ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย เทพออระฤทธิ์, 11 มิถุนายน 2012.

  1. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    [​IMG]


    ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน


    ...ความจริง ตายแล้วไม่สูญ และ ตายแล้วไปไหน นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียด เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี 5สายคือ

    1)อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน

    2)เป็นมนุษย์

    3)เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์

    4)เกิดพรหม

    5)ไปพระนิพพาน

    ท่านตายแล้วไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ 5 ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้
    แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
    แดนสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่วคือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้5 ประการคือ

    1) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 1

    2) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 2

    3) ใจเร็ว ได้มีจิตใจไม่เคารพรักของคนอื่น ชอบลอบชู้ บุตร ภรรยาและธิดาสามี ของคนอื่นด้วยความเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 3

    4) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึง ละเมิดศีลข้อที่ 4

    5) ชอบทำตนเป็นหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกด้วนน้ำเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ 5

    กรรม คือ ความประพฤติในกฎ 5 ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์
    แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องกรรมบถ 10 หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล 5 ประจำได้แก่

    1) เป็นคนมีเมตตาปราณีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง

    2) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าตัวไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ

    3) ไม่ใจเร็ว ละเมิดรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบบุคลอื่น

    4) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง

    5) ทำตนเป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีความรับรู้ความดีความชั่ว

    ตามกฎแห่งกรรม ไม่ปล่อยใจเลื่อยลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ
    ท่านที่ทรงความดี 5 อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
    แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี 2 อย่างคือ

    1) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่สถาน

    2) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน

    3) เหตุ 2 ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

    แดนที่สี่ ได้แก่พรหมโลก
    แดนเกิดสายที่สี่ ได้พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ดีกว่าเทวดา และมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่าเข้า ฌานตาย




    แดนสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
    แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน นักปราชญ์ สมัยนี้ถือ นิพพานสูญ กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกย่อๆว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ 10 อย่างคือ

    1)ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก

    2)ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตต้องทำลายตนเองในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วก็บัลดาลให้มีความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ

    3)รักษาศีลมั่นคง ดำรงอยู่ในศีลเป็นปกติ

    4)ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากจิตใจ ด้วยอำนาจความรู้จริง รู้ว่าความเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ

    5) มีจิตใจไปด้วยความเมตตราปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างของผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา

    6) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้

    7)ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่ใช่ทางสิ้นทุกข์

    8)มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนต่อสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่

    9) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น ๆเป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะเบ่งบารมีทับใคร

    10)ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระในอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะมันเป็นธรรมดามันหนีได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็พบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายมาถึงไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

    เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี 5 ทาง ท่านอาจจะยังสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและทำตามข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้า หาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกคนคิดว่าเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนด้วยปฎิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยเพราะคนไทยมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้ เราก็รู้เพียงเขาไม่ใช่เราเห็นเอง

    เรื่องของ การตายแล้วไม่สูญ และ ตายแล้วไปไหน ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือหรือที่อ่านจำได้แล้วเอาเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต้องอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักการปฏิบัติเพิ่งรู้ว่าตายไปแล้วไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิ เจริญกสิณ กองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรือ อาโลกสิณ เพ่งแสงสว่าง หรือโอตทากสิณเพ่ง จนสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาณแล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฎิบัติตตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึกมโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนของสมเด็จขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ตายแล้วไม่สูญ แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมาก ต่อไปขอนำเรื่องราวของที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ แล้วได้ไปพบเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ

    คัดลากจากหนังสือ ตายแล้วไม่สูญ ตายแล้วไปไหน
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2012
  2. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,469
    อนุโมทนา สาธุๆ ครับ

    ผมขอถามหน่อยครับเกี่ยวกับศีลข้อมุสาฯ ถ้าเราโกหกเค้าโดยที่เค้าไม่เสียผลประโยชน์เนี๊ย จะถือว่ามุสาฯรึเปล่าครับ
     
  3. เทพออระฤทธิ์

    เทพออระฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    4,573
    กระทู้เรื่องเด่น:
    4
    ค่าพลัง:
    +22,047
    หลวงพ่อตอบปัญหา...การรักษาศีล โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    เรื่องศีลข้อมุสาวาท

    ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าคุณที่เคารพอย่างสูง...

