งั้นผมขอรอชุดนี้ หรือเหรียญที่กำลังจะออกนะครับ
เคยอ่านเจอว่าหลวงปู่สมหมาย ท่านเคยจำพรรษาที่ วัดป่าหนองหัวหมู จ.ยโสธร ช่างชิตพอจะรู้เรื่องไหม พอดีไปเจอรูปหล่ออุ้มบาตร กับเหรียญหลวงปู่ แต่ไม่แน่ใจ...เขาเก็บไปแล้ว.....อดเลย
ช้างเผือกในป่าอีสาน หลวงตาสมหมาย วัดป่าสันติกาวาส คำสอน/ประสบการณ์/วัตถุมงคล/ (ช่างชิต)
ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย ช่างชิต, 21 ตุลาคม 2013.
หน้า 50 ของ 81
-
หลวงปู่สมหมาย จิตตปาโล ครับผม -
...........กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(24)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
.
พรรษา 28
(พ.ศ. 2506จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
.
ในพรรษา หลวงปู่ก็ได้พาพระภิกษุสามเณรปฏิบัติธุดงควัตรเหมือนที่เคยปฏิบัติมา อบรมญาติโยมที่มารักษาอุโบสถศีลในวันพระ 8 ค่ำ 14-15 ค่ำ เป็นประจำ รู้สึกว่ามีผู้มารักษาอุโบสถศีลและฝึกหัดนั่งสมาธิภาวนาเป็นจำนวนมากเป็นพิเศษ บางวันพระก็มีถึง 200 คน 300 คนก็มี บางวันพระหลวงปู่ก็อบรมเอง บางวันพระก็ให้หลวงพ่อสุจินต์ ผู้เป็นลูกศิษย์ที่ท่านไว้วางใจ ได้เป็นผู้อบรมแนะนำญาติโยมนั่งสมาธิภาวนาแทนหลวงปู่ แต่หลวงปู่ก็นั่งฟังอยู่ด้วย เมื่อจบจากการอบรมพานั่งสมาธิภาวนาแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของหลวงปู่แสดงธรรมและตอบปัญหาธรรมแก่ญาติโยมไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาตี 1 ตี 2 เป็นประจำ ท่านจึงลงจากศาลากลับกุฏิของท่าน บางวันพระก็อยู่จนตี 4 พาญาติโยมทำวัตรเช้าจนสว่างแล้วจึงเลิกกัน
.
รักษาไข้ด้วยธรรมโอสถ
.
ในวันนั้นเมื่อสว่างแล้ว ถึงเวลาปฏิบัติอาจาริยวัตร ผู้เขียนและครูบาสมไปคอยที่ประตูกุฏิกลางน้ำที่ท่านพักอยู่จนสาย ถึงเวลาบิณฑบาตท่านก็ยังไม่เปิดกุฏิ ครูบาสมจึงให้ผู้เขียนคอยปฏิบัติท่านอยู่คนเดียว ครูบาก็ไปบิณฑบาต จนพระเณรที่ไปบิณฑบาตทุกสายได้กลับมาถึงวัดหมด ท่านก็ยังไม่เปิดกุฏิ ชำเลืองหูฟังข้างในกุฏิท่าน ก็เงียบไม่มีเสียงอะไร จนถึงเวลาฉันท่านก็เงียบ หลวงพ่อสุจินต์จึงลงจากศาลามาที่กุฏิหลวงปู่ แล้วหลวงพ่อสุจินต์พูดว่า "ไม่ใช่ท่านเป็นอะไรไปแล้วหรือ" จึงหาวิธีจะพังหน้าต่างเข้าไปดู
.
พอหลวงปู่ท่านได้ยินว่ากำลังจะพากันพังหน้าต่างกุฏิท่าน ท่านจึงตะโกนออกมาว่า "ถ้าตายมันก็จะเหม็นดอก" แล้วท่านก็เงียบไป พวกลูกศิษย์จึงพากันกลับไปฉันที่ศาลา ในวันนั้นคอยปฏิบัติท่านอยู่ตลอด ท่านก็ไม่เปิดกุฏิ จนเวลา 2 ทุ่ม ท่านจึงเปิดกุฏิ ลูกศิษย์เข้าไปปฏิบัติถวายน้ำร้อนน้ำฉัน ท่านจึงบอกว่า ท่านเข้าที่ภาวนา เพราะท่านไม่สบายเป็นไข้ ในวันนั้นท่านเลยไม่ฉันอาหารเลย พอไข้หาย วันหลังมาท่านค่อยฉัน นี้เป็นนิสัยของท่านเวลาไม่สบาย ท่านจะเข้าที่ภาวนา ไม่ให้ใครไปรบกวน
.
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมทูตสายที่ 5
.
ย่างเข้าปี พ.ศ. 2507 หลวงปู่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระธรรมทูตสายที่ 5 ออกอบรมประชาชนในเขตอำเภอหนองหาน หลวงปู่ได้ให้หลวงพ่อสุจินต์ จิตฺตปชฺโชโต ผู้เป็นลูกศิษย์ ซึ่งท่านก็มีหน้าที่เป็นพระธรรมทูตเหมือนกัน เป็นผู้ออกอบรมประชาชนตามจุดต่างๆ ส่วนหลวงปู่เป็นผู้คอยออกไปเยี่ยมสนับสนุนทำให้ประชาชนได้เข้าใจในการปฏิบัติ และขอถึงพระไตรสรณคมน์เป็นจำนวนมาก
.
เมื่อถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2507 หลวงปู่ท่านอนุญาตให้ผู้เขียนบวชเป็นสามเณรได้ ก่อนบวชท่านได้เป็นผู้ฝึกคำขานนาคให้ ท่านพิถีพิถันมาก ถ้าออกเสียงไม่ถูก ท่านไม่เอา ต้องให้ว่าอยู่นั้นแหละ ท่านฝึกให้อยู่ 15 วัน เห็นว่าใช้ได้แล้วจึงอนุญาตให้ไปบวชได้
.
พรรษาที่ 29-30
(พใศ.2507-2508 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
ในพรรษาปี 2508 นี้ หลวงพ่อสุจินต์ จิตฺตปชฺโชโต ผู้เป็นศิษย์ที่สำคัญที่หลวงปู่ได้อาศัยช่วยรับภาระในการอบรมญาติโยม และเป็นผู้ปฏิบัติที่เด็ดเดี่ยว ได้ถึงแก่มรณภาพ จึงเปรียบเสมือนว่าแขนเบื้องขวาของหลวงปู่ได้ขาดไป หลวงปู่ต้องรับภาระในการอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรและญาติโยมแต่ผู้เดียว หลวงปู่ให้ตั้งศพหลวงพ่อสุจินต์ จิตฺตปชฺโชโต บำเพ็ญกุศลนับแต่วันที่ท่านมรณภาพ คือวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 11 พอถึงวันขึ้น 8 ค่ำ เดือน 11 ก็ทำการประชุมเพลิงศพ
ในการจัดงานศพหลวงพ่อสุจินต์นี้ หลวงปู่ได้ให้ญาติโยมไปนิมนต์ครูบาอาจารย์มาร่วมงานด้วย มีหลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ วัดป่าหนองแซง, พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล, พระอาจารย์จันทา ถาวโร, พระอาจารย์เต็ม ขนฺติโก ซึ่งขณะนั้นท่านจำพรรษาอยู่วัดธาตุฝุ่น บ้านคำเจริญ หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ ท่านบอกว่า "เสียดาย หลวงพ่อสุจินต์นี้ล่วงไปก่อน เพิ่งได้อนาคามี แต่นี้ก็ไม่ได้มาเกิดอีกหรอกนะ" ครูบาอาจารย์ทุกองค์ที่นิมนต์มา ท่านก็อยู่ช่วยจนเสร็จงาน แล้วทุกองค์จึงได้กลับวัด
.
รูป
หลวงปู่ปี2506 อายุ 47
รูปถ่ายหมู่ปี2506ขวาสุดคือหลวงพ่อสุจิน
รูปบัตรธรรมทูตของหลวงปู่
.
*โปรดติดตามตอนต่อไปไฟล์ที่แนบมา:
-
-
....สวัสดีครับทุกท่าน หายไปหลายวันพอดีไปต่างประเทศมา ต้องขออภัยที่ไม่ได้บอกกล่าว ตอนนี้กลับมาละ เรื่องเล่าอะไรดีๆที่เกี่ยวกับหลวงตาก็จะกลับมาดำเนินเช่นเดิมเหมือนกัน
.....พอดีเมื่อวานช่างชิตและสหายฌานกรไปเจรจาเรื่องเหรียญขั้นตอนสุดท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ รอคิวปั๊มไม่น่าเกินสองอาทิตย์
.....เลยเอาเนื้อต่างๆมาให้พวกเราชมกัน
คืนนี้ คือ
เนื้อเงิน
เนื้อนวะแก่เงิน(มีเฉพาะเจ้าภาพร่วมสร้าง)
เนื้อนวะธรรมดา
เนื้อทองแดงผิวดำ
เนื้อทองแดงผิวไฟ
.....โครงการนี้ช่างชิตตั้งใจมาสามปีแล้ว สุดท้ายเพราะแรงศรัทธาของทุกๆท่าน วันนี้จึงใกล้ความจริงไปทุกที ดีใจกับพวกเราทุกคนนะครับ
.....ส่วนรายละเอียดต่างๆอัพเดตสรุปยังไงจะแจ้งให้ทราบเรื่อยๆ ส่วนประวัติหลวงปู่และบทความน่าสนใจ ช่างชิตหายเหนื่อยจะรีบมาจัดให้นะครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
.....ไม่อยากเสียเวลามาต่อกันดีกว่า ต้องบอกว่าเหนื่อยสุดๆ เหนื่อยกับเดินทางนี่ละ 5555 บ่ายวันนี้ช่างชิตถึงจันท์แล้วครับ ก็มาจัดเรื่องราวดีๆกันหน่อย ต้องบอกว่าเข้าพรรษางวดนี้ช่างชิตได้ทำตามจุดประสงค์หลายอย่าง ได้ไปหาข้อมูลเบื้องต้นเรื่องธุรกิจที่ลาว ได้พาพ่อกับแม่ทำสังฆทานไปถวายพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายรูป คือ
หลวงปู่ลี วัดถ้ำผูผาแดง
หลวงปูประไพร วัดป่าไพรรัตนาราม
หลวงปู่จันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย
หลวงตาเรา
และไปกราบอัฐิธาตุหลวงปู่อ่อนสา วัดป่าประชาชุมพล
.
......และที่สำคัญได้เห็นสิ่งที่ช่างชิตต้องการเห็นมานานแล้วคือ
.
"เกศาหลวงตาที่ม้วนกันเป็นก้อน"
.
......เรื่องมีอยู่ว่า ช่างชิตได้คุยกับครูบาที่อุปฐากหลวงตาหลายเดือนก่อน ครูบาเล่าให้ช่างชิตฟังว่า ครั้งนึ่งได้ปลงผมหลวงตาแล้วก็เอามายัดๆใส่กระปุกเอาไว้จนเต็ม แล้วเก็บไว้ในลิ้นชักจนลืม ผ่านไป3-4เดือนเห็นจะได้ วันหนึ่งมีเรื่องให้ต้องไปเปิดลิ้นชักเอาของ ตาก็ไปสะดุดกับกระปุก... แต่ตอนนั้นลืมว่ากระปุกอะไร เลยหยิบเอาขึ้นมาดู นึกไปนึกมาเลยนึกออกได้ว่าเป็นกระปุกที่เก็บเกศาหลวงตา ครูบาเลยลองเปิดออกดู
.......ปรากฏว่าครูบาท่านตกใจเป็นอย่างมาก เพราะเส้นเกศาหลวงตาที่ครูบายัดลงไปกระปุกกับมือแบบแน่นๆเต็มๆ
.
กลับม้วนตัวเข้าหากันจนจะเป็นก้อนกลมๆ(ตามภาพ)
.
