ขอความกรุณาใช้ภาษาที่สุภาพ
ขอให้เป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจจริง ๆ
กระทู้นี้ขอละกัน ยุติเถอะทุก ๆ ท่าน
ฌาน" ที่มีในคนยังลืมตา
ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Amoxcycol, 14 สิงหาคม 2009.
หน้า 2 ของ 2
-
2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់
คนมางานนี้เขาไม่ต้องการดอกไม่หรอกครับ แค่นี้เขาก็ฮาแล้ว
แต่อย่างที่บอกไว้ ระวังนะครับ สนุกกับเรื่องที่คนหรือสัตว์ทะเลาะกัน
ได้ไปเป็น นายนิรยบาลในนรกครับ
หุหุ
อ๊ะ รู้สึกเข้าตะวแฮะ สนุกกับการแกล้งเขา . . -
คุนเริ่มกรรมจากอกุสล ผลย่อมได้รับ คุนจะหนีมันไปได้อย่างไร ทำสิ่งไรได้สิ่งนั้น หรือจะปติเสดว่าไม่ได้ทำมันเกิดขึ้นเองโดยบังเอิน
พวกที่ล่องลอยมาเหล่านี้ไม่เหมือนคุนหรอกหรือ ตั้งสติและพิจารนาดู จิตที่ดิ้นรนอยู่นี้ เฉพาะคุนเองรึเปล่า -
-
ทุกสิ่งทุกอย่างได้ประจักษ์ต่อสายตา กรรมก็เห็นกันแล้ว
เราหยุดนานแล้ว ขอให้พวกท่านหยุดกันซะ -
2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់
-
หมายถึงใครเจ้าตัวเค้ารู้
-
คำว่าหยุดในที่นี้หมายถึงหยุดคิดหยุดออกความเห็นหรือหยุดคิดเหมือนเดิมคือคิดว่าตนเองดีเลิศประเสริฐกว่าบุคคลอื่นครับ แยกผู้อื่นด้วยปัญญาของตนอันยิ่งอันดีแล้วตรงนี้มันถูกต้องไหม ถ้าหยุดได้ในส่วนหลังผมขออนุโมทนา อโหสิกรรมต่อกันไป แต่ถ้าข้อหลังไม่หมดวันนี้หยุดวันต่อไปก็ต้องเป็นแบบนี้อีกอยู่ดี และคนที่มาทำแบบนี้ก้ออาจไม่ใช่ผม ครับ
-
วิญญาณดับสลาย"นิพพาน" แต่ถ้าเป็นพระอรหันตมรรค ยังดับสลายวิญญาณไม่ได้ พระพุทธองค์เรียกว่าเจริญมรรคเป็นสัมมาปฏิบัติเร่งความเพียรเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดี เพื่อดับวิญาณสลายวิญาณ"นิพพาน" -
การเจริญ สติหน้าบอร์ด เวลาผมอ่าน ข้อความ แล้วเกิดไม่ชอบใจ ไม่พอใจ ก็จะชำเรือง ดูใจตัวเอง ฝึกไปเรื่อยๆ เวลาที่มันแบบว่า ไม่พอใจแรงๆ ก่อน จะพิมพ์ ออกไป ก็พยายาม ข่ม ฝืน สิ่ง ที่ไม่ดีเอาไว้บ้าง
และก้เป้นธรรมดา สำหรับคนที่ยังไม่สิ้นกิเลส ย่อม หลง บ้าง ทันบ้าง ในบางขณะ เมื่อเราฝึกเจริญสติ ในเบื้องต้น ถึงแม้จะยังไม่เกิด สัมมาติ ในเบื้องต้น ก็ต้อง ข่ม ฝืน สิ่ง ที่มัน รุนแรง ทางนิ้ว บ้าง ให้ได้ไม่มาก ก็น้อย ... จนกว่า เหตุใกล้นั้นจะพอกพูน ให้ สัมมาสติเกิดมา กิเลส อย่างหยาบ จะถูกกระเทาะเฉือนออกไป โดยไม่กลับมาเกาะอีก จนไล่ไป ในส่วนที่ละเอียดเรื่อยๆ เหมือน ขวานที่เราใช้ตัด ต้นไม้ ไม่สามารถ ตัดทีเดียวขาดได้ ต้อง ตัด บ่อยๆ ทีละนิด เริ่ม จากเปลือกเข้าไปจนมัดขาดได้
การให้ อภัยทาน ถือเป็น เบื้องต้น ในการเริ่มฝึก สติปัฐฐาน -
ก็ขอให้ทุกท่านพิจารณาให้เห็นเหตุนั้นครับ แล้วก็จะเข้าใจครับทั้งหมด ว่าความฟุ้งซ่านเกิดจากการปรุงแต่งโดยไม่มีสติระลึกรู้ก็เท่านั้น ที่ทำไปทั้งหมดไม่ใช่เพราะเนื้อหาแนวทาง แต่เพราะแนวความคิดของเจ้าของกระทู้ที่เคยกล่าวไว้ในอดีต ซึ่งไม่รู้ว่าถ้าปล่อยไปเขาจะเห็นเองไหมเพราะถ้า ทิ้งไว้คนแบบนี้อีกไม่นานก็กราบไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าไม่เป็น จะเป็นบาปเป็นกรรม ดังนั้นการระลึกนึกถึง คุณของผู้ให้ความรู้จึงสำคัญ และสำคัญกว่ารู้แล้วเสียอีกครับ
