ตัวพระไตรปิฎก พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 30 มกราคม 2013.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ตัวพระไตรปิฎก


    พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร


    วัดป่าแก้ว บ้านชุมพล อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร

    เทศน์เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2522



    การปฏิบัติธรรมะ ก็ไม่มีอื่นไกลไปจากการปฏิบัติกายและใจของตัว อย่าไปคิดว่าอันนี้เราเคยภาวนามาแล้วเคยทำมาแล้ว จะทำอันอื่นต่อไป อย่าไปคิดแบบนั้น การปฏิบัติธรรมนี้ก็เหมือนกับเรารับประทานอาหาร เรากินอาหารก็กินลงไปในปากของเรา เมื่อปากนี้เคยกินแล้ว จะเอาเข้าทางหู ทางจมูก มันก็ไม่เกิดสาระประโยชน์ให้

    การพิจารณาธรรมะ กำจัดปัดเป่ากิเลสตัณหาของกายใจก็ทำนองเดียวกัน สิ่งใดที่เราเคยทำ ได้รับผลประโยชน์ ได้ความสงบสงัดสะดวกสบาย เราก็เอาอันนั้นแหละทำเรื่อยไปอย่าไปคิดว่าเราเคยทำมาแล้ว เราจะเอาอันใหม่อย่าไปคิดแบบนั้น มันผิดจากธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าสอน

    เขาทำไร่ ทำสวน ทำนา เขาก็ทำที่ที่ดินของเขานั่น ไม่ได้ไปทำที่อื่น ทำอยู่เรื่อย ๆ ทุกปีที่เขาทำ ผลประโยชน์ที่เกิดจากการกระทำเขาก็ได้รับ นี่...เราภาวนาก็กำหนดกาย กำหนดจิต ของเก่านี่แหละ จิตของเราก็จะเบาจะสบาย จะสงบลงรวมให้ จึงไม่ควรสงสัยว่าการภาวนานั้นจะทำอย่างไร ทำมาแบบนั้นได้รับอย่างนั้น ทำแบบนี้ได้รับอย่างนี้ถ้าทำตามแบบเดิมที่ตัวเคยทำ ที่ได้รับสัมผัสจากอรรถธรรม ที่ว่าได้รับความสุขความสงบ มันไม่มีทางผิด ต่อเมื่อใดจิตใจมีการสงสัย จิตใจมีการเคลื่อนไหวจากเดิมไป มันก็เหมือนกับไฟ มีเชื้อสุมอยู่ที่ไหน มันก็ไหม้ลุกลามไป ถ้ามันติดในเบื้องต้นแล้ว มันเป็นแบบนั้น อวิชชา ตัณหาอุปาทาน มันมีอยู่ในสถานที่ใด เมื่อจิตใจของเราลงรวมได้รับความสุขความสบายแล้ว มันเกิดสงสัยอะไร มันก็คิดไปปรุงไป เพื่อจะแก้ไขความสงสัยของตัวที่มีอยู่ให้ตกหล่นออกไป มันไหม้ไปตามที่ที่มันมีเชื้อ ธรรมดาของไฟถ้าไม่มีเชื้อเหลืออยู่ จะไปจุดเท่าใดมันก็ไม่ติดให้ นี่.. .จิตใจที่เราหายสงสัยจากกิเลสตัณหา ก็ทำนองเดียวกัน จะไปพิจารณาอันนั้นอะไรกันอีก เพราะมันหายสงสัยแล้ว พิจารณาแล้วก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร เพราะมันสิ้นปัญหาแล้ว ถ้ามันยังสงสัยคือมันยังมีเชื้ออยู่ จำเป็นมันจะต้องไหม้ไฟ

    การพิจารณาก็ทำนองเดียวกัน ถ้ายังมีสงสัย ก็ต้องพิจารณาซ้ำลงไปอีก จนมันหมดความสงสัยนั้น ๆ เมื่อมันหมดความสงสัยแล้ว ไม่ต้องบอกว่าให้ปล่อยให้วางอันนั้น มันก็ปล่อยก็วางของมันไปเอง เพราะมันไม่มีอะไรที่จะสงสัย ไม่มีอะไรที่จะค้นคว้า ไม่มีอะไรที่จะหา ทราบดีอยู่แล้วว่า ในที่นั้นไม่มีอะไรที่จะไปหาเอาสาระเอาประโยชน์กับมัน เพราะมันหมดไปแล้ว นี่...หมายถึงจิตใจที่เป็นไปในด้านวิปัสสนา คือมีความสงบมาก่อนแล้วพิจารณาถอดถอนความข้องจิตคิดปรุงของใจต่าง ๆ มีความสงสัยที่ไหน มันก็ไปตามฐานะหน้าที่ของมัน จนหมดความสงสัยที่ตัวมีความข้องใจอยู่นั้น มันก็ไปอันใหม่ เมื่อมันหมดทุกสิ่งทุกประการไปแล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่จะละจะบำเพ็ญ เป็นอเสขะของจิต เป็นอเสขบุคคล

    พูดถึงบุคคลก็ดี วินัยที่พระพุทธเจ้าสอนมันเป็นอย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา ไม่ว่าในอดีตที่ผ่านไป หรือปัจจุบันที่เป็นอยู่ หรืออนาคตต่อไปถ้าผู้พินิจพิจารณาตามธรรมะ จะต้องเป็นไปแบบเดียวกัน ไม่มีไปที่อื่น คือ อะไรที่ยังไม่สงบ เราก็ทำให้สงบ พอมันสงบไปแล้ว อะไรที่มันยังข้องใจสงสัย มันจะต้องพิจารณาอันนั้นไปแถวเดียวกันตลอดเวลา

