นั่นเอง แถมรุ่งเช้าบิณฑบาตก็ไม่ได้อาหารได้กล้วยน้ำว้ากับข้าวสุก ฉันข้าวกับกล้วยคนละใบ แล้วก็ออกเดินทางต่อ ท่านอาจารย์พาพวกเราบุกป่าฝ่าดงมาทางร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ผ่านดงลิงมาออกอำเภอสหัสสขันธ์ เข้าเขตกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี แต่ไม่ได้เข้าในเมือง เว้นไปพักอยู่บ้านเชียงพินตะวันตกของอุดรเพื่อรอการมาจากกรุงเทพฯ ของเจ้าคณะมณฑล การที่ท่านให้พวกเรามารออยู่ที่อุดรครั้งนี้ ท่านมีจุดประสงค์อยากให้พระมหาปิ่นมาประจำอยู่ที่อุดร เพราะที่อุดรยังไม่มีพระธรรมยุต แต่ที่ไหนได้ เมื่อเจ้าคณะมณฑลมาจากกรุงเทพฯ ครั้งนี้ พระยาราชนุกูล ( ทีหลังเป็นพระยามุขมนตรี ) ได้นิมนต์พระมหาจูม พันธุโล ( ภายหลังเป็นพระธรรมเจดีย์ ) มาพร้อม เพื่อจะให้มาอยู่ที่วัดโพธิสมภรณ์ที่อุดร ฉะนั้นเมื่อเจ้าคณะมณฑลมาถึงแล้ว พวกเราจึงเข้าไปกราบนมัสการท่าน ท่านจึงได้เปรียญโปรแกรมใหม่ จะเอาพระมหาปิ่นไปไหว้สกลนคร แล้วจะให้เราอยู่ด้วยพระมหาจูมเพราะทางนี้ก็ไม่มีใครและเธอก็คนทางเดียวกัน อนึ่ง เธอก็ได้เรียนมาบ้างแล้วจงอยู่บริหารหมู่คนช่วยดูแลกิจการคณะสงฆ์ด้วยกัน เราได้ถือโอกาสกราบเรียนท่านว่า กระผมขอออกปฏิบัติเพื่อฉลองพระเดชพระคุณ เพราะผู้ปฏิบัติมีน้อยหายาก ส่วนพระปริยัติและผู้บริหารมีมากพอจะได้ไม่ยากนัก ท่านก็อนุญาตแล้วแนะให้เราอยู่ช่วยพระมหาปิ่น

    พบท่านอาจารย์มั่นครั้งแรก

    เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์ได้พาพวกเรออกเดินทางไปนมัสการกราบท่านอาจารย์มั่นที่บ้านค้อ อำเภอบ้านผือ ขณะนั้นพระอาจารย์เสาร์ก็อยู่พร้อม เป็นอันว่าเราได้พบท่านอาจารย์ทั้งสองแลได้กราบนมัสการท่านเป็นครั้งแรกในชีวิต ตกกลางคืนท่านอาจารย์มั่นได้เทศนาอบรมพวกเราด้วยความเต็มอกเต็มใจในการที่ได้เห็นพวกเราเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะแล้วได้เห็นพระมหาปิ่นผู้ซึ่งปฏิญาณตนไว้ก่อนจะไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ เมื่อท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาของท่านอาจารย์มั่นพร้อมกันกับพระอาจารย์สิงห์ที่เมืองอุบลว่า ผมไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ก่อน จึงจะออกปฏิบัติตามท่านอาจารย์มั่นภายหลัง ส่วนตัวของเรานั้นท่านคงได้ทราบจากท่านอาจารย์สิงห์เล่าให้ฟัง นอกจากนี้แล้วท่านคงไม่ทราบ
    คืนวันนั้นเสร็จจากการอบรมแล้วท่านก็สนทนาธรรมสากัจฉากันตามสมควร จบด้วยการพยากรณ์ พระมหาปิ่นและตัวของเราในด้านความสามารถต่าง ๆ นานา ตอนนี้ทำให้เรากระดากใจตนเองในท่ามกลางหมู่เพื่อนเป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวของเราเองพึ่งบวชใหม่ แลมองดูตัวเราแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพอที่ท่านจะสนใจในตัวของเรา ความจริงตั้งแต่ตอนเย็น พอย่างเข้ามาในเขตวัดของท่าน มันทำให้เราขวยเขินอยู่แล้ว แต่คนอื่นเรามาทราบ เพราะเห็นสถานที่แลความเป็นอยู่ของพระเณรตลอดถึงโยมในวัด เขาช่างสุภาพเรียบร้อยนี่กระไร ต่างก็มีกิจวัตรและข้อวัตรประจำของตน ๆ พอท่านพยากรณ์พระมหาปิ่นแล้วมาพยากรณ์เราเข้ายิ่งทำให้เรากระดากใจยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ แต่พระมหาปิ่นคงไม่มีความรู้สึกอะไร นอกจากท่านจะตรวจดูว่าความสามารถของท่านเทียบกับคำพยากรณ์เท่านั้น
    รุ่งเช้าฉันจังหันแล้ว ท่านอาจารย์สิงห์ได้พาคณะของเราเดินทางต่อไปบ้านนาสีดา ได้พาพักอยู่ ณ ที่นั้นสี่คืนแล้วย้อนกลับทางเดิม มาพักที่ท่านอาจารย์มั่นอีกหนึ่งคืน จึงเดินทางกลับอุดร แล้วได้เดินทางต่อไปสกลนครตามที่ได้ตกลงกันไว้กับเจ้าคณะมณฑล แต่กิจการนั้นไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ของเจ้าคณะมณฑล เพราะพระมหาปิ่นอาพาธไม่สามารถจะไปรับหน้าที่ที่มอบหมายให้ได้ ฉะนั้นในพรรษานั้น ท่านอาจารย์สิงห์จึงได้พาคณะเราไปจำพรรษาที่วัดป่าหนองลาดเรื่องนี้ทำให้เจ้าคณะมณฑลไม่พอใจอย่างยิ่ง จึงได้เอาพระบุญ นักธรรมเอกไปไว้ที่สกลนครต่อไป
     
  5. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    จำพรรษา
    พรรษา ๒ จำพรรษาบ้านหนองลาด ( .. ๒๔๖๗ )
    ก่อนเข้าพรรษาเราได้พระกลมชาวจังหวัดเลยเป็นกัลยามิตรดีมากขึ้นไปทำความเพียรที่ถ้ำพวงบนภูเหล็กสองครั้ง ครั้งที่หนึ่งสี่คืน ครั้งที่สองหกคืนโดยมีผู้ใหญ่บ้านอ่อนสี ( ภายหลังเป็นกำนันขุนประจักษ์ แล้วบวชพระ มรณภาพในเพศสมณะนั้นเอง ) ได้ส่งคนให้ขึ้นไปจัดอาหารถวายเป็นประจำ เราได้จารึกพระคุณของแกไว้ในใจไม่รู้หายเลย ไม่ว่าพระต้องการอะไร ไม่ถึงกับพูดตรง ๆ ดอก พอปรารภเท่านั้นแกจัดการให้เรียบร้อย พวกเราได้สัปปายะครบทั้งสี่แล้วก็เริ่มประกอบความเพียรอย่างสุดเหวี่ยง ยิ่งทำความเพียรก็ยิ่งระลึกถึงคุณของผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านเป็นกำลัง อาหารพริกแห้งผงกับข้าวเหนียววันละหนึ่งก้อนเท่าผลมะตูม เราอยู่ได้พอทำความเพียรไม่ตาย เมื่อเราลดอาหารแต่มาเพิ่มความเพียรกายเราเบา สติ เราดี, สมาธิ เราก็ไม่ยาก เราปรารภความเพียรมาก สติของเราก็ดีขึ้นแลมั่นคงดี เราหัดสติอยู่ ณ ที่นั้นเอาให้สม่ำเสมอตลอดกลางวันกลางคืน มิให้เผลอส่งออกไปตามอารมณ์ภายนอกได้ให้ตั้งมั่นอยู่ที่กายที่ใจแห่งเดียว แม้ก่อนนอนหลับตั้งไว้อย่างไรตื่นขึ้นมาก็ให้ตั้งอยู่อย่างนั้น จะมีเผลออยู่บ้างก็ตอนฉันอาหาร เมื่อปรารภความเพียรมากขึ้นเท่าไร การระลึกถึงคุณของชาวบ้านก็ยิ่งมีมากขึ้นเป็นเงาตามมา เรารู้ตัวดีว่าเราเป็นพระ ชีวิตของเราฝากไว้กับชาวบ้าน ฉะนั้นเราจะปรารภความเพียรเพื่อใช้หนี้บุญคุณของชาวบ้าน แล้วเราก็แน่ใจตนเองว่าเรามาทำความเพียรครั้งนี้ เราได้ทำหน้าที่ของลูกหนี้อย่างสมบูรณ์แล้ว จวนเข้าพรรษาจึงได้ไปจำพรรษาร่วมกับท่านอาจารย์สิงห์ที่บ้านวัดหนองลาด ในพรรษานี้เราเป็นพระใหม่ไม่ต้องรับภาระอะไรนอกจากจะประกอบอาจาริยวัตรแล้ว ก็ปรารภความเพียรเท่านั้น ท่านอาจารย์เองก็อนุญาตให้พวกเราเป็นพิเศษ เราได้ประกอบความเพียรตามแนวนโยบายที่เราได้กระทำมาแต่บนภูเขาตลอดพรรษา แล้วยังได้ประกอบแบบโยคะเพื่อทดลองเพิ่มเติมอีกด้วย กล่าวคือฉันอาหารผ่อนตั้งแต่ ๗๐ คำข้าวเหนียว ลงมาจนถึง ๓ คำ แล้วเขยิบขึ้นไปถึง ๓๐ คำ แล้วก็ผ่อนลงมาถึง ๕ คำ ไป ๆ มา ๆ อย่างนี้เป็นระยะ ๆ ๓-๔ วัน ทำอย่างนี้อยู่ตลอดพรรษา แต่ระยะที่ยาวนานกว่าเขาคือ ๑๕ คำ แล้วก็ฉันแต่อาหารมังสาวิรัติด้วย ร่างกายของเราผอมอยู่แล้วก็ยิ่งซุบซีดลงไปอีก จนเป็นที่แปลกตาของชาวบ้าน ใคร ๆ เห็นก็ถามว่าเป็นอะไรไปหรือ แต่เราก็มีกำลังใจประกอบข้อวัตรและทำความเพียรได้เป็นปกติออกพรรษาเราจึงเริ่มฉันอาหารเนื้อปลา แต่แหม! มันคาวนี่กระไรมนุษย์คนเรานี้กินเนื้อเขาเอามาเป็นเนื้อของเรา เหมือนกับไปฉกขโมยของสกปรกเขามากินอย่างนั้นแหละ เทพยดาทั้งหลายจึงเข้าใกล้มนุษย์ไม่ได้มันเหม็นสาปแต่มนุษย์ทั้งหลายก็ยังกอดชมทรากศพกันอยู่ได้

    ออกพรรษาแล้ว เราสององค์กับท่านอาจารย์สิงห์ได้ขึ้นไปอีกคราวนี้อยู่ ๙ คืน ท่านอาจารย์สิงห์อาพาธได้ให้ไปตามพรรคพวกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าที่นั้นมันไม่สะดวกแก่การพยาบาลกันจึงได้อพยพกันลงมาพักรักษาตัวอยู่ ณ ป่าหนองบัว ( บัดนี้ได้เป็นบ้านแล้ว ) พอดีท่านอาจารย์มั่นสั่งให้เราเดินทางไปพบท่านที่อำเภอท่าบ่อ เราจึงได้ลาท่านอาจารย์สิงห์ไปตามคำสั่งของท่าน พอดีมาพบท่านอาจารย์มั่นกับพระอาจารย์เสาร์ ซึ่งได้รับนิมนต์จากวัดโพธิสมภรณ์ อุดรฯ ขณะนั้นคุณยายน้อย ( มารดาพระยาราชนุกูล ) มาในงานผูกพัทธสีมาวัดโพธิสมภรณ์ คุณยายน้อยได้พบและได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่นครั้งนี้เป็นครั้งแรก เกิดความเลื่อมใสตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เราได้อยู่ร่วมกับท่านอาจารย์มั่นเป็นเวลาหลายวันแล้วเดินทางกลับท่าบ่อพร้อมท่าน
     