.......ด้วยความตื่นเต้นจึงเอาเรื่องนี้ไปคุยกับพระอาจารย์องค์หนึ่งในวัด พระอาจารย์ท่านฟังก็ไม่ว่าอะไร แล้วท่านก็ไปหยิบเกศาหลวงตาที่ท่านเก็บไว้มาให้ครูบาดู ปรากฏว่า
"ม้วนรวมกันเป็นตะกร้อเรียบร้อยแล้ว"
(ยังไม่มีภาพแต่ช่างชิตจะต้องไปหาภาพมาให้ชมกันให้ได้ครับผม)
........นี้ละครับ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ให้พวกเราทุกๆคนได้รู้และทราบว่า
"ครูบาอาจารย์ที่ยังปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น ยังมีอยู่จริง ให้เราได้กราบไหว้ให้เราได้ร่วมสร้างบุญสร้างกุศลและให้ท่านนำพาเราสู่หนทางแห่งการดับทุกข์อย่างถาวร(ถ้าเราทำได้นะ 555)"
.......ช่างชิตเอามาลงให้ดูไม่ได้จะให้ทุกท่านมองเป็นเรื่อง "อิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์" เพียงแค่อยากให้พวกเรารู้ว่า "สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนั้น ถ้าพากันปฏิบัติตามจริงๆก็ให้ผลจริงๆ แม้เราจะไม่มีเครื่องวัดค่าไปวัดภูมิธรรมคุณธรรมของท่านผู้ปฏิบัติเหล่านั้นได้ แต่สิ่งที่ท่านเหล่านั้นแตกต่างจากปุถุชนธรรมดาก็มีให้พวกเราได้เห็นกันอยู่ด้วยตาหยาบ เช่น กระดูก เล็บ ปัสสาวะ อุจาระ เส้นผม หรือสรีระร่างกายของพระผู้ปฏิบัติได้กลายเป็นพระธาตุ เป็นต้น"
......ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขอให้ทุกๆท่านมี สติ วิจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันมากๆนะครับ อย่าไปหลงเชื่ออะไรง่ายๆ แม้แต่เรื่องนี้ อ่านแล้วก็อย่าไปเชื่อเสียแต่ทีแรก ลองคิดและหาข้อมูลมาประกอบกับการตัดสินใจตัวเองดูก่อนจะปักใจเชื่อ การกระทำเช่นนี้จะป้องกันเราไม่ให้เป็นเหยื่อของมิจฉาชีพที่มากมายในสังคมทุกวันนี้กันนะครับ
.....กระนั้นในชีวิตช่างชิตอาจจะโชคดีหน่อย เพราะที่ผ่านมาล้วนแต่ได้สัมผัสกับ "ของจริง" จนแยกแยะได้ และไม่ไปหลงฮือฮากับพวก "เลือดซับผ้าอ้อม" หรือ "แก้วเรซิ่น" อย่างที่หลายๆคนหลงกราบไหว้กัน.......
...ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(25)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
.
พรรษาที่ 31
(พ.ศ. 2509 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
.
ต้นปีพ.ศ. 2510 นี้ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล ท่านได้อาพาธ หลวงปู่ได้ไปเยี่ยมและอยู่เฝ้าปรนนิบัติ โดยหลวงปู่ให้ครูบาสมและผู้เขียนซึ่งเป็นสามเณรติดตามไปด้วย นายดอนเอารถเก๋งมารับจากวัดป่าสันติกาวาส ไปส่งที่วัดถ้ำกลองเพล เมื่อถึงวัดถ้ำกลองเพลก็เป็นเวลาใกล้ค่ำ เพราะตอนนั้นถนนยังเป็นลูกรังหมด รถวิ่งเร็วไม่ได้ หลวงปู่พักที่กุฎิผาผึ้ง มีพระอาจารย์คำสุก และพระอาจารย์จันทร์โสม กิตติกาโร (วัดป่าจันทรังสี (วัดป่านาสีดา) อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี มรณภาพเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2549 ณ โรงพยาบาลศิริราช) พักอยู่ด้วยกัน เพราะขณะนั้น พอครูบาอาจารย์ทั้งหลายได้ทราบว่าหลวงปู่ขาวอาพาธ ต่างก็พากันทยอยเข้าไปค้างที่วัดถ้ำกลองเพล ในขณะที่หลวงปู่ขาวท่านอาพาธหนักอยู่นั้น ครูบาอาจารย์พระเณรรวมกันก็เป็น 50-60 องค์ ในระยะนั้นก็ถือว่ามาก
.
ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เข้าไปเยี่ยมและค้างคืนในขณะนั้นก็มีหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่บัว สิริปุณฺโณ, พระอาจารย์วัน อุตฺตโม, พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ, พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร และก็มีอีกหลายๆองค์ ครูบาอาจารย์เปลี่ยนวาระกันเฝ้าไข้ท่าน หลวงปู่ขาวนั้นท่านพักอยู่ที่กุฏิหนูพลอย จิตขยัน หลวงปู่ขึ้นเฝ้าเวลากลางคืน ถ้าวันไหนท่านขึ้นเฝ้า ท่านจะนั่งอยู่ทางขวามือของหลวงปู่ขาว และท่านจะนั่งตัวตรง ภาวนาเฝ้าอยู่ ไม่พูดคุยกับองค์อื่น ต่างองค์ต่างสำรวมกายและจิต หลวงปู่จะนั่งตัวตรงอยู่จนสว่าง จึงกลับที่พักล้างหน้า แล้วก็ลงรวมที่ถ้ำและออกบิณฑบาต หลวงปู่เป็นหัวหน้าบิณฑบาตสายบ้านห้วยเดื่อ ในตอนนั้นสัตว์ป่าและป่าไม้ยังมีเยอะ ช้างป้าก็ยังมี เวลาเดินไปบิณฑบาตก็ยังต้องระวังช้างป่า.
.
ให้โอวาทพระเณร
.
เมื่อถึงวันพระ 8 ค่ำ ทั้งพระ สามเณร แม่ชี และญาติโยม รวมประชุมกันที่ถ้ำกลองเพล ทำวัตรสวดมนต์เย็น ในวันนั้น หลวงปู่เป็นหัวหน้าในที่ประชุม เมื่อทำวัตรสวดมนต์จบแล้ว ครูบาอาจารย์ที่รองจากหลวงปู่มีอยู่หลายองค์ จึงพากันนิมนต์ให้หลวงปู่เป็นผู้ให้โอวาทพระเณร หลวงปู่จึงให้โอวาทเตือนในที่ประชุมว่า "ในขณะนี้ครูบาอาจารย์ท่านอาพาธ พวกเราได้มารวมกันเป็นจำนวนมาก ขอให้ต่างองค์ต่างรักษาจิตของตัวเอง มีสติสำรวมระมัดระวังจิตใจของตัวเอง อย่าปล่อยให้มันไปทับครูบาอาจารย์ ถ้าไม่มีสติสำรวมจิตใจ ปล่อยให้ฟุ้งซ่านโลเล ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า มันทับ มันทับ จิตของท่านละเอียดหมดจด เมื่อเราปล่อยจิตของเราโลเล จึงไปกระทบของท่าน ท่านจึงบอกว่ามันทับมันทับ ขอให้ต่างองค์ต่างตั้งใจสำรวมจิตใจของตนๆ จึงได้ชื่อว่าสนับสนุนครูบาอาจารย์ เพื่อจะให้ท่านหายจากอาพาธ ถ้าปล่อยจิตใจโลเลไปทับถมท่าน เท่ากับเหยียบย้ำซ้ำเติมให้อาพาธของท่านทรุดหนักลง จึงขอให้ทุกๆท่านจงสำรวมจิตใจของตนไว้ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
.
เมื่อหลวงปู่ให้โอวาทจบแล้ว ก็มีการฟังพระธรรมเทศนาจากครูบาอาจารย์องค์อื่นต่อไป การอาพาธของหลวงปู่ขาวในครั้งนั้น ใครๆก็เข้าใจว่าท่านจะละขันธ์แน่นอน จนถึงกับครูบาอาจารย์ต้องวางแผนเตรียมการกันเป็นการใหญ่ เตรียมทำปะรำที่พักที่รับแขกไว้ เวลาไปเอาไม้ไผ่จากอ่างอาราม ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำกลองเพลหลายกิโล หลวงปู่ก็ไปช่วยแบกไม้ไผ่ด้วย และไปเจอหินที่อ่างอารามเป็นหินที่ใช้ลับมีดได้ดี หลวงปู่ยังให้เอาผ้าอาบน้ำสะพายเอาก้อนหินมาด้วย อยู่ต่อมาคุณหมออวย เกตุสิงห์ ได้เอาเลือดตัวเองเข้าถวายให้ท่านหลวงปู่ขาว แล้วการอาพาธของท่านก็ค่อยหายไป อาการดีขึ้นเรื่อยๆ
.
หลวงปู่พากลับจากถ้ำกลองเพล
.
หลวงปู่พาพักดูแลปรนนิบัติท่านหลวงปู่ขาวอยู่ถึงสิบห้าวัน เมื่อเห็นว่าอาการท่านดีขึ้นแล้ว จึงพาครูบาสมและผู้เขียนเดินทางกลับจากถ้ำกลองเพล อาศัยรถแขวงทางหนองวัวซอ ที่เข้าไปส่งน้ำที่วัดถ้ำกลองเพลตอนบ่ายๆ มาลงที่หนองวัวซอ นั่งรถโดยสารต่อจากหนองวัวซอมาลงที่อุดร ต่อรถโดยสารอุดร-สกลนคร ลงที่ทางแยกไชยวาน หลวงปู่พาเดินสะพายบาตรแบกกลด ให้พ่อใหญ่มาหาบก้อนหินลับมีด ถึงวัดป่าสันติกาวาสเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี
.
รูป
หลวงปู่ขาว
หลวงปู่จันทร์โสม
.
*โปรดติดตามตอนต่อไป
.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(26)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
.
พรรษาที่ 32
(พ.ศ. 2510จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
.
ปีนี้พระอาจารย์ทูล ขิปฺปปญฺโญ ได้มาจำพรรษาศึกษาอยู่กับหลวงปู่ (ปัจจุบันท่านอยู่ที่วัดป่าบ้านค้อ อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี) ขณะนั้นท่านได้ 7พรรษา ดังที่มีปรากฏอยู่ในหนังสืออัตโนประวัติของท่านดังนี้
.
"ในพรรษาที่ 7 นี้ จำพรรษาอยู่ที่วัดสันติกาวาส ตำบลไชยวาน อำเภอไชยวาน จังหวัดอุดรธานี มีหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล เป็นเจ้าอาวาส ในพรรษานี้การภาวนาปฏิบัติก็มีความราบรื่นไปด้วยดี นิสัยของหลวงปู่บุญจันทร์ ท่านมีนิสัยที่พูดน้อย การพูดในธรรมก็มีน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยเนื้อหาสาระ คำพูดที่ท่านพูดออกมา เมื่อนำไปพินิจพิจารณาดูแล้ว มีความหมายอย่างลุ่มลึก และเต็มไปด้วยเหตุด้วยผล ถ้ามีปัญญาดีพิจารณาให้รอบคอบแล้ว มีความหมายอย่างพิสดารมากทีเดียว เว้นเสียแต่ผู้มีหูหนาปัญญาทึบเท่านั้น จึงจะฟังธรรมของท่านไม่รู้เรื่อง"
.
พรรษาที่ 33
(พ.ศ. 2511จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
.
เมื่อออกพรรษาแล้วเข้าฤดูแล้ง เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 หลวงปู่ได้ไปช่วยเตรียมงานถวายเพลิงศพ ท่านพระอาจารย์พระ สุมโน วัดประชานิยม บ้านหนองหลวง อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในงานถวายเพลิงศพ ท่านพระอาจารย์พร สุมโน วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2512 ได้มีบรรดาครูบาอาจารย์สายกัมมัฏฐานได้มาร่วมในงานเป็นจำนวนมาก และศรัทธาญาติโยมจากทั่วสารทิศ ได้มาตั้งโรงทานบริการ ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้มาร่วมในงาน บรรยากาศในงานเต็มไปด้วยความสงบ ไม่อีกทึกครึกโครม ไม่มีมหรสพ มีแต่การแสดงธรรมทั้งกลางวันและกลางคืน หลวงปู่อยู่ช่วยจนงานสำเร็จเสร็จสิ้นเรียบร้อย จึงได้กลับวัด
.
พรรษาที่ 34-35
(พ.ศ. 2512-2513จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
.
เมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ปรารภถึงศาลาการเปรียญของวัดป่าสันติกาวาสที่หลวงปู่พาญาติโยมสร้างเป็นหลังที่ 2 ได้ชำรุดทรุดโทรม คณะศรัทธาญาติโยมจึงลงมติว่า ควรจะรื้อแล้วสร้างหลังใหม่ หลังจากญาติโยมเกี่ยวข้าว เสร็จในการทำนาแล้ว เดือนมกราคม พ.ศ. 2514 หลวงปู่ได้พาญาติโยม ไปติดต่อขอไม้จากเจ้าหน้าที่ป้าไม้ อำเภอบ้านดุง และได้นำไม้จากดงปอ บ้านหนองไฮ อำเภอบ้านดุง มาทำเสาศาลาการเปรียญหลังที่ 3
.
ในขณะที่หลวงปู่ท่านพาญาติโยมไปพักค้างคืนอยู่ที่ดงปอ เพื่อคัดหาเอาไม้มาทำเสาศาลาการเปรียญนั้น ท่านได้สั่งผู้เขียนและพระที่อยู่เฝ้าวัด ให้ตัดเย็บผ้าไตรจีวรไว้ ให้ได้ 10 ไตร เพื่อจะไปถวายบังสุกุลในงานถวายเพลิงศพหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ วัดประสิทธิธรรม บ้านดงเย็น อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งท่านได้มรณภาพตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2512 และจะทำพิธีถวายเพลิงศพท่านในวันที่ 6 มีนาคม 2514
.
เมื่อหลวงปู่สั่งแล้ว ผู้เขียนพร้อมด้วยพระที่อยู่เฝ้าวัด ได้ช่วยกันตัดเย็ยย้อมผ้า ได้ครบตามที่หลวงปู่สั่งไว้ ในขณะนั้นผู้เขียนเพิ่งบวชเป็นพระภิกษุได้ 2 เดือนเท่านั้น เมื่อหลวงปู่พักอยู่ดงปอ บ้านหนองไฮ อำเภอบ้านดุง พวกญาติโยมพากันตัดไม้ได้ครบจำนวน 60 ต้น ยาวต้นละ 10 เมตร เป็นไม้มะค่าแต้ทั้งหมด จึงให้รถลากซุงจากดงปอ อำเภอบ้านดุง มาที่วัดป่าสันติกาวาส แล้วว่าจ้างพวกที่เป็นช่าง ถากเสาให้ ค่าถากต้นละ 100 บาท บางพวกก็ไม่คิดค่าจ้าง ช่วยกันถากเอาบุญ จนได้ต้นเสาครบ 60 ต้น
.
หลวงปู่พาไปร่วมงานถวายเพลิงศพหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ
.
เมื่อถึงวันเริ่มงานถวายเพลิงศพหลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ คือวันที่ 4 มีนาคม 2514 หลวงปู่ได้พาญาติโยมและพระติดตาม คือ ผู้เขียน ไปร่วมงานในคราวนั้น ถนนหนทางไปมาลำบากไม่สะดวก ว่าจ้างรถให้ไปส่ง ออกจากบ้านไชยวาน ไปทางอำเภอสว่างแดนดิน บ้านหนามแท่ง บ้านคำขัน ข้ามน้ำสงคราม เข้าถึงบ้านดงเย็น ถนนเต็มไปด้วยทราย บางทีรถติดทราย พวกชาวบ้านต้องมาช่วยกันเข็นรถ ในพิธีงานถวายเพลิงศพหลวงปู่พรหมนั้น ไม่มีมหรสพอะไร เป็นแบบงานของพระกัมมัฏฐาน ตอนกลางวันก็มีครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นองค์แสดงธรรม ตอนกลางคืน พระภิกษุสามเณรที่มาร่วมในงานเป็นจำนวนมาก ทั้งอุบาสกอุบาสิกา พร้อมกันทำวัตรเย็นและสวดมนต์ เพื่อเป็นการบูชาพระคุณของหลวงปู่พรหม แล้วจากนั้นก็ฟังพระธรรมเทศนาไปตลอดคืน หลวงปู่ได้พาทอดผ้าไตร 10 ไตรที่ได้เตรียมไว้นำไปจากวัด ถวายในงานหลวงปู่พรหมด้วย
.
ท่านได้พาค้างคืนอยู่จนเสร็จงาน คือวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2514 เวลา 4 ทุ่ม เป็นเวลาถวายเพลิงจริง เช้าวันที่ 7 มีนาคม เก็บอัฐิ มีพิธีสวดมนต์ฉลองอัฐิธาตุ หลวงปู่ได้อยู่ในจำนวนพระสงฆ์สวดมนต์ฉลองอัฐิด้วย เมื่อสวดมนต์เสร็จ มีการถวายอาหารบิณฑบาตแก่พระภิกษุสามเณรที่มาร่วมในงาน แล้วก็เป็นเสร็จพิธี ครูบาอาจารย์ต่างร่ำลากันกลับที่อยู่ของแต่ละท่านละองค์ หลวงปู่ก็พาเดินทางกลับวัดป่าสันติกาวาส
.
ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์
.
หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ให้เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ มีนามว่า "พระครูศาสนูปกรณ์" เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2513 ถึงแม้ว่าหลวงปู่ได้รับสมณศักดิ์แล้ว ท่านก็ไม่หลงในยศฐาน์บรรดาศักดิ์ ท่านยังปฏิบัติองค์ตามแบบพระกัมมัฏฐานตามที่ได้เคยปฏิบัติมา
.
รูป
หลวงปู่ทูล
หลวงปู่พร
หลวงปู่พรหม
เอกสารรับรองหลวงปู่รับพระราชทานสมณศักดิ์
พัดยศพระครูศาสนูปกรณ์ขาตั้งหลวงปู่เป็นผู้ทำเอง
.
*โปรดติดตามตอนต่อไป
.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
....สวัสดีครับทุกท่าน เช้าวันศุกร์ที่ฝนตกตลอดวัน ณ จันทบุรี เมื่อคืนช่างชิตนอนไม่หลับเลย เพราะช่วงเย็นเมื่อวานได้มีเหตุการณ์ที่ แปลก ประหลาด และอัศจรรย์ อีกครั้งในชีวิต ก็นึกคิดนอนคิดว่าจะมาเล่าสู่พวกเราฟังกันดีไหม สุดท้ายก็ตัดสินใจเล่าดีกว่า โดยก่อนจะอ่านบทความต่อไปนี้ ช่างชิตอยากให้ทุกท่านมี สติ มีสมมุติที่ฐานไว้ในใจ ใช้วิจารญาณในการอ่านให้มากที่สุด เหตุที่เกิดช่างชิตบอกเลยว่าไม่ต้องเชื่อ!! แต่ให้รู้ไว้อย่างเดียวว่า
.
"ที่เขียนต่อจากนี้ช่างชิตไม่ได้โกหก นั่งเมฆ ใส่ไข่ หรือเขียนด้วยเหตุผลอย่างอื่นใดนอกจากเหตุผลเดียวคือ ตื่นเต้นและอยากเล่าสู่กันฟัง"
.
เรื่องที่เล่ามี สักขพยาน ไม่ได้เห็นคนเดียว คิดเอง เออเอง คนเดียว เพราะเราทั้งคู่ต่างเห็นเหมือนกัน เอาละ .......หายใจเข้าลึกๆ.......พร้อมแล้ว
มารับรู้ความรู้สึกของเหตุการณ์อัศจรรย์ใจครั้งนี้กันครับ
......เมื่อวานช่วงเย็นช่างชิตและน้อง nutemu ต่างพากันไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ในจันทบุรีเพื่อจะขอให้ครูบาอาจารย์เมตตาจารแผ่นยันต์เป็นชนวนหลักเพื่อเอาไปปั๊มเหรียญ หลังจากที่ไปกราบ อาจารย์ประเวศ วัดป่าคลองมะลิ อาจารย์สมเดช วัดเขาถ้ำโบสถ์ มาแล้ว ก็กำลังจะไปกราบหลวงปู่บุญส่งและต่อด้วยหลวงปู่อ่อง ตามแผนที่วางไว้ "แบบไม่ตั้งใจ"
.....ขนาดที่น้อง nutemu ขับรถเข้าไปวัดหลวงปู่บุญส่ง เราสองคนก็มีความรู้สึกว่าหลงทาง จึงตัดสินใจย้อนกลับ พอกลับรถได้เท่านั้น สายตาของช่างชิตก็ไปเจอ รุ่งกินน้ำ ในสมองก็สั่งการทันทีจึงพูดออกไปว่า
"น้องเคยได้ยินไหมเขาว่าพระเครื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ตัดรุ่งขาดได้" พอน้องชายมือสารถีได้ยินที่ช่างชิตพูดก็บอก "ลองดูสิพี่" แล้วเราก็หัวเราะกันคิๆคักๆ
.....เราทั้งคู่ลงมาจากรถเพื่อจะลองดู "ขำๆเล่นๆ" ไม่ได้คิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นจริงๆจังๆ ช่างชิตใส่ส้อยพระไป 2 เส้น เส้นใหญ่มีพระหลายองค์ จึงตัดสินใจถอดสร้อยที่ "แขวนเดี่ยว" ออกมาแล้วอารธนาขอขมาท่านพร้อมขอชมบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้เห็นกับตาด้วยเถอะ (แต่ให้ตายเถอะ สาบานได้ในใจไม่คิดเป็นจริงเป็นจังเลยเสียด้วยซ้ำเพราะคิดว่า มันเป็นไปไม่ได้)
.....พออารธนาเรียบร้อยช่างชิตก็จับเหรียญ.....ฟาดจากซ้ายไปขวา 1 ครั้ง
ก็ยืนมองตามแบบ "ไม่มีอะไรจะเสีย" แล้วทันใดนั้นเอง .........รุ้งที่ทอดยาวอยู่ก็ค่อยๆจางขาดออกจากกัน (เขียนไปขนลุกไป)
"น้องๆๆๆๆๆๆๆ(ตะโกน) น้องเห็นแบบพี่ไหม น้องงงงงงงงง"
ช่างชิตหันไปหาพยานพร้อมกับชี้โบ้ชี้เบ้มั่วไปหมด
"เห็นพี่เห็น สุดยอดดดดด สุดยอดดดดด"
"กล้องๆ เอากล้องมาถ่ายเร็วๆ"
.....คิดดูก็แล้วกันผู้ชาย 2 คน ที่กำลังตื่นเต้นหยิบจับมือถือมาถ่ายไม่ทัน 555555 สติ สตัง หายหมด เขียนไปก็อาย 5555++ เราไม่ได้เตรียมตัวเพราะเราคิดว่า "มันเป็นไปไม่ได้" นึกภาพออกใช่ไหมครับ
.....แต่กระนั้นช่างชิตก็ไม่ปักใจเชื่อนะ บอกน้องควักพระ......ที่อยู่ในคอลองดูอีกทีสิ เพื่อความมั่นใจ น้องก็จัดการควักออกมาอารธนา แล้วฟาดไปที่รุ้งที่กลับมาสภาพปรกติละจากรอบแรก ทุกๆท่านเชื่อไหมครับ "รุ้งขาดอีกรอบ 2" คือแบบว่าไม่ได้ขาดแบบหายไปเลยนะ แต่บริเวณที่เราฟาดรุ้งจะค่อยจางหายไป จังหวะนี้ช่างชิตจับภาพไว้ได้นิดหน่อย(ตามรูป) เพราะเวลานั้นมันทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
.....แล้วเราก็มาตั้งสติกันคุยกัน ประมาณ 5 นาที น้องบอก "พี่เอาแหวนลองบ้างดิ เดี้ยวผมจะถ่ายให้" ช่างชิตก็นึกในใจว่า มันหลายรอบแล้วจะดีหรา!! แต่ถามว่าทำไหม ก็ทำ 555++ สรุปผลของรอบ 3 ตื่นเต้นกว่า 2 รอบแรกอีก น้องมันเลยถ่ายไม่ทัน 5555++
......โอ้ยยยยยย ผู้ชายยยยยยยมีแต่ผู้ชายยยยย ที่รอบ 3 ตื่นเต้นกว่า 2 รอบแรก เพราะใครจะเชื่อว่า เหตุการณ์นี้จะเกิด 3 รอบ ติดๆกัน เอาเป็นว่า "รุ้งจะขาดจริงไม่จริงอันนี้ไม่รู้นะครับแต่จาก ตา 4 ดวง 2 คู่ เห็นว่ามันไม่เหมือนเดิมก่อนที่พวกเราจะทำ"
.....เราขึ้นรถตั้งสติอีกรอบ ช่างชิตพูดย้ำถามน้องตลอดเวลาว่า "เห็นแบบพี่ไหม" "พี่ไม่ได้ตาฝาดหรือมโนไปเองใช่ไหม" น้องก็บอกว่า "พี่ ผมก็เห็น ผมก็ไม่ได้บ้านะ" แล้วเราก็คุยกันไปตลอดทาง นี้ละครับที่อยากมาเล่าสู่กันฟัง
.....ส่วนพระที่ใช้ในการนี้มีองค์ไหนบ้างก็ดูเอาจากภาพแล้วกัน ส่วนแหวนที่ใช้ในรอบ 3 ช่างชิตไม่บอกหรอกไปเดาเอาเองเถอะ
.