    ไม่ว่าพระพุทธเจ้า หรือพระสาวก ท่านจะต้องค้นคิดพิจารณาเพื่อแก้จิตของท่านแบบเดียวกันหมด เมื่อถึงความบริสุทธิ์แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร สาวกทั่วไปที่เป็นผู้บริสุทธิ์ก็ทำนองเดียวกัน ไม่ผิดแผกแตกต่างกันในความบริสุทธิ์ ที่แตกต่างกันก็คือเรื่องอำนาจวาสนา มันผิดแปลกแตกต่างจริง พระพุทธเจ้าท่านมีอำนาจวาสนา บุญญาธิสมภารผิดจากสาวก หรือสาวกบางท่านบางองค์ก็มีอำนาจวาสนาสูงส่งในการที่จะสงเคราะห์สงหา ในการที่จะแสดงธรรมให้แก่คนอื่น บางท่านบางองค์ก็แคบแต่ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนกันไม่ผิดแปลกกัน นี่คือ...ความบริสุทธิ์ของใจ

    ไม่ว่าใครทั้งหมด ไม่ว่าผู้หญิงไม่ว่าผู้ชาย ไม่ว่านักบวช ฆราวาส เข้าถึงความบริสุทธิ์แล้วเหมือนกันหมด เราจะไม่สงสัยว่าพระพุทธเจ้าท่านจะบริสุทธิ์ยิ่งกว่านี้ไหม มันจะไม่มีสงสัยในใจเพราะความบริสุทธิ์ทราบดี ทรงบอกอยู่แล้วว่าความบริสุทธิ์นี้ ไม่ว่าสมัยใด กาลใด ไม่ว่าใครทั้งหมด ถ้าหากประพฤติปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ จะไม่มีอะไรสงสัยว่า คนนั้นจะเป็นอย่างไร คนนี้จะเป็นอย่างไร สาหรับผู้บริสุทธิ์จะทราบ เข้าใจในตัวเองว่ามันเหมือนกันอย่างนี้ ไม่มีผิดแปลกแตกต่างอะไร

    ข้อสำคัญ พวกเราท่านที่ทั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ไม่ใช่จะไปคิดปรุงหรือหมายเอาว่า ความผู้บริสุทธิ์จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไปสุ่มเดาคิดเอาเหมาเอา หมายเอาอย่างนั้น จิตใจของพวกเราท่านก็ไม่เห็น ไม่เป็นให้ จะต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติเรื่อยไป หน้าที่ปฏิบัติมีอย่างไร กำหนดอยู่ในบทของอรรถของธรรม อยู่ในกายในจิตของตัว ตามฐานะหน้าที่ของจิต

    ผู้ฝึกหัดปฏิบัติใหม่ก็จะต้องตั้งใจกำหนดบริกรรม หรือกำหนดลมหายใจ เพื่อจะให้จิตใจที่เคยฟุ้งปรุงคิดอ่านต่าง ๆ สงบรวมตัวลง ถ้าหากจิตใจไม่เคยสงบลงเสียก่อนแล้ว เห็นท่านสอนว่าให้พิจารณาอย่างนั้น พิจารณาอย่างนี้ ก็จะกระโดดพิจารณาไปทีเดียว ถ้าหากเป็นแบบนั้น จิตยังไม่ถึงความสงบ จิตยังไม่มีพื้นฐาน พิจารณาคิดอ่านมันก็ไม่ละไม่ถอนกิเลสตัณหาให้ เพราะใจขาดจากความมั่นคง ขาดจากความหนักแน่น ขาดจาก สมาธิ

    ความสงบ จึงเป็นข้อสำคัญประการหนึ่งอยู่ในมรรคทั้ง 8 เพราะมรรค 8 นี้ ท่านบ่งบอกว่าเป็นทางที่จะให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ มรรค 8 ย่นลงมาได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ย่นลงมากได้แก่ กาย วาจา ใจ ไม่นอกเหนือไปจากตัวของเรา นี่คือ...ตัวของพระไตรปิฎก ตัวของมหาวิทยาลัยที่จะต้องศึกษา

    กิเลสตัณหา ไม่ได้เกิดมานอกฟ้าเหนือดินที่ไหน เกิดขึ้นจากจิตจากใจของเรา เพราะฉะนั้น การกำหนดจิตใจจึงเป็นการขับไล่ความสงสัย ความฟุ้งปรุงของใจต่าง ๆ ให้ตกออกไป ให้สงบออกไป ให้หมดจากกิเลสตัณหา ถ้าหากไปกำหนดอยู่ข้างนอกว่า ตำรานั้นพูดอย่างนั้น ตำรานี้ท่านพูดอย่างนี้ ครูนั้นท่านสอนอย่างนั้น ครูนี้ท่านสอนอย่างนี้ ไปส่งอยู่ข้างนอกอย่างนั้น ไม่เกิดผลประโยชน์อะไรเพราะกิเลสมันเกิดจากภายใน และมันก็ไม่ได้อ้างกาลอ้างเวลาว่า กาลนั้นก่อน กาลนี้ก่อนจึงจะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นได้ทุกกาลทุกสมัยไม่ว่าเราจะนั่ง จะยืน จะหลับ จะนอน มันเกิดขึ้นได้

