ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กร้าว กล้า ก้าว
    อินเดียฮึกหาญทะยานสามโลก กู้สะบัด ด้วยการออกขายพันธบัตรรัฐบาลกระหึ่ม 15.43 ล้านล้านรูปี (6.2 ล้านล้านบาท) ในปีงบประมาณ 2023 (1 เม.ย. 2023 – 31 มี.ค. 2024)
    มหาศาลเป็นประวัติการณ์
    หวาดเสียวนะครับท่าน ประเทศใหญ่มหึมาพึ่งพาการกู้มโหฬารระดับนี้ (เพราะอะไร คงไม่ต้องบอกกล่าว …)
    ทำไม? อินเดียเหวี่ยงทุ่มงบประมาณสุดกำลัง หวังกระตุ้นชุบเศรษฐกิจให้ฟื้นกระฉูด
    ปีที่แล้ว ขาดดุลงบประมาณ (รายได้รัฐบาลน้อยกว่ารายจ่าย) คิดเป็น 6.4% ของ GDP
    ปีนี้ ประเมินว่าดีขึ้นหน่อย ขาดดุล 5.9% ของ GDP
    เป็นเงินเท่าไหร่ ก็คำนวณจาก GDP ของอินเดีย ซึ่งร่ำๆ จะเสยไปเฉียด 4 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว!!!
    ยิ่งขาดดุลงบประมาณสาหัสสากรรจ์ ก็ยิ่งต้องกู้มาสูบฉีดนะครับท่าน
    กู้บรรลัยขนาดนี้ เสี่ยงขนาดไหน ถามใจเธอดู
    เสี่ยง เสียด เสียว

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กำลังเป็นกระแสร้อนแรงในโลกออนไลน์ เมื่อ “ปลาเก๋าหยก” ถูกตั้งคำถามว่าสามารถเพาะเลี้ยง-ขาย ในไทยได้อย่างถูกกฎหมายหรือไม่? หลังเริ่มมีการทยอยเปิดตัวเป็นเมนูอาหาร พร้อมออกจำหน่ายเร็วๆ นี้
    .
    หลังจากมีข่าวการเปิดตัวเมนูอาหารที่ทำจาก “ปลาเก๋าหยก” ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งระบุว่า เป็นสัตว์เศรษฐกิจตัวใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารของประเทศไทย แต่ไม่นานก็เจอกระแสตีกลับ เมื่อปลาเก๋าหยกปรากฏอยู่ในบัญชี “สัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร” ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำหรับสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร ที่มี “ปลาเก๋าหยก” รวมอยู่นั้น เป็นข้อมูลจากประกาศกฎกระทรวงในปี 2564 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำหายาก หรือป้องไม่ให้เกิดอันตรายกับสัตว์น้ำและระบบนิเวศ ซึ่งมีสัตว์น้ำทั้งหมด 13 ชนิดที่เข้าข่าย “ต้องห้าม” ไม่ให้เพาะเลี้ยง เนื่องจากเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาเรื่อง “เอเลียนสปีชีส์” หรือ การที่มีสัตว์น้ำต่างถิ่นเข้ามารุกรานสัตว์น้ำในถิ่นอาศัยเดิมทยอยหายไป
    .
    การเข้ามาของเอเลียนสปีชีส์มีทั้งการนำปลาหายากจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยง แล้วปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ไปจนถึงการทำบุญปล่อยสัตว์น้ำต่างๆ ลงสู่แม่น้ำ ส่วนในกรณีของปลาเก๋าหยกนั้น เดิมทีเป็นสายพันธุ์ปลาที่มาจากแถบแอฟริกา แต่ได้รับความนิยมในสังคมชาวเอเชียอย่างมาก ตั้งแต่จีน ฮ่องกง มาเลเซีย เวียดนาม และ ไต้หวัน เนื่องจากเป็นปลาแข็งแรง เพาะพันธุ์และปรับตัวง่าย นำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย
    .
    รู้จัก ปลาเก๋าหยก ก่อนจะฮิตในไทย มันมาจากไหนกันแน่?
    .
    “ปลาเก๋าหยก” เดิมชื่อว่า “Jade Perch” ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scortum barcoo เป็นปลาน้ำจืด มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ทวีปแอฟริกา แต่ต่อมามีการแพร่พันธุ์ไปที่ออสเตรเลียและถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ปลากรันช์จากแม่น้ำบาโค” (Barcoo grunter) ซึ่งเป็นแม่น้ำในรัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย และได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี แต่เนื่องจากชื่อไม่เหมาะจะนำมาเป็นเครื่องหมายการค้า ปลากรันช์จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “เจดเพิร์ช” หรือปลาเพิร์ชหยก เนื่องจากมันมีลำตัวที่มีสีเหลือบเขียว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อ “เก๋าหยก” เมื่อนำเข้ามาขายในไทย เพื่อให้คนไทยเรียกได้ง่ายขึ้น
    .
    สำหรับการเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยของปลาเก๋าหยกนั้น เริ่มตั้งแต่ประมาณ 10 ปี ที่แล้ว โดยมันสามารถเพาะเลี้ยงได้ง่ายเพราะเป็นปลาที่แข็งแรง เนื้อขาวนุ่ม หนังบาง มีไขมันแทรกในเนื้อ มีคุณค่าทางโภชนาการมาก แต่ก็มีราคาค่อนข้างสูง มักนิยมนำไปนึ่งให้สุกก่อนรับประทาน และไม่สามารถกินแบบดิบได้ แต่หลังจากนั้น กรมประมง ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงเกษตรฯ ได้ออกประกาศห้ามเพาะเลี้ยงปลาเก๋าหยกเนื่องจากพบว่าพวกมันเป็นเอเลียนสปีชีส์ ล่าสุดปลาเก๋าหยกถูกเปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น “ปลาหยก” และถูกนำเสนอจากทั้งผู้ประกอบการและงานนิทรรศการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นว่า เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจชนิดใหม่ของไทยและเป็นปลาที่เหมาะแก่การทำอาหารได้หลากหลายเมนู
    .
    เพราะอะไรถึงมีบัญชีสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะพันธุ์
    .
    ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่พันธุ์ของสัตว์น้ำต่างถิ่น หรือ “เอเลียนสปีชีส์” ยังเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นกรณี “ปลาหมอสีคางดำ” ที่หลุดรอดเข้าบ่อเลี้ยงกุ้งของเกษตรกรเมื่อ 3 ปีก่อน ได้สร้างความเสียหายและส่งผลกระทบต่อสัตว์น้ำพื้นถิ่นเป็นอย่างมาก ดังนั้น กรมประมงจึงมีความจำเป็นต้องเข้มงวดในเรื่องสัตว์น้ำต่างถิ่นมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งในประกาศของกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว ระบุไว้ว่า “ห้ามมิให้บุคคลใดเพาะเลี้ยงซึ่งสัตว์น้ำที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประกาศนี้ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมประมงหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมประมงมอบหมาย”
    .
    แต่ในกรณีของ “ปลาหยก” ที่กำลังเป็นกระแสและถูกตั้งคำถามอยู่ในขณะนี้นั้น เบื้องต้น ยังไม่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาชี้แจง และอาจมีความเป็นไปได้ว่า เป็นปลาคนละสปีชีส์กับที่กฎกระทรวงกำหนด จึงสามารถทำการเพาะเลี้ยงและจัดจำหน่ายในฐานะที่เป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งในไทยได้ อย่างไรก็ตาม ในแง่มุมของผู้บริโภคคงต้องใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลให้รอบด้าน ก่อนจะตัดสินใจเลือกซื้อเลือกหาเนื้อปลาคุณภาพดีชนิดใดๆ ก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเลือกซื้อปลาชนิดไหนมารับประทาน ก็ควรเลือกเนื้อปลาที่สดใหม่ สะอาด ปลอดภัย น่าจะเป็นสิ่งดีที่สุด
    .
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.bangkokbiznews.com/health/1051145?anm=
    .
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ #กรุงเทพธุรกิจLifestyle
    -------------------------------
    ติดตาม "กรุงเทพธุรกิจ" ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ที่
    Website: http://www.bangkokbiznews.com
    Twitter: https://twitter.com/ktnewsonline
    OpenChat: https://bit.ly/3ZgoMib
    Youtube: https://www.youtube.com/user/KrungthepTurakij
    Blockdit: https://www.blockdit.com/bangkokbiznews
    Instagram: https://www.instagram.com/bangkokbiznews
    Tiktok: https://www.tiktok.com/@bangkokbiznews
    Line: https://line.me/R/ti/p/@rvb8351i

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Balena รองเท้าแตะที่ทำจากวัสดุ BioCir สามารถย่อยสลายเป็นปุ๋ยหมักหมักคืนสู่ธรรมชาติ เพียง 6 เดือน ทางเลือกใหม่ของอุตสาหกรรมแฟชั่นยั่งยืน
    .
    บาเลนา (Balena) สตาร์ตอัปด้านวัสดุศาสตร์ ในเมืองเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล และเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี พัฒนา “ไบโอเซอร์ (BioCir)” วัสดุที่ขึ้นรูปได้ดี และสามารถย่อยสลายได้ จึงนำมาต่อยอดเป็น รองเท้าแตะ “ไบโอเซอร์ สไลด์ (BioCir Slide)” มีความยืดหยุ่น เรียบลื่น และทนทาน ทดแทนการใช้พลาสติกและยางแบบเดิมที่มักพบในรองเท้าทั่วไป
    .
    วัสดุไบโอเซอร์เป็นวัสดุแบบอีลาสโตเมอร์ (Elastomer) ซึ่งเป็นพอลิเมอร์ที่ย่อยสลายทางชีวภาพได้ มีคุณสมบัติในการเปลี่ยนสภาพให้เป็นของเหลวและนำกลับมารีไซเคิลใช้งานได้อีกครั้ง นอกจากนี้ ก็ยังช่วยลดมลพิษในการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตได้อีกด้วย
    .
    สำหรับรองเท้าแตะบาเลนา เป็นรองเท้าที่ไม่มีสายรัด สวมใส่โดยการสไลด์เท้าเข้าไป มีให้เลือกหลายสี มีน้ำหนักเบา ใส่แล้วสบายเท้า ตัวรองเท้ามีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของอบเชย ซึ่งบริษัทใช้เป็นองค์ประกอบหลักของสารให้สีรองเท้าตามธรรมชาติ
    .
    ช่วงแรก จะผลิตออกมาวางขายจำนวน 1,000 คู่ และเริ่มจัดจำหน่ายชุดแรดในเมือง เทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท
    .
    บาเลนาอธิบายว่า ลูกค้าที่ซื้อรองเท้าไป จะไม่ได้ศึกษาวิธีการย่อยสลายรองเท้าและเปลี่ยนเป็นปุ๋ยหมักด้วยตนเอง เพราะทางบริษัทจะให้ลูกค้าส่งรองเท้าที่ไม่ใช้แล้วกลับมา เพื่อนำไปเข้าสู่กระบวนการหมักในโรงงานท้องถิ่น
    .
    รองเท้าทั้งหมดจะถูกกำจัดและทำปุ๋ยหมักอย่างถูกวิธี ซึ่งใช้เวลาย่อยสลายเพียง 6 เดือน นับว่าเป็นเวลาที่สั้นมาก หากเทียบกับเวลาการย่อยสลายของพลาสติกทั่วไปที่อาจจะใช้เวลาหลายร้อยปี
    .
    ปัจจุบัน มีแบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ที่พยายามจะพัฒนาสินค้าของตนให้เป็นมิตรแก่สิ่งแวดล้อม เพราะปริมาณขยะจากอุตสาหกรรมแฟชั่นเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี โดยในปี 2022 เรามีขยะสิ่งทอจำนวน 92 ล้านตัน และมีเพียง 12% จากทั้งหมด ที่สามารถนำไปรีไซเคิ้ลได้
    .
    ถือได้ว่า วัสดุทางเลือกใหม่ของบาเลนาจะช่วยขับเคลื่อนให้วงการแฟชั่นนั้นมีความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น และช่วยทำให้ผู้บริโภคให้คลายกังวลว่าตนเองจะสนับสนุนแบรนด์ฟาสต์แฟชั่น (Fast Fashion)
    .
    เพราะการสวมใส่รองเท้าแตะคู่นี้ อนาคตจะมีประโยชน์แก่ดินและต้นไม้อย่างแน่นอน
    .
    .
    ที่มา: https://bit.ly/40pcAfy
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/blogs/tech/innovation/1051025?anm=
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ #กรุงเทพธุรกิจLifestyle #กรุงเทพธุรกิจTech
    -------------------------------
    ติดตาม "กรุงเทพธุรกิจ" ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ที่
    Website: http://www.bangkokbiznews.com
    Twitter: https://twitter.com/ktnewsonline
    OpenChat: https://bit.ly/3ZgoMib
    Youtube: https://www.youtube.com/user/KrungthepTurakij
    Blockdit: https://www.blockdit.com/bangkokbiznews
    Instagram: https://www.instagram.com/bangkokbiznews
    Tiktok: https://www.tiktok.com/@bangkokbiznews
    Line: https://bit.ly/3ZgoMib