รูป
รูปแรกมีวงกลมสีแดง ช่างชิตถ่ายไว้หลังจากตัดรอบ 2 รุ้งกำลังจางๆก่อนจะขาดออกจากกัน
รูปสองน้องเขาถ่ายไว้ก่อนรอบที่ 3 แต่พอฟาดรอบ 3 เสร็จ ดันตื่นเต้นลืมถ่าย 5555++
และก็ 2 รูป สุดท้าย รูปวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ที่เราได้ขอชมบารมีกันในครั้งนี้
.
ใครมีก็ให้รู้ไว้นะครับ ช่างชิตย้ำรอบที่ล้านแล้วว่า ถึงจะเป็นพระแจกฟรีไม่มีราคาก็อย่าได้ดูแคลงว่าไม่มีพุทธคุณ
.
ปล. ในภาพอาจดูเหมือนเป็นเพราะเมฆวิ่งผ่านบรเวณนั้น ทำให้ลองพื้นเป็นสีขาว อาจดูเหมือนรุ้งขาดทั้งๆที่รุ้งไม่ขาด ช่างชิตเองก็คิดครับ แต่ย้ำว่า 3 รอบ และรุ้งๆค่อยๆจางขาดไป และรอบอื่นก็ไม่มีเมฆแล้วด้วย สรุป อ่านแล้วใช้วิจารญาณของแต่ละท่านตามสบายเลยครับผมไฟล์ที่แนบมา:
-
-
....สวัสดีครับทุกท่าน ช่างชิตพึ่งกลับมาถึงจันท์ ต้องบอกว่าสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอะไรที่แสนเหนื่อยแต่ปิติของช่างชิตมาได้แบบ ช่างชิตหมดสภาพ 5555++ เพราะฟัดเรื่องเหรียญที่พวกเราร่วมกันสร้าง ตอนนี้ปั๊มเสร็จเรียบร้อยแล้วนะครับ ยังไงจะแจ้งรายละเอียดทั้งหมดเรื่อยๆ ตอนนี้คนจะตายละ 5555++ ขอพักซักนิด
.....มาว่ากันที่เรื่องปิติเรื่องแรกก่อนเลย เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเป็นอีกวันที่ดีและเป็นมงคลมากๆ เหตุเพราะช่างชิตและสหายไปทำบุญกับสุดยอดเกจิอาจารย์ผู้คงแก่เรียนพลังจิตแก่กล้าและเป็นพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามแนวทางพระพุทธเจ้าเรา ช่างชิตเพียงรู้จักได้ไม่ถึงเดือนและไปกราบท่านก่อนหน้านี้มาแค่ครั้งเดียว แต่กับลงใจศรัทธาอย่างสนิทใจ ท่านที่กล่าวมานั้นคือ หลวงปู่เล็ก วัดทำนบ ศิษย์เอกหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่และหลวงพ่อนุ่ม วัดนางใน
.....วันนี้นอกจากทำบุญกับท่านแล้ว พี่พุธ พี่ชายใจดีศิษย์หลวงปู่ยังอุตสาห์พาช่างชิตเข้าไปกราบหลวงปู่ใกล้ๆ พร้อมกราบเรียนท่านเรื่องการสร้างเหรียญถวายหลวงตาเรา พี่พุธเอาแบบเหรียญให้หลวงปู่ดู พร้อมขอให้ท่านเมตตาอธิฐานจิตชนวนมวลสารในการหล่อเหรียญหลวงตาเนื้อชนวน
.......พอหลวงปู่ท่านรับทราบ ท่านก็อนุญาติและเมตตาอธิฐานนานอึดใจพร้อมยกมืออนุโมทนากับการสร้างเหรียญกับพวกเราทุกๆท่านอีกตั้งหาก สุดๆแล้วครับดีใจจนพูดไม่ออก
......หลังจากกราบลาหลวงปู่เสร็จช่างชิตพร้อมมือปืน 2 คน 555++ ก็พากันไปซื้อทองคำเพื่อจะเอาไปปั๊มเหรียญทองคำในวันพรุ่งนี้
.....พอกลับมาบ้านเอามวลสารมาจัดทำพิธีขอขมา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดา ที่รักษาในวัตถุมงคลให้รับทราบถึงเจตนาของช่างชิต ให้ท่านเหล่านั้นอโหสิกรรมพร้อมอนุโมทนาในการนี้ด้วย
.....ไม่น่าเชื่อนะครับ หลังจากช่างชิตกล่าวเสร็จ ฝนก็ลงเม็ดแบบปอยๆและฟ้าก็เปิด เพื่อนช่างชิตที่ถ่ายรูป วิศวกรสิ่งแวดล้อมคนใต้ ถึงขนาดอุทานเป็นสำเนียงทองแดงด้ามขวานไทยขึ้นมาเลยว่า "อาจารย์ดู!! โห สุดยอด แน่นอนจริงๆ" ช่างชิตก็ยิ้มและก็กล่าวให้เป็นมงคลติดตลกว่า "เทวดาเขารับรู้ว่ากูทำถวายจริงๆ ไม่ได้ทำขาย"
......ทั้งนี้ทั้งนั้นเหรียญรุ่นนี้ที่พวกเราร่วมกันสร้างถวายหลวงตาตอนนี้แล้วเสร็จแล้วคงจะเอาไปให้หลวงตาในเร็ววันครับผม
*เหรียญหลวงตาเนื้อชนวน ช่างชิตสร้างเพื่อเป็นที่ระลึกแจกให้ทีมงานที่ ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ สละเวลา และกำลังทรัพย์พร้อมมอบของส่วนตัวในการหล่อชนวนและเป็นกำลังสำคัญเสริมช่วยช่างชิตในการดำเนินการสร้างเหรียญจนแล้วเสร็จ
....เหรียญรุ่นนี้ช่างชิตตั้งใจสร้างมา 3 ปีเต็มๆ แต่วาสนาไม่ถึงล้มลุกคลุกคลาน พังไม่เป็นท่าติดใจมานานแสนนาน จนวันนึ่งเพราะมีทีมงานเหล่านี้ช่างชิตถึงได้กลับมารื้อฟื้นความฝันเป็นรูปเป็นร่างจนสามารถบอกบุญใหญ่ให้ทุกๆท่านได้ร่วมสร้างถวายครูบาอาจารย์หลวงตาเรา
...จากที่ชี้แจ้งมาทั้งหมด ช่างชิตขอสงวนสิทธิ์ในการแจก ไม่มีให้ร่วมบุญหรือจองนะครับ ต้องขอประทานอภัยจริงๆ ทุกเหรียญผ่านมือหลวงตาหมดเนื้อไหนก็ดีเหมือนกันครับ เพียงแต่ที่ช่างชิตทำตรงนี้เพื่อเป็นที่ระลึกว่า "ครั้งหนึ่งเราเคยได้เป็นตัวตั้งตัวตีสร้างเหรียญถวายครูบาอาจารย์เท่านั้นเอง"
ปล* รูปเบาะรถมีรอยเม็ดฝน ช่างชิตถามเพื่อนว่า "มึงถ่ายอะไร" เพื่อนบอก "ถ่ายให้เขาดูเดี้ยวเขาจะไม่เชื่อ" เลยลงให้มันหน่อย 555ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
...สวัสดีทุกท่านครับ ตื่นจากการสลบไสลแบบซอมบี้ สาเหตุเป็นเพราะอะไรก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นละครับ เมื่อวานออกไปคุมเขาปั๊มเหรียญตั้งแต่ 6 โมงเช้ากับ4 ทุ่ม ข้าวกินมื้อแรกบ่ายสอง เอากันให้ตายไปข้างแต่สุดท้ายก็ เสร็จ ขั้นตอนต่อจากนี้ไปคือการตอกโค้ตและเอาไปให้หลวงตา เหรียญ 3 ลัง หนักเกือบ 100 โล
ไปรถบัสรถทัวย์คงไม่สะดวกและไม่เหมาะสม(เดี้ยวจะเอารองเท้าหรือของไม่ควรมาวางทับหรือวางชิดกัน) ช่างชิตก็ต้องหารถลงไปเอง ไม่งั้นก็นั่งเครื่อง ถ้านั่งเครื่องก็ประหยัดเวลาด้วย แต่เอาตรงๆเลยนะ ไม่มีตัง 555++
......คุยกับคุณฌานกรว่าจะไปด้วยกัน ก็ต้องให้คุณฌานกรเคลียร์งานก่อนเร็วสุดน่าจะเป็นอาทิตย์หน้า ยังไงอดใจรอกันหน่อยนะครับ ไม่มีใครอยากให้เหรียญเสร็จเร็วเท่าช่างชิตหรอกกล้าพูดเลย แต่มันกรอบหมดละ ทั้งคนทั้งตังในกระเป๋า เหนื่อยมากจริงๆใครไม่มาเป็นคงไม่เข้าใจ
......ว่าจะมาเขียนรายละเอียดเหรียญต่างๆ แต่กระดาษข้อมูลอยู่ในลังที่กรุงเทพ เอาไว้ก่อนละกัน คืนนี้ก็ขอระบายความในใจหน่อยนะครับ ใครรำคาญก็ขอประทานอภัยและก็ผ่านไม่ต้องอ่านซะ ช่างชิตก็ตัวคนเดียวไม่มีลูกมีเมียมาคอยรับฟัง เวลาเหนื่อย เวลาท้อ งานนี้ขอคุยระบายกับพวกเราทุกๆคนนี้ละ
.....เหรียญรุ่นนี้ก็อย่างที่เคยเขียนไปหลายรอบแล้วว่า ช่างชิตขอหลวงตามา 3 ปีแล้ว ตั้งแต่วันที่ท่านอนุญาติ ช่างชิตก็มานั่งคิดนอนคิด ออกแบบเหรียญเอง ทำเองทุกอย่าง หาแบบรูปต่างๆ ไปขอคำปรึกษากับผู้หลักผู้ใหญ่ว่าแบบไหนจะเหมาะสม แก้แล้วแก้อีก บางวันนั่งออกแบบแก้แบบจนสว่างเป็นเดือนๆ จากเล่น photoshop ไม่เป็นมาเล่นเป็นส่วนหนึ่งก็เพราะออกแบบเหรียญรุ่นนี้
.....ได้แบบเหรียญมาก็ปริ้นเป็นกระดาษA4 เอาไปให้หลวงตาเมตตาเขียนยันต์ให้ แล้วเอากระดาษแผ่นนี้ไปบอกคนรู้จักว่าจะสร้างเหรียญถวายหลวงตา บางคนก็ไม่เอาด้วยเพราะไม่เชื่อน้ำหน้า บางคนก็สงสารก็บอกจะช่วย บางคนก็ไม่มั่นใจ แต่ช่างชิตก็ได้เงินมา 20000 บาท ดีใจมากหาโรงเหรียญเอาแบบไปให้โรงเหรียญทำ ช่วงนั้นมีงานบุญที่ไหนก็ไปกราบขอให้ครูบาอาจารย์จารแผ่นยันต์ให้ ตั้งใจจะเอามาทำชนวนเหรียญ
.....ตอนนั้นพึ่งเขียนเรื่องหลวงตาลงพลังจิต ก็บอกแต่ว่าจะสร้างเหรียญนะ แต่ก็ไม่ได้ประกาศให้ใครร่วมบุญด้วยเพราะหลวงตาเคยกำชับช่างชิตว่า "ถ้ามันยุ่งยากอย่าทำ อย่าไปหาเรี่ยไรคน" ช่างชิตก็เลยบอกแค่คนรู้จักเท่านั้น
