ด่วน!! รีบจองที่นั่งเฝ้าระวัง: เดี่ยวภัยพิบัติ1 เเสดงแล้ววันนี้ทุกประเทศทั่วโลก

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย sunny430, 24 มีนาคม 2012.

  1. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    นาวาอากาศ สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ เผย ทิศทางการเคลื่อนของพายุ "แกมี"จากจว.สระเเก้ว และ ผลกระทบที่จะเกิดตามจังหวัดต่าง ๆ จนกว่าจะสลายตัว รวมถึงเปิดเผยกรณีสตอมเสิชร์ของนายปลอดประสพที่เตือน ชายฝั่งอ่าวไทย โดยเฉพาะบ้านแหลเพชรบุรี ว่ามีโอกาสเกิด สตอมเสิร์ช ว่า ไม่ได้รุนแรงเหมือนต่างประเทศ ประเทศไทย คือ คลื่นลมทะเลซัดฝั่ง จะทำให้คลื่นลมในทะเลรุนแรงสูงขึ้นไปซัดชายฝั่งอีก ขึ้นไปกระทบกับบ้านเรือนของชายฝั่ง

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=Y58Jc4GN7PE]ศภช.แจง เรื่องสตอมเสิร์ช - YouTube[/ame]
     
  2. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    สำนักอุตุนิยม Weather Underground และ ศูนย์ร่วมการเตือนภัยไต้ฝุ่น (JTWC) ประกาศชื่อพายุดีเปรสชั่น "พระพิรุณ" และเตรียมอัพเกรดเป็นพายุโซนร้อนพระพิรุณต่อไป

    ตำแหน่งพายุดีเปรสชั่นพระพิรุณ จาก Weather Underground เมื่อเวลา 21.00 JST (19.00 ไทย) อยู่ทางทิศตะวันออกค่อนไปทางเหนือ ประมาณ 1,692 ก.ม. จากกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ ความเร็วลมใกล้ศูนย์กลาง 56 ก.ม./ช.ม. (35 mph) ลมกรรโชกแรง 72 ก.ม./ช.ม. (45 mph) เคลื่อนที่ทางทิศตะวันตก 15 ก.ม./ช.ม.(9 mph)

    พายุดีเปรสชั่นโซนร้อนพระพิรุณ ถูกพยากรณ์ว่าจะทวีกำลังเป็นพายุโซนร้อนในตอนเช้าวันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม 2555 เวลา 07.00 น.และคาดว่าจะทวีกำลังเป็นพายุไต้ฝุ่นระดับ 3 ในวันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม 2555 เวลา 07.00 น.







    ภาพถ่ายดาวเทียมพายุดีเปรสชั่นพระพิรุณ จาก Weather Underground เวลา 0.36 (ไทย) วันที่ 8 ตุลาคม 2555

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    นักวิชาการเตือนรบ.อยู่ไม่เกิน 1 ปี หากเดินหน้าโครงการจำนำข้าว



    นักเศรษฐกิจการเมืองจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เตือนรัฐบาลมีอายุไม่เกิน 1 ปี หากเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ด และอาจเกิดเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยคนชนชั้นกลาง เหมือนเหตุการณ์พฤษภาคม ปี 2535

    การเคลื่อนไหวของนักวิชาการกว่า 100 คน เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล อาจขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 43 และ 81 (1) โดยให้เหตุผลว่า โครงการรับจำนำข้าวทำให้รัฐบาลผูกขาดตลาดค้าข้าว ซึ่งขัดหลักการรัฐต้องสนับสนุนการค้าเสรี

    นายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์อาจารย์ประจำหลักสูตรเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวถือเป็นสัญญาณเตือนจากคนชั้นกลาง ที่เริ่มไม่พอใจและได้รับผลกระทบทางอ้อมจากโครงการรับจำนำข้าว เช่น ปัญหาราคาสินค้าและบริการแพงขึ้น จึงขอให้รัฐบาลปรับเกณฑ์การรับจำนำข้าวทุกเมล็ด มาเป็นรับจำนำเฉพาะเกษตรกรรายย่อย หรือมีเนื้อที่ปลูกข้าวไม่เกิน 10 ไร่ เพื่อลดภาระงบประมาณและการก่อหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นต้นทุนการเงินของรัฐที่จะผลักไปยังประชาชน แต่ถ้ารัฐบาลยืนกรานเดินหน้าโครงการต่อไป อาจนำไปสู่เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง โดยคนชั้นชนกลาง

    นายณรงค์ กล่าวอีกว่ารัฐบาลตระหนักดีว่าปัญหาดังกล่าว มีโอกาสเกิดขึ้นแต่ไม่สามารถยกเลิกโครงการได้ เพราะผลประโยชน์ของพรรคพวกในพรรคเพื่อไทย ซึ่งอยู่ในธุรกิจการเกษตรจำนวนมาก รัฐบาลจึงอยู่ในภาวะกะอักกะอ่วน พร้อมย้ำว่านายกรัฐมนตรีควรฟังคำเตือนของนายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ หรือ กยอ.มากกว่านักการเมืองในพรรค

    นักวิชาการเตือนรบ.อยู่ไม่เกิน 1 ปี หากเดินหน้าโครงการจำนำข้าว | :: ข่าว ไทยพีบีเอส Thai PBS NEWS ::
     
  4. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    รัฐเมินเสียงต้าน จำนำข้าว ผิดพลาดจับโกหก "จีทูจี" 7 ล้านตัน

