ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานวันที่ 22 มิย 2556 ยืนยันคำเดิมฝรั่งบอกว่าไม่มาครับ แต่ลมสุริยะสูง สงสัยคาดการณ์ผิด
    ลมสุริยะ solar wind 615.3
     
  2. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รูปภาพ ต่อครับ พอดีวันนี้ผมใช้โทรษัพท์ อัพรูปได้ 1 รูป ผมขอแจ้งให้้ผูดูแลเวบทราบครับ เวลาอัพรูปจากไอโฟนลงซัก 2 รูปขึ้นไปจะได้รูปเดียว และพอไปแก้ไขอัพรูปใหม่ก็จะได้รูปเดียว ของเดิมกลายเป็นรูปใหม่เลยครับ
     
  3. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ต่อครับโปรตอนฟลักสูงผมเอารูปขยายรายละเอียดมาลงสังเกตเส้นสีเหลือง จะเห็นว่ามีช่วงหนึ่งพุ่งสูงลิบเลย แปลกครับ
     
  4. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 22 มิย 2556 เวลา 13.24 ขณะรายงานลมสุริยะลดความเร็วแล้วครับ

    . เหลือ 537.4
     
  5. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 22 มิถุนายน 2556 เวลา 18.15 ค่า โปรตอนยังสูง ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบสาเหตุ คงต้องรอข้อมูล ดร ก้องภพ ตามเดิมครับ แต่โดยส่วนตัวผม ก็คงไม่ใช่มาจาก coronal hole เพราะครั้งที่แล้วปล่อยอิเล็กตรอนครับ เป็นไปได้ไหมครับก่อนที่ จะเกิดการพัดพา อิเล็กตรอนจาก coronalhole จะต้องมีการนำส่งโปรตอนออกไปจากพื้นผิวดวงอาทิตย์แบบว่าก่อนเกิดลมก็มีปัจจัยทำให้ลมพัด คิดเองน่ะครับ อาจผิดก็ได้
     
  6. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 22 มิย 2556 เวลา 20.45 ลมสุริยะแรงขึ้น
    ความเร็วลม 657.6
     
  7. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พระสูตรก่อนนิทรา สำหรับวันที่ 22 มิถุนายน 2556
    คือ ประวัติพระพุทธเจ้านามว่าพระไภษัชยคุรุตถาคต (คำว่า ตถาคตแปลว่า พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ตรงกับภาษาจีนว่า “หยูไล” ซึ่งเป็นอีกพระนาม
    พระพุทธเจ้าผู้รักษาโรค ข้อมูลจาก

    แก้วไดอารี่ เว็บบอร์ด แก้วไดอารี่ เว็บบอร์ด

    พระไภษัชยคุรุตถาคต (คำว่า ตถาคตแปลว่า พระผู้เสด็จมาแล้วอย่างนั้น ตรงกับภาษาจีนว่า “หยูไล” ซึ่งเป็นอีกพระนามหนึ่งสำหรับเรียกขานพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ดังนั้นคำว่าตถาคต และพุทธเจ้าจึงมีความหมายเดียวกัน) ทรงมีพระนามเต็มว่า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคต(藥師琉璃光如來) มีความหมายของพระนามดังนี้ว่า ไภษัชย(藥) แปลว่ายา,โอสถรักษาโรค คุรุ(師) แปลว่าครู,ผู้เชี่ยวชาญ ไวฑูรยประภา(琉璃光) แปลว่าแสงรัศมีสีน้ำเงินดั่งแก้วไวฑูรย์ ซึ่งโดยรวมแล้วคือ พระตถาคตเจ้าผู้เป็นบรมครูแห่งโอสถรักษาโรคผู้มีแสงรัศมีสีน้ำเงินดั่งแก้วไวฑูรย์ เช่นนี้ และพระองค์ยังทรงมีพระนามว่า มหาแพทยราชาพุทธเจ้า (大醫王佛) และ มหาไภษัชยราชพุทธเจ้า (大藥王佛)