    ฉะนั้น เรื่องการภาวนา การทำสติ การทำปัญญา จึงควรกำหนดรักษาอยู่สม่ำเสมอ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันกับเรื่องของกิเลสตัณหา เพราะมันไม่ตั้งท่า มันเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ถ้าการภาวนาของเราจะต้องหาสถานที่ หาวัน หาเวลา แต่กิเลสตัณหามันเกิดขึ้นบ่อยอย่างนั้น มันจะไม่ทันกัน อยากจะให้มันทันก็คือ กำหนดอยู่เรื่อย พิจารณาอยู่เรื่อย ไม่ให้สติหลงลืม ไม่ให้ปัญญาเมินเฉย อะไรปรุงขึ้น เกิดขึ้น จากจิตจากใจจงนำมาพินิจพิจารณาเพื่อแก้ไข ขับไล่ส่วนที่ชั่วเสียออกไป นี่คือ...การปฏิบัติธรรมะด้วยความไม่ประมาท จะต้องปฏิบัติรักษากาย วาจา และใจ ของตัวให้เป็นธรรมอยู่สม่ำเสมอ คำที่ท่านแนะสอนเอาไว้ คือสอนกาย สอนใจ ไม่ได้ไปสอนที่อื่น แล้วก็สอนคนที่มีกิเลสตัณหามานะทิฐิอย่างพวกเรา พระอริยเจ้าไม่จำเป็น เพราะเป็นผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว เหมือนกันกับคนที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่จำเป็นที่จะไปหาหมอ ไม่จำเป็นในยา คนอิ่มก็ทำนองเดียวกัน ไม่จำเป็นในเรื่องของอาหารที่จะดื่มจะกิน เพราะมันอิ่มแล้ว คนหิวเท่านั้น คนมีโรคเท่านั้นที่จำเป็นกับยากับอาหาร คนหนาวเท่านั้นที่จำเป็นกับไฟกับผ้านุ่งผ้าห่มที่จะมาให้ความอบอุ่นแก่ตัว ถ้าหากไม่หนาวก็ไม่จำเป็นที่จะหาผ้าห่มมาห่มนุ่งพอสมควรก็พออยู่แล้ว ร้อนก็ทำนองเดียวกัน ที่เราอยากอาบน้ำอยากอยู่ในร่มเงาก็เพราะความร้อน ถ้าเราหนาว พอมีแดดมาเราก็ดีใจ จะได้ผิงแดดให้อบอุ่น ถ้าหากร้อนก็จำเป็นที่จะหาน้ำมาอาบ หรือหาร่มเงาที่จะให้ความเยือกเย็นแก่ตัวของตัว ความจำเป็นของโลกมันเป็นอย่างนี้ความจำเป็นของธรรมวินัยก็ทำนองเดียวกัน

    เราอยู่ธรรมดาไม่มีอะไรให้ทุกข์แก่กายแก่ใจ ก็ไม่มีเรื่องที่จะคิดจะนึกจะแก้ จะไข เพราะไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรขัดข้อง ต่อเมื่อทุกข์เกิดขึ้น ภัยเกิดขึ้น จิตใจของเราปั่นป่วน เหหันไม่ตั้งมั่น ตัวของตัวเองไม่ไว้ใจว่า ความคิดความปรุงของตัวนี้มันจะเป็นอย่างไร เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงจะลองศึกษาปฏิบัติธรรมะ เพื่อทดสอบจิตใจของตัว ปฏิบัติไป ๆ จิตใจมันเข้าถึงขั้นสงบ จิตใจของเรามันเข้าถึงอรรถถึงธรรม รูปที่เคยเห็นมันติดมันข้อง มันเคยปรุงเคยคิดว่า รูปนั้นสวยสดงดงาม เป็นที่น่าปรารถนา น่ากำหนัดยินดี ย้อมใจของตัวให้คิดให้ฟุ้งในรูปนั้น อย่างนั้นอย่างนี้ ให้คิดปรุงไปตามเรื่องของกิเลส ตามสมมุติของโลก มันติด มันข้อง มันก่อ มันกวนจิตใจเอาจริง ๆ จัง ๆ สำหรับบางท่านบางคนหรือโดยทั่วไปในวัยหนุ่มสาว วัยบ้าวัยบอ ที่มันเป็นไปเพราะ จิตใจมันติดมันคิดมันบ่รุง ไม่ว่ากลางวันกลางคืน ไม่ว่าไปอยู่สถานที่ใด ถ้าหากไปถูกรูปที่ชอบใจแล้วมันย่อมนึกย่อมคิดย่อมปรุงในเรื่องนั้น ๆ อยู่เรื่อย ๆ นี่คือ...เรื่องที่เราเห็นว่าความทุกข์มันทรมานตัวของตัว นอนก็ไม่สุขไม่สบายให้ อยู่สถานที่ใดมันก็คิดก็ปรุงออกไป เมื่อเป็นอย่างนั้น จึงจำเป็นในการที่จะปฏิบัติธรรม เพื่อแก้ไขขับไล่สัญญาอารมณ์ที่เคยมีฝังใจให้ตกออกไป การพิจารณารูปที่เราข้องติดนั้น ทางธรรมทางศาสนา พระพุทธเจ้าท่านแนะสอนเอาไว้ ตัดขั้วไฟที่มีกิเลสตัณหา มันเป็นด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่ามนุษย์ หรือสัตว์เดรัจฉาน มันเป็นอย่างนั้น

    เรื่องของกามกิเลส เป็นเรื่องสำคัญครอบงำจิตของพวกเราท่าน และสัตว์ทั่วไป โลกอันนี้จึงเรียกว่า กามโลก คือมันเกิดมา มันก็เกิดมาจากกาม เมื่อเกิดมาแล้วก็ยินดีในกาม ความวุ่นวายขัดข้องก็เรื่องของกามเป็นส่วนใหญ่ และทุกข์ในเรื่องของกามเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ใช่ทุกข์ในเรื่องของธาตุขันธ์ คือ ส่วนใหญ่ เป็นทุกข์เรื่องของกาม เรื่องของใจ

    ฉะนั้น ในทางศาสนาท่านจึงสอน ให้พินิจพิจารณาศึกษาปฏิบัติจิตใจของตนให้เข้าหาความสงบเสียก่อน คือ ทำสมาธิด้วยการกำหนดพุทโธก็ดี ด้วยการกำหนดลมหายใจก็ดี จิตได้ที่ ได้ฐานตั้งมั่นในอรรถในธรรมแล้ว รูปที่เคยนึกคิดติดข้อง เสียงที่เคยเสนาะเพราะโสต ที่เคยอยากฟังนั้นมากำหนดดู พิจารณา เพื่อจะแก้ไขใจที่ข้องติดอยู่นั้นให้ตกออกไป ด้วยอำนาจที่นำรูปนั้นมาพิจารณาก็ดี นำรูปที่เรามีอยู่ก็ดี พิจารณาคลี่คลายให้เห็นตามเป็นจริงในรูป เพราะรูปนี้เราไปสำคัญมั่นหมายว่าหญิง ว่าชาย ว่าสัตว์ ว่าบุคคล ว่าขี้ริ้วขี้เหร่ ว่าสวย ว่างาม

