ทำอย่างที่บอกไปก่อนนะคับ...เรื่องอื่นค่อยว่า...วางไว้ก่อน...ฝึกสมาธิให้จิตตั้งมั่นมีประโยชน์มากมายเหนื่อยก็พักอย่ารีบร้อนอย่าฝืน
ช่วยแนะนำผมทีครับ
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บุตรเดียว, 22 กุมภาพันธ์ 2018.
หน้า 3 ของ 4
-
ก่อนนั่งสมาธิให้คิดไว้ก่อนเลยว่าไม่รู้จักอะไรทั้งนั้นรู้จักแต่ลมหายใจถ้าใช้ลมหายใจเป็นที่ตั้งแต่ถ้าบวกกับบริกรรมให้ใช้คำบริกรรมเป็นที่ตั้งใช้ลมเป็นฐานรองอาจทำไปพร้อมลมหายใจก็ได้แต่โดยมากถ้าแนบแน่นเป็นสิ่งเดียวกันก็ไม่เกิดปัญหาอะไรเพราะมันจะคลายตัวของมันเองคือเลือกเองตามธรรมชาติของตนเองถ้าไม่แนบแน่นเป็นสิ่งเดียวกันคงไม่จำเป็นต้องให้คำบริกรรมเป็นไปตามลมแต่ให้เร็วกว่าหรือช้ากว่าลมจะเห็อันใดอันนึง จึงใช้อันนั้นเป็นฐานเพื่อทำสมาธิต่อไป...อีกสิ่งที่ต้องคิดก่อนทำคือไม่ว่าจะเจออะไรอย่าไปตื่นเต้นให้รับรู้ในสิ่งที่เราเลือกที่จะรู้ไปเรื่อยๆ...ฌานหรือปัจจัยต่างๆของฌานค่อยมาคิดพิจารณาทีหลังๆจากออกจากสมาธิ ส่วนการออกจากสมาธิให้ใช้การรับรู้ในแบบเดิมที่เข้าไปตามลำดับและกลัสู่สภาวะปกติ
-
ตามลำดับจะไม่เกิดผลกระทบอันใดต่อจิตใจและร่างกาย
-
เรื่องนี้ไม่มีใครสอนก็ทำตามที่หลวงปู่หลวงตาบอกมา...แต่ที่เกิดขึ้นจริงมันเป็นทริกของแต่ละคนเพียงแค่หาจุดของเราให้เจอเราก็ไม่ต้องสงสัยกังวลใจในเรื่องสมาธิอีกต่อไป
-
เรื่องที่เป็นห่วงอีกเรื่องคือสมาธิเป็นเรื่องดีดีเพราะใช้เป็นบาทฐานของชีวิต เมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันผู้มีสมาธิมีสติสัมปัชชัญญะจะรู้พร้อมและแก้ไขความรู้สึกที่กระทบได้รวดเร็ว ไม่ใช่หวังจะมีฤทธิ์อันใด...ส่วนนั้นถ้ามีมันก็มีถ้าไม่มีมันก็ไม่มีแต่มันไม่ใช่วัตถุประสงค์จริของการมีสมาธิที่มีแล้วใช้ได้จริงคือใช้ยับยั้งทุกข์หรือเหตุแห่งทุกข์ในเบื้องต้นแต่ไม่ถึงที่สุดเพราะกลังจากนี้เป็นเรื่องปัญญา...วิปัสสนาธุระ...ผมคงไม่กล่าว...เพราะทุกสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัยแม้กระทั่งสมาธิ สติหรือ จิต
-
+++ เอาเป็นว่า ถ้าหากยัง "เล่น" กับความง่วงตรง ๆ ไม่ได้ ก็ "ประยุกต์" วิธีของคุณเอา
+++ ในข้อ 2. ใช้วิธี "เคร่งครัดจับลมหายใจชัดเจน" ในแบบฉบับของตัวคุณเอง
+++ แล้วก็จะ ค่อย ๆ "เห็น" กลุ่มหมอกแห่ง "ความง่วงซึม"
+++ แผ่เข้ามา "ช้า ๆ แบบ ซึมมาเรื่อย ๆ" ในบริเวณ "ท้ายทอย"
+++ หาก "สติ" ของคุณยังไม่ "แกร่ง" พอ ก็ ให้แค่ "รู้" มันเฉย ๆ