    พระปฏิมาของพระองค์ทางจีนจะประสานหัตถ์ในท่าสมาธิและมีรัตนเจดีย์ ๗ ชั้นบ้าง ๙ ชั้นบ้างบนพระหัตถ์ ทางธิเบตจะวาดพระวรกายของพระองค์ให้มีสีน้ำเงินเข้ม(เหมือนไวฑูรย์) ทรงขัดสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาทรงถือต้นยาสมุนไพรในลักษณะแบบพระหัตถ์ออกมาเบื้องหน้า(ทางจีนให้ถือเห็ดหลินจือ เพราะเชื่อว่าเป็นเห็ดอายุวัฒนะของเซียน) หงายวางบนพระชานุ พระหัตถ์ซ้ายทรงบาตรบนพระเพลา ภายในบาตรบรรจุทิพยโอสถ ชื่อว่า “อคทะ” เป็นคำคุณศัพท์ ในความหมายว่าแข็งแรงสุขภาพดี ถ้าเป็นคำนาม แปลว่า ยาบำบัดโรค หรือชื่อยาที่แก้พิษได้ (บ้างก็ว่าชื่อ อรุระ arura หรือ myrobalan, fruit) ไม่เว้นแต่โรคาพาธในมนุษย์โลกแห่งนี้เท่านั้น ไม่ว่าโรคชนิดต่างๆของเทวดา เปรต เดรัจฉานและอื่นๆ ที่ขึ้นขื่อว่าเป็นสรรพสัตว์ยังต้องเวียนว่าย พระองค์ก็ทรงสามารถรักษาได้ทั้งสิ้น เพราะการที่ต้องว่ายเวียนในสังสารวัฏนั้นถือเป็นโรคาพาธที่ร้ายแรงกว่าโรคทางกาย กล่าวโดยสรุปพระองค์ทรงสามารถเยียวยารักษาโรคทางกายและโรคทางกรรมของสรรพสัตว์ทั้งปวง และทรงลักษณะของมหาบุรุษ ทรงจีวรเหมือนพระพุทธเจ้าทั่วไป

    พระไภษัชยคุรุ ทรงมีพระสูตรของพระองค์เองคือ พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาตถาคตปูรวปณิธานสูตร[1] ซึ่งแปลจากภาษาสันสกฤตสู่ภาษาจีน โดยพระตรีปิฎกธราจารย์เฮี้ยนจั๋ง(พระถังซำจั้ง) ในปี พ.ศ. ๑๑๙๓ ภายในเล่มกล่าวว่า “สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าศากยมุนี ทรงจาริกไปถึงเมืองไวศาลี แล้วประทับอยู่ใต้ร่มพฤกษชาติชนิดหนึ่งที่ยามลมพัดใบไม้จะสั่นไหวเป็นเสียงดนตรี ครั้งนั้นมีมหาภิกษุจำนวน ๘,๐๐๐ รูป มหาโพธิสัตว์จำนวน ๓๖,๐๐๐ พระองค์ แล้วพระมัญชุศรีโพธิสัตว์(โพธิสัตว์แห่งมหาปัญญา) ได้กราบทูลอาราธนาให้พระพุทธองค์ตรัสแสดงถึงพระนาม พระปณิธานของพระพุทธเจ้า และอานิสงค์แห่งการบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ ครั้นแล้วพระศากยมุนีพุทธเจ้า จึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่านับจากโลกธาตุแห่งนี้ไปทางด้านบูรพาทิศ(ตะวันออก)ผ่านโลกธาตุดินแดนต่างๆไปมากมายเท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาจำนวนถึง ๑๐ สายรวมกัน มีโลกธาตุแห่งหนึ่งนามว่า “ศุทธิไวฑูรย์”(淨琉璃世界) บางสูตรอาจแปลว่า “ปูรณจันทรโลกธาตุ” (滿月世界)และมีพระพุทธเจ้าพระนามว่า “ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา”

    จากนั้นพระศากยมุนีพุทธเจ้าจึงทรงบรรยายถึงพระมหาปณิธานทั้ง ๑๒ ประการของพระไภษัชยคุรุ (โดยย่อ) ดังนี้
    ๑. จะทรงฉายรัศมีประภาสไปยังโลกต่างๆ และจะยังให้สรรพสัตว์ได้สำเร็จพระโพธิญาณอย่างรวดเร็ว โดยมีมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และอสีตยานุพยัญชนะลักษณะ ๘๐ ประการเหมือนพระองค์(แสดงถึงความเสมอภาคเท่าเทียมกัน)

    ๒. จะทรงฉายรัศมีประภาสที่สว่างกว่าดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ สะอาดบริสุทธิ์ทั้งภายในและภายนอก(ความหมายคือ สะอาดทั้งกายและใจ หรือสะอาดทั้งสิ่งที่อยู่ภายในตนหรือวิชชา และสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกหรือจรณะ) ไปยังนรกภูมิให้สรรพสัตว์ที่รับทุกขเวทนาอยู่ได้พ้นทุกข์ และสัตว์ที่ลุ่มหลงให้ตื่นขึ้นจากความโง่เขลา ลุ่มหลง