    ความจริงแล้ว รูป เกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นจากธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้ง4 ที่อยู่ข้างนอกมันก็มี ธาตุทั้ง 4 ที่อยู่ในตัวของเรามันก็มี ถ้าผสมส่วนกันเข้า ไม่ว่า ดิน น้ำ ลมไฟ อยู่สถานที่อื่น ยังพออาศัย พออยู่ได้สะดวกสบาย เมื่อมันมาอยู่ในกายของเรา มันมาผสมกันเข้า ถ้าหากเราไม่ได้พินิจพิจารณา แยกแยะแกะดูก็ไม่ทราบว่าส่วนใดเป็นอะไร แล้วความสวยงามนั้นมันมีอยู่ในที่ไหน เราเลยเหมาเอาหมดว่า รูปอันนี้มันสวยงามมันดี มันเด่น มันน่ากอดน่าจูบต่าง ๆ นานา

    ถ้าหากพิจารณาแยกแยะตามธรรมะของพระพุทธเจ้า พิจารณาให้เป็นปฏิกูล พิจารณาให้เป็นกรรมฐาน จะต้องแยกแยะออก อย่าง ผม ขนเล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกต่าง ๆ

    ถ้าหากแยกออกจากตัวบุคคล ตัวของเราได้ คือ ผม นั้นมันก็เป็นเส้นอยู่บนศีรษะ มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย มีทั้งนักบวชและฆราวาส ของเหล่านี้ถ้าหากเราไม่ตบแต่ง เราไม่สะสาง ไม่ดูแลรักษา มันจะเป็นอย่างไร เพียงไม่อาบน้ำไม่สระผมไม่กี่วันกี่เดือน กลิ่นของมันเป็นอย่างไร แล้วเมื่อมันตกหล่นออกจากสถานที่ มาตกใส่ที่นั่งที่นอนของเรา เราชอบไหม ยิ่งตกลงในภาชนะอาหารหรือน้ำดื่มของเราเป็นอย่างไร ถ้าหากมันเป็นกอบเป็นกำแล้ว ใครเล่าเขาจะยินดีกินอาหารที่มีผมของมนุษย์ตกอยู่อย่างนั้น น้ำที่มีผมติดอยู่อย่างนั้น ไม่มีใครชอบกินกัน แต่เมื่อมันอยู่ในศีรษะ ทำไมมันเป็นบ้าเป็นบอ ไปหลงใหลใฝ่ฝันว่ามันสวยอย่างนั้น มันมีทรงงามอย่างนี้ นี่คือ...การคลี่คลายพิจารณา

    เรื่องของ เล็บ ของ ฟัน ก็ทำนองเดียวกัน เมื่ออยู่ในปาก ก็ต้องอาศัยการแปรงฟัน การแต่งให้มันหายจากความสกปรก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกลิ่นอยู่ เมื่อดึงออกมาจากเหงือกจากปากของเราแล้ว ทิ้งลงไปในภาชนะอาหาร คนที่กินอยู่ด้วยกันนั้น บางที่อาจทะเลาะฆ่าตีกันเพราะไม่ชอบ แต่มันอยู่ในปากทำไมไปชอบไปติด มันไม่ได้พินิจพิจารณาตามความเป็นจริงของมัน สิ่งเหล่านี้ทุกสิ่งที่มีอยู่ในกายของเรา เราถือว่ามันสวยมันงามนั้นเพราะจิตใจของพวกเราท่านติดสมมติ เคยฝังสันดานกันมานมนาน บิดามารดา ปู่ย่า ตาทวดก็เคยชมเชยสรรเสริญ ว่ามันงามอย่างนั้น มันสวยอย่านี้ ความจริงก็ไม่เคยได้พินิจพิจารณาตามความจริงของมัน

    หนัง ที่มันหุ้มห่อตัวของเราก็เหมือนกัน ถลกออกไปทั้งตัวแล้ว เอาไปปูนั่งปูนอนซิ มันจะมีใครสามารถนั่งนอนล่ะ หนังมนุษย์ เอาไปผัดไปทอดล่ะ ใครชอบที่จะกินกันบ้าง มันไม่มีอะไรที่จะสวยงามให้ เนื้ออยู่ในกาย ถ้าหากเอาหนังออกไป ก็ไล่แมลงวันไม่ทัน มันจะมาขี้ มาเกาะ มากิน เพราะเหลือแต่เนื้ออยู่ในตัว มันเป็นแบบนั้น แล้วเป็นอย่างไรกันล่ะ แค่เป็นแผลเท่านั้นก็ยังรังเกียจ แล้วไม่มีหนังทั้งตัวจะเป็นอย่างไร มันสวยที่ไหน ทำไมไม่พิจารณา

    ถ้าหากพิจารณาเข้าไปลึกกว่านั้นถึง ไส้ ถึง พุง ถึง ตับ ถึง ปอด แล้วเอาออกมาดูข้างนอก เราจะชอบไหม คนที่ตับออกมาข้างนอก ปอดออกมาข้างนอก เห็นเข้าเราจะคิดอย่างไร ว่า เอ๊ะ ปอดคนนี้มันสวย ตับคนนี้มันงาม จะคิดไปไหม นี่คือ...การพิจารณาเพื่อแก้ไข ขับไล่ ความย้อมติดคิดปรุงว่ามันสวยมันงาม อย่างนั้นอย่างนี้ มันไม่มีอะไรสวยงามในกายของเรา ไม่ว่าไหลออกมาจากที่ใด ขุมใด บ่อใด ทวารใด เป็นแต่ขี้ทั้งนั้น เป็นแต่ของเน่าของเหม็นของปฏิกูล สิ่งที่มาเกาะเกี่ยวพัวพัน เช่น เสื้อผ้าที่เรานั่งห่มจึงมีการซักฟอกกันอยู่เรื่อย เพราะมันของเน่าของเหม็นของปฏิกูลออกมา