+++ หากมั่นใจว่า "แกร่งพอ" ก็ให้ "รู้อยู่" แต่ "ปล่อยให้มัน ค่อย ๆ เข้ามาปกคลุม" ได้
+++ จากนั้น อาการที่เรียกว่า "หลับอยู่ส่วนหลับ ตื่นอยู่ส่วนตื่น" ก็จะเกิดขึ้นกับ ตัวคุณเอง
+++ เมื่อคุณสามารถ "เลือก" จะเอาฝ่ายหลับ หรือ จะเอาฝ่ายตื่น ได้ด้วยตัวคุณเองแล้ว
+++ ตรงนี้ "ตัวคุณเอง" จะรู้ถึง "ความเหมาะสม" ได้ด้วยตัวคุณเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก
+++ เมื่อ "ฝ่าด่าน" ตรงนี้ได้แล้ว ก็ค่อยว่ากันอีกที นะครับ -
นั่นแหละคือสิ่งที่ผมบอกคุณ...ไปทั้งหมด...ตราบใดก็ตามที่คุณยังไม่สาใารถสัมผัสอารมณ์หรือรับรู้อารมณ์ได้...ผมเรียกสติไม่ถึงพร้อมแม้การเข้าสมาธิ จึงเป็นที่มาของคำว่าบังเอิญหรือฟลุ๊ค แต่ของแบบนี้ไม่มีบังเอิญเพียงแต่เราต้องมองด้วยจิตว่าอารมณ์ที่สัมผัสเคลื่อนจากหยาบเป็นละเอียดอย่างชัดเจนเมื่อเห็นดังนั้นแล้วการถอยกลับจะไม่ก้าวกระโดดเพราะจิตแท้จริงคือพลังงานบางอย่างเราเอามันมารวมลงที่เดียวทั้งที่จริงแล้วมันกระจายเต็มกายจึงต้องคลายอย่างมีลำดับ
-
-
ผมขอลบโพสที่ผมบรรยายการทำสมาธิของผมออกนะครับเพราะเปรียบไปเหมือนเปนการสอบอารมณ์ เพื่อหลีกเลี่ยงทำไห้เกิดข้อถกเถียงถูกผิด แตกประเดนซึ่งไม่ไช่เป้าหมายของของคำถามของผม และขอบคุณพี่ๆทุกคนที่พยายามแนะนำผมนะครับ พี่ธรรมชาติคำแนะนำของพี่ผมเข้าใจง่ายชัดเจนผมจะนำมาปฏิบัติขอบคุณครับ
-
ผมขอแนะนำตามประสบการณ์ที่ผมปฏิบัติมาละกันนะครับ เพื่อจะช่วยได้บ้าง
เวลานั่งสมาธิอารมณ์จะหนักหรือเบา ก็อย่าปล่อยให้มันไหลไปให้อยู่กับลม กับ คำภาวนา ตอนนอนก็นอนสบายๆ ไม่ต้องเคร่งอะไรภาวนาไปเพลินๆสบายๆ ถ้าตื่นก็ภาวนาต่อไปครับจนหลับ -
-
ฌาน 2 จิตละปิติได้ มันเป็นฉันใด... คุณชั่งมันกำลังจะบอกว่า ตอนอยู่ที่ ฌาน 2 นี่ จิตมันยึดปิติเป็นอารมณ์เหรอครับ แล้วสติตอนนี้อยู่ที่ใดครับ -
[
เค้าน่าจะหมายถึงทรงจิตไว้ในณานตลอดวัน ในบางช่วงที่สามารถทรงได้ครับ
- ปฐมฌาน ( ฌานที่ 1 ) ประกอบด้วย วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา
- ทุติยฌาน ( ฌานที่ 2 ) ประกอบด้วย ปิติ สุข เอกัคคตา
คือปรกติของจิตผู้ที่ภาวนาไม่ประสงจะอยู่กับนิวรณ์ พยาบาทเป็นต้น ผู้ที่ชอบและรักในการทำสมถะมักจะนำจิตตนเข้าไปตั้งอยู่ในองณาน เมื่อคิดาการงานทำสิ่งใดก้จะมีวิตกวิจารไตร่ตรองในสิ่งนั้น เมื่อไม่ได้ทำอะไรก้จะไม่วิตกวิจารหรือคิดนั้นล่ะครับก้จะอยู่กับ ปิติและสุข ในอนุสติกองใดกองหนึ่งที่ชำนาญ ตรงน้ก้ต้องบอกว่าเป็นในเฉพาะผู้ที่ชำนาญในณานเท่านั้นจะทรงอารมได้ ส่วนมากจะเป็นนักปติบัติที่รักการทำสมาธิภาวนา และสั่งสมประสบการมานานๆแล้ว
