ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เนื่องจากคุณยายของดิฉันมีความชราท่านอายุ 80 ปี ตอนนี้เป็นโรคพากินสันซึ่งเป็นโรคที่เป็นอาการทางระบบประสาท ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมาคุณยายมีอาการพูดคนเดียวในช่วงเวลาที่ไม่ได้หลับ ซึ่งดิฉันไม่แน่ใจ ว่าเป็นอาการของโรคทางสมองใช่หรือไม่ เพราะโดยปกติคุณยายเวลาหลับจะมีอาการละเมอพูคคนเดียวเป็นเรื่องเป็นราวอยู่แล้ว และเล่าว่าได้พูคุยกับคนที่เสียชีวิตไปแล้วบ้าง ทำให้คนรอบข้างที่อยู่ด้วยมีความกลัว แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันเชื่อเนื่องจาก คิดว่าคุณยายเป็นคนที่หมั่น ทำบุญ ฟังธรรมะ สวดมนต์อยู่อย่างสม่ำเสมอ และยังเป็นคนมีสัมมาฐิฑิอีกด้วย

    เรียนถามท่านอาจารย์ค่ะ

    1. จริงหรือไม่สิ่งที่คุณยายพูดคุยด้วยมีอยู่จริง

    2. ถ้ามีอยู่จริงจะทำอย่างไรให้คุณยายมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นหรือวิธีการใดที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ


    คำตอบ
    (1) จริง

    (2) เป็นการไม่ฉลาดที่จะไปปิดบังหรือบิดเบือนความจริงของคุณยายที่มีตาทิพย์ ให้ผิดไปจากความปกติของธรรมชาติ แต่เป็นการฉลาดที่ควรร่วมมือกับคุณยายทำบุญ แล้วอุทิศบุญกุศลให้กับรูปนามที่อยู่ต่างมิติ แล้วการเป็นเพื่อนกับอมนุษย์ในต่างภพย่อมเกิดขึ้นได้
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ผมมักจะมีปัญหา
    - ตื่นเต้นง่าย
    - มักกังวลเกินเหตุ
    - ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิตและการทำงาน

    ท่านอาจารย์ครับ เหตุของปัจจัยเหล่านี้มาจากอะไรครับ? ผมต้องการขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากดวงจิต ผมเคยกังวลเกินเหตุ และได้ตั้งสมาธิ และพิจารณาตามดูเห็นมันดับไปกับตา แล้วก็พบว่า ปัญหานั้นมันไม่กลับมาอีก ก็พอจะเห็นทางสว่างรำไรว่าเราจะสามารถแก้ปัญหากังวลเกินเหตุได้

    แต่การตื่นเต้นง่าย หากมีคนมาเร่งให้ทำงาน จะรนรานจิตใจปั่นป่วน และขาดความมั่นใจไปโดยปริยาย ขอความกรุณาท่านอาจารย์ โปรดชี้แนะทางสว่างด้วยครับ

    2.ท่านอาจารย์ครับ ผมทำงานกับคนที่มีปัญญาทางโลกสูงมาก ความจำความคิดความอ่านแบบโลกๆ เฉียบแหลม มองทะลุปรุโปร่ง ตัวผมเองก็พยายามที่จะไล่ตามคนเหล่านั้น เพราะต้องร่วมงานกับเขา วิธีการแบบใด จึงจะเป็นการพัฒนาความจำได้ในระยะสั้นครับ?

    3. ท่านอาจารย์ครับ ผมมีข้อสงสัยในเรื่องศีลข้อสาม ที่กล่าวถึงการผิดประเวณีกับบุคคลต้องห้าม เช่น คนที่อยู่ในการปกครองของพ่อแม่ คือเป็นผู้ที่มีเจ้าของในสังคมที่ความสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกไม่สนิทกัน เช่นสังคมตะวันตก หนุ่มสาวบางคนก็อยู่กินกัน โดยที่ไม่บอกกล่าวพ่อแม่ด้วยซ้ำ อย่างนี้ การกระทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการละเมิดศีลข้อสามด้วยหรือเปล่าครับ ท่าน?

    ขอความกรุณาท่านอาจารย์ ด้วยครับ และหากได้เคยล่วงเกินท่านอาจารย์ด้วย กายวาจาใจ ขอขมากราบแทบเท้าอาจารย์ครับ

    คำตอบ
    (1) ตื่นเต้นง่ายเป็นเพราะกำลังของจิตอ่อน กังวลเกินเหตุและขาดความมั่นใจในชีวิตและการทำงาน เหตุเป็นเพราะไม่รู้จริงในชีวิตและงาน ฉะนั้นวิธีแก้ปัญหาที่ถูกตรงคือนำตัวเองไปพัฒนาจิตเพื่อให้มีกำลังของสติเพิ่ม และพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นถูกตามธรรมแล้วปัญหาจะหมดไป

    (2) อยากให้มีปัญญาทางโลกสูงต้องแสวงหาความรู้ทางโลกให้มากด้วยการเข้าร่วมประชุม อบรม สัมมนา ศึกษาอยู่บ่อย ๆ เพื่อให้เกิดเป็นความรู้ความสามารถสูงเท่าเขาหรือสูงกว่าเขาแล้วจะร่วมทำงานได้อย่างไม่มีปัญหา

    อนึ่งประสงค์จะพัฒนาความจำให้มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น ต้องเปลี่ยนความถี่คลื่นสมองด้วยการพัฒนาจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เมื่อใดแล้ว ความจำจะเพิ่มได้เป็นอัตโนมัติ
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูได้ไปดูดวงกับอาจารย์ท่านหนึ่งเพื่อจะสอบถามเรื่องฤกษ์แต่งงานกับแฟน ซึ่งเราได้พูดกันว่าจะแต่งปีนี้ เขาเตรียมสินสอดและเราได้เตรียมของชำร่วยไว้แล้ว เขาบอกพ่อแม่เขาแล้วแต่ยังไม่ได้ให้ผู้ใหญ่มาขอเท่านั้น อาจารย์ท่านนั้นได้หลับตาสักครู่แล้วจะบอกว่าหนูแต่งงานไม่ได้ เพราะหนูโดนสาบแช่งและมีกรรมที่ทำไว้จากชาติที่แล้วที่หนูเกิดเป็นชายแล้วขณะเข้าพิธีบวชมีผู้หญิงอุ้มท้องมาร้องไห้ก็เลยหนีบวช ทำให้บรรพบุรุษเสียใจแล้วหนูก็อายุไม่ยืนนัก เมื่อตายไปก็ถูกทำโทษให้ไปเฝ้าบันไดหอระฆังในวัดแล้วเหลืออีก ๒ ปีจะได้ไปเกิดก็หนีเขามาเกิดกับผู้หญิงคนที่เราหนีไปอยู่กับเขา (ซึ่งพอดูดวงของน้องสาวหนูก็บอกว่าคือน้องคนนี้ที่เกิดห่างกัน ๑ ปีนั่นเอง) หากหนูแต่งไปสุขภาพจะไม่แข็งแรง จะป่วยบ่อย ส่วนน้องของหนูก็ไม่มีดวงเรื่องนี้เพราะถูกแช่งไว้เช่นกัน ส่วนแฟนหนูนั้น (ไม่ได้มาด้วยตัวเอง) หากแต่งงานธุรกิจจะไม่ดี ไม่ก็ผู้หญิงสวมเขาให้เนื่องจากเขาเคยทำกับผู้หญิงไว้มาก ไม่ควรแต่งงานเช่นกัน แต่หนูและน้องก็ได้รับคำแนะนำให้ไปถือศีล ไปปฏิบัติกรรมฐานบ่อยๆ อย่างน้อยสัก ๓ วัน (ซึ่งหนูก็พยายามปฏิบัติมาได้ประมาณปีเศษๆ ก่อนนอนในห้องนอนและก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดในวันศุกร์เสาร์อาทิตย์ ๒ ครั้ง)

