ตอบปัญหาธรรม โดย ดร.สนอง วรอุไร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 15 พฤศจิกายน 2013.

  1. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เวลาฝึกนั่งสมาธิดิฉันคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีลมหายใจสั้น และบางครั้งชอบกลั้นหายใจ จึงทำให้มีปัญหาใน การฝึกนั่งสมาธิมาก และก็ไม่รู้จะใช้วิธีใดในการกำหนด จิดในการฝึก ลองฝึกหายใจลึกๆดู มันก็เหมือนคนหอบ ทำให้ไม่มี สมาธิ ต้องนั่งอยู่เฉยๆ ก็พอจะนิ่งอยู่บ้าง พอนั่งไปได้สักพัก เหมือนคนที่ต้องกลืนน้ำลายอยู่ตลอดเวลา ปัญหาเหล่านี้ ทำให้จิตไม่ นิ่งเสียที

    รบกวนท่านอาจารย์กรุณาช่วยคลี่คลายปัญหาให้ดิฉันด้วยน๊ะค่ะ และดิฉันอยากจะไปปฎิบัติธรรมที่วัดหรือ
    สถานที่ปฎิธรรม แต่มีห่วงเรื่องทางบ้านห่วงลูกและแม่สามีเพราะจะต้องคอยดูแลเพราะแม่สามี ท่านแก่มากแล้ว จึงต้อง อาศัยจะฝึกที่บ้าน แต่ก็ไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์โปรดให้ความกรุณาช่วยแนะนำให้ดิฉันด้วยน๊ะค่ะ

    กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูง

    คำตอบ
    ลิงป่าถูกจับมาฝึกให้ขึ้นเก็บผลมะพร้าวแทนคนยังฝึกได้ สุนัขที่เร่ร่อนอยู่ตามถนน (จรจัด) ถูกจับมาฝึกให้ค้นหายาบ้ายังฝึกได้ นับประสาอะไรกับคนผู้เกิดอยู่ในภพที่สูงกว่าสัตว์เดรัจฉานจะฝึกให้สูดลม หายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกยาวมิได้เล่า ขออภัยไม่อายลิงอายสุนัขหรือ

    งานของชีวิตมีอยู่สองงาน คืองานภายนอกที่ทำให้กับสังคม กับงานภายในคือพัฒนาจิตตัวเองด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน ฟังธรรมเมื่อมีโอกาส ต่อด้วยกำหนดลมหายใจเข้า-ออก (อานาปานสติ) เมื่อจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ จึงต่อด้วยวิปัสสนาภาวนาด้วยการหาครูผู้รู้มาชี้แนะในภายหลังยังมีโอกาสทำได้
     
  2. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันเป็นลูกหลานวัดมหาธาตุฯ ค่ะ ติดตามคุณแม่ไปทำบุญ ฟังเทศน์ ตั้งแต่เด็กๆ และเคยมีโอกาสได้เคยมอบกายถวายตัวต่อ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณโชดกฯ แต่เสียดายเวลาที่ผ่านมา ไม่มีความเพียรเพียงพอ และติดอยู่ในวงล้อของกรรม เป็นคนติดสวยติดงาม ราคะจริตยังมีมาก มีปัญหาชีวิตครอบครัวแตกแยกหย่าร้าง จิตใจฟุ้งซ่าน จนทำให้ไม่ค่อยก้าวหน้าในธรรมเท่าไรค่ะ อาศัยว่าชอบทำบุญ สวดมนต์ไหว้พระ และยึดถือความกตัญญูต่อพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และผู้มีพระคุณ พอทำใจและเข้าใจได้ว่าทั้งหลายทั้งปวงนั้นเป็นเพราะกรรมไม่ดีที่เราเคยสร้าง ไว้ จึงทำให้จิตใจไม่จมอยู่ ในความทุกข์นานนัก แต่รู้ตัวดีว่าตลอดเวลาความรู้สึกถึงความทุกข์เหล่านั้น ยังถูกเก็บอยู่ในจิตลึกๆ เสมอ ถ้ามีอะไรมากระทบ ความเศร้าโศกเสียใจก็จะกระเพื่อมขึ้นมา ให้เห็นเป็นริ้วๆ

    เมื่อต้นปีเพื่อนให้หนังสือ "ทางสายเอก" เป็นของขวัญปีใหม่ อันเป็นแรงจูงใจอย่างเข้มข้น ว่าจะตั้งใจเริ่มต้นประพฤติปฏิบัติใหม่อีกครั้ง เพื่อให้กิเลสทั้งหลายที่แบกอยู่ทุกวันนี้ บรรเทาเบาบางลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ (ตอนกลางคืนก่อนที่จะได้รับหนังสือ ฝันเห็นภาพพระเศียรพระพุทธเจ้ามีลักษณะรูปร่างอย่างเดียวกับภาพบนหน้าปก หนังสือเลยค่ะ พอเห็นหนังสือ ตกใจ และ ดีใจค่ะ)

    ตอนนี้อายุ 45 แล้วค่ะ และจะเหมือนมีอะไรสักอย่างทำให้รู้สึกว่าจะอายุไม่ยืนนัก จึงไม่อยากหลงทางเสียเวลาอีกแล้วค่ะ ดิฉัน อยากกราบขอความเมตตา จาก ท่านอาจารย์ กรุณาชี้นำเส้นทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้า และวิธีปฏิบัติที่เหมาะกับสภาวะจิตของดิฉันให้ด้วยเถอดค่ะ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ


    คำตอบ
    ผู้มีโอกาสอยู่ใกล้ครูผู้ทรงคุณธรรม แต่ไม่เห็นคุณค่าในตัวครู จึงไม่เอาความดีของครูมาไว้กับใจตน โบราณเรียกคนที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า “ ไก่ได้พลอย ” หากผู้ใดระลึกได้แล้วพัฒนาจิตตัวเองให้มีคุณค่านับว่ายังไม่สายเกินแก้ ยังดีกว่าไก่ได้พลอยตัวอื่น ที่นอกจากจะไม่เห็นคุณค่าในตัวครูแล้วยังถ่ายมูล (ปรามาส) ให้กับครูผู้ทรงคุณธรรมเป็นการสร้างบาปติดตามข้ามภพชาติจึงน่าสงสารยิ่งกว่า

    ดังนั้นหากผู้ถามปัญหายังศรัทธาในคุณธรรมที่มีอยู่ในตัว เองท่านเจ้าคุณฯ และหวังความเจริญในวันข้างหน้า หนังสือที่ได้รับมาจากเพื่อนนั่นแหละ คือความดีงามของท่านเจ้าคุณโชดกที่สามารถใช้เป็นโคมส่องสว่างให้ชีวิตเดิน อยู่บนทางสายเอก ตามที่เจ้าคุณโชดกได้ชี้ทางได้
     
  3. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1.เรื่องการให้ทาน รักษาศีลและภาวนา ถ้าหนูได้ทำสามอย่างนี้แล้วขอตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ดี เช่น ขอให้เกิดปัญญาทั้งทางโลกทางธรรม ขอให้เจออาจารย์ที่ดี พบกัลยาณมิตร หนูสามารถขอได้มั้ยคะ เพราะหนูเคยอ่านหนังสือมาว่าทานที่ให้จะได้บุญสูงสุดคือให้สละออกแบบไม่ได้ หวังผล แต่ทุกครั้งที่หนูทำความดี หนูก็หวังผลนะคะว่าจะช่วยให้หนูสมปรารถนาแล้วก็สังเกตทุกครั้งว่าที่ขอก็จะ ได้สมปรารถนาเหมือนกับว่าจิตเราตั้งโปรแกรมไว้แล้วค่ะ หนูมีความเข้าใจถูกผิดประการใดอาจารย์ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ

    2.ถ้าหนูสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้แล้วและไม่ได้อาศัยอยู่กับพ่อแม่ แล้วถ้าหนูมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแฟนโดยที่พ่อแม่ไม่รู้อย่างนี้จะผิดศีล ข้อที่สามมั้ยคะ

    3.หนูอยากทราบผลของการอุทิศบุญกุศลค่ะ ถ้าเราอุทิศให้กับคนที่มีชีวิตอยู่เมื่อพบกันจะเป็นอย่างไรคะจะมีปฏิ สัมพันธ์ในทางที่ดีขึ้นรึเปล่าคะ

    4.หนูเคยได้ยินเสียงผู้หญิงเย็นๆแต่เห็นเป็นแสงสีขาวค่ะ ไม่เห็นร่างกาย มาเรียกหนูว่าลูก แล้วปลุกจนหนูตื่น แล้วเค้าก็ให้หนูเห็นภาพในอนาคตเป็นช็อต ช็อตค่ะ เค้ามาเตือนเรื่องเจ้ากรรมนายเวรหนูค่ะว่าเค้าตามมาแล้วให้หนูเร่งทำความดี หนีให้ทัน ผู้หญิงคนนี้เค้าบอกว่าเป็นห่วงหนู แม่เป็นห่วงหนูมาก เค้าเรียกตัวเองว่าแม่ค่ะ ในขณะนั้นหนูมีสติตลอดนะคะและจำภาพได้ทุกอย่างจนถึงวันนี้ แต่ตอนนั้นหนูก็ตกใจร้องไห้ตลอดค่ะทั้งๆที่หลับตาเพราะหนูเข้าใจว่าเค้าเป็น แม่หนูที่เกิดหนูมาในชาตินี้ค่ะ หนูนึกว่าแม่หนูเสียชีวิตแล้วมาหาค่ะ หลังจากนั้นหนูก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนนี้ไม่กี่ครั้งค่ะทุกครั้งที่มาก็เห็น เป็นแสงขาว ส่วนใหญ่จะได้ยินตอนใกล้รุ่งเรียกลูก ลูก ประมาณปลุกให้ตื่นค่ะ สิ่งที่หนูเห็นและได้ยินคืออะไรคะ และผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

    กราบขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะและขออนุโมทนาบุญกับอาจารย์ที่มีส่วนร่วมในการ สืบทอดพระพุทธศาสนามา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ

    คำตอบ
    (1) คำว่าอธิษฐาน หมายถึงตั้งจิตกำหนดเอาไว้เพื่อให้เข้าถึงสิ่งดีงาม เช่น เจ้าชายสุมนะ (อดีตของพระอานนท์) อธิษฐานเป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธะองค์ใดองค์หนึ่ง ฤาษีสรทะ(อดีตของพระสารีบุตรอธิษฐานเป็นอัครสาวก ของพระพุทธะองค์ใดองค์หนึ่ง ฯลฯ แล้วทำเหตุให้ถูกตรงคำอธิษฐานจึงศักดิ์สิทธิ์และเป็นจริงได้ ดังนั้นอธิษฐานจึงมิใช่การขอพระพุทธะมิได้สอนพุทธบริษัทให้ทำตัวเป็น “ ผู้ขอ ” แต่สอนให้ทำเหตุถูกตรงและปรากฏมีขึ้นด้วยตัวเอง

    (2) ผิดครับ เมื่อใดที่อกุศลวิบากเกิดขึ้นโอกาสขึ้นปีนป่ายอยู่บนต้นงิ้วในนรกจึงมีได้

    (3) หากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ สามารถรับรู้แล้วอนุโมทนาบุญเมื่อผู้ให้และผู้อนุโมทนาโคจรมาพบกัน ความสัมพันธ์ที่ดีย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา

    (4) สิ่งที่ถูกเห็นเป็นรูปนามในอีกมิติหนึ่งซึ่งในทางโลกหลงผิดว่าเคยเป็น แม่-ลูกกัน แต่ในทางธรรมเป็นจิตวิญญาณสองดวงที่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกัน
     
  4. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ได้ศึกษาคำสอนและคำแนะนำต่างๆของอาจารย์จากการอ่านและฟังเทปการบรรยาย เมื่อไม่นานมานี้พยายามปฏิบัติตนโดยการสวดมนต์ ฝึกสติแต่ก็ยังมีจิตใจที่เคลื่อนไปมา และพอมีอาการชาหรือปวดกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็จะแพ้ใจตัวเองและหยุดการฝึก ก็อ่านคำตอบจากที่มีหลายๆท่านได้ถามอาจารย์ในทำนองเดียวกันนี้แล้วแต่ตนเอง ก็ยังรู้ว่าจิตใจตนเองยังไม่มีพลังนัก ก็รู้ว่าต้องแก้ด้วยการมีศรัทรา วิริยะ แต่หลายๆช่วงเวลาที่ขาดการระลึกรู้ ความคิด อารมณ์จะออกไปสู่เรื่อง หรือนึกถึงผู้คน และเหตุการณ์ที่เป็นไปในทางลบ
    หนูควรทำอย่างไรบ้างค่ะหรือฝึกปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆ นอกจากนี้แล้วมีคำถามอีก 1 ประการค่ะที่เป็นสิ่งสำคัญต่อความรู้สึกนึกคิดของหนู

    สมัยเป็นน.ศ.พยาบาลปี1 เรียนวิชาสรีรวิทยา ต้องมีการนำกบมาผ่าท้องดูอวัยวะ หนูเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติการในครั้งนั้นและต้องทำให้เขาจบชีวิตลง หลังจากนั้นไม่เคยคิดอะไรเลย เพิ่งมาเมื่อไม่นานนี้หนูนึกถึงแต่ภาพนั้นอยู่บ่อยๆ จน2-3อาทิตย์มานี้แถบจะเป็นภาพที่ติดตาไม่ว่าจะเวลาใด แม้ว่าเวลาสวดมนต์จะอุทิศและขออโหสิกรรมแล้ว หนูควรจะทำอย่างไรดีค่ะเพื่อขออโหสิกรรมและเลิกแล้วต่อกันไม่นึกถึงภาพใน อดีตอีก


    คำตอบ
    หากยังรักที่จะมีชีวิตอยู่ในฝ่ายดีงาม ต้องฝึกต่อไปจนเข้าถึงมรรคผลของการปฏิบัติได้เมื่อใดจึงจะเป็นคุณของการชี้ แนะนี้ต้องสร้างบุญใหญ่แล้วอุทิศบุญให้กับกบ แล้วโอกาสที่ภาพนิมิตของกบจึงจะหายไปได้
     
  5. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตจนเข้าถึงความตั้งมั่นในระดับที่เป็นฌานได้ เมื่อนำจิตออกจากฌานแล้วจะรู้ว่าภพชาติที่สัตว์บุคคลถือกำเนิดมามีอนันต์ ซึ่งแต่ละชาติมีทั้งการประพฤติที่เป็นกุศลและอกุศล แล้วเก็บสั่งสมผลกรรมไว้ในดวงจิตมีอนันต์เช่นกัน และหากผู้ถามปัญหาได้พัฒนาจิตของตนจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว จะรู้ว่ากฎแห่งกรรมมีจริง จึงไม่มีคำว่าบังเอิญหรือความน่าจะเป็นเกิดขึ้นผู้รู้จริงในพุทธศาสนา ดังนั้นเรื่องของบุคคลทั้งสองจึงมีสาเหตุมาจากได้เคยก่อนกรรมกันมาก่อน จึงไม่มีกรรมใหม่ใด ๆ ถูกก่อขึ้นเช่นการเกิดอุบัติเหตุ การเกิดอุบัติภัยที่เกิดจากธรรมชาติ ล้วนมีเหตุที่มาจากการกระทำกรรมเบียดเบียนกันมาก่อนทั้งสิ้น

    ใคร่เรียนถามว่า
    1.การที่ดิฉันเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีจิตใจฝักใฝ่เพียรจะปฏิบัติธรรมให้สำเร็จนั้น เกิดจากกรรมเก่ากำหนดว่าดิฉันจะต้องเกิดความรู้สึกเช่นนี้ ถ้าในกาลข้างหน้าดิฉันต้องได้รับผลกรรมเก่า การปฏิบัติธรรมจะทำให้ลดกรรมเก่าให้เบาบางหรือไม่ค่ะ

    2.ตั้งแต่ที่ได้หันเข้าหาและศึกษา เพียรปฏิบัติธรรม พบว่าเหตุการณ์เลวร้ายเข้ามาชีวิตเพิ่มขึ้นเป็นเพราะว่าเราเริ่มปฏิบัติตัว ดีขึ้นแล้วผลกรรมเก่าเร่งเข้ามาเหมือนมารคอยขัดขวางให้เราท้อแท้ในการทำดี หรือเปล่าค่ะ

    ขอขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) คำว่ากรรมหมายถึงการกระทำ กรรมเป็นเหตุวิบากของกรรมเป็นผล กรรมดีส่งผลให้เกิดเป็นกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมต้องเสวยความสุข กรรมไม่ดีส่งผลให้เกิดเป็นอกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมต้องเสวยความทุกข์ การปฏิบัติธรรมเป็นกรรมดีให้ผลเป็นบุญสูงสุด เมื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรจึงชดใช้หนี้เวรกรรมได้มาก และยังส่งผลให้เข้าสู่ความเป็นอริยบุคคลได้ด้วย อ่านคำตอบการบริหารกรรมาจากเว็บไซด์ข้อ 728

    (2) ผู้ใดพัฒนาจิตให้มีบุญเป็นเรื่องปกติที่เจ้ากรรมนายเวรต้องตามทวงให้ใช้หนี้ เจ้าคุณโชดกจึงได้พูดกับผู้ตอบปัญหาว่าทุกครั้งที่ปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จต้อง อุทศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร
     
  6. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    หนูกราบขออนุโมทนาในกุศลกรรมที่อาจารย์ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม และถ่ายทอดพระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ในแนวทางที่ถูกตรง เป็น ” ทางสายเอก ” ที่เป็นของจริงเข้าถึงซึ่งสัจธรรม สาธุ สาธุ ปัจจุบันหนูกำลังเดินเข้าสู่เส้นทางธรรม สิ่งที่รับรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เป็นอนิจจัง สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ และท้ายสุดมันก็เป็นอนัตตา รู้ด้วยความเป็นจริง ของจริง มนุษย์ขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยกิเลส หากทุกชีวิตขับเคลื่อนทุกอย่างด้วยคุณธรรม จริยธรรม มีศีล5คุ้มครองใจและอื่นๆที่เป็นกุศลกรรม สังคมโลกปัจจุบันคงไม่เป็นเฉกเช่นนี้ พร้อมนี้หนูใคร่รบกวนถามอาจารย์ค่ะ