    หรืออยากจะดูง่าย ๆ อาหารที่เราถือว่ามันเอร็ดอร่อย ทำมาด้วยความสะอาด ปรุงมาด้วยดีอยู่ในถ้วยในจาน ข้าวก็เป็นข้าวที่สะอาด ที่ดี หุงมาแล้ว เพียงเอาเข้าไปในปากเคี้ยวเข้าถูกน้ำลายของเราเท่านั้น คายออกมาเป็นอย่างไร มันปฏิกูลขนาดไหน ใครเล่านอกจากบ้า มันจะไปกินอีกได้ มันปฏิกูล อยู่ขนาดนี้ เพียงเข้าปาก ถ้ามันลงถึงท้องถึงกระเพาะ มันจะเป็นอย่างไร มันจะปฏิกูลกันไปใหญ่ นี่...เรื่องของมนุษย์ มันเป็นปฏิกูลอยู่อย่างนี้ ไม่ได้ตำหนิแล้วเราเป็นอย่างไร สรุปที่เรารักใคร่ เราเต็มใจ เราปรารถนานั้น มันก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่ารูปนั้นมันจะวิเศษวิโส เป็นเพชรเป็นพลอยมาจากที่ไหน มันทำนองเดียวกันกับเราที่เห็นของของเราอยู่ นี่คือ...การขับไล่ความสงสัย ขับไล่ความกำหนัดยินดี จะต้องคลี่คลายพินิจพิจารณา เพื่อแก้ไขใจที่ข้องติดต่าง ๆ ให้เห็นตามความเป็นจริงของมัน

    ถ้าจะพิจารณาลงไปสู่ธาตุจริงจัง ก็ทำนองเดียวกัน ไม่ว่าใครทั้งหมดก็ธาตุ 4 เหมือนกัน ธาตุ 4 นี้ เรายืมเขาอยู่ ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาจะคืนไปสู่ที่เดิมของเขา เราไม่มีสิทธิที่จะอยู่ต่อไปได้ ทุกคนจะเป็นอย่างนั้น เมื่อมันไปอย่างนั้น จิตออกจากกายไปแล้ว กายนี้ยังมีอยู่ มหาภูตรูปยังคงที่อยู่ แต่ไม่มีจิตเท่านั้น มันเป็นอย่างไรกันเล่า มันคงกำหนัดยินดีในกันและกันไหม จะเอาไปนอนเทินกันไว้มากเท่าไร คนที่เคยเป็นบ้าในเรื่องขอกาม เอาไปเทินกันขนาดไหน มันก็ไม่มีอะไรที่มันจะเพลิดเพลิน เรื่องของธาตุจริงจังมันเป็นอย่างนั้น

    แต่จิตใจของพวกเราท่านมันหลงมันติด เมื่อตั้งใจเข้ามา ก็อาศัยในธาตุ 4 นี้ จึงสำคัญว่าหญิงว่าชาย ว่าน่ากำหนัดยินดีอย่างนี้ ความจริงรูปกายไม่มีความหมายอะไร ถ้าหากเป็นแต่รูปกายจริงจังมันเป็นอย่างนั้น นี่คือ...การพิจารณาเพื่อแก้ไขจิตใจของตัวที่ชั่วเสีย คิดปรุงต่าง ๆ ให้ตกออกไป ราคะตัณหาในใจ ถ้าหากเห็นตามที่เป็นจริงอย่างนั้นว่า รูปร่างกลางตัวของเรานี้ ไม่มีอะไรที่จะสวยสดงดงามน่าดูน่าอยากได้ เมื่อไม่น่าดูน่าอยากได้อย่างนั้น จิตใจมันก็ไม่กำหนัด มันก็เบื่อหน่าย ความหลงใหลใฝ่ฝันบ้าบอของใจที่เข้าไปติดข้อง พอมันเห็นชัดเจนตามเป็นจริงของมัน มันปล่อยได้วางได้

    ความโลภที่อยากได้ส่วนอื่นเรื่องอื่นก็ทำนองเดียวกัน ถ้าหากเราพิจารณาในธรรมะ ก็มีการละการถอนการปล่อยการวางได้ ธรรมะจึงเป็นเรื่องสำคัญ เหมือนกันกับยาแก้โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ คนที่เป็นโรคจำเป็นที่จะต้องหายามารับประทานมารักษา ไม่อย่างนั้น โรคบางอย่างก็ไม่มีวันเวลาที่จะหายจากตัวของเราไปได้ ยิ่งเป็นโรคภายใน คือโรคของใจ โรคกิเลสตัณหานี้ จำเป็นอย่างจริงจังที่พวกเราท่านจะต้องแสวงหาธรรมะมารักษา คนที่รักษาหายไปแล้วนับหมื่นนับแสน ก็ด้วยอำนาจยาคือธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านั้นตั้งใจรักษาไม่ประมาท นำยาคือธรรมะมาแก้ไขจิตใจของตัวที่ชั่วเสียต่าง ๆ ให้หายออกไป ให้คลายกำหนัด ให้หมดมานะทิฐิ หมดโลภ หมดโกรธ หมดหลงจากตัวของตัวไปได้

    พวกท่านก็เป็นโรคชนิดเดียวกันกับพระอริยเจ้าที่เคยเป็นมา ถ้าหากเราประมาท เมินเฉยว่า ธรรมะสมัยนี้ไม่เป็นของดิบของดี ไม่เป็นหยูกเป็นยาที่จะแก้ไขกิเลสตัณหา เราจะไปหาเรื่องอันอื่นมาแก้ไข อย่าไปคิดเลยว่าจะพบจะเห็นยาวิเศษขนานอื่นที่ยิ่งกว่าธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ จะต้องนำธรรมะเท่านั้นมาแก้ไข