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    หอยเชอรี่..ศัตรูในนาข้าว กินได้อร่อยด้วย
    แฟนเพจจากขอนแก่นส่งรูปก้อยหอยเชอรี่มาให้พร้อมกับถามว่า ลุงๆ เคยกินหอยบ่ หอยใหญ่ๆแซบๆ

    สารภาพตามตรงหอยที่กินส่วนใหญ่คือ หอยจูบ ที่ภาคกลางเรียก หอยจุ๊บ หอยขม ส่วนหอยที่อยากกินมากๆคือหอยปัง หอยนาตัวใหญ่ แต่ถ้าไม่มี หอยเชอรี่ก็พอได้..

    ส่วนหอยอย่างอื่นไม่ค่อยถนัด เรื่องหอยต้อง @ควายดำทำเกษตร แล้วครับ คนนั้นเขาเชี่ยวชาญ

    ปล. ไม่อยากขวางทางรวย หอยเชอรี่สีทอง หอยสวยงามราคารสูงลิ่ว จะเลี้ยงต้องคิดให้ดีๆ

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #NATURE แรดในประเทศนามิเบียถูกฆ่าตายเป็นจำนวนสูงสุดในประวัติการณ์เมื่อปี 2022 ที่ผ่านมา 87 ตัว และสูงกว่าปีก่อนหน้าเกือบสองเท่าที่จำนวน 45 ตัวในปี 2021 เพื่อตอบสนองความต้องการในจีนและเวียดนาม
    .
    ทางโฆษกกระทรวงสิ่งแวดล้อม ป่าไม้ และการท่องเที่ยว Romeo Muyunda ระบุว่ากลุ่มนักลักลอบล่าสัตว์ได้สังหารแรดดำไป 61 ตัว และแรดขาว 26 ตัว โดยส่วนใหญ่เป็นแรดที่อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งชาติ Etosha 46 ตัว ซึ่งสูงกวาปีก่อนหน้าถึง 93% ท่ามกลางวิกฤตใกล้สูญพันธุ์ที่เกิดขึ้น
    .
    “เรารับทราบด้วยความกังวลอย่างยิ่งว่าอุทยานแห่งชาติ Etosha ของเราเป็นจุดที่มีการลักลอบล่าสัตว์” Muyunda กล่าว พร้อมเสริมว่ากระทรวงและเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้เพิ่มความพยายามอย่างที่สุดเพื่อต่อต้านอาชญากรรมสัตว์ป่าที่เกิดขึ้น
    .
    การลักลอบล่าแรดในแอฟริกาตอนใต้นั้นเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยอาชญากรจะใช้อุปกรณ์ที่ทันสมัยในการติดตามสัตวและทำให้สงบลง ก่อนจะตัดนอ จากนั้นก็ปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นเลือดไหลตาย จนทำให้เจ้าหน้าหลายแห่งจำใจต้องตัดนอแรดด้วยตนเองเพื่อรักษาชีวิตแรดไม่ให้ถูกล่า
    .
    กระนั้นนอแรดก็ยังเป็นที่ต้องการเพื่อใช้ในทางการแพทย์จีนโบราณ แม้ว่าจะไม่มีการพิสูจน์ถึงประโยชน์ที่แท้จริงก็ตาม และนอแรดยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งในเวียดนามกับประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
    .
    ทาง Bennett Kahuure ผู้อำนวยการฝ่ายสัตว์ป่าและอุทยานของกระทรวงสิ่งแวดล้อมกล่าวว่านักลักลอบล่าสัตว์มุ่งเป้าไปที่อุทยานขนาดใหญ่ซึ่งทำให้ยากต่อการปกป้อง โดยอุทยานแห่งชาติ Etosha นั้นเป็นอุทยานแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในนามิเบียที่มีพื้นที่กว่า 824,269 ตารางกิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าพื้นที่ประเทศไทยที่มี 513,115 ตารางกิโลเมตร
    .
    แม้แนวโน้มการลักลอบล่าสัตว์จะลดลง เช่นในอินเดียปี 2022 ที่ผ่านมาไม่มีแรดถูกฆ่าตายแม้แต่ตัว และในนามิเบียเอง จำนวนช้างที่ถูกล่าเมื่อปีที่แล้วก็ลดลงเหลือเพียง 4 เชือกเท่านั้น กระนั้นด้วยจำนวนที่น้อยนิดของแรด การถูกล่าแม้แต่ตัวเดียวก็ถือว่าอันตราย โดยนามิเบียมีแรดขาวประมาณ 800 ตัว และแรดดำ 1,800 ตัว
    .
    ที่มา
    .
    BBC : Namibia reports record level of rhino poaching
    .
    Reuters : Namibia rhino poaching surged 93% in 2022
    .
    Aljazeera : Rhino poaching surges 93 percent in Namibia

     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #LIFE รู้จักสัตว์น้ำต่างถิ่น 13 ชนิด กรมประมงห้ามนำเข้า-ห้ามเพาะเลี้ยง เพื่อควบคุมการแพร่พันธุ์ กังวลการทำลายระบบนิเวศ อาทิ ปลาหมอสีคางดำ ปลาเก๋าหยก ปลาเทราท์สายรุ้ง
    .
    สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์รุกรานต่างถิ่น หรือเอเลี่ยนสปีชีส์ คือสิ่งมีชีวิตที่ถูกนำเข้ามาจากถิ่นอื่นๆ หลุดรอดไปในธรรมชาติ เติบโตแพร่พันธุ์เร็ว ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตพื้นถิ่นและทำลายระบบนิเวศทั้งบนบกและในทะเล ซึ่งสัตว์ต่างถิ่นเหล่านี้เป็นตัวการที่ทำให้สัตว์และพืชท้องถิ่นสูญพันธุ์ ถือเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดทางสิ่งแวดล้อมของโลก ปัจจุบันจึงมีความพยายามควบคุมการนำเข้าและกำจัดอย่างเข้มงวดจากหน่วยงานต่างๆ
    .
    เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองสัตว์น้ำหายากและป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศ กรมประมงได้กำหนดสัตว์น้ำบางชนิดที่ห้ามเพาะเลี้ยง โดยเมื่อปี 2564 ได้เพิ่มชนิดพันธุ์ต่างถิ่นขึ้นบัญชีอีกจำนวน 13 ชนิด เพื่อตัดวงจรการแพร่พันธุ์และคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นพร้อมป้องกันผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของไทยไม่ให้เกิดความเสียหาย ห้ามนำเข้า ส่งออกนำผ่าน หรือเพาะเลี้ยง แะมีผลบังคับใช้ในวันทึ่ 16 สิงหาคม 2564 ดังนี้
    .
    1. ปลาหมอสีคางดำ Blackchin tilapia
    Sarotherodon melanotheron
    2. ปลาหมอมายัน Mayan cichlid
    Mayaheros urophthalmus
    3. ปลาหมอบัตเตอร์ Zebra cichlid
    Heterotilapia buttikoferi
    4. ปลาทุกชนิดในสกุล Cichla และปลาลูกผสม
    Peacock cichlid, Butterfly peacock bass
    Cichla spp.
    5. ปลาเทราท์สายรุ้ง Rainbow trout
    Oncorhynchus mykiss
    6. ปลาเทราท์สีน้ำตาล Sea trout
    Salmo trutta
    7. ปลากะพงปากกว้าง Largemouth black bass
    Micropterus salmoides
    8. ปลาโกไลแอทไทเกอร์ฟิช Goliath tigerfish, Giant tigerfish Hydrocynus goliath
    9. ปลาเก๋าหยก Jade perch Scortum barcoo
    10. ปลาที่มีการดัดแปลงหรือตัดแต่งพันธุกรรม GMO LMO
    ชนิดสัตว์น้ำอื่นๆ
    11. ปูขนจีน Chinese mitten crab Eriocheir sinensis
    12. หอยมุกน้ำจืด Triangle shell mussel
    Hyriopsis cumingii
    13. หมึกสายวงน้ำเงินทุกชนิดในสกุล Hapalochlaena
    Blue-ri nged octopus Hapalochlaena spp.

    กรณีที่เกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในกลุ่มเหล่านี้ ต้องดำเนินการขอใบอนุญาตตามประกาศกรมประมง ภายใน 30 วันหลังจากประกาศฯ มีผลบังคับใช้และเมื่อไม่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่นกลุ่มดังกล่าวแล้วให้รีบนำสัตว์น้ำส่งมอบให้สำนักงานประมงจังหวัด หรือ หน่วยงานกรมประมงอื่นๆในพื้นที่โดยด่วน
    .
    กรณีที่ประชาชนทำการประมงแล้วได้สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้ในแหล่งน้ำธรรมชาติ ประชาชนสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้สัตว์น้ำตายก่อนนำไปจำหน่าย

    กรณีที่สัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดนี้จากธรรมชาติได้หลุดรอดเข้าในบ่อเพาะเลี้ยงของเกษตรกรโดยไม่เจตนาเกษตรกรสามารถนำไปบริโภคหรือจำหน่ายได้ แต่ต้องทำให้ปลาตายก่อนนำไปจำหน่าย

    กรณีส่วนราชการ สถาบันการศึกษา หรือกรณีจำเป็นอื่นใดที่ต้องการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิดไว้เพื่อศึกษาวิจัยและประโยชน์ทางราชการให้แจ้งขออนุญาตกรมประมงก่อน

    ห้ามผู้ใดปล่อยสัตว์น้ำทั้ง 13 ชนิด ลงในแหล่งน้ำธรรมชาติโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความผิดตามมาตรา 144 แห่ง พรก.การประมง 2558

    บทลงโทษหากพบผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 64 หรือมาตรา 65 วรรคสอง ต้องระวางโทษตามมาตรา 144 จำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง นำสัตว์น้ำไปปล่อยในที่จับสัตว์น้ำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    สัตว์น้ำทั้ง 13 สายพันธุ์นี้ ถือเป็นอีกแนวทางที่จะช่วยลดปัญหาสัตว์น้ำต่างถิ่นที่หลุดรอดเข้ามาแพร่พันธุ์และสร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรไทย ดังนั้นจึงขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน หากท่านเลี้ยงสัตว์น้ำต่างถิ่น (สัตว์น้ำจากต่างประเทศ) และไม่ต้องการที่จะเลี้ยงอีกต่อไปแล้ว อย่านำไปปล่อยลงในแหล่งน้ำสาธารณะ ขอให้ท่านนำสัตว์น้ำเหล่านั้นมามอบให้กับทางกรมประมง หรือสำนักงานประมงจังหวัดในพื้นที่ใกล้บ้านท่าน ให้รับไปดูแล

    เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์น้ำต่างถิ่นเกิดการหลุดรอดลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ อันจะสร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศในระยะยาว
    .
    ที่มา

    https://www4.fisheries.go.th/local/index.php/main/view_activities/1210/111095

    https://www4.fisheries.go.th/local/file_document/20210817153435_1_file.PDF

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #SPACE พบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีเพิ่มอีก 12 ดวง รวมทั้งสิ้น 92 ดวงแล้ว ขึ้นตำแหน่งดาวเคราะห์ที่มีจำนวนดวงจันทร์เยอะที่สุดในระบบสุริยะ
    .
    สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2023 Minor Planet Center เผยแพร่ข้อมูลการค้นพบดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดีเพิ่มอีก 12 ดวง ทำให้ขณะนี้ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์บริวารรวมทั้งสิ้น 92 ดวง แซงหน้าดาวเสาร์ที่มีดวงจันทร์บริวาร 83 ดวง ทวงตำแหน่งดาวเคราะห์ที่มีจำนวนดวงจันทร์เยอะที่สุดในระบบสุริยะกลับคืนอีกครั้ง
    .
    ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) เป็นดาวเคราะห์ลำดับที่ 5 และจัดเป็นดาวเคราะห์แก๊สที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ มีดวงจันทร์ขนาดใหญ่ที่สุดจำนวน 4 ดวง เรียกว่า ดวงจันทร์ของกาลิเลโอ (Galilean Moons) เนื่องจากกาลิเลโอ กาลิเลอี นักดาราศาสตร์ชาวอิตาลี เป็นคนแรกที่ค้นพบดวงจันทร์เหล่านี้ เมื่อปี ค.ศ. 1610 (และเป็นหลักฐานครั้งแรก ๆ ที่ยืนยันว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล)
    .
    ต่อมา เมื่อเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์พัฒนามากขึ้น กล้องโทรทรรศน์ที่ใช้ศึกษาวัตถุท้องฟ้าก็มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้นักดาราศาสตร์ค้นพบดวงจันทร์ขนาดเล็กที่อยู่รอบ ๆ ดาวพฤหัสบดีอีกมากมาย ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้นำทีมโดย Scott Sheppard นักดาราศาสตร์จาก Carnegie Institute for Science สหรัฐอเมริกา หนึ่งในนักดาราศาสตร์ที่ค้นพบวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะได้เยอะที่สุด สามารถค้นพบดวงจันทร์บริวารขนาดเล็กของดาวพฤหัสบดีได้เพิ่มเติมอีก 12 ดวง
    .
    ดวงจันทร์จำนวน 9 ดวงจาก 12 ดวงที่ค้นพบในครั้งนี้ อยู่ในวงโคจรบริเวณไกลสุดของกลุ่มดวงจันทร์ทั้งหมด มีคาบการโคจรรอบดาวพฤหัสบดีมากกว่า 550 วัน มีทิศทางการโคจรแบบ Retrograde ซึ่งเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับการหมุนรอบตัวเองของดาวพฤหัสบดี และตรงข้ามกับดวงจันทร์กลุ่มหลัก นักดาราศาสตร์คาดว่ากลุ่มดวงจันทร์เหล่านี้ อาจเกิดจากวัตถุขนาดเล็กในอวกาศ ที่ถูกแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของดาวพฤหัสบดีดึงดูดเอาไว้ให้กลายเป็นดาวบริวาร ส่วนใหญ่เป็นวัตถุขนาดความกว้างไม่เกิน 8 กิโลเมตร
    .
    ขณะที่ดวงจันทร์อีก 3 ดวงที่ค้นพบเพิ่มในครั้งนี้ อยู่ในวงโคจรถัดไปจากกลุ่มดวงจันทร์ของกาลิเลโอเล็กน้อย มีทิศทางการโคจรแบบ Prograde หรือทิศทางเดียวกันกับการหมุนรอบตัวเองของดาวพฤหัสบดี ดวงจันทร์กลุ่มนี้คาดว่าจะก่อตัวขึ้นมาพร้อม ๆ กันทั้งหมด และเป็นกลุ่มที่ค้นพบได้ยากกว่า เนื่องจากมีวงโคจรที่ใกล้กับดาวพฤหัสบดี แสงสว่างจากดาวพฤหัสบดีจะกระเจิงออกมาจนบดบังแสงของวัตถุขนาดเล็กเหล่านี้ไปจนหมด ทำให้ดาวบริวารขนาดเล็กส่วนใหญ่จะค้นพบที่ระยะห่างไกลออกมาจากดาวพฤหัสบดีค่อนข้างมาก
    .
    ใครที่ติดตามข่าวสารการค้นพบวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ หรือค้นพบดวงจันทร์ของดาวเคราะห์แก๊สใหม่ ๆ มักจะได้ยินชื่อ Scott Sheppard อยู่เสมอ หากรวมการค้นพบในครั้งนี้ด้วยแล้ว Scott Sheppard มีส่วนร่วมในการค้นพบวัตถุใหม่ในระบบสุริยะแล้วจำนวนมากมาย ได้แก่ ดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี 85 ดวง ดวงจันทร์ของดาวเสาร์ 45 ดวง ดวงจันทร์ของดาวยูเรนัสและเนปจูน 3 ดวง วัตถุจำพวก Minor Planet หรือวัตถุขนาดเล็กที่โคจรรอบดวงอาทิตย์อีกจำนวน 26 ดวง ดาวหางจำนวน 7 ดวง และวัตถุอื่น ๆ รวมแล้วเกือบ 200 วัตถุ นับเป็นหนึ่งในนักดาราศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อวงการดาราศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับระบบสุริยะเป็นอย่างมาก
    .
    เรียบเรียง: ธนกร อังค์วัฒนะ - เจ้าหน้าที่สารสนเทศดาราศาสตร์ สดร.
    .
    ที่มา


     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    #DISCOVERY นักวิทยาศาสตร์พบสมองปลาที่กลายเป็นฟอสซิลอายุ 319 ล้านปี เป็นตัวอย่างสมองที่เก่าแก่ที่สุดของสัตว์มีกระดูกสันหลังโดยได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางสมองของสิ่งมีชีวิต
    .
    ฟอสซิลนี้เป็นปลาที่มีชื่อสายพันธุ์ว่า Coccocephalus wildi มันเป็นส่วนหนึ่งของญาติใกล้ชิดปลากระเบนในปัจจุบันที่มีความหลากหลายกว่า 30,000 สายพันธุ์ ถูกพบในเหมืองถ่านแลงคาเชียร์ ประเทศอังกฤษเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว ยังไงก็ตาม คนที่พบและศึกษามันก็ไม่ได้ตระหนักถึงคุณค่านี้เท่าไหร่ ผลจึงมาตกกับนักวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบัน
    .
    ฟอสซิลดังกล่าวเป็นกะโหลกของปลาที่มีขนาดราว 15-20 เซนติเมตร ซึ่งอาจเป็นตัวอย่างเดียวของสายพันธุ์ดังกล่าว ทีมงานจึงไม่ต้องการแยกสิ่งที่อยู่ภายในออกมาด้วยการทำลาย ดังนั้นการสแกนจึงเป็นทางเลือกเดียวเพื่อสำรวจสิ่งที่อยู่ด้านใน แต่พวกเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะพิเศษขนาดนี้
    .
    แทนที่จะเป็นพื้นที่ว่างหรือเต็มไปด้วยแร่ธาตุของแข็ง แต่กลับกลายเป็นโครงสร้างสมมาตรพร้อมด้วยเส้นใยคล้ายกับเส้นประสาทในสมอง มันถูกเก็บรักษาไว้อย่างละเอียด อย่างที่ทราบกันดีว่า เนื้อเยื่ออ่อน โดยเฉพาะสมองนั้นกลายเป็นฟอสซิลได้ยากมาก มันจึงกลายเป็นของล้ำค่าสำหรับวิทยาศาสตร์
    .
    “มันมีคุณสมบัติทั้งหมดนี้ และผมก็พูดกับตัวเองว่า ‘นี่คือสมองที่ฉันกำลังดูอยู่จริง ๆ หรือ?’” Dr Matt Friedman ผู้เขียนรายงานอาวุโสกล่าว
    .
    ขณะที่ Rodrigo Figueroa หนึ่งในทีมวิจัยกล่าวเสริมว่า "ฟอสซิลขนาดเล็กที่ดูไม่น่าประทับใจและดูเผิน ๆ นี้ไม่เพียงแต่เป็นตัวอย่างที่เก่าแก่ที่สุดของสมองสัตว์มีกระดูกสันหลังที่กลายเป็นฟอสซิลเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เราคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสมองนั้นจำเป็นต้องมีการทบทวนใหม่"
    .
    เหตุผลก็เพราะว่าสมองฟอสซิลชิ้นนี้เกิดจากการโป่งพองรอบ ๆ โพรงและพับเข้าด้านใน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นก และสัตว์เลื้อยคลายในปัจจุบัน แต่กลับกัน ญาติสนิทของมันหรือปลากระเบนปัจจุบันมีสมองพับออกด้านนอก นั่นหมายความว่าสมองของสิ่งมีชีวิตในกลุ่มนี้ต้องมีจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในช่วงเวลาใด้เวลาหนึ่ง แต่ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไร
    .
    การค้นพบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องคิดใหม่กับการศึกษาฟอสซิลชิ้นเดิม เพราะอาจเกิดการคลาดเคลื่อนเนื่องจากเทคโนโลยี แต่ด้วยเทคนิคการสแกนสมองปัจจุบัน Figueroa กล่าวว่าจะไม่แปลกใจเลยถ้าเราจะพบสมองในฟอสซิลอื่น ๆ
    .
    "ตอนนี้เราพบการอนุรักษ์ที่น่าทึ่งในซากดึกดำบรรพ์ แม้จะถูกตรวจสอบหลายครั้งก่อนหน้านี้โดยคนหลายคนในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา" Friedman "แต่เนื่องจากเรามีเครื่องมือใหม่เหล่านี้ในการดูภายในฟอสซิล มันจึงเปิดเผยข้อมูลอีกชั้นให้เราทราบ”
    .
    "นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการจับตัวอย่างทางกายภาพจึงสำคัญมาก เพราะใครจะรู้ ในอีก 100 ปีข้างหน้า ผู้คนอาจทำอะไรกับฟอสซิลในคอลเลคชันของเราในตอนนี้"
    .
    ที่มา
    .
    Nature : Exceptional fossil preservation and evolution of the ray-finned fish brain
    .
    Phys.org : 319-million-year-old fish preserves the earliest fossilized brain of a backboned animal
    .
    IFLSCIENCE : World's Oldest Fossil Vertebrate Brain Found In A 319 Million-Year-Old Fish
    .
    CNET : World's Oldest Fossil Vertebrate Brain Found In A 319 Million-Year-Old Fish
    .
    Photo : Márcio L. Castro
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    FB_IMG_1675413343696.jpg