    1. หลานของหนูปัจจุบันอายุ 3ขวบครึ่ง ยังพูดไม่ได้มีโลกส่วนตน คุณหมอบอกว่าเป็นออทิสติกแบบหนึ่ง สามารถรักษาหายได้ เป็นเพราะวิบากกรรมใดหรือค่ะ

    2. หนูเป็นเสาหลักของครอบครัวปัจจุบัน มีภาระค่าใช้จ่ายทางโลกตามเหตุปัจจัย เช่น เงินเดือนประจำสำหรับคุณพ่อ-คุณแม่ , ค่าเทอมลูก และอื่นๆ ซึ่ง “ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ” เนื่องด้วยมนุษย์เกิดมามีกรรมเป็นตัวกำหนด มีกรรมเป็นพวกพ้อง มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ฯลฯ เราจะอยู่เหนือโลกได้อย่างไร พระธรรมคำสั่งสอนของพุทธองค์ซิเป็นของจริง บางครั้งก็นึกท้อในวิบาก กรรมของตนเอง แต่ต้องนำสติปัญญา ประคองตนเอง และพิจารณาสามี ลูก เป็นครูบาอาจารย์ของตนเอง ว่าเราจะผ่านบททดสอบนี้ได้หรือไม่ ไม่ต้องไปเพ่งโทษใคร ตัวเราเองรู้จักตัวตนของเราแล้วหรือยัง (ปัจจัตตัง) คงจะต้องพิจารณาและรับกับบททดสอบทุกอย่างด้วยจิตที่สงบนิ่งยอมรับกับวิบาก กรรมนี้ไปตราบกายดับ แต่คงจิตที่เป็นจิตอิสระ จิตเป็นพุทธะไว้ เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นความดีงาม เนื่องด้วยทำให้เราได้พบพระพุทธองค์ พบกัลยาณมิตรในทางธรรม พัฒนาตนเองจนเกิดดวงตาเห็นธรรม มีความสว่างทั้งทางโลก ทางธรรม ตราบเข้าสู่พระนิพพานในปัจุจุบันชาติ สาธุ

    คำถาม ; ต้องทำตนอย่างไร ถึงจะมีเหตุที่ถูกตรง ให้สามีได้มีสัมมาอาชีพ ที่สามารถช่วยกันประคับประคองครอบครัวให้ถึงพร้อมซึ่งความดีอยู่กันอย่างร่ม เย็นเป็นสุข ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย อุปสรรคใดๆ

    ทุกวันนี้ หลังจากปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ 30 นาที หนูก็อุทิศบุญกุศลนี้แก่เทวดาที่ดูแลตน , แผ่เมตตาให้กับตนเอง และทุกสรรพสิ่งที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น และ อธิษฐานจิตให้ตนถึงพร้อมด้วยอริยทรัพย์ ทรัพย์ภายใน พร้อมทั้งเกิดดวงตาเห็นธรรม ตราบเข้าสูพระนิพพานในปัจจุบันชาติ สาธุ

    ตนเตือนตนคงจะเป็นสิ่งที่ดี คิดเห็นให้เป็นสัมมาทิฎฐิ เกิดดับ ตามกฎของ “ ไตรลักษณ์ ”

    ท้ายนี้ ขออำนาจคุณ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอความปรารถนาของอาจารย์จงสำเร็จลุล่วงสมดังเจตนารมณ์กุศลกรรมใดที่อาจารย์ ได้สั่งสมมาขอเป็นพลวปัจจัยให้อาจารย์เข้าสู่เส้นทางพระนิพพานในปัจจุบัน ชาตินี้ด้วยเทอญ สาธุ


    คำตอบ
    (1) วิบากกรรมที่เกิดขึ้นกับหลานเป็นเพราะหลานได้ประกอบอกุศลกรรมไว้ก่อนด้วย ประพฤติทุศีลข้อแรก

    (2) ต้องพัฒนาจิตของผู้ถามปัญหาให้มีศีลมีธรรมคุมใจและให้มีบุญ(บุญกิริยาวัตถุ 10) อยู่กับใจให้ได้ทุกขณะตื่น เมื่อใดแรงบุญส่งผลโอกาสที่สามีศรัทธาและหันมาประพฤติธรรมย่อมมีได้
     
  7. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    สังฆทานเวียน หมายความว่า วัดที่จัดถังสังฆทานไว้ให้ญาติโยมร่วมทำบุญ โดยการหยอดเงินใส่ตู้ตามกำลังศรัทธา หรือบางวัดให้ซื้อคูปองกับเจ้าหน้าที่ โดยมีหลายราคา แล้วเอาคูปองไปแลกเอาถังสังฆทานพร้อมพระพุทธรูปกับเจ้าหน้าที่อีกพวกหนึ่ง เสร็จแล้วก็นำไปถวายพระสงฆ์ การกระทำแบบนี้ดิฉันฟังรายการวิทยุ มีคนถามอาจารย์ท่านนั้นว่าทำอย่างนี้จะได้บุญไหม สมควรทำไหม อาจารย์ท่านนั้นตอบว่าไม่แนะนำให้ทำ เพราะเป็นการส่งเสริมให้วัดนั้นๆ ทำผิดวัตถุประสงค์

    ดิฉันศรัทธาท่านอาจารย์ดร.สนองมาก จึงอยากเรียนถามท่านอาจารย์ในคำถามเดียวกันข้างต้น โปรดเมตตาให้ปัญญากับดิฉันด้วย

    คำตอบ
    ผิดจุดประสงค์ของอาจารย์ท่านที่ตอบว่า “ ไม่แนะนำให้ทำ ” แต่ถูกจุดประสงค์ของพระที่อยู่ในวัดที่จัดให้มีการถวายสังฆทานตามที่บอกเล่า ไป

    เมื่อยกปัญหานี้มาถามให้ผู้ตอบปัญหาได้เฉลย ผู้ถามปัญหาเฉลยว่า ผู้ใดไม่ศรัทธาประพฤติ “ สังฆทานเวียน ” ก็ไม่ต้องทำ แต่ให้ข้อคิดว่า ก่อนถวายสังฆทานต้องศรัทธา ขณะถวายสังฆทานต้องตั้งใจถวายสังฆทานแล้วสบายใจ หากปัจจัยทั้งสามเป็นไปในแนวทางเช่นนี้การถวายสังฆทานนั้นจะให้อานิสงส์ของ บุญเกิดขึ้นฝ่ายเดียวไม่มีบาปเจือปน
     
  8. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ในสังคมปัจจุบันที่คนไทย ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพล ตะวันตก ทำให้ค่านิยมในการรักงวนสงวนตัวนั้น เรียกว่า เกือบจะหายไปในสังคมไปแล้วกระผมอยากจะเรียนถาม อาจารย์ดังต่อไปนีครับ

    1. หากหนุ่มสาวที่ได้มีความ สัมพันธ์ลึกซึ้งโดยพ่อแม่ ไม่ได้รับรู้ ภายหลังต่อมา ได้มาแต่งงานกันโดยได้รับความเห็นชอบจากพ่อแม่ ทั้งสองฝ่าย การที่เคยมีความสัมพันธ์ ลึกซึ้งก่อนแต่งงานโดยที่พ่อแม่ไม่ได้รับรู้นั้น ยังถือว่าเป็นการผิดศีลข้อกาเมฯ อีกหรือไม่ครับ?

    2. จากข้อหนึ่ง หากว่า เป็นการละเมิดศีลฯ ผู้เป็นลูกต้องขอขมาต่อพ่อ แม่ ด้วยหรือไม่? พวกเขาควรมีข้อปฏิบัติอย่างไรครับ?

    3. จากข้อหนึ่ง หากพ่อแม่ของฝ่ายชายไม่ได้สนใจว่า ลูกชายจะไปมีความสัมพันธ์กับใคร เนื่องจากถือว่าเป็นลูกชาย ไม่ได้เสียหายอะไร อยางนี้ชายดังกล่าวจะ ถือว่าผิดศีลข้อกาเมฯหรือ ไม่ครับ?