  6. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203

    พรรษา ๓ จำพรรษาบ้านนาช้างน้ำ ( พ.ศ. ๒๔๖๘ )
    พรรษานี้เราได้จำพรรษาที่บ้านนาช้าง ซึ่งไม่ไกลจากท่าบ่อที่ท่านอาจารย์มั่นอยู่ เรากับพระอาจารย์อุ่นได้หมั่นมาฟังท่านเทศน์เสมอ พรรษานี้เราก็ไม่มีภาระอะไร นอกจากจะปรารภความเพียรเฉพาะส่วนตัวเท่านั้น ภาระอื่น ๆ มีการรับแขกเป็นต้น เราได้มอบท่านอาจารย์อุ่นทั้งหมด เพราะท่านเคยเป็นอาจารย์เขามาแล้ว ท่านเคยบวชมหานิกายมาได้ ๙ พรรษา เพิ่งมาญัตติฝ่ายคณะธรรมยุตินี่เอง
    ในพรรษานี้มีสิ่งที่น่าสลดใจสังเวชอยู่เรื่องหนึ่งคือ พระอาจารย์ทา ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของท่านอาจารย์มั่นเสียด้วยถ้าจำไม่ผิด พรรษาราว ๑๖-๑๗ พรรษานี้แหละ เดิมท่านไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพ ฯ แต่ไม่สำเร็จ พอท่านได้ทราบกิตติศัพท์ของท่านอาจารย์มั่น ซึ่ง เจ้าคุณพระอุบาลี ( สิริจันโร จันทร์ )สรรเสริญจึงได้ออกติดตามท่านมา ในพรรษานั้นท่านได้ไปจำพรราที่ถ้ำผาบิ้ง จังหวัดเลย กับอาจารย์ขันธ์ ท่านเกิดสัญญาวิปลาสหนีมาหาอาจารย์มั่นกลางพรรษา บอกว่า ท่านเองต้องอาบัติถึงที่สุด แล้วร้อนไปหมดทั้งตัว เห็นผ้าเหลืองเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด เมื่อซักไซร้ไล่เลียงไปในสิ่งที่ว่าผิดนั้น ก็ไม่มีมูลความจริงสักอย่าง เป็นแต่ตัวเองสงสัยสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วก็เดือดร้อนเองเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่ท่านเดือดร้อนมาก ก็คือเมื่อท่านไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านโพนสว่าง สมาธิกำลังทำให้สว่างไสวมากจะคิดค้นพิจารณาธรรมหมดใดก็ดูเหมือนหมดจดไปหมดแล้วลงสู่ที่ใจแห่งเดียว แล้วตัดสินใจตนเองว่า เราถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์แล้ว จนปฏิญาณตนในท่ามกลางสงฆ์เอาเสียเลย ต่อมาอาการนั้นเสื่อมไปเลยสงสัยตนว่า เราอวดอุตริ
     
  7. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๔ จำพรรษาที่ป่าช้าทิศเหนือของอำเภออากาศอำนวย ( .. ๒๔๖๙ )
    จวนเข้าพรรษาเราได้ย้อนกลับมาจำพรรษาที่ป่าช้าทิศเหนือของอำเภออากาศอำนวย ท่านอาจารย์สิงห์จำพรรษาทางทิศใต้ของอำเภออากาศอำนวย ในพรรษานี้ผู้ที่จำพรรษาด้วยกันมีพี่ชาย อาว์ผู้ชาย โยมแม่ โยมป้า และแม่ชีบ้านโพนสว่างอีกคนหนึ่ง พระคงมีแต่เราคนเดียวกับ สามเณรชื่น บ้านท่าบ่อ พอจวนเข้าพรรษา โยมอาว์มาเสียไปคนหนึ่ง คงยังเหลือเพียง ๖ คนด้วยกัน ในพรรษานี้ชาวบ้านเกิดฝีดาษผู้คนแตกหนีไปอยู่ตามป่าตามทุ่งนาเกือบหมด แม้พระตามวัดในบ้านก็ตามโยมไปด้วย แทบจะไม่มีคนตักบาตรให้ฉัน เพราะคนในเมืองอากาศนี้ไม่เคยเป็นฝีดาษกัน บ้านมีพันกว่าหลังคาเรือน คนเป็นฝีดาษ ๕ คนเท่านั้น ใครเป็นฝีดาษแล้วจะต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้ กว่าคนอื่นจะรู้มันลุกลามไปมากแล้วและเมื่อฝีดาษแล้วจะต้องเอาไปไว้ในป่าปลูกกระต๊อบให้อยู่คนเดียว เพียงเอาอาหารไปส่งให้กิน ดีหนักหนาที่ท่านอาจารย์สิงห์ท่านรู้จักยาสมุนไพรอยู่บ้างท่านจึงบอกไม่ให้เอาไปทิ้งไว้ในป่า ท่านหายามารักษากัน จึงมีตายเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พอทางการรู้เข้าจึงมาฉีกวัดซีนป้องกันให้
    เดชะบุญเขายังนับถือพระกัมมัฏฐานอยู่ ถึงแม้ไม่มีคนนอนเฝ้าบ้านเลยสักคนเดียว ขนาดนั้นแล้วตอนตี ๔
    -๕ ยังอุตสาห์ด้อม ๆ มาหุงข้าวไว้สำหรับตักบาตร พวกเราไปบิณฑบาต เขขาจะออกมาตักบาตรแล้วรีบกลับเข้าป่าไป

    ขอขอบบุญขอบคุณชาวอากาศไว้ ณ ที่นี้เป็นพิเศษ
    บุญกุศลนี้เป็นของสูงเหนือชีวิตจิตใจ เป็นที่พึ่งของมนุษย์ผู้ได้รับทุกข์ที่มีชีวิตอยู่และละโลกนี้ไปแล้วได้อย่างแท้จริง คนเราเมื่อได้รับทุกข์หากไม่พึ่งบุญแล้วจะไปพึ่งอะไรเล่า
    คนเมืองอากาศกลัวฝีดาษยิ่งกว่ากลัวเสือ คนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ทั้งเป็นญาติกันด้วยก็ไม่พูดกัน เราถามเขาว่าเมื่อไรจะพูดกัน เขาบอกว่าโน่นละออกพรรษาแล้วเดือนสาม จึงจะพูดกัน
    ในพรรษานี้เราได้ไปฟังเทศน์ท่านอาจารย์สิงห์บ่อย ๆ การไปจะต้องเดินผ่านเมืองอากาศนี้ไปไกลเป็นระยะทางเกือบ ๓ กิโล ( ในบ้านไม่มีคน แม้แต่สุนัขตัวเดียวก็ไม่เห็น ) ถูกท่านอาจารย์สิงห์เทศน์กระเทือนใจเราอย่างหนัก จะเป็นเพราะท่านแกล้งเพื่อให้กระเทือนใจเรา หรือท่านไม่รู้นิสัยของเราตามความเป็นจริงก็เหลือที่จะเดาถูก ท่านว่า นิสัยของเราเป็นคนกระด้าง หัวดื้อ ไม่ค่อยจะลงคน ขณะที่ท่านเทศน์อยู่นั้น เราได้กำหนดจิตตรวจดูภายในใจของเรา เราเองก็เคารพนับถือท่านอย่างสุดซึ้ง คอยรับโอวาทของท่านอยู่เสมอ ทำไมท่านจึงว่าอย่างนั้น แต่ที่ท่านว่าไม่ค่อยจะลงคนนั้นเป็นความจริง เราเป็นคนเช่นนั้นแต่ไหนแต่ไรมา สิ่งใดถ้าไม่สมเหตุสมผลแล้วไม่ค่อยเชื่อง่าย ๆ เหมือนกัน แม้ความเห็นของตนเองหากไม่เทียบดูโน่นดูนี่แล้ว ถ้าไม่มีหลักฐานยืนบันแล้วหัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมเชื่อเอาเสียดื้อ ๆ อย่างนั้นแหละ ( เรื่องนี้จะได้นำมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังข้างหน้า ) ในขณะที่นั่งฟังเทศน์ท่านอยู่นั้นพริ้มทั้งตรวจใจของตนไป มันยิ่งทำให้เกิดมานะกล้าขึ้นเหมือนกับเอาน้ำมันมารดดับไฟอย่างนั้นแหละ ขากลับมาเดินตัวปลิว จิตมันกำหนดเอาเรื่องนั้นมาเป็นอารมณ์ไม่หาย คืนวันนั้นเรายิ่งปรารภความเพียรเพิ่มขึ้นเป็นทวีคุณด้วยคิดว่า
    เราได้ปรารภความเพียรมาถึงขนาดนี้แล้ว กิเลสซึ่งมีอยู่ในใจของเราแท้ ๆ ทำไมเราจึงรู้ไม่ได้แต่คนอื่นกลับมาล่วงรู้ของเราได้น่าขี้ขายหน้าท่านก็เป็นคนเกิดจากบิดามารดา เติบโตมาด้วยน้ำนมข้าวป้อนเหมือน ๆ กับเรา ท่านยังสามารถล่วงรู้กิเลสภายในของเราได้ วันนี้ถ้าหากเราไม่สามารถรู้เรื่องกิเลสภายในของเราแล้ว เราจะยอมตายกับการทำความเพียรของเรานี้แหละ
    เมื่อปรารภความเพียรอยู่นั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เป็นแต่พิจารณาไปว่าท่านเห็นอย่างนั้น ท่านก็เทศน์ไปอย่างนั้นตามสิทธิของท่าน เมื่อของเราไม่เป็นอย่างท่านว่า เราก็ปรารภชำระตนเอง ใครจะไปรู้ยิ่งไปกว่าเราแล้วไม่มี ใจก็สงบเย็นลงไปเฉย ๆ เมื่อทำความเพียรมากเข้าธาตุก็ไม่ค่อยปกติจึงได้เอนกายลงพักผ่อน แต่นอนไม่ค่อยจะหลับ พอเคลิ้มก็ได้เรื่อง ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าผีอำ เรื่องผีอำไม่ต้องอธิบายใคร ๆ ก็รู้กันดีอยู่แล้วว่ามันมีอาการอย่างไร แต่ข้อสำคัญมันเป็นผีอำจริงหรือไม่ คืนวันนั้นเราได้ทดสอบหาความเท็จจริงหลายอย่าง เบื้องต้นมันเป็นตัวคล้าย ๆ กับอะไรใหญ่โตดำทมึนเข้ามานั่งทับอกเราแล้วหายใจไม่ออกพยายามดิ้นกว่าจะรู้สึกตัวหายใจได้แทบใจขาดทีเดียว เขาว่าผีสัตว์ที่เราฆ่ามันอยู่ที่หัวโป้มือ เอามือทับหน้าอกมันจึงอำเอา ทีนี้เอามือออกจากอกแล้วมาวางเหยียดแนบลำตัว มันก็ตามมาอำอีก เอ นี่อะไรกัน เป็นเพราะนอนหงายกระมังลองนอนตะแคงดู มันก็ยังมาอำอีก เวลามันอำ ทำเอาจนหายใจจะขาดให้ได้จึงได้มากำหนดดูว่าอาการของคนจะตายมันเป็นอย่างไร สติตามรู้จิตจนวาระสุดท้ายยังเหลือสติตามรู้จิตอยู่นิดเดียว ในความรู้สึกนั้นว่า ถ้าเราปล่อยสติที่ยังตามรู้จิตนิดเดียวนี่แหละเมื่อไรนั่นแหละ คือความตาย บัดนี้เราจะปล่อยให้มันตายหรือไม่ปล่อยดี เวลานี้จิตของเราก็บริสุทธิ์ดีอยู่แล้ว หากจะปล่อยให้มันตายก็ไม่เสียที มันยังมีความรู้สึกนิด ๆ หนึ่งว่า ถ้าเราปล่อยให้มันตายมีชีวิตอยู่ ก็ยังสามารถทำประโยชน์ให้แก่คนอื่นได้อีกต่อไป ถ้าตายเสียเวลานี้ก็จะได้แต่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น แล้วคนที่อยู่ภายหลังก็จะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุแห่งความตายนี้อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นก็อย่าให้มันตายเลยแล้วพยามกระดุกกระดิกมือเท้าให้มันเคลื่อนไหวจนรู้สึกตัวขึ้นมา ตอนที่สองไม่เป็นตัวดอก แต่มันเป็นก้อนดำทมึน ๆ เข้ามา ทีนี้เราทราบแน่แล้วว่าไม่ใช่ผีมันเรื่องของลมตีขึ้นข้างบนต่างหาก เราพยายามเคลื่อนไหวมือเท้าแล้วก็หายไป ตอนที่สามไม่ถึงขนาดนั้นเป็นแต่ซึม ๆ เคลิ้ม ๆ แล้วเราพยายามลุกขึ้นเสีย ผู้อ่านทั้งหลายพึงสังเกตตัวเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา จะมีอาการมึนศีรษะและซึมเซ่อ ถ้าไม่พยายามรับประทานยาแก้ลมแล้วนอนไปอีกก็จะเป็นเช่นนั้นอีก เฉพาะตัวข้าพเจ้าแล้วแก้ได้โดยเฉพาะดมพิมเสนอย่างเดียว
    ตำรานอนหลับหรือไม่หลับ
    ในระยะเดียวกันนี้ได้พยายามจับอาการของคนนอนหลับว่าเป็นอย่างไร โดยมากเราไม่รู้ตัวขณะที่มันจะหลับจริง ๆ ตื่นแล้วจึงรู้ว่าตนนอนหลับ คนเราก่อนหลับจะมีอาการเมื่อยอ่อนเพลียและง่วงซึมเซ่อทั้งกายและใจ ความนึกคิดสั้นเข้าที่สุดปล่อยวางสติอารมณ์ทั้งหมดแล้วหลับผลอยไป เรียกว่า หลับ เมื่อมาตั้งสติคอยจับอาการ ขณะที่มันปล่อยวางขั้นสุดท้ายนั้นสติจะยังเหลือน้อยมากแทบจะจับไม่ได้เลยทีเดียว อารมณ์ต่าง ๆ ไม่มีเหลือเลย จะยังเหลือสติตามเพ่งดูจิต ซึ่งปรากฏในขณะนั้นนิดเดียวคล้าย ๆ กับว่าจิตจะตกภวังค์ ตอนนี้ถ้าหากเราไม่ต้องการจะให้มันหลับ พยายามค้นหาอารมณ์อันใดอันหนึ่งเอามายึดแล้วคิดค้นและปรุงแต่งต่อไป จิตใจก็จะแช่มชื่นเบิกบานหายจากความง่วงไม่หลับ แล้วจะมีคุณค่าเท่ากับเรานอนหลับตั้ง ๔-๕ ชั่วโมง ถ้าเราประสงค์จะให้มันหลับ เราก็ปล่อยสติที่ว่ายังเหลืออยู่นิดเดียวนั้นเสีย แล้วจะหลับไปอย่างสบาย แต่ดีไม่เสียเวลา จะหลับน้อยมากไม่เกิน ๕-๑๐ นาที หรือถ้าเราตั้งสติกำหนดได้ดังอธิบายมานี้จริง ๆ แล้วรับรองไม่เกิน ๕ นาที
    อนึ่ง ถ้าเราไม่ต้องการให้มันหลับละ แต่จะพักกายพักจิตเฉย ๆ ก็ให้หาที่พักอันสงัดพอสมควร จะเป็นที่ลับตาหรือท่ามกลางผู้คนก็ตามแล้วเอนกายทอดเหยียดให้สบาย อย่าให้เกร็งในส่วนใด ๆ ของร่างกาย แล้วให้กำหนจิตให้อยู่ในอารมณ์เดียวในความปล่อยวาง ให้มันว่างอยู่เฉย ๆ เฉพาะมันสักพักหนึ่ง แล้วเราลุกขึ้นมาอาการทั้งหมดก็จะเหมือนกับว่าเราได้นอนหลับไปแล้วตั้ง ๔-๕ ชั่งโมง ก็เหมือนกัน
    ความจริงคำที่ว่า
     