.....แต่ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอน ช่วงนั้นแม้จะเลิกเหล้าทำตัวใหม่แล้ว แต่ชีวิตก็ยังขาลง หาคนงานไปรับเหมาเองก็เจ๊ง ออกมาวิ่งงานหางานโครงการร่วมบริหารกับคนรู้จักก็โดนหลอกใช้ ตกงานไม่มีงานทำ ไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินอยู่ สุดท้ายก็ต้องจำใจเอาเงินที่เขามาให้สร้างเหรียญหล่อเลี้ยงชีวิตไป(เขียนไปก็สะเทือนใจ น้ำตาจะออกใครไม่มาเป็นไม่รู้หรอก)
.....กะว่าวันหนึ่งจะหาเงินได้ค่อยเอามาใช้คืน ผ่านไปเป็นเดือนไม่มีอะไรดีขึ้น เรื่องแกะเหรียญโรงแกะก็มีปัญหา ช่างชิตรับสภาพต้องก้มหน้ารับความจริง โทรไปยอมรับกับทุกท่านที่ให้เงินมาว่า "เหรียญต้องขอหยุดไปก่อนเพราะช่างชิตมีปัญหาชีวิต กราบขอโทษ ขอเวลาจะโอนเงินคืนให้ทั้งหมด" และก็กราบขอโทษจริงๆที่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง
.....บางท่านก็บอกไม่เป็นไรไม่ต้องโอนคืนมา เขาเชื่อในตัวเรา วันไหนสร้างก็ถือว่าเขาร่วมด้วย (ขอบพระคุณ พี่คิ้มกับลุงอ็อด จากใจจริงนะครับ) บางท่านก็คงหมดความเชื่อใจ ซึ่งช่างชิตไม่ถือโทษว่าใครทั้งนั้นเพราะเรามันผิดเอง สุดท้ายก็วิ่งหาเงินโอนคืนให้กับท่านที่ต้องการเงินคืน จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย แต่กระนั้นความผิดพลาดตรงนี้ก็ทำให้เครดิตช่างชิตตก ช่างชิตก็ต้องยอมรับความจริง
.....ความรู้สึกล้มเหลวตรงนี้ติดในใจมาตลอด 3 ปี ตราหน้าตัวเองว่าเป็นคน "ไม่มีบุญวาสนาที่จะสร้างอะไรให้ครูบาอาจารย์" เห็นคนนั้นคนนี้สร้างอะไรมาหน้าชื่นตาบาน สร้างแบบอลังการ สร้างแบบสุดยอด ก็เหมือนตอกย้ำตลอดว่า "เรามันไม่มีน้ำยา" เวลาเห็นเหรียญหลวงตาที่มีคนมอบให้หรือดูของคนอื่น ก็ได้แต่ยิ้มแต่ในใจร้องไห้ไม่มีชิ้นดี "ทำไมเขาทำกันได้"
"ทำไมกูไม่รวยแบบเขา" "ทำไมกูบาปหนามากหราถึงทำไม่ได้"
"ทำไมๆๆ???" หลายๆประโยคผุดในหัวเสมอ
......ตลอดเวลา 3 ปี เจอหน้าหลวงตาทีไรก็ก้มหน้าบอกท่านว่า "ออยยังไม่มีเงินสร้างเหรียญนะครับหลวงตา แต่ออยจะทำให้ได้" หลวงตาก็ยิ้มและก็พูด " ไม่มีก็ไม่ต้องสร้าง ลำบากตัวเองอย่าทำ หลวงตาให้สร้างพุทโธนะ สร้างไปสิ เหรียญไม่สร้างก็ได้" ท่านกล่าวพร้อมยิ้มและยังเมตตาช่างชิตไม่มีเปลี่ยนแปลง
......แต่ใครก็รู้ว่าหลวงตาไม่ใช่จะอนุญาติใครให้ทำอะไรแบบนี้ง่ายๆ ที่ท่านอนุญาติช่างชิตก็ถือว่าเป็นพระคุณที่สุดแล้ว เหตุคงเพราะท่านเห็นความหน้าด้าน 5555++ และเห็นจริตว่าช่างชิต "อินทรีย์อ่อน จิตยังหยาบอยู่ ยังต้องพึ่งวัตถุ ท่านถึงเมตตา"
.....มาช่วงต้นปีที่ผ่านมาช่างชิตมาเปิดกลุ่มในเฟสต่อยอดจาก เวป พลังจิต และ อุดร 108 มีคนตอบรับพอเข้ากลุ่มพอสมควร โครงการนี้ก็ติดอยู่ในใจ เลยลองคุยกับสมาชิกสหายที่รู้จักกันจากเรื่องราวหลวงตาที่ช่างชิตเขียน ก็มี (ฌานกร) น้องเอ็กซ์ คุณจุมพล น้องเคน คุยว่า ผม/พี่ จะสร้างเหรียญหลวงตาจะเอาด้วยไหมจะช่วยกันไหม????
......ทุกคนเห็นดีด้วยแต่ก็จะช่วยตามสภาวะ แม้ไม่ได้เข้ามาช่วยเต็มตัวแต่ก็เป็นกำลังทรัพย์ร่วมบุญสร้างกัน ช่างชิตก็บอกไม่เป็นไร แรงกาย แรงใจ ช่างชิตมีเต็มอยู่แล้ว แรงเงินอย่างเดียว พอ.... ช่างชิตจึงไปกราบเรียนหลวงตาใหม่อีกครั้งว่า ขออนุญาติจากที่ช่างชิตจะขอสร้างคนเดียวเป็นร่วมกันสร้างได้ไหมครับ "ไม่ใช่เป็นการเรี่ยไรแต่ใครมีจิตศรัทธาอยากทำตรงนี้อยู่แล้วก็จะได้ร่วมกันทำ" หลวงตาก็ว่านะ 555++ แต่ช่างชิตจำไม่ได้ แต่ท่านก็อนุญาติ
.....พอเอาโครงการมาปัดฝุ่นอีกรอบแม้จะไม่มีตังเลยเป็นทุน ช่างชิตก็ขอเสี่ยงบอกบุญดู ขอบารมีหลวงตาจะสร้างเท่าที่มีคนร่วมสร้างตามกำลังเงิน ปรากกฏว่าคราวนี้ คนเอาด้วย มากขึ้นๆ ช่างชิตก็มีกำลังใจ รีบดำเนินการทุกอย่าง โดยมีสหายฌานกรที่กราบขอเป็นศิษย์หลวงตาเต็มตัวช่วยอีกแรง
.....นอกจากคุยงานทางมือถือ ไลน์ เนต แล้ว การเดินทางของช่างชิต นั่งรถตู้จากจันท์มากรุงเทพ จากที่พักถึงที่หมายแต่ละครั้งเดินทางไม่มีต่ำกว่า 5 ชั่วโมง นั่งรถต่อรถไม่ต่ำกว่า 3 รอบ เพื่อดำเนินประสานงานให้คืบหน้า แท๊กซี่ รถตู้ รถเมล์ รถไฟฟ้า มอไซ ยืมรถเพื่อน ให้เพื่อนพาไป ช่างชิตเอาหมด เราไม่มีรถส่วนตัวก็ต้อง สู้ ค่าใช้จ่ายแต่ละรอบอย่าให้ไล่เลย นับไม่ไหว แต่ในเมื่ออยากทำเสนอตัวทำแล้วก็ต้องทำ
.....ผ่านมาหลายเดือนเดินเรื่อง ขึ้นลงๆเป็นสิบๆรอบ จนเมื่อวานเป็นวันที่ความฝันทุกอย่าง จุดที่ยากที่สุดได้ผ่านไป 4ทุ่ม กำเงินไปจ่ายโรงเหรียญ เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างมือ เดินออกมาถือนาฬิกาจะใส่ข้อมือก็ทำหลุด มือไม้แทบไม่มีแรง .... ขากลับสหายฌานกรมารับ เติมน้ำมันดูเงินในกระเป๋าก็ได้แต่ "ดู" คนก็กรอบเงินก็กรอบ
......บางทีก็คิด "ถ้ากูทำขายคงรวยแบบที่เขาทำๆกัน" หรือ "ถ้ากูมีเงินมีความพร้อมมากกว่านี้กูคงไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้" ช่างชิตก็คน บางที่เหนื่อย บางที่มันล้า หมดกำลังใจ มันก็คิด......
.....แต่ที่สามารถทำให้งานนี้ผ่านมาได้ ก็เพราะกำลังใจจากพวกท่านทุกๆคนที่ร่วมสร้างบุญกับช่างชิต เริ่มจากติดลบยิ่งกว่าศูนย์ จากวันนั้นจนวันนี้มีคนร่วมบุญในการสร้างเหรียญบูชาครู หลวงตาสมหมาย รุ่น ปัญญา อิทธิฤทธิ์ มากกว่า ครึ่งล้าน!!! หรือ 500,000 กว่าบาท ตรงนี้ละครับคือแรงใจ
..... ขอบพระคุณทุกท่านจากใจจริง เขียนไปบางช่วงก็น้ำตาจะไหล ใครไม่เป็นไม่รู้หรอก ทุกอารมณ์แล้วจริงๆ ไม่ใช่อยากจะสร้าง เอาเงินฟัดๆลงไปแล้วได้เลย มันไม่ใช่ เพราะเราไม่พร้อมในหลายๆด้านมันก็เหนื่อยกว่าคนอื่น
...... วันนี้ 99% แล้วนะครับ ขอให้ทุกท่านมั่นใจในตัวช่างชิตเถอะ แม้จะไม่ถูกใจในบางเรื่อง อาจจะช้าไปในบางจังหวะ แต่ถ้าช่างชิตตั้งใจทำ
"ยังไงก็เสร็จ" "เสร็จแบบไม่ให้มีคำครหาด้วย" แต่ขอเวลาให้คนๆนี้บ้างเพราะช่างชิตก็คน มีทุกสภาวะความรู้สึกเหมือนกัน ร่างกายก็เนื้อไม่ใช่เหล็ก
.......ยาวมากพอแล้วหลายคนคงไม่อ่าน แต่ช่างชิตก็ถือว่าได้ระบายให้ครอบครัวลูกหลานที่รักเคารพหลวงตาได้ฟังกัน อย่างน้อยก็จะได้รู้ถึงความรู้สึกของผู้ชายธรรมดาๆบ้าๆคนนี้บ้าง ขอบพระคุณทุกท่านจริงๆ คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับผม
.....ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
............กมโล (ผู้งามดั่งดอกบัว)(27)...........(ต่อจากตอนที่แล้ว)
.
พรรษาที่ 36
(พ.ศ. 2514 จำพรรษาที่วัดป่าสันติกาวาส)
.
ในพรรษาปีพ.ศ. 2514 นี้ หลวงปู่เริ่มมีอาการอาพาธด้วยโรคปวดข้อสะโพกข้างขวา แต่อาการไม่รุนแรง ในพรรษานี้ หลวงปู่ได้ตั้งใจแสดงธรรม ให้พระเณรและญาติโยมฟังเป็นประจำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง คือ ตอนเย็น หลังจากทำข้อวัตรกิจวัตรเสร็จแล้ว เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ท่านจะลงศาลานำทำวัตรเย็น แล้วก็ขึ้นแสดงธรรม ตอนเช้าหลังจากกลับบิณฑบาต จัดเตรียมอาหารลงในบาตรเสร็จแล้ว ท่านก็ขึ้นแสดงธรรม จบแล้วจึงพาฉันอาหารบิณฑบาต ธรรมะที่ท่านแสดงนั้น ท่านแสดงในเรื่องมงคล 38 ประการ หรือที่เรียก มงคลทีปนี คือ การไม่คบค้าสมาคมกับคนพาลเป็นเบื้องต้น การไม่มีความเศร้าโศกเสียใจเป็นปริโยสาน ถือว่าเป็นอุดมมงคลอันสูงสุด
.