    หนูจึงขออนุญาตรบกวนถามท่านอาจารย์ดังนี้ค่ะ
    ๑) หนูควรจะเชื่อสิ่งที่ได้ฟังมาและยกเลิกการแต่งงานเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งร้ายๆ หรือไม่คะ (หนูไม่ทราบว่าจะบอกแฟนอย่างไรเนื่องจากเขาไม่เชื่อเรื่องดวงเท่าไรและเขาก็เป็นคนดีมีศีลธรรมในจุดหนึ่งเว้นบางเรื่องคือโมโหง่าย ปากร้ายและมีความคิดเข้าข้างตัวเองเป็นใหญ่ค่ะ)

    ๒) หากหนูรับเป็นเจ้าภาพบวชพระแล้วอุทิศให้บรรพบุรุษและพยายามปฏิบัติธรรมบ่อยๆ แล้วหนูสามารถเอาชนะคำทำนายนี้ได้ไหมคะ

    ๓) ขอคำแนะนำจากผู้รู้เช่นอาจารย์ว่าหนูควรจัดการกับชีวิตเช่นไรดี เนื่องจากช่วงหลังทำงานกลับบ้านดึก ทำให้ไม่มีความเพียรที่จะเดินจงกรมนั่งสมาธิทุกวันอย่างเคย (บางทีก็นั่งสมาธิอย่างเดียว) และพักหลังจิตก็ไม่ค่อยสงบ คิดนู่นนี่ฟุ้งซ่านมากค่ะ

    สุดท้ายนี้ต้องขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะสำหรับคำแนะนำที่มีประโยชน์
    ขอกราบท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) จะเชื่อหรือไม่เชื่อคำพูดของหมอดูเป็นเรื่องของผู้ถามปัญหา ในพุทธศาสนามิได้สอนให้เชื่อคำพูดของผู้อื่น (ดูกาลามสูตร) แต่สอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม สอนให้ประพฤติตนให้เป็นผู้มีศีลมีธรรมทำไมผู้ถามปัญหาไม่ประพฤตตนให้มีศีล มีธรรม ประพฤติตนให้เป็นผู้มีดวงดีหรืออยู่เหนือดวงล่ะ แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่หมอดูพยากรณ์ไว้จะไม่เป็นจริงตามที่เขาพูด

    (2) คำตอบเรื่องนี้มีอยู่แล้วในหนังสือ “ วิธีอยู่เหนือดวง ” ที่ชมรมกัลยาณธรรมได้จัดพิมพ์ไว้ ควรไปหามาอ่านดู แล้วจะรู้วิธีบริหารชีวิตตนเองได้อย่างถูกต้อง

    (3) แบ่งเวลาในรอบวันให้เหมาะกับสุขภาพของตน ว่าจะอุทิศเวลาให้กับงานภายนอกที่ทำให้กับสังคม เวลาที่อุทิศให้กับงานภายในคือบริหารจัดการดูแลกายใจตัวเองนานเท่าไรและเวลาที่อุทิศให้กับการพักผ่อนหลับนอนนานเท่าไร หากงานใหญ่ทั้งสามนี้มีเวลาเหมาะสมกับสุขภาพร่างกายแล้ว ความสำเร็จในทางโลก ความสำเร็จในทางธรรมความสำเร็จของชีวิตย่อมเกิดขึ้นได้
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กระผมสงสัยถึงคำว่า วิกลจริต, จิต และ สติ ครับ

    ผมได้อ่านเจอมาว่าบุคคลที่วิกลจริตในทางพุทธนั้น เนื่องด้วยจิตของบุคคลนั้นขาดสติ
    มากกว่าบุคคลปกติทั่วไปจนทำให้บุคคลนั้นวิกลจริต

    ปํญหาของผมคือว่า ทางวิทยาศาสตร์สามารถทำให้บุคคลวิกลจริตกลับมาเป็นปกติได้
    หรือ ทำให้บุคคลปกติเป็นวิกลจริต โดยใช้ยาบางตัว ผมจึงสงสัยว่า

    1. สตินี่เราสามารถเพิ่มหรือลดจากจิตของเราด้วยสารเคมีได้หรือไม่ครับ
    2. จากข้อ 1 (ถ้า ไม่ได้) เราควรจะอธิบายเรื่องยาสามารถทำให้บุคคลวิกลจริตกลับ
    มาเป็นปกติได้ หรือ ทำให้บุคคลปกติเป็นวิกลจริต ว่าอย่างไรดีครับ
    3. กรรมทางต่างๆที่บุคคลกระทำตอนที่เค้าวิกลจริต เค้าต้องรับผลกรรมหรือไม่ครับ

    ขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงครับ

    คำตอบ
    (1) ได้ เพราะสารเคมีเป็นสิ่งกระทบภายนอกเมื่อนำเข้าสู่ร่างกายแล้ว พลังงานเคมีส่งผลกระทบพลังงานจิตที่อาศัยอยู่ในร่างกายได้ จิตมีหน้าที่คิด นึก เพียงแต่อยู่ในห้องปรับอากาศที่มีอุณหภูมิต่ำ พลังงานของมวลอากาศส่งผลกระทบถึงพลังงานร่างกายและพลังงานจิต ทำให้รู้สึกหนาว ซึ่งเป็นอาการของจิตทำหน้าที่ได้ถูกตรงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ รู้ไม่จริงว่า อาการหนาวเกิดขึ้นที่ร่างกายซึ่งเป็นความเห็นถูกที่มีความรู้ระดับนั้น แต่เป็นการเห็นผิดของผู้ที่เข้าถึงความรู้สูงสุด (ภาวนามยปัญญา)