  8. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๕ จำพรรษาอยู่บ้านนาช้างน้ำอีก ( .. ๒๔๗๐ )
    พรรษานี้ เราได้วกกลับมาจำพรรษาที่บ้านนาช้างน้ำอีกเป็นครั้งที่สอง พี่ชายของเราได้จำพรรษาที่บ้านนาสีดากับโยมพ่อ ออกพรรษาแล้วเราได้พาพี่ชายของเราไปทำความเพียรที่ถ้ำพระนาผักหอก ตอนหลังนี้พี่ชายของเราได้กลับลงไปหาพระอาจารย์เสาร์ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่นครพนม ออกพรรษาแล้วได้อุปสมบทเป็นพระ ณ ที่วัดศรีเทพนั่นเอง


    พรรษา ๖ จำพรรษาอยู่ที่ถ้ำพระนาผักหอก
    (.. ๒๔๗๑ )
    เราได้พาเอาโยมพ่อไปอยู่ถ้ำด้วย ตั้งแต่ท่านบวชเป็นชีปะขาวมาได้ ๑๑ ปีแล้ว เรายังไม่เคยได้ให้ท่านอยู่จำพรรษาด้วย และก็ไม่เคยมาจำพรรษาใกล้บ้านอย่างปีนี้เลย ปีนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้อุปการะท่านในด้านทางธรรมและท่านก็ได้ทำภาวนากรรมฐานอย่างสุดความสามารถของท่าน ได้ผลอย่างยิ่งจนท่านอุทานออกมาว่า ตั้งแต่เกิดมาในชีวิตพึ่งได้ซาบซึ้งในรสชาติของพระธรรมในครั้งนี้เอง ท่านนั่งภาวนากัมมัฏฐานได้นานเป็นเวลาถึง ๓-๔ ชั่วโมงทีเดียวเราดีใจมากที่ได้สงเคราะห์ท่านสมเจตนารมณ์ของเรา แต่เมื่อถึงกาลเวลาเข้าแล้วคนเรามันมักมีอันเป็นไป กล่าวคือท่านมาเกิดอาพาธ ลูกหลานเขามองเห็นความลำบากเมื่อเจ็บมากในเวลาค่ำคืน เพราะอยู่สองคนพ่อลูกเท่านั้น ไม่ทราบว่าจะวิ่งไปพึ่งใคร เขาจึงได้พากันมารับเอาลงไปรักษาที่บ้าน แต่ท่านก็ไม่ยอมกลับไปอยู่วัดเดิม ให้นำเอาไปไว้ที่ขนำนาของท่านกลางทุ่ง เราได้ตามไปให้สติบ่อย ๆ
    ในปีนั้นมีสิ่งที่น่ามหัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งสำหรับพ่อของเรา กล่าวคือข้าวกล้าในนาของชาวบ้านทั้งหมดแถบนั้นไม่ดีเลยทั้ง ๆ ที่ฟ้าฝนก็พอปานกลางต้นข้าวแดงไปหมด มีข้าวที่เขียวงามผิดหูผิดตาของคนทั้งหลายเฉพาะทุ่งนาที่ท่านอยู่เท่านั้น จนชาวบ้านพูดกันว่าคุณปะขาวคงจะไม่รอดปีนี้ แล้วก็เป็นความจริงอย่างที่เขาพูด วันนั้นเราได้ไปให้สติและอุบายต่าง ๆ จนเป็นพอใจของท่าน ท่านก็ยังแข็งแรงดี จวนค่ำเราจึงกลับที่อยู่ถ้ำนาผักหอก กลางคืนวันนั้นเองท่านได้ถึงแก่กรรม ด้วยอาการมีสติ สงบอารมณ์อยู่ตลอดหมดลมหายใจ รุ่งเช้าเขาได้ไปตามเรามาแล้วก็ได้ทำการฌาปนกิจศพของท่านให้เสร็จเรียบร้อยในวันนั้นเอง ถึงแก่กรรมเมื่อเดือนสิงหาคม พ.. ๒๔๗๑ อายุได้ ๗๗ ปี บวชชีปะขาวอยู่ ๑๑ ปี
    ก่อนโยมพ่อของเราจะไปอยู่ด้วย เราอยู่คนเดียว หลังจากโยมพ่อของเราถึงแก่กรรมแล้วเราก็อยู่คนเดียวอีก นับว่าหาได้ยากที่จะได้วิเวกอย่างนี้ เราได้กำหนดในใจของเราไว้ว่า ชีวิตและเลือดเนื้อตลอดถึงข้อวัตรที่เราจะทำอยู่ทั้งหมด เราขอมอบบูชาพระรัตนตรัยเหมือนกับบุคคลเด็ดดอกไม้บูชาพระ แล้วเราก็รีบเร่งปรารภความเพียรอย่างแรงกล้า ตั้งสติกำหนดจิตมิให้คิดนึกส่งออกไปภายนอกให้อยู่ในความสงบเฉพาะภายในอย่างเดียว ตลอดวันยังค่ำคืนยังรุ่งก่อนจะนอนตั้งสติไว้อย่างไรตื่นมาก็ให้ได้อย่างนั้น แม้บางครั้งนอนหลับ แต่ลุกขึ้นไม่ได้ พยายามให้กายเคลื่อนไหวแล้วจึงจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นโดยความเข้าใจในตนเองว่า จิตที่ไม่คิดนึกส่งส่ายออกไปภายนอก สงบนิ่งอยู่ ณ ที่เดียวนั้นแลคือ ความหมดจดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ปัญญาก็เอามาใช้ชำระใจที่ส่งส่ายแล้วเข้ามาหาความสงบนั่นเอง ฉะนั้นจึงไม่พยายามที่จะใช้ปัญญาพิจารณาธาตุขันธ์อายตนะ เป็นต้น หาได้รู้ไม่ว่า กายกับจิตมันยังเกี่ยวเนื่องกันอยู่ เมื่อวัตถุหรืออารมณ์อันใดมากระส่วนใดส่วนหนึ่งเข้าแล้ว มันจะต้องกระเทือนถึงกันทำให้ใจที่สงบอยู่แล้วนั้น หวั่นไหวไปตามกิเลสได้
    เราทำความเพียรเดินจงกรมจนเท้าทะลุเลือดออก แล้วก็เป็นไข้ตลอดพรรษาแต่เราก็หาได้ท้อถอยในการปรารภความเพียรไม่ เราเคยได้อ่านเรื่องพระเถระบางองค์ในสมัยก่อน เดินจงกรมจนเท้าแตกเราไม่ค่อยจะเชื่อ คำว่า แตก คงหมายเอาไปกระทบของแข็งอะไรเข้าแล้วก็แตก ก็เดินจงกรมสำรวจในทางเรียบ ๆ จะไปกระทบอะไร ความจริงศัพท์บาลีคำว่า แตก หรือ ทะลุ ใช้ศัพท์เดียวกันนั่นเอง และที่ว่าพระอาพาธ ( ไข้ ) เกิดจากกรรม - ฤดู - น้ำดีกำเริบ - การกระทบ สิ่งภายนอกแลเกิดจากทำความเพียร ก็พึ่งมาเข้าใจเอานี่เองว่า ความเพียรที่จิตมีกำลังกล้าไม่มีปัญญา แต่นี่เราอยู่คนเดียวไม่มีกัลยาณมิตร กล้าแต่ความเพียร จิตไม่กล้าปัญญาไม่ค่อยดี จึงทำให้เป็นไข้
    ออกพรรษาแล้ว เราจึงได้ย้อนกลับไปหาพี่ชายของเราและพระอาจารย์เสาร์ที่นครพนม เพราะเราห่างจากหมู่เพื่อนและครูบาอาจารย์มาสองปีแล้ว ตั้งแต่ท่านอาจารย์เสาร์และท่านอาจารย์มั่นพร้อมทั้งหมู่คณะจากท่าบ่อไป ในแถบนี้ยังเหลือพระคณะนี้เฉพาะองค์เดียว
    เรื่องของหลวงตามั่น
    ขณะนั้นหลวงตามั่นบ้านค้อ ได้มาจำพรรษาบ้านนาสีดา อันเป็นบ้านเกิดของเรา แกเที่ยวคุยและอาละวาดพระที่มีความรู้น้อยกว่าว่า แกเป็นผู้เก่งทางศาสนา สามารถโต้ตอบกับใครต่อใครให้ปราชัยไปได้ แม้พระกัมมัฏฐานทั้งหลายเห็นหน้าแกแล้วก็หลบหน้า ดูซิ พระกัมมัฏฐานอยู่ไม่ได้หนีไปหมดเพราะกลัวเรา ยังเหลือแต่คุณเทสก์องค์เดียว นี่อยู่ไม่กี่วันก็จะไปแล้ว เขาได้ยินแล้วเบื่อ ไม่อยากพูด ถึงพูดแกก็ว่าถูกแต่แกคนเดียว โต้กันไป
    พอดีพรรษานั้นเกิดอธิกรณ์กับพระบ้านกลางใหญ่เขาแอบไปนิมนต์เราให้ลงมาจากถ้ำพระเพื่อมาชำระอธิกรณ์ พอเราลงมาแกกลับให้ล้มเลิกอธิกรณ์นั้นเสีย แกชวนทำอย่างนี้อยู่ร่ำไป จนเป็นเหตุให้พระแถวนั้นเอือมระอาไปหมด นี่จะเป็นเพราะบ้ายอดังคนปักษ์ใต้พูดก็ได้ เพราะเขาขี้เกียจพูด พูดไปก็ไร้สาระประโยชน์
    พอดีวันนั้นเป็นวันปวารณา เขาทำบุญตามประเพณีเขาไปนิมนต์แกมาร่วมเทศน์ด้วย และเขาได้ไปนิมนต์เราลงมาร่วมด้วยเหมือนกัน แต่เขาไม่ได้บอกให้แกรู้ พอดีเราเดินผ่านบ้านมาไม่เห็นมีคน เขาไปรอคอยเราอยู่ที่วัดหมดแล้วซึ่งผิดปกติจากทุกวัน แต่ไหนแต่ไรมาพอจะรู้ว่าเราจะเดินผ่านบ้าน เขาจะมารอดูเราเต็มไปหมดสองข้างทาง บางคนร้องเรียกจ้าระหวั่น จนเราไม่อยากจะเดินผ่านบ้านกลางใหญ่
    พอแกเทศน์จบเราเรียกประชุมสงฆ์ทั้งหมด แล้วปรารภเรื่องที่เทศน์ที่แกพูดว่า ไหว้พระเอา
     