หลวงปู่ท่านได้แสดงอยู่จนตลอดไตรมาส 3 เดือน จึงจบ และการปฏิบัติทางด้านจิตตภาวนา ท่านก็ได้เข้มงวดกวดขัน ตักเตือนพระเณรไม่ให้ประมาท เมื่อออกพรรษาแล้วท่านก็ยังแสดงธรรมต่อไปอีกระยะหนึ่งท่านจึงหยุด การแสดงธรรมในพรรษานี้ เหมือนกับว่าท่านจงใจที่จะแสดงเป็นครั้งสุดท้าย แล้วท่านจะได้จากลูกศิษย์ลูกหาไปฉะนั้น อาการอาพาธด้วยโรคปวดข้อสะโพกข้างขวาของท่านก็ได้แสดงอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ หลวงปู่ท่านมีความอดทนมาก ท่านทำเหมือนไม่มีอะไร คือไม่ได้สนใจต่อโรคที่แสดงตัวกำเริบขึ้นทุกวันทุกวัน
.
การก่อสร้างศาลานิยมสุวรรณสิทธิ์สามัคคีอุปถัมภ์
.
เมื่อถึงเดือนมกราคม พ.ศ. 2515 หลวงปู่ให้รื้อศาลาหลังที่ 2 ของวัดป่าสันติกาวาส ที่หลวงปู่พาสร้างตั้งแต่ปีพ.ศ. 2495 ซึ่งชำรุดเพราะเป็นศาลาไม้ เมื่อรื้อเสร็จแล้วก็ให้ช่างอ้วย นายแก้ว เป็นช่างก่อสร้างหลังใหม่ ตกลงค่าแรงช่างยกโครงมุงหลังคาใส่ขางวางตงเสร็จราคา 8,000 บาท ช่างวางผังขุดหลุมเสาศาลา พวกชาวบ้านก็ช่วยกัน ทั้งแก่เฒ่าหนุ่มสาว บริจาคกำลังแรง ขุดหลุมเสาศาลาทั้งห้าสิบเอ็ดหลุม เสร็จแล้วก็อัดก้นหลุม กันทรุดด้วยหินแม่รัง และเทคอนกรีตทับอีกครั้งหนึ่ง
.
อาพาธครั้งที่ 3 เริ่มเดินไม่ได้
.
ปลายเดือนมกราคม 2515 ในขณะที่ขุดหลุมเสาศาลา หลวงปู่ท่านเดินดูงาน ท่านใช้เท้าขวาของท่านกวาดดินที่ขรุขระอยู่ปากหลุม ทำให้ท่านปวดที่สะโพก เดินไม่ได้ ต้องใช้รถสำหรับเข็นปี๊บน้ำใส่ตุ่ม เอาเสื่อปูแล้วให้หลวงปู่นั่ง แล้วเข็นท่านกลับกุฎิกลางน้ำ นับแต่วันนั้นต้องเอารถเข็นหลวงปู่จากกุฎิ ลงมาฉันเช้าที่เพิงซึ่งใช้แทนศาลาชั่วคราว ฉันเสร็จก็ให้ท่านนั่งรถเข็นกลับกุฎิกลางน้ำ ท่านจะดูงานอะไรก็ให้เอารถเข็นน้ำนั้นแหละเข็นไป
.
เป็นประธานในการทำวุฏฐานวิธียกเสาศาลา
.
หลวงปู่กำหนดให้ญาติโยมชาวบ้านมาช่วยกันยกเสาศาลา ในวันเพ็ญเดือน 3 ซึ่งตรงกับวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2515 แต่วันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 ตรงกับวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2515 หลวงปู่พาทำวุฏฐานวิธียกเสาแรกก่อน ซึ่งมีคนไม่มากนักประมาณ 10 กว่าคน พอถึงวันเพ็ญเดือน 3 ที่นัดหมาย มีชาวบ้านหญิงชายมาช่วยกันดึงเสาศาลายาว 10 เมตรขึ้นตั้ง มีประมาณ 300 คน เสา 51 ต้น ตั้งวันเดียวไม่เสร็จ วันที่สองครึ่งวันก็ตั้งเสาศาลาเสร็จ ต่อจากนั้นก็เป็นหน้าที่ของช่างดำเนินต่อไป จนถึงเดือนพฤษภาคมจึงได้มุงหลังคาด้วยสังกะส
.
ไม่ยอมไปหาหมอ
.
อาการป่วยหลวงปู่ทรุดลงเรื่อยๆ จากปวดที่สะโพก เดินไม่ได้ มีไข้แทรก คณะศิษย์กราบนิมนต์ไปให้หมอที่โรงพยาบาลตรวจ ท่านก็ไม่ยอมไป คณะศิษย์ไม่ได้นิ่งนอนใจ หายาพื้นบ้านมาถวายการรักษา ท่านก็เมตตาฉันให้นิดๆหน่อยๆ เพราะตัวท่านเองก็เก่งในด้านสมุนไพรอยู่แล้ว อาการทรุดลงเรื่อยๆ หลวงปู่เดินไม่ได้ 3 เดือนผ่านไป พอเข้าเดือนที่ 4 จากที่เอารถเข็นท่านจากกุฎิลงไปฉันเช้าที่ศาลาชั่วคราวได้ ท่านก็ลงไม่ได้ ฉันเช้าอยู่บนกุฎิ พอปลายเดือนพฤษภาคม มีไข้สูงและปวดขาขวาตลอด ตอนกลางคืนอากาศเย็นยิ่งปวดมาก จะสังเกตเห็นจากที่ท่านพลิกขาบ่อยๆ แต่ท่านก็ไม่ได้บ่นว่าอะไร หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีสติและขันติเพียบพร้อม ในระหว่างนี้ ท่านพระอาจารย์คำ สุมงฺคโล ที่เคยจำพรรษาร่วมกับหลวงปู่ที่อุบลฯ ขณะนั้น ท่านมาจำพรรษาที่บ้านคำเลาะ ไชยวาน ท่านได้มาเยี่ยม และสอนคาถาระงับการปวดแก่ผู้เขียน เพื่อใช้เป่าถวายหลวงปู่ ซึ่งเมื่อลองทำดูแล้ว ก็ดูเหมือนจะใช้ได้ สังเกตท่านนานๆพลิกขาทีหนึ่ง แต่ดูอาการท่านแล้ว เหมือนกับท่านไม่ห่วงใยในสังขารที่กำลังแปรปรวนอยู่ ต่อมาอาการอาพาธกำเริบมากขึ้น จากที่ท่านนั่งได้ ก็กลายเป็นท่านต้องนอนโทรม และฉันข้าวต้มได้วันละช้อนสองช้อนเท่านั้น
.
ย่างเข้าเดือนที่ 5 เดือนมิถุนายน 2515 เมื่อท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล ได้ทราบข่าวว่าหลวงปู่ป่วยหนัก จนฉันข้าวแค่วันละช้อนสองช้อน ท่านจึงเดินทางจากวัดป่าแก้วชุมพลมาเยี่ยมหลวงปู่ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2515 พอท่านอาจารย์สิงห์ทองขึ้นไปถึงหลวงปู่ที่กุฏิ ท่านก็พูดเป็นเชิงเย้าเล่นกับหลวงปู่ตามนิสัยของท่านว่า "เอ้า! ป่วยมานอนตายอยู่ที่นี้ทำไม" หลวงปู่ตอบ "ไม่นอนตายยังไง คนเดินไม่ได้" ท่านอาจารย์สิงห์ทองพูดต่อ "ทำไมไม่ไปหาหมอ" หลวงปู่เงียบ แล้วท่านอาจารย์สิงห์ทองก็ถามอาการป่วยของหลวงปู่ว่าเป็นอย่างไรต่ออย่างไรบ้าง หลวงปู่เล่าให้ฟัง แล้วท่านอาจารย์สิงห์ทองจึงกราบขอนิมนต์หลวงปู่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลเพื่อให้หมอตรวจรักษา หลวงปู่ตอบท่านอาจารย์สิงห์ทองว่า "ถ้าจะให้ไปหาหมอ ให้ไปกราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์บ้านตาดเสียก่อน ว่าท่านจะเห็นสมควรอย่างไร จึงค่อยปฏิบัติตาม"
.
เมื่อท่านอาจารย์สิงห์ทองได้โอกาสอย่างนั้น จึงให้โยมขับรถสองแถวเล็กพาไปวัดป่าบ้านตาดในวันนั้น กราบเรียนท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เล่าเรื่องป่วยของหลวงปู่ให้ท่านฟัง ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงสั่งท่านอาจารย์สิงห์ทองว่า "ให้ไปบอกท่านบุญจันทร์ว่าเดี๋ยวนี้หมอเขามี ไปให้หมอเขาตรวจดูก่อน ถ้าเขารักษาได้ก็ให้หมอเขารักษา ถ้าเขารักษาไม่ได้ค่อยกลับมาคอยวันตายที่วัด" แล้วท่านพระอาจารย์มหาบัวก็พาท่านอาจารย์สิงห์ทองเข้ามาในเมืองอุดร ไปที่สนามบินจองตั๋วเครื่องบิน 3 ที่นั่ง ให้หลวงปู่เดินทางไปหาหมอที่โรงพยาบาลศิริราช สั่งให้ท่านอาจารย์สิงห์ทองเป็นผู้ติดตามไปที่โรงพยาบาลศิริราชด้วย และโยมผู้ชายอุปัฏฐากอีกหนึ่งคน ได้ที่นั่งเครื่องบินและวันเดินทางแน่นอนแล้ว ท่านพระอาจารย์มหาบัวจึงสั่งท่านอาจารย์สิงห์ทองว่า จะให้รถไปรับวันที่ 12 มิถุนายน 2515 มาค้างคืนที่วัดป่าบ้านตาด เช้าวันที่ 13 ฉันเช้าเสร็จไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอุดร เครื่องออกเวลา 11.00 น.
.
หลวงปู่มีความเคารพในท่านพระอาจารย์มหาบัวเป็นอย่างยิ่ง
.
เมื่อท่านอาจารย์สิงห์ทองรับคำสั่งจากท่านพระอาจารย์มหาบัวแล้ว ก็กลับมากราบเรียนให้หลวงปู่ทราบในเย็นวันนั้น แล้วท่านก็กลับไปวัดป่าแก้วชุมพล เมื่อหลวงปู่ได้ทราบคำสั่งของครูบาอาจารย์ก็ยอมปฏิบัติตาม
.
เหตุที่ผู้เขียนจะได้ติดตามไปปฏิบัติหลวงปู่ที่โรงพยาบาลศิริราช
.
คุณบวร จันทรขันตี เป็นโยมอุปัฏฐากที่ถูกกำหนดตัวให้เป็นผู้ติดตามหลวงปู่ไปโรงพยาบาลศิริราชด้วย คุณบวรไม่ค่อยสันทัดในการอุปัฏฐากหลวงปู่จึงพูดกับผู้เขียนว่า "ในวันเดินทาง ให้ครูบาไปส่งหลวงปู่ที่สนามบินด้วย ถ้าเครื่องบินว่างทีที่นั่ง ผมจะเป็นผู้ออกค่าตั๋วเครื่องบินให้" ในขณะนั้นผู้เขียนพึ่งบวชเป็นพระได้หนึ่งพรรษา
.
เดินทางไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช
.
วันที่ 12 มิถุนายน 2515 หลังจากฉันเช้าเสร็จ ได้เตรียมบริขารของหลวงปู่และของผู้เขียนไว้เรียบร้อย ญาติโยมเมื่อทราบว่าหลวงปู่จะจากไปรักษาการอาพาธที่กรุงเทพฯ ก็มาชุมนุมกันที่วัดเป็นจำนวนมาก ต่างมีความเป็นห่วงอาลัยในตัวหลวงปู่ ที่ท่านได้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ที่พึ่งพาอาศัย มาเป็นเวลานาน จะจากไปในที่อื่น บางคนก็โศกเศร้าเหงาหงอย กลัวว่าหลวงปู่จะไม่หายจากอาพาธ
.