    หลวงพ่อ เอ๊ะ! วันนี้เป็นเจ้าคุณ ฉันขาดหลวงปู่ไปตำแหน่งนะนี่ หลวงตามาแล้ว ขาดหลวงปู่...หลวงทวด
    ผู้ถาม ลูกมีปัญหากลุ้มใจนิดเดียว เกี่ยวกับเรื่องศีลของหลวงพ่อ คือ ลูกเป็นแม่ค้าก็จำเป็นที่จะต้องโกหกอยู่เสมอ ไม่งั้นจะไม่ค่อยมีกำไร ลูกพยายามทุกอย่างแล้ว ธรรมะของหลวงพ่อทำครบหมด แต่ข้อนี้ทำไม่ได้ จึงขอบารมีหลวงพ่ออโหสิกรรมให้ลูกด้วยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ซิ...ฟังให้ดีนะ จุดธูปตอนเช้า วันนี้ขอลาศีลมุสาวาทชั่วคราว...(หัวเราะ) เอาอย่างนี้ซิ...วิธีพูดน่ะ เราซื้อของมาถูก ต้องขายแพงตามท้องตลาดใช่ไหมล่ะ ก็บอกต้นทุนมันแพง ลดจากนี้ไม่ได้หรอกจ๊ะ เท่านี้หมดเรื่องกันไป ไม่โกหก อย่าไปบอกซื้อมาบาทนี่ขาย ๑๐ บาท นี่ซื้อมา ๙๙.๙๐ บาท โธ่...ได้กำไร ๑๐ สตางค์ กลัวศีลขาด บอกต้นทุนมันแพง ลดจากนี้ไม่ได้น่ะ นี่มันมีความจำเป็น ถ้าต้นทุนถูกลดจากนี้ได้มาเยอะแยะ แค่นี้ไม่ผิด

    ผู้ถาม หลวงพ่อคะ บางครั้งเราก็ไม่เจตนาไอ้เรื่องโกหกนี่มันอยู่ในสังคม บางครั้งอย่างนี้นะ เขาจะมาเบียดเบียนเราน่ะ เราโกหกเขาว่าเราไม่มี
    หลวงพ่อ อันนี้ต้องรู้คำว่า มุสา นี่ ต้องทำลายผลประโยชน์เขาไอ้ตัวนี้ไม่ใช่โกหก ไม่ใช่มุสา

    ผู้ถาม บางครั้งก็ไม่เข้าใจนะคะ

    หลวงพ่อ ดี...ถามอย่างนี้นะดี ทีนี้คำว่า “มุสา” นี่ต้องทำลายผลประโยชน์เขา แต่นี่เราทำเพื่อรักษาผลประโยชน์เรา ใช่ไหม...ยังไม่อยู่ในเกณฑ์มุสา อย่างนี้เขาไม่ถือว่าขาดศีล ๕

    ผู้ถาม บางครั้งพูดแล้วมันเสียดใจ มันตรงเกินไป

    หลวงพ่อ ก็ใช่ แต่เปล่า...ก็ต้องบอกเรารู้นี่ว่า ไอ้หมดนี่ถ้าหากมาขอยืมทีไร มันไม่ใช้ให้ทันที ใช่ไหม...นี่เราขืนให้ไปเราก็ไม่ได้ มีอยู่เหลือเฟือนี่ ไอ้เงินน่ะเรามี แต่เงินที่เราจะให้ยืมมันไม่มี เราก็บอกไม่มี เราก็บอกไม่มีเฉย ๆ ว่ายืมไม่ได้ ความจริงเรามีแต่เราจะต้องใช้นี่ ใช่ไหม...ถ้าเขาเอาไปเขาไม่เอามาส่งคืนเราก็ลำบาก ถ้าเรามีเหลือเฟือนี่มันไม่เป็นไร อันนี้เราถือว่าเรารักษาผลประโยชน์เรา เขาไม่ถือว่าเป็นมุสานะ
    อย่างพวกค้าขายนี่ก็เหมือนกันละ ลงทุนมาบาทเดียวแต่ขาย ๑๐ บาท เราขายตามราคาท้องตลาดเขาขอลดเราบอกลดไม่ได้หรอก ต้นทุนมันแพง มันแพงเท่าไรนี่เราไม่ได้บอก เราอย่าไปบอก ๙ บาท ๕๐ สตางค์ซิ เราบอกแพงเฉย ๆ ตามความนิยมของท้องตลาด อันนี้มันไม่เป็นไรนะ ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท อันนี้เข้าใจนะโยม ข้อนี้มีคนข้องใจกันมาก
    แต่ว่าถ้าเราพูดไปเพื่อรักษาประโยชน์ของเรา เพราะอะไร...เพราะว่าถ้าเราไม่รักษาประโยชน์เราให้ไป มันก็ไม่คืนซักที ทีนี้เราก็พังละซิใช่ไหม...อย่างนี้ยังไม่ถือว่าเป็นมุสาวาท มุสาวาทมันต้องเป็นอย่างนี้ คือประโยชน์ของเขาที่จะพึงมีอยู่ด้วยเหตุนั้น เราไปบอกนี่แกอย่าไปทำเลยแบบนั้น ขาดทุนตาย แต่ว่าเราจะเอาซะเอง

    ก็เหมือนกับผู้ใหญ่เลี้ยงเด็ก ไอ้เด็กเกินไปชานบ้าน ถ้าขืนปล่อยไป เดี๋ยวมันหล่นใต้ถุนตายใช่ไหม...บอกไอ้หนูอย่าไป เดี๋ยวหล่นใต้ถุน เด็กมันไม่เชื่อ แต่เด็กมันกลัวงู ก็บอกแก บอกอย่าไปนะไอ้งูมันมี ตุ๊กแกมันมี เด็กก็กลัว อันนี้เรารักษาประโยชน์ของเด็ก ไม่เป็นมุสาวาท มันเป็นเมตตา แต่ว่าถ้าเราพูดตรงไปตรงมาเด็กเขาไม่เชื่ออาจจะหล่นใต้ถุนบาดเจ็บหรือตาย ถ้าเราบอกแบบนั้นก็เป็นการรักษาอวัยวะ หรือรักษาชีวิตของเขาใช่ไหม...อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นมุสาวาทนะ เป็นเมตตาจิต มันเป็นคุณ ไม่ใช่โทษ แล้วยังไงล่ะ?