    #อินโฟอินใจ ฝุ่น PM2.5 ในกรุงเทพมหานครมาจากไหน?
    .
    PM 2.5 คือละอองขนาดเล็กที่มีขนาดน้อยกว่า 2.5 ไมครอน เท่ากับ 0.00025 เซนติเมตร เล็กกว่าเส้นผมของเราที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.005 เซนติเมตร มันเป็นละอองที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ด้วยขนาดที่เล็กแบบนี้มันสามารถแทรกซึมเข้าไปยังทุกส่วนทุกเซลล์ในร่างกายได้ แน่นอนว่ามันส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราไม่ว่าจะโรคทางเดินหายใจ หลอดเลือด หัวใจ และสมอง แต่มันมาจากไหนกัน?
    .
    จากรายงานของการสัมมนาเรื่อง "แนวทางการลดฝุ่น PM2.5 และผลกระทบต่อสุขภาพจากภาคการขนส่งทางถนนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล" จัดขึ้นโดยคณะวิศวกรรมกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวว่าฝุ่น PM 2.5 มี 4 แหล่งกำเนิดหลัก
    .
    นั่นคือ
    มาจากการขนส่ง หรือว่าง่าย ๆ ก็คือจากรถยนต์และรถอื่น ๆ ที่เราใช้กัน 43%
    มาจากฝุ่นทุติยภูมิเช่นจาก โรงงาน และการก่อสร้างที่มีอยู่เกือบทุกที่ในกรุงเทพฯ 20-30%
    การเผาชีวมวลหรือคือเผาขยะหรือเผาป่าทั้งใน กทม. และปริมณฑล 11%
    ฝุ่นละเอียดซึ่งเป็นฝุ่นตามธรรมชาติก้อนหิน ดิน ทราย 8-17%
    .
    ทั้งนี้เสริมด้วยปัจจัยด้านภูมิประเทศของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นแอ่งกระทะอยู่แล้ว ทำให้อากาศที่มีฝุ่นไหลมาสะสมรวมตัวกัน พร้อมทั้งรถที่ติด(นรก)มากซึ่งปล่อย PM2.5 เยอะที่สุดก็ทำให้เยอะขึ้นไปอีก ทั้งหมดเป็นปัญหาสะสมมาอย่างยาวนาน
    .
    มาช่วยกันผลักดัน พรบ. อากาศสะอาด กันเถอะ เพื่ออากาศหายใจของเราเอง ลงชื่อร่วมกันได้เลยที่
    แคมเปญรณรงค์ · ร่วมลงชื่อผลักดันกฎหมายอากาศสะอาดให้เกิดขึ้นจริงในไทย #อย่าปัดตก #พรบอากาศสะอาด · ได้ที่ https://bit.ly/3XNqaYH

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    รู้ใช่ไหมว่า แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกกำลังจะละลาย แต่นอกจากน้ำจืดที่จะละลายลงทะเลแล้วก่อให้เกิดน้ำท่วมทั่วโลก
    อะไรบ้างที่ถูกซ่อนอยู่ใต้น้ำแข็งเหล่านั้น บอกเลยว่า รู้แล้วจะหนาวทีเดียว

    FB_IMG_1675413486006.jpg FB_IMG_1675413488235.jpg FB_IMG_1675413490366.jpg FB_IMG_1675413492497.jpg FB_IMG_1675413494577.jpg

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    รายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนซื้อขายอาคารหรือโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเอเชียแปซิฟิก ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจ เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า โรงงาน โกดัง
    .
    มีมูลค่ารวมกันทั้งสิ้น 1.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจากปี 2564 ราว 27%
    .
    ส่วนปีนี้มีปัจจัยบวก คือ
    - จีนกลับมาเปิดประเทศ
    - ความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะฟื้นตัวดีขึ้น
    - คาดการณ์ว่าเอเชียแปซิฟิกจะได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจโลกถดถอยน้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ

    http://pptv36.news/17Bh

    #PPTVHD36 #ช่อง36 #อาคาร #โรงงาน #สำนักงาน #ลงทุนซื้อขายอาคาร #อสังหาริมทรัพย์ #โรงแรม

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    การเดินทางของภาพ " พลทหารที่ไม่อยากรบ "

    ภาพนี้เป็นภาพพลทหารโซเวียตหน้าตาดี ที่หันกลับมามองกล้อง ในขณะที่กำลังเดินไปที่ไหนสักแห่ง พร้อมกับเพื่อนทหาร

    ในโซเวียต-รัสเซีย มันเป็นภาพหนึ่งที่ถูกนำออกมาเผยแพร่อยู่บ่อย ๆ

    เขาเป็นใครกัน บางคนอาจจะอยากรู้

    เขาชื่อ วลาดิมีร์ คูเซรอฟ โดยอาชีพก่อนและหลังการถูกเกณฑ์ทหาร ก็คือนักกายกรรมประจำคณะละครสัตว์

    ตอนที่ถูกเกณฑ์ทหาร เขาสังกัดกองร้อยที่ 5 กรมทหารที่ 406 กองพลตามาน

    ในช่วงเดียวกันนั้น ที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหารด้วยก็คือวลาดิมีร์ เวียตคิน ช่างภาพหนุ่ม ที่ต่อมาได้เป็นช่างภาพชื่อดัง

    พวกเขาทั้งสอง สังกัดกองร้อยเดียวกัน และเวียตคิน เป็นคนถ่ายภาพนี้

    วันนั้น กองร้อยของพวกเขากำลังเดินทางกลับหลังเสร็จจากการฝึก และตอนที่คูเซรอฟ เดินห่างออกไปนิดหนึ่ง เวียตคินได้กดชัตเตอร์ ตอนที่เพื่อนทหารเหลียวหลังหันมามอง เมื่อถูกเขาเรียกชื่อ

    หลายปีต่อมา หน่วยงานของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต ประจำห้องล้างภาพของสำนักข่าว " โนวัสติ " ที่เวียตคินทำงานอยู่ ได้เลือกภาพของทางห้องล้างภาพ เพื่อส่งไปจัดนิทรรศการที่อังกฤษ

    หนึ่งในภาพที่ถูกเลือกไปก็คือภาพ " พลทหาร " ภาพนี้ แม้ว่าจริง ๆ แล้ว มันเกือบจะไม่ผ่านเซ็นเซอร์ จากเรื่องทรงผมของทหารในภาพที่ดูไม่ค่อยถูกระเบียบสักเท่าไหร่

    แต่ที่อังกฤษ ก็เป็นภาพนี้นี่เอง ที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจากผู้ที่มาชมงานชาวอังกฤษ

    หนังสือพิมพ์ชื่อดัง Daily Mail ถึงกับเอาภาพนี้ขึ้นหน้า 1 โดยระบุที่ใต้ภาพว่า " เป็นครั้งแรก ที่เราได้เห็นทหารรัสเซียที่ไม่อยากรบ "

    หลังจากที่ภาพนี้ดังขึ้นมา ก็มีคนสอบถามมามากมายเกี่ยวกับว่าทหารในภาพคนนี้ ว่ามีชะตากรรมเป็นอย่างไรบ้างหลังจากที่ปลดทหารไปแล้ว ซึ่งเวียตคินก็ตอบไม่ได้ เพราะขาดการติดต่อกันไป นับตั้งแต่ปลดทหาร

    วันหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งมาพบกับเวียตคิน เธอให้ข้อมูลว่าผู้ชายที่หน้าเหมือนกับพลทหารในภาพ เมื่อเดือนก่อน ได้กระโดดลงไปในทะเลเพื่อช่วยลูกสาวของเธอที่จมน้ำ หลังจากนั้น เขาก็เดินจากไปอย่างเงียบ ๆ

    เวียตคินก็เลยเริ่มตามหาเพื่อนทหารของเขา เพราะอยากจะยืนยันกับผู้หญิงคนนั้นว่า คนที่ช่วยลูกสาวของเธอ ไม่น่าจะใช่ผู้ชายในภาพนี้

    เขาจำได้ว่า คูเซรอฟเคยเล่าว่า เขาพักอยู่ที่มัสกวา และทำงานกับคณะละครสัตว์ เขาก็เลยติดต่อไปตามคณะละครสัตว์หลายคณะ จนกระทั่งเจอกับคณะละครสัตว์ที่คูเซรอฟทำงานอยู่

    และข้อมูลที่ได้รับก็ตรงกับที่เขาสันนิษฐาน เพราะคณะละครสัตว์คณะนี้ ได้ไปเเปิดการแสดงที่ต่างประเทศมาตั้งแต่ครึ่งปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ผู้หญิงคนนั้นระบุว่าลูกสาวของเธอตกน้ำ คูเซรอฟ คงจะมาช่วยเธอไม่ได้

    และในยุคทศวรรษที่ 1990 เวียตคินก็ได้ข่าวเกี่ยวกับเพื่อนทหารของเขาอีกครั้ง คูเซรอฟประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในระหว่างการแสดงกายกรรมที่ชิลี

    " วลาดิมีร์ คูเซรอฟ ที่ได้มารับใช้ชาติร่วมกันกับผม เป็นพลทหารที่สุดยอด เขาหล่ออย่างเหลือเชื่อ แข็งแรงโคตร ๆ ก็คือไม่ใช่แบบชวาร์เซเนกเกอร์ และไม่ใช่แบบสตอลโลน แต่แข็งแรงกว่านั้นมาก ประมาณเฮอร์คิวลิสขนาดนั้นเลยแหละ แล้วก็ฉลาด นุ่มนวล ละเอียดอ่อน ผมกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด ผมก็แค่ถ่ายภาพ แต่ผมก็เสียใจอยู่อย่างที่ถ่ายภาพเขาน้อยมาก " เวียตกินบอก
    FB_IMG_1675414950451.jpg FB_IMG_1675414952846.jpg FB_IMG_1675414954927.jpg
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ไฟฟ้าดับนานที่สุดในประเทศไทย

    ย้อนเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั่วประเทศไทย ในวันที่ 18 มีนาคม 2521 เกิด Blackout ยาวนานถึง 9 ชั่วโมง 20 นาที นับเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งการไฟฟ้าขึ้นในเมืองไทย

    เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั้งประเทศ หรือที่เรียกกันว่า Blackout นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้น เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2521 เวลา 07.40 น. จะรู้ดีว่า เป็นวันที่ประเทศไทยเกิด Blackout ยาวนานถึง 9 ชั่วโมง 20 นาที นับเป็นระยะเวลายาวนานที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งการไฟฟ้าขึ้นในเมืองไทย โดยมีสาเหตุมาจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ซึ่งมีกำลังจ่ายอยู่ที่ 1,030 เมกะวัตต์ ทั้ง 4 เครื่อง และเป็นกำลังการผลิตสำคัญของประเทศ เกิดเหตุขัดข้องขณะจ่ายไฟฟ้า ทำให้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าอื่น ๆ ทั่วประเทศที่มีระบบการทำงานต่อเนื่องเกิดขัดข้องและหลุดออกจากระบบตามกันไปด้วย

    จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้หลายพื้นที่ตกอยู่ในสภาพไร้ไฟฟ้า จนกระทั่งเวลา 17.00 น. จึงเริ่มกลับมาจ่ายไฟได้ตามปกติครอบคลุมทั้งประเทศ และถือเป็นโชคดีของคนไทยที่หลังจากเกิดเหตุ Blackout ครั้งนั้นแล้ว ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ไฟดับต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้อีกเลย

    https://hilight.kapook.com/view/150143

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ชื่อโรงเรียนจ่านกร้อง มาจากไหน ?