    ผมเห็นว่าคนปัจจุบันนี้ ผิดศีลข้อสามกันมาก และ ประสงค์ให้ผู้อ่านคนอื่นๆได้รับรู้สิ่งที่ถูกต้องจากผู้รู้เลยขอความกรุณา อาจารย์โปรดให้คำชี้แนะด้วยครับ? ธรรมทานนี้ผมขอถวายแด่ เจ้ากรรมนายเวร และเทวดาที่รักษาตัว

    หากผมได้เคยล่วงเกินท่านอาจารย์ ด้วย กาย วาจา ใจ ผมขอโอกาสนี้ขอขมาต่ออาจารย์ ขอท่านอาจารย์ โปรดอโหสิกรรมด้วยครับ

    คำตอบ
    (1) ถือว่าผิดศีล และบาปที่เคยก่อไว้นั้นยังคงเก็บบันทึกไว้ในดวงจิต

    (2) หากบุคคลทั้งสองไปสารภาพความผิดกับพ่อแม่ที่เคยประพฤติละเมิดศีลข้อ 3 มากก่อนแต่งงาน เมื่อพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายทราบแล้วไม่ถือโทษและยกโทษให้ เป็นอันว่าโทษนั้นยกเลิกกันไป และต้องไม่ประพฤติเช่นนั้นกับบุคคลอื่นอีก

    (3) ยังถือว่าประพฤติทุศีล เหตุที่พ่อแม่ฝ่ายชายไม่สนใจเพราะมีจิตถูกโมหะเข้าครอบงำ หากบุคคลทั้งสองเห็นว่า เป็นลูกผู้ชายไม่ได้เสียหายอะไร แสดงว่าบุคคลทั้งสองยังมีความเห็นผิด ขอยกตัวอย่างเล่าให้ฟังเพื่อเป็นเครื่องประกอบการพิจารณาว่า อดีตของพระอานนท์และอดีตของอิสิทาสีภิกษุณี เคยเกิดเป็นผู้ชาย ทั้งสองเคยประพฤติละเมิดศีลข้อ 3 มาก่อนเมื่ออกุศลกรรมให้ผล บุคคลทั้งสองจึงต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรกยาวนาน

    สุดท้ายกรรมที่เป็นเวร หากผู้ถามปัญหาและผู้ตอบปัญหาเคยมีต่อกันยกโทษให้แล้ว
     
  9. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ตอนนี้หนูรู้สึกหนักใจและจิตตกมากกับเรื่องที่บ้าน เพราะคุณพ่อก่อหนี้สินไว้จำนวนมาก (แบบทั้งที่เรารู้และไม่รู้) และไม่สามารถชดใช้ได้ อาจจะต้องขายบ้านและทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งคุณแม่ทำใจไม่ได้และเสียใจมาก ในฐานะที่เป็นลูกเห็นพ่อแม่เป็นทุกข์แล้ว ก็รู้สึกทุกข์มากเช่นกันแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะหากจะเข้าไปรับภาระหนี้ดังกล่าวไม่ว่าจะบางส่วนหรือทั้งหมด ก็จะทำให้ต้องทำงานใช้หนี้ไปอีก 30 -40 ปี และสูญเสียชีวิตและอนาคตส่วนตัวไป โดยส่วนตัวแล้วใช้ชีวิตอย่างพอเพียง เรียบง่ายสบายใจและมีความสุขมาก และอยากใช้ชีวิตอย่างนี้ตลอดไป จึงรู้สึกลำบากใจมาก และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ตอนนี้พยายามทำดีที่สุด (แบบที่ตัวเองไม่ต้องเป็นหนี้ด้วย) โดยรับภาระเรื่องค่าใช้จ่ายในบ้าน และประกันสุขภาพของคุณแม่

    หนูรบกวนขอแสงสว่างจากอาจารย์เป็นข้อๆดังนี้ค่ะ
    - ขอบเขตของความกตัญญูที่ลูกคนนึงพึงจะทดแทนคุณพ่อแม่ควรจะอยู่ตรงไหนคะ
    - หากสุดท้ายต้องขายบ้านแล้ว และหนูจะย้ายไปอยู่เองเพื่อไปมีชีวิตของตัวเองซักที แต่จะส่งเงินให้คุณแม่ใช้แต่ละเดือน จะถือว่าอกตัญญู เอาตัวรอดมั๊ยคะ (ตั้งแต่จำความได้ แม่ก็ทะเลาะกับพ่อมาตลอดทั้งเรื่องผู้หญิงและการเงิน จนลูกๆ ปลงและเหนื่อยมากแล้วกับเรื่องของทั้งสองคน)
    - หนูสงสัยว่าหากชาตินี้เรามีจิตใจที่ดี แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่ชาติปางก่อนเราอาจจะเป็นคนไม่ดีหรือมีจิตใจไม่มีมา ก่อน
    - ครั้งหนึ่งที่บ้านเคยต้องตัดสินใจให้คุณหมอฉีดยาให้หมาที่เลี้ยงไว้ไปดี คุณหมอแนะนำเพราะไม่อยากให้มันทรมาน ทุกคนยังรู้สึกผิดและบาปอยู่เสมอเพราะเป็นคนรักสัตว์มาก เราควรจะทำบุญหรือแก้กรรมนี้อย่างไร
    - หนูเชื่อว่าหนูมีคู่สร้างกันมาแต่ปางหลัง และคิดว่าจะได้พบกันไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง คิดอย่างนี้ผิดไหมคะ

    สุดท้ายนี้หนูต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่กรุณาตอบข้อคำถามทั้ง หมดที่สงสัยมานาน เป็นแสงสว่างนำทางกับชีวิต

    กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

    คำตอบ
    ขอบเขตของความกตัญญู ที่ผู้เป็นลูกควรต้องมีต่อพ่อแม่ผู้เป็นบุพการี คือการประพฤติจริยธรรมของลูกที่ดีที่ต้องปฏิบัติต่อพ่อแม่ อาทิ พ่อแม่เลี้ยงดูลูกมาก่อนลูกต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ตอบแทนช่วยพ่อแม่ทำงาน เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า รีดผ้าหรือธุรกิจอื่นใดของพ่อแม่ที่ลูกสามารถทำได้ต้องทำแทนก่อน ไม่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจด้วยการโต้เถียงโต้แย้ง หรือสั่งสอนพ่อแม่โดยท่านยังมิได้เอ่ยปากให้สอนไม่ดื้อพ่อแม่หากท่านประพฤติ ถูกตามธรรมลูกต้องปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ไม่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงถึงวงศ์ตระกูล เป็นธุระดูแลพ่อแม่ในยามเจ็บไข้ ต้องนำส่งให้หมอรักษาฯลฯ

    สัตว์โลกมีกรรมทั้งดีและไม่ดีเป็นของตัว เมื่อใดที่กรรมให้ผลวิบาก ผู้ทำกรรมต้องได้รับผลแห่งวิบากนั้น ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาจำเป็นต้องออกไปมีชีวิตลำพังเป็นส่วนในตัว ก็เนื่องมาจากเหตุที่เคยก่อไว้นั่นเอง ความคิดที่จะส่งเสียเลี้ยงดูแม่ เป็นความคิดของคนที่มีความกตัญญูเขามีกัน ผู้ใดมีความกตัญญูต่อผู้มีคุณ ผู้นั้นมีความเจริญทั้งในชีวิต และในกิจการงานที่ทำแน่นอน

    คำตอบมีอยู่แล้ว ในตัวอย่างที่ยกมาแสดงไว้ในข้อ 937 (3) (3. ยังถือว่าประพฤติทุศีล เหตุที่พ่อแม่ฝ่ายชายไม่สนใจเพราะมีจิตถูกโมหะเข้าครอบงำ หากบุคคลทั้งสองเห็นว่า เป็นลูกผู้ชายไม่ได้เสียหายอะไร แสดงว่าบุคคลทั้งสองยังมีความเห็นผิด ขอยกตัวอย่างเล่าให้ฟังเพื่อเป็นเครื่องประกอบการพิจารณาว่า อดีตของพระอานนท์และอดีตของอิสิทาสีภิกษุณี เคยเกิดเป็นผู้ชาย ทั้งสองเคยประพฤติละเมิดศีลข้อ 3 มาก่อนเมื่ออกุศลกรรมให้ผล บุคคลทั้งสองจึงต้องลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในนรกยาวนาน)

    ยังรู้สึกผิดและบาปอยู่เสมอ นั่นเป็นเครื่องบ่งบอกว่าสติได้ระลึกรู้ในจิตสำนึก ที่ตนเองได้เก็บบันทึกข้อมูลที่เป็นบาปกรรมไว้ และไม่มีใครสามารถแก้กรรมได้สักคน พระพุทธโคดม พระมหาโมคคัลลานะ พระองคุลีมาล ฯลฯ แม้จะบรรลุอรหัตตผลแล้ว ยังต้องชดใช้หนี้เวรกรรมเก่าที่เคยก่อไว้แต่อดีต ฉะนั้นหากกรรมเวรที่เคยก่อไว้ร่วมกันกับผู้ฉีดยาสุนัขให้ตาย ตามมาทันเมื่อใดต้องชดใช้หนี้กรรมเวรจนกว่าจะหมดสิ้น หากกรรมเวรยังไม่ให้ผล ต้องทำบุญใหญ่เช่นปฏิบัติกรรมฐานแล้วอุทิศบุญส่งให้กับผู้เป็นเจ้ากรรมนาย เวรอยู่เสมอ หรือประพฤติดีทุกขณะตื่นเพื่อให้บุญมีมากกว่าบาปแล้วบาปตามให้ผลไม่ทัน และดีที่สุดคือพัฒนาจิตวิญญาณของตนเองจนสามารถดับรูปดับนามเข้านิพพานไม่ ต้องกลับมาเวียนเกิดเวียนตายในวัฏสงสารอีก กรรมเวรทั้งหมดที่เหลืออยู่ไม่สามารถติดตามทวงหนี้ได้ จะยกเป็นอโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกัน

    คิดถูกทางโลก แต่คิดผิดทางธรรม เพราะเป้าหมายสูงสุดของธรรมอยู่ที่สอนมนุษย์และเทวดา ให้ทำใจเป็นอิสระต่อโลกธรรม วัตถุ กิเลส ตัณหา อุปาทานฯลฯ
     
  10. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เมื่อมีพระ หรือคณะคนมาขอเรี่ยไรเงินทำบุญ ตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย, ร้านอาหาร, ร้านค้า หรือตามที่สาธารณะทั่วไป แล้วเขาบอกว่าให้เราช่วยทำบุญบริจาคเงินเพื่อสร้างโบสถ์ ทำบุญทอดผ้าป่าทอดกฐิน บริจาคโลงศพ แต่เราไม่แน่ใจว่าเงินที่เราจะให้ไปนั้น พวกเขาได้เอาไปทำบุญ หรือช่วยวัดจริงหรือเปล่า, เป็นพระปลอมหรือพระจริง เราควรจะทำอย่างไรดีคะ และเราควรพูดตอบเขาว่าอย่างไรคะ

    คำตอบ
    ผู้รู้มีคติในการทำบุญว่า ก่อนทำบุญต้องมีศรัทธาขณะทำบุญต้องมีความตั้งใจ ทำบุญแล้วต้องมีความสบายใจ ฉะนั้นผู้ถามปัญหาต้องตัดสินใจด้วยตัวเองให้ได้ก่อนว่า มีศรัทธาที่จะทำบุญไหม หากไม่ศรัทธาผู้ที่มาเรี่ยไรแต่ยังมีศรัทธาในการทำบุญก็พูดออกไปตรง ๆ ว่าจะไปทำเองที่วัด..
     