  9. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๗ จำพรรษาบ้านนาทราย ( .. ๒๔๗๒ )
    จวนเข้าพรรษาท่านอาจารย์เสาร์ได้ให้เราไปจำพรรษาที่บ้านนาทราย พระอาจารย์ภูมีไปจำบ้านนาขี้ริ้น เพื่อฉลองศรัทธาญาติโยม พรรษานี้สุขภาพของเราไม่ดีเลย แต่เราก็ไม่ท้อถอยในการทำความเพียรภาวนากัมมัฏฐาน จนถึงขนาดพลีชีพเพื่อบูชาพระรัตนตรัยเอาเลย มันให้คำนึงถึงอนาคตภัยทั้งส่วนตัวและพุทธศาสนาว่าบรรพชาเพศของเราจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่หนอ บางทีบ้านเมืองเกิดจลาจล ประเทศชาติถูกข้าศึกรุกราน เราอาจถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร หรือมิฉะนั้นบ้านเมืองตกไปเป็นขี้ข้าของชาติอื่น เราจะบวชอยู่ได้อย่างไร ถึงแม้จะอยู่ก็ไม่สะดวกแก่การปฏิบัติธรรมวินัย เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะทำอย่างไร อนึ่งเวลานี้ครูบาอาจารย์ของเราก็ยังมีหลายท่านหลายองค์อยู่ เมื่อท่านเหล่านั้นแก่เฒ่าชราร่วงโรยไปหมดแล้ว ใครหน่อจะเป็นผู้นำหมู่คณะในทางปฏิบัติศีลธรรมเล่าแสงแห่งพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็มีแต่จะหรี่ลบทุกที เมื่อคิดไป ๆ ก็ทำให้ใจเศร้าสลดสังเวชทั้งตัวเองแลพุทธศาสนา คล้าย ๆ กับกาลนั้นจะมาถึงเข้าในวันสองวันข้างหน้า ทำให้ใจว้าเหว่ยิ่งขึ้นทุกที พอมาถึงจุดนี้เราหวลระลึกย้อนกลับเข้ามาหาตัวว่า ขณะนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังปกติดีอยู่ ครูบาอาจารย์ผู้นำก็ยังมีอยู่พร้อม และเราก็ได้อบรมมาพอสมควรแล้ว เมื่อมีโอกาสเช่นนี้เราจะต้องรับเร่งทำความเพียรภาวนา จนให้เข้าใจในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจนพึ่งตนเองได้หากจะมีอุปสรรคอะไรเกิดขึ้นข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นส่วนตัวหรือพุทธศาสนา เราก็จะได้ไม่เสียที
    พอได้อุบายอันนี้ขึ้นมามันทำให้ใจกล้าปรารภความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยวทั้ง ๆ ที่ในพรรษานั้นเรานั่งไม่ได้ ต้องใช้อิริยาบถเดินเป็นส่วนใหญ่ ออกพรรษาแล้วได้ทราบข่าวว่าคณะท่านอาจารย์สิงห์และพระมหาปิ่นกลับไปจากอุบลไปถึงขอนแก่นแล้ว เราจึงไปลาท่านอาจารย์เสาร์ แล้วออกเดินทางไปเพื่อนมัสการท่านทั้งสอง พอดีนั้นปีนั้นทางราชการได้ประกาศไม่ให้ประชาชนนับถือภูตผีปีศาจให้พากันปฏิญาณตนถึงพระรัตรตรัย ทางจังหวัดจึงได้ระดมคณะของท่านอาจารย์สิงห์ให้ช่วยปราบผี เมื่อเราได้ไปถึงก็เลยเข้าขบวนกับท่านบ้าง


    พรรษา ๘ จำพรรษาที่บ้านพระคือกับพระมหาปิ่น ( .. ๒๔๗๓ )

    เราได้พาชาวบ้านย้ายวัดจากริมห้วยพระคือ ไปตั้งตอนกลางทุ่งริมหนองบ้านแอวมอง ( ปัจจุบัน คือ วัดป่าแสงอรุณ ) ภายหลังท่านอาจารย์ปิ่นจึงได้มารวมจำพรรษาด้วย ในพรรษานี้พระผู้ใหญ่ มีพระอาจารย์ภูมี อาจารย์กงมาแลเราโดยมีพระอาจารย์มหาปิ่นเป็นหัวหน้า ตลอดพรรษาเราได้รับภาระแบ่งเบาเทศนาและรับแขกช่วยท่านเป็นประจำทุก ๆ วันพระ พระเณร และญาติโยม ก็พากันตั้งใจปรารภความเพียรโดยเต็มความสามารถของตน ๆ นับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก บางคนภาวนาเห็นนั่น เห็นนี่ต่าง ๆ นานา จนลืมบ้านลืมลูกลืมเมียด้วยการเพลินใจในการภาวนา ออกพรรษาแล้วเราพร้อมด้วยอาจารย์ภูมี และคณะได้ลาท่านอาจารย์มหาปิ่นออกไปเที่ยววิเวกทางบ้านโจดหนองบัวบาน อำเภอกันทรวิชัย ( โคกพระ ) จังหวัดมหาสารคาม เขาได้นิมนต์ให้ไปพักที่หนองแวงข้างโรงเรียนนั้นเอง ได้เทศนาอบรมประชาชนอยู่ ณ ที่นั้นพอควร แล้วญาติโยมทางบ้านโจดหนองบัวบานไปตามกลับมาทีหลัง ณ ที่นั้นได้กลายเป็นวัดถาวรไปแล้ว การกลับมาบ้านโจดหนองบัวบานครั้งหลังนี้ ได้ไปพักที่ป่าดงข้างหนองตอกแป้นคราวนี้มีผู้คนมาอบรมกัมมัฏฐานมากแลเป็นแม่ชีและชีปะขาวก็มาก ผู้ที่เข้ามาอบรมได้ผลเป็นอัศจรรย์อย่างยิ่ง ลูกหลานผิดดาว่าร้ายกันอยู่ในบ้านโน้นภาวนาอยู่ที่วัดก็รู้ได้ คนที่ภาวนาเป็นก็เป็นอย่างน่าอัศจรรย์ คนที่ภาวนาไม่เป็นเพียงแต่บวชกับเพื่อนไปก็มี วันหนึ่งพระภาวนาได้นิมิตแม่ชีสาวมามาขอจับท้าวพระเราได้เรียกแม่ชีมาเทศน์ ให้เห็นโทษในกามทั้งหลายว่าเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แล้วชี้ลงที่รูปเป็นเหตุให้ติด หลายอย่างจนเป็นเหตุให้แม่ชีคนนั้นรู้ตัว แกได้พูดว่า รู้ได้อย่างไร
    จวนเข้าพรรษา ท่านอาจารย์สิงห์ได้สั่งให้เราไปจำพรรษาที่อำเภอพลให้อาจารย์ภูมีอยู่แทนต่อไป
     
  10. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๑๐ จำพรรษาที่โคราช ( .. ๒๔๗๕ )
    จังหวัดนครราชศรีมา พระกัมมัฏฐานคณะลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่นไม่เคยไปกล้ำกรายเลยแต่ไหนแต่ไรมา เพราะเคยไดยินมาว่า คนในจังหวัดนี้ใจอำมหิตเหี้ยมโหดมาก กลัวจะไม่ปลอดภัย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมัยดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมปาโมกข์ ได้นิมนต์ท่านอาจารย์สิงห์ พระมหาปิ่นลงไปแล้ว พ... หลวงชาญนิคม ผู้กองเมืองที่สองเกิดศรัทธาเลื่อมใสได้ถวายที่สร้างวัดป่าข้างหัวรถไฟโคราช ท่านอาจารย์สิงห์จึงได้เรียกลูกศิษย์ที่อยู่ทางขอนแก่นลงไป เราพร้อมด้วยคณะได้ออกเดินทางไปพักที่สวนของหลวงชาญฯ พาหมู่จักเสนาสนะชั่วคราวขึ้น ซึ่งเวลานั้นท่านอาจารย์สิงห์ไปกรุงเทพฯ ยังไม่กลับ พอท่านกลับมาถึงแล้ว เราได้ไปช่วยพระอาจารย์มหาปิ่นสร้างเสนาสนะในป่าช้าที่ ๒ แล้วได้อยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น ( วักศรัทธาราม ) พรรษานั้นมีพระผู้ใหญ่ด้วยกันหลายองค์คือ เรา อาจารย์ฝั้น อาจารย์ภูมี อาจารย์หลุย อาจารย์กงมา โดยมีท่านอาจารย์มหาปิ่น เป็นหัวหน้า พรรษานี้เราและอาจารย์ฝั้น ได้รับภาระช่วยท่านอาจารย์มหาปิ่นรับแขกและเทศนาอบรมญาติโยมตลอดพรรษา ปีเดียวเกิดมีวัดป่าพระกัมมัฏฐานขึ้นสองวัด เป็นปฐมฤกษ์ของเมืองโคราชและเป็นปีประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย
    ออกพรรษาแล้ว เราพร้อมด้วยคณะออกเที่ยววิเวกไปทางอำเภอกระโทก กิ่งแฉะ แล้วย้อนกลับมาที่อำเภอกระโทกอีก ได้พานายอำเภอขุนอำนาจฯ สร้างที่พักสงฆ์ขึ้น ณ ดอนตีคลี แต่ยังไม่เรียบร้อยดี มีเหตุจำเป็นต้องกลับมาจำพรรษาที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ในพรรษานั้นได้ทราบว่าท่านอาจรย์ให้อาจารย์ลีไปอยู่จำพรรษาแทนที่อำเภอกระโทก
    ความปริวิตกที่ไม่เป็นธรรม