    ๓. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ถึงพร้อมในสิ่งของเครื่องใช้ทั้งปวงไม่รู้จักหมดสิ้นจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๔. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ และผู้ที่ปฏิบัติตนในมิจฉามรรค สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน ให้หันมาดำรงมั่นในมหายานธรรม (ดำรงตนเป็นโพธิสัตว์) จนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๕. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ที่ศีลด่างพร้อย กลับมีศีลที่บริสุทธิ์จนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๖. จะทรงยังให้สรรพสัตว์มีร่างกายที่อลังการสมบูรณ์ หายจากความพิกลพิการ เสียสติ โรคร้าย ฯลฯจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๗. จะทรงยังให้สรรพสัตว์พ้นจากความยากจนค้นแค้น มีที่พักอาศัย โรคภัยสิ้นสูญ มีครอบครัวที่ดี มีความสุขทั้งกายและใจจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๘. จะทรงยังให้สตรีเพศที่ได้รับทุกข์ทรมาน ต้องการเป็นบุรุษ ได้กลายเป็นบุรุษสมชายชาตรีดั่งใจจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๙. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ได้หลุดพันจากข่ายแห หรืออุบายของมาร แล้วได้บำเพ็ญในโพธิสัตวมรรค จนถึงได้สำเร็จพระโพธิญาณอย่างรวดเร็ว

    ๑๐. จะทรงยังให้สรรพสัตว์หลุดพ้นจากคดีความ อาญาหลวง พันธนาการ การคุมขัง และการโบยตีทั้งปวงจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๑๑. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ที่มีความจำเป็นต้องเลี้ยงชีพด้วยความชั่ว เนื่องจากความอดอยาก ได้รับความสุขที่แท้จริงโดยไม่ต้องทำความชั่วนั้นอีกจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ

    ๑๒. จะทรงยังให้สรรพสัตว์ที่ยากไร้ ได้สมบูรณ์ในอาภรณ์แพรพรรณ เครื่องดนตรี ของหอม และสิ่งมีค่าทั้งปวงจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณ.

    ซึ่งพระสูตรข้างต้นนี้พระอารามบนเขาอู่ไถ่ มณฑลซานซี ได้จารึกด้วยโลหิตมนุษย์ทั้งเล่ม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความศรัทธาที่มีต่อพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า และพระมหาปณิธานแต่ละประการนั้น จะต่อท้ายด้วยคำว่า “จนถึงพระโพธิญาณ” อันหมายความว่าพระมหาปณิธานของพระองค์จะอนุเคราะห์ส่งผลแก่ผู้นั้นไปทุกๆ ภพชาติตลอดเวลาแสนนานจนกว่าผู้นั้นจะสำเร็จพระโพธิญาณด้วย จากนั้นพระพุทธองค์ได้ตรัสแสดงวิธีการและอานิสงค์แห่งการกราบไหว้บูชา เช่นการจุดดวงประทีปบูชาจำนวน ๔๙ ดวง เป็นเวลา ๔๙ วัน โดยต้องสมาทานศีลบริสุทธิ์ ผู้ปฏิบัติต้องมีเมตตากรุณาต่อสรรพสัตว์พร้อมกับบริจาคทาน อ่านท่องและเผยแผ่พระสูตรนี้ ฯลฯ พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์และเทพเจ้าทั้งปวงก็จะให้การปกป้องดูแล ให้ปลอดภัย สมหวังและสุขภาพแข็งแรงหายจากโรคร้ายได้

    ยังมีคัมภีร์อีกเล่มคือ “พระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภาสัปตพุทธปูรวปณิธานวิเศษสูตร”[2] ซึ่งแปลจากภาษาสันสกฤตสู่ภาษาจีนโดยพระมหาสมณะงี้เจ่ง สมัยราชวงศ์ถัง ในปี พ.ศ.๑๒๕๐ ภายในเล่มกล่าวถึงพระพุทธประวัติและมหาปณิธานของพระพุทธเจ้าจำนวน ๗ พระองค์ ซึ่งแต่ละพระองค์มีพระนามต่างกัน มีชื่อของโลกธาตุต่างกัน มีจำนวนมหาปณิธานไม่เท่ากัน ซึ่งล้วนประทับอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และมีมหาปณิธานคล้ายคลึงกับพระไภษัชยคุรุทั้ง ๑๒ ประการข้างต้น สาธุชนมหายานจึงเรียนขานว่า “พระไภษัชยคุรุทั้ง ๗ ” (藥師七佛)

