ขอขอบคุณทุกเสียงทุกสาย
ที่ได้กรุณาโทรมาปรึกษา ปัญหา และทุกเรื่องราวฯลฯ
ผม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ทางใจของทุกท่าน
ให้เบาบางลงไปได้ในระดับหนึ่ง
แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด ดังที่ท่านคาดหวังไว้ ผมเป็นเพียงผู้ให้สติเกิดแก่ท่าน และทําหน้าที่แกะรอยต้นตอของปัญหาเท่านั้น ส่วนที่เหลือท่าน!ควรใช้สติปัญญาที่มี ในการพิจารณาตามเหตุและปัจจัยต่างๆ
แล้วท่านก็จะพบวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง โดยใช้หลักธรรมะแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้อย่างถูกต้อง
"ผมเป็นปุถุชนเช่นเดียวกับท่าน" และยังมีกรรมที่ต้องชดใช้ ปวดแสบเผ็ดร้อน ข้ามภพข้ามชาติ
อย่างนี้เช่นกัน จนกว่าเราจะบรรลุสู่มรรคผลนิพพานได้ ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายปลายทางของเราชาวพุทธ เป็นภาคจบสุดท้ายที่ประเสริฐสุดนั่นเอง ดั้งนั้นจึงเป็นแรงพลักดันให้กระผมต้องประพฤติประฎิบัติ
ในการกระทําทั้งทาง กาย วาจา ใจ ด้วยความบริสุทธิดังนี้เป็นต้น
บางท่านอาจจะยังสงสัยและไม่แน่ใจว่าผมมีเจตนาอื่นแอบแฝงด้วยรึเปล่า!
ท่าน เท่านั้นที่จะเป็นผู้ตอบข้อสงสัยนี้ เพราะพระธรรมเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าเป็นนาย มีอิสระเหนือเรา จึงมีคํากล่าวไว้ว่า สัตว์โลกยอมเป็นไปตามกรรม
เราทํากรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม เรา ย่อมเป็นผู้ที่ต้องรับผลของกรรมนั้น
โดย ไม่ต้องสงสัยครับ!
และต้องขออภัยที่กระผมต้องของด ในส่วนที่เป็นการอนุโมทนาบุญ
เพื่อความสบายใจแก่ผู้อ่าน และผู้พบเห็น มา ณ โอกาสนี้ด้วย สวัสดีครับ
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน)
ตามหา หมอดู เชียงใหม่ คนนี้ให้ผมด้วยครับ มีรายละเอียดให้ครับ
ในห้อง 'ดูดวง และ ทำนายฝัน' ตั้งกระทู้โดย ramai, 23 ตุลาคม 2010.
หน้า 3 ของ 5
-
-
+3xxxxxxxxxx (New York City - NYC)
คุณอยู่ทางนี้ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ
น้าหญิงที่อยู่หน้าวัดร่ำ...เมืองไทย
ท่านได้ดําเนินงานทําบุญ... 10/12/2554 ซึ่งเป็นวันพระ
"ผมก็ทําไปพร้อมๆกันอีกทางหนึ่งหนึ่งครับ"
ทั้งหมด 20 ยังเหลืออีก 19
ตอนเย็นผมจะต้องไปร่วมทําบุญสวดอภิธรรม ศพภรรยา ผู้ใหญ่บ้านระแวกเดียวกัน 1
เหลือ 18 และยังงานบูญทางวัดอีกมากมายฯลฯ
ผมจะกระจาย..ให้ได้มากที่สุดครับ
ส่วนคุณ...ของคุณ หากท่านรับรู้ล่วงหน้าแล้ว ท่านคงจะได้มาอนุโมทนาบุญกับครอบครัวของผม
ตอน2ทุ่มกว่าๆ ในการตัดสินใจทํากุศลให้เกิดในครั้งนี้ น่าชื่นใจครับ ส่วนที่คุณถามผมค้างไว้มีให้ศึกษาตามข้างล่างนี้นะครับ
มรณานุสสติ แปลว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดา
ของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด ความ
ตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป ท่านผู้อ่านจะสงสัยว่า เมื่อความตายเป็นของ
ธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ทราบว่าตัวจะต้องตาย แล้วพระพุทธเจ้ามาสอนให้นึกถึงความตายเพื่อประโยชน์
อะไร ? ปัญหาข้อนี้ตอบไม่ยาก เพราะธรรมดาของคนที่มีกิเลสทั่วไป รู้ความตายว่าเป็นของธรรมดา