-
wel lcome_mokey สู่การสนทนาธรรมตามกาล
-
จะสังเกตุ การตั้งกระทู้นี้เป็นธรรมทานเท่านั้น
และมิได้เจตนาจะถือสาหาความกับใคร หรอกขอรับ แต่ทำไมเป็นชนวนให้คนทะเลาะกัน กระผมก็งงๆ ขอรับ แต่ก็ช่างมันเถอะเน๊าะ
กระผมตั้งกระทู้เป็นเจตนาที่ดี ขอรับ ขอบคุณที่แนะนำขอรับ ให้ชำเรืองใจบ่อย ๆ -
คุณของผู้ให้ความรู้จึงสำคัญ และสำคัญกว่ารู้แล้วเสียอีกครับ ผมจึงกล่าวว่า ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่รู้หรือไม่<!-- google_ad_section_end --> นี่คือเหตุที่ลืมคือความหลงไง ครับ
ผมก็อนุโมทนาในส่วนดีครับ แต่ตรงไหนไม่ควรผมก็ต้องกล่าว และหากมองว่าเป็นการทะเลาะก้อคงบอกว่าเปล่า ผมก็มีสติอยู่ตลอดเช่นท่านนั้นแหละท่านอะมอก
การให้ อภัยทาน ถือเป็น เบื้องต้น ในการเริ่มฝึก สติปัฐฐาน<!-- google_ad_section_end --> จากท่านวิษณุใช่เพราะอดีตมันนำมาซึ่งปัจจุบันและอนาคตครับ อนุโมทนาครับ -
เฮ้อ.....ฟู่.......
-
ยังเผลอเข้าไปปรุงข้อความบ่อยเลยครับ ปรุงสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง บางครั้งติดกลับมาในใจฟุ้งซ่านบ่อยๆ
อ่านทีไรใจเขาชอบไหลลงไปด้วยอะครับ ลืมกายลืมใจบ่อยเลย - -"
ความรู้สึกผมบางครั้งเป็นอคติ พอผมเป็นมากๆเข้า พอเจอเขาก็ผุดขึ้นมาเอง เขายังไม่ทันจะพูดอะไรเลย ใจผมก็ไม่ชอบเสียแล้ว
แต่เคยฟังพระท่านบอกมาว่าบางครั้ง บางอย่างเป็นเพราะ กรรมในอดีต
เหมือนผมเจอคนนั้นแล้วผมไม่ชอบคนนั้นเอาเลย แต่หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมผมไม่ชอบเขา
แต่บางคนพอรู้จักไปความรู้สึกนั้นมันคลายลงครับ อาจเป็นเพราะผมไปเห็นมุมดีๆของเขามากขึ้นนะครับ -
สาธุ
อนุโมทนา กับทุกทุกท่าน ที่หวังเจริญในธรรม อาจจะมีการขัดแย้งกันบ้าง แต่ถ้ามองในแง่ดี ก็เป็นการถกกันในข้อธรรม เพื่อที่จะเสริมสร้าง สติปัญญา ซึ่งเปรียบดังอาวุธที่จะเอาไว้คอยหั่มหั่นกับศัตรูหมู่มาร ก็คือกิเลสศัตรูร้าย ที่คอยประหัตประหารใจของทุกท่านทุกคน ขอท่านทั้งหลายจงเจริญในธรรมเถิด
-
ท่านเดินทางก็ดูไปเรื่อยๆ เห็นอนุสัยนั้นได้ สติมันไวขึ้นนะ ยังกะเห็นของดี เห็นอนุสัยนี่ มันละเอียดมาก -
เห็นอะไรนั้นไม่เท่าเห็นตน ถ้าจำไม่ผิดหลวงปู่บุดดา ท่านสอนว่าดูตัวเองนั่นแหละไม่ต้องไปดูที่ไหน ธรรมะทั้งหมด 84,000 ก็มีแค่ กายกับจิต ก็ขันธ์ 5 นั่นแหละ เมื่อรู้แจ้งในตนแล้ว อย่างอื่นมันก็รู้หมดแหละ.... อืม สาธุ...
-
ดูตัวเอง คือดูอาการของใจ เมื่อมีสิ่งมากระทบภายนอก
ปฏิกิริยาที่โต้กลับวันนี้ กับเมื่อก่อน มีความลดลงบ้างไหม
อันนี้ ก็ฝึกอยู่เหมือนกัน
เมื่อวิญญาญทางไหนจะพาไป เราจะใช้เจตสิกปรุง
ให้มันเกิดเป็นอวิชาไหม ก็พยามลดลงเหมือนกัน
หนทางไม่ได้โรยด้วยดอกไม้ เหมือนในละคร
อุปสรรคทุกอย่างคือหนทางให้เราเข้มแข็ง
หากวันหนึ่ง เรายืนตรงได้(ไม่เอียง) คงคว้าเอาผลมะม่วงได้แล้วล่ะ
หน้า 2 ของ 2