    พระไภษัชยคุรุทรงมีโพธิสัตว์อัครสาวกหรือผู้ช่วย ๒ พระองค์คือ พระสูรยประภาโพธิสัตว์ (日光遍照菩薩) และพระจันทรประภาโพธิสัตว์(月光遍照菩薩) ซึ่งเป็นคนละองค์กับพระสุริยเทพและจันทรเทพ อรรถาธิบายของจีนกล่าวว่า พระสูรยประภาทรงเปรียบเสมือน แสงแห่งปัญญาญาณที่เจิดจรัสและอบอุ่นยังให้สรรพสัตว์ตื่นขึ้นและรู้แจ้งเหมือนพระอาทิตย์ และพระจันทรประภาทรงเปรียบกับ แสงแห่งความเมตตาและกรุณา ที่ร่มเย็นใสสะอาด สามารถเป็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด ยังให้สรรพสัตว์ที่หลงผิดได้รู้แจ้งเหมือนดังได้พบความสว่างในความมืดยามราตรี

    พระมหาโพธิสัตว์ทั้งสองจึงคือผู้โปรดสรรพสัตว์ที่หลงผิดให้รู้แจ้งในสภาวะแห่งจิตของตน และเมื่อพบสภาวะเดิมแท้ของตนว่าไร้ซึ่งตัวตนแล้ว จึงหลุดพ้นจากมลทินทั้งปวงได้ มีจิตที่เป็นสัมมาทิฐิ ปราศจากอุปสรรคประดุจอากาศ ที่สามารถแทรกซึมไปในสถานที่ทั้งปวง และในพระสูตรทั้ง ๒ เล่มของพระไภษัชยคุรุได้กล่าวถึงพระมหาโพธิสัตว์อีก ๘ พระองค์ที่จะเสด็จมารับดวงวิญญาณผู้ที่ปฏิบัติบำเพ็ญในพระพุทธนามของพระองค์ เพื่อมารับไปเกิดยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรดังนี้ ๑.มัญชุศรีโพธิสัตว์ ๒.อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ๓.มหาสถามปราปตโพธิสัตว์ ๔.อักษยมติโพธิสัตว์ ๕.ทานรัตนศรีโพธิสัตว์ ๖.ไภษัชยราชาโพธิสัตว์ ๗.ไภษัชยสมุทคเตโพธิสัตว์ ๘.เมตไตรยโพธิสัตว์

    ในพระสูตรกล่าวว่า “ในอดีตกาลที่แสนยาวนาน ได้มีพระอสุนีประภาสพุทธเจ้า(電光佛)ทรงอุบัติขึ้นในโลก ครั้งนั้นมีพราหมณ์ผู้หนึ่ง มีบุตร ๒ คน แต่พราหมณ์นั้นเกิดความเบื่อหน่ายต่อความทุกข์ของโลก และได้พบเห็นความทุกข์เวทนาของสรรพสัตว์ ครั้นแล้วจึงประกาศปฏิญาณว่าจะช่วยเหลือและบำบัดทุกข์โศกโรคภัยของสรรพสัตว์ทั้งปวง พระอสุนีประภาสพุทธเจ้าจึงทรงสดุดีสรรเสริญ และยกย่องพราหมณ์นั้นว่า “แพทยราช” บุตรทั้งสองนั้นก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “สูรยประภา” และ “จันทรประภา” ต่อมาพราหมณ์นั้นจึงได้สำเร็จพระพุทธญาณเป็นพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าในปัจจุบัน และบุตรทั้งสองก็คือพระโพธิสัตว์อัครสาวกทั้งสองของพระองค์ สาธุชนจึงถวายพระนามแด่ทั้ง ๓ พระองค์นี้ว่า “พระมหาอริยเจ้าทั้ง ๓ แห่งบูรพาทิศ”(東方三聖) พระผู้ทรงสอดส่องดูแลและช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งกลางวันและกลางคืน

    อีกในส่วนท้ายของคัมภีร์ไภษัชยคุรุฯสูตรทั้ง ๒ ปกรณ์ข้างต้นยังมี “มหายักษ์เสนาบดีอีก ๑๒ ตน” ที่มีความเลื่อมใสในพระไภษัชยคุรุและทั้ง ๑๒ ตนนี้ต่างก็มีบริวารอีกตนละ ๗,๐๐๐ ตน โดยมหายักษ์เสนาบดีทั้งหมดนี้ได้ประกาศสัจจะต่อเบื้องพระพักตร์แห่งพระพุทธศรีศากยมุนีว่า จะปกปักรักษาพุทธศาสนิกชนที่ตั้งมั่นในศีลธรรม มีความกตัญญูและศรัทธาในพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทั้ง ๗ นี้ ให้ร่มเย็นรอดพ้นจากภยันตรายทั้งปวง พร้อมจะช่วยให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนา

    อันมหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตนนี้เปรียบดั่งจักรราศีหรือนักษัตรทั้ง ๑๒ ของมนุษย์มี ชวด ฉลู ขาล เถาะ เป็นต้น มาตรว่าผู้ที่มีคุณธรรมและศรัทธาต่อพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ ก็จะรอดพ้นจากอันตรายทั้งปวง ด้วยการอารักขาของมหายักษ์ทั้ง ๑๒ ตน บ้างว่ามหายักษ์ทั้ง ๑๒ ตนนี้เป็นผู้คุ้มครองหรือเทพประจำพระมหาปณิธานทั้ง ๑๒ ประการของพระไภษัชยคุรุ และยังเป็นกุศโลบายอีกว่า มหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตน มีบริวารตนละ ๗,๐๐๐ ตน เมื่อนับทั้งหมดแล้วก็จะได้ยักษ์เท่ากับ ๘๔,๐๐๐ ตนพอดี(๑๒ คูณ ๗,๐๐๐) ซึ่งหมายถึงพระธรรมของพระพุทธเจ้า

    ดังนั้น สาธุชนจึงนิยมสาธยายจารึก หรือคัดลอกพระนาม พระธารณี พระสูตร หรือวาดภาพ ปั้น หล่อพระปฏิมากรของพระไภษัชยคุรุ(พระองค์เดียวหรือทั้ง ๗ พระองค์)นี้ ประดิษฐานไว้ตามสถานที่ต่างๆ เพื่อว่าพระพุทธบารมีและอำนาจแห่งมหายักษ์เสนาบดีทั้ง ๑๒ ตน จะมาสถิตอยู่ในสถานที่นั้นๆ ตามอรรถในพระสูตรที่ว่า “หากมีพระนาม พระธารณี พระสูตรหรือพระปฏิมาของพระไภษัชยคุรุสถิตหรือปรากฏอยู่ ณ แห่งใด การเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุ โรคาพาธร้ายแรง อาถรรพ์ชั่วร้ายทั้งปวงก็จะสิ้นไปจากแห่งนั้น”

    ในคัมภีร์วิมลเกียรตินิทเทสสูตร[3] ปริเฉทที่ ๑๓ ธรรมปฏิบัติวรรคกล่าวว่าพระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงประทานพระธรรมเทศนาแก่ท้าวศักรินทร์เทวราช ความว่า “ดูก่อนเทวราช ณ เบื้องอสงไขยกัลป์อันประมาณมิได้ ในสมัยพุทธุปบาทกาลแห่งพระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระนาม ไภษัชยราชาตถาคต พระองค์เป็นพระผู้ควรบูชา เป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ดีตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง แลยังให้ผู้อื่นรู้ตาม ฯลฯ โลกธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมีนามว่า มหาวยูหอลังการ กัลป์นั้นมีชื่อว่า อลังการกัลป์ พระชนมายุของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมี ๒๐ จุลกัลป์ ทรงมีพระสาวกสงฆ์ ๓๖ โกฏินหุตะ พระโพธิสัตว์สงฆ์อีก ๑๒ โกฏิ ดูก่อน เทวราชครั้งนั้นมีพระเจ้าจักรพรรดิราชทรงพระนามว่า รัตนฉัตร ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการฯ มีพระโอรส ๑,๐๐๐ องค์ ล้วนสมบูรณ์ศิริลักษณ์สง่างามแลมีวีรยภาพแกล้วกล้าฯ พร้อมด้วยบริวารได้ถวายสักการบูชาในพระไภษัชยราชาตถาคตเจ้า เป็นระยะเวลา ๕ กัลป์ พระเจ้ารัตนฉัตรจึงมีพระดำรัสให้พระโอรสทั้ง ๑,๐๐๐ องค์ ถวายสักการะต่อไป จากนั้นพระโอรสทั้ง ๑,๐๐๐ องค์จึงทำการบูชาไปอีก ๕ กัลป์ เมื่อสิ้น ๕ กัลป์นั้นแล้วมีพระโอรสองค์หนึ่งพระนามว่า จันทรฉัตร เมื่อประทับอยู่พระองค์เดียว บังเกิดปริวิตกขึ้นว่า ยังจักมีสักการบูชาใดที่ยิ่งกว่าสักการบูชา อันพระราชบิดาแลเราทั้งหลายได้บำเพ็ญอยู่อีกฤๅไม่หนอ