    ถ้าเราพิจารณาได้ เชื่อถือธรรมะของพระพุทธเจ้า ว่าเป็นยาสำหรับขับไล่กิเลสตัณหาในหัวใจ นำธรรมะมากำหนดพินิจพิจารณามารักษาใจของเรา ตามกาลตามเวลาตามเรื่องที่กิเลสตัณหาเกิดขึ้น เช่น ความรักเกิดขึ้น ความกำหนัดยินดีเกิดขึ้น เราอย่าไปเล่นเรื่องเมตตากรุณา ถ้าหากไปเล่นเรื่องเมตตากรุณา แทนที่กิเลสตัณหาอยู่ในจิตในใจจะตกไป มันไม่เป็นอย่างนั้น มันยิ่งกลับกำเริบขึ้น เพราะเมตตา คือความรักใคร่เอ็นดูในรูปนั้น ๆ โดยปกติ จิตใจของเราที่ยังไม่ได้คิดปรุงอย่างนั้นมันก็ติดก็ข้องอยู่แล้ว ยิ่งไปคิดเอารูปที่มันกำหนัดยินดีที่มันไปชอบใจ มาใคร่ครวญพิจารณาในความสวยความงามของมันเท่าไร จิตใจก็จะต้องเกิดกำเริบขึ้นเท่านั้น ผลที่สุดก็จะเป็นพิษเป็นภัยใหญ่โต จนถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ คนที่มันกำเริบจริงจังมันเป็นอย่างนั้น เหมือนกันกับไฟ ต้น ๆ มันก็เกิดขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ ถ้าหากมันเกิดขึ้นเต็มที่แล้วไม่ว่าลำเป็นลำตาย ไม้ในป่ามันเผาไปได้หมด

    นี่..กิเลสตัณหา มานะ ทิฐิ ความชั่วเสียของคนก็ทำนองเดียวกัน ถ้าหากไม่ระวัง รักษาเอาไว้ มันเกิดขึ้นจากใจนิด ๆ หน่อย ๆ แต่ปล่อยประมาทให้มันเกิดขึ้นมาก มันก็เผาไปไหม้ไป หาความสงบเย็นใจไม่มี

    ท่านจึงให้นำธรรมะมาแก้ไข เหมือนน้ำดับไฟ เมื่อมีน้ำมากเท่าไร ไฟมันก็ดับไป มันสู้น้ำไม่ได้ ธรรมะก็ทำนองเดียวกัน เมื่อมีมากเท่าไรจิตใจที่มีโลภโกรธหลงมันก็หมดไปจึงแก้ไขด้วยธรรมะ คือ อสุภ อสุภํ อนิจจํ อนัตตาต่าง ๆ ที่จะนำมาล้างมาแก้ไข อย่าไปใช้เมตตา เมื่อเวลาที่จิตมีความกำหนัดยินดี เมื่อเวลาจิตยังติดข้องในรูปจะต้องหาธรรมะซึ่งตรงกันข้ามมาแก้ไข ไม่อย่างนั้นนำยาที่ไม่ถูกกับโรคมารักษามันก็ไม่หายให้ ต้องนำยาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อโรคมารักษามันถึงจะหายได้ นี่...การพิจารณาธรรมะก็อาศัยสติปัญญาของพวกเราท่านที่จะมาขับไล่แก้ไขจิตใจ ไม่ใช่ว่ามันเกิดอันนี้ขึ้นอย่างนี้ เราจะพิจารณาอยู่อย่างนี้ ซึ่งเป็นของที่แก้ไขกันไม่ได้

    ผู้ปฏิบัติจะต้องมีสติมีปัญญาในตัว ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ทันกับเรื่องของกิเลสตัณหา เรื่องไม่ทันกับกิเลสตัณหานั้นเราเคยไม่ทันมาแล้ว เคยโง่มาแล้ว เคยสอบตกมาแล้ว มันจึงเกิดจึงตายกันอยู่เรื่อยมาจนตลอดกระทั่งปัจจุบันนี้ กิเลสตัณหายังออกหน้าออกตาอยู่สม่ำเสมอไป เดี๋ยวใจคิดอย่างนั้น เดี๋ยวใจปรุงอย่างนี้ แล้วหลงใหลใฝ่ฝัน วันนั้นจิตเป็นอย่างนั้น วันนี้จิตเป็นอย่างนี้ วุ่นวี่วุ่นวายหาความปล่อยวางเด็ดขาดไม่มีในตัวของตัว นี่คือ..เรื่องไม่ทันกันกับกิเลสตัณหา เรื่องปัญญาไม่พอต่อกิเลส

    ถ้าหากอบรมพินิจพิจารณาธรรม ศึกษาปฏิบัติจริงจัง จิตใจของพวกเราท่านที่เคยโง่ ไม่ทันกับเรื่องอารมณ์สัญญานั้น อย่าไปคิดว่ามันจะไม่ทันสักที ถ้าหากมันละเอียดเข้าไป มันถึงเรื่องบทที่จะทัน มันต้องทัน มันเป็นอัตโนมัติของมันโดยไม่ได้ตั้งเอาไว้ สติจะต้องมีอยู่ตลอดเวลาเป็นมหาสติ อะไรเกิดขึ้นปรุงขึ้นจากใจ เรื่องของสังขารจะเข้าใจ ปัญญาจะไตร่ตรองคิดอ่านเรื่องนั้น ๆ ผลักดันออกไป ถ้าหากมีความหมายของใจ ปกติเรื่องของสังขาร ถ้าไม่มีความหมายของใจ มันไม่ใช่เรื่อกองกิเลส พระพุทธเจ้าหรือพระอริยเจ้าผู้หมดกิเลสท่านก็ยังมีสังขารอยู่ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ เรียกว่า ขันธ์ ขันธ์อันนี้ถ้าหากจิตไม่เป็นกิเลส มันก็ไม่เป็นกิเลสอะไรให้ ถ้าจิตเป็นกิเลสมันก็เป็นกิเลส เมื่อเราฝึกหัดทำในจิตในใจ ถึงขั้นอัตโนมัติ มันจะทราบเรื่อเหล่านี้โดยไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์เอาไว้ อะไรเกิดขึ้นมันทราบ แล้วมันก็ดับไปตามหน้าที่ของมัน ความจริงมันดับอยู่อย่างนั้น แต่สัญญาความมั่นหมายของใจมันไปหมายเอาว่า อันนั้นเป็นอย่างนั้น อันนี้เป็นอย่างนี้