    โรงเรียนจ่านกร้อง จ.พิษณุโลก ได้ชื่อโรงเรียนมาจากตำนาน "จ่านกร้อง" และ "จ่าการบุญ" สร้างเมืองพิษณุโลก ซึ่งเป็นที่สรุปแล้วว่าเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ไม่ใช่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ โดยที่นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ได้ศึกษา ค้นคว้าจากหลักฐานต่างๆ ทั้งทางโบราณคดี สภาพภูมิศาสตร์ ศิลาจารึก พงศาวดาร ฯลฯ ที่เกี่ยวข้องกับเมืองพิษณุโลกแล้ว ไม่พบหลักฐานที่จะระบุได้ว่ามีชื่อจ่านกร้องและจ่าการบุญในการสร้างเมืองพิษณุโลก

    ทั้งนี้ ตำนานเล่าว่า แต่ชาติก่อน พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นภิกษุ ได้สร้างพระไตรปิฎกขึ้น ครั้นพระองค์เกิดตรัสรู้ในไตรปิฎกทั้งสาม รู้ในพระทัยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตทางตะวันตก ตะวันออก แล้วเสด็จไปอาศัยฉันจังหันใต้ต้นสมอ จึงเห็นควรจะไปสร้างเมืองไว้ที่นั้น มีพระราชโองการตรัสสั่งจ่านกร้อง จ่าการบุญ ให้ทำเป็นพ่อค้าเกวียนไปด้วยคนละ 500 เล่ม เดินทางจากเมืองเชียงแสน มาถึงเมืองน่าน และเมืองลิหล่ม พักพลไหว้พระบาทธาตุพระพุทธเจ้าแล้วจึงข้ามแม่น้ำตรอมตนิม ข้ามแม่น้ำแก้วน้อย แล้วจึงถึงบ้านพราหมณ์ที่พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต บ้านพราหมณ์ข้างตะวันออก 150 เรือน ข้างตะวันตก 100 เรือนมีเศษ

    จ่านกร้อง จ่าการบุญ คิดอ่านกันสร้างเมืองถวายแก่เจ้า โดยจ่านกร้องทำสารบาญชีพ่อพราหมณ์และไพร่ของตนรวมกันเป็นคน 1,000 ส่วนจ่าการบุญทำบาญชีพ่อพราหมณ์และไพร่ของตนรวมกันเป็นคน 1,000 เท่ากัน จ่านกร้องสร้างข้างตะวันตก จ่าการบุญสร้างข้างตะวันออกแข่งกัน ทำปีหนึ่งกับเจ็ดเดือนจึงแล้ว สั่งชีพ่อพราหมณ์ให้รักษาเมือง ครั้นได้ฤกษ์ดีนำเอาเกวียนและคน 500 เล่มขึ้นไปสองเดือน จึงถึงเมืองเชียง แสนราชธานี ถวายบังคมกราบทูลพระกรุณาว่า พระองค์เจ้าใช้ตูเข้าไปถึงที่พระ พุทธเจ้าฉันจังหันใต้ต้นสมอสถานที่นั้นเป็นอันสนุกนักหนา ข้าพเจ้าชวนกับพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย สร้างเมืองถวายแก่พระองค์เจ้าแล้ว

    พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ให้ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลาย ให้จ่าทั้งสองไปก่อนเป็นทัพหน้า ท้าวพระยาทั้งหลายเป็นปีกซ้ายขวา เจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร พระราชโอรสทั้งสองเป็นกองรั้งหลัง ตามเสด็จพระราชบิดา พระราชมารดาออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม 6 ค่ำ เพลาเช้า ไปได้ 2 เดือนจึงถึง มีพระราชโองการตรัสถามพ่อพราหมณ์ว่าจะให้ชื่อเมืองอันใดดี พราหมณาจารย์กราบทูลว่า พระองค์เจ้ามาถึงวันนี้ในยามพิษณุ พระองค์ได้ชื่อเมืองตามคำพรามหณ์ว่า เมืองพิษณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑ บาต ก็ชื่อว่าโอฆบุรีตะวันออก ตะวันตกชื่อจันทรบูร

    เรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเมืองเชียงแสน ให้จ่านกร้อง จ่าการบุญมาสร้างเมืองพิษณุโลกนั้นพิจารณาได้ว่าเป็นเรื่องประเภทตำนาน เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่า พ.ศ.1400 กว่าๆ เมืองเชียงแสนยังไม่เกิดขึ้น เอกสารของล้านนาที่เล่าเรื่องเมืองเชียงแสนเก่าแก่ถึงสมัยนั้นก็เป็นตำนาน ซึ่งตำนานเมืองเชียงแสนก็ขัดแย้งกับตำนานเรื่องนี้ เพราะไม่มีกษัตริย์เชียงแสนพระนามศรีธรรมไตรปิฎก หรือมีกษัตริย์เชียงแสนองค์ใดลงมามีบทบาทอยู่ที่เมืองพิษณุโลก

    หลักฐานทางโบราณคดีชี้ให้เห็นเช่นกันว่า เมืองเชียงแสนในตำนานนั้นเป็นเพียงถิ่นที่อยู่เดิมของต้นตระกูลพระเจ้ามังราย เพิ่งได้รับการจัดตั้งเป็นเมืองในสมัยหลานพระเจ้ามังราย เมื่อปลายพุทธศตวรรษที่ 19 และพระเจ้ามังรายก็เพิ่งรับพระพุทธศาสนาเมื่อพุทธศตวรรษที่ 19 นี้เอง ส่วนเมืองพิษณุโลกนั้น ฝั่งตะวันออกเดิมชื่อสองแคว ต่อมาอยุธยามาสร้างเมืองชัยนาททางฝั่งตะวันตก และสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้รวมเอาเมืองทั้งสองฝั่งเข้าไว้ด้วยกันตั้งขึ้นเป็นเมืองพิษณุโลก

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สีจีวรของพระ

    จีวร ปัจจัยหรือบริขารของพระสงฆ์อย่างหนึ่งในจำนวน 8 อย่าง ซึ่งได้แก่ ผ้า 5 อย่างคือ สบง ประคตเอว จีวร สังฆาฏิ ผ้ากรองน้ำ และเหล็ก 3 อย่างคือ บาตร มีดโกน เข็มเย็บผ้าจีวรเป็นชื่อเรียกผ้าที่พระสงฆ์ใช้สอย ใช้เรียกทั้งผ้านุ่งผ้าห่ม เช่น คำว่ไตรจีวรถึงผ้า 3 ผืน ซึ่งมีทั้งผ้านุ่งและผ้าห่ม สำหรับผ้าห่มเรียกได้เฉพาะว่า อุตราสงคจีวรประกอบด้วยผ้าที่ตัดเป็นสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ มาต่อกัน เป็นผ้าที่เศร้าหมอง คือผู้อื่นมักไม่ต้องการไปตัดเย็บอีก เหมาะสมกับสมณะ ผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็กๆ ที่เย็บต่อกันนั้นเป็นลายคันนา ออกแบบโดยพระอานนท์

    หลังจากพระอานนท์ถวายจีวรที่ตัดแต่งแล้วให้ทอดพระเนตร พระพุทธองค์ทรงพอพระทัย และอนุญาตให้ใช้ผ้า 3 ผืน คือ สังฆาฏิชั้นเดียว จีวร และสบง

    ต่อมาทรงอนุญาตไตรจีวร คือผ้าสังฆาฏิสองชั้น จีวร และสบง ทั้งนี้ เพื่อให้พระสงฆ์ใช้ป้องกันความหนาวเย็น และรับสั่งว่าภิกษุไม่พึงมีจีวรมากกว่านี้ หากรูปใดมีมากกว่านี้เป็นอาบัติ

    ต่อมามีจีวรหลายประเภทเกิดขึ้น ภิกษุไม่แน่ใจว่าจีวรชนิดใดที่ทรงอนุญาต จึงกราบทูลต่อพระศาสดา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตจีวร 6 ชนิด คือ

    1.ทำด้วยเปลือกไม้ 2.ทำด้วยฝ้าย 3.ทำด้วยไหม 4.ทำด้วยขนสัตว์ 5.ทำด้วยป่าน 6.ทำด้วยของเจือกัน

    สีของจีวรแต่เดิมใช้มูลโคหรือดินแดงย้อมจีวร ทำให้สีของจีวรเป็นสีคล้ำ มีการทักท้วง จึงนำความกราบบังคมทูลให้พระองค์ทรงทราบ

    พระพุทธเจ้ามีดำรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำย้อม 6 ชนิดสำหรับย้อมจีวร คือ น้ำย้อมจากใบไม้ น้ำย้อมจากดอกไม้ และน้ำย้อมจากผลไม้"

    เมื่อย้อมเสร็จแล้วจีวรจะออกมาเป็นสีกรัก สีเหลืองหม่น หรือสีเหลืองเจือแดงเข้มเหมือนย้อมด้วยแก่นขนุน

    แต่ทรงห้ามภิกษุย้อมจีวรด้วยขมิ้น ฝาง แกแล มะหาด เปลือกโลด เปลือกคล้า ใบมะเกลือ คราม ดอกทองกวาว เป็นต้น

    สีจีวรที่ต้องห้าม คือ

    1.สีเขียวคราม สีเหมือนดอกผักตบชวา

    2.สีเหลือง สีเหมือนดอกกรรณิการ์

    3.สีแดง สีเหมือนชบา

    4.สีหงสบาท สีแดงกับเหลืองปนกัน

    5.สีดำ สีเหมือนลูกประคำดีควาย

    6.สีแดงเข้ม สีเหมือนหลังตะขาบ

    7.สีแดงกลาย แดงผสมคล้ายใบไม้แก่ใกล้ร่วง เหมือนสีดอกบัว

    บางแห่งระบุว่าสีต้องห้าม คือ สีดำ สีคราม สีเหลือง สีแดง สีบานเย็น สีแสด และสีชมพู

    ถ้าจีวรมีสีตรงตามนี้ให้ภิกษุย้อมใหม่ ถ้าทำลายสีเดิมไม่ออกให้นำไปใช้เป็นผ้าปูลาดสำหรับรองนั่ง หรือใช้งานอื่นก็ได้

    ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุสงฆ์จะย้อมจีวรด้วยสีธรรมชาติแท้ สีจะไม่ออกมาเป็นมาตรฐานเดียวกัน มีผิดเพี้ยนแตกต่างกันไปบ้าง

    ส่วนในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่มีการใช้สีจีวรต่างๆ พอแยกออกได้ 2 สี คือ สีเหลืองเจือแดงเข้ม และสีกรักสีเหลืองหม่น ถือว่าถูกต้องตรงตามพระบรมพุทธานุญาตทั้ง 2 สี แต่พระภิกษุสามเณรที่อยู่วัดเดียวกันควรจะใช้จีวรสีเดียวกันเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย และปฏิบัติให้ถูกต้อง

    เชื่อว่าหลายๆท่านคงจะไม่เคยทราบกันมาก่อน สำหรับที่มาของสีจีวรของพระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทย ที่จะแตกต่างกันไป เนื่องจากในประเทศไทยเรามีพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา 2 นิกาย คือฝ่ายเถรวาท และ ฝ่ายมหายาน และจะมีการแบ่งสีของจีวรพระสงฆ์ออกไป ส่วนจะมีสีใดบ้าง และมีที่มาอย่างไรไปชมภาพกันเลยจ้า

    สีส้มเหลือง คือ จีวรสีส้มเหลือง เป็นสีที่ใช้เฉพาะมหานิกาย

    สีพระราชทาน คือ เป็นวัดทั่วไป วัดสายธรรมยุต

    สีแก่นขนุน คือ จีวรสีแก่นขนุน เป็นสีจีวรที่ใช้ของพระกรรมฐาน

    สีแก่นขนุนเข้ม คือ จีวรแก่นขนุนเข้ม หรือสีแก่บวร ใช้กับพระสายกรรมฐานทางภาคอีสาน

    สีกรักดำ คือ จะเป็นพระธุดงค์ หรือพระทางภาคเหนือ พระคูบา

    ทั้งนี้สีจีวรของภิกษุในพระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเฉดเหลือง เฉดแดง หรือเฉดส้ม ถ้ามีสีอื่นปน ย่อมไม่ผิดพระวินัย แต่ถ้าจะให้เป็นเอกลักษณ์ของพระภิกษุฝ่ายเถรวาทในประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ก็ควรจะสังคายนาสามัคคีทั้งฝ่ายธรรมยุตและมหานิกาย ลงมติให้เป็นเอกฉันท์ว่า พระภิกษุให้ใช้สีเดียวกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ จะเลือกเฉดสีไหนก็ลงมติสีนั้น