จิตฟุ้งซ่านนอกณานกับจิตในณานเป็นอย่างไร ก้ลองพิจารณาลงในตัวสังขารสัญญาวิญญานเวทนาที่ท่านรับรู้อยู่ดูครับว่า เป็นจิตที่สงบปราศจากนิวร หรือเป็นจิตที่นิวรณเข้ามาเกาะเกี่วอยู่
ในกรณีของคุณชั่งเถอะนี้ตามที่อทิบายคือเมื่อว่างจากการงานในขณะจิตหนึ่งๆก้จะละเอาวิตกวิจารความคิดออกไปเหลือไว้ด้วยปิติและสุขอยู่ครับ ณานในอนุสติ 10 ไม่แน่นิ่งเฉยๆก้ทำได้ครับ ลองพิจารณาพรหมภพชั้นที่บรรลุ ปฐมณาน และทุติยณานดูครับว่าเป็นอยู่อย่างไรทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอริยะและท่านที่เป็นอริยะ -
จิตอยู่ที่คำภาวนา สติกำกับจิตไม่ให้ออกนอกคำภาวนา...
เมื่อเวทนาเกิด ก็ปล่อยผ่าน
เมื่อปิติเกิด ก็ปล่อยผ่าน
เมื่อสุขเกิด ก็ปล่อยผ่าน...
จนจิตแนบแน่นกับคำภาวนา เป็นอันหนึ่งอันอันเดียวกัน จนแยกกันไม่ออก เมื่อนั้นคำภาวนาก็จะหายไป จิตก็จะรวมเป็นสมาธิ... -
-
จิตของผู้มีณานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำได้ และทรงไว้โดยตลอดได้ และเป็นผู้ชำนาญในณานนั้นด้วย เราจะไปปนระหว่างการเห็นธรรมในการทำวิปัสนากับการทำสมถะในการทรงคุณธรรมนะครับ
ยกตัวอย่างอีกคือพระอนาคามีทรงณานเป็นอารมณ์ ท่านก้ละก่ามฉันทะและพยาบาทขาดออกจากจิตแล้วจิตจึงตั้งอยู่ในองณานได้ตลอดต่อเนื่อง คุณของณานนี้ไม่ใช่มีแต่โทษ แต่ยังเป็นธรรมฝ่ายกุศลจิตอีกด้วย
ณานโลกียะก้ทรงได้บ้างไม่ได้บ้างเป็นเรื่องธรรมดาครับ ส่วนใครทรงได้อันนี้ก้น่าสรรเสริญครับ การพิจารณาพิจารณาได้ทั้งผู้ทรงณานและไม่ทรงณานอย่าเอามาอ้างนะครับว่าณานเป็นเครื่องติดทำให้พิจารณาไม่ได้ในบางบุคคล ณานที่จัดว่าขาดจากการรู้ธรรมคือ อรูปณานขึ้นไป และแม้ผู้ที่บรรลุณานได้ตายในณานได้บังเกิดในพรหมภพก้ยังมาฟังธรรมได้เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาจุติและก้มากันเป็นจำนวนมาก แม้แต่พระอริยะที่บรรลุธรรมพรหมเหล่านี้ที่มีสัมมาทิฐิได้เกิดในยุคที่มีพุทธศาสนาก้ยังมาฟังธรรมจากเหล่าพระอริยะท่านเช่นกันเพราะอะไร ก้เพราะจิตของพระอริยะมีความสว่าง เทวดา พรหม ท่านก้รู้เห็นได้ -
การทรงคุณธรรมแตกต่างอย่างไรกับผู้รู้ธรรม?(เด็กวัดกับสมภาร)
-
บอกเล่าตามประสบการณ์ละกันนะครับ ก็ลองเท่าเคียงกับตำราหลวงพ่อดูนะครับ