    สัญญา นี้เป็นเรื่องสำคัญ ทำจิตใจของพวกเราท่านให้บ้าให้บอ ให้ดีใจเสียใจไปได้เพราะความหมายของใจ ผ่านไปไม่ทราบว่ากี่เดือนกี่ปี แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ดีที่ชอบพอนำมาคิดมาปรุง มันยังเกิดความดีใจเสียใจขึ้นได้อีก สิ่งที่ชั่วที่เสียก็ทำนองเดียวกัน ทั้งที่ผ่านไปไม่มีอะไรเหลือหลอ แต่มันไปคิดไปปรุง ไปจับ ไปติด ไปข้องในของที่มันเคยไม่ดีไม่พอใจมา มันก็โกรธขึ้นได้ มันเป็นอย่างนั้น เรื่องจิตใจพวกเราท่าน

    เหตุนั้น เรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องศึกษา ถ้าหากจิตของเรามีปัญญามีสมาธิแล้ว ไม่ต้องไปศึกษาที่อื่น ศึกษาในเรื่องของธาตุของขันธ์นี่แหละ ถ้าทราบเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ตามเป็นจริงของมัน ผู้มารู้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์คืออะไร และสิ่งเหล่านี้มันเป็นอะไรกับธาตุกับขันธ์ มันมาอาศัยกัน หรือมันอยู่เอกเทศ ตอนที่ธาตุขันธ์ยังอยู่ที่เราไม่ได้พินิจพิจารณา เห็นความรู้ที่เหนือชาติเหนือขันธ์จิตใจของเรามันผสมกันอย่างไร

    เมื่อเราประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยตั้งใจรักษา ภาวนาจริงจัง ความรู้ธาตุรู้ขันธ์อันนี้ตามความเป็นจริงของมันนั้น มันเป็นอย่างไรอีก สิ่งที่เหนือชาติเหนือขันธ์อย่างนี้ มีใครผู้ไม่ประพฤติปฏิบัติจะเห็นกัน เมื่อเห็นแล้ว ความสงสัยเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ กับความสงสัยเรื่องผู้มารู้มาเห็น ผู้บริสุทธิ์ มันไม่มีอะไรที่จะสงสัยในใจอีก จะมีอะไรที่จะปฏิบัติแก้ไขอีก ความจริงมันหลงธาตุหลงขันธ์นี่แหละเป็นเรื่องสำคัญ หลงเราก็หลงเขาเท่านั้น ถ้ามาทราบเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ของตัวตามความเป็นจริง ธาตุขันธ์ของคนอื่นเป็นหมื่นเป็นแสนหรือทั่วโลกธาตุ มันก็ทำนองเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ธาตุขันธ์เหล่านั้นจะมายั่วยุให้จิตใจหลงใหลใฝ่ฝันเพราะเข้าใจในธาตุขันธ์ของตัว

    นี่คือ...การศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะรู้เห็นเป็นจริงอย่างนั้น จึงไม่มีอะไรที่จะสงสัย ไม่มีอะไรที่จะไต่ถามคนอื่น เพราะทราบดี ถ้าทราบแล้วก็จะตอบคำเดียวกัน เพราะท่านเหล่านั้นได้รู้เห็นตามเป็นจริง ถ้าไม่รู้เห็นตามจริงแล้วก็เหมือนถามคนใบ้ ไม่มีอะไรที่จะตอบให้ เพราะเขาไม่เห็นไม่เป็นในใจ ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นมีอยู่ แต่เราไม่ฟื้นฟูสิ่งเหล่านั้น ไม่ปรับปรุงสิ่งเหล่านั้น ไม่ทำสิ่งเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์ มันก็ไม่เกิดประโยชน์ให้ คนที่มีที่ดินที่สวนอยู่ แต่ไม่ได้ปลูกฝังอะไร สวนมันมีอยู่ ดินมันมีอยู่ แต่มันก็ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์อะไรให้ ถ้าหากเขาทำลงไป พืชผลในสวนก็จะตอบสนองให้ คือให้ได้รับความสุขความสบาย มีอยาก มีกิน มีใช้ มีสอยต่อไป นี่...ธาตุขันธ์ของพวกเราท่านก็ทำนองเดียวกัน มันมีอยู่

    พระพุทธเจ้าก็เอาธาตุขันธ์อันนี้ประพฤติปฏิบัติ อริยสัจทั้ง 4 ก็อยู่ในธาตุในขันธ์ทุกข์มันมีอยู่ที่ไหน อยู่ในดินฟ้าอากาศที่อื่นไหม สมุทัยความอยากของใจ ความก่อทุกข์ก่อภัยให้แก่ตัวของตัวมันอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ในตำรับตำรา หรืออยู่ในกายในใจของเรา ต้องดูเข้ามาภายใน พิจารณาเข้ามาภายใน เมื่อปฏิบัติรูป รู้ตามเป็นจริง เห็นสมุทัยที่อยู่ในใจได้ ละถอนไปแล้วความดับทุกข์มันเป็นอย่างไร จะไปสงสัยที่ไหน มันเกิดกับใจของตัวมันเป็นอยู่ในตัวของตัว นี่คือ...การปฏิบัติศาสนา

    มรรค ข้อดำเนิน ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นคือ มรรคทางดำเนิน ข้อปฏิบัติมันมีอยู่ที่ไหนล่ะ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ ความเห็นชอบ ดำริขอบ มันก็เกิดขึ้นจากใจ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ นี่...ก็คือเป็นเรื่องของศีล คือเรื่องของกาย วาจา ไม่ได้มีอยู่ที่อื่น กายวาจาก็มีอยู่ในตัวของเราทั้งนั้น สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ก็คือเรื่องของใจ ทำนองเดียวกัน ใครเล่าไปพากเพียร ถ้าไม่ใช่ใจเป็นผู้พากเพียร มาพินิจพิจารณา มันอยู่ที่ไหน อยู่ในตำรับตำราหรืออยู่ในจิตในใจของเรา สมาธิความตั้งมั่นก็เหมือนกัน

    การพูดถึงธาตุ ถึงขันธ์ ถึงกาย ถึงจิตมันจึงทั่วไปหมด ในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เรากำหนดลงไปนี่ พิจารณาลงไปนี่ สิ่งใดไม่ดีที่ยั่วยวนยั่วเย้าจิตใจของเราให้ปรุงคิดผิดข้อง เกิดความทุกข์ เกิดโทษต่าง ๆ เกิดความโลภ ความหลงเราก็พยายามดูให้เห็นแล้วก็ขับไล่ แก้ไขไปด้วยปัญญาของเรา ส่วนใดที่ทำให้จิตของเราสงบระงับ รู้แจ้งเข้าใจจริง เราก็กำหนดสิ่งนั้นเอาไว้ รักษาเอาไว้จนเมื่อมันเพียงพอในตัวของมันเมื่อใดไม่ต้องปรารถนา