    ครั้งนั้น ด้วยพุทธานุภาพ บันดาลให้มีสุรเสียงตอบจากเบื้องอัมพรสถานว่า ดูก่อนราชบุตร การสักการะบูชาด้วยธรรมปฏิบัติประเสริฐยิ่งกว่าสักการะบูชาใดๆ ราชบุตรจึงถามต่อไปอีกว่า อะไรที่ชื่อว่าเป็นธรรมปฏิบัติเล่า? จากนั้นพระไภษัชยราชาตถาคตจึงทรงประทานพระธรรมเทศนาแก่จันทรฉัตรราชบุตร และเมื่อพระราชบุตรได้สดับฟังธรรมแล้ว ก็ได้บรรลุมุทุตากษานติธรรม และประกาศมหาปณิธานเป็นอันมาก พระไภษัชยราชาตถาคตจึงตรัสพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาลเธอจักได้อภิบาลรักษาสัทธรรมนครเป็นแท้(สำเร็จพุทธญาณ) และทรงกล่าวว่าพระเจ้าจักรพรรดิรัตนฉัตร ได้สำเร็จเป็น พระรัตนโชติประภาพุทธเจ้า พระราชโอรสทั้ง ๑,๐๐๐ พระองค์ ก็คือพระพุทธเจ้า ๑,๐๐๐ พระองค์ในภัทรกัลป์นี้ และพระราชโอรสจันทรฉัตรก็คือพระศากยมุนีพุทธเจ้าในปัจจุบัน
    เป็นนัยยะว่าพระไภษัชยราชาตถาคตหรือพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า(แต่บางตำราว่าคนละพระองค์) ทรงตรัสรู้มาก่อนพระศากยมุนีเป็นเวลาแสนนานแล้ว และพระศากยมุนีก็เคยได้ถวายสักการะ ได้รับการสั่งสอนและได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้ามาก่อนแล้ว

    จึงถือเป็นพระพุทธนามอันศักดิ์สิทธิ์และยอดแห่งมงคล ทั้งยังเป็นที่มาหนึ่งเดียวของการสร้างพระกริ่งของไทย ซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระสูตรมหายาน สังเกตจากคาถาบูชา“พระกริ่ง”(ภาษาบาลี) เป็นบทเดียวกับธารณีที่ปรากฏในพระสูตรของพระไภษัชยคุรุ(ภาษาสันสกฤต)ทั้ง ๒ ฉบับข้างต้น แต่มาถึงปัจจุบันการจัดสร้างพระกริ่งก็คงไว้แต่ธารณีหรือคาถาบูชาที่ทำให้เราพอทราบได้ว่าเป็นพระไภษัชยคุรุ นอกเหนือจากคุณสมบัติที่นิยมนำพระกริ่งลงแช่น้ำแล้วภาวนาคาถาพระไภษัชยคุรุ เพื่อทำเป็นน้ำพระพุทธมนตร์ในการรักษาโรคภัยและความเป็นสิริมงคล

    มีข้อสังเกตว่าพระพุทธบารมีแห่งพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทรงเป็นที่ประจักษ์แจ้งมาแต่โบราณกาลแล้ว ตามหนังสือลัทธิของเพื่อน ของเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป ว่า “ในพงศาวดารเขมร กล่าวว่า พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ.๑๗๒๔ ถึง ๑๗๔๔) กษัตริย์กัมพูชาทรงสร้างโรงพยาบาลทั่วไปในอาณาจักร เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาแด่พระไภษัชยคุรุตถาคตเจ้า เพื่อประโยชน์แก่คนเจ็บป่วย ไม่เลือกชั้นวรรณะ โรงพยาบาลเหล่านี้เรียกว่า อโรคยาศาล(มีจำนวนร้อยกว่าแห่งทั่วพระราชอาณาจักร)” และจากศิลาจารึกอโรคยาศาล บันทึกไว้ว่า “โรคที่เบียดเบียนร่างกายของประชาชนนั้น กลับกลายเป็นโรคทางใจ ถึงแม้ว่าทุกข์นั้นจะใช่เป็นของตนเอง แต่ความทุกข์ของราษฎรเปรียบเหมือนทุกข์ของผู้ปกครอง”