    ในขณะที่เราได้พาหมู่เพื่อนจัดเสนาสนะอยู่ที่วัดป่าสาลวันนั้น อากาศมันร้อนเป็นบ้าเลย เราไม่ชอบอากาศร้อน แต่กัดฟันอดทนต่อสู้ทำความเพียรไม่ท้อถอย สติที่เราอบรมดีแล้วสงบอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืนนั้น บางครั้งก็รวมเข้าภวังค์ แล้วก็หายไปเลยเป็นเวลานานนับชั่วโมงก็มีแล้ว ไม่ทำให้เกิดปํญหาอะไรเลย
    เราพยายามแก้ด้วยตนเองแลให้ ผู้อื่น ช่วยแก้เป็นเวลานานก็ไม่เป็นผลสำเร็จ มาคราวนี้เราแก้ได้แล้วด้วยตนเองนั้นคือ คอยจับจิตที่มันจะรวมเข้าเป็นภวังค์ ซึ่งมีอาการเผลอ ๆ สติแล้วน้อมส่งไปยินดีในความสงบสุขจนเผลอสติแล้วก็รวมเข้าสู่ภวังค์ เมื่อเราจับตรงที่มันกำลังเผลอ ๆ น้อมไปหาความสงบสุขอันละเอียดนั้น แล้วรีบตั้งสติให้แข็งแกร่งปรารภอารมณ์ที่หยาบ ๆ เพ่งพิจารณานอก ๆ อย่าให้เข้าไปหาความสงบสุขได้ ก็จะหายทันที พูดง่าย ๆ ว่าอย่าให้จิตรวมได้ ให้เพ่งพิจารณาอยู่เฉพาะกายนี้แห่งเดียว อาการอย่างนี้เราเป็นมาตั้งแต่ออกป่าครั้งแรก พึ่งมาแก้ตนเองได้ ถ้าจะคิดรวมเวลาประมาณถึง ๑๐ กว่าปี เราหัดได้ถึงขนาดนั้นแล้วเมื่อมีอาการมากระทบเข้า จิตของเราก็ยังหวั่นไหวได้ ผู้ปฏิบัติบางคน แม้แต่ความสงบสุขของจิตก็ยังไม่ทราบเสียเลย เมื่อมีอาการกระทบเข้าแล้วจะเป็นอย่างไรกัน
    เกิดความสงสัยในธรรมวินัยขึ้นมาว่า ความบริสุทธิ์มรรคผลนิพพานอันสุดยอดในพุทธศาสนานี้ เห็นจะไม่มีเสียแล้วกระมัง คงจะยังเหลือแต่ฌานสมาบัติอันเป็นโลกีย์เท่านั้นเอง แต่เราก็ปรารภความเพียรไม่ท้อถอยทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนแทบเป็นบ้าตาย
    วันหนึ่งจิตรวมอย่างน่าประหลาดใจ คือรวมใหญ่เข้าสว่างอยู่คนเดียวแล้วมีความรู้ชัดเจนจนสว่างจ้าอยู่ ณ ที่เดียวจะพิจารณาอะไร ๆ หรือมองดูแง่ไหนในธรรมทั้งปวงก็หมดความลังเลสงสัยในธรรมวินัยนี้ทั้งหมด คล้าย ๆกับว่าเรานี้ถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งปวง แต่เราก็มิได้สนใจในเรื่องนั้น มีแต่ตั้งใจไว้ว่า ไฉนหนอเราจะชำระใจของเราให้เราบริสุทธิ์หมดจด เราทำได้ขนาดนี้แล้วจะมีอะไรแลดำเนินอย่างต่อไปอีก เมื่อมีโอกาสจึงเข้าไปศึกษากับท่านอาจารย์สิงห์ ท่านแนะให้เราพิจารณาอสุภเข้าให้มาก เพ่งให้จนเป็นของเน่าเปื่อยแล้วสลายเป็นธาตุสี่ในที่สุดเราได้สอดขึ้นโดยความสงสัยว่า ก็เมื่อจิตมันวางรูปยังเหลือยังเหลือแต่นามแล้วจะกลับมายึดเอารูปอีก มันจะเป็นของหยาบไปหรือ แหมตอนนี้ท่านทำเสียงดังมากหาว่าเราอวดมรรคอวดผลเอาเสียเลย ความจริงนับตั้งแต่ปฏิบัติมาเราไม่มีความชำนาญในการพิจารณาอสุภจริง ๆ อะไร ๆ ก็กำหนดเอาที่จิตเลยโดยเข้าใจเอาเองว่ากิเลสเกิดที่จิต เมื่อจิตไม่ส่งส่ายวุ่นวายสงบดีแล้ว สิ่งอื่นใด ๆ มันก็บริสุทธิ์ไปหมด เมื่อเราสอดแทรกขึ้น ด้วยความสงสัยเท่านั้น เป็นเหตุให้ท่านขึ้นเสียงดังตามอุดมคตินิสัยของท่านอย่างนั้นแล้วจะทำอย่างไร เราก็นิ่งนึกขยิ่มอยู่ในใจแต่ผู้เดียว โดยคิดว่ามติของท่านทำไมไม่ตรงตามความคิดเห็นของเราเสียนี่กระไรเรื่องอย่างไรเสีย นอกจากท่านอาจารย์มั่นแล้วเรคงไม่มีที่พึ่งแน่
    สักพักใหญ่เสียงของท่านเบาลงแล้วหันมาถามเราว่า ยังไง ไม่สามารถทำตามได้ก็อย่าไปเลย ท่านจะเสียใจภายหลัง และก็จะเป็นเรื่องทำให้ผมเป็นทุกข์อีกด้วย
    ท่านบอกว่า ผมชอบใจผมขอไปด้วย ยังมีโยมอีกคนหนึ่งบวชเป็นชีปะขาวขอร่วมเดินทางไปกับเรา
    พวกเราได้ลงเรือยนต์จากนครเวียงจันทน์ทวนกระแสน้ำขึ้นไปนครหลวงพระบาง พักแรมตามคืนตามบ้านบาง กลางหาดทรายบ้าง สามคืนสี่วันจึงถึงนครหลวงพระบาง รวมระยะทางสองข้างริมแม่น้ำโขงเราชมวิวธรรมชาติอากาศเยือกเย็น ทำให้ใจเราวิเวกวังเวงมีความสุขมาก ประกอบกับคนโดยสารน้อยเขาพากันนอนหลับหมด ยังคงเหลือแต่กัปตันกับลูกเรือไม่กี่คน ภาพทิวทัศน์อันปราศจากหมู่บ้านมีแต่ป่าดงพงไพรและชะโงกหินที่ยื่นออกมาคลุมแม่น้ำทั้งบางทีมีสัตว์ เช่น ลิง ค่าง กระโดดโลดโผนไล่เย้าหยอกกันสนุกตามประสาสัตว์พอเรือเข้าไปใกล้ต่างก็จับกลุ่มชุมนุมมองดูพวกเรา ภาพอันนั้นทุกวันนี้เราเข้าใจว่าจะหาดูได้ยาก เราอนุสรณ์ถึงภาพอันนั้นแล้วทุกวันนี้ก็ยังวิเวกใจอยู่เลย พวกเราถึงนครหลวงพระบาง แล้วได้ขอเข้าพักที่วัดใหม่ใกล้กับพระราชวังพระเจ้ามหาชีวิตซึ่งเป็นที่ประดิษย์ฐานพระบาง อันเป็นมิ่งขวัญของชาวนครหลวงพระบาง พอดีเป็นวันที่อัครมเหสีท่านทรงฉลองแท่นพระบางอีกด้วย นับว่าเป็นโชคดีของพวกเราที่จะได้ชมประเพณีการทำบุญของชาวหลวงพระบาง แต่เราจะไม่ขอกล่าวในที่นี้หลังจากฉลองแท่นพระบางเสร็จแล้ว เราขอลาท่านสมภารไปพักวัดหนองสระแก้วซึ่งอยู่บนภูเขาคนละฟากฝั่งแม่น้ำโขงตรมกันข้ามกับนครหลวงพระบาง เพื่อรอเรือที่จะขึ้นไปอำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พวกเรารออยู่ ๔ คืน จึงได้ลงเรือขึ้นไปอำเภอเชียงแสน ระยะทางก็สี่คืนเท่ากันกับลงมานครเวียงจันทน์ พวกเราพักอยู่ที่อำเภอเชียงแสน ๔-๕ คืน จึงได้เดินทางไปเชียงราย ลำปาง แล้วได้อยู่ที่สวนของแขกพระบาทตากผ้าทางจะเข้าเขา เวลานั้นปะขาวที่ไปด้วยป่วย ไม่มีไข้แต่เมื่อยอ่อนเพลีย น้ำปัสสาวะข้นแดงคล้ายกับน้ำล้างเนื้อ พวกเราไกลหมอใช้ยาพระพุทธเจ้ารักษากันเอง กล่าวคือให้เธอฉันน้ำมูตรของตนเอง ทั้ง ๆ ที่มีสีแดงร่า ๆ นั้น พอถ่ายออกมาอุ่น ๆ ก็ดื่มเข้าไปเลย แหมวิเศษจริงดื่มอยู่ไม่ถึง ๑๐ วัน หายเป็นปกติเลย หลังจากนั้นพวกเราออกเดินทางด้วยเท้าเปล่าได้ระยะทางราว ๓๕ กิโลเมตร ต่อจากนั้นขึ้นรถบ้าง เดินบ้าง ถึงลำพูน เชียงใหม่ เมื่อเข้าไปที่วัดเจดีย์หลวงสืบถามดูเรื่องราวของท่านอาจารย์มั่น ก็ไม่คอยได้ความมิหนำซ้ำพระบางองค์ยังพูดเป็นอาการดูถูกเหยียดหยามท่านเสียด้วยซ้ำไป
    ชีวิตผจญภัยในสมณเพศ
    เราขออภัยท่านผู้อ่านทั้งหลายสักเล็กน้อย ในการที่เล่าเรื่องชีวิตภจญภัยในสมณเพศนี้ ดูจะหาสาระอันใดมิได้ และเมื่อกล่าวไปก็เป็นที่อับอายขายขี้หน้าตนเอง หากจะไม่กล่าวหรือ ชีวประวัติก็จะไม่สมบูรณ์

    อตีเตกาเล ขณะเมื่อเราพักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวงเชียงใหม่นั้น รู้สึกว่าสุขภาพของเราสมบูรณ์ดี ซึ่งไม่เคยมีมาแต่กาลก่อนเลย เห็นจะเพราะเราชอบอากาศเย็นก็ได้ เราได้ไปถ่ายภาพเป็นอนุสรณ์ หลังจากนั้นมาสองวันเราได้ไปรับภาพที่ร้านด้วยตนเอง ขณะที่เราเอาภาพมาดูอยู่นั้นเองมีผู้หญิงคนหนึ่งไม่ทราบว่าเป็นคนชนิดไหน เดินมาข้างหลังแล้วพูดว่า คุณพี่ขา ดิฉันขอสักแผ่นบ้าง พร้อมทั้งแสดงกิริยาส่อไปในทางยั่วยุ เราได้ยินเสียงดังนั้นก็ตกใจ เพราะเราเพิ่งมาไม่รู้จักกับใครทั้งนั้น พอมองไปดูอาการดังนั้น เราจึงทำปฏิกิริยาตรงกันข้าม แล้วเขาก็หันกลับหลบหน้าหนี
    หลังจากได้ฟังคำพูดและเห็นอากัปกิริยาของเขานั้นแล้ว เหมือกับได้รับฟังธรรมเทศนากัณฑ์ใหญ่ เราจึงมาจินตนาการถึงเรื่องของมาตุคามอย่างกว้างขวาง ซึ่งกิริยาในทำนองนี้ของมาตุคามเราได้พบเห็นมามากต่อมากแล้ว แต่หากเราไม่สนใจเพราะเรามุ่งมั่นอยู่แต่ในธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า เห็นมาตุคามเป็นภัยของพรหมจรรย์อย่างเดียว เมื่อมาประสบเหตุการณ์ครั้งนี้เข้า จึงเป็นเหตุให้เราทบทวนย้อนหลังกลับไปถึงเหตุการณ์ในอดีตเป็นตอน ๆ ไป คือมีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเรานับถือเขาว่าเป็นผู้มีจิตศรัทธาแลเขาก็มีอายุพอควร เราได้หัดให้เขาอบรมภาวนาตามวิธีของเรา ดังได้เคยอบรมคนอื่น ๆ มาแล้ว ทีหลังเขาบอกว่า ถ้ามาอยู่ใกล้ ๆ เรา จิตค่อยหายกลุ้มหน่อย บางทีหมู่มาหาเรามาก ๆ เขาก็มานั่งอยู่ด้วยเป็นเวลานาน ๆ ตอนนี้เรารู้เลห์ของเขาแล้ว เราได้สอนให้เขาแก้จิตด้วยวิธีภาวนา แต่ก็ไม่ได้ผลอีก วันหนึ่งเป็นเวลาจวนจะค่ำจะโพล้เพล้ เขาได้ผลุนผลันขันไปบนกุฏิของเรา เราจะห้ามอย่าง ๆ ก็ไม่เชื่อขึ้นไปแล้วนั่งซึมไม่พูดอะไร เราได้เรียกให้ญาติของเขามากระซากแขนลงไป เขาโกรธใหญ่ ตอนเช้าเรากำลังเดินจงกรมอยู่ เขาได้เดินตรงขึ้นมาหาเรา แล้วยืนอยู่ในที่ไม่ไกลนัก แล้วตะโกนใส่เราบอกว่า
     