    แม้ว่าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านอย่างหนัก จากความล้มเหลว ผิดพลาด ของการดำเนินนโยบาย แต่รัฐบาลดูเหมือนจะไม่ฟังเสียง ยังคงเดินหน้าสร้างความเสียหายให้กับระบบการค้าข้าวและสูญเสียเงินภาษีประชาชนมากขึ้น
    ล่าสุด ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 2 ต.ค.2555 มีมติให้เปิดรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2555/2556 ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยอนุมัติกรอบวงเงินที่ใช้รับจำนำข้าวเปลือกฤดูกาลใหม่ 4.05 แสนล้านบาท เพื่อรับจำนำข้าวในโครงการที่คาดว่าจะมีผลผลิตรวม 25 ล้านตัน
    โดยนำเงินมาจากการใช้เงินหมุนเวียนจากการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล จากที่กรมการค้าต่างประเทศ ประเมินไว้ว่าภายในปีนี้จะสามารถระบายข้าวได้มูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาท พร้อมทั้งขออนุมัติการค้ำประกันเงินกู้จากกระทรวงการคลัง ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวนไม่เกิน 1.5 แสนล้านบาท
    คาดว่าในช่วงต้นฤดูกาลผลิตจะมีข้าวเข้าโครงการช่วงเดือน ต.ค.55 - ม.ค.56 จำนวน 15 ล้านตัน คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 2.4 แสนล้านบาท
    วิธีการในการรับจำนำข้าวฤดูกาลใหม่ เป็นการรับจำนำแบบไม่จำกัดจำนวน หรือปีละ 2 ครั้งในรอบการผลิตข้าวต่อรายเกษตรกร โดยไม่แยกนาปีและนาปรัง ระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.55 - 15 ก.ย.56 โดยรับจำนำผ่านใบประทวน ในชนิดข้าวเปลือกหอมมะลิ ข้าวเปลือกหอมจังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานี 1 และข้าวเปลือกเหนียว ผ่านโรงสีที่สมัครเข้าร่วมโครงการกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.)
    สำหรับราคารับจำนำที่มีการตรวจสอบตามความชื้นและชนิดของข้าว ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า 15,000 บาทต่อตัน ข้าวเหนียว 15,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกปทุมธานี 16,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกหอมจังหวัด 18,000 บาทต่อตัน และข้าวหอมมะลิ 20,000 บาทต่อตัน
    นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ระบุว่า จะเดินหน้านโยบายรับจำนำข้าว เพราะมีข้อดีหลายอย่าง ทั้งการยกระดับราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น ชาวนาได้ประโยชน์เต็มที่ เพราะเม็ดเงินถึงมือ แม้จะไม่เอาข้าวมาจำนำในโครงการของรัฐบาล แต่ราคาข้าวในตลาดในประเทศนั้น ข้าวเปลือกก็มีราคาขยับสูงขึ้นกว่าเดิมที่มีอยู่ในอดีต ขณะที่รัฐบาลยังมีข้าวอยู่ในสต็อกที่สามารถเอาไปบริหารได้
    “หากเปรียบเทียบกับโครงการประกันรายได้เกษตรของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา เห็นได้ว่าเม็ดเงินที่ใช้ในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท อีกทั้งรัฐบาลไม่มีข้าวอยู่ในมือ โดยหลายคนพยายามโต้แย้งว่าโครงการประกันราคาพืชผลนั้นดีกว่าโครงการรับจำนำ แต่รัฐบาลนี้เห็นว่าเรื่องการรับจำนำดีกว่า เพราะท้ายที่สุดเงินที่เข้าสู่มือเกษตรกรได้มากกว่า และมั่นใจว่ารัฐบาลใช้เม็ดเงินงบประมาณแต่ละปีไม่สูงไปกว่าโครงการประกันรายได้ โดยโครงการจำนำข้าวที่สิ้นสุดไปเมื่อวันที่ 30 ก.ย.55 ใช้เงินไป 3 แสนล้านบาท และเมื่อระบายข้าวได้ จะส่งเงินคืนให้กระทรวงการคลัง 8.5 หมื่นล้านบาท ภายในปี 55 และคาดว่าปลายปี 56 จะคืนเงินให้กับกระทรวงการคลังได้มากถึง 2.4-2.5 แสนล้านบาท” นายบุญทรง ระบุ
    ขณะที่รัฐบาลกำลังเตรียมความพร้อมในการรับจำนำนั้น ได้เกิดเสียงคัดค้านจากนักวิชาการจากสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ (นิด้า) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำโดย รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณบดีคณะพัฒนาการเศรษฐกิจ นิด้า ได้ร่วมลงรายชื่อรวม 147 ราย ยื่นหนังสือร้องเรียนแก่ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการไต่สวนให้ยับยั้งหรือยุติโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล
    เนื่องจากเห็นว่าการดำเนินโครงการ เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 84 (1) ที่ว่าถึงการสนับสนุนระบบเศรษฐกิจระบบเสรีและเป็นธรรม โดยอาศัยกลไกตลาดและสนับสนุนให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน โดยต้องยกเลิกและละเว้นการตรากฎหมายและหลักเกณฑ์ที่ควบคุมธุรกิจซึ่งมีบทบัญญัติที่ไม่สอดคล้องกับความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชน เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือการจัดให้มีสาธารณูปโภค
    โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวในขณะนี้ ได้แก่ 1.กลไกตลาดในการแยกแยะคุณภาพข้าวล้มเหลว เนื่องจากคุณภาพข้าวลดลง เพราะเป็นการรับซื้อข้าวแบบคละเกรด 2.เกษตรกรขาดแรงจูงใจในการผลิตข้าวคุณภาพดีโดยเน้นการปลูกข้าวที่มีระยะเวลาการเก็บเร็ว ได้ผลผลิตสูง 3.คุณภาพข้าวลดลงเนื่องจากการเก็บสต็อกข้าวจำนวนมาก และไม่มีการระบายออกสู่ตลาด 4.การกำหนดราคาจำนำที่สูงเกินราคาตลาด เป็นการส่งสัญญาณทางราคาที่บิดเบือน ทำให้มีการขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าวเกินศักยภาพนำไปสู่การบิดเบือนโครงสร้างการผลิตในภาคเกษตร มูลค่าการผลิตสินค้าเกษตรอื่นๆ ลดลง 5.โครงสร้างอุตสาหกรรมข้าวไทยที่พัฒนามาเป็นอย่างดีถูกทำลายลง 6.การประกาศราคาข้าวที่สูงขึ้นทำให้ประเทศไทยขาดความสามารถในการแข่งขันในตลาดการค้าข้าวโลกปัจจุบัน ราคาข้าวที่สูงขึ้นทำให้ประเทศไทยไม่สามารถส่งออกข้าวได้ทำให้มูลค่าการส่งออกข้าวของประเทศลดลง 46% (จาก 7.4 ล้านตัน ลดลงเหลือ 3.9 ล้านตัน) และ 7.การระบายข้าวของรัฐ ต้องทำโดยการขายระหว่างรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ในราคาขาดทุนอย่างมาก ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้เงินภาษีประชาชนทั้งประเทศเพื่อให้ผู้บริโภคในต่างประเทศซื้อข้าวไทยในราคาถูก
    “ไม่ได้มีความต้องการให้รัฐบาลยุติโครงการ แต่รัฐบาลต้องลดราคาจำนำให้ใกล้เคียงกับราคาตลาด และจำกัดปริมาณและมูลค่าที่รับจำนำต่อครัวเรือน รวมทั้งส่งเสริมเกษตรกรให้มีความสามารถในการจัดการไร่นา เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ นอกเหนือจากความสูญเสียกว่าแสนล้านบาทจากการดำเนินโครงการแล้ว ยังเป็นการวางระเบิดเวลาให้แก่โครงการภาคเกษตรทั้งระบบอีกด้วย การรับจำนำข้าวที่เหมาะสมราคาตลาดควรไม่เกิน 9,000-10,000 บาทต่อตัน และต้องจำกัดครอบครัวละไม่เกิน 25 ตันเท่านั้น เพื่อไม่ให้สร้างความเสียหายแก่ประเทศ” นายอดิศร์กล่าว
    อย่างไรก็ดี การดำเนินของ ดร.อดิศร์และพวก กลับถูกต่อต้าน
    โดย นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ออกมาระบุว่า การที่นักวิชาการลงรายชื่อเพื่อฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้รัฐบาลปรับปรุงโครงการรับจำนำ โดยให้ลดราคารับจำนำหรือล้มเลิกโครงการนั้น ไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร นักวิชาการไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์กว่านี้ทำกันแล้วหรือ
    “รัฐบาลทำโครงการรับจำนำข้าว และสินค้าเกษตรอื่นๆ มานานแล้ว ทำไมไม่คัดค้านมาตั้งแต่ช่วงนั้น ทำไมเพิ่งมาคัดค้านในช่วงนี้ที่เกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการ นักวิชาการคิดหรือเปล่าว่า ถ้ารัฐบาลไม่ทำโครงการนี้แล้ว ราคาข้าวลดลง ใครจะช่วยเหลือเกษตรกร อย่างตอนช่วงโครงการประกันรายได้ ที่กำหนดราคาประกันข้าวตันละ 9,000 บาท เกษตรกรขายได้จริงแค่ 6,000-7,000 บาทเท่านั้น ช่วงนั้นบรรยากาศการซื้อขายสินค้าในท้องถิ่นเงียบเหงา ชาวนาไม่มีเงินเหลือไปซื้อของ แม้รัฐจะจ่ายชดเชยให้ แต่ก็ได้น้อย ส่งผลต่อเนื่องให้เศรษฐกิจภายในซบเซามาก” นางวัชรีกล่าว
    อย่างไรก็ตาม นอกจากกระบวนการรับจำนำที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริตเป็นจำนวนมาก อีกส่วนที่สำคัญคือการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล
    ที่ผ่านมา คณะกรรมการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล ครั้งแรก ได้มีมติเห็นชอบการระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาล ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจำนวน 7.5 แสนตัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีการอนุมัติจำหน่ายข้าว รวม 3 ประเภท จำนวน 229,661.87 ตัน มูลค่า 3,973.39 ล้านบาท
    แบ่งเป็นข้าวสารหอมมะลิ 100% ชั้น 2 มีผู้เสนอผ่านเกณฑ์ราคาขั้นต่ำและมีการตกลงราคาแล้ว มีผู้ที่ได้รับการประมูล 3 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท โตมี อินเตอร์เทรด จำกัด ปริมาณ 6,647 ตัน ในราคาตันละ 29,800 บาทต่อตัน 2.บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด ปริมาณ 1,610 ตัน ราคาตันละ 30,000 บาท บจก.บ้านเสนางค์ ปริมาณ 8,783 ตัน ราคาตันละ 29,850 บาท รวมปริมาณขายทั้งหมด 17,040.71ตัน มูลค่ารวม 508 ล้านบาท
    ชนิดปลายข้าวเอวันเลิศ ผู้ได้รับการประมูล ได้แก่ บริษัท ข้าวซีพี จำกัด ปริมาณ 1,960 ตัน ราคาตันละ 14,750 บาท รวมทั้งสิ้น 28.9 ล้านบาท
    ชนิดข้าวขาว 5% ผู้ได้รับการประมูลมี 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท ชัยพรไรซ์แอนด์ฟู้ด โปรดักซ์ จำกัด ปริมาณ 74,152 ตัน ราคาตันละ 16,300 บาท มูลค่ารวม 1,208 ล้านบาท บริษัท เอเชีย โกลเด้นไรซ์ จำกัด ปริมาณ 65,834 ตัน ราคาตันละ 16,300 บาท มูลค่ารวม 1,073 ล้านบาท บริษัท แคปปิตอล ซีเรียล จำกัด ปริมาณ 60,016 ตัน ราคาตันละ 16,300 บาท มูลค่ารวม 978 ล้านบาท บริษัท พงษ์ลาภ จำกัด ปริมาณ 10,657 ตัน ราคาตันละ 16,500 บาท มูลค่ารวม 175 ล้านบาท