    โดยที่ผ่านมานั้นมีการกล่าวถึง พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเพียงพระนามเท่านั้น โดยจะหาพระพุทธประวัติก็แทบไม่มี ครั้นจะกล่าวถึงพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าอีก ๖ พระองค์พร้อมพระพุทธประวัติก็ยากเย็นยิ่งนัก โดยในพระสูตรทั้ง ๒ กล่าวไว้ว่า “การจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยาก เมื่อเกิดมาแล้วได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยนั้นยิ่งยาก แต่การได้พบ(สดับฟังพระนาม)พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์นี้ยังยากยิ่งกว่า”

    พระสูตรทั้ง ๒ นี้เป็นที่แพร่หลายมากในประเทศพุทธมหายาน เช่นจีน ญี่ปุ่น ธิเบต เนปาล ทั้งเป็นเอกสารสำคัญในการกล่าวถึงพุทธประวัติ การปฏิบัติบูชาพร้อมบทธารณีมนตร์ที่ละเอียดสมบูรณ์ที่สุด บางแห่งจะให้สาธุชนได้ลูบคลำพระพุทธปฏิมาของพระไภษัชยคุรุตรงส่วนที่ตนเองเจ็บปวด ด้วยความเชื่อที่ว่าจะหายจากการเจ็บป่วยบริเวณนั้นๆ ได้

    แต่ไม่มีนิกายที่นับถือพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเป็นเจ้านิกายเหมือนพระอมิตาภะโดยเฉพาะ แต่ทรงเป็นที่กราบไหว้บูชาของทุกนิกาย เพราะตามอารามใหญ่ๆจำนวนมากก็มีวิหารพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าแยกไว้ต่างหากด้วย เรียกว่า “วิหารไภษัชยราช” หรือ “วิหารมหาแพทยราชา” และมีคำกล่าวว่าพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงก็คือ พระไภษัชยคุรุ ที่มีความเมตตากรุณาประทานธรรมโอสถแก่สรรพสัตว์ทั้งปวง เพราะการจักเข้าถึงพระไภษัชยคุรุก็เพียงโดยการสรรเสริญ ภาวนาในพระนามของพระองค์ด้วยความเป็นที่สุดแห่งใจเช่นกัน ในพระสูตรระบุว่า “หากสาธุชนหญิงชายใดๆ จดจำพระนามได้ และภาวนาอ่านท่องพระสูตร พระธารณี และพระนามของพระไภษัชยคุรุโดยสม่ำเสมอแล้วไซร้ ผู้นั้นจะปราศจากโรคภัยร้ายแรงทั้งปวง และจะไม่เป็นผู้พิกลพิการ ไม่ยากจนข้นแค้น มิอายุขัยยืนยาว และจะได้ไปอุบัติยังศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตร”

    ทั้งนี้ด้วยพุทธานุภาพแห่งพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าที่ทรงเปี่ยมด้วยมหาเมตตา มหากรุณาธิคุณในการปรารถนาให้สรรพสัตว์พ้นทุกข์ทางกาย เพื่อจักได้มีแรงกำลังมุ่งมั่นบำเพ็ญประโยชน์ต่อตนเองและสังคมอย่างไร้อุปสรรค เพื่อจะส่งผลให้โรคทางจิตวิญญาณหรืออวิชชาโง่หลงได้สิ้นไปด้วย และในพระสูตรยังบรรยายถึงแดนวิสุทธิภูมิของพระองค์ว่า “แดนศุทธิไวฑูรย์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า มีความอลังการและวิจิตรเหมือนกับดินแดนสุขาวดีของพระอมิตาภะพุทธเจ้าทุกประการ โดยไม่ผิดเพี้ยนแตกต่างกันเลย” ซึ่งในพระสูตรของพระไภษัชยคุรุไม่ได้บรรยายความอลังการไว้โดยละเอียด แต่หากอาศัยข้อความในพระสูตรข้างต้นท่านผู้สนใจก็สามารถอนุมานเข้ากับแดนสุขาวดี ที่มีบรรยายไว้จากพระสูตรทั้ง ๔ ของพระอมิตาภะได้เช่นกัน อันแดนศุทธิไวฑูรย์นี้ ยังมีนัยยะถึงการเริ่มชีวิตใหม่ การรู้แจ้ง ประดุจดวงอาทิตย์ที่รุ่งโรจน์เปล่งแสงยามรุ่งอรุณทางบูรพาทิศ ซึ่งเป็นทิศแรกหรือทิศประธานของการเรียงลำดับทิศทั้ง ๑๐ อนึ่งศุทธิไวฑูรย์พุทธเกษตรนี้ ก็มีสีน้ำเงินละม้ายกับสีของโลกที่เราอาศัยอยู่แห่งนี้ด้วย จนมีอรรถกถาบางปกรณ์กล่าวว่า “พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า ก็คือพระศากยมุนีพุทธเจ้าแห่งสหาโลกธาตุนี้นั่นเอง”