    (2) ในข้อ (1)ตอบแล้วว่าได้ ฉะนั้นข้อ (2) จึงไม่ต้องตอบ

    (3) บุคคลปกติ สามารถทำกรรมได้สามทาง คือทำกรรมทางกาย ทำกรรมทางวาจา ทำกรรมทางใจ บุคคลที่วิกลจริตคือบุคคลที่มีกำลังสติอ่อน รับเอาสิ่งกระทบไม่ดีเข้าปรุงเป็นอารมณ์ไม่ดี ผิดเพี้ยนไปจากอารมณ์ของคนปกติ เมื่อจิตสั่งร่างกายให้ทำตามอารมณ์ที่ผิดเพี้ยนแล้วแสดงออกเป็นพฤติกรมที่ผิดเพี้ยน ผลของพฤติกรรมที่ผิดเพี้ยนจะถูกเก็บสั่งสมไว้ในดวงจิต เมื่อใดที่กรรให้ผลเป็นวิบากจะเป็นอกุศลวิบากซึ่งผู้ทำกรรมต้องเป็นผู้รับผลกรรมที่ผิดเพี้ยน (อกุศลวิบาก) นั้น
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูได้มีโอกาสอ่านหนังสือของท่านอาจารย์ เรื่อง อีคิวกับผู้สูงอายุ มีความสนใจเรื่องการตั้งโปรแกรมจิตให้เป็นบวก โดยเฉพาะในเรื่องที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่า มีอยู่ท่านหนึ่งเป็นเนื้องอกที่รังไข่ และท่านอาจารย์ได้แนะนำให้ตั้งโปรแกรมจิตให้เป็นบวก จนเนื้องอกนั้นค่อย ๆ หายไปได้เอง ตัวหนูเองตอนนี้มีปัญหาคือ ไปตรวจพบเนื้องอกขนาด 3 ซม. ที่ต่อมไทรอยด์ แต่ยังโชคดีว่าตรวจดูเซลส์แล้วปรากฎว่าไม่เป็นมะเร็งค่ะ

    - จึงอยากกราบรบกวนปรึกษาท่านอาจารย์ว่า หนูควรจะมีวิธีการตั้งโปรแกรมทางจิตอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยให้อาการที่เป็นอยู่ดีขึ้นบ้างค่ะ
    - และการสวดมนต์ และนั่งสมาธิที่หนูพยายามปฏิบัติอยู่ทุกวัน จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้พลังจิดเข้มแข็ง เพื่อช่วยให้สุขภาพกายดีขึ้นหรือไม่คะ

    กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    ต้องมีศรัทธาเต็มร้อยและมีความเห็นถูกว่าเนื้องอกเกิดขึ้นได้เนื้องอกต้องหายไปได้ แล้วตั้งโปรแกรมจิตให้ได้ทุกขณะตื่นโดยระลึกอยู่เสมอว่า ต่อมไธรอยด์ของข้าพเจ้าดีเป็นปกติ หลังจากนั้นทำใจให้มีศีล 5 คุม สวดมนต์ก่อนนอน ต่อด้วยทำจิตตภาวนาประมาณ 15 นาทีทุกวันแล้วอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เมื่อรักษาสัจจะให้เป็นดังนี้ได้แล้ว โรคที่เป็นอยู่หายได้แน่นอน
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. ผมปฏิบัติแนว “ สัมมา อะระหัง ” ช่วงที่มีความรู้สึกว่าจิตเริ่มนิ่ง มีสมาธิ บางครั้งจะมีอยู่แว่บนึงเร็วมาก ที่เหมือนจะเคลิ้มหลับ ประมาณ 1 วินาที หลังจากนั้นก็จะกลับมามีสติรู้ตัว และภายในหัวก็จะโล่ง เบา สบาย ต่างจากช่วงก่อนหน้า (แต่อาการอื่น ๆ เช่น ปวดขา ยังเป็นอยู่) พอเลิกปฏิบัติ วันนั้นทั้งวันรู้สึกว่าความคิดต่าง ๆ จะลดลงไปมาก ไม่ค่อยคิดอะไร สบาย ไม่ทราบว่าสิ่งที่เปฏิบัติหรือเกิดขึ้นได้ดำเนินมาในแนวทางที่ถูกต้องหรือยัง และจะต้องทำอย่างไรต่อไปครับ

    2. ถ้าข้อที่ 1 ถูกต้องตามแนวทาง การปฏิบัติแต่ละครั้งก็ควรจะจำแนวทางและมาให้ถึง พยายามไปต่อ เป็นความคิดที่ถูกต้องหรือไม่ครับ

    3. อาการปวดขา เหน็บ ที่เกิดขึ้นหลังจากนั่งไปประมาณ 45-60 นาที ที่ผ่านมาผมจะยอมทุกครั้งไปต่อไม่รอด ถ้าต้องการผ่านจุดนี้ไปจะต้องท้าชน เข้าแลกเหมือนกับที่อาจารย์ปฏิบัติมาวิธีเดียวหรือไม่ หรือจะมีวิธีอื่นที่ขึ้นอยู่กับจริตของแต่ละคน

    รบกวนและขอบพระคุณอาจารย์นะครับ

    คำตอบ
    (1) การปฏิบัติจิตตภาวนา ดำเนินไปในทางที่ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ควรทำต่อไปคือ เพียรรักษาปฏิปทาเช่นนี้ให้คงอยู่เมื่อจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ได้แล้ว จึงเอาจิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน ๔

    (2) ต้องไม่ไปกำหนดว่า จะต้องไปให้ถึงอารมณ์ที่เคยเข้าถึง เพราะนั่นคือ ตัณหา ซึ่งเป็นกิเลสขวางกั้นการปฏิบัติธรรมไม่ให้ก้าวหน้า แต่ควรใช้ความเพียรปฏิบัติตามแนวทางเดิมต่อไปเรื่อย ๆ

    (3) เหตุที่จิตพ่ายแพ้ต่อเวทนา (ปวดขา,เหน็บ) เป็นเพราะจิตมีกำลังของสติยังไม่กล้าแข็งพอที่จะผ่านเวทนาได้ ให้ลุกขึ้นเดินจงกรม สลับกับการนั่งภาวนา วิธีนี้เป็นการเพิ่มกำลังของสติให้กล้าแข็งยิ่งขึ้น
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. กระผมสงสัยเรื่องกรรมที่ทำให้รูปงามครับ ผมไม่แน่ใจว่ารูปงามใน จูฬกัมมวิภังคสูตร หมายถึง ความงามแบบใดในปัจจุบัน เนื่องจากว่าผมรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่ (รวมถึงผมผู้ที่ยังไม่มีดวงตาเห็นธรรม)ให้ความหมายเกี่ยวกับ รูปงาม คือ รูปร่างหน้าตาดีแบบ ดารา, นางงาม, นางแบบ หรือแม้แต่ การที่แต่งกายยั่วกิเลส ซึ่งปัจจุบันนี้ความงามประเภทนี้ สามารถทำได้ด้วยเครื่องประทินผิว, หรือศัลยกรรม ซึ่งคนรวยก็สามารถมีรูปงามได้ อนึ่ง ผมศรัทธาใน จูฬกัมมวิภังคสูตร ผมจึงคิดว่าผมน่าจะเข้าใจคำว่า"รูปงาม"ในพระสูตรนี้ผิดไป ขอท่านอาจารย์ช่วยแก้ไขให้ผมด้วยครับ