    ทั้งนี้ ปริมาณรวมสำหรับข้าวขาว 5% จำนวน 210,660 ตัน มูลค่า 3,435 ล้านบาท
    ส่วนข้าวเปลือกหอมมะลิ จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2548/49, ปี 2549/50 และปี 2550/51 ทั้งหมด 4.4 หมื่นตัน มีผู้ได้รับการประมูล 2 ราย ได้แก่ บริษัท ทาปีโอก้าฟลาวแอนด์เกรน จำกัด ปริมาณ 1,457 ตัน ราคาตันละ 5,300 บาท รวมมูลค่า 7.7 ล้านบาท โรงสีข้าวไทยง่วนเฮง ปริมาณ 1,477.9 ตัน ราคาตันละ 5,300 บาท มูลค่ารวม 15.5 ล้านบาท
    นอกจากนี้ ได้อนุมัติระบายข้าวสารสต็อกรัฐบาลเพิ่มเติมอีก 57,605 ตัน จากที่เปิดประมูลครั้งที่ 2 ที่มีจำนวนทั้งหมด 5.58 แสนตัน ให้กับผู้เสนอซื้อทั้ง 9 รายที่เสนอซื้อเข้ามาเมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นการอนุมัติข้าวหอมมะลิ 27,483 ตัน ราคาระหว่างตันละ 23,500-29,100 บาท ข้าวหอมจังหวัด 1,325 ตัน ราคาตันละ 25,000 บาท ข้าวหอมปทุมธานี 1,471 ตัน ราคาตันละ 25,000 บาท ข้าวเหนียว 5,030 ตัน ราคาตันละ 18,000-19,000 บาท และปลายข้าวหอมมะลิ 21,995 ตัน
    สำหรับบริษัทชนะการประมูล ได้แก่ บริษัท โอแลม (ประเทศไทย), บริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์, บริษัท นครหลวงค้าข้าว, บริษัท โสธรอินเตอร์เทรด, บริษัท เจียเม้ง, บริษัท ไทยธุรกิจการเกษตร, บริษัท ซี.พี.เอ็นเตอร์เทรด, บริษัท แคปปิตอล ซีเรียล ขณะที่ข้าวหอมมะลิและปลายข้าวบริษัทชนะประมูล คือ เอเชียโกลเด้นไรซ์ ซีพีอินเตอร์เทรด และนครหลวงค้าข้าว
    อย่างไรก็ตาม มีข่าวสะพัดว่าสาเหตุที่ไม่สามารถระบายข้าวได้ทั้งหมด เนื่องจากคุณภาพข้าวในโกดังบางแห่งไม่ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ขณะที่บางโกดังมีการยื่นซื้อราคาต่ำเกินไป และมีการแบ่งพื้นที่โกดังในการเปิดระบายเฉพาะบางโซน ภาคเอกชนจึงเพียงแค่ประมูลให้เพียงพอกับการใช้ เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะเปิดระบายข้าวต่อเนื่องเดือนละ 1-2 ครั้ง ประกอบกับผู้ค้าข้าวบางรายเตรียมแย่งซื้อข้าวนาปีที่จะเริ่มออกมาเดือน ต.ค.นี้
    ขณะที่การระบายข้าวถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส จู่ๆ นายบุญทรงก็ออกมาระบุว่า รัฐบาลสามารถเจรจาขายข้าวรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ได้แล้ว 7 ล้านตัน ยิ่งสร้างความงุนงง สงสัยมากขึ้น ว่าเป็น “โกหกสีขาว” อีกครั้งของรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้หรือไม่ หลังจาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง ได้ White Lie ปั้นตัวเลขส่งออก หลอกลวงชาวโลกไปแล้ว
    เพราะจากการตรวจสอบข้อมูลของสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสำนักงานมาตรฐานสินค้านำเข้า-ส่งออก กรมการค้าต่างประเทศ พบว่า การส่งออกข้าวช่วง 8 เดือน (ม.ค.-ส.ค.55) ของไทยอยู่ที่ 447,000 ตัน ลดลง 43.53% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ไม่มีตัวเลขการส่งออกข้าวของรัฐบาลเลยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยังมีการส่งออกข้าวจีทูจี 267,000 ตัน
    ก่อนหน้านี้ นายบุญทรงยังเคยระบุว่า คำสั่งซื้อข้าวแบบจีทูจีจำนวน 7 ล้านตัน เป็นสัญญาซื้อขายที่มีอยู่จริง ซึ่งรัฐบาลไทยได้ตกลงกับรัฐบาลต่างประเทศที่สนใจซื้อข้าวไว้แล้ว เช่น จีน อินโดนีเซีย บังกลาเทศ ฟิลิปปินส์ โกตดิวัวร์ โดยบางสัญญาเป็นสัญญาซื้อขายรับมอบระยะยาว ไม่ได้ส่งออกในปีนี้ทั้งหมด คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะสามารถส่งออกข้าวจีทูจีได้ประมาณ 1.8-2 ล้านตัน
    พร้อมกับยืนยันว่า ออเดอร์ดังกล่าวที่จะส่งมอบให้กับประเทศผู้ซื้อในปีนี้ ได้มีการเปิดแอลซีไว้แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะเป็นความลับการค้าระหว่างประเทศ
    แม้จะมีการชี้แจงดังกล่าวออกมา แต่ความเป็นจริงตัวเลขการส่งออกข้าวของรัฐบาลก็ยังไม่ปรากฏจนมีการตั้งข้อสังเกตกันว่า รัฐบาลขายข้าวได้จริงหรือไม่ หรือมีการขายออกไปแล้ว แต่เป็นการขายในราคาถูกให้กับพ่อค้าโรงสีในประเทศ สวมสิทธิเกษตรกรนำข้าวมาเวียนเทียนเข้าโครงการรับจำนำอีกรอบ
    งานนี้เป็นเรื่องที่น่าคิด ท่ามกลางกระแสการโจมตีอย่างหนัก ทั้งการรับจำนำข้าวในราคาสูงเกินความจริง จนทำให้ประเทศไทยไม่สามารถส่งออกข้าวได้ สร้างความเสียหายกับการใช้งบประมาณแผ่นดิน โดยรัฐบาลไม่สามารถที่จะระบายข้าวได้ ต้องแบกรับสต็อกข้าวจำนวนมหาศาล ส่อทำให้ข้าวที่รับซื้อมาเสื่อมคุณภาพ
    จึงต้องดูว่ารัฐบาลจะยื้อดำเนินโครงการรับจำนำข้าวได้ไปอีกนานแค่ไหน ท่ามกลางเสียงคัดค้านและการบริหารสต็อกที่ไม่โปร่งใสในขณะนี้.
    รัฐเมินเสียงต้าน จำนำข้าว ผิดพลาดจับโกหก "จีทูจี" 7 ล้านตัน | ไทยโพสต์
     