  11. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันอยากทราบประวัติในการถวายผ้าที่ทอแล้วเย็บเป็นตาราง1,000ชิ้นให้ เป็นผืนเดียวแล้วมีหญิงผู้หนึ่งทำไปถวายพระพุทธเจ้าในสมัยพระพุทธกาลแล้ว เป็นกุศลในการแก้กรรมที่หนัก อยากทราบประวัติของหญิงผู้นี้ และคำถวายผ้าพร้อมอานิสงค์ของการถวายผ้าดังกล่าว


    คำตอบ
    ผู้ตอบปัญหาไม่เคยได้ยินว่า มีผู้ทอผ้า 1,000 ชิ้น แล้วนำมาเย็บรวมเข้าเป็นผืนเดียวกันลักษณะเป็นตาราง แล้วนำถวายพระพุทธเจ้า

    แต่เคยได้รู้ว่า มีหญิงผู้หนึ่งนำฝ้ายมาจากตลาด นำมากรอเป็นเส้นด้ายละเอียด ให้ช่างศิลป์ทั้งหลายช่วยกันทอผ้าโดยตัวเองเข้าร่วมด้วย เมื่อทอเป็นผืนแล้วเสร็จ ได้นำผ้าคู่นั้นไปทูลพระราชา แล้วกล่าวว่า “ หม่อมฉันนำผ้าคู่นี้ไปถวายแก่บุตรของเรา ” พระราชาเห็นด้วยจึงสั่งให้เตรียมเสด็จไปยังวิหารนิโครธาราม หญิงผู้นั้นคือพระประชาบดีโคตรมี มเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พระนางตรัสว่า “ ผ้าคู่นี้หม่อมฉันกรอเองทอเองตั้งใจนำมาถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ” พระศาสดาตรัสว่า “ ดูก่อนโคตรมี พระนางจงถวายผ้านี้แด่สงฆ์เถิด ” ตรัสซ้ำอย่างนี้ถึงสามครั้ง พระนางฯจึงได้ถวายแล้วพระพุทธะยังได้ตรัสต่อไปว่า “ ถวายแด่สงฆ์แล้ว จักถือได้ว่าพระนางได้บูชาหมู่สงฆ์ บุญที่เกิดขึ้นทั้งสองจักรวมเป็นหนึ่งเดียว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดไปแก่พระนาง ” พระพุทธะมิได้ตรัสว่า การถวายผ้านั้นสามารถแก้กรรมที่หนักได้ ตรัสแต่เพียงว่าเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขเท่านั้น

    ส่วนประวัติของพระนางปชาบดีโคตรมี โปรดหาอ่านจากประวัติของพระพุทธเจ้าก็ได้เพราะข้องเกี่ยวกัน..
    สุดท้ายอย่าพึงปลงใจเชื่อว่าสิ่งที่บอกเล่ามานี้ถูกต้อง ตามหลักกาลามสูตรที่พระพุทธะมอบไว้แก่ชาวกาลามะ
     
  12. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    อยากเรียนถามว่าทุกครั้งที่ดิฉันตั้งใจภาวนาทำอย่างเต็มที่นั้น พอตกกลางคืน ก็จะฝันถึงแต่ว่าได้กราบพระ หรือไม่ก็ฝันเห็นคนใช้ชุดขาวภาวนากัน หรือไม่บ้างครั้งก็จะมีการสอนภาวนาด้วย ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไรค่ะ

    ขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    เพราะจิตมีการเปลี่ยนคลื่นความถี่จากคลื่นปกติ ไปเป็นคลื่นความถี่ที่ทำให้เกิดเป็นนิมิตขึ้นที่ใจของผู้เจริญกรรมฐาน ภาพที่เห็นเป็นนิมิตที่ยังเป็นสิ่งขัดขวางการเกิดของวิปัสสนาญาณที่จะนำมา ใช้ในการดูสรรพสิ่งที่เข้าสัมผัสจิต ไม่ให้เข้าถึงความจริงแท้ของสิ่งที่ถูกเห็น วิธีแก้ปัญหานี้ต้องเจริญสติให้มากยิ่งขึ้น แล้วภาพนิมิตจะไม่ปรากฏให้เกิดขึ้นได้อีก
     
  13. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. การที่เราปฏิบัติเพียงศีล 5 ในชีวิตประจำคิดเพียงว่าไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แต่ไม่สนใจการพัฒนาจิตคือวิปัสสนากรรมฐานให้รู้แจ้งเห็นจริง หนูสงสัยว่าเพียงการปฎิบัติเหล่านี้จะสามารถช่วยให้เราออกจากวัฎฎสงสารและ กลายเป็นอริยะบุคคลได้หรือไม่คะ

    2. เรื่องราวปาฏิหาริย์ต่าง ๆที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเช่น สามารถเดินได้ 7 ก้าวและมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ เรื่องนี้มีคนบางกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นพระ หรือบุคคลธรรมดาบอกว่าเป็นเพียงปริศนาธรรมเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งการที่มีผู้แสดงความคิดเห็นอย่างนี้ออกมานั้นทำให้ผู้อื่นคล้อยตามไป ด้วย
    หนูจึงอยากถามอาจารย์ว่า เรื่องราวปาฏิหาริย์ต่างๆที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องจริงหรือเป็น เพียงปริศนาธรรมคะ ?
    เพราะตัวหนูเองมีความเชื่อว่า หากเราสามารถพิจารณาจิตให้ถึงขั้นก็สามารถพิสูจน์รู้เห็นได้เองและหนูก็คิด ว่าเป็นเรื่องจริง
    ตอนนี้บุคคลที่หนูเคารพรัก ท่านค่อนข้างจะเชื่อไปในทางว่าเป็นปริศนาธรรม(จากการที่ท่านอ่านหนังสือ ) ความเชื่อของท่านทำให้หนูรู้สึกไม่สบายใจเกรงว่าความเชื่อของท่านนั้นจะเป็น การปรามาสพระพุทธองค์โดยไม่ตั้งใจ และการทีท่านมีความเชื่อเช่นนี้ทำให้หนูพาลคิดไม่ดีบุคคลที่มีอิทธิพลต่อ ความคิดอย่างนี้ของท่านด้วย หนูรู้สึกอึดอัดมากไม่รู้จะทำอย่างไรจะอธิบายให้ท่านฟังอย่างไรดีคะ ขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ

    3. อาจารย์คะ หนูอยากทราบว่าหากเราฝึกปฎิบัติจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิและได้อภิญญาแล้ว เราสามารถจะรู้เรื่องราวของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในสมัยพุทธกาลได้ใช่ มั้ยคะ แล้วจะแยกแยะได้อย่างไรว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงหรือจิตเราปรุงแต่งขึ้น มาเอง

    ท้ายนี้หนูขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ทำให้หนูมีสัมมาทิฐิในทางธรรมและขออนุโมทนา บุญกับอาจารย์ด้วยค่ะ

    *** กราบขอมาอาจารย์ด้วยนะคะ หากหนูและบุคคลรอบข้างได้ลบหลู่อาจารย์ทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ

    คำตอบ
    (1) การนำพาชีวิตให้พ้นไปจากวัฏสงสารต้องใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดสังโยชน์ทั้งสิบตัวให้หมดไปจากใจได้เมื่อไร โอกาสที่รูปดับ นามดับ (นิพพาน) จึงจะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นเพียงมีศีล 5 เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้กิเลสดังกล่าวหมดไปจากใจได้ แต่ศีลเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ศีลจึงเป็นเพียงต้นทางที่นำจิตเข้าสู่ภาวะนิพพาน ดังคำบาลีว่า สีเลนะ นิพพุติง ยันติ...