  11. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    ตามท่านอาจารย์มั่นเข้าเขตพม่า ( .. ๒๔๗๖ )
    พวกเราพากันพักอยู่วัดเจดีย์หลวง ๒
     
  12. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๑๒ จำพรรษาที่ป่าเมี่ยง แม่ปั๋ง เราตั้งต้นเรียนกัมมัฏฐานใหม่ ( .. ๒๔๗๗ )
    พอท่านพูดจบ เรานึกตั้งปณิธานไว้ในใจว่า เอาละ คราวนี้เราจะเรียนกัมมัฏฐานใหม่ ผิดถูกเราจะทำตามท่านสอน ขอให้ท่านเป็นผู้ดูแลและชี้ขาดแต่ผู้เดียว นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาเราตั้งสติกำหนดพิจารณาอยู่แต่เฉพาะกาย โดยให้เป็นอสุภเป็นธาตุสี่เป็นก้อนทุกข์อยู่ตลอกทั้งกลางวันและกลางคืน เราใช้เวลาปรารภความเพียรอยู่ด้วยความไม่ประมาทสิ้นเวลา ๖ เดือน (พรรษานี้เราจำพรรษาอยู่ที่นี้) โดยไม่มีความเบื่อหน่าย ใจของเราจึงได้รับความสงบและเกิดอุบายเฉพาะตนขึ้นมาว่า
    ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้เป็นเพียง
    สักแต่ว่าเป็นธาตุสี่เท่านั้น แต่คนเราไปสมมติ
    แล้วหลงสมมติตนเองต่างหาก มันจึงต้องยุ่ง
    และเดือดร้อนด้วยประการทั้งปวง
    เราได้อุบายครั้งนี้ทำให้จิตหนักแน่นมั่นคงผิดปกติกว่าเมื่อก่อน ๆ มากแล้วก็เชื่อมั่นใจตนเองว่า เราเดินถูกทางแล้ว แต่ยังไม่กราบเรียนท่านอาจารย์เพราะความเชื่อในอุบายของตนเองว่าเราจะกราบเรียนท่านเมื่อไรก็คงได้
    ปีนั้นอากาศเย็นจักมากจนได้สุมไฟนอน ไม้บากที่มือเลือดไม่มีไหลเลย ออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่นลงมาที่บ้านทุ่งหมากขาว เราสองคนกับพระอ่อนสี (พระครูสีลขันธ์) ยังคงอยู่ที่เดิมแต่เปลี่ยนที่กัน คือเราลงมาอยู่ที่ท่านอาจารย์มั่นกับพระอ่อนวีจำพรรษา พระอ่อนสีขึ้นไปอยู่บนเขาที่เราอยู่จำพรรษา กลางคืนเสือมานั่งเฝ้าพระอ่อนสีที่นอนอยู่ข้างกองไฟ พอไฟดับมันหนาวลุกขึ้นจะใส่ไฟ เสือร้องโฮกแล้วก็โดดเข้าป่าไป ท่านเห็นชาวทุ่งไม่รู้จักเสียงเสือเราก็ไม่บอกให้ทราบเลยกลัวท่านจะกลัว ต่อมาท่านอาจารย์มั่นมีหนังสือให้พวกเราลงไปหา เราไปช่วยทำธุระท่านอยู่ ๑๐ คืน เอ๊ะ อุบายที่เราเคยพิจารณาอยู่ชัดเจนแจ่มแจ้งชักจะไม่ค่อยชัดเจนเสียแล้วนี่ เห็นคนเป็นคนไปตามสมมติเสียอีกแล้ว พอเสร็จธุระ เรากับอาจารย์แหวนขอลาท่านออกเที่ยววิเวกอีก ส่วนท่านอ่อนสีให้อยู่อุปัฏฐากท่านอาจารย์มั่น เราพากันออกเดินทางราสสามร้อยเส้นก็แวะเข้าป่าพักรุกขมูลแห่งหนึ่งคืนวันนั้นได้ยินเสียงเสือร้องบนยอดเขาทำให้ใจเราวิเวกมาก ระลึกเอาพุทธคุณมาเป็นอารมณ์ต่อนั้น ก็ทำให้เกิดความรู้มหัศจรรย์แปลก ๆ อยู่หลาย ๆ อย่าง ไม่คิดและไม่เคยเป็นมาแต่เมื่อก่อนเลย พวกเราพัก ณ ที่นั้นสองคืนแล้วออกเดินทางต่อไปพบท่านอาจารย์สานที่อำเภอพร้าว แต่เราอยู่กับท่านไม่ได้นานเพราะคิดถึงวิเวกจึงได้ลาท่านขึ้นไปบนภูเขามูเซอร์ ไปทำความเพียรอยู่ ๙ คืน โดยคิดว่าเราจะไปอยู่กับหมู่คนที่พูดไม่รู้ภาษากัน แล้วจะได้ประกอบความเพียรให้เต็มที่ ส่วนอาหารเราทราบดีแล้วว่าเขาใจบุญพอจะได้ฉันแน่
    เกิดวิปลาส

    เราได้ปรารภความเพียรอย่างสุดความสามารถจนเกิดวิปลาสขึ้นว่า พระพุทธเจ้าพระสงฆ์ไม่มี มีแต่พระธรรม เพราะพระพุทธเจ้า ก็คือ พระสิทธัตถะกุมารมารู้พระธรรมจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า แม้ตัวพระพุทธเจ้าเองก็เป็นรูปธรรมนามธรรม พระสงฆ์ก็เช่นเดียวกันที่มาได้เป็นพระสงฆ์ทั้งที่เป็นอริยะและปถุชนก็มาดำรงอยู่ในพระธรรมนี้ทั้งนั้น รูปกายของท่านเหล่านั้นก็เป็นรูปธรรมนามธรรม ความเห็นอันนี้ดิ่งแน่วแน่ลงว่า ต้องเป็นอย่างนั้นแท้จริง
    แต่เราได้ย้อนมาตรวจดูตามสมมติบัญญัติแล้ว เอ นี่มันไม่ตรงกันนี่ความเห็นของเราสองแง่นี้ได้โต้กันอยู่หลายวันไม่ตกลง ดีที่เราไม่ยอมทิ้งสมมติบัญญัติ ถ้าหาไม่แล้ว ดูเหมือนจะสนุกใหญ่เหมือนกัน พอดีท่านอาจารย์สานให้คนมานิมนต์ให้ลงไปรับไทยทาน ใจหนึ่งมันก็ยังไม่อยากไป แต่มาคิดถึงบริขารผ้าสบงว่าเราใช้มาร่วมสามปีแล้วเกรงจะใช้ได้ไม่คุ้มพรรษา ไหน ๆ เราไปแสวงหาบริขารให้บริบูรณ์แล้วจึงกลับขึ้นใหม่ จึงรับนิมนต์ท่าน เมื่อลงมาก็ได้สมแระสงค์ทุกอย่างแลความเห็นวิปลาสนั้นก็หายไปเอง
     
  13. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๑๓ จำพรรษาที่บ้านมูเซอร์ (บ้านปู่พญา)
    (.. ๒๔๗๘)
    เมื่อตัดเย็บสบงย้อมเสร็จแล้วเราจึงได้ขึ้นไปใหม่ แต่ไปคราวนี้มิได้ไปที่เดิม ขึ้นไปทางบ้านปู่พญา เมื่อเราไปถึงเขาพากันดีใจจัดเสนาสนะให้เราอยู่พร้อมกัน โอ้โฮเบื้องต้น เราผิดหวังไปถนัดทีเดียว เรานึกว่าพูดไม่รู้ภาษากันคงไม่มีใครมายุ่งเกี่ยว ที่ไหนได้ ขึ้นไปครั้งแรกพักบ้านร้าง เขาไม่เคยเห็นพระธุดงค์ ทั้งเด็กเล็กหนุ่มแก่พากันมายืนมองดูเรา จากไกลจนใกล้ เข้าชิดขนาดจะเหยียบเท้าเราเลย มึงไปกูมา จากเที่ยงถึงราวบ่ายสี่โมงเย็น จากยืนลงนั่ง จากนั่งลงนอน ความสกปรกเหม็นสาบไม่ทราบว่าอะไรต่ออะไร ทำเอาเราเป็นลมหน้ามืดแทบตาย เขาทำทางให้เดินจงกรม พอเราออกเดินเท่านั้นแหละ แม่เอ๊ยพากันกรูตามเป็นหางยาวเหยียดสุดทาง เราทนไม่ไหวกลับมานั่งลง เขายังพากันเดินเป็นกลุ่มสนุกอยู่เลย ทีหลังทำความเข้าใจกันกับหัวหน้าเขา (ปู่พญา เท่ากับ กำนัน) ว่า ไม่ควรเดินตามท่าน หากต้องการบุญเมื่อเห็นท่านเดินอยู่เราต้องพากันปึ๊ (ประนมมือ) ก็ได้บุญดอก คราวนี้เมื่อเห็นเราออกเดินจงกรมทีไรพากันมาปึ๊เป็นแถว ๆ ผู้ที่ยังไม่มาก็ไปเรียกกันมาเป็นกลุ่ม ๆ คิดดูแล้วก็น่าสงสารคนบ้านป่าไกลความเจริญแต่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีใครไปอบรมเขาเป็นสิบ ๆ ปี หากไม่มีคดีอุกฉกรรจ์แล้ว เจ้านายก็ไม่ขึ้นไปให้เขาเห็นหน้าเลย เขาบริหารกันเองเชื่อถือหัวหน้ากันเคร่งครัด ใครไม่ดี เช่นเป็นคนหัวแข็งเรื่องทะเลาะวิวาทเพื่อนบ่อย ๆ หัวหน้าตักเตือนไม่เชื่อฟัง หัวหน้าต้องขับหนีจากหมู่บ้าน เมื่อแกไม่ไปเขาก็ต้องหนีจากแกไป ส่วนการขโมยรับรองไม่มีเด็ดขาด เมื่อเราเดินทางไปตามภูเขาเห็นบ้านหนึ่งหลังหรือสองหลัง เราทายได้เลยว่า แค่นี้อยู่กับเขาไม่ได้เลย ชาวเขาแถบนี้เขาอดข้าวทำไร่ไม่ได้ผลมาแต่ปีกลาย หมู่บ้านที่เราไปอยู่อาศัยนี้ มี ๑๒ หลังคาเรือน มีข้าวกินเพียง ๓ เรือนเท่านั้น เขามีศรัทธาดีมาก เวลาเราออกบิณฑบาตมีคนตักบาตรเพียงสามคนเท่านั้น แต่เขาใส่มากเราก็พอฉันอิ่มทีหลังหัวหน้าเขามาเล่าให้เราฟังว่า ทุกคนมีศรัทธาอยากใส่บาตรอยู่ แต่เขาละอายไม่มีข้าว เขาพากันรับประทานมันป่าต้มแทนข้าว เราเกิดสงสารเขา พอดีเราก็ชอบมันนึ่งอยู่แล้ว จึงบอกเขาว่า ฉันชอบมันนึ่งจึงได้ขึ้นมาอยู่ด้วยพวกเธอ ถ้าหาไม่แล้วฉันไม่ได้มาดอก พอเขารู้เรื่องนั้นแล้ว วันหลังเขาพากันขุดมันป่ามานึ่งตักบาตรเราเต็มบาตรทุกวัน ๆ แล้วก็พากันชอบใจหัวเราะยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างน่าเอ็นดู เขากลัวเราจะไม่ฉันให้เขา ตามมาดูถึงที่เลย เราได้แล้วก็ตั้งใจฉันให้เขาเห็น แม้ปีนั้นปลูกข้าวแล้วฝนไม่ดี ทำให้ข้าวที่ปลูกไว้เหี่ยวแห้งเหลืองซีดไปหมด ยังเหลือสิบวันจะเข้าพรรษา เขาพากันจัดเสนาสนะให้เราอยู่เสร็จเรียบร้อยฝนตกลงมาอย่างน่าอัศจรรย์ เขาพากันดีใจอย่างล้นพ้นว่าเป็นเพราะบุญของเขาที่ทำวัดให้เราอยู่ ข้าวได้เขียวขจีงามทันหูทันตา ปีนั้นเขาทำไร่ได้ข่าวมากจนเหลือบริโภค บางคนจนได้ขายก็มี แท้จริงแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีพระไปอยู่จำพรรษากับมูเซอร์ เราอาจเป็นพระองค์แรกในเมืองไทยก็ได้ที่ได้ไปจำพรรษาอยู่ด้วยมูเซอร์
    เมื่อเขาจัดเสนาสนะให้เราเรียบร้อยแล้ว เราได้ระลึกถึงพุทธประวัติว่า พระสิทธัตถะบำเพ็ญเพียรได้ตรัสรู้เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ปีนี้อายุของเราก็เท่ากับพระชนมายุของพระองค์ในครั้งกระโน้น (คือเราอุปสมบทเมื่ออายุย่างเข้า ๒๒ ปี ) ฉะนั้นปีนี้เราจะบำเพ็ญภาวนาเพื่อบูชาการตรัสรู้ของพระองค์ แม้ชีวิตของเราจะแตกดับเพราะการภาวนาเราก็จะยอมทุก ๆ วิถีทาง ชีวิตนี้ของเราขอให้เป็นเหมือนดอกบัวบูชาพระฉะนั้นเถิด แล้วเราก็ทำความเพียรตามที่เราได้ตั้งปณิธานไว้ตลอดพรรษา แต่แล้วการภาวนาของเราก็ไม่เจริญก้าวหน้าเป็นแต่ทรงอยู่ เพื่อให้สาสมกับเจตนาของเรา จึงได้ทรมานตนด้วยการอดอาหารอยู่ ๕ วัน ชาวมูเซอร็เขาไม่เคยเห็น กลัวเราจะตาย พากันมาขอร้องให้เราฉันตามปกติ เราได้ปฏิเสธเข้าไป แล้วทำตามปณิธานของเราอยู่จนครบ ๕ วัน เขาได้ผลัดเปลี่ยนกันแอบมามองดูเรา ถ้าเราปิดประตูทำความเพียรอยู่แต่ในห้อง เขาจะมาเรียกให้เราขานตอบ เมื่อเห็นเราขานตอบแล้ว เขาก็กลับไป แท้จริงการอดอาหารมิใช่ทางให้ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าของเราได้บำเพ็ญมาแล้ว บอกว่าเป็นอัตตกิลมถานุโยค แม้ครูบาอาจารย์ของเราทุก ๆ ท่านก็บอกเราเช่นนั้นเหมือนกัน ตัวเราเองก็เคยได้กระทำมาแล้ว มันเป็นเพียงเครื่องทรมานกายเท่านั้น หาได้เกิดปัญหาค้นคว้าในธรรมให้ฉลาดเฉียบแหลมอะไรไม่ แต่นี่เราทำเพื่อทดสอบกำลังใจของตนดูว่า ความอาลัยในชีวิตกับความเชื่อมั่นในคุณธรรมที่เราเห็นแล้ว อะไรจะมีน้ำหนักกว่ากัน เมื่อเราได้ความจริงด้วยใจตนเองแล้ว เราก็กลับฉันอาหารตามเคย แต่เราไม่ฉันข้าว ฉันแต่หัวมันหัวเผือกนึ่ง ฉันอยู่ ๔
     