  5. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    Economics of Mediocrity : เศรษฐกิจแบบถูๆ ไถๆ...อย่าอดตายก็พอ(ตอนที่สอง)

    สัปดาห์ที่แล้วผมจบลงตรงคำถามที่ว่า “แล้ว Economics of Mediocrity นั้นไม่ดีตรงไหน” ก็ในเมื่อ Politics of Mediocrity ยังช่วยให้เกิดความสงบราบเรียบ สังคมอยู่กันอย่างมีความสุข (อย่างน้อยก็มีแต่รอยยิ้มเปื้อนใบหน้าเต็มไปหมด) ปราศจากความรุนแรง
    สัปดาห์นี้ผมจะขยายความให้เห็นกันจะจะว่า Economics of Mediocrity คืออะไรกันแน่ และจริงๆ แล้วมันมีอะไรไม่ดีตรงไหนหรือ?
    แล้ว Economics of Mediocrity ไม่ดีตรงไหน?
    คำถามนี้ต้องตอบในสองระนาบ
    หนึ่ง ในระนาบของปัจเจกบุคคล
    สอง ในระนาบของสังคม
    ในระนาบของปัจเจกบุคคล ลองพิจารณาตัวอย่างหนังชีวิตต่อไปนี้
    เด็กสาววัยรุ่นสองคน คนหนึ่งทั้งเก่งทั้งสวย ครอบครัวก็ร่ำรวยอบอุ่น อีกคนหนึ่งพ่อแม่แยกทางตั้งแต่เด็กอยู่กับยาย กินอิ่มทุกมื้อ แต่ก็แค่ดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ไม่อาจฝันหาชีวิตที่สุขสบาย โตขึ้นก็ต้องเป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่อาจเป็นเจ้าคนนายคน หรือเถ้าแก่เนี้ยเหมือนเด็กสาวอีกคนหนึ่งได้
    เด็กสาวคนที่สองโตขึ้นมาอย่างมีความสุข พร้อมกับคำสอนของคุณยายที่ก้องในโสตสำนึกตลอดเวลา
    “ชาติที่แล้วทำกรรมไว้ มาชาตินี้ก็ต้องชดใช้ อย่าคิดดิ้นรนอะไรให้มาก ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี ชาติหน้าจะได้มีวาสนาเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยกับเขาบ้าง”
    ชีวิตในสังคมดังบรรยายข้างต้นก็คือชีวิตของปัจเจกบุคคลที่ถูกบ่มเพาะด้วยหลักคิดที่เรียกว่า “Philosophy of Mediocrity” ซึ่งสอนให้คนยอมจำนนกับสภาพสังคม ใช้ชีวิตอยู่กับสังคมไปวันๆ ไม่ต้องคิดสร้างสรรค์อะไรให้มากมาย หนักหัว
    ข้อดีของปรัชญาชีวิตชนิดนี้ก็คือ ทุกคนพร้อมที่จะหัวเราะให้กับโชคชะตา แม้ยามเคราะห์ร้ายแสนสาหัส เพียงแค่นึกว่า ยังมีผู้อื่นทุกข์ยากกว่าเราอีกหลายแสน เราก็ยิ้มให้กับตัวเอง (และก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป) ได้ หรือไม่ก็อดทนไม่ปริปากบ่นเพราะมั่นใจว่าวันหนึ่งพระเจ้าก็คงจะเห็นใจ ตัวอย่างเล็กๆ เบาๆ ที่เห็นกันทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนในขณะนี้ก็คือ ผู้คนที่ต้องยอมทนกับสภาวะ “รถติด” ทุกวัน บางวันติดแต่ละครั้งนับชั่วโมง แต่อย่างมากทุกคนก็บ่นสักหลายคำ แล้วก็ยอมรับสภาพ เป็นเช่นนี้มาไม่รู้กี่ปี โดยที่ทั้งสังคมไม่เคยลุกขึ้นมา “ประท้วง” ไม่ยอมรับสภาพเช่นนี้ และทำการกำจัดปัญหานี้ให้สิ้นซาก
    นี่คือระนาบของปัจเจกบุคคล ซึ่งทำให้สังคมอย่างสังคมไทยถูกขนานนามว่า “สังคมพุทธ” ที่เต็มไปด้วยผู้คนที่อดทน อดกลั้น ว่านอนสอนง่าย มีแต่ความอ่อนน้อม ความขึ้นต่อระหว่างผู้น้อยผู้ใหญ่ ฯลฯ พูดง่ายๆ ก็คือไม่มีพวกหัวรุนแรง พวกหัวดื้อ พวก Anti-establishment ไม่มีพวกขบถ ฯลฯ นั่นเอง
    Economics of Mediocrity : มะเร็งร้ายของระบบ
    ในระนาบของสังคม แนวคิดปรัชญาดังกล่าวมีผลต่อพฤติกรรมทางสังคม และพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของผู้คนอย่างร้ายแรงโดยไม่มีใครรู้ตัว
    ลองพิจารณาตัวอย่าง “หนังชีวิต” ในระดับมหภาคดูสักสองสามเรื่อง
    เรื่องแรก เป็นเวลาสองสามครั้งแล้วในรอบสองสามปีที่ผ่านมา ที่บรรดาโพลสำนักต่างๆ รายงานผลสำรวจที่น่าสนใจมากว่า
    “วัยรุ่นจำนวนมากในสังคมไทย ยอมรับคอรัปชั่นได้ หากรัฐบาลนั้นทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น เพราะเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนก็คอรัปชั่นเหมือนกัน”
    หรือการที่รัฐมนตรีในคณะรัฐบาล (จำไม่ได้แล้วว่ายุคไหน) ออกมาให้สัมภาษณ์ทำนองว่าเป็นเรื่องธรรมดาของโครงการรัฐบาลที่ต้องมีการโกงกิน สำหรับโครงการขนาดใหญ่ที่โกง (คอรัปชั่น) เพียง 20% อีก 80% เป็นประโยชน์ที่ถึงมือประชาชนก็ต้องถือว่า “ยอมรับได้” (เช่นโครงการจำนำข้าว?)
    หาก Economics of Mediocrity เป็นจริงในระนาบสังคม ก็เท่ากับว่าในสังคมไทยหากประสงค์จะใช้ชีวิตอยู่อย่าง “จิตปกติ” ไม่เครียด ไม่เป็นโรคประสาท ต้องทำใจให้ได้อย่างน้อยสองข้อ
    ข้อแรก ทุกเรื่องราวใน “ชีวิตจริง” ล้วนแต่เป็นเรื่องของ “เลวมาก” เปรียบเทียบกับ “เลวปกติ” ทั้งสิ้นไม่มีหรอก “ความดี” และ “ความดีเลิศ” (เพราะคนดีที่จะมาสร้างความดีนั้นได้ตายไปหมดแล้ว)
    ข้อสอง อย่าหวังอะไรที่มัน “เต็มร้อย” ได้อย่างเก่ง 70-80% ก็ดีถมเถไปแล้ว
    ผมเฝ้ามองพัฒนาการของแนวคิดปรัชญาดังกล่าวคืบคลานเข้าไปในแวดวงการเมือง (Politics of Mediocrity) ที่ทำให้คนดีที่ผมเคยรู้จักและชื่นชมบางคน (ในอดีต) ถึงกับกล้า “โกหกสีขาว” (white lies) และเข้าไปในแวดวงเศรษฐกิจ (Economics of Mediocrity) จนกระทั่งเรายอมที่จะเป็นมวยรองบ่อน และเป็นอะไรที่ยอมรับกันทั่วไปว่า “จะทำงานใหญ่ ต้องยอมจ่ายเงินคอรัปชั่น 20-30%”
    นี่ไม่ต่างกับหลายปีก่อน มีขำขันในอียูเล่าขานต่อกันว่า
    “We love the Italian builders even though they never deliver when they promise, because they do not expect us to pay them when we promise either.”
    แปลเป็นไทยหยาบๆ ก็คือ “ทุกคนชอบผู้รับเหมาชาวอิตาเลียน เพราะแม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยทำงานเสร็จตรงเวลา แต่พวกเขาก็ไม่เคยหวังให้พวกเราจ่ายเงินเขาตรงเวลาเช่นกัน”
    พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกคนยอมรับวัฒนธรรมการอยู่กันแบบ “โกงไปโกงมา” แทนที่จะเป็น “ตรงไปตรงมา”
    ควบคู่กับปรัชญาชนิดนี้ก็คือ “ปรัชญาหน้าไหว้หลังหลอก” (Hypocrisy) หรือวัฒนธรรมทางความคิดแบบศรีธนญชัยนั่นเอง
    ในทางเศรษฐศาสตร์เราเรียกว่าปรากฏการณ์ที่ทุกคนยอมรับที่จะทำการค้าแลกเปลี่ยนโดยไม่ได้มุ่งหวังผลลัพธ์ที่ดีที่สุด (เช่นไม่ได้ต้องการให้ผู้รับเหมาต้องทำงานเสร็จตามเวลาเป๊ะๆ) และสินค้าที่ตกลงก็ไม่ได้มุ่งหวังว่าคุณภาพต้องเต็มร้อย (เช่นรู้ๆ กันว่าข้าวที่ส่งมอบหนึ่งพันตันจะต้องมีต่ำกว่ามาตรฐานหนึ่งตันอย่างต่ำ เป็นต้น) ว่า Kakonomics ซึ่งเป็นศัพท์ที่มีรากมาจากภาษากรีก แปลว่า The economics of the worst ซึ่งเป็นปรัชญาเศรษฐศาสตร์ที่เลวร้ายยิ่งกว่า “มะเร็ง” เสียอีก (อ่านต่อตอนจบสัปดาห์หน้า).
    วีระ มานะคงตรีชีพ
    8 ตุลาคม 2555