    เรื่องความสุขของใจ ความหมดจดของใจ วิมุติของใจนั่น มันเป็นผลเกิดขึ้นเอง เหมือนกันกับเราปลูกต้นไม้ เมื่อมันตกดอกออกผลแล้ว เช่น กล้วย หรือมะม่วง ขนุนก็ดี ไม่ต้องไปหาน้ำอ้อยน้ำตาลมาจากที่อื่น ถ้ามันสุกแล้วความหวานมันเกิดขึ้นเอง ถ้ามันยังดิบอยู่ยังอ่อนอยู่ จะไปหาความหวานของมัน จะไปหาที่ไหน หาไม่เจอให้ ดอกผลของมันก็เหมือนกัน ถ้าต้นของมันยังไม่แก่พอแล้ว จะไปตัดไปฟันไปโค่น ไปยืนหา ดอกมันอยู่ที่ไหน ผลมันอยู่ที่ไหน ไปหาเท่าไรมันก็ไม่เจอให้ เมื่อมันแก่มา ถึงกาลเวลามันออกดอกออกผล มันออกเอง

    นี่...การประพฤติปฏิบัติ กำหนดอรรถธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนก็ทำนองเดียวกัน กำหนดลงไป พิจารณาลงไป อย่าไปคาดหมายใฝ่ฝันว่า มรรคผลเมื่อไรจะเกิดขึ้น เมื่อเราทำไปเรื่อย ๆ ถึงกาลถึงสมัย ถึงเวลาของมันจะเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นของมันเอง โดยที่เราไม่ได้คาดฝันว่ามันจะเป็นไปอย่างนั้น นี่คือ..เรื่องของวิมุตติ มันเกิดขึ้นเอง ไม่เหมือนเรื่องของมรรค

    เรื่องของมรรค จะต้องอุตสาหพยายามทำเอา ศีลยังไม่รีบรักษา สมาธิยังไม่รีบกำหนดพิจารณา รีบทำให้เกิดให้มีขึ้น ปัญญายังไม่มีก็พยายามพินิจพิจารณา พยายามศึกษา พยายามค้นคิดพิจารณามันค่อยเกิดค่อยเป็นขึ้นไป ศีล สมาธิ ปัญญา คือมรรค ไม่ใช่ตัวผล ตัวผลนั้นมันเกิดขึ้นเอง การกระทำบำเพ็ญจึงไม่ควรไปคาดหมายใฝ่ฝันหาผล ว่ามันควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะเป็นอย่างนี้ นั่นมันเป็นหน้าที่ของมันจะเกิดเอง ไม่ต้องไปตบแต่ง ไม่ต้องไปปรุงคิด ให้กำหนดลงไป พิจารณาลงไป ไม่ให้ใจส่ายแส่ออกไปข้างนอก

    เหมือนกันกับเรารับประทานอาหาร ถ้ารับประทานลงไป ๆ ความอิ่มไม่ต้องปรารถนา มันอิ่มมันบอกขึ้นมาเอง ถึงแม้จะมีอาหารในถ้วยในชามเต็มหม้อเต็มไหอยู่ มันก็กินอีกไม่ได้ มันอิ่มนี่...ก็ทำนองเดียวกัน การพินิจพิจารณาจิตใจ ขับไล่กิเลสตัณหาเมื่อมันหมดออกไป บริสุทธิ์อย่างไร มันทราบในจิตในใจของเรา เพราะธรรมะเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ธรรมะเป็น ปจฺจตฺตํ ธรรมะเป็น อกาลิโก มันเกิดขึ้น เป็นขึ้น ไม่มีกาลมีสมัย ถ้าหากถึงคราว ถึงเวลาของมัน ใจที่บริสุทธิ์นั้นก็ทำนองเดียวกัน เป็นอกาลิโก ไม่มีสมัยใดจะสงสัยว่าจะทำอย่างไรอีกต่อไป เมื่อถึงความบริสุทธิ์แล้วมันสุข มันดีมันวิเศษอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ขอพวกเราท่านที่มุ่งหน้าตั้งตามาประพฤติปฏิบัติกระทำบำเพ็ญให้เกิดให้เป็นให้เห็นให้รู้ อย่าไปตำหนิใส่โทษตัวเองว่าอาภัพอับวาสนา ทำมานานแล้วไม่เห็นอะไรเกิดขึ้น ขอให้ทำไปเถอะ มันจะเกิด จะเห็น จะเป็นทั้งนั้น เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นของกลางไม่ใช่เป็นสิทธิ์ของใคร ใครทำคนนั้นมีสิทธิ์ที่จะประพฤติปฏิบัติ ที่จะได้ จะเห็น จะเป็น จะรู้ ถ้าหากไม่ทำเพียงแต่ปรารถนา อย่าหวัง จะมีวาสนามากมายขนาดไหน ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีวันมีเวลาที่จะบรรลุธรรมะขึ้นสูงสุดได้ จงมั่นใจว่า เรามีวาสนา ไม่อาภัพ ทุกคนเกิดมาจะเป็นหญิงก็เป็นหญิงสมบูรณ์ เป็นชายก็เป็นชายสมบูรณ์ ไม่ใช่อาภัพสัตว์ ที่จะห้ามการตรัสรู้

    ขอให้ทุกคนจงตั้งหน้าพินิจพิจารณาประพฤติปฏิบัติ ก็จะประสบความสุข ความเจริญ เห็นธรรมะที่พระพุทธเจ้ารู้เห็นอย่างเด่นชัดในจิตในใจของตัว จะไม่มีการสงสัย

    การอธิบายธรรมะ ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา ขอยุติเพียงเท่านี้ เอวํ


    คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp-singhthong/lp-singhthong_10.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...