ตอนแรกที่เริ่มปฎิบัติ มีไหมความคิด มีไหมอาการเจ็บปวดร่างกาย และอื่นๆ
ต่อมา เริ่มแยกออก เห็นได้หลายๆอย่างพร้อมกัน อันนี้เรียก ..... เกิดขึ้นอยู่ มีอยู่ รู้สึกได้อยู่ ผ่านไปเริ่มไม่ยึด การ เกิดขึ้น มีอยู่ดับไป จนตั้งอยู่ใน หนึ่งเดียว ประมาณนี้ครับ -
อาจจะใช้คำกำกวมเรื่องยึด จริง จะว่ายึดก็ไม่ถูกต้อง ผมไม่มีคำอื่นที่ใช่อธิบายได้ดีกว่าคำว่ายึดครับ พอจะขยายความให้ได้ดังนี้
ตามธรรมดาของจิต จะมีตัวยึดของมันเองอยู่เสมอ โดยที่เราไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น กำลังอ่านหนังสือ จิตก็ยึดในตัวอักษร ยึดการตีความตัวอักษร เป็นสมาธิ
หากเป็นการเข้ากรรมฐาน เริ่มแรก จิตเรายึดคำภาวนาเป็นหลักและรู้ลม เพื่อให้จิตละการยึดในเรื่องวุ่นวายทั้งหลายแทน เมื่อจิตมีสติมั่นคง สมาธิมั่นคงละเอียดขึ้นเรื่อยๆ จนเข้า ฌาน 1 ได้
หากสติสมาธิมั่นคงจิตจะละเอียดมากจน ละของหยาบกว่าคือ คำภาวนาได้เอง และจะไปจับกับของที่มีความละเอียดเท่ากันหรือใกล้เคียงกันแทนคือ ปิติครับ
จริงๆต้องอธิบายก่อนว่า ปิติ สุข อุเบกขา เรามีอยู่ในตัวเองอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่สามารถจับอารมฌ์พวกนี้ได้เพราะ มันละเอียด แทรกอยู่ในของหยาบ จิตปกติเราหยาบก็จับได้แต่ของหยาบเป็นอารมณ์
เมื่อจิตละเอียดจนถึงระดับพอดีกับ ปิติ ของหยาบมันก็ไม่สนแล้วครับเป็นธรรมดาขอจิต ผมอธิบายตรงนี้ไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมต้องไปจับ รู้แต่ว่าเป็นธรรมดาของจิต
(ขอให้ท่านอื่นช่วยอธิบายตรงนี้เพิ่มนะครับ ความรู้ผมไม่พอ)
พอจับปิติแล้ว เข้าฌาน 2 แล้ว สติมั่นคง จิตตั่งมั่น สมาธิดีขึ้น ละเอียดขึ้น จิตมันจะละปิติไป เนื่องจาก ปิติมันจะหยาบกว่าจิตไปแล้ว และจะหันไปยึดตัวต่อไปแทนคือ สุข ซึ่งละเอียดกว่า เป็น ตัวต่อไป และจะวนไปเรื่อยจน สุดที่ ฌาน 4 นั้นละครับ ละไป จับอันใหม่ ละรูปก็ไปจับอรูป ที่ละเอียดกว่า
ความรู้ผมสุดในเรื่องฌาน เท่านี้เอง จากประสพการณ์ที่มี หากอยากได้ละเอียดกว่านี้ ต้องขอให้ท่านอื่นช่วยอธิบายเพิ่มเติมนะครับ
เจริญ ยิ่งๆ ขึ้นในธรรมครับ -
จิตแนบแน่นในคำภาวนา นั่นคือจึดยึดในคำภาวนา ผมอาจใช้คำไม่ถูกไม่กระจ่าง ทำให้ท่านสับสน ขออภัยยิ่งครับ
ใช้วิปัสนาพิจารณา ละจากอกุศล มายึดกุศล ละต่อไป หากละได้จนหมดไม่ต้องยึดอะไรแล้ว ก็คือพระอริยะเจ้าครับ ละกุศลตัดวงจร ละภพละชาติ คือที่สุดแห่งทุกข์ครับ
เจริญในธรรมครับ
หน้า 3 ของ 4