จริง แต่ทว่า เห็นว่าเป็นธรรมดาสำหรับผู้อื่นตายเท่านั้น ถ้าความตายจะเข้ามาถึงตนเองหรือญาติ
คนที่รักของตนเข้า ก็ดิ้นรนเอะอะโวยวายไม่ต้องการให้ความตายมาถึงตนหรือคนที่ตนรัก พยายาม
ทุกทางที่จะไม่ยอมตายปกติของคนเป็นอย่างนี้ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า เกิดมาแล้วต้องตาย ไม่ว่าใคร
จะหนีความตายไม่ได้ การดิ้นรน เอะอะโวยวายต้องการให้ความตายไปให้พ้นนี้เป็นการดิ้นรนเหนือ
ธรรมดาไม่มีทางทำได้สำเร็จ จะทำอย่างไร ความตายก็ต้องจัดการกับชีวิตแน่นอน เมื่อกฎธรรมดา
เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอน คือย้ำตามความเป็นจริงว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ความตายนั้นเป็นสิ่งปกติธรรมดาไม่มีใครจะหลีกหนีพ้น ความตายนี้แบ่งออกเป็นสาม
อย่างด้วยกัน คือ
๑. สมุจเฉทมรณะ ความตายขาดตอน หมายถึงความตายของพระอรหันต์ท่านเสร็จ
กิจแห่งพรหมจรรย์ คือสิ้นกิเลสแล้ว เหตุที่จะต้องทำให้เกิด คือกิเลสและตัณหาที่จะควบคุมบังคับ
ท่านให้เกิดอีกไม่มี ท่านมรณะแล้วท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก เรียกว่า สมุจเฉทมรณะ แปลว่า
ตายขาดตอนไม่กลับมาเกิดอีก
๒. ขณิกมรณะ แปลว่า ตายเล็กๆ น้อย ๆ ท่านหมายเอาความตาย คือ ความดับ หรือการ
เคลื่อนไปของชีวิต ที่มีการเคลื่อนไปวันหนึ่ง ๆ วันเวลาล่วงไป ชีวิตก็เคลื่อนไปใกล้จุดจบสุดยอดคือ
ตายดับทุกขณะ การผ่านไปของชีวิตท่านถือเป็นความตาย คือ ตายทุกลมหายใจออกและเกิด
ต่อทุกๆ ลมหายใจเข้า อาหารเก่าที่บริโภคเข้าไปเป็นการหล่อเลี้ยงชีวิตชั่วคราวเมื่อสิ้นอำนาจ
ของอาหารเก่า ร่างกายต้องการอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงแทนแต่ถ้าไม่ได้อาหารใหม่เข้าไปทด
แทนชีวิตก็จะต้องดับ ชีวิตที่ทรงอยู่ได้ก็เพราะอาหารใหม่เข้าไปหล่อเลี้ยงไว้ เมื่อสิ้นสภาพของอาหาร
เก่า ท่านถือว่าร่างกายต้องตายแล้วไปยุคหนึ่ง พอได้อาหารใหม่มาทดแทน ชีวิตก็เกิดใหม่อีกวาระ
หนึ่ง การเกิดการตายต่อเนื่องกันทุกวันเวลาอย่างนี้ ถ้าอาหารเก่าหมดสภาพไม่บริโภคใหม่ หรือลม
หายใจออกแล้ว ไม่หายใจเข้า สภาพของร่างกายก็จะสิ้นลมปราณ คือตายทันที ที่ทรงอยู่ได้อย่างนี้ก็
เพราะได้ปัจจัยบางอย่างค้ำจุนทดแทนกันเข้าไป ท่านสอนให้มองเห็นสภาพของสังขารร่างกายว่ามี
ความตายเป็นปกติทุกวันเวลาอย่างนี้ท่านเรียกว่า ขณิกมรณะ แปลว่า ตายทีละเล็กละน้อย หรือ
ตายเล็ก ๆ น้อย ๆ
๓. กาลมรณะ และ อกาลมรณะ กาลมรณะ แปลว่า ตายตามกาลตามสมัยที่ชาวโลก
นิยม เรียกว่า ถึงที่ตาย คือสิ้นอายุ อย่างชนิดที่ไม่มีการแก้ไขได้ อกาลมรณะ แปลว่า ตายใน
โอกาสที่ยังไม่ถึงกาลควรตาย แต่ต้องตายเพราะกรรมบางอย่างที่เป็นอกุศลเข้ามาบีบคั้น
ให้ตาย การตายประเภทหลังนี้พอมีทางต่อให้อายุยืนยาวต่อไปได้ตามสมควรแก่กรรมใน
อดีต จะต่อให้เลยพอดีนั้นไม่ได้ พวกตายตามแบบกาลมรณะตายไปแล้วเสวยผลกรรมทันที แต่
พวกที่ตายตามแบบอกาลมรณะนี้ ตายแล้วยังไม่ไปเสวยผลกรรมทันที ต้องไปเป็นสัมภเวสี แสวงหา
ที่เกิดก่อน คือรอกาลที่จะถึงกาลมรณะก่อน เมื่อถึงเวลาแล้วจึงจะได้รับผลกรรมดีและกรรมชั่วที่ทำ
ไว้ขณะที่ยังไม่ได้รับผลกรรมที่ทำไว้นั้นต้องลำบากในเรื่องอาหารและที่อยู่ ท่องเที่ยวไปตามความ