    Economics of Mediocrity : เศรษฐกิจแบบถูๆ ไถๆ...อย่าอดตายก็พอ(ตอนที่สอง) | ไทยโพสต์
     
  6. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    เรื่องของเศรษฐกิจไทย : ช่วงพักร้อน​




    ช่วงนี้หลายคนกำลังกังวลกับน้ำท่วม โดยเฉพาะพายุแกมี หรือ พายุมด ที่กำลังเข้าไทยขณะนี้ หลายพื้นที่เตรียมรับมือกันอยู่

    ส่งผลให้ความเชื่อมั่น ในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ลดน้อยลงไปด้วย แม้ ว่าห้างค้าปลีกพยายามที่อัดแคมเปญต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ

    ต้องเห็นใจชาวบ้าน เพราะตอนนี้ดูข่าว หรือ อ่านข่าว มีแต่เรื่องภัยธรรมชาติ ทำให้หลายคนถึงกับเก็บข้าวของไว้ที่สูง

    บทเรียนปีที่ผ่านมา ทำให้หลายคนค่อนข้างที่จะเกิดความกลัวว่าจะซ้ำรอยเดิมอีกหรือไม่ ซึ่งจริง ๆ แล้วพายุที่เข้าประเทศไทยก็มีอยู่ทุกปีอยู่แล้ว

    ชาวบ้านอาจจะติดภาพหลอนจากปีที่ผ่านมา จนทำให้ไม่กล้าใช้จ่าย เพราะไม่รู้ว่าภัยธรรมชาติครั้งนี้จะมีมากน้อยแค่ไหน

    ไม่แปลกที่ดัชนีความเชื่อมั่น ถึงติดลบติดต่อกันมา 2 เดือน ซึ่งคาดว่าเดือนตุลาคมนี้ คงไม่แตกต่างจากเดือนที่ผ่านมา เพียงแต่อย่าตื่นตระหนกเกินเหตุ

    ต้องยอมรับข้อมูลที่รัฐบาลออกมานั้น หลายคนไม่ค่อยเชื่อถือนัก แต่กลับไปฟังการเสนอข่าวมากกว่า ก็เลยยิ่งทำให้ภาวะเศรษฐกิจขณะนี้ค่อนข้างที่จะซบเซาลง

    ทั้งนี้ คงต้องผ่านฤดูฝนรวมทั้ง ภาวะน้ำทะเลหนุนประมาณกลางเดือนนี้ถึงปลายเดือนตุลาคมไปก่อน น่าจะทำให้บรรยากาศของเศรษฐกิจกลับมาดีขึ้น

    เพราะช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ มีเทศกาลลอยกระทง คริสต์มาส และปีใหม่ มาสร้างบรรยากาศให้คนไทยกลับมาสู่ภาวะปกติได้

    ช่วงนี้จึงเป็นช่วงอึมครึมของเศรษฐกิจไทย ที่อาจจะแผ่วลงไปบ้างเป็นธรรมดา ทุกคนคงเตรียมรับมือกับภัยธรรมชาติที่ใกล้ตัวก่อน

    ถือว่าช่วงนี้เป็นการพักร้อนของเศรษฐกิจไทย ก็หวังว่าภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำท่วมจะไม่ร้ายแรงอย่างที่คาดกัน เชื่อว่าทุกอย่างจะกลับมาเหมือนเดิม.