    (2) พลังของบุญบารมีที่บุคคลสร้างและสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณสามารถบันดาลให้สิ่ง ต่าง ๆ ปรากฏขึ้นกับชีวิตได้ ดังตัวอย่างอุบลวรรณาลุกลเศรษฐีชาวเมืองสาวัตถี ผู้มีผิวพรรณงามเหมือนดอกอุบล เป็นคนสวยคนงามที่มาเกิดอยู่ในครั้งพุทธกาล ได้บวชเป็นภิกษุณีบรรลุอรหัตตผลมีความชำนาญในกสิณไฟและเป็นผู้มีฤทธิ์ยอด เยี่ยม ในอดีตชาติครั้งหนึ่ง ได้ไปเกิดเป็นเทพนารีอยู่ในดาวดึงส์สวรรค์ จะโคจรไปยังที่แห่งใดจะมีดอกบัวรองรับทุกย่างก้าวนับแต่ได้เกิดเป็นนางฟ้า หลังจากนั้นได้ลงมาเกิดอยู่ในภพมนุษย์ ก็เกิดในดอกบังและเมื่อเจริญวัยขึ้นจะเดินไปไหนมาไหนจะมีดอกบังรองรับทุก ย่างก้าว

    เรื่องที่บอกเล่าให้ฟังนี้ อุบลวรรณาเป็นเพียงพุทธสาวิกา ยังบันดาลให้เป็นเช่นนั้นได้ นับประสาอะไรกับสิทธัตถะกุมาร ผู้สร้างและสั่งสมบุญบารมีมายาวนานถึงยี่สิบอสงไขยกับอีกหนึ่งแสนมหากัปจะ ปรากฏการณ์ดังที่ถามไปมิได้เล่า เรื่องที่บอกเล่ามานี้อย่าพึงปลงใจเชื่อ ตามหลักของกาลามสูตรที่พระพุทธะได้มอบไว้ให้ชาวกาลามะ ซึ่งผู้ตอบปัญหาก็มิได้เชื่อด้วยตำราหรือคัมภีร์บอกไว้เช่นนั้น แต่เมื่อได้พัฒนาจิตจนเข้าถึงปัญญาสูงสุดทั้งฝ่ายที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระ ได้แล้วจึงประจักษ์แจ้งด้วยตัวเองว่า เรื่องที่ถามไปนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มิได้เป็นปริศนาธรรมตามที่ผู้มีปัญญาทางโลก (สุตมยปัญญาและจินตามยปัญญา) กล่าวอ้าง

    ผู้ใดเข้าถึงปัญญาสูงสุด (ภาวนามยปัญญา) ได้จะไม่เอาเวลาไปเสียให้กับการโต้แย้งโต้เถียงหรือบอกกล่าวให้ผู้มีปัญญา ทางโลกเห็นด้วยและคล้อยตามความเชื่อของตนดังที่ผู้มีการศึกษาด้านปริยัติ ประพฤติกัน

    (3) ผู้ใดปฏิบัติสมถภาวนาจนจิตเข้าถึงสมาธิระดับฌานได้แล้วอภิญญาโลกิยะทั้งห้า ตัวย่อมเกิดขึ้นหลังนำจิตออกจากฌาน

    ผู้ตอบปัญหาเคยทำประวัติพระนางจามเทวีปฐมกษัตริย์แห่งหริ ภุญไชยให้กับชาวลำพูน ก่อนที่อนุสาวรีย์ฯจะถูกประดิษฐานในเวลานั้นทุกสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยทิพ พจักขุ เมื่อขับรถไปดูสถานที่จริงที่หลงเหลือในหลักฐานอยู่ในปัจจุบัน ปรากฏว่ามีจริงเป็นจริงทุกเรื่องที่จิตสัมผัสได้
     
  14. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. ถ้าตั้งใจจะถือศีล 8 ในบางวันพระ โดยไม่ได้สมาทานศีล 8 ตั้งใจเอาเอง ในบางครั้งเป็นวันทำงาน ต้องมีการเดินทางและติดต่อกับคนอื่น ซึ่งบางครั้งก็ไปกระทบโดนเพศตรงข้ามโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างนี้ถือว่าศีลขาดมั้ยค่ะ
    หรือ บางวันก็ไม่สามารถรักษาได้ทั้งวัน เนื่องจากที่บ้านค่อนข้างแคบต้องอยู่กับสามีและเปิดทีวีทั้งวัน ก็มาเริ่มรักษาตั้งแต่เย็นจนตื่นเช้า (ไม่ครบหนึ่งวัน) อย่างนี้สามารถทำได้มั้ยค่ะ
    และจากทั้งสองแบบ อย่างนี้ดิฉันควรรักษาศึล 8 ดีมั้ยค่ะ

    2. คนที่รักษาศีล 5 กับ ศีล 8 ถ้ายังต้องเกิดอีก แบบไหนจะเกิดมามีหน้าตาผิวพรรณดีกว่าค่ะ

    3. ถ้าเราเคยน้อยใจพระสงฆองค์หนึ่ง เนื่องจากว่าต้องการได้รับคำแนะนำด้านการปฏิบัติธรรมจากท่าน แต่ไม่มีโอกาส ไม่สามารถเข้าไปถามได้เหมือนคนอื่นๆ หรือลูกศิษย์ใกล้ชิด ก็เลยน้อยใจท่าน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าบุญวาสนาของเราน้อยเอง แต่ตอนนี้มีความเข้าใจต่างๆ มากขึ้น ไม่น้อยใจแล้วค่ะ และยังเคารพศรัทธาท่านมากขึ้น อยากถามว่าที่น้อยใจพระสงฆ์จะมีโทษมั้ย และเนื่องจากไม่มีโอกาสจะได้กราบขอขมาจากท่าน เพียงแต่ระลึกอยู่ในใจว่า กราบขอขมาและขออโหสิกรรมที่เคยน้อยใจท่าน จะได้มั้ยค่ะ

    ขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    (1) คำว่า “ สมาทาน ” หมายถึง การรับเอามาปฏิบัติจะโดยวิธีทำใจให้มีศีลด้วยตัวเอง หรือไปขอให้พระสงฆ์บอกศีลให้แล้วนำมาปฏิบัติ ย่อมทำได้ผลเป็นเช่นเดียวกับ การถือศีล 8 ในวันทำงาน แล้วไปกระทบถูกเพศตรงข้ามโดยไม่ตั้งใจ และหากใจไม่ยึดเอาการถูกตัวถูกสัมผัสมาเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้นกับใจไม่ถือว่า ขาดศีล

    ส่วนการรักษาใจให้มีศีล 8 แม้จะรักษาได้ไม่ครบรอบวันแต่หากตั้งใจรักษาศีล 8 ให้มากเท่าที่ปฏิบัติได้ อย่างนี้มิได้ถือว่าศีลขาดตรงกันข้ามหากตั้งใจรักษาศีล 8 ให้ครบหนึ่งวันและปฏิบัติได้ไม่ครบวันอย่างนี้ถือว่าศีลขาด ฉะนั้นต้องเลือกเอาเองว่าจะอธิษฐานรักษาศีลเป็นแบบไหน

    (2) คำว่า “ หน้าตาดี ผิวพรรณดี ” ต้องตอบให้ได้ก่อนว่าดีของใคร ผู้รู้ไม่จริงเห็นว่า อัมพปาลีโสเภณีแห่งแคว้นวัชชี สวยงามด้วยมีสีผมดำสนิทเหมือนสีปีกแมลงภู่ มีคิ้วเรียงเหมือนจิตกรบรรจงวาดมีดวงตาดำขลับเป็นแววาว มีจมูกโด่งโค้งงามรับกับใบหน้า มีฟันขาวเรียบแน่นเรียงเหมือนผลกล้วยอ่อน ฯลฯ แต่ผู้รู้จริงเห็นว่า ความสวยงามของเรือนร่างอัมพปาลีเป็นเพียงภาพลวงตา ปรากฏขึ้นชั่วขณะเวลาหนึ่งของชีวิตในที่สุดเมื่ออายุของอัมปพาลีย่างเข้าสู่ วัยชรา ผมเปลี่ยนสีเป็นเหมือนเปลือกปอ คิ้วตาย้อย ดวงตาขุ่นมัว จมูกคดงอแลดูน่าเกลียด ฟันหักหลุดร่วงที่เหลือติดอยู่มีสีเหลืองฯลฯ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงมองว่า ศีล 5 เป็นเหตุนำสู่การเกิดในภพมนุษย์ ศีล 5 เป็นเหตุนำเกิดในภพสวรรค์ ดังนั้นผู้ทุศีลเช่นเปรต จึงมีรูปร่างอัปลักษณ์กว่ามนุษย์และผู้พัฒนาจิตจนเข้าถึงโลกิยอภิญญาได้จึง เห็นว่ามนุษย์ไม่สวยไปกว่าเทวดา เทวดาไม่สวยไปกว่าพรหมฯลฯ

    (3) ความน้อยใจเป็นบาป หากเกิดกับผู้ใดแล้ว ผู้นั้นมีบาปสะสมอยู่ในใจ เมื่อโอกาสไม่เปิดให้ผู้ถามปัญหาไปขอโทษได้จะใช้วิธีการตามที่เสนอมาหากทำ ให้ความน้อยใจอันตราธานหายไปจากใจได้วิธีการเช่นนั้นย่อมนำมาใช้ได้
     