ต้องการ พวกตายแบบอกาลมรณะนี้ ที่ชาวโลกนิยมเรียกว่า ตายโหงนั่นเอง เช่น ถูกฆ่าตายคลอด
ลูกตาย รถทับตาย ฟ้าผ่าตาย ฆ่าตัวตาย งูกัดตาย รวมความว่าตายแบบผิดปกติ ไม่ใช่ป่วยตายตาม
ธรรมดาเรียกว่า อกาลมรณะ คือตายก่อนกำหนด ตายทั้งนั้น การตายแบบนี้ ถ้ามีท่านผู้รู้ช่วย
เหลือสามารถช่วยให้พ้นตายได้ เช่น ที่นิยมเรียกกันว่า สะเดาะเคราะห์หรือต่ออายุ การสะเดาะ-
เคราะห์หรือต่ออายุนั้น ต้องทำโดยธรรมจริง ๆ และรู้จริงจึงใช้ได้แต่ถ้าต่อแบบหมอต่อยัง
มืดมนท์ด้วยกิเลสแล้วไม่มีทางสำเร็จผล ไม่ต่อดีกว่า ขืนต่อก็เท่ากับไปต่อชีวิตหมอให้มีความสุข
ส่วนผู้ต่อกลายเป็น ผู้ต่อทุกข์ไป เรื่องต่ออายุนี้มีเรื่องมาในพระสูตรคือเรื่องของท่าน อายุ-
วัฒนสามเณร
เรื่องย่อดังนี้
วันหนึ่ง บิดามารดาพาท่านเมื่อยังเกิดไม่กี่เดือนไปหาพระพุทธเจ้า (ขอเล่าลัด ๆ) เมื่อบิดา
ลาพระพุทธเจ้าท่านกล่าวว่า "ทีฆายุโก โหตุ" แปลว่า ขอเธอจงมีอายุยืนนาน พอแม่เข้าลา
ท่านก็ว่าอย่างนั้น ตอนท้าย สองผัวเมียให้ลูกชายกราบลาท่าน ท่านไม่พูด คือท่านเฉยเสีย สองผัว
เมียแปลกใจ ถามว่า เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันสองผัวเมียกราบลา พระองค์ให้พรว่าขอเธอจงมีอายุ
ยืนนาน แต่พอเกล้ากระหม่อมฉันให้ลูกชายลา พระองค์ทรงนิ่ง เหตุอะไรจะมีแก่บุตรชายเกล้า
กระหม่อมฉันทั้งสองหรือพระพุทธเจ้าข้า
พระองค์ตรัสตอบว่า เพราะบุตรชายของเธอจะตายภายใน ๗ วันนี้ ตถาคตจึงไม่กล่าวอย่างนั้น
สองผัวเมียฟังแล้วตกใจ ขอให้พระองค์ช่วยเหลือ พระองค์สั่งให้ไปปลูกโรงพิธีกลางลานบ้าน แล้ว
ให้เอาพระไปนั่งล้อมเด็กสวดพระปริตครบ ๗ คืน ๗ วัน พอวันที่ ๗ เป็นวันตายของเด็ก เพราะยักษ์
จะมาเอาชีวิตวันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จเอง เมื่อพระองค์เสด็จ พรหมและเทวดาผู้ใหญ่มามาก ยักษ์
เข้าไม่ถึง พอครบเวลาที่ยักษ์จะเอาชีวิต หมายความว่า ถ้าเลยเวลาเขาทำไม่ได้ เขาทำตามกฎของ
กรรมว่าจะให้ตายเวลาเท่าใด เวลาเท่านั้นเขาจะต้องทำให้ได้ ถ้าเลยเวลาแล้วเขาก็ไม่ทำ พอเลย
เวลาที่เด็กจะต้องตาย พระพุทธเจ้าท่านก็พาพระกลับ เลิกพิธี ก่อนกลับพระองค์ให้พรแก่เด็กว่า
ทีฆายุโกโหตุต่อมาเด็กคนนั้นมาบวชเณรเมื่ออายุ ๗ ปี ได้สำเร็จพระอรหันต์ ท่านมีอายุครบ ๑๒๐
ปี จึงนิพพาน
พวกอกาลมรณะนี้ต่อได้อย่างนี้ แต่การต่อต้องเป็นผู้รู้จริง ทำถูกต้องจริง และการทำให้ต้อง
ไม่ปรารภสินจ้างรางวัล ทำเพื่อการสงเคราะห์จริงๆ จึงเกิดผลว่า จะพูดเรื่องตายเป็นกรรมฐาน
แอบมาเป็นหมอต่ออายุเสียแล้วขอวกกลับไปเรื่องมรณานุสสติใหม่
นึกถึงความตายมีประโยชน์
ประโยชน์ของการนึกถึงความตาย ทำให้เป็นคนไม่ประมาท เพราะรู้ตัวว่าจะตายจะได้
แสวงหาความดีใส่ตัวโดยรู้ตัวว่า ชาตินี้จนเพราะชาติก่อนให้ทานไว้น้อย ถ้าชาติหน้าไม่ยากจนอีก ก็
พยายามให้ทานเสมอ ๆ ตามกำลังทรัพย์ที่พอจะให้ได้ และอย่าให้จนหมดตัว จะเกินพอดี ต้องให้พอ
เหมาะพอดี ไม่เดือดร้อนภายหลังนั่นแหละจึงจะควร
รู้ตัวว่ามีโรคมาก ป่วยไข้ไม่สบายเสมอๆ ของหายบ่อย ๆ รูปร่างสวยน้อยไปคนในบังคับ
บัญชาดื้อด้าน วาจาไม่ศักดิ์สิทธิ์ อารมณ์ความจำเสื่อม ถ้าต้องการให้สิ่งบกพร่องเหล่านี้สมบูรณ์ใน
ชาติหน้าจะได้พยายามรักษาศีล ๕ให้บริสุทธิ์ครบถ้วนแล้ว ก็จะได้รับอานิสงส์ มีอายุยืน รูปสวย ไม่มี