    ช่วงพักร้อน | เดลินิวส์
     
  7. ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    รัฐฯอย่างหนาอยู่ใด้นานกว่าที่คิด(ออกเเนวการเมืองหน่อยๆ)
     
  8. numphol aryupha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +1,156
    อีกไม่นานหรอกครับ คอยดูคนที่ไม่ดีทำลายประเทศต้องมีอันเป็นไป ย้อนดูประวัติศาสตร์ได้ ตั้งแต่ยุค 6ตุลา พฤศภา53 มันใกล้เข้ามาแล้ว ประเทศชาติจะล่มสลายถ้าคนดีไม่กล้าแสดงตัว
     
  9. Flashman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2012
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +75
    ช่วยกันเฝ้าระวัง 555 .. .
     
  10. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    เป็นห่วงเศรษฐกิจไทยครับ ตามข่าวต่างประเทศ ต่างชาติก็ล้มกันระเนระนาดแล้ว กลัวเศรษฐกิจจะกลับไปเหมือนปี 2540 อีก ไม่อยากยุ่งการเมือง เพียงเป็นห่วงปากท้องมากกว่า ถ้าเศรษฐกิจพังจริงๆ คงเหลือผู้อยู่รอดที่เป็นเจ้าใหญ่ไม่มาก กลัีบไปเรื่องน้ำท่วมภัยพิบัติดีกว่านะ
     
  11. ohowow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +232
    กระทู้นี้ชื่อ


    "จองตั๋วเฝ้าระวัง ตุลาคม2555 พายุลมฝนกระหน่ำ ฤาจะเป็นตุลาคมสุดท้าย?"
     
  12. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    ปริมาณน้ำในเขื่อนสำคัญ 8 ตุลาคม 2555



    สถานการณ์น้ำฝน น้ำในเขื่อน น้ำในลำน้ำ 7 ตุลาคม 2555

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. DukeSonic เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    241
    ค่าพลัง:
    +831
    ฤาจะเป็นตุลาคมสุดท้าย
     
  14. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    นาข้าว จ.ราชบุรีเริ่มมีน้ำท่วมขัง-จนท.ระดมเตรียมเครื่องสูบน้ำ

    อิทธิพลของพายุแกมีส่งผลให้เกิดฝนตกหนักใน จ.ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์ โดยเฉพาะพื้นที่ จ.ราชบุรี ต้องเฝ้าระวังเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเป็นพื้นที่ราบลุ่มนาข้าว อ.บ้านโป่ง โพธาราม บางแค ดำเนินสะดวก และ อ.เมือง เริ่มมีน้ำท่วมขังบ้าง อีกส่วนหนึ่ง คือที่ราบเชิงเขา ใน อ.สวนผึ้ง อ.บ้านคา เรื่อยมาถึง อ.ปากท่อ และ อ.จอมบึง เริ่มมีน้ำท่วมขังเช่นกัน
    ส่วนปริมาณน้ำท่าในอ่างเก็บน้ำ 5 แห่ง ปริมาณน้ำในแม่น้ำแม่กลอง น้ำในเขื่อนวชิราลงกรณ์ เขื่อนศรีนครินทร์ ยังไม่เกินกำลังที่จะรับได้
    อย่างไรก็ตาม กำลังพลจากส่วนต่างๆ ทั้งอำเภอ ฝ่ายปกครอง เตรียมเครื่องสูบน้ำไว้ 50 เครื่อง พร้อมสนับสนุนทุกพื้นที่หากมีการร้องขอ

    ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์
     
  15. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    ฤทธิ์พายุ “แกมี” ฝนตกกระหน่ำน้ำท่วมอย่างหนักเมืองพัทยากลายเป็นเมืองบาดาล น้ำทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนชายบ้านกว่า 50 หลังคาเรือน





    ฤทธิ์พายุ “แกมี” ฝนตกกระหน่ำน้ำท่วมอย่างหนักเมืองพัทยากลายเป็นเมืองบาดาล น้ำทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนชายบ้านกว่า 50 หลังคาเรือน
     
  16. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    จ.ฉะเชิงเทรายังมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ บางพื้นที่มีน้ำท่วมขังสูง 30 – 40 เซนติเมตร

    สถานการณ์น้ำที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ยังมีหลายพื้นที่ใน 9 อำเภอ ได้ถูกน้ำท่วมขัง รวม 35 ตำบล 252 หมู่บ้าน 16,323 ครัวเรือน อ่างเก็บคลองสียัด ซึ่งมีความจุที่ 420 ล้านลูกบาศก์เมตร มีน้ำในอ่างที่ 395 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 94 เปอร์เซ็นต์ของความจุ ได้มีการพร่องน้ำออกจากอ่าง เพื่อรองรับน้ำฝนจากพายุแกมี วันละ 2.5 ล้านลูกบาศก์เมตร
    สำหรับสถานการณ์น้ำในเขตลุ่มน้ำท่าลาด ในพื้นที่อำเภอพนมสารคาม ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีน้ำเอ่อล้นตลิ่งทำให้ประชาชนในพื้นที่ตำบลเกาะขนุน ตำบลท่าถ่าน ตำบลพนมสารคาม มีน้ำท่วมขังประมาณ 30 – 40 เซนติเมตร แต่ยังมีพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากแม่น้ำบางปะกงที่ได้รับมวลน้ำจากแม่น้ำปราจีนบุรี ทำให้พื้นที่ตำบลบาง กะเจ็ด ตำบลหัวไทร ในเขตอำเภอบางคล้า และตำบลบางคลาของอำเภอราชสาส์น มีน้ำท่วมพื้นที่การเกษตรและชุมชนอยู่ที่ระดับน้ำประมาณ 30 เซนติเมตร
    ขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทราได้ติดตั้งเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่ เพื่อระบายน้ำออกจากพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมขัง ทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาของแม่น้ำบางปะกง เพื่อระบายน้ำลงสู่แม่น้ำบางปะกง รวม 78 เครื่อง สามารถระบายและสูบออกลงแม่น้ำบางปะกงและอ่าวไทยได้วันละประมาณ 15 ล้านลูกบาศก์เมตร และได้มีฝนตกลงมาแล้วครอบคลุมทุกพื้นที่ของจังหวัดฉะเชิงเทรา เมื่อเวลา 04.00 น. ของวันนี้ (8 ต.ค.2555) ซึ่งทางจังหวัดฯ ได้มีการแจ้งเตือนประชาชนให้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์น้ำ ด้วยการรับฟังข้อมูลข่าวสารอย่างต่อเนื่อง
    สำนักข่่าวแห่งชาติ : จ.ฉะเชิงเทรายังมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ บางพื้นที่มีน้ำท่วมขังสูง 30 – 40 เซนติเมตร
     
