ชีวิตบนเส้นทางธรรม ครูแดง-เตือนใจ ดีเทศน์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย paang, 16 ตุลาคม 2005.

  1. paang

    paang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2005
    โพสต์:
    9,492
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,325
    [​IMG]

    เราควรถูกปลูกฝังให้กตัญญูต่อพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณ ซึ่งเป็น คุณธรรมขั้นพื้นฐาน ถ้าเราไม่มีความรักหรือกตัญญูต่อ ผู้มีพระคุณ โดยเฉพาะพ่อแม่ เราก็จะขาดความเป็นมนุษย์ที่แท้ไป”
    นี่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าของ ความเป็นมนุษย์ ของ นางเตือนใจ ดีเทศน์ สมาชิกวุฒิสภา จ.เชียงราย
    นางเตือนใจ กล่าวว่า สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจทุกวันนี้ คือ พระไพรีพินาศ เป็นพระเครื่อง ที่พกติดตัวเป็นประจำ แต่ก็มีบางวัน เช่นกัน ที่ไม่ได้นำพระติดตัว
    การพกพระไพรีพินาศ ถ้ามองตามพระพุทธศาสนาแล้ว คือ กิเลส เป็นเสมือน ได้เตือนตัวเอง เพื่อให้กิเลสได้พินาศไป นี่เป็นเหตุผล ของ การพกพระเครื่องติดตัวของนางเตือนใจ
    อีกสิ่งที่ยึดจิตใจก็คือการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เป็นเด็กคุณยายจะ พาเข้าวัดทำบุญอยู่เป็นประจำ จนได้มา ร่วมทำงานกับ มูลนิธิโกมลคีมทอง ได้อ่านหนังสือ หมอชาวบ้านทำให้รู้ว่า ชีวิตเรา ไม่ใช่สำคัญแต่สุขภาพกาย แต่สุขภายใจ ก็สำคัญไม่น้อยกว่ากัน จนวันหนึ่งได้อ่าน ที่เรียกว่า สำคัญมากกับชีวิต คือ หนังสือ ปาฏิหาริย์แห่ง การตื่นอยู่เสมอ หนังสือคุณภาพ แห่งชีวิต แล้วยังได้อ่าน หนังสือ ความเงียบ โดย สุชาติ สวัสดิ์ศรี เจ้าของนามปากกา "สิงห์สนามหลวง"
    ชีวิตเริ่มเข้าปฏิบัติธรรมเมื่ออายุ ๔๐ ปี ประมาณปี ๒๕๓๕ โดยได้เข้าร่วมปฏิบัติธรรม กรรมฐานกับแม่สิริ กรินชัย ก็ได้พบว่า "ชีวิตของมนุษย์เรามีสิ่ง มหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ ถ้าเรามุ่ง ไปในทิศทางที่จะลดละ ไม่ยึดมั่น ในตัวตน มุ่งไปสู่ความดับสนิท จากกิเลส และความสุขทั้งหลาย และไม่เกิดใน วัฏสงสาร คือ ดับสิ้นซึ่ง การเวียนว่าย ตายเกิด แล้วได้ อธิษฐานว่า ขอให้ชีวิตของตัวเอง อยู่ในเส้นทางธรรม" เธอมั่นใจว่ากิเลสละได้ด้วยการปฏิบัติธรรม
    สว.เตือนใจ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ได้นำมาปฏิบัติกับตัวเองเป็นประจำ คือ ปฏิปทา ๔ ที่ดูการเคลื่อนไหว ของจิต การเคลื่อนไหวของกาย เรื่องทางจิตถือว่า มีความสำคัญมาก ครั้งใดที่เรา หงุดหงิดกับ อะไรก็ทำให้เรารู้เท่าทัน คล้ายๆ เหมือน เป็นใบบัวที่น้ำกระทบ เข้ามาแล้วเราก็ไม่เปียกน้ำ ทำได้แบบนี้ ตัวเรา ก็ไม่ตกอยู่ภายใต้อารมณ์นั้นๆ เพราะเรารู้เท่าทัน
    ความเท่าทัน ตรงนี้ คือ เมื่อกิเลสมาอยู่ตรงหน้าเรา มาพูดมาก ที่ทำให้เราหงุดหงิด เราก็จะรู้ว่า ตัวเรา หงุดหงิด หรือเวลาเรากำลังง่วง เราเหนื่อย แต่ถ้าเรารู้ทันเราก็จะไม่อยู่ในอาการเหนื่อย แต่เรากำลัง มองเห็นความเหนื่อยของ ตัวเอง ดังนั้น ปฏิปทาน ๔ ก็ทำให้เราสามารถ กำหนดความโกรธ ความเหนื่อยเหล่านี้ได้ เหมือนเราเป็นหุ่นยนต์ตัวหนึ่ง
    สมมุติว่าเราเป็นหุ่นยนต์ สภาวะทางจิตของเขาเป็นอย่างไร ทางกาย เขาเป็นอย่างไร ภาษาที่ใช้อยู่คือการกำหนดที่จิต ว่าจิตมีอาการอย่างไร แต่ไม่ได้มุ่ง ที่จะไปดับ เพราะพอเรารู้ทันมันก็จะเปลี่ยนไป เช่น ที่เราอยู่ในช่วง ความง่วง พอเราหายใจยาวๆ ความง่วงก็จะหายไป ความรู้เท่าทันตรงนี้ ก็ทำให้เราไม่ไปเป็นเหยื่อของกิเลส
    [​IMG]