โรคภัยรบกวน ไม่มีภัยจากโจรรบกวนทรัพย์สมบัติ คนในบังคับบัญชาอยู่ในโอวาทเป็นอันดี ไม่มีใคร
ดื้อด้าน มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ พูดอะไรเป็นนั่น มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ก็ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
ถ้าเห็นว่า มีปัญญาน้อย ไม่ใคร่ทันเพื่อน ก็พยายามเจริญสมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน
พอมีฌานมีญาณเล็กน้อย ในชาติต่อไปก็จะเป็นคนมีปัญญาเลิศ
ถ้าเห็นว่า ความเกิดเป็นโทษเป็นทุกข์ เพราะการเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร มีตระกูล
สูงส่งประการใดก็ตาม ต้องประสบกับความทุกข์อย่างมหันต์ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ต้องการความ
เกิดอีก ก็เร่งรัดเจริญสมถะให้ได้ฌานต้น แล้วเจริญวิปัสสนาญาณให้จบกิจพระศาสนา ซึ่งเป็นของ
ไม่หนักเลยสำหรับท่านที่นึกถึงความตายเป็นปกติ หรือที่เรียกว่า เจริญมรณานุสสติกรรมฐาน
เพราะกรรมฐานกองนี้ เป็นกรรมฐานหลักสำหรับเจริญวิปัสสนาญาณ ท่านจะได้ดี เป็นเทวดา เป็น
พรหม เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องอาศัยการปรารภความตายเป็นปกติ แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เอง พระองค์แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติกรรมฐาน คือนึกถึงความตาย
เป็นอารมณ์ วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวัน
ละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า ยัง
ห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก การนึกถึงความตายเป็นปกติเป็น
ของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตายรู้ตัวว่าจะตายแล้ว
ย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่วและมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตาย
มาถึงแล้ว เพราะคิดอยู่รู้อยู่เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่ ความตายนี้หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้
กำหนดการเกิดหมอบอกได้แต่กำหนด เวลาตายไม่มีใครกำหนดได้แน่นอนสำหรับปุถุชน
คนธรรมดา สำหรับพระอริยเจ้าหรือท่านที่ชำนาญในอานาปานุสสติกรรมฐานท่านสามารถบอก
เวลาตายที่แน่นอนของท่านได้ พระอริยาเจ้าที่จะบอกเวลาตายได้ ก็ต้องเป็นท่านที่ได้ วิชชาสาม
เป็นอย่างน้อย ถ้ามีความรู้พิเศษต่ำกว่านั้น ท่านก็กำหนดเวลาตายไม่ได้เหมือนกัน ท่านเปรียบชีวิต
ไว้คล้ายกับขีดเส้นบนผิวน้ำ ขีดพอปรากฏว่ามีเส้นแล้วในทันทีเส้นที่ขีดนั้นก็พลันสูญไปชีวิตของ
สัตว์ที่เกิดมาก็เช่นเดียวกันความตายรออยู่แค่ปลายจมูกถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไร ก็สิ้นภาวะเมื่อนั้น
เอาความยั่งยืนไม่ได้เลย
ท่านเจริญมรณานุสสติกรรมฐาน เมื่อท่านคิดถึงความตายเป็นปกติ จนเห็นความตายเป็น
ปกติธรรมดา เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์คือ ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาพอสมควรแก่ความ
ต้องการแล้ว ถ้าคิดให้ไกลไปอีกสักนิดว่า ความตายเป็นของมีแน่ เราไม่หนักใจแล้ว ความเกิดต่อไป