  14. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๑๔ จำพรรษาที่เดิมสามองค์ด้วยกัน (.. ๒๔๗๙)
    การกลับไปครั้งนี้ทำให้เราลำบากใจ เพราะเขาทำความสนิทสนมกับเรามากกว่าท่านอาจารย์ อนึ่ง ท่านอาจารย์ท่านไม่ค่อยถูกกับอากาศเย็น เมื่อไปถูกกับอากาศเย็นเข้าอาพาธของท่านก็กำเริบทบจะอยู่ไม่ไหว แต่ด้วยใจนักต่อสู้ท่านก็เอาชนะจนอยู่ได้ตลอดพรรษา คราวนี้เราทำความเพียรดีมากเพราะนอกจากใช้อุบายของตนเองแล้ว ก็ได้อาจารย์ช่วยให้อุบายเราศึกษากับท่านอยู่ตลอดเวลา พอจวนเข้าพรรษาท่านอาจารย์ให้เราลงมาเอาท่านอ่อนสีไปอยู่ด้วยพอเราจากท่านไป ๕ คืน ท่านอยู่องค์เดียวได้วิเวกปรารภความเพียรอย่างเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ท่านกลับได้อุบายดีโด่งเลย อาพาธของท่านก็หายไปพร้อม ๆ กัน พรรษานี้เราทั้งสามต่างก็ตั้งใจปรารภความเพียรจนเต็มความสามารถของตน ๆ แม้เหตุการณ์บางอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภายนอกหรือเนื่องด้วยอุบายในทางธรรม ใครมีอะไรเกิดขึ้นเกือบจะเรียกได้ว่ารู้ด้วยกันทั้งนั้น พรรษานี้ท่านอาจารย์ได้พยากรณ์อายุของท่านอย่างถูกต้อง บางครั้งท่านก็พยากรณ์ลูกศิษย์ของท่านองค์นั้นบ้าง องค์นี้บ้างต่าง ๆ นานา ตามนิมิตและความรู้อันเกิดเองเป็นเองในภาวนาของท่าน แต่แล้วท่านก็บอกว่า อย่าได้หลงเชื่อทั้งหมด อาจผิดได้ สำหรับเรานั้นตังตัวเป็นกลางเฉย ๆ เพราะเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน เรื่องนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ของผู้กระทำความเพียรภาวนาอย่างแท้จริง จุดประสงค์ที่แท้จริงคือการกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นไปโดยไม่มีทางเหลือต่างหาก ในพรรษานี้ท่านอาจารย์ได้อบรมด้วยเล่ห์เหลี่ยมแลอุบายต่าง ๆ อย่างไม่เคยเห็นท่านทำมาแต่ก่อนเลย เราก็ได้ทำตามแลทำทันถูกต้องตามอุบายนั้น ๆ ของท่านทุกประการ จนท่านออกอุทานเปรย ๆ ว่าท่านเทสก์นี้ใจร้อน แล้วท่านแสดงนิสัยตามความจริงของท่านออกมาตรง ๆ เลย นับว่าเป็นโชคดีของเราที่ได้อาจารย์ผู้อบรมเช่นนั้นให้แก่เรา เราเขาใจว่าท่านอบรมลูกศิษย์ผู้เช่นอย่างเราคงจะหาโอกาสได้น้อยเพราะบุคคล สถานที่และโอกาสเวลาไม่อำนวยเช่นนั้น ถึงแม้ท่านจะอำนวยพรให้เราอยู่ในฐานะธรรมทายาท เราก็ไม่เคยจะลืมตัวและยอมรับเลย เราถือเสียว่าความจริงมันก็อยู่แค่ความจริงนั่นแหละหาพ้นความจริงไปได้ไม่
    เรื่องแทรกของคนป่าเข้าบ้าน
    ในพรรษานี้มีคนป่าซึ่งเรียกกันว่า
     
  15. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๑๕ จำพรรษาที่บ้านโป่ง อำเภอแม่แตง (.. ๒๔๘๐)
    บ้านโป่งเป็นสำนักที่อาจารย์มั่นเคยไปจำพรรษาและเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจันโท จันทร์) ก็เคยไปพักบ้านนี้ญาติโยมนับถือว่าฉลาดเข้าใจธัมมะธัมโมได้พอสมควร ปีนี้เราจำพรรษาด้วย ๕ รูป คือ อาจารย์บุญธรรม ๑ พระเขื่อง๑ พระเมืองเลย ๑ (จำชื่อไม่ได้ ) พระอาจารย์ชอบ ๑ และเรา เราเป็นหัวหน้าได้เลือกสรรเอาอุบายต่าง ๆ มาเทศน์อบรมหมู่เพื่อน เพื่อให้ได้หลักธรรมปฏิบัติแน่นแฟ้นมั่นคงเป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้ต่อไป ในหมู่นั้นท่านอาจารย์ชอบเป็นผู้เคร่งในธุดงค์กว่าเพื่อน เป็นการหาได้ยากกัลยานมิตรเช่นในพรรษานี้เราเทศน์อบรมเกือบแทบทุกคืน ขณะที่เราเทศน์อบรมอยู่นั้นหมู่เพื่อนก็ตั้งมนสิการทำความสงบรับฟังด้วยดี หลังจากเราอบรมแล้วได้เปิดโอกาสให้เพื่อนซักกถามความข้องใจและออกความเห็นต่าง ๆ ในหมู่นั้น นอกจากท่านอาจารย์ชอบแล้วก็มีพระเขื่องเป็นผู้เก่งในด้านปรัตตวิชาใครจะมีอารมณ์อะไรข้องอยู่ภายในจิตหรือไปทำความ ผิดอันใดก็ตามในพระธรรมวินัยแล้ว ทั้งสองท่านนี้จะต้องตามไปรู้เห็นทั้งนั้น ในหมู่นั้นผู้ที่น่าสงสารกว่าเพื่อนก็คือ ท่านอาจารย์บุญธรรม (เป็นชาวสุรินทร์) มีพรรษามากแต่ยังภาวนาไม่เป็น ทั้งสองท่านนี้จะตามไปรู้เรื่องอะไรต่ออะไรของท่านหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วก็มิใช้เป็นเรื่องที่น่าจะเป็นไปเสียด้วยพอเพื่อนทักเข้าก็ยอมรับสารภาพโดยดี จนยอมลงกราบพระผู้อ่อนพรรษากว่าเสียด้วย ท่านทั้งน้อยใจและอับอายหมู่เพื่อนมากแล้วก็ไม่ค่อยพบท่านอาจารย์มั่นเลยแต่เคยเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์สิงห์ อยากฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่นมากโดยท่านสำคัญตัวว่าท่านมีความรู้ พอได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์มั่นแล้วจะรู้เห็นธรรมโดยพลัน เราเคยเตือนท่านเสมอว่า ให้ระวังเมื่อเห็นและฟังเทศนาของท่านแล้วจะเกิดความประมาทท่าน
    ออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่นได้ย้อนกลับมาหาพวกเราอีก ท่านอาจารย์บุญธรรมได้ฟังธรรมเทศนาของท่านอาจารย์มั่นเท่านั้นแหละ กลับตาลปัตรตรงกันข้ามเลย คือไม่พอใจในอุบายของท่านอย่างน่าเสียดาย ภายหลังท่านจะน้อยใจอย่างไรไม่ทราบ ได้หนีจากหมู่ไปเที่ยววิเวกองค์เดียว แต่โชคไม่อำนวยไปเป็นไข้ป่ามาลาเรียขึ้นสมอง ท่านอาจารย์เหรียญไปเจอเข้าจึงได้หอบกันมาเลยมามรณภาพที่โรงพยาบาลเชียงใหม่ โดยญาติและลูกศิษย์ไม่มีใครได้ไปปฏิบัติรับใช้ ส่วนเราและพระเขื่องเมื่ออยู่อบรมกับท่านอาจารย์มั่น พอสมควรแก่เวลาแล้ว ได้ขอลาท่านออกไปวิเวกตามลำน้ำแม่แตงขึ้นไป ได้ไปพักวิเวกอยู่ใกล้ป่าเมี่ยงเขาแห่งหนึ่ง พอไปถึงเราได้ให้พระเขื่องอยู่เฝ้าเครื่องบริขารที่วัดร้างเชิงเขา ส่วนเราได้ขึ้นไปหาที่พักอยู่บนเขา มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินมาเที่ยวเย้าหยอกกับผู้ชายหนุ่ม ๆ ที่อยู่ในนั้น พระเขื่องเห็นเข้าเกิดความกำหนัดอย่างร้ายแรงเรากลับลงมาจากที่พักเห็นอาการอย่างนั้นเราได้พยายามอบรมและให้อุบายต่าง ๆนานา อันจะเป็นทางระงับอารมณ์นั้นแต่ก็ไม่ได้ผล เรื่องนี้เราเข้าใจดีแล้วตั้งแต่เมื่อเธอจะมาอยู่ด้วยเราทีแรก เธอเล่านิมิตก่อนแต่เธอจะมาหาเรา ขณะที่เธออยู่อำเภอแม่สรวยกับท่านอาจารย์มั่นว่า เธอได้ทราบข่าวเราแล้วทำให้เกิดศรัทธามากอยากจะมาหาเรา เธอได้นิมิตว่า ปรากฏเป็นถนนจากที่อยู่ของเธอตรงแน่วพุ่งมาหาเรา เธอได้เดินตามถนนมาถึงที่อยู่ของเราโดยราบรื่น หัวถนนจรดเชิงบันไดกุฏิเราพอดี แล้วเธอเกาะกุฏิบันไดเราพอดี แล้วเธอเกาะบันไดขึ้นไปหาเราสูงมากพอถึงได้กราบเราแล้ว เราได้มอบผ้าให้เธอหนึ่งไตร แต่เธอไม่ยอมรับ พอดีเหตุการณ์ได้มาตรงกับนิมิตของเธอพอดี เราเองก็หมดเยื่อใยในตัวของเธอลงเพียงเท่านั้น ตอนเช้าเมื่อฉันเช้าอยู่เธอแสดงความโกรธให้เราด้วยเหตุเล็กน้อยพอตอนเย็นจึงเข้าไปหาเราแล้วได้แสดงโทษต่อเรา และบอกว่าเย็นวานนี้มีผู้หญิงมาพูดเย้าหยอกกับผู้ชายหนุ่มให้เห็นแล้วเกิดความกำหนัด จากนั้นภาวนาไม่ลงตลอดคืนเลย แล้วขอลาแยกทางเราเที่ยวไปตามลำพัง หลังจากนั้นมาราวสามเดือนได้เจอเธออีก เราได้ชักชวนให้เธอเริ่มต้นทำภาวนากันใหม่อีก
     