  17. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    จ.สระแก้วมีฝนตกตลอดทั้งคืน แต่ไม่หนักมากตามที่ได้คาดการณ์ไว้และยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง

    สถานการณ์ในจังหวัดสระแก้ว ทุกอำเภอมีฝนตกตลอดทั้งคืน แต่ไม่หนักมากตามที่ได้คาดการณ์ไว้ และยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง

    นายชัช กิตตินภดล รองผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะรองประธานศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า สถานการณ์พายุแกมี ล่าสุดได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว โดยช่วงดึกเมื่อวานนี้ถึงช่วงเช้าที่ผ่านมา ในพื้นที่ทุกอำเภอของจังหวัดสระแก้ว มีฝนตกตลอด ทั้งคืน แต่ไม่หนักมากตามที่ได้คาดการณ์ไว้ และเมื่อช่วงเช้าจนถึงขณะนี้ก็ยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ปริมาณน้ำฝนสะสมล่าสุดอยู่ที่ 30 - 40 มิลลิเมตร ส่วนน้ำตามคลองธรรมชาติสายสำคัญ เช่น คลองพระปรง คลองพรมโหด และคลองพระสทึง ระดับน้ำต่ำกว่าระดับตลิ่ง แต่ทางจังหวัดฯ ก็ยังไม่นิ่งนอนใจยังคงให้เฝ้าระวังปริมาณน้ำอีก 1 - 2 วันนี้ เพราะน้ำอาจจะไหลมาจาก เทือกเขาสอยดาว อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ซึ่งเป็นต้นน้ำ ขณะนี้ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ส่วนหน้าจังหวัดสระแก้ว ยังคงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อำเภอทุกอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ เฝ้าระวังสถานการณ์เป็นพิเศษต่อไป รวมทั้งให้พื้นที่อำเภอวังสมบูรณ์เฝ้าระวังและประสานการปฏิบัติกับอำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เพื่อตรวจสอบระดับน้ำในคลองพระสทึงเป็นกรณีพิเศษด้วย
    ด้านนายวรศักดิ์ สิริภาพ ผู้อำนวยการโครงการชลประทานสระแก้ว กล่าวว่า สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำในจังหวัดสระแก้ว ว่า จากจำนวนอ่างเก็บน้ำที่มีอยู่ทั้งหมด 15 แห่ง มีน้ำเต็มอ่างแล้ว 11 แห่ง โดยล้นผ่านทางระบายน้ำล้น 5 แห่ง ส่วนที่ยังไม่เต็มอีก 4 แห่งสามารถบรรจุน้ำได้ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร สำหรับระดับน้ำในคลองต่างๆ ในพื้นที่อำเภอเมืองสระแก้วนั้น ทางโครงการชลประทานสระแก้ว สามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ในระยะเวลา 12 ชั่วโมง ส่วนทางอรัญประเทศเตือนล่วงหน้าได้ในระยะ 6 - 10 ชั่วโมง อย่างไรก็ดี ขอให้ประชาชนสังเกตน้ำด้วยตนเองด้วย โดยให้ดูจากปริมาณฝนที่ตก ถ้าฝนตกมาก และน้ำในคลองมีสีขุ่นแดง ให้เพิ่มความระวังยิ่งขึ้น

    สำนักข่่าวแห่งชาติ : จ.สระแก้วมีฝนตกตลอดทั้งคืน แต่ไม่หนักมากตามที่ได้คาดการณ์ไว้และยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง
     
  18. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
    "พายุ “แกมี” "
    ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 08 ตุลาคม 2555​

    เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ (8 ต.ค. 55) พายุดีเปรสชัน “แกมี” (GAEMI) ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว และเมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (8 ต.ค. 55) หย่อมความกดอากาศต่ำได้ปกคลุมบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา คาดว่าจะเคลื่อนตัวตามแนวร่องมรสุมไปปกคลุมภาคกลางตอนล่างในระยะต่อไป
    ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคใต้ตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่งขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรีระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะ 1-2 วันนี้

    สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบน และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือในระยะ 1-2 วันนี้

    ประกาศ ณ วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 05.00 น.
     
  19. puvadon777 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2011
    โพสต์:
    1,076
    ค่าพลัง:
    +5,890
    ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
    "พายุ “แกมี” "
    ฉบับที่ 28 ลงวันที่ 08 ตุลาคม 2555​

    เมื่อเวลา 01.00 น. วันนี้ (8 ต.ค. 55) พายุดีเปรสชัน “แกมี” (GAEMI) ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงแล้ว และเมื่อเวลา 04.00 น. วันนี้ (8 ต.ค. 55) หย่อมความกดอากาศต่ำได้ปกคลุมบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี และฉะเชิงเทรา คาดว่าจะเคลื่อนตัวตามแนวร่องมรสุมไปปกคลุมภาคกลางตอนล่างในระยะต่อไป
    ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคใต้ตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางแห่งขอให้ประชาชนบริเวณจังหวัดสระแก้ว ปราจีนบุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด กรุงเทพมหานครและปริมณฑล อยุธยา นครปฐม สุพรรณบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรีระวังอันตรายจากฝนตกหนักในระยะ 1-2 วันนี้

    สำหรับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้ฝั่งตะวันตกมีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยตอนบน และทะเลอันดามันมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือในระยะ 1-2 วันนี้

    ประกาศ ณ วันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 05.00 น.
     
  20. Windsong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +293
    คนที่ต้องการให้ประเทศชาติสงบสุข เขาก็พร้อมจะเป็นแนวหลังคอยหนุนอยู่เยอะ..
    แต่ว่า แนวหน้าที่มีพลังจากปลายกระบอกปืน ดันไปจูบปากกับเขาเสียแล้ว..
    พลเมืองมนุษย์เงินเดือนที่มีแค่ 2 มือจะไปทำอะไรกับกลุ่มบุคคลที่ถืออำนาจรัฐได้
    นอกจาก..ก้มหน้าก้มตาเสียภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย..ให้เขาเบิกงบประมาณไปผลาญเล่น...ก็เท่านั้น
     

แชร์หน้านี้