ก็มีแน่ จะเกิดเป็นอะไรก็ตามเต็มไปด้วยความทุกข์ หนีทุกข์ไม่พ้น เราไม่ต้องการความเกิดอันเป็น
เหยื่อของวัฏฏะอีก แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่หวงแหนยิ่ง จะต้องพังทลายเรายังไม่มีเยื่อใย ก็สมบัติอะไร
ในโลกีย์ที่เราต้องการ เราไม่ต้องการอะไรอีก เทวโลก พรหมโลก เราไม่ต้องการ สิ่งที่พอใจที่สุดก็
คือพระนิพพาน ทำใจให้ว่างจากความเกิด ความเกาะในชาติภพ ปรารภพระนิพพานเป็นปกติ อย่างนี้
ท่านมีหวังสิ้นชาติสิ้นภพ ประสบผลอย่างยอด คือถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันแน่นอน
ผมคัดลอกมาจากเว็ปไซต์อีกที
หากจะตอบโดยใช้คําพูดคุณอาจจะลืมได้หวังว่าคงเข้าใจวัตถุประสงค์นะครับ
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) -
ขอบคุณ สำหรับคำแนะนำดีๆๆค่ะ ( คนลำพูน )
-
ขอขอบคุณเจ้าของเว็ปไซต์ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทุกคน
และบรรดาครูบาอาจาร์ยชาวเว็ปทุกท่าน
ที่ทําให้ผมได้มีโอกาส สร้างกุศลด้วยการอาสา ดูกรรมในอดีตชาติ
แม้ว่าเราจะต่างกันบ้าง เช่นวิธีการให้ความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
แต่เราก็มีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือ ทุ่มเท เสียสละ ความสุขส่วนตัว
เพื่อให้ท่านเหล่านั้น สุข สมหวัง และบรรเทาทุกข์ให้จางไป ให้ได้มากที่สุด
ดังพุทธวาจาแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า อํานาจราชศักดิ์ใดๆ
มิอาจเทียบเท่า อํานาจด้านจิตวิญญานครับ และขอขอบใจสําหรับข้อความ
น่ารัก น่ารัก ด้านบนนี้ที่ให้กําลังใจและขอส่งต่อให้ครูบาอาจาร์ยท่านอื่นๆด้วยครับ
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) -
ขออนุญาตปรึกษาด้วยคนค่ะวันอาทิตย์ โทรหาได้มั้ยค่ะ
-
ปกติแล้ววันจันทร์-เสาร์ คือวันที่ผมทํางานอยู่กับบ้าน
(อาชีพอิสระส่วนตัวครับ)นี่คือคําตอบของท่าน ด้านบนนี้
แต่หากท่านกําลังสอบถาม บุคคลท่านอื่น ผมต้องขออภัยด้วยครับ!
เลยถือโอกาสนี้ทําความเข้าใจ กับอีกหลายๆท่านที่มีคําถามทํานองเดียวกัน
"ผม"ทํางานในด้านช่างยนต์ วันอาทิตย์ต้องไปดูแลสวนลําไย ผมเป็นคนเหนือ
โดยกําเนิด พ่อแม่เป็นเกษตรกร ผมมีครอบครัวแล้ว ภรรยา-ลูก1คน กําลังเรียน
อยู่ชั้นมัธยมปีที่4 โรงเรียนในตัวจังหวัดลําพูน
รายได้ส่วนใหญ่ มาจากสองทางนี้ครับ ไม่รวยไม่จน แค่พอเลี้ยงชีพ
ปัจจุบันคืนทุนให้กับแผ่นดินเกิด ตลอดจนผู้มีพระคุณ- เจ้ากรรมนายเวร ด้วยการสร้างบุญบารมี
เพื่อเป็นกําไรไว้ภายภาคหน้า จนกว่าจะได้ซึ่งมรรคผลนิพพานครับ
ส่วนท่านใด อยากโทรสอบถามเรื่องกรรม ตั้งแต่ 07.30น-21.00น
วันอาทิตย์ หากกรณีเร่งด่วนจริงๆท่านรอไม่ไหว ผมก็อนุโลมให้ครับ
แต่ต้องจําเป็นต้องรู้ให้ได้ และเร่งด่วนจริงๆ
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) -
(ฝรั่งเศส: République Française)
วันอาทิตย์ที่18 เเรม๘ค่ำเดือน๑ เป็นวันพระ
อาทิตย์ร้อน(เตโชธาตุ)
แรม๘ค่ำ(หมายถึงธูป8ดอกบูชาเทพ)
เดือน๑(ภูเขาสูงใหญ่,อาตมัน)
คือสัญญาที่ให้ไว้กับคุณ +339XXXXXXXX,+336XXXXXXXX
นิพพาน คือ อาตมัน(อรหันต์)เข้าไปรวมกับปรมาตมัน
ศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาฮินดู มีมาก่อนศาสนาพุทธ องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เป็นศิษย์คนหนึ่งในศาสนานี้ ตอนที่พระพุทธเจ้าออกผนวชมีนามว่า มุนีสมณะ
ศาสนาพราหมณ์ ก็มีนิพพานเป็นโมกขธรรม หรือโมกษะเหมือนกับศาสนาพุทธ แต่ในยุคก่อนพระพุทธเจ้า ไม่มีนักบวชพราหมณ์คนใดเข้าถึงนิพพาน คนที่เข้าถึงนิพพานคนแรกในศาสนาพราหมณ์ คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ มุนีสมณะ หรือ ศากยะมุนี
ความจริง ลัทธิต่างๆของพวกพราหมณ์สมัยนั้น พวกเขาเข้าใจถูกในหลักใหญ่สุดแล้วว่า
“ จิตของเราแต่ละคนเป็นอาตมัน เป็นอย่างเดียวกับจิตของพรหมสูงสุดคือ ปรมาตมัน แต่คนเราทำกรรมต่างๆลงไป ดังนั้นจึงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในโลกนี้ เมื่อใดกำจัดอวิชชา ความไม่รู้ไห้หมดไปแล้ว อาตมันจะเข้าร่วมกับปรมาตมัน คนที่สำเร็จจะกลายเป็นพรหม”
พระพุทธองค์ไม่เคยปฏิเสทหลักใหญ่สุดของพราหมณ์เลยแม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยปฏิเสทเรื่องพรหม และปรมาตมัน ว่าไม่มีจริง เพียงแต่ระบุว่า จิตของเราแต่ละคนที่เป็นอาตมัน(อัตตา) = จิตบริสุทธิ์ขั้นอรหันต์ ส่วนจิตที่ยังขจัดอวิชชาไม่หมด ไม่ใช่จิตที่เป็นเป็นอาตมัน(อัตตา) แต่เป็นจิตที่เป็นอนัตตา เป็นมายา เป็นภาพลวงตา ไม่ใช่ตัวตนแต่อย่างใด
นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังระบุชัดอีกว่า พรหมสูงสุด หรือ ปรมาตมัน นั้นคือ พระธรรม และตัวของพระองค์ก็คือ อวตารปางหนึ่งของพระธรรมนั้น
"ดูก่อนวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่น ในตถาคต เกิดขึ้นแล้ว แต่รากแก้ว คืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้หนึ่งผู้ใดในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่าเป็นบุตร เกิดแต่พระอุระเกิดจากพระโอษฐ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้เกิดจากธรรม อันธรรมนิรมิตขึ้น (เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น)"
ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ในอัคคัญญสูตร
ในหลักโมกษะ หรือโมกขธรรม ผู้ที่แสวงหาโมกขธรรม คือ ผู้ที่แสวงหานิพพาน หรือความหลุดพ้นจากความทุกข์ นิพพาน หรือความหลุดพ้นจากความทุกข์ในหลักศาสนาพราหมณ์ = การเข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมสูงสุด ซึ่งสิ่งสูงสุดนี้ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ และไม่มีการตาย
หลวงปู่ดุลย์กล่าวไว้อย่างชัดเจนมากว่า " โดยปราศจากรูปปรมาณู(หมายถึง ดับวิญญาณธาตุและดับนามรูปแล้ว) ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน"
ความว่างนั้น จึงบริสุทธิ์และสว่าง รวมเข้ากับความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม เข้าเป็นหนึ่งเรียกว่า นิพพาน = นิพพานของจิตแต่ละดวง เป็นจิตว่าง บริสุทธิ์และสว่าง เมื่อรวมเข้ากับปรมาตมัน ซึ่งคือ ความว่าง บริสุทธิ์ สว่าง ของจักรวาลเดิม สิ่งนี้คือนิพพาน
ด้วยเหตุนี้ อาตมัน(อรหันต์)เข้าไปรวมกับปรมาตมันหรือพรหมสูงสุด(พระธรรม) ที่เป็นหลักสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ ก็เป็นหลักสูงสุดของศาสนาพุทธนั่นเอง เพียงแต่อวิชชาหรือมารมันลวงจิตเราไม่ให้เห็นความจริงข้อนี้ จนกว่าเราจะเข้าถึงกระแสพระนิพพาน จึงจะพ้นจากบ่วงมารหรืออวิชชาได้