  16. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๑๗
     
  17. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๒๖
     
  18. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๒๙
     
  19. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๔๒ จำพรรษาที่ถ้ำขาม อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร (.. ๒๕๐๗)

    เมื่อเราออกจากเกาะภูเก็ตเปลื้องปลดภาระอันนั้นแล้ว เราก็ตั้งใจแสวงหาที่วิเวก ความสงบตามวิสัยเดิมของตนเมื่อเที่ยวไปเยี่ยมท่านอาจารย์ฝั้น อาจาโร ที่อำเภอพรรณนานิคม ไปเห็นวัดถ้ำขามของท่านเข้า เรารู้สึกชอบใจ เราจึงขอจำพรรษา ณ ที่นั้นหนึ่งพรรษา ที่นี่ถึงแม้บริเวณวัดจะไม่กว้างขวางเท่าไหร่นักและเขาก็ไม่สู้จะสูงแต่อากาศดีมาก ท่านเป็นคนขยัน ออกพรรษาแล้วพาญาติโยมทำทางขึ้นเขาทุกปี จนเกือบถึงยอดเขาพวกญาติก็ชอบกันเสียด้วย ถ้าอาจารย์ฟั่นเรียกทำงาน แล้วการงานส่วนตัวจะมากสักเท่าไหร่ก็ทอดทิ้ง ผู้ที่ขึ้นไปถึง แม้จะได้รับความเหน็ดเหนื่อยหายใจไม่ทั่วท้องก็ตาม พอขึ้นไปถึงวัดท่านแล้วพักอยู่ ๕-๖ นาที อากาศที่นี่เรียกเอากำลังมาเพิ่มให้คุ้มค่าเหนื่อยที่เสียไป ตามสำนวนของผู้ติดถิ่นว่า ไม่ต้องหาสถานที่และอากาศที่ไหน ๆ มันอยู่ที่ตัวของเรา เราทำตัวของเราให้วิเวกแล้ว มันก็วิเวกเท่านั้นเอง นั้นไม่จริง สัปปายะทั้งสี่เป็นกำลังของการปฏิบัติธรรมได้อย่างแท้จริง ถ้าเราไม่ทำตัวของเราให้เหมือนกับหมู่บ้านแล้ว การเปลี่ยนสถานที่ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนบรรยากาศและอารมณ์ด้วย หมูป่ากับหมูบ้านย่อมมีสภาพผิดแผกกันมาก แม้แต่อาหารและอากัปกิริยาย่อมส่อให้เห็นตรงกันข้ามเลย
    ในพรรษานี้ เราได้บำเพ็ญเพียรอย่างเต็มที่เพราะญาติโยม และหมู่เพื่อนที่อยู่จำพรรษาด้วยก็ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ฝั้นที่ท่านได้อบรมดีแล้วทั้งนั้น เราไม่ต้องเป็นภาระที่จะต้องอบรมเขาอีกเมื่อเราได้มีโอกาสประกอบความเพียรติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ความรู้และอุบายต่าง ๆ ที่เป็นของเฉพาะตัวย่อมเกิดมีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ เราไม่ต้องนั่งหลับตาภาวนาละ แม้จะนั่งอยู่ ณ ที่สถานที่ใดในเวลาไหน มันเป็นภาวนาไปในตัวตลอดกาล จะพิจารณาตนและคนอื่นตลอดถึงทิวทัศน์มันให้เกิดอุบายเป็นธรรมทั้งนั้น อตีตารมณ์ไม่ว่าจะเป็นส่วนอิฏฐารมณ์แลอนิฏฐารมณ์ก็ตาม สัญญาเก่ามันนำให้หยิบยกมาให้ดู ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อธรรมสังเวชทั้งสิ้น
    ออกพรรษาแล้วพระอาจารย์พาคณะลูกศิษย์ของท่านขึ้นไปเยี่ยมอยู่พักหนึ่ง ท่านก็ชอบใจเหมือนกัน ท่านยังได้ขอร้องให้เราไปอยู่ถ้ำกลองเพลแทนด้วย แล้วท่านจะมาอยู่ที่นี้ แต่เราปลดเปลื้องภาระแล้วไม่ต้องการความยุ่ง หลังจากนั้นมาไม่นานเขาได้นิมนต์ให้เรามาทำบุญงานศพที่อุดรแล้วเราเลยไปเยี่ยมถ้ำกลองเพลเป็นครั้งแรก แต่เราไม่ค่อยชอบอากาศ (คือที่เดิมอยู่หลังถ้ำ) พอเสร็จงานพิธีแล้ว เราจึงได้ออกเดินทางจากอุดรมาพักที่วัดพระสถิตกับพระอาจารย์บัวพา จากนั้นจึงได้ลงเรือไปพักวิเวกอยู่ที่หินหมากเป้งกับพระคำพัน

    พรรษา ๔๓
     
  20. newhatyai

    newhatyai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,768
    ค่าพลัง:
    +6,203
    พรรษา ๕๑-๕๒ จัดเสนาสนะวังน้ำมอก (พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗)
    ได้ช่วยย้ายโรงเรียนเก่า บ้านโคกซวก และบ้านพระบาทมาปลูกต่อหลังที่ปลูกใหม่เป็นอาคารไม้ ๔ ห้องเรียน เสาคอนกรีตต่อไม้ สิ้นเงินไป ๘๐,๐๐๐ บาท แต่ยังไม่เสร็จเพราะหมดทุน มา พ.ศ. ๒๕๑๗ นี้กำลังจะเริ่มทำต่อ โดยเชื่อมหลังใหม่กับหลับเก่าให้ติดกัน แล้วจะกั้นให้เป็นห้องทำงานครูใหญ่ ข้างล่างได้ทำเป็นถังเก็บน้ำฝนเทคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยยาว ๗ เมตร กว้าง ๖ เมตร สูง ๒ เมตร กะว่าจะต้องใช้เงินราว ๓ หมื่นบาทจะให้แล้วเสร็จในเร็ว ๆ นี้
    ขณะที่กำลังย้ายโรงเรียนอยู่นี้ ได้ไปจัดเสนาสนะขึ้นที่ป่าวังน้ำมอกซึ่งไกลจากที่วัดหินหมากเป้งไปทางทิศตะวันตกราว ๖ ก.ม. อีกแห่งหนึ่ง เพื่อให้เป็นที่วิเวกของผู้ต้องการเจริญภาวนากัมมัฏฐาน เพราะสถานที่แห่งนั้นยังมีสภาพเป็นป่า มีถ้ำ เขา และแม่น้ำลำธารสมบูรณ์เป็นที่วิเวกดีอยู่ เพื่อรักษาสภาพของป่าธรรมชาติไว้

    พรรษา ๕๓ สร้างวัดลุมพินี (พ.ศ. ๒๕๑๘)
    มีโยมคนหนึ่งถวายที่ที่ตำบลลุมพินี เนื้อที่ประมาณ ๓ ไร่แล้วมีคนอื่นซื้อเพิ่มเติมอีกทั้งหมดเป็นที่ประมาณ ๑๑-๑๒ ไร่ จึงได้ตั้งเป็นสถานที่พักวิเวกอีกแห่งหนึ่ง วัดลุมพินีนี้ไม่แพ้วังน้ำมอกที่ได้สร้างมาแล้ว เพราะมีอาณาเขตจดกับแม่น้ำทั้งสี่ทิศ สร้างไว้เพื่อผู้ต้องการวิเวกไปอยู่ เนื่องจากที่วัดหินหมากเป้งบางคราวไม่มีความสงบ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๗ มารู้สึกว่าคนทางภาคกลางสนใจมาสมาคมวัดต่าง ๆ ทางภาคอีสานมากขึ้นเป็นลำดับ วัดเราก็พลอยได้ต้อนรับชาวกรุงมากขึ้นด้วย
    ในปี ๒๕๑๘ นี้ สมเด็จพระญาณสังวรได้สนับสนุนพระภิกษุชาวต่างประเทศ ซึ่งได้อุปสมบทที่วัดบวรนิเวศฯ ให้ออกไปศึกษาธรรมะที่วัดภาคต่าง ๆ ของเมืองไทยหลายแห่ง และได้ส่งมาจำพรรษาอยู่ที่นี่หลายองค์ ท่านก็สนใจจะตั้งใจปฏิบัติด้วยกันทุกองค์

    พรรษา ๕๔ ไปแสดงธรรมต่างประเทศ (พ.ศ. ๒๕๑๙)
    ในปีนี้แม่ชีชวน (คนสิงคโปร์มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาและได้บวชเป็นชี) มาขอจำพรรษาที่วัดหินหมากเป้ง ได้ขอร้องอยากจะให้ไปสิงคโปร์เพื่อโปรดชาวสิงคโปร์บ้าง เพราะคนสิงคโปร์ที่สนใจปฏิบัติธรรมมีมากคนอยู่เหมือนกัน เขาอ้อนวอนอยู่เป็นเวลานาน กอร์ปทั้งพี่ชายของเขาซึ่งเป็นหัวหน้าของชุมชนชาวพุทธที่เมืองเพิร์ธในออสเตรเลียก็ได้ จดหมายนิมนต์ขอให้ไปโปรดชาวพุทธที่โน่นด้วย เราพิจารณาถึงประโยชน์ของชาวพุทธและส่วนรวมแล้วจึงได้ตัดสินว่าจะไป โดยมีพระสเตเฟน, พระชัยชาญ, หมอชะวดีและแม่ชีชวน ติดตามไปด้วย พอถึงอินโดนีเซีย ก็ทีคุณสุภาพ (ภรรยา พล.อ.ท. ชู สิทธิโชติ) และคณัสงฆ์ไทยซึ่งเป็นคณะพระธรรมทูตอยู่ในอินโดนีเซียเวลานั้นร่วมขบวนไปด้วยตลอด
    การไปสิงคโปร์-ออสเตรเลีย-อินโดนีเซียครั้งนี้รู้สึกว่าได้คุ้มค่า แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นเพียงไม่กี่วันแต่ก็ได้ประโยชน์เกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้มาก ที่สิงคโปร?ฃ์และออสเตรเลียมีผู้สนใจศึกษาธรรมะอย่างจริงจังจำนวนไม่น้อย ตลอดจนในอินโดนีเซียรู้สึกว่า ชาวอินโดนีเซียสนใจศาสนาพุทธมาก กอร์ปด้วยคณะธรรมทูตมี ท่านเจ้าคุณวิน เป็นต้นไปอบรมอยู่แล้วด้วยถึงกับตั้งพุทธสมาคมเป็นแห่ง ๆ แทบทุกหัวเมืองเลย โดยเขาเชื่อมั่นว่า ปี ๒๕๒๐ ศาสนาพุทธในอินโดนีเซียจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอีก เมื่อเราไปก็อบรมเพิ่มเติมอีกยิ่งมีความกระตือรือร้นมากขึ้น เราไปเห็นแล้วก็น่าสงสาร เขามีความกระตือรือร้นในพุทธศาสนามากแต่มีคนสอนน้อย ถึงขนาดนั้นการปฏิบัติของเขาก็เป็นไปโดยส่วนมาก พระไทยเราองค์อื่น ๆ หากเสียสละไปสอนในอินโดนีเซียบ้างก็จะดีมาก การอบรมธรรมะได้เขียนเอาไว้แล้วในหนังสือ
     

แชร์หน้านี้

Loading...