    2. ขอให้ท่านอาจารย์ไขความข้องใจเกี่ยวกับ โยนิโสมนสิการ กับ กาลามสูตร ให้ผมหน่อยครับ เนื่องจากว่า ผมเข้าใจว่าโยนิโสมนสิการ คือการคิดอย่างแยบคาย พิจารณาอย่างมีเหตุผล แต่ในหลักกาลามสูตรในข้อ 7 กล่าวห้ามการเชื่อโดยนึกเอาตามเหตุผลไว้ครับ :
    - 5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    - 6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    - 7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล

    ตามความเข้าใจของกระผม เราควรเชื่อโดยการพิสูจน์ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ให้เราเชื่อโดยศรัทธาแต่ทำการโยนิโสมนสิการก่อน ความคิดนี้ของผมถูกต้องหรือไม่ครับ ผมควรจะพิจาณาแบบโยนิโสมนสิการเช่นไรจึงไม่ผิดไปจากกาลามสูตรครับ

    3. ปัจจุบันมีข้อมูลข่าวสารมากมายบางครั้งผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็น พุทธศาสนาเดิมแท้หรือไม่ ผมจึงสงสัยเกี่ยวกับ บทสวดมนต์ หรือ คาถา ครับ เพื่อนของผมหวังดีให้คาถามเกี่ยวกับเช่น ทำให้ร่ำรวย หรือว่า ทำให้ผู้คนรักใคร่ โดยบอกว่าเป็นพุทธคุณ แต่ผมสงสัยว่าเช่นนี้จะไม่ขัด กับกฎแห่งกรรมหรือครับ ถ้าคนเราสามารถร่ำรวยหรือมีคนรักมากมายจากเพียงการสวดมนต์อย่างเดียว ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยมอบธรรมทานกับผมเกี่ยวกับ คาถาต่างๆใน พุทธศาสนาด้วยครับ

    ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่มอบธรรมทานแก่ผมครับ

    คำตอบ
    (1) คำว่างามหมายถึงสวยงาม ลักษณะที่เห็นแล้วชวนยินดี มีลักษณะสมบูรณ์มีลักษณะดี ฯลฯ

    เจ้าคุณโชดกเคยบอกกับผู้ตอบปัญหาว่า คนจะสวยต้องสวยด้วยศีล คือทำใจให้มีศีล แล้วความงามภายในจึงจะเกิดขึ้นได้และอยากจะมีผิวพรรณงาม ต้องรักษาใจไม่ให้โกรธ ท่านเจ้าคุณฯ ไม่เคยพูดถึงความงามของรูปเลย และเช่นเดียวกันในสมัยที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่าน ในวันที่สิบของการปฏิบัติได้ไปเห็นเทวดา เมื่อย้อนกับมาดูมนุษย์แล้วไม่เห็นมีใครสวยงามสักคน เช่นเดียวกันอัมพปาลีที่เคยหลงตัวเองว่าเป็นคนสวยงามเมื่อพัฒนาจิตจนได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นอรหันต์แล้วได้ย้อนกลับมาดูตัวเอง จึงเห็นเป็นตามที่พระพุทธะตรัสวา รูปไม่เที่ยงที่เคยหลงว่าเป็นสิ่งสวยงามบัดนี้ทุกอย่างเป็นตรงกันข้าม

    ฉะนั้นด้วยสายตามองของชาวโลกผู้เห็นผิด จึงเห็นว่ารูปเป็นสิ่งสวยงาม หรือสวยงามด้วยการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์จึงมิใช่เป็นความงามในพุทธศาสนา ด้วยเหตุนี้ผู้ใดศึกษาจูฬกัมมวิภังคสูตร ด้วยสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา จึงเห็นผิดไปว่ารูปร่างกายเป็นสิ่งสวยงาม

    (2) คำว่า โยนิโสมนสิการ หมายถึง การพิจารณาโดยแยบคายซึ่งใช้ใจที่มีความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ เป็นเครื่องมือในการพิจารณาสิ่งที่เข้าสัมผัสใจ ในทางตรงข้ามผู้ที่ศึกษามาในทางโลก มนุษย์ได้พัฒนาสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา แล้วนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพิจารณาสิ่งที่เข้าสัมผัสใจอย่างนี้ไม่เรียกว่า โยนิโสมนสิการในพุทธศาสนา

    ในหลักการของกาลามสูตร เมื่อมีสิ่งภายนอกเข้ากระทบใจแล้วอย่าพึงปลงใจเชื่อ ด้วยเหตุ 10 ประการ เพราะอาจเกิดความเห็นผิดได้กาลามสูตรมีเจตนาให้บุคคลพัฒนาปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) แล้วใช้ปัญญาสูงสุด มาพิจารณาสิ่งที่เข้ากระทบใจ เมื่อถูกตรงตามเหตุผลที่เป็นจริงแท้ (ปรมัตถสัจจะ) แล้วจึงจะให้เชื่อ

    ผู้ถามปัญหาใช้ปัญญาระดับไหนมาพิสูจน์สัจจธรรมถ้าใช้ปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา มาพิสูจน์ จะไม่สามารถรู้เห็นเข้าใจความเป็นจริงแท้ (ประมัตถสัจจะ)ในพุทธศาสนาได้ ด้วยเหตุนี้ จึงควรต้องเชื่อผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์ในทางธรรมไปพลางก่อนแล้วพัฒนาจิตตนเองให้เข้าถึงภาวนามยปัญญาให้ได้ แล้วใช้ปัญญานั้นมาพิสูจน์คำบอกกล่าวจากผู้รู้ ด้วยปัญญาเห็นถูกตามธรรมของตัวเองในภายหลังจึงจะไม่พลาดไปจากหลักการของกาลามสูตร

    (3) แม้คาถาจะพูดถึงสิ่งดีงามอย่างไร แต่ผู้นำคาถามาท่องบ่นจนเจนใจ แต่ใจไม่มีความดีงามตามคาถานั้น คาถาที่ท่องบ่นก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นอยากรวยต้องให้ทาน อยากให้คนเข้าใกล้รักใคร่ ต้องพัฒนาใจให้มีเมตตาได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องท่องบ่นคาถา ความสำเร็จในสิ่งที่หวังจะสำเร็จได้นั่นหมายความว่าคาถาไม่ศักดิ์สิทธิ์ไปกว่ากฎแห่งกรรมแน่นอน
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันเคยสอบถามเรื่องคุณยายพูดคนเดียวมาครั้งนึงแล้ว เนื่องจากสองสามวันที่ผ่านมาคุณยายเปลี่ยนไปจากเดิมมากคือ มีอาการนั่งพูดคนเดียวและไม่ยอมนอนหลับ ไม่ยอมทานข้าว ไม่ให้ใครเข้าใกล้ และบอกว่า มีเทวดามาคุยด้วยจากดาวดึง จะทำไรต้องขอนุญาตท่าน แม้แต่ขับตัวดื่มน้ำ หรือเข้าห้องน้ำ ดิฉัน ได้ทำตามที่ท่าอาจารย์ได้แนะนำคือทำบุญอุทิศส่วนกุศลไป แต่ตัวคุณยายเองไม่ยอมเป็นคนถวายสังฆทาน หรือกรวดน้ำ ท่านให้น้าชายทำแทน ท่านไม่ยอมทานข้าวดื่มน้ำหรือลุกจากการนั่งไปไหน นอกจากพูดคุยกับ รูปนามที่อยู่ต่างมิติ และนั่งสมาธิ

    รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำว่าควรทำอย่างไรดี จึงให้คุณยายปกติเหมือนเดิม หรือไม่ต้องเหมือนเดิม แต่ว่าทานข้าวหรือพักผ่อนได้บ้าง มีความเห็นที่ถูก และปฏิบัติตนถูกต้อง เนื่องจากลูกหลาน มีความกังวลกับท่านมากค่ะ


    คำตอบ
    ความปกติของมนุษย์และความปกติของเทวดามีความต่างกัน เทวดาเสวยอาหารที่เป็นทิพย์ สำเร็จด้วยจิต เทวดาไม่เสวยอาหารปฏิกูลอย่างที่มนุษย์บริโภคกัน ฉะนั้นเมื่อคุณยายนำจิตเข้าไปอยู่ในมิตินั้น ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ลูกหลานไม่เชื่อพระพุทธเจ้าหรือที่ท่านตรัสว่า “ สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม (การกระทำ) ของตัวเอง ”
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. สัตว์เดรัจฉานที่เกิดในป่าแล้วต้องล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร ต้องตกนรกไปเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้าเช่นนั้น สัตว์เหล่านี้จะมีโอกาสเกิดในภูมิที่ไม่ใช่อบายภูมิอีกไหมค่ะ

    2. มารซึ่งคอยขัดขวางไม่ให้มนุษย์ทำความดี (ถือว่าเป็นบาป เพราะมีเจตนาไม่ดี) แล้วเหตุใดมารถึงได้เกิดในสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี ซึ่งถือว่าเป็นสวรรค์ชั้นสูง ถ้าเช่นนี้ ก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมซิคะ


    คำตอบ
    (1) สัตว์นรกมีโอกาส เกิดเป็นสัตว์ในสุคติภูมิได้ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยลงตัว แต่มีเป็นจำนวนน้อย ตัวอย่างเช่น พระเจ้าอชาตศัตรู ที่จับพ่อ (พระเจ้าพิมพิสาร) ข้อและลงโทษทรมานจนตายมีผลทำให้ตัวเองต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์นรก (ทุคติภูมิ) ซึ่งได้รับพยากรณ์วาเมื่อหมดอายุขัยในนรกแล้ว จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ (สุคติภูมิ) เป็นชาติสุดท้าย และจะได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือในกรณีของพระเจ้าอโศกมหาราช ตายจากมนุษย์แล้วได้ไปเกิดเป็นงูเหลือม อาศัยกินสัตว์น้ำอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอจิรวดี จนกระทั่งลูกชายที่เป็นพระอรหันต์ ไปขอร้องไม่ให้งูเหลือม (อดีตพ่อ) จับสัตว์น้ำกินเป็นอาหาร งูเหลือมเชื่อและประพฤติตามเมื่อตายจากงูเหลือมไปแล้ว จึงได้ไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์

    (2) เขาปฏิบัติหน้าที่ถูกตรงตามไม่ได้ประพฤติผิดศีลจึงไม่ถือว่าเป็นความผิด เช่นเดียวกับมนุษย์ผู้มีอาชีพเป็นครูสอนหนังสือให้กับเยาวชน ปฏิบัติหน้าที่ถูกตรงตามธรรมคือมีหน้าที่ทดสอบความรู้ความสามารถของนักเรียน ด้วยการออกข้อสอบให้ทำ หากนักเรียนสอบไม่ผ่านเกณฑ์ประเมิน ไม่ถือว่าผิดไปจากธรรม
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1 - ดิฉันเจริญสติโดยภาวนาพุทโธ แต่จิตไม่ค่อยสงบ จะคิดโน่นคิดนี่ตลอด ตอนที่สติกลับมา จะกำหนดรู้ทุกครั้งที่จิตคิดไปเรื่องอื่น พอสักพักรู้สึกว่าลมหายใจแผ่วเบามาก เหมือนไม่ได้หายใจ อย่างนี้พอจะเรียกได้ว่าจิตเริ่มนิ่งไหมคะ วิปัสสนาคือการพิจารณาถึงความไม่เที่ยง ตามกฏไตรลักษณ์ ใช่ไหมคะอาจารย์

    2- มีอยู่ครั้งหนึ่งนั่งเจริญสติได้สักพักแล้วปวดเมื่อยมาก แต่ก็ทนนั่งต่อไป พอเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง นึกขึ้นได้ว่าทำไมไม่มีอาการปวดอะไรเลย ไม่แน่ใจตัวเองว่าใจฟุ้งซ่านไปคิดเรื่องอื่นจนลืมปวดหรือเริ่มมีสมาธิ แต่วันนั้นที่ปฏิบัติไม่คาดหวังว่าจะเกิดสมาธิหรือไม่ พอนึกได้ว่าไม่ปวด เกิดปิติ สักพักความปวดก็เกิดขึ้น

    3- วันหนึ่งขณะที่นอนหลับ ฝันไปได้สักพักก็รู้สึกตัวว่าเรากำลังฝันอยู่ เลยระลึกได้ว่าไม่ควรฝัน ขณะนี้เป็นเวลานอน ความฝันเลยยุติ หมายความว่าจิตเรามีสภาพอย่างไร

    กราบขอบพระคุณมากค่ะ

    คำตอบ
    (1) เมื่อจิตรู้ว่าลมหายใจเริ่มแผ่วเบาเรียกว่าจิตเริ่มนิ่งได้ ส่วนคำว่า วิปัสสนาเป็นการเห็นแจ้งด้วยจิต ซึ่งจะมีผลตามมาคือจิตปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขาแต่หากผลเป็นตรงข้าม คือจิตไม่ว่างเป็นอุเบกขา ไม่เรียกว่าเป็นวิปัสสนา

    (2) เมื่อใดจิตขาดสติ รับเอาสิ่งกระทบที่ไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์และเกิดเป็นอาการปวดขึ้น และเช่นเดียวกันหากจิตแวบออกไปรับกระทบอื่นมาปรุงเป็นอารมณ์แบบใหม่ อาการปวดเดิมย่อมหายไปได้ชั่วคราว และเมื่อจิตหวนกลับมารับสิ่งกระทบเดิมที่ไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ซ้ำอีกครั้ง อาการปวดย่อมเกิดขึ้นได้อีก อย่างนี้ไม่เรียกว่าจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ

    (3) คนที่มีสติดี จิตจะเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้วจะไม่ฝัน คนที่ยังฝันอยู่แสดงว่าจิตมีกำลังขอบสมาธิไม่กล้าแข็ง
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    หนูได้ยินมาจากพี่สาวว่าการกินยาถ่ายพยาธิเป็นบาปชนิดหนึ่ง แล้วพอดีหนูเพิ่งบริจาคเงินช่วยเด็ก500คนกับประเทศที่ยากจนในแถวแอฟริกาที่ไม่ค่อยได้ทานอาหารที่สะอาดซักเท่าไหร่
    ให้ขับพยาธิออกมาเพื่อที่เด็กๆเค้าจะได้รับสารอาหารที่มากขึ้นแล้วแข็งแรงขึ้นในภายภาคหน้า หลังจากบริจาคไปแล้ว หนูเพิ้งคิดได้ว่าพี่สาวบอกว่ามันเป็นบาบปที่กินยาขับพยาธิ หนูพอจะเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นการเบียดเบียนพยาธิ ที่ทำให้มันตายแต่ว่ามันก็เป็นหนทางเดียวที่เด็กที่ยากจนและไม่ค่อยมีอาหารทาน จะมีสุขภาพที่ดีขึ้นเพราะในแต่ละวันพวกเขาก็ไม่มีอาหารที่เพียงพออยู่แล้ว

    มันเลยทำให้หนูสงสัยว่า
    1.หนูทำบาปมากมั้ย เพราะว่าจำนวนเงินที่บริจาคไปสามารถช่วยเด็กได้หลายคน อย่างนี้ก็เท่ากับฆ่าพยาธิไปหลายๆตัว
    2.ตามความเข้าใจของหนู ถ้าการคนที่กินยาถ่ายพาธิ เป็นบาบ เพราะฉะนั้น อาชีหมอจะเป็นบาปมั้ยคะ เพราะต้องฆ่าไวรัส เชื้อโรค พยาธิ หรือแบคทีเรียตั้งมากมาย เพื่อช่วยชีวิตคน หนูคิดว่ามันคงจะเป็นบาปและบุญในขณะเดียวกัน เพราะว่าต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น แล้วถ้าอย่างนี้ต้องทำบุญขออโหสิกรรม กับสิ่งเหล่านั้นด้วยหรือไม่ แล้วถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่อโหสิกรรมให้ คุณหมอก็ต้องรับผลกรรมนั้นต่อไปใช่มั้ยคะ

    หนูไม่ทราบว่าหนูคิดมากไปรึเปล่า แต่หนูขอกราบขอบพระคุณล่วงหน้านะคะที่ท่านจะช่วยชี้แจงความเข้าใจให้หนู
    ขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านค่ะ

    คำตอบ
    (1) บาปเกิดขึ้นด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการ งานนี้จึงได้บาปน้อยและได้บุญมากกว่า

    (2) ผู้มีศรัทธาในพุทธศาสนา การพรากนามให้หลุดอกไปจากรูปถือว่าเป็นการประพฤติผิดศีลข้อปาณาติบาตเป็นลาปแต่การช่วยเหลือคนให้ปลอดจากพยาธิรบกวนเป็นบุญที่ใหญ่กว่าบาป

    ฉะนั้นคนโบราณที่เขามีอาชีพทางนี้เขานิยมประพฤติบุญกิริยาวัตถุ 10 อยู่เนืองนิตย์และอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรเมื่อเจ้ากรรมนายเวรอโหสิให้เขาจึงอยู่ได้ด้วยการไม่ถูกจองเวร ให้เจ็บป่วยเป็นโรคแบบคนไข้ที่มาให้เขารักษา
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    อยากทราบความหมายที่แท้จริงของคำว่า เจ้ากรรมนายเวรค่ะ เนื่องจากบางท่านก็บอกว่า เจ้ากรรมนายเวรจริง ๆ แล้วไม่มี แต่เจ้ากรรมนายเวรคือตัวของเราเอง เวลาอุทิศส่วนกุศลให้ แท้จริงแล้วก็คือการอุทิศให้ตัวเอง

    กราบรบกวนท่านอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ

    คำตอบ
    คนที่บอกว่าเจ้ากรรมนายเวรไม่มี ถือว่าเป็นความเห็นถูกของเขาแต่มิใช่เป็นความเห็นถูกของผู้รู้

    เวรหมายถึงความปองร้ายกัน ตัวอย่างที่สามารถรู้เห็นเข้าได้ด้วยระบบประสาทสัมผัสเช่น พระพุทธองค์ที่กลิ้งก้อนหินลงจากภูเขาเพื่อทำร้ายพระพุทธเจ้า จนพระพุทธองค์ได้รับบาดเจ็บที่เท้าจึงเรียกว่า พระเทวทัตเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพระพุทธเจ้า หรือในอีกตัวอย่างหนึ่งคือ พระองคุลีมาลอรหันต์ออกไปบิณฑบาตในเมืองแล้วถูกชาวบ้านขว้างปาด้วยก้อนดินและท่อนไม้จนได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ในกรณีนี้ชาวบ้านผู้ขว้างปาก้อนดินและท่อนไม้เป็นเจ้ากรรมนายเวรของพระองคุลีมาล
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมมีปัญหาในการวางตัวครับ คือ ผมนั้นรู้สึกเบื่อหน่ายกระแสสังคม อยากแสวงหาทางออกกับครูบาอาจารย์ แม่นั้นจะสนับสนุน แต่พ่ออยากให้ทำกิจการต่อจากท่าน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องหาสาระไม่ได้เลย จึงอยากถามท่านอาจารย์
    ว่าผมควรทำอย่างไรครับ เมื่อพ่อยังอยากให้ลูกสร้างต่อ แต่ลูกไม่อยากสร้างแล้ว และปรารถนาที่จะบวชกับครูบาอาจารย์ ด้วยศรัทธาใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และครูบาอาจารย์อย่างสุดหัวใจครับ

    คำตอบ
    ชีวิตเป็นของตัวเอง ผู้ถามปัญหาจึงต้องเลือกทางเดินชีวิตด้วยตัวเอง ผู้รู้ไม่มีสิทธิ์เลือกทางชีวิตให้กับผู้ใดได้ผู้รู้เป็นได้เพียงผู้ชี้แนะว่ามนุษย์สมบัติมีค่าน้อยกว่า สวรรค์สมบัติและพรหมสมบัติตามลำดับ สมบัติที่มีค่าสูงสุดและมนุษย์สามารถเข้าถึงได้คือนิพพานสมบัติ
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ดิฉันเคยไปร่วมงานศพและไปเห็นพระสงฆ์ทำพิธีกรรมแทนสัปเหร่อโดยการนำคนตายลงโรงเอง และมีมีดหมอทำพิธีและเหล้าแสงโสมเทลงโรงเอง
    ถามว่าผิดหลักของพุทธศาสนาไหม ทั้งที่วัดก้มีสัปเหร่อและตัวดิฉันจะผิดต่อข้อ วิจิกจฉาไหมคะ