จริงๆแล้ว ศาสนาพุทธจัดได้ว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ พระอาจารย์ของพระพุทธเจ้า ได่แก่ อุทุกดาบส และอาฬารดาบส เป็นผู้ที่เข้าถึงจุดสูงสุดของความรู้ของพราหมณ์สมัยนั้น คือ อรูปพรหม พวกท่านเลยเข้าใจผิดว่า อรูปพรหม เป็น นิพพาน เท่านั้นเอง
พระพุทธองค์ทรงเปรียบเทียบดวงอาทิตย์มี๑๖เฉด แต่กระนั้นยังไม่เท่ากับเศษเสี้ยว เมตาเจโตวิมุตติ แม้แต่จันทร์ทราจะเจิดจ้าท่ามกลางราตรีสักปานใด
ก็ยังต้องพ่ายแพ้เศษเสี้ยวของ เมตาเจโตวิมุตติ
ดังนั้นกระผมเองจึงอยากให้คุณศึกษาให้ลึกเข้าไปอีกสักนิดโดยใช้คันฉ่อง
(กระจกหกด้าน)ให้เห็นความไม่เที่ยงรอบๆตัวเรา 360 องศา แล้วค่อยปรารภ
เพื่ออนาคตกาลข้างหน้าของคุณเองครับ
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) -
ต้องขอขอบคุณในความกรุณาเป็นอย่างสูงที่คุณศิริได้สละเวลารับดูกรรมและชี้แนะธรรมให้ ในขณะที่คุณยังต้องทำธุระกิจส่วนตัวอยู่ อนุโมทนาสาธุ ในเจตนาอันบริสุทธิ์เพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในธรรมะที่คุณแนะนำมาช่างลึกแต่ไม่ลับเหมื่อนกับคุณมาเปิดประตูให้เข้าไปดูสัจจะธรรมของพระสัมมาสัมพุธทเจ้าอีกขั้นหนึ่ง ดิฉันรู้สึกโล่งบอกไม่ถูกค่ะ และเข้าใจที่คุณพยายามบอกก็จะพยายามทำให้ได้ค่ะ
-
ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่พุทธศักราช ๒๕๕๕
แต่ละวันคล้อยเคลื่อน ผ่านเดือนปี
ใช้ชีวีผ่านทุกข์สุข แต่ละหน
แต่ละคราวๆวาดหวัง เพื่อตั้งตน
ให้หลุดพ้นทุกข์ บ่วงกรรมด้วยทำดี
อาทิตย์ ที่ ๑ มกราคม ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๒ ตรงกับวันพระ(เริ่มต้นวันใหม่)
พุทโธ พุทธัง รักสา ธัมโม ธัมมัง รักสา สังโฆ สังฆัง รักสา
พุทโธ พุทธัง อะระหัง ธัมโม ธัมมัง อะระหัง สังโฆ สังฆัง อะระหัง
พุทโธ พุทธัง กัณหะ ธัมโม ธัมมัง กัณหะ สังโฆ สังฆัง กัณหะ
อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) -
ขอบคุณ คุณ สิริ ศรีสมบัติ ขอขอบคุณ มากมายกับแนวทางการแก้ไขปัญหาชีวิตครับ
-
ผมขอขอบคุณคุณศิริมากนะครับ ที่เปิดโอกาสให้ผมได้สนทนาผ่านโทรศัพย์เมื่อวันที่ ยี่สิบเจ็ด ผมสายลมครับโทรจาก เมลเบริอนออสเตรเลีย ผมกราบขอบพระคุณอีกครั้งนะครับ มีโอกาสอยากจะไปสนทนาธรรมด้วยครับ
ด้วยความเคารพ
สายลม -
สวัสดีค่ะ คุณ ศิริสมบัติ สบายดีมั้ยค่ะ โชคดีปีใหม่ทุกๆๆท่านด้วยค่ะ
-
กราบเรียนท่านผู้แสวงบุญ
"ผู้แสวงหาสัจจะทุกท่าน"
ผมอาจขาดหายไปจากการตอบกระทู้
มาทางเว็ปบอร์ดอยู่บ้างต้องขออภัยครับ
ช่วงนี้ เป็นช่วงเทศกาลงานบุญ ผมจึงต้องตระเวนไปร่วมงานบุญต่างๆ
ซึ่งต้องอยู่ในงานพิธี ผมจึงปิดมือถือไปบ้างเพื่อความเคารพต่อสถานที่
เลยต้องขออภัยทุกท่านที่ต้องการโทรปรึกษา เรื่องดูกรรม ฯลฯ
อาจติดขัดในการโทรติดต่อในแต่ละครั้ง เช่นสายไม่ว่าง เพราะสนทนานาน
ผมทราบดี แต่ไม่อาจปฎิเสทหรือจํากัดเวลาในสาย ขณะนั้นๆได้จริงๆ
จึงเรียนมายังผู้ที่มีไมรตรีจิต ที่ต้องการโทรมาปรึกษา
ผมจึงอยากให้ท่านได้กรุณากดโทรศัพท์กลับมาใหม่ในเวลาต่อไปด้วยครับ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
จาก สิริ ศรีสมบัติ -