    ผู้ถาม พอพูดแล้ว มันไม่สบายใจค่ะ

    หลวงพ่อ นี่ทีหลังเอาใหม่ซิ บอกว่าข้าไม่พูด ๆ ๆ มันไม่ได้ล่ะค่ะ

    หลวงพ่อ ทำไมล่ะ?

    ผู้ถาม มันต้องพูดกันอยู่นะคะ

    หลวงพ่อ ถ้าพูดกันอยู่ก็บอกว่า ไม่ได้หรอก สตางค์ที่ให้แกยืมน่ะ ไม่มีล่ะเว้ย ข้ามีเหมือนกันละ มีแค่จะซื้อข้าวสารกินหรือซื้อกับข้าวกิน ใช่ไหม ข้ามีอยู่เล็กน้อยแบ่งไม่ได้ เราต้องบอกมีเล็กน้อย เราก็ไม่มีมากใช่ไหม มันมีอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ความจำเป็นมันมีอยู่สำหรับเราก็ถือว่า มีเล็กน้อย ใช่ไหม ไม่ใช่มีมาก ถ้ามีมากเราต้องมีจนเหลือเฟือ ถ้าเขาถามมีไหม...บอกว่าจะว่าไม่มีเลยก็ไม่ใช่ มันมีเหมือนกัน แต่จะซื้อกับข้าวตอนเย็นนี่นะ แล้วไอ้ภาพกิจอื่นมันมีมันไม่ไหว ถ้าคุณเอาไปเสีย ฉันก็ให้ไม่ได้

    หรือบางทีเราก็ต้องบอกไปเลย บอกเงินให้ยืมไม่มีละ ฉันไม่มีแล้ว ใช่ไหม เราตัดไปจุดนั้นเลย ตัดไปจุดตะรางที่ว่า “ให้ยืมไม่มีไอ้คนตื๊อนี่ บอกมีเล็กน้อยเดี๋ยวมันเอานะ เราก็ต้องตัดไปว่า เงินให้ยืม นั้นไม่มีจริง ๆ ฉันไม่มีหรอกใช่ไหม อันนี้เราพูดถึงเงินให้ยืมใช่ไหม ไอ้เงินที่เรามีอยู่มันจำจะต้องใช้ อันนี้ก็ไม่ถือเป็นมุสาวาทนะ


    ที่มา หลวงพ่อตอบปัญหา...การรักษาศีล โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ - PaLungJit.com
     
  4. สุโขสุขี

    สุโขสุขี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    912
    ค่าพลัง:
    +1,469
  5. เปาชุนไหล

    เปาชุนไหล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    435
    ค่าพลัง:
    +2,240
    กราบเท้าหลวงปู่ฤาษีลิงดำอย่างสูงครับ

    อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     
  6. tum_infantrydiv3

    tum_infantrydiv3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    167
    ค่าพลัง:
    +250
    สาธุ ๆ อนุโมทนา ครับ

    เกิดมาเป็นมนุษย์แสนลำบาก จงตั้งมั่นอยู่ในศีลสม่ำเสมอ ได้รู้จักบาปบุญชั่วก็ดีหนักหนา ได้รู้ธรรมคำสอนพระศาสดา อยากหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิด ก็มั่นทำแต่ความดี เพื่อไปสู่พระนิพพานกันทั่วหน้าเทอญ สาธุ ๆ
     
  7. Amuletism

    Amuletism เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2009
    โพสต์:
    5,779
    ค่าพลัง:
    +18,370
    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ
    ต้องขออนุโมทนาสาธุครับ
    อยากให้สังคมเข้าใจธรรมะ
    และปลูกฝังธรรมะให้เด็กๆ
    เผื่อว่าสังคมจะดีขึ้นครับ
     
  8. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,019
    [​IMG]

    กราบโมทนา สาธุ ท่านผู้มีใจบุญใจกุศล เสียสละเวลาหาบทความ นำบทความที่ดี มีสาระประโยชน์ ให้ผู้อ่านได้ศึกษา อันก่อให้เกิดปัญญาในการพิจารณา เมื่อปัญญาพิจารณาแล้ว จิตจะเป็นผู้กำหนด เป็นผู้เลือกความถูกต้อง ถือว่าเป็น จาคะ คือการให้และการให้นั้น ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อีกทั้ง ถือว่าการให้นั้น เป็นธรรมทาน เป็นบุญใหญ่ สมดั่งพระธรรมคำสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตอบปัญหาท้าวสักกะผู้เป็นจอมเทพยดา ปรากฏใน ตัณหาวรรค ธรรมบท ว่า “การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ใดให้ธรรมะเป็นทาน ผู้นั้นชื่อว่าให้พระนิพพานแก่คนทั้งหลาย“ ขอโมทนาสาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...