    คำตอบ
    พุทธศาสนาสอนสงฆ์สาวกให้ประพฤติตรงตามธรรมวินัย ด้วยการเรียนรู้ภาคปริยัติและเข้าถึงธรรมวินัยด้วยการปฏิบัติกรรมฐาน การประพฤติตนเป็นสัปเหร่อ มิใช่กิจของสงฆ์จึงถือวาผิดหลักการของพุทธศาสนาซึ่งถือได้ว่าผู้ถามปัญหาเช่นนี้ยังมีวิกิจฉา จึงไม่รู้ว่าสงฆ์ที่ประพฤติเช่นนั้นถูกตรงตามธรรมวินัยหรือไม่
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ทุกครั้งที่ดิฉันเริ่มงานใหม่ ทุกอย่างดูเหมือนจะไปได้ดี แต่พอเวลาผ่านไป อะไรๆก็เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม การงานของดิฉันก็ค่อนข้างดี น่าจะมีฐานะได้แล้ว แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้น

    - วัยเด็กดิฉันมักทำกิจกรรมที่ทำให้พ่อแม่ทุกข์ และเสียใจ
    - ตอนแม่ไม่สบาย แม่หิวข้าว บอกให้ดิฉันไปซื้อข้าวให้กิน ดิฉันก็มัวห่วงเพื่อนที่มาหาที่บ้าน ไม่สนใจกับคำพูดของแม่ จนกระทั่งแม่ต้องบอกฉันว่าหิวจนแสบท้อง ฉันจึงไปหาข้าวมาให้แม่กิน (บาปมาก นิสัยแย่มาก)
    - ตอนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราถามแม่ว่าแม่อยากให้เข้าเรียนคณะไหน จะได้เลือกสอบเข้า แม่พูดเบาๆว่าบัญชี ฉันแปลกใจเลยถามทวนอีกครั้ง แต่แม่บอกไม่มีอะไร แล้วเราก็ปล่อยผ่านไปไม่สนใจที่จะสอบเข้า

    ดิฉันคิดว่า นี่เป็นเพราะกรรมเก่าที่ฉันทำไว้ กว่าจะคิดได้ตอนนี้ก็อายุมากแล้ว พ่อแม่ก็เสียได้ร่วมสิบปีแล้ว จะไปขออโหสิกรรมกับท่านก็สายไปเสียแล้ว จะขอขออโหสิกรรมกับพ่อแม่แฟนก็กลัวว่าไม่ได้

    รบกวนถามท่านด๊อกเตอร์ว่า
    1. ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ
    2. ชีวิตดิฉันจะดีขึ้นได้ไหมคะ

    ด้วยความนับถือ,
    ผู้อาศัยในความมืด และหาทางไปที่ที่สว่างไม่เจอ

    คำตอบ
    (1) ทำบุญแล้วอุทิศบุญให้พ่อแม่ผู้ล่วงลับ แล้วกล่าวคำขออโหสิกรรมต่อท่านย่อมทำได้

    (2) จะดีขึ้นต่อเมื่อ ต้องทำตัวเองให้มีศีล มีธรรม มีสัจจะ และประพฤติดีบุญกิริยาวัตถุ 10 ให้ได้ตลอดชีวิต แล้วจะดีได้ตามที่ปรารถนา
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ขณะนี้หนูกำลังตั้งใจปฏิบัติจิตภาวนาประมาณ 15 นาทีหลังสวดมนต์ทุกคืน และสมาทานศีล 5 ทุกเช้าก่อนไปทำงาน ในช่วงแรก ๆ ของการปฏิบัติจะรู้สึกอึดอัดมากเวลากำหนดลมหายใจเข้าออก แต่ตอนนี้เริ่ม ๆ ดีขึ้นแล้วค่ะ แต่คุณแม่ ซึ่งท่านได้ศึกษาพระอภิธรรมมายาวทาน และได้ปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานมาอย่างต่อเนื่อง แนะนำว่าน่าจะเริ่มวิปัสสนากรรมฐานเลย มากกว่าจะเริ่มจากสมถกรรมฐาน เพราะเวลาจะเปลี่ยนจากสมาธิมาเป็นวิปัสสนากรรมฐานจะทำได้ยาก จะไปติดที่การกำหนดจิตให้นิ่งอย่างเดียว หนูเลยเริ่มสับสน เนื่องจากที่เริ่มจากการทำสมาธิ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่สามารถฝึกได้ด้วยตนเองในระยะแรก หากจะปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเลย หนูรู้สึกว่าเป็นเรื่องยาก เพราะต้องเข้าใจพระอภิธรรมได้มากพอสมควร จึงอยากรบกวนปรึกษาท่านอาจารย์ว่า หนูควรจะปฏิบัติอย่างไรต่อไปดีคะ

    ด้วยความเคารพย่างสูง

    คำตอบ
    เจริญจิตตภาวนานาน 15 นาที หลังสวดมนต์ทุกคืนและสมาทานศีล 5 ทุกเช้า เมื่อประพฤติได้แล้วดีจงมีสัจจะรักษาปฏิปทาเช่นนี้ไว้ให้ได้ตลอดไป ส่วนเรื่องที่จะเริ่มปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเมื่อไรนั้นอยู่ที่กำลังความตั้งมั่น (สมาธิ) ของจิตตัวเองจะเป็นตัวกำหนดให้รู้เองได้เมื่อเวลานั้นมาถึง
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เคยได้ยินมาว่า การให้ทาน กับคนที่มีศีลมีธรรมต่างกันก็จะได้บุญต่างกันไปเช่นให้คนมีศีล5ได้บุญ 10เท่า ศีล10ได้100เท่า โสดาบัน อนาคามี อรหันต์ ก็หมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า ต่างกันไปใช้ไหมครับ

    2. และรู้มาว่าแม่คืออรหันต์ในบ้าน
    อยากถามว่าแบบไหนได้บุญมากกว่ากัน หรือแบบไหนดีกว่า
    (1)ผมเป็นเจ้าของเอง ผมได้เงินมา เอาไปให้แม่ ให้หมด
    (2)แม่เป็นเจ้าของ แม่ได้เงินมา แม่เอาเงินไป เราแค่ช่วยแม่ และแม่ให้ค่าจ้างเราอีกที
    ผมจะมาทำธุระกิจเล็กๆส่วนตัวนะครับ

    3. เคยเห็นคนที่ไปปฎิบัติธรรมบางแห่ง เค้าบอกว่า เค้าไปปฎิบัติธรรมแล้ว ช่วยให้ธุรกิจดีขึ้น (ได้ยินมาหลายคนเหมือนกัน) ตามหลักการแล้วช่วยได้จริงหรือครับ ก็นั่งสมาธิ เดินจงกลม แล้วอุทิศส่วนกุศล มีผลจริงหรือเปล่า