ยินดีต้อนรับผู้แสวงบุญทุกท่าน
ที่เดินทางมาจากกรุงเทพมหานคร สู่จังหวัดลําพูน
จากสนามบินเชียงใหม่ ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก
30 นาที ผ่านทางอําเภอสารภี สุดเขตต้นยางใหญ่
ตรงนั้นท่านจะพบกับศาลหลักเมืองฝั่งซ้ายมือ เชิญนมัสการ
ทีนี้ท่านจะเห็นต้นขี้เหล็ก(มูลเหล็ก)เรียงรายสองข้างทาง
ท่าน!ได้เข้าสู่เขตจังหวัดลําพูนโดยสมบูรณ์แล้ว
สถานที่สี่แห่ง วัด โบราณสถานสําคัญๆ ฯลฯ ที่ท่านตั้งใจเพื่อมาขอพร
กราบไหว้บูชา ผมขออนุโมทนาบุญให้ทุกๆท่านที่มา จงสําริดผลโดยทั่วกัน
นะครับ ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพเช่นกัน
จาก สิริ ศรีสมบัติ -
Sweden! +4XXXXXXXXXX
มีอีกอย่างที่ผมลืมบอกคุณไป
ที่นี่เป็นบ้านแห่งที่สองของคุณนะครับ!
มีความอบอุ่นเท่าๆกับบ้านหลังแรก
ผมไม่อยากให้คุณต้องเลือกทั้งสองทาง
จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง
ทําปัจจุบันให้สมบูรณ์ และดีที่สุด
"ผม เอาใจช่วยครับ
น้อง สิริ ศรีสมบัติ<!-- google_ad_section_end --> -
ผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงที่สัญญานโทรศัพท์ขัดข้อง
"อาจจะเป็นที่ของผมนะครับ" เพราะใช้งานหนักทั้งวัน
ผมขอบคุณที่คุณให้กําลังใจจาก...รัฐวอชิงตัน (Washington)
และเข้าใจในสิ่งที่ผมได้บอกไป พยายามต่อไปนะครับ
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) -
ขอส่งกําลังใจ และฝากขอบคุณมายังกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม
(ชาวจังหวัดกาญจนบุรี)ทุกท่าน
ที่กรุณาให้ความไว้วางใจ และเชื่อมั่นต่อการปฎิบัติ ด้วยแนวทางแห่งธรรมะ
ขอบุญกุศลที่ท่านทําไว้ดีแล้ว ทุกภพทุกชาติจงสําริดผลโดยเร็ววัน
ทุกท่านทุกคน เทอญ .
จาก สิริ ศรีสมบัติ
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูิหิ(เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน) -
ขอน้อมกราบนมัสการ และส่งเสด็จกลับ
พระทันตธาตุภูฎาน สานสัมพันธ์สองแผ่นดิน
พระบรมสารีริกธาตุ ขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้ากัสสปะ
ที่อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระวิหารหลวง วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร
เพื่อให้พุทธศาสนิกชนชาวจังหวัดเชียงใหม่
และจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนผู้แสวงบุญทุกท่าน
บัดนี้ สําเร็จเสร็จสิ้นลงแล้ว ข้าพเจ้าในนามผู้แสวงบุญ
สํานึกในพระบริสุทธิคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และเมตตาคุณ
สายสัมพันธ์สองแผ่นดิน ขอจงเป็นพลานิสงค์พละปัจจัย อุปนิสัย จงมีแก่ข้าพเจ้า และบุคคญทั่วไปเพื่อให้เกื้อหนุนค้ำจุนพระพุทธศาสนา
ทุกภพทุกชาติ ไปจนกว่าจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานด้วยเทอญ.
ข้าพเจ้า นายสิริ ศรีสมบัติ -
ขอขอบคุณ ท่านศิริ ศรีสมบัติ เป็นอย่างสูง ที่กรุณาชี้แนะแนวทางต่างๆ ให้กับผม รวมถึงทางแก้ไขและ แนวทางปฎิบัติ ครับ.
ขอพรคุณพระรัตนตรัย คุ้มครองท่านตลอดไป -
สวัสดีค่ะอยากจะขอคำแนะนำบ้างอะค่ะ ไม่ทราบว่าจะต้องนัดเวลาหรือว่าโทรได้ตลอดเวลาคะ ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ
บุญรักษาค่ะ
หน้า 3 ของ 5