    เราทำงาน การเมือง จะมี กิเลส เข้ามา กระทบ เยอะ เช่น เกิดเหตุการณ์ ไม่ดีทางภาคใต้ เราก็มี ความ เศร้าหมอง มีความห่วงใย กลัวว่า ถ้าเราเข้า ไปอยู่กับ ความเศร้า เราก็จะขาด ปัญญาที่จะช่วย ในการ แก้ปัญหาได้ แต่ให้เรารู้ทันว่า ถึงเรากำลังเศร้าหมองอยู่ หรือมี ความโกรธอยู่บ้าง ก็ทำให้เรารู้เท่าทัน กับความโกรธ ความตรงนั้น เราก็จะ ไม่แสดงออก ให้ใครได้เห็น เพราะเรา รู้เท่าทันว่า ขณะนี้จิต ของเรา อยู่สภาวะความโกรธอยู่
    เราทำงานทุกวันนี้ล้วนมีการยึดมั่นในตัวตน ตำแหน่งหน้าที่กับ อำนาจวาสนา ต้องเป็นไปเพื่อความสุข มีความเมตตา กรุณา ต่อมนุษย์ ในสังคม ทั้งสรรพสัตว์ และต่อธรรมชาติ หรืออย่างการแผ่เมตตาทุกครั้ง เราก็จะแผ่ ให้กับสรรพสัตว์ ทั้งหลายที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีตัวตน
    ในทางกลับกัน การเมืองไทยทุกวันนี้เป็นการเมืองที่เอา อำนาจเป็นหลัก นำมาซึ่งความรุนแรง ความหลง คือความยึดติดในอำนาจ หน้าที่ แล้วโลภคือทำให้ได้ประโยชน์ต่อพวกพ้องบริวาร จึงทำให้การเมือง ของประเทศเราไม่พัฒนา เพื่อให้ประเทศไทยไปสู่ดินแดนที่มีพุทธะ คือ จิตที่มีภาวะของความรู้ ตื่นเบิกบาน
    ดังนั้น จึงมองว่า เมื่อทิศทางการพัฒนาประเทศที่ผ่านมานั้นผิด จนทำให้นโยบาย และแผนงานผิดพลาด เป็นความผิดพลาดที่หล่อหลอมเยาวชน ที่เป็นลูกหลาน ของเราอย่างผิดวิธี เราเอากิเลสมาเป็นตัวกระตุ้น แทนที่เรา จะลดละกิเลส และวันนี้ถือว่า ได้ทำหน้าที่ของการเป็น สว.ได้เต็มกำลังความสามารถแล้ว
    แต่ยังเสียดาย ที่ยังไม่ได้ช่วยให้ทิศทางการพัฒนาประเทศ เป็นการพัฒนา ที่มีความสมดุลของการพัฒนาทางมิติจิตวิญญาณ ของการพัฒนา ที่สนองความต้องการทางร่างกาย ประกอบกับโลกเรายังอยู่ในกระแส กิเลสมากเกินไป แต่คิดว่าจะเริ่มต้นที่ตัวเราและครอบครัว จากนั้น ก็ต่อไปยังกัลยาณมิตรที่มีการใส่ใจทางธรรม
    [​IMG]

    เมื่อวันหนึ่งหมดวาระจากการเป็น สว. ก็มีความ ตั้งใจว่า จะทำงาน ทางด้าน พระพุทธศาสนาให้มากขึ้น ควบคู่ไป กับการพัฒนาประเทศ โดยส่วนตัวแล้ว เป็นคนที่ ให้ความสำคัญ กับงานพัฒนา เพราะการ พัฒนาจะ ได้ผลต้องเป็นการพัฒนาให้เกิดความสมดุล คือ การพัฒนาจิตวิญญาณด้านใจ พัฒนาธรรม ทางกายภาพ
    แต่วันนี้เรามีแต่การพัฒนาทางกาย เป็นการสนอง ทางกายทั้งหมด เช่น การโฆษณาต่าง ๆ ที่วัยรุ่นทั้งหญิงชาย มีการเสนอด้วยการย่ำยุ ให้เกิด แต่ความสุข ทำอย่างไรถึงจะขาว ทำอย่างไรถึงจะมีผมสวย แต่ไม่มีเลยที่จะบอกว่าทำอย่างไร เราถึงจะเป็นคนดี ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว และสังคม ยิ่งไปดูงบประมาณประจำปี ๒๕๔๙ ของมหาวิทยาลัยต่างๆ ดูงบที่จะ ไปส่งเสริมศิลปะ วัฒนธรรม มีไม่ถึง .๐๐๑% เช่น มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ได้งบประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านบาท มีงบเรื่องส่งเสริม ศิลปะวัฒนธรรม ๓ ล้านบาท แต่กลับ ไม่มีงบเรื่องการเผยแผ่ธรรมะ แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้ให้ความสำคัญ ความงามทางจิตใจ เพื่อให้เป็นคนที่มีคุณธรรมจริยธรรม มีศีล สมาธิ ปัญญา เราแทบจะไม่ได้พูดถึงกันเลย

    ที่มาจาก http://www.komchadluek.net
     

แชร์หน้านี้

Loading...