บ่ายของวันที่ 12 มิถุนายน 2515 รถแลนต์ของคุณแม่กุ๋ยกิม ร้านขายยาชวลิต เมืองอุดรธานี ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากของวัดป่าบ้านตาด ซึ่งมีนายบุญเป็นผู้ขับ ได้วิ่งเข้ามาจอดที่ศาลาวัดป่าสันติกาวาส โดยมีท่านอาจารย์สิงห์ทอง และพระอาจารย์เชอรี่ (พระฝรั่ง) นั่งมาด้วย ท่านอาจารย์สิงห์ทองลงไปหาหลวงปู่ที่กุฏิกลางน้ำ ผู้เขียนและคุณบวรนำบริขารที่เตรียมไว้ขึ้นรถ นำรถเข็นไปรับหลวงปู่จากกุฏิ มาขึ้นรถที่ศาลา ญาติโยมพากันกราบส่งหลวงปู่ขึ้นรถ พวกโยมทั้งหญิงชายหนุ่มแก่เฒ่าชรา พากันกล่าวอวยพรขอให้หลวงปู่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ได้กลับมาเป็นที่พึ่งของลูกศิษย์ลูกหาอีกต่อไป ผู้เขียนนั่งใกล้ๆคอยประคองหลวงปู่ไปในรถ รถถึงวัดป่าบ้านตาดเป็นเวลาเย็น
.
เมื่อหลวงปู่ลงจากรถแลนต์แล้ว ได้นำรถเข็นน้ำของวัดป่าบ้านตาดมารับให้หลวงปู่ขึ้นนั่ง ในขณะนั้น ท่านพระอาจารย์มหาบัวท่านอยู่บนศาลา หลวงปู่บอกว่าจะไปกราบท่านเสียก่อน เมื่อท่านทราบ ท่านจึงบอกว่า "ไม่ต้องมากราบหรอก รู้จักกันอยู่แล้ว ให้ไปที่พักเลย" ท่านจัดให้พักที่กุฎิใกล้ๆประตูทางเข้าวัด เข็นรถเข็นหลวงปู่ไปที่กุฎิ พยุงหลวงปู่ขึ้นพักที่กุฎิ ผู้เขียนก็พักอยู่กับหลวงปู่ โยมที่ติดตามไปท่านให้พักที่ศาลา
.
เป็นครั้งแรกและเป็นคืนเดียวเท่านั้นที่ผู้เขียนได้ค้างคืนที่วัดป่าบ้านตาด ตอนกลางคืนมีแต่เสียงจิ้งหรีดและแมลงอีร้องตามประสาของมัน ผู้เขียนมีความกลัวในท่านอาจารย์ใหญ่เป็นอย่างมาก ไม่รู้เป็นอะไร กลัวท่านแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยชินชาเลย แต่ก็มีความเคารพในองค์ท่านอย่างซาบซึ้ง
.
ออกจากวัดป่าบ้านตาดไปขึ้นเครื่องบินสนามบินอุดรธานี
.
วันที่ 13 มิถุนายน 2515 ท่านพระอาจารย์มหาบัวให้จัดอาหารมาถวายหลวงปู่ที่กุฏิ โดยไม่ต้องลงไปตอนเช้าที่ศาลา คุณหญิงส่งศรี เกตุสิงห์ ได้นำสำรับอาหารมาถวาย หลวงปู่ฉันเสร็จ รถแลนต์ของคุณแม่กุ๋ยกิมเข้ามารับที่วัดป่าบ้านตาด ไปส่งที่สนามบินอุดร คุณบวรติดต่อดู ที่นั่งมีว่างอยู่ จึงซื้อตั๋วให้ผู้เขียนติดตามหลวงปู่ไปกรุงเทพฯด้วย เมื่อเช็คตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้วรออยู่ไม่นาน เครื่องบินแอฟโร่ 22 ที่นั่งบินมาจากจังหวัดเลย มาลงสนามบินอุดร พอเครื่องบินจอด เห็นหลวงปู่ซามา อจุตฺโต วัดป่าบ้านไร่ม่วง เมืองเลย เดินลงจากเครื่องบินมา ถามท่าน ท่านบอกว่าจะไปกรุงเทพฯด้วยกัน แล้วท่านจะไปเยี่ยมหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ที่โรงพยาบาลศิริราช
.
เมื่อได้เวลาเครื่องบินออก ผู้เขียนกับท่านอาจารย์สิงห์ทองพยุงหลวงปู่ขึ้นเครื่องบิน มีคุณบวร จันทรขันตี ติดตามไปด้วย ให้หลวงปู่นั่งเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนนั่งติดกับหลวงปู่ ขณะนั้นหลวงปู่ได้ถูกทุกขเวทนาเบียดเบียนเป็นกำลัง ท่านมีอาการสั่นไปทั้งตัว เพราะความเจ็บปวดที่ต้นขา และความเหนื่อยเป็นกำลัง หลวงปู่ท่านมีสติและขันติกล้า ท่านไม่พูดว่าอะไร นั่งเงียบ ผู้เขียนมองดูอาการของท่านแล้ว มีความสงสารท่านเป็นกำลัง พอดีนึกได้ว่าในย่ามมียากูลอนซานอยู่ 1 หลอด จึงถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่จะฉันหรือไม่ ท่านบอกว่า เอามาลองดู จึงได้เอาถวายให้ท่านฉัน ไม่นานอาการท่านก็ดีขึ้น
.
พอดีถึงเวลาเครื่องบินออกจากสนามบินอุดร ทะยานขึ้นสู่อากาศเมื่อเวลา 11.00 น. ไปลงพักรับผู้โดยสารที่ขอนแก่นอีก 30 นาที ขึ้นจากขอนแก่นถึงท่าอากาศยานกรุงเทพฯ เวลา 13.30 น. ตอนลงจากเครื่องบินที่ดอนเมืองผู้เขียนและท่านอาจารย์สิงห์ทองพยุงหลวงปู่ลงจากเครื่องอย่างทุลักทุเล เพราะหลวงปู่นั่งทรมานอยู่ในเครื่องบินเป็นเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง พยุงหลวงปู่เดินเข้าที่พักผู้โดยสารขาเข้า คุณหมอเจริญ วัฒนะสุชาติ มาคอยรับที่ดอนเมือง เพราะท่านพระอาจารย์มหาบัว ท่านเมตตาเป็นธุระทุกอย่าง ทั้งเรื่องรถรับและเรื่องหมอที่โรงพยาบาลศิริราช
.
หลวงปู่และผู้ติดตาม คือท่านอาจารย์สิงห์ทอง, ผู้เขียน และคุณบวร ขึ้นรถคุณหมอเจริญ วัฒนสุชาติ เรียบร้อยแล้ว คุณหมอขับรถพาไปแวะที่บ้าน ที่ถนนสุโขทัยก่อน เพราะคุณหมอยังไม่ได้ทานอาหารเที่ยง เมื่อคุณหมอทานอาหารเสร็จแล้ว จึงได้พาไปที่โรงพยาบาลศิริราช
.
ถึงโรงพยาบาลศิริราช
.
เมื่อรถถึงโรงพยาบาลศิริราช จอดที่ประตูเข้าตึกผู้ป่วย ได้มี ศ.นพ. อุดม โปษะกฤษณะ และศ.นพ.โรจน์ สุวรรณสุทธิ มาคอยรับ ท่านอาจารย์สิงห์ทองได้ยื่นจดหมายให้อาจารย์หมอทั้งสอง ซึ่งเป็นจดหมายของท่านพระอาจารย์มหาบัว ฝากให้พระอาจารย์บุญจันทร์ที่อาพาธอยู่ในความดูแลของอาจารย์หมอทั้งสองด้วย อาจารย์หมอโรจน์ให้รถเข็นผู้ป่วยรับหลวงปู่แล้วนำไปที่ตึก 72 ปี ชั้น 6
.
พบกับหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
.
หลวงปู่ชอบท่านได้พักรักษาโรคอัมพาตอยู่ตึก 72 ปีชั้น 6 นี้ก่อนแล้ว อาจารย์หมอโรจน์ได้จัดให้หลวงปู่พักห้องติดกับหลวงปู่ชอบ เมื่อหลวงปู่ชอบได้ทราบว่า พระอาจารย์บุญจันทร์อาพาธมาพักห้องติดกับท่าน ท่านได้เมตตาให้พระอาจารย์ขันตี ญาณวโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์อุปัฏฐากท่าน เอารถเข็นท่านเข้ามาเยี่ยมหลวงปู่ในห้อง เป็นภาพที่ทำให้ผู้เขียนประทับใจไม่มีวันลืม หลวงปู่ได้รู้จักกับหลวงปู่ชอบแต่วันนั้นมาจนตลอด ท่านมีความเคารพในหลวงปู่ชอบเป็นอันมาก
.
ยอมโง่จึงไม่โง่
.
เมื่ออาจารย์หมอโรจน์มาส่งหลวงปู่เข้าห้องพักแล้ว อาจารย์หมอกลับออกไปให้พยาบาลเข้ามาแนะนำวิธีใช้อุปกรณ์ในห้องผู้ป่วย พยาบาลแนะนำไปว่า ตรงนี้เปิดไฟ ตรงนี้เปิดแอร์ ตรงนี้กดกริ่ง พอเข้าไปในห้องน้ำ ผู้เขียนซึ่งเป็นคนบ้านนอกในชนบท ไม่เคยเห็นห้องน้ำมีอ่างล้างหน้า และโถส้วมแบบนั่ง พอเข้าไปเห็นทำให้งงๆ เหมือนกัน คุณพยาบาลก็แนะนำว่า ที่นี้สำหรับล้างหน้า ที่เปิดน้ำ
.
พอมาถึงตรงหัวส้วม คุณพยาบาลก็บอกว่า ที่นี้สำหรับชักโครก พอผู้เขียนได้ยินอย่างนั้นก็นึกว่าเป็นที่สำหรับซักผ้าหรืออย่างไร เพราะไม่เคยได้ยินคำว่า "ชักโครก" นึกไปนึกมาจึงถามพยาบาลว่าเป็นที่สำหรับซักผ้าหรือ พยาบาลบอกว่าไม่ใช่ เป็นที่สำหรับถ่าย ผู้เขียนจึงนึกในใจว่า "ถ้าเราไม่ยอมโง่ เราคงเอาผ้าลงซักในโถส้วมแน่ๆ เมื่อเรายอมโง่ก่อน เราจึงเป็นผู้ไม่โง่" ผู้เขียนอยู่เฝ้าไข้หลวงปู่กับคุณบวร ส่วนท่านอาจารย์สิงห์ทอง เมื่อท่านดูว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านจึงแยกไปพักที่วัดบวรนิเวศ
.
เป็นคนไข้ของอาจารย์หมอนที
.
เมื่อหมอตรวจอาการของหลวงปู่ จึงทราบว่าหลวงปู่ป่วยเป็นโรควัณโรคในกระดูก (วัณโรคกินกระดูก ทำให้กระดูกข้อสะโพกผุ) หมอบอกว่าโรคนี้เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ แต่ถ้ามาหาหมอช้ากว่านี้อีกสองเดือน กระดูกจะขาด ต้องตัดขาข้างขวาทิ้ง เมื่อทราบว่าโรคหลวงปู่เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ ลูกศิษย์ที่คอยฟังข่าวต่างก็พากันดีใจ หมอรักษาหลวงปู่ด้วยการให้ยาฉัน และใช้ลูกตุ้มเหล็กถ่วงขา อาการไม่ดีขึ้น
.
วันที่ 19 มิถุนายน หมอย้ายหลวงปู่จากตึก 72 ปี ชั้น 6 ไปตึกมหิดลวรานุสรณ์ ชั้น 1 ห้อง 3
.
วันที่ 23 มิถุนายน หลวงปู่มีอาการสะอึกแทรกซ้อน ทำให้หลวงปู่ได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมาก แต่ท่านก็ต่อสู้กับทุกขเวทนาได้อย่างอาจหาญ
.
วันที่ 24 มิถุนายน หลวงปู่สะอึกมากจนหายใจไม่ได้ หยุดหายใจไปครู่หนึ่ง ผู้เขียนซึ่งเฝ้าอยู่ ต้องวิ่งไปเรียกหมอมาช่วย หลวงปู่สะอึกอยู่ทั้งวันทั้งคืน หมอให้น้ำเกลือ ให้เลือด
.
วันที่ 26 มิถุนายน หลวงปู่อาการดีขึ้น มีอาจารย์หมอโรจน์ สุวรรณสุทธิ และอาจารย์หมอชวดี รัตพงษ์ ได้ช่วยดูแลหลวงปู่อย่างใกล้ชิด
.
หมอเตรียมผ่าตัด
.