    ข้อมูลจาก
    http://pyo.onab.go.th/index.php?opt...00-11&catid=41:2008-10-29-14-40-50&Itemid=100

    https://kaijeaw.com/เพิ่งรู้-สีจีวร-ของภิกษุ/

    FB_IMG_1675415837325.jpg FB_IMG_1675415839337.jpg

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    = = = กำเนิด "พิภพมัจจุราช" = = =
    เมื่อเอ่ยถึง “พลตรี ถาวร ช่วยประสิทธิ์” นามนี้หลายท่านจดจำได้ในฐานะผู้บุกเบิกสถานีโทรทัศน์ทหาร รองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และนักเขียนมือทองอารมณ์ดีที่สร้างสรรค์ผลงานอ่านสนุกและได้ความรู้ไว้ไม่น้อย
    หนังสือบทหนึ่งของท่านเล่าถึง "พิภพมัจจุราช"ไว้ว่า
    ...ในหนังชุด "ชุมทางชีวิต" มีอยู่ตอนหนึ่งชื่อว่า "มัจจุราชฮอลิเดย์" เขาบรรยายว่าท้าวมัจจุราชเกิดอยากพักผ่อนเสียหนึ่งวัน เพราะทำงานคร่ำเคร่งมาตั้งอสงไขยปีแล้ว โลกมนุษย์จึงวุ่นไปหมดเพราะคนไม่รู้จักตาย กินยาตายก็ไม่ตาย ดื่มยาพิษเข้าไปก็เหมือนโอเลี้ยง รถทับกลางตัวก็ไม่ตาย ยิงตัดขั้วหัวใจก็ไม่ตาย
    เมื่อฉายไปแล้วก็เฮฮากันพอสมควร จึงคิดว่าควรทำหนังอีกสักชุดเป็นเรื่องของมัจจุราชเพื่อสั่งสอนคนให้รู้จักบุญบาป
    เมื่อตกลงปลงใจแล้ว จึงเรียกบรรดานักเขียนมาตกลงแนวทางกันว่า คณะท้าวมัจจุราช มีสุวรรณจดบัญชีบุญ มีสุวาณจดบัญชีบาปบนหนังหมา สุวรรณเป็นคนดีมีมารยาท สุวาณเป็นคนไม่ค่อยดีนัก คู่นี้ต้องทะเลาะกันเป็นประจำ โดยมียมฑูตเป็นตัวสอดแทรกและท้าวมัจจุราชเป็นผู้ตัดสิน
    หนังชุดนี้ให้ชื่อเรื่องว่า
    "พิภพมัจจุราช"

    สำหรับมนุษย์ร่วมยุคร่วมสมัย baby boomer จะหาใครที่ไม่รู้จักภาพยนตร์ชุดนี้ หรือว่าเพลงนี้ เห็นจะไม่มี
    เพราะถึงจะเป็นช่วงที่การแพร่ภาพของโทรทัศน์ไทยยังไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 100% ของประเทศ
    มีสถานีโทรทัศน์แค่ 2 ช่อง คือช่อง 4 บางขุนพรหม กับ ททบ.5 ก่อนจะกลายเป็น 4 ช่อง คือเพิ่มช่อง 3 กับช่อง 7 ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
    และจำนวนเครื่องรับโทรทัศน์ยังไม่แพร่หลายขนาดบ้านหนึ่งมีหลายเครื่อง แต่เป็นเครื่องหนึ่งดูกันหลายบ้าน

    ความโด่งดังของพิภพมัจจุราชก็ยังไม่มีข้อสงสัย

    ภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เรื่องนี้เริ่มออกอากาศเมื่อปี 2511
    และกว่าจะเลิกสร้างก็ปาเข้าไปประมาณปี 2517-18
    ยืนยงชนิดที่ผู้แสดงลาโลกไปพบพญามัจจุราชระหว่างที่ออกอากาศอย่างน้อย 3 ท่าน

    คือ คุณสิงห์ มิลินทราศรัย ที่แสดงเป็นพญามัจจุราชคนแรก และ คุณวิชิต ไวงาน ที่รับบทพญามัจจุราชคนที่สอง (ส่วนพญามัจจุราชคนสุดท้ายคือ คุณพิศาล อัครเศรณี ที่สมัยนั้นยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยว)

    กับ คุณอดินันท์ สิงห์หิรัญ ที่แสดงเป็นสุวาณ
    และขออนุญาตบันทึกให้ครบไว้ด้วยว่า ผู้รับบทเป็นสุวรรณในภาพยนตร์ชุดนี้คือ คุณจรัญ พันธุ์ชื่น
    ส่วนผู้รับบทเป็นยมทูต ที่ต้องตามไปเกี่ยววิญญาณคนตายลงมาจากโลกมนุษย์

    คือ คุณเทียว ธารา

    ภาพยนตร์ชุดนี้ผลิตโดยรัชฟิล์ม บริษัทประกอบกิจการโทรทัศน์ที่ พ.อ.พยุง พึ่งศิลป์ (ต่อมาเปลี่ยนนามสกุลเป็นฉันทศาสตร์โกศล) ก่อตั้งขึ้น
    จากผู้ค้าและนำเข้าอุปกรณ์โทรทัศน์ มาสู่ผู้นำเข้าภาพยนตร์ชุดจากต่างประเทศ
    และพัฒนาขึ้นมาอีกขั้นเป็นผู้ผลิตรายการและภาพยนตร์เอง
    ผลงานเด่นในยุคต้นของรัชฟิล์มที่ติดหูติดตาคน นอกจากพิภพมัจจุราช แล้วก็มีชุมทางชีวิต และหุ่นไล่กา
    ความประณีตของรัชฟิล์มนอกจากตัวเนื้อหาแล้ว ยังครอบคลุมมาถึงเพลงประกอบด้วย
    เชื่อความคนร่วมสมัยจำนวนไม่น้อย ยังร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ชุดทั้ง 3 เรื่องที่ยกมาคลอไปได้
    โดยเฉพาะพิภพมัจจุราชกับหุ่นไล่กา ซึ่งก้าวขึ้นไปเป็นเพลงอมตะ

    ดังข้ามรุ่นข้ามยุคไปเรียบร้อย

    ทั้งเพลงพิภพมัจจุราชและหุ่นไล่กา เป็นผลงานประพันธ์ของ ครูมนัส ปิติสานต์ ซึ่งเคยเล่าเอาไว้เองว่า
    วันหนึ่งขณะที่นั่งเหงาๆ อยู่ใต้ต้นไทรหน้าช่อง 5
    พ.อ.พยุงก็เดินมาหา พร้อมกับบอกว่าให้ช่วยแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ให้ที ชื่อพิภพมัจจุราช ขอให้ได้งานภายในสัปดาห์
    แต่ไม่ได้บอกอะไรอีก เว้นให้สตางค์มา 6,000 บาท ซึ่งถือว่ามากโขในยุคนั้น
    ครูมนัสเล่าว่า พอได้เงินมา ก็ฉวยไวโอลินที่อยู่ข้างตัว เดินออกไปเรียกแท็กซี่หน้าสถานี ให้ไปส่งพระปฐมเจดีย์ นครปฐม ก่อนให้รอรับกลับ
    แล้วเพลงพิภพมัจจุราชก็เสร็จออกมาบนระเบียงพระปฐมเจดีย์บ่ายวันนั้น
    เมื่อถึงวันส่งงาน ยังได้สตางค์เพิ่มอีก 5,000 บาท

    ซึ่งก็สมควร เมื่อคิดถึงความเป็นอมตะของเพลงที่ยืนยงมาถึงทุกวันนี้

    ส่วนนักร้องที่ทำให้เพลงนี้ครื้นเครงขึ้นมา มี คุณวิเชียร ภู่โชติ

    คุณสุวรรณ พลอยประดิษฐ์ และ คุณโกวิท (ไม่ทราบนามสกุล) ที่เป็นมือกีตาร์
    ร้องเสียงประสาน

    พิภพมัจจุราชใครถึงฆาตดับชีวี
    สุวรรณตรวจดูบัญชี
    ใครทำดีให้ไปสวรรค์
    ทำชั่ว (พญายมว่าไง)
    ส่งไปนรกโลกันต์นะสิ
    ต้นงิ้วกระทะทองแดง
    เอาหอกแหลมแทงทุกวัน ทุกวัน
    พญายม. สุวาณ. สุวรรณ
    สามแรงแข็งขันทำดี ทำดี

    เพลง


    ที่มาภาพ ข้อมูล ยุคทองหนังทีวีไทย Glory 60s
    https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_2418398
    FB_IMG_1675416041688.jpg FB_IMG_1675416043606.jpg FB_IMG_1675416045464.jpg
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    กระจับเขาควาย

    เป็นวัชพืชในแหล่งน้ำ มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น มีทั้งหมด 4 ชนิด โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ กระจับที่ผลมีสี่เขา ได้แก่ กระจ่อม (Jesuit Nut) และ กระจับ (Tinghara Nut) ซึ่งไม่ค่อยนำฝักมาใช้ประโยชน์

    ส่วนอีก 2 ชนิด กระจับที่ผลมีสองเขา ได้แก่ กระจับเขาแหลม (Horn Nut) และกระจับเขาทู่ (Water caltrops) เรียกทั่วไปว่า กระจับเขาควาย เป็นกระจับที่นำผลมารับประทาน และนิยมปลูกในพื้นที่ภาคกลางแถบจังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี อุทัยธานี ผลของกระจับเรียกว่า ฝัก มีลักษณะคล้ายหน้าวัวที่มีเขาออก 2 ข้าง นิยมนำมาต้มรับประทาน เนื้อด้านในมีสีขาว ให้รสคล้ายเมล็ดขนุน เป็นเมนูทานเล่นพบได้ในภาคกลาง
    FB_IMG_1675416273070.jpg FB_IMG_1675416275659.jpg FB_IMG_1675416277772.jpg
    ขอบคุณท่านเจ้าของภาพครับ
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    "แฟรงก์ อบาเนล" ต้นฉบับนักต้มตุ๋นขั้นเทพ "เป็นใครก็ได้ที่อยากเป็น"

    คนเราจะปลอมเป็นใครก็ได้ โกหก หลอกลวงไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ ได้จริงๆ หรือ? ... แน่นอนว่า "ยาก" แต่ใช่ว่าจะมีคนทำไม่ได้ ย้อนกลับไป 50 กว่าปีที่แล้ว มี "ชายคนหนึ่ง" เขาทำได้ และทำมาแล้ว ซึ่งเขาคนนี้บอกว่า "เขาอยากเป็นใครก็ได้ ที่เขาอยากเป็น"

    เขาคนนั้นเป็นใคร?

    มาทำความรู้จักกัน!!

    ย้อนกลับไปปี 1963 หรือ 56 ปีที่แล้ว การถือกำเนิดของ "นักต๋มตุ๋น" ที่ถือเป็นต้นฉบับขั้นเทพ ชายคนนี้มีนามว่า ‘แฟรงก์ อบาเนล จูเนียร์’ หรือคนรู้จักกันดีว่า ‘แฟรงก์ อบาเนล’

    เหยื่อรายแรกของ ‘อบาเนล’ ไม่ใช่ใครคนอื่นไกล ก็ "พ่อ" ของ ‘อบาเนล’ เอง

    ในตอนนั้น ‘อบาเนล’ อายุเพียงแค่ 15 ปี แผนลวงของเขาเริ่มต้นขึ้นด้วยการทำทีใช้บัตรเครดิตเติมน้ำมัน ซื้อยางรถยนต์, แบตเตอรี่ หรือแม้แต่อุปกรณ์อะไหล่รถยนต์อื่นๆ แล้วใช้อุบายโน้มน้าวให้พนักงานปั๊มน้ำมันยอมทอนเงินส่วนที่เหลือเป็นเงินสด ซึ่งเขาก็ทำสำเร็จ ได้เงินสดไปใช้เป็นกอบเป็นกำ

    แต่คนโชคร้ายดันกลายเป็น "พ่อ" ตัวเอง ที่ต้องมารับผิดชอบตามกฎหมาย กลายเป็น "เหยื่อ" ที่ต้องชดใช้เงินกว่า 3,400 ดอลลาร์ฯ หรือราว 1 แสนบาท

    และในปีต่อมา ช่วงปี 1964 ‘อบาเนล’ ในวัย 16 ปี ต้องเผชิญกับสถานการณ์ครอบครัวที่ไม่เหมือนเดิม พ่อแม่หย่าร้าง เกิดความตึงเครียด จึงตัดสินใจก้าวขาออกจากบ้าน

    นั่นคือ "จุดเริ่มต้น" ที่นำ ‘แฟรงก์ อบาเนล’ เข้าสู่เส้นทาง "นักต้มตุ๋น" ระดับโลก ที่เขาจะเป็นอะไรก็ได้ ที่เขาอยากเป็น

    ด้วยเงินติดตัวที่มีอยู่เพียงน้อยนิด และการศึกษาที่ไม่ได้ร่ำเรียนอย่างจริงจัง ‘อบาเนล’ จึงคิดหาหนทางเพื่อความอยู่รอด เขาแก้ไขใบขับขี่รถยนต์ด้วยการโกงอายุเพิ่มอีก 10 ปี และปลอมแปลงประวัติการศึกษาใหม่ให้เกินจริง

    แน่นอนว่า สิ่งนี้มันทำให้ ‘อบาเนล’ ได้งานและมีรายได้

    แต่รายได้ที่ได้มามันยังไม่พอ!!