  15. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ทุกข์เพราะไม่อยากพบและยุ่งเกี่ยวกับคน หรือบางสิ่งที่ไม่ชอบ แต่ก็มีความจำเป็นที่ต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ อย่างนี้เป็นเพราะกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต ใช่มั้ยค่ะ และเป็นกรรมอะไรค่ะ แล้วเราจะสามารถทำอย่างไรให้กรรมนี้เบาบางลงได้ และจะเอาสิ่งที่ไม่ชอบนี้มาเป็นอุบายในการพัฒนาจิตใจได้อย่างไรบ้างค่ะ

    ขอกราบขอบพระคุณมากค่ะ

    คำตอบ
    ตอบว่าใช่ เป็นอกุศลกรรมที่เคยทำไว้ก่อนกับคนที่อยู่แวดล้อม ผู้รู้นำเอาความไม่ชอบมาเป็นอุบายสร้างขันติบารมีให้กับตนเอง และหากประสงค์ให้ความไม่ชอบเบาบางลงหรือหมดไปจากใจได้ต้องเจริญเมตตาบารมี ให้เกิดขึ้น ด้วยการให้อภัยเป็นทานให้อภัยกับผู้ที่ทำให้เกิดเป็นความไม่ชอบอยู่เสมอ เมื่อใดที่เมตตาบารมีกำลังกล้าแข็งแล้ว ความรักความปรารถนาให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และมีความสุขจะเกิดขึ้นแทนที่ ความไม่ชอบจะหายไปในที่สุด..จงพิสูจน์ไปครับ
     
  16. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ปัจจุบันดิฉันประกอบอาชีพค้าขายอัญมณีส่วนตัว ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้อ่านหนังสือธรรมะรวมทั้งของอาจารย์ทุกเล่ม และได้ฝึกปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิวันละ 1 ชั่วโมงเกือบทุกวัน ยกเว้นบางวันที่อาจจะไม่มีเวลาก็ไม่ได้นั่งค่ะ ต่อมาช่วงนี้ได้ไปลงเรียนการจัดการระดับป.โท ซึ่งการเรียนระดับนี้ผู้เรียนต้องใช้ความคิดมากๆบางวิชาต้องคิดเสนอโครงการ ส่งอาจารย์ เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันบางคนคิดแบบอลังการมาก เมื่อเราเทียบกับเพื่อนโครงการเราจะ simple มากเลยค่ะ

    ทีนี้ปัญหาและคำถามของดิฉันก็เกิดขึ้นว่า
    1. จากที่ได้เข้าใจจากการอ่านหนังสือธรรมะและได้ฟังพระเทศน์ว่า โลกเรานี้ทุกอย่างเป็นโลก สมมติ ทีนี้พอเรียนไปได้สักช่วงหนี่งความคิดในการที่จะไปเรียนต่อ conflictกับความรู้ที่ได้จากธรรมะ ยกตัวอย่าง การฝึกนั่งสมาธิ ให้เรากลับมามองตัวเองหาธรรมชาติในตัวเอง ไม่คิดฟุ้ง แต่การไปเรียนต่อทำให้เราต้องคิดฟุ้ง ไม่เช่นนั้นการทำโครงการการวิจัยต่างๆก็ไม่ประสบความสำเร็จ อยากขอคำแนะนำจากอาจารย์ค่ะว่าดิฉันควรปฏิบัติเช่นไร

    2. เวลาที่เคยมีในการนั่งสมาธิ ช่วงหนึ่งได้หายไป เพราะการบ้านเยอะมากค่ะ อ้อ! ลืมบอกอาจารย์ไปค่ะว่าดิฉันมีความชอบในการศึกษาธรรมะค่ะ ชอบเปิดCDฟังพระเทศน์ในรถ ว่างก็จะอ่านหนังสือเกียวกับธรรมะเกือบทุกเล่มค่ะ vcdของอาจารย์ก็ดูเกือบทุกตอนค่ะ วันพระตอนเช้าจะนั่งสวดมนต์หลายบทค่ะ แต่จากที่เราไปเรียนทำให้เวลาในส่วนนี้ลดหายไปค่ะ บางครั้งก็สับสนกับความรู้สึกตัวเอง บางครั้งก็คิดว่าจะยกเลิกการเรียนเพราะในใจใฝ่ทางธรรมมากกว่าทางโลกค่ะ อยากให้อาจารย์แนะนำในจุดนี้ด้วยค่ะว่าควรมีวิธีการปฏิบัติตัวอย่างไร

    ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้คำแนะนำค่ะ

    คำตอบ
    (1) ควรตั้งความเห็นให้ถูกว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ร่วมและเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ดังนั้นยังมีความจำเป็นต้องพัฒนาปัญญาทางโลกอยู่เสมอ เพื่อนำความรู้ความสามารถที่พัฒนาได้มาทำงานให้กับสังคม แต่ต้องไม่ลืมว่ายังมีงานภายในให้ทำคือพัฒนาจิตตนเองให้เกิดปัญญาทางธรรม (ภาวนามยปัญญา) เพื่อใช้ส่องทางให้กับชีวิตดำเนินไปสู่ปรโลก ได้อย่างราบรื่นและปลอดจากภัยทั้งปวง

    (2) ชีวิตคือการทำงาน มีชีวิตย่อมต้องมีงานให้ทำหมดชีวิตก็หมดงานที่ต้องทำ ทุกคนได้เวลาในรอบหนึ่งวันมา 24 ชั่วโมงเท่ากัน งานที่ชีวิตต้องทำมีอยู่สองงาน คืองานภายนอกและงานภายในหากผู้ถามปัญหาเห็นได้ถูกตรงเช่นนี้แล้ว ผู้ถามปัญหาซึ่งเป็นเจ้าของชีวิตต้องตัดสินใจบริหารจัดการเรื่องเวลาให้กับ ชีวิตของตัวเองผู้รู้มิอาจก้าวล่วงเข้าไปบงการชีวิตของใครให้เป็นไปตามที่ตน เองต้องการได้ ผู้รู้จึงเป็นได้เพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น
     
  17. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ดิฉันได้รับ ซีดี ของท่านอาจารย์มา ก็เอามาเปิดฟังที่ร้านค่ะ ฟังไปเรื่อย ๆ ฟังซ้ำ บ่อย ๆ ก็จะได้ ข้อธรรม แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง พอมีลูกค้าเข้ามาซื้อของ ยืนฟังแล้วเกิดศรัทธา อยากได้ไปฟังบ้าง ดิฉันก็จะไรท์ ให้แผ่นแจกไปค่ะ ทราบดีว่าไม่ควรทำไปก่อนจะขออนุญาติ จีงเรียนมาเพื่อ ขออโหสิกรรม และขออนุญาติจากท่านอาจารย์ค่ะ

    1. ดิฉันเป็นคนมีจิตฟุ้งซ่าน เวลาทำสมาธิ จะรวมจิตได้ไม่นาน แล้วในบางครั้งโดยเฉพาะ ช่วงนี้พอนั่งสมาธิเสร็จแผ่ส่วนกุศล นอนไม่หลับค่ะ ถึงเคลิ้มไป จิตก็จะสะดุ้งดึงกลับมาพองยุบอีก เวลาเหมือนจะหลับก็จะรู้สึกตัว ขยับก็รู้สึกตัว เพราะเหตุใดค่ะ ดิฉันจะประสบปัญหาแบบนี้ เป็นช่วง ๆ ค่ะบางครั้งทำสมาธิ สวดมนต์ ก็หลับง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ

    2.ช่วงนี้ดิฉันมีปัญหา เมื่อพบเห็นผู้ทรงศีล มีคุณธรรม ทำไมจิตมันไพล่ไปเห็นเครื่องเพศหญิง ไม่เข้าใจค่ะ เป็นบ่อยเป็นมาก จนรู้สึกเครียดกลัวอกุศลกรรม ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจไปคิดเลย เกิดจากอะไรคะเพิ่งเป็นเมื่อไม่นานมานี้ค่ะ ดิฉันควรแก้ไขอย่างไรดีค่ะ
    รบกวนท่านอาจารย์ ชี้แนะทางสว่างด้วยเถิดค่ะ โดยเฉพาะข้อสองทำให้ดิฉันกลัวบาปมากเลยค่ะ
    ขออนุโทนาในกุศลธรรมที่อาจาย์เผยแพร่ พระธรรม และขอให้ท่าน อาจารย์ มีสุขภาพแข็งแรง ค่ะ

    สาธุ

    คำตอบ
    (1) ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะกำลังของสติอ่อนวิธีแก้ปัญหาต้องทำใจให้มีศีล 5 คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น แล้วเจริญสติภาวนาด้วยการเปลี่ยนมาใช้อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าว่า “ พุท ” ลมหายใจออกว่า “ โธ ” แทนการกำหนด “ พองหนอ-ยุบหนอ ” ปฏิบัติทุกครั้งที่นึกได้ปฏิบัติทุกครั้งที่ว่างจากงานภายนอก หลังปฏิบัติแล้วเสร็จในรอบวัน ต้องอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทำให้ได้ดังคำชี้แนะไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งปัญหาที่เกิดขึ้นก็จะหมดไป