เมื่อรักษาหลวงปู่ด้วยการให้ฉันยาไม่ได้ผล อาจารย์หมอนทีจึงเรียนให้อาจารย์หมอโรจน์ทราบว่า จะต้องผ่าตัดเอากระดูกที่เสียออก เอากระดูกเข้าไปชนกัน แต่เมื่อหายแล้วท่านจะนั่งราบไม่ได้ จะต้องนั่งเก้าอี้ห้อยขา อาจารย์หมอโรจน์ขอร้องอาจารย์หมอนทีว่า "ท่านอาจารย์ท่านเป็นพระกัมมัฏฐาน ท่านจะต้องนั่งไหว้พระสวดมนต์ และนั่งขัดสมาธิภาวนา ขอให้ทำวิธีที่หายแล้วนั่งขัดสมาธิได้" อาจารย์หมอนทีบอกว่า "ยังไม่เคยทำ จะลองทำดูเป็นรายแรก ถ้าไม่ได้ผล จะต้องผ่าตัดใหม่ แล้วเอากระดูกเข้าชนกันตามวิธีเดิม"
.
วันที่ 3 กรกฎาคม หมอเตรียมผ่าตัดแต่ผ่าไม่ได้เพราะหลวงปู่มีอาการไข้อยู่
.
วันที่ 10 กรกฎาคม หมอได้ผ่าตัดที่ต้นขาของหลวงปู่เรียบร้อย หลังจากผ่าตัดแล้ว ระยะเจ็ดวัน หลวงปู่ไม่กระดุกกระดิกเลย ข้าวก็ไม่ฉัน นอนนิ่ง พอวันที่เจ็ด ท่านบอกว่า รู้สึกแสบที่ก้น พอดีอาจารย์หมอโรจน์เข้ามาดู จึงรู้ว่าเป็นแผลที่ก้น เพราะท่านไม่ได้กระดุกกระดิก ไม่เปลี่ยนท่านอน จึงเป็นแผลกดทับ ต้องรักษาทั้งแผลผ่าตัดทั้งแผลกดทับทั้งสะอึกก็กำเริบขึ้นอีก ทีละเจ็ดวัน ทีละสิบห้าวันจึงหยุด ทั้งหมอตรวจพบมีเชื้อมาลาเรียด้วย ทุกขเวทนาได้โหมกำลังเข้าเหยียบย่ำรูปขันธ์ของหลวงปู่อย่างหนักหน่วง แต่ท่านก็สู้ด้วยกำลังสติสมาธิปัญญาที่ท่านได้ฝึกฝนอบรมมาเป็นอย่างดี
.
วันที่ 20 กรกฎาคม 2515 หมอเข้าเฝือกรอบตัวหลวงปู่ ข้างบนถึงหน้าอก ข้างล่างถึงเข่าทั้งสอง ซึ่งทำให้ท่านอึดอัดหายใจไม่สะดวก วันที่ 20 นี้ หมอได้ย้ายหลวงปู่จากห้อง 3 ชั้น 1 ขึ้นไปชั้น 2 ห้อง 16
.
รูป
หลวงตามหาบัว
หลวงปู่ซามา
หลวงปู่ชอบ
.
*โปรดติดตามตอนต่อไป
.ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
-
-
...สวัสดีครับทุกท่านหายไปหลายวันเพราะอยู่ในช่วงวุ่นฝุดๆ วันพฤหัสขนเหรียญจากกรุงเทพไปตอกโค้ดที่จันท์ ช่างชิตโซโลถึงตีหนึ่งก็ต้องเบรกก่อนเดี้ยวข้างบ้านจะแจ้งตำรวจจับเสียงดังก้องดีจริงๆ มาต่อก่อนเช้าวันศุกร์ก็ยังไม่เสร็จ ได้ 2000 เหรียญ เช้าวันเสาร์ช่างชิตมีอบรมที่กรุงเทพ ก็ขนเหรียญจากจันท์ขึ้นมาเทพด้วยอีก เอา...เอาเข้าไป 5555
......เสร็จจากอบรมกลับมาตอกถึงตีสามต้องหยุดเพราะไม่ไหว ตื่นเจ็ดโมงเช้าวันนี้มาไล่ตอกจนเสร็จออกไปอบรมต่อ สุดๆนั่งอบรมไปก็จะหลับ 5555 แต่ต้องออกตัวก่อนนะครับว่าการตอกโค้ดรุ่นนี้เป็น "งานฝีมือ" อย่าคาดหวังความสวยงามมากนัก 55555
....โค้ดของรุ่นนี้มี 2 แบบนะครับ คือ
1)โค้ด ...ส.บารมี... 2)โค้ด ...อะ...
ใครร่วมสร้างกับช่างชิตไม่ว่าเนื้ออะไรจะตอกโค้ต ส.บารมี ส่วนโค้ด อะ เป็นเหรียญที่ถวายหลวงตาครับ การรันหมายเลขจะรันแต่เนื้อพิเศษ เป็นเลขไทยทั้งหมด เนื้อทองแดงไม่รันนะครับ ถ้ารันก็มีอีกเดือนครึ่ง 5555
......ชุดเจ้าภาพร่วมสร้าง จะตอก โค้ด ส.บารมี และเลข 999 ด้านข้างและรันหมายเลขด้านล่าง ตอนแรกว่าจะรัน วัดเดือนปีเกิด ตามที่ตั้งใจก็มีคนออกความเห็นว่า เดี้ยวจะให้ลูกให้หลานให้พ่อแม่พี่น้องใส่ก็กะไรอยู่ ช่างชิตเลยขอสงวนสิทธิ์การเปลี่ยนแปลงเป็นเลขมงคล 999 แทน
.....ส่วนเนื้อชำรุด เนื้อแปลกๆหรือที่เขาปั๊มเกินตัวอย่าง ทางผู้สร้างจะเก็บไว้เองจะตอกทั้ง 2 โค้ดและตอก 555 ไม่มีรันหมายเลข เก็บไว้เป็นที่ระลึกใช้เองส่วนตัวของทางผู้สร้างนะครับ
....ทุกเหรียญช่างชิตตอกเพียงผู้เดียว จะไม่มีนอกเหนือจากที่แจ้งไปแล้ว ให้ใช้ตรงนี้เป็นหลักอ้างอิงได้เลย พรุ่งนี้ช่างชิตกับสหายฌานกรก็จะรีบเอาเหรียญไปให้หลวงตาที่อุดรครับ คืนนี้เอารูปบรรยากาศตอกโค้ดที่จันท์และกรุงเทพมาให้ดูกัน ยังไงก็ต้องขอบคุณทีมงานที่เสียสละมาช่วยด้วยครับผมไฟล์ที่แนบมา:
-
-
........นานๆมาโพสทีเพราะต้องเล่นในคอม ก็ขอจัดยาวๆอีกหน่อย พรุ่งนี้ช่างชิตกับสหายฌานกรจะขนเหรียญไปให้หลวงตาที่อุดร ก็จะจบขั้นตอนของช่างชิตแล้วครับ ในส่วนที่เหลือก็ต้องพึ่งบารมีหลวงตา พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ พระอรหันต์เจ้าทุกพระองค์และเทวดาฟ้าดินที่รับรู้การสร้างเหรียญรุ่นนี้ในการแพร่บารมีบรรจุลงในตัวเหรียญเพื่อความเป็นสิริมงคลในทุกๆด้านแก่ผู้บูชา
....คืนนี้ขอสรุปยอดเหรียญทั้งหมด ทั้งที่ตั้งใจมาแต่แรกทั้งที่มีลูกศิษย์รุ่นใหญ่ขอสร้างถวายเพิ่มและส่วนที่โรงเหรียญปั๊มเกินและขอร่วมปั๊มถวายด้วย จะไม่มีการปั๊มอีกรอบสอง ถ้าเป็นไปได้ช่างชิตจะทำลายบล็อกที่วัดครับ เดี้ยวต้องปรึกษาหลวงตาด้วย
.......รายการเหรียญเนื้อต่างๆพร้อมจำนวนการสร้าง รุ่น ปัญญาอิทธิฤทธิ์ มีดังนี้
(ตอกโค้ด ส.บารมี สำหรับผู้ร่วมสร้างทุกเหรียญและตอกโค้ด 999 ในชุดเจ้าภาพร่วม เหรียญเนื้อพิเศษรันหมายเลข เนื้อทองแดงไม่รัน
ตอกโค้ด อะ ในส่วนที่ถวายหลวงตา)
.
1 เนื้อทองคำ 6 เหรียญ
(ร่วมบุญ 5 ถวายหลวงตา 1)
.
2 เนื้อเงินหลังเรียบ 18 เหรียญ (รวมชุดเจ้าภาพร่วมสร้าง)
.
3 เนื้อเงินหลังเต็ม 71 เหรียญ (รวมชุดเจ้าภาพร่วมสร้าง)
(ร่วมบุญ 62 ถวายหลวงตา 9 )
.
4 เนื้อตะกั่วแก่ชนวนหลังเรียบ 18 เหรียญ (รวมชุดเจ้าภาพร่วมสร้าง)
.
5 เนื้อตะกั่วแก่ชนวนหลังเต็ม 18 เหรียญ (รวมชุดเจ้าภาพร่วมสร้าง)
.
6 เนื้อนวะแก่เงินหลังเรียบ 18 เหรียญ (รวมชุดเจ้าภาพร่วมสร้าง)
.
7 เนื้อนวะพรายเงินหลังเต็ม 131 เหรียญ (รวมชุดเจ้าภาพร่วมสร้าง)
(ร่วมบุญ 77 ถวายหลวงตา 54)
.
8 เนื้อทองแดงผิวดำ 1088 เหรียญ
(ร่วมบุญ 300 ถวายหลวงตา 788)
.
9 เนื้อทองแดงผิวไฟ 3135 เหรียญ
(ถวายหลวงตาทั้งหมด)
.
ในส่วนของผู้สร้างเพิ่มเติม
.
10 เนื้อชนวน 18 เหรียญ
(ตอกโค้ด ส.บารมี รันหมายเลข ช่างชิตพิจารณาแจกทีมงานและผู้มีพระคุณในการสร้าง)
.
*ปล เหรียญชำรุด เหรียญตัวอย่าง เหรียญเนื้อแปลก รวม 20 เหรียญ
(ตอก 2 โค้ด ส.บารมีและอะ ด้านข้างตอก 555 ไม่ร้นหมายเลขช่างชิตและทีมงานเก็บไว้เป็นที่ระลึก)
.
......รวม การสร้างเหรียญรุ่น ปัญญาอิทธิฤทธิ์ ทุกเนื้อ 4,541 เหรียญ
........รวมยอดเงินทำบุญร่วมสร้าง 546,200 บาท
เกินกว่าที่คาดหวัง เกินกว่าที่ตั้งใจอย่างไม่มีคำจะพูด ขออนุโมทนาบุญในครั้งนี้กับทุกๆท่านให้สนองเป็น สิริมงคล ในทุกๆด้าน
ทุกๆเรื่อง สิ่งไหนไม่ดีขอให้พ่ายให้กับแรงบุญในครั้งนี้ด้วยเถอญ.......
.
*(รายละเอียดค่าใช้จ่าย เสร็จสิ้นขั้นตอนหลวงตาอธิฐานจิตเสร็จ แพคของส่งให้ทุกท่านเรียบร้อย หักค่าใช้จ่ายทั้งหมด ที่เหลือน้อมถวายหลวงตาใช้ในกิจของพระศาสนาต่อไปครับ
.....ไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เอารูปเนื้อต่างๆมาให้ชมกันด้วยครับ
ทองคำ
เงิน
รูปอาจถ่ายไม่สวย มือถือไม่แพงครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เอารูปเนื้อต่างๆมาให้ชมกันด้วยครับ
ชนวน
ชนวนชำรุด
รูปอาจถ่ายไม่สวย มือถือไม่แพงครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เอารูปเนื้อต่างๆมาให้ชมกันด้วยครับ
นวะแก่เงิน
นวะพรายเงิน
รูปอาจถ่ายไม่สวย มือถือไม่แพงครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
เอารูปเนื้อต่างๆมาให้ชมกันด้วยครับ
ตะกั่ว
ทองแดงผิวดำ
ทองแดงผิวไฟ
รูปอาจถ่ายไม่สวย มือถือไม่แพงครับไฟล์ที่แนบมา:
-
-
หน้า 50 ของ 81