    ‘อบาเนล’ ใช้ไหวพริบที่เหนือกว่าเด็กวัยรุ่นทั่วไป สร้างรายได้จากการทำ "เช็คปลอม"

    ‘อบาเนล’ ปรับลุคการแต่งตัวให้ดูภูมิฐาน สร้างคาแรกเตอร์ให้น่าเชื่อถือ หอบเช็คปลอมที่เขียนขึ้นมาเองไปขึ้นเงินที่ธนาคาร ทำทีชวนพนักงานพูดคุยหวังหันเหความสนใจไม่ให้จับพิรุธได้ เขาทำแบบนี้อยู่สักระยะ กว่าธนาคารจะรู้ว่า "เช็คเด้ง" กว่าเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบพบและดำเนินคดี ...

    ‘อบาเนล’ ก็ไหวตัวทัน หอบเงินกว่าหลักล้านบาทหลบหนีไปก่อนแล้ว

    คุณเป็นใคร? ... เป็นใครก็ได้ที่อยากเป็น

    ‘อบาเนล’ เป็น "นักบิน" ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนการบิน

    ‘อบาเนล’ เป็น "แพทย์" ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนการแพทย์

    ‘อบาเนล’ เป็น "ทนายความ" ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนกฎหมาย

    ‘อบาเนล’ เป็นแม้กระทั่ง "อาจารย์มหาวิทยาลัย"

    เขาทำได้อย่างไร?

    ด้วยปฏิญาณไหวพริบ บุคลิกเฉพาะตัวที่น่าทึ่ง ‘อบาเนล’ สวมบทบาท "นักต้มตุ๋น" อีกครั้ง ด้วยการเริ่มต้นอาชีพ "นักบิน"

    สายการบิน ‘แพน อเมริกัน เวิลด์ แอร์เวย์ส’ (Pan American World Airways) หรือ ‘แพนแอม’ (Pan Am) คือ สายการบินเป้าหมายที่ ‘อบาเนล’ เลือก เขาแสร้งทำทีเป็นว่าจะเขียนบทความเชิงสารคดีเกี่ยวกับ ‘แพนแอม’ ลงนิตยสารของโรงเรียน และนั่นก็เป็นช่องทางที่ทำให้เขาได้เป็น "นักบิน" อย่างที่ต้องการ

    ปฏิบัติการของ ‘อบาเนล’ เริ่มขึ้น เขาโทรไปยังสำนักงานใหญ่ของ ‘แพนแอม’ แล้วหลอกว่า ชุดเครื่องแบบนักบินของเขาหายไประหว่างการส่งทำความสะอาดที่โรงแรม มีความจำเป็นต้องใช้ ซึ่งแน่นอนว่า เขาได้ชุดเครื่องแบบมาตามที่หวัง และสวมบทบาทการเป็นนักบินด้วยการใช้ "บัตรประจำตัวปลอม"

    ไม่เพียงแต่บัตรประจำตัวปลอมเท่านั้น ‘อบาเนล’ ยังปลอมแปลงใบอนุญาตการบินจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (F.A.A.) ความแยบยลในอุบายของเขา ทำให้เขาสามารถเดินทางไปกว่า 250 ไฟลท์ และบินถึง 26 ประเทศทั่วโลก ได้สิทธิพิเศษมากมาย โดยไม่มีใครจับสังเกตได้

    แต่แล้วตำรวจเอฟบีไอ (FBI) ก็เริ่มแกะรอย ‘อบาเนล’ ได้อีกครั้งจากเช็คปลอม ซึ่งอีกนั่นแหละ ‘อบาเนล’ ไหวตัวทัน หลบหนีไปได้อีกครั้ง

    คราวนี้มาในบทบาทใหม่ "กุมารแพทย์" ในจอร์เจีย

    ด้วยความโม้ ความขี้คุย ‘อบาเนล’ กล่าวอ้างกับคนอื่นว่าตัวเองเป็น "กุมารแพทย์" จนคนเชื่อ เข้าตีสนิทกับแพทย์คนอื่นๆ ในตอนนั้นโรงพยาบาลท้องถิ่นมีความต้องการตำแหน่ง "กุมารแพทย์" และก็เป็นการเปิดช่องให้ ‘อบาเนล’ สวมรอยเข้าไปได้ง่ายๆ

    แม้ว่า ‘อบาเนล’ จะใช้ไหวพริบช่วยให้รอดพ้นจากเคสต่างๆ มาได้ แต่เขาก็เริ่มตระหนักแล้วว่า ถ้าหากฝืนต่อไป ชีวิตเขาอาจจะเสี่ยงได้ หากว่าวันหนึ่งเขาไม่มีความสามารถมากพอในสถานการณ์ที่ต้องแขวนอยู่บนความเป็นและความตาย

    ‘อบาเนล’ จึงตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งสู่รัฐลุยเซียนา

    บทบาทใหม่ ‘อบาเนล’ เป็น "ทนายความ"

    ‘อบาเนล’ ปลอมใบสำเร็จการศึกษาด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และการสอบเนติบัณฑิต และเข้าทำงานในสำนักงานอัยการรัฐลุยเซียนา ด้วยวัยเพียง 19 ปีเท่านั้น

    เรื่องราวในครั้งนี้มันเริ่มจากความรักและเชื่อใจ

    ‘อบาเนล’ ได้พบกับสาวคนรัก และเธอก็ตกเป็นเหยื่อของเขา

    ‘อบาเนล’ หลอกคนรักว่า เขาเคยเรียนกฎหมายในฮาร์วาร์ด แน่นอนเธอหลงเชื่อ แล้วพา ‘อบาเนล’ ไปแนะนำให้รู้จักกับทนายความในสำนักงานอัยการฯ แต่การจะเข้าเป็นทนายความที่นี่ เขาต้องมีใบอนุญาต

    ‘อบาเนล’ ใช้วุฒิปลอมที่อ้างว่าจบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อเข้าสมัครสอบ หลังจากนั้นประมาณ 8 สัปดาห์ ด้วยความมุมานะและไหวพริบอันฉลาด เขาก็สามารถสอบผ่านและได้ใบอนุญาตมาครอบครอง

    แต่แล้วการทำงานก็ไม่ราบรื่น เมื่อเพื่อนร่วมงานเริ่มตั้งข้อสงสัยและไม่เชื่อว่าเขาจบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจริง พยายามสืบเสาะและติดต่อไปยังมหาวิทยาลัยฯ เพื่อสอบถามเกี่ยวกับประวัติการศึกษาของ ‘อบาเนล’

    สุดท้าย ‘อบาเนล’ ตัดสินใจลาออกหลังปลอมเป็นทนายประมาณ 8 เดือน เขาสารภาพกับคนรักถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าแท้จริงแล้ว "ปลอมทั้งหมด"

    คนรักทั้งโกรธและไม่พอใจ ใช้แผนอุบายหลอกล่อ ลวงให้เอฟบีไอจับ ‘อบาเนล’ และนั่นก็ทำให้เขาต้องหลบหนีอีกครั้ง

    ‘อบาเนล’ รับรู้รสชาติของการถูกหลอก

    และสวมบทบาทใหม่ “อาจารย์มหาวิทยาลัย"

    ‘อบาเนล’ ทำงานเป็นผู้ช่วยสอนด้านสังคมวิทยาที่มหาวิทยาลัยบริคแฮม ยัง เขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เคยแม้แต่จะมีความรู้เรื่องนี้สักนิด

    ชีวิตดูราบรื่น แต่เพราะตัว ‘อบาเนล’ เองที่ไม่พอ

    ‘อบาเนล’ วางแผนกลับไปเป็นนักบินอีกครั้ง

    ในระหว่าง 5 ปี ที่เขาคอยหลบหนี ปลอมแปลง ต้มตุ๋น ทางเอฟบีไอเองก็พยายามแกะรอยการใช้เช็คปลอมของเขาอยู่เรื่อยๆ ออกใบประกาศจับฐานฉ้อโกง มูลค่ากว่า 2.5 ล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 76 ล้านบาท

    ‘อบาเนล’ คลายร่าง ลอกคราบ "นักต้มตุ๋น"

    แผนการกลับไปเป็นนักบินอีกครั้งของ ‘อบาเนล’ ไม่สำเร็จ เมื่อพนักงานต้อนรับสายการบิน ‘แอร์ฟรานซ์’ กลับจำใบหน้าเขาได้ และแจ้งต่อเอฟบีไอ

    ถือเป็นการสิ้นสุดการสวมบทบาท ‘อบาเนล’ ถูกลอกคราบ

    ‘อบาเนล’ ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำแปร์ปียอง ประเทศฝรั่งเศส สถานที่คุมขังอันเลื่องชื่อ

    ‘อบาเนล’ ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี เขาต้องทุกข์ทนอยู่ภายในเรือนจำที่มีสภาพแสนอึดอัด ทั้งเล็กและสกปรก ไม่ได้ออกไปไหน ต้องอยู่แต่ในห้องขังที่ไม่มีแม้แต่ที่นอน ประปา หรือไฟฟ้า ส่วนอาหารและน้ำก็มีอย่างจำกัด

    ก่อนจะถูกส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไปยังเรือนจำที่สวีเดน 1 ปี ที่นี่ ‘อบาเนล’ ได้รับการดูแลที่ดีขึ้นมาหน่อย

    ‘อบาเนล’ ถูกเพิกถอนพาสปอร์ต และเนรเทศไปยังสหรัฐอเมริกา

    ช่วงที่ ‘อบาเนล’ ถูกจำคุกเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปี ช่วงปี 1969-1982 ในตอนนั้นเขาอายุ 34 ปีแล้ว ซึ่งอีกเรื่องที่น่าเศร้า คือ ในระหว่างเขาถูกคุมขัง พ่อของเขาได้เสียชีวิต

    ตัวตนที่แท้จริง ‘อบาเนล’ คือ ‘อบาเนล’

    ‘อบาเนล’ ใช้ชีวิตในเรือนจำได้ 5 ปี เขาก็ได้รับอิสรภาพ

    อิสรภาพที่แลกมาด้วย "ข้อตกลง"

    ‘อบาเนล’ ถูกปล่อยตัวภายใต้เงื่อนไข คือ การต้องให้ความช่วยเหลือกับรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เกี่ยวกับอาชญากรรมฉ้อโกง ปลอมแปลง และยักยอกเงิน โดยที่ไม่ได้รับค่าตอบแทน

    ‘อบาเนล’ ตกลง

    หลังจากนั้น ชีวิตของ ‘อบาเนล’ ก็กลับมาเป็น ‘แฟรงก์ อบาเนล จูเนียร์’ อีกครั้ง

    เขายอมรับความผิดพลาดในอดีต แต่ไม่คิดกลับไปเดินเส้นทางนั้นอีกแล้ว

    ช่วงนั้น ‘อบาเนล’ ทำงานแทบทุกประเภท ทั้งทำอาหาร หรือแม้แต่ขายของชำ แต่การใช้ชีวิตของเขาก็ยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องราวในอดีตมากนัก เกรงจะกระทบกับงาน

    ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปยังธนาคารเหมือนในช่วงชีวิตครั้งแรก

    ‘อบาเนล’ บอกเล่าเรื่องราวในอดีตให้ธนาคารฟังอย่างหมดเปลือก และเสนอตัวเป็นผู้ให้คำปรึกษาพนักงานธนาคารเกี่ยวกับหนทางการหลีกเลี่ยงการฉ้อโกงและโจรกรรม

    ปี 1986 ‘อบาเนล’ ก่อตั้ง ‘Abagnale & Associates’ คอยให้คำปรึกษาแก่บุคคลทั่วไปและคนที่สนใจ ถึงวิธีการที่จะหลบเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อฉ้อโกง

    ด้วยเทคนิคการต้มตุ๋นที่หาตัวจับได้ยาก 5 ปี ที่แสนจะโลดโผน ทำให้ในปี 2002 ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ สร้างภาพยนตร์ถ่ายทอดชีวิตของ ‘อบาเนล’ ในชื่อ ‘Catch Me If You Can’ โดยมี ‘ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ’ สวมบทบาท ‘แฟรงก์ อบาเนล’ นักต้มตุ๋นชื่อเสียงกระฉ่อนโลก ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก ทำรายได้รวมทั่วโลกกว่า 355 ล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 1 หมื่นล้านบาท

    บทสรุปชีวิตของ ‘อบาเนล’ นักต้มตุ๋นขั้นเทพ ไม่ได้บอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นถูกต้อง เพราะสุดท้ายแล้ว เขาก็ต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองก่อไว้

    แม้ ‘อบาเนล’ จะเก่งแค่ไหน แต่ "ความลับ" ไม่มีในโลก.

    ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน

    https://www.thairath.co.th/scoop/1678203

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ประวัติ พิงค์ แพนเตอร์ เสือโย่งสีชมพู

    ยังจำผมได้ไหมครับ ผมชื่อ พิงค์ แพนเตอร์ (Pink Panther) เป็นเสือสีชมพูสุดหล่อ ด้วยรูปร่างสูงโย่งเป็นเอกลักษณ์ และสีชมพูสดใส พร้อมกับอารมณ์ขันฉลาด ๆ ของผม ทำให้ผมเป็นที่ชื่นชอบของมหาชนมาตลอด แม้ในการแสดงครั้งแรกของผมตอนปี 1964 จะเป็นเพียงฉากเปิดตัวของหนังแนวคอมมาดี้ เรื่อง The Pink Panther ของผู้กำกับ Blake Edward แต่ก็ประสบความสำเร็จ เป็นที่นิยมอย่างมาก บางคนยังบอกด้วยว่า ดียิ่งกว่าตัวหนังเองซะอีก นี่ล่ะคือที่มาของชื่อผม พิงค์ แพนเตอร์ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมมีชื่อเสียงไปทั่วโลก
    การที่ผมมีวันนี้ได้ก็ต้องให้เครดิตกับผู้ที่ปั้นผมมา คือ Friz Freleng เขาเริ่มต้นอาชีพของเขาในสตูดิโอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในแคนซัส ซิตี้ ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่วอลซ์ ดิสนีย์เริ่มทำแอนิเมชั่น ประมาณช่วงปลายทศวรรษ 1920 เขาก็ย้ายไปที่แคลิฟอร์เนีย โดยตาม Hugh Harman และ Rudolf Ising มือแอนิเมชั่นจากแคนซัส ซิตี้ ไปช่วยทำซีรีส์ ลูนนีย์ ตูนส์ (Looney Tunes) ให้กับ วอร์เนอร์ บราเธอร์ (Warner Brothers) เขายังได้ร่วมงานกับ MGM อยู่ปีนึงในช่วงกลางทศวรรษ 1930 จากนั้นก็เข้าร่วมงานกับวอร์เนอร์ บราเธอร์ ในตำแหน่ง Senior Director และควบคุมดูแลตัวการ์ตูนคลาสสิค เช่น บัคส์ บันนี่ (Bugs Bunny), ดัฟฟี่ ดัค (Daffy Duck) และทวีตตี้ (Tweety) มามากกว่า 30 ปี นอกจากนี้ Freleng ของผม ยังได้กำกับการ์ตูนชุดแรกของเรื่อง Sylvester และ Porky Pig and Yosemite Sam ที่ทำให้สตูดิโอได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (Academy Award) ถึง 4 รางวัลอีกด้วย

    ต่อมาเมื่อวอร์เนอร์ บราเธอร์ ปิดแผนกแอนิเมชั่นในปี 1962 Freleng ก็ได้ร่วมทีมกับผู้ผลิตการ์ตูนชื่อ David Depatie ทำภาพยนตร์แอนิเมชั่นในเชิงอุตสากรรม และเชิงการค้า ในเวลานี้เองที่ ผู้กำกับ Blake Edwards ได้มาติดต่อ Freleng ให้ทำแอนิเมชั่นฉากเปิดตัวให้กับภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขา ก็คือเรื่อง The Pink Panther แสดงนำโดย Peter Sellers ซึ่งแสดงเป็น Inspector Clouseau นักสืบฝรั่งเศส ที่ติดตามเพชรประหลาด ชื่อ Pink Panther นี่เอง

    David Depatie ได้เล่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดของผมว่า พวกเขาได้ร่วมกันทำภาพวาดตัวการ์ตูนออกมา 100 ถึง 150 แบบที่แตกต่างกัน และนำพวกตัวการ์ตูนนี้ไปที่ออฟฟิศของ Blake เขากางมันออกมาให้ดูว่าจะเลือกตัวการ์ตูนตัวไหน และBlake ก็ชี้ไปที่รูปหนึ่ง และบอกว่า “นั่นล่ะเขา” รูปนั้นก็คือรูปผมเองล่ะ
    จากวันนั้นสตอรี่บอร์ดเรื่องราวของผมก็เกิดขึ้นตามมา และสร้างเป็นแอนิเมชั่นออกฉายไปพร้อมกับหนัง จนพี่ ๆ สื่อมวลชนสมัยนั้นชมกันว่าไตเติ้ลหนังดีกว่าตัวหนังซะอีก เห็นไหมผมไม่ได้โม้ยอตัวเองนะ
    ด้วยการออกแบบและกราฟฟิคที่เป็นสไตล์ร่วมสมัยของ Freleng ที่มี Hawley Pratt เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ เพลงนำพิเศษจากฝีมือของ Henry Mancini และความตลกขบขันที่ไม่ต้องใช้ภาษา ก่อเกิดเป็นภาพยนตร์การ์ตูนที่ใช้งบประมาณไม่มากนัก การ์ตูนเสือดำ (ที่สีไม่ดำ) เรื่องแรกนี้ชื่อ The Pink Phink ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ด (ออสการ์) สาขาแอนิเมชั่นขนาดสั้นที่ดีที่สุดแห่งปี ด้วยนะครับ Freleng บอกไว้ว่า เขาทำเรื่องนี้เป็นเหมือนละคร และความจริงแล้วตั้งใจทำให้ผู้ใหญ่ดู เพราะเรื่องราวอาจซับซ้อนเกินกว่าที่เด็กจะสนใจ

    นอกจากเรื่อง The Pink Panther ที่ผมไปขโมยความนิยมของมหาชนมาจาก Peter Sellers ในฉากเปิดเรื่องแล้ว ผมยังไปปรากฏตัวในฉากเปิดของภาพยนตร์เรื่อง A Shot in the Dark ในปี 1964 ของผู้กำกับคนเดิม Blake Edwards
    เรื่องราวของผมได้ฉายทางทีวี เป็นการ์ตูนตอนเช้าวันเสาร์ด้วยครับ พร้อมรายการโชว์ ชื่อ The Think Pink Panther Show และยังทำเป็นซีรีส์ต่อมาอีกเกือบ 20 ปี จนได้รับการยอมรับว่าเป็นการ์ตูนคลาสสิค แต่ที่กำกับการแสดงโดย Friz Freleng และ Hawley Pratt มีประมาณ 10 ตอน แต่ละตอนพวกเขามักจะจัดให้ผมอยู่ในสถานการณ์แปลก ๆ
    FB_IMG_1675417027478.jpg FB_IMG_1675417029516.jpg FB_IMG_1675417031844.jpg
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,153
    ค่าพลัง:
    +97,149
    สำนวน บ่างช่างยุ มาจากไหน

    “บ่าง” (Colugo) คือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ลักษณะคล้ายกระรอก อยู่ในชนิด Cynocephalus variegatus (Audebert) วงศ์ Cynocephalidae อาศัยอยู่ในป่าเขตร้อนชื้นของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บ่างมีหนังเป็นพังผืดทั้ง 2 ข้างลำตัว ตั้งแต่คอไปถึงปลายเท้าและหาง ใช้ถลาร่อนจากที่สูงมายังที่ตํ่าได้ค่อนข้างไกล มีขนนุ่มสีนํ้าตาลเข้มหรือนํ้าตาลอ่อนเป็นหย่อม ๆ มีเล็บโค้งแหลมสำหรับปีนป่ายต้นไม้ เป็นสัตว์หากินกลางคืน กินพืช-ผลไม้ ตอนกลางวันจะหลบอยู่ตามโพรงไม้หรือเกาะห้อยอยู่ตามพุ่มทึบคล้ายค้างคาว
    บ่างเป็นสัตว์ฺที่มีเสียงร้องคล้ายคนร้องไห้ ทั้งมีหน้าตาคล้ายลิงลม คนโบราณจึงมองว่าเป็นสัตว์ที่พิลึกและน่ากลัว คนที่เข้าป่าในอดีตและวได้พบเจอหรือได้ยินเสียงร้องของบ่างจึงมักคิดว่าเป็น “ผีป่า”

    ส่วนสำนวนไทยสมัยโบราณที่ว่า “บ่างช่างยุ” นั้นมีที่มาจากนิทานสุภาษิตเรื่องหนึ่ง เล่าถึงตัว “บ่าง” ที่อาศัยอยู่ในป่าและเป็นเพื่อนกับ “ค้างคาว” ทั้งคู่กินผลไม้เป็นอาหารเช่นเดียวกัน แต่บ่างเสียเปรียบค้างคาวในเชิงสรีระร่างกาย เพราะไม่มีปีกบินทำให้เคลื่อนที่ไปหาผลไม้ได้ช้ากว่า บ่างจึงเกิดความคิดริษยาและไม่อยากอยู่ร่วมกับค้างคาว แล้วเริ่มหาวิธีทำให้ค้างคาวไปเสียจากป่านั้น

    นอกจากเป็นเพื่อนกับบ่างแล้ว ค้างคาวยังเป็นเพื่อนกับ “นก” และ “หนู” ด้วยเหตุผลที่ว่าค้างคาวนั้นบินได้เหมือนนกและมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับหนู จึงนับถือกันเป็นมิตรสหายด้วย โดยนกกับหนูทำรังอยู่ร่วมกันบนต้นไม้ใหญ่ ค้างคาวมักจะแวะเวียนมาหาทั้งคู่อยู่เสมอ ขณะที่บ่างไม่ได้รับอภิสิทธิ์นั้น เพียงแต่ดูอยู่ห่าง ๆ
    แผนการของบ่างในการกำจัดค้างคาวจากการเป็นคู่แข่งหากินของตนจึงเริ่มต้นจากการทำให้ค้างคาวแตกคอกับนกและหนูเสีย บ่างไปหานกกับหนูพร้อมเล่าว่าค้างคาวนั้นเป็นสัตว์ร้าย จะนำโรคภัยมาสู่ทั้งสองได้ เพราะขี้ค้างคาวมีกลิ่นแรง นกกับหนูได้ฟังดังนั้นก็เกิดหวาดกลัวค้างคาวขึ้นมา จึงพากันขับไล่ค้างคาวไม่ให้มาข้องแวะหรืออยู่ร่วมต้นไม้กับพวกตน ค้างคาวจึงต้องจากป่านั้นไป

    สำนวนนี้จึงถูกนำมากล่าวถึงและเปรียบเทียบคนที่มักพูดจาส่อเสียด ยุแยงให้ผู้อื่นทะเลาะกัน ส่งเสริมความร้าวฉานในหมู่คณะ โดยเรียกว่าเป็น “บ่างช่างยุ” นั่นเอง
    FB_IMG_1675417170178.jpg FB_IMG_1675417172033.jpg
    https://www.silpa-mag.com/culture/article_95750
     

แชร์หน้านี้

Loading...