    (2) เรื่องที่บอกเล่าไปเป็นอกุศลวิบาก ที่เกิดจากการมีจิตคิดลวนลามผู้ทรงศีลทรงธรรมาแต่อดีต ปัญหาเช่นนี้จะผ่านพ้นได้ต้องขอขมากรรมต่อพระอริยเจ้าทุกองค์ที่ตนเองเข้าไป สนทนาด้วย ให้ท่านกล่าววาจาอโหสิให้
     
  18. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    1. พระโสดาบันมีศีล 5 บริบูรณ์อัตโนมัติ แต่ก็ยังมีอารมณ์ โลภ โกรธ หลง ใช่มั้ยคะ แล้วศีล 5 บริบูรณ์อัตโนมัติเป็นอย่างไรคะ

    2. พระโสดาบันยังแสดงความโกรธ ความโมโห ทางกาย วาจา เช่น ตีโต๊ะหรือโยนของเวลาโกรธ พูดจาด้วยน้ำเสียงที่โมโห แสดงสีหน้าไม่พอใจ พูดจาหยอกล้อ พูดเล่น ให้ผู้อื่นเห็นได้หรือเปล่าคะ

    3. เราจะสังเกตพระโสดาบันที่เป็นฆราวาสได้อย่างไรคะ เพื่อจะได้สำรวมระวัง ไม่เผลอไปก่อบาปกรรม ทางกาย วาจา ใจ

    ถ้ามีกรรมใดที่ดิฉันเคยล่วงเกินท่านอาจารย์ จะด้วย กาย วาจา ใจก็ดี ดิฉันขอกราบขมาต่อท่านอาจารย์ และขอท่านอาจารย์ได้โปรดอโหสิกรรมให้ดิฉันด้วยค่ะ

    กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ

    คำตอบ
    (1) คำว่า “ โลภ ” หมายถึงอยากได้ไม่รู้จักพอ คำว่า “ โกรธ ” หมายถึงไม่พอใจอย่างแรง คำว่า “ หลง ” หมายถึง ไม่รู้ตามความเป็นจริง (อวิชชา)

    อารมณ์สองอย่างแรก ไม่เกิดขึ้นกับจิตวิญญาณของพระโสดาบันส่วนอารมณ์หลง (อวิชชา) ยังมีอยู่

    คำว่าศีล 5 บริบูรณ์อัตโนมัติ ตามคำของผู้ถามปัญหา หมายถึงศีล 5 ที่ไม่เศร้าหมอง ไม่มีกิเลสเจือปน และมีอยู่กับใจครบบริบูรณ์ทุกขณะตื่น

    (2) พระโสดาบันตามปกติแล้วไม่มีพฤติกรรมดังที่เขียนถามไปแต่หากพระโสดาบัน ประสงค์จะทดสอบสภาวะจิตของผู้เสวนาด้วย อาจแสดงพฤติกรรมดังกล่าวให้สัมผัสด้วยระบบประสาทได้

    (3)พระโสดาบัน มีศีลบริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น มีจิตเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย มีสติคุมอิริยาบถ มีจิตเป็นอิสระต่อกาย เป็นอิสระต่อเวทนา เป็นอิสระต่อโลกธรรมและวัตถุ ฯลฯ เหล่านี้จะแสดงออกให้เห็นทางพฤติกรรม

    ในครั้งพุทธกาล พระมหาโมคคัลลานะ เข้าฌานแล้วถอดจิตไปสู่พรหมโลกชั้นที่สาม ได้ไปพบติสสมหาพรหมและได้สนทนากัน

    พระมหาโมคคัลลานะ “ จะรู้ได้อย่างไรวา เทวดาองค์ไหนเป็นโสดาบัน ”

    ติสสมหาพรหม “ เทวดาองค์ใด เลื่อมใสและไม่หวั่นไหวในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ผู้อริยะ และมีศีลที่พระอริยเจ้าพอใจนั่นคือเทวดาโสดาบัน "
     
  19. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    ในสถานการณ์บ้านเมืองที่มีการประท้วง และเหตุการณ์วุ่นวาย นอกจากไม่เข้าร่วมฟัง ไม่เห็นด้วย ไม่พุดถึง ดังตามที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า " เป็นติรัจฉานวิชา คือการพูดคุยอันขวางต่อทางพระนิพพานไม่ถือว่าเป็นวิถีพุทธ " ในฐานะชาวพุทธควรปฏิบัติตัวอย่างไร เราควรวางจิตไว้อย่างไร นอกจากการแผ่เมตตาให้เขาเหล่านั้นได้เกิดสัมมาทัศนะและเกิดสัมมาทิฐิ

    เรียนถามมาด้วยความเคารพ


    คำตอบ
    คำว่า “ เดรัจฉานวิชา ” (ดิรัจฉานวิชา หรือ ติรัจฉานวิชา) หมายถึงความรู้ที่ขวางต่อทางพระนิพพาน

    คำว่า “ เดรัจฉานกถา ” (ดิรัจฉานกถาหรือดิรัจฉานกถา) หมายถึงการพูดคุยที่ขวางต่อทางพระนิพพาน

    ผู้ใดนำเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานกถามาประพฤติ การนำพาชีวิตไปสู่ความพ้นทุกข์ตามแนวทางพุทธศาสนา ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้

    ดังนั้น ในฐานะชาวพุทธ ผู้ประสงค์ดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระพุทธะ ต้องวางใจเป็นกลางต่อสถานการณ์บ้านเมือง มีปัญญารู้ทันว่าสิ่งที่เข้ากระทบจิตนั้นเป็นอกุศลธรรมที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้ กับทุกข์แล้วไม่นำจิตตนเองเข้าไปมีส่วนร่วม อุทิศบุญกุศลที่ตนมีให้สัตว์บุคคลเหล่านั้นจงเป็นสุข หรือหากตัวเองมีเมตตาอยู่ในใจ ก็สามารถแผ่เมตตาให้กับสัตว์บุคคลเหล่านั้น จงมีจิตสงบเย็นก็ย่อมทำได้
     
  20. HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,891
    เนื่องด้วยดิฉันได้เริ่มศึกษาธรรมจากอาจาย์หลายๆท่าน เช่นอาจารย์สนอง อาจารย์สุรวัฒน์,หลวงพ่อประโมช ,ดังตฤน ลักษณะการแนะนำต่างๆกัน เช่นหลวงพ่อปราโมช และอาจารย์สุรวัฒน์ จะให้ดูกาย ดูใจ หลังจากที่ได้ปฏิบัติมาหลายเดือน ปรากฎว่าจิตใจที่ฟุ้งซ่าน อารมณ์ที่มักแปรปรวนไปกับเหตุการณ์รอบข้างดูลดน้อยลง โกรธน้อยครั้ง ส่วนคำสอน คำแนะนำของอาจารย์สนองทำให้ดิฉันนึกถึงการปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้ดิฉันเกรงกลัวต่อบาป พอเริ่มคิดสิ่งไหนไม่ดีก็ดูจิตไปมันจะหายไปทันที

    ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
    ดิฉันหรือบุคคลทั่วไปที่สนใจปฏิบัติธรรม ดิฉันเป็นผู้หญิงจะสามารถเพียรปฏิบัติธรรมจนบรรลุ(นิพพาน)ในชาตินี้ได้ไหม ค่ะ หรือต้องเพียรปฏิบัติหลายๆชาติจึงจะสำเร็จ ถ้าหากมีโอกาสทำได้ดิฉันควรปฏิบัติอย่างไรซึ่งต้องใช้ชีวิตเหมือนบุคคล ธรรมดา ทำงานพบปะผู้คนมากมาย หลายหลายพฤติกรรม และถ้ามีศีล 5 คุมใจ ปฺฎิบัติดูกายดูใจ ฯลฯจะสามารถนิพพานในชาตินี้ได้ไหมค่ะ

    ขอขอบพระคุณค่ะ

    คำตอบ
    วิธีปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เมื่อนำมาใช้กับตัวเองแล้วได้ผลถูกตรง คือจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ และจิตเกิดปัญญาเห็นแจ้งวิธีที่นำมาใช้เหล่านั้นถูกต้องตามธรรมและควรดำเนิน

    ผู้ใดสามารถจะบรรลุนิพพานในชาตินี้ได้ต้องมีครูบา อาจารย์ผู้เป็นกัลยาณมิตรในทางธรรม คอยชี้แนะแนวทางปฏิบัติได้อย่างถูกตรง ผู้ปฏิบัติต้องปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม (คือธรรมใดให้เว้นต้องไม่ประพฤติ ธรรมใดให้ปฏิบัติต้องปฏิบัติให้ถูกตรง ธรรมใดให้ทำก่อนต้องปฏิบัติให้เกิดขึ้นได้ก่อน ธรรมใดให้ปฏิบัติภายหลังต้องเอาไว้ปฏิบัติท้ายสุด) เร่งความเพียรด้วยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ผู้ปฏิบัติต้องมีศีลบริสุทธิ์คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น มีสัจจะ มีบุญมีบารมีสั่งสมมามากพอและให้ผลเมื่อเหตุปัจจัยดังกล่าวลงตัว โอกาสที่จิตของผู้ปฏิบัติธรรมสามารถปริวรรคเข้าถึงความเป็นอริยบุคคลขั้นสูง สุดในชาตินี้ย่อมเป็นไปได้
     

แชร์หน้านี้