    ออกเรื่องทางโลกนิดหน่อยคงไม่ว่ากันนะครับ เพราะเรายังเป็นฆารวาสครับ

    คำตอบ
    (1) ใช่ได้บุญไม่เท่ากันตามระดับคุณธรรมของผู้มารับทาน ดังตัวอย่างของหญิงชรายากจน ทำบุญด้วยน้ำผักดอง กับพระมหากัสสปะอรหันต์ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ผลปรากฏว่าตายจากมนุษย์แล้วได้ไปเกิดเป็นเทพนารีอยู่ในสวรรค์ชั้นนิมมานนรตีและเช่นเดียวกันในพรรษาที่ 7 ที่พระพุทธะขึ้นไปโปรดพุทธมารดาอยู่ที่สวรรค์ชั้นดางดึงส์อินทกเทพบุตรในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์ ได้ทำทานกับพระอนุรุทธะอรหันต์ด้วยข้าวเพียงทัพพีเดียว ตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรนั่งอยู่ใกล้พุทธมารดาทางเบื้องขวาของพระพุทธะ ส่วนอังกรูเทพบุตรนั่งอยู่ทางเบื้องซ้ายเมื่อเทพบุตรผู้มีศักดิ์ใหญ่องค์อื่น ๆ เสด็จมา อังกุตทพบุตรต้องถอยร่นไปเรื่อย ๆ และนั่งอยู่เบื้องหลังเทพบุตรเหล่านั้นห่างไกลจากพระพุทธะถึง 12 โยชน์ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์ได้ให้ทานแก่มหาชนตลอดกาลอันยาวนาน แต่ปฏิคาหก (ผู้มารับทาน) ว่างเปล่าจากความเป็นทักขิไณยบุคคล จึงได้อานิสงส์ต่างจากทานของอินทกเทพบุตรดังนี้

    (2) การให้เงินแม่ด้วยตัวเองได้บุญมากกว่าต่อเมื่อให้แล้วต้องมีปีติมากกว่าวิธีที่สอง

    (3) การปฏิบัติธรรมเป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ 10 และเป็นบุญใหญ่สุดเมื่อมีบุญใหญ่แล้วอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรรวมถึงสรรพสัตว์ย่อมได้บุญมากยิ่งขึ้น ถ้าอยากจะรู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ทำไมไม่ลองพิสูจน์ดูด้วยตนเองเล่าครับ
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    1. เหตุใดเมื่อเราได้สมาธิแล้วจึงไม่อยู่ติดตัวเราไปตลอด และไม่สามารถเขาสมาธิได้ดังเดิม

    2. ทำไมแต่ละคนเมื่อเขาสมาธิได้ครั้งแรก ได้ข้อมูลในสมาธิไม่เหมือนกัน

    ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ

    คำตอบ
    (1) สมาธิเป็นหนึ่งในกำลังของจิต (พละ5) ผู้ใดฝึกจิตให้มีกำลังของสมาธิอยู่เสมอ ฝึกอยู่เป็นประจำ กำลังสมาธิจะไม่ลดไป ต้องดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์คือมีความไม่คงที่คงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และเป็นของสูญไม่เป็นของใคร

    (2) เหตุที่ได้ข้อมูลในสมาธิไม่เหมือนกันเพราะต่างมีประสบการณ์ไม่เหมือนกัน สั่งสมบุญสั่งสมบารมีสั่งสมบาปมาไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ผมได้ชวนเพื่อนไปฟัง ปุจฉา-วิสัชนา จากพระโพธิสัตว์ รูปหนึ่ง หลังจากจบแล้วได้เตรียมเงิน และของ(เหรียญ 25 ,50 สตางค์ ,ทองเหลือง) เพื่อทำบุญถวายกับมือของท่านโดยตรง เพื่อร่วมสร้างพระ แต่ พอหันไปเห็นเพื่อนๆ จึงรู้สึกสงสารว่า เพื่อนไม่ได้เตรียมของมาถวายท่าน เท่าที่ควรจึงได้ แบ่ง เงิน และ ของที่ ผมรวบรวมจาก ผู้คนที่ข้าพเจ้าชักชวนทำบุญซึ่งน่าจะประมาณ 10 กว่ากิโล ออกเป็น 4 ส่วน และมอบให้ เพื่อนๆ ช่วยกัน ร่วมอนุโมทนา และถวาย เงินและของนั้น

    ผมไม่ได้ หวงบุญ ที่ได้ แบ่ง เงิน และของที่รวบรวม ให้เพื่อนได้มีโอกาสถวายกับมือ พระโพธิสัตว์ โดยตรง แต่อยากทราบว่าบุญ นั้น นั้น จะ ต่างจาก การที่ผม รวบรวม และ ถวายแต่ เพียงผู้เดียว อย่างไร

    กราบขอบพระคุณครับ

    คำตอบ
    ต่างกันตรงที่ว่า คุณได้เมตตาได้กรุณาเพิ่มขึ้นได้เขามาเป็นบริวารช่วยเหลือคุณในการให้ท่าน จึงได้บุญมากกว่ากำหนดเพียงผู้เดียว
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กระผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบนั่งสมาธิและชอบเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ต่างๆเสมอ ตามเวลาและโอกาสที่เอื้ออำนวย แต่กระผมนั้นมีข้อเสียอย่างยิ่งคือการดื่มสุราและชอบสังสรรค์กับเพื่อนฝูง

    ดังนั้นจึงอยากจะกราบเรียบถามท่านอาจารย์ว่า
    1.ถ้าเราดื่มเหล้า 2 วันแล้วเว้นช่วงใว้ 2 วันให้สร่างจากอาการเมาแล้วนั่งสมาธิเราจะได้บุญเป็นเช่นไร( หรือจะได้บาป )
    2.ถ้าทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะมีโอกาสวิปลาสหรือไม่

    ด้วยความเคารพอย่างสูง

    คำตอบ
    (1) สองวันที่ดื่มสุราเป็นการประพฤติทุศีลมีอานิสงส์เป็นบาป สองวันที่มิได้ดื่มสุรา ไม่ประพฤติทุศีลเป็นบุญการนั่งสมาธิเป็นการประพฤติจิตตภาวนาเป็นบุญ ฉะนั้นพฤติกรรมทั้งสามที่ทำแล้วจึงได้ทั้งบาปและได้ทั้งบุญ ส่วนพลังกรรมใดมีมากกว่าให้ดูที่ความประพฤติของตัวเองว่าผู้ใดมีบุญสั่งสมอยู่ในจิตมากกว่าบาป ผู้นั้นทำความดีได้ง่าย ทำความชั่วได้ยากตรงกันข้าม ผู้ใดมีบาปสั่งสมอยู่ในดวงจิตมากกว่าบุญผู้นั้นทำความชั่วได้ง่ายทำความดีได้ยาก

    (2) ขึ้นอยู่กับการให้ผลของพลังกรรมถ้าพลังบุญให้ผลจิตไม่วิปลาส แต่หากพลังบาปให้ผลโอกาสมีจิตวิปลาสจะเกิดขึ้นได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...