    มีอรรถาธิบายว่ากุศลอันพึงได้จากการถวายสักการะพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้ามี ๑๐ ประการดังนี้
    ๑. สำเร็จพระพุทธญาณได้อย่างรวดเร็ว
    ๒. ผู้ที่เห็นผิดจะกลับมาเห็นชอบได้ ผู้ที่ดำรงในเถรวาทจะได้มาดำรงในมหายาน
    ๓. ย่อมสำเร็จในผลของศีลที่สมบูรณ์ทั้งปวง ผู้ที่ละเมิดศีลจักกลับคืนสู่สภาวะบริสุทธิ์ได้ดังเดิม และไม่ต้องตกสู่อบายภูมิ
    ๔. มีอายุสิริวัฒนา มั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุข ด้วยลาภยศ สรรเสริญ คู่ครองและบริวารหญิง ชาย
    ๕. ย่อมถึงพร้อมในข้าวของเครื่องใช้ไม่รู้จักหมดสิ้น ไม่ต้องอัตคัดหรือขัดสนอีกต่อไป
    ๖. รอดพ้นจากอุทกภัย อัคคีภัย ศาสตราภัย การถูกกรรโชกลักขโมย และการทำร้ายทั้งปวง
    ๗. สตรีเพศที่รับทุกข์ทรมาน ได้กลับกลายเป็นบุรุษ
    ๘. สตรีที่คลอดบุตร จะได้บุตรหญิงชายที่เฉลียวฉลาด มีบุญญาธิการและสุขภาพแข็งแรงสมประสงค์
    ๙. เมื่อคราวายชนม์ จักได้ไปอุบัติยังภพมนุษย์ ภพสวรรค์ แดนสุขาวดีของพระอมิตาภะพุทธเจ้า หรือแดนศุทธิไวฑูรย์ของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าได้ดังใจปรารถนา
    ๑๐. แม้นตกสู่อบายภูมิ หากได้สดับฟังพระนามของพระไภษัชยคุรุพุทธเจ้าเพียงชั่วขณะก็จักได้ไปเกิดยังโลกมนุษย์อีกครั้ง เพื่อบำเพ็ญกุศลความดีต่อยังให้บรรลุพระโพธิญาณโดยรวดเร็ว.

    คัมภีร์ทศยมราชาขมาสูตร ก็ว่า พระไภษัชยคุรุได้ทรงนิรมาณกายสู่นรกภูมิ เป็นพญายมราชครองนรกขุมที่ ๗ พระนามว่า “ไถ่ซัวเม้งอ้วง” ทรงมีหน้าที่รับเรื่องอุทรณ์ร้องทุกข์ ของวิญญาณคู่กรณีที่มีเวรต่อกัน และทรงตัดสินด้วยความยุติธรรม

    ทั้งมีเรื่องราวพระพุทธานุภาพของพระไภษัชยคุรุใน “บันทึกความศักดิ์สิทธิ์ของพระรัตนไตร”(ของจีน) บรรพแรกว่า ในประเทศอินเดีย มีพราหมณ์ที่ร่ำรวยท่านหนึ่งไม่มีบุตร ทั้งภริยาผู้เป็นพราหมณีก็ตั้งครรภ์ได้ยากยิ่งนัก ต่อมาได้มีครรภ์และทะนุถนอมครรภ์นั้นไว้จนครบ ๙ เดือน แล้วจึงให้กำเนิดบุตรชาย ๑ คนที่มีสิริลักษณ์สง่างาม เป็นที่เอ็นดูแก่ผู้คนทั้งหลาย จากนั้นไม่นานมีนักพยากรณ์ผู้วิเศษทำนายว่า บุตรชายคนนี้มีลักษณะอันดีงามมากมาย จักมีอายุขัยเหลือเพียงอีก ๒ ปี เมื่อพราหมณ์และพราหมณีผู้เป็นบุพการีได้ยินแล้ว จิตใจก็เป็นทุกข์ยิ่งนัก ประดุจถูกศรพิษทิ่มแทง แต่โชคดีที่พราหมณ์นั้นมีสหาย ซึ่งออกบวชเป็นสงฆ์ในพระพุทธศาสนา เมื่อทราบเรื่องแล้วจึงแนะนำว่า ท่านจงจัดสร้างพระปฏิมาของพระไภษัชยคุรุขึ้น ๗ พระรูปตามวิธี เพื่อถวายสักการบูชาเถิด

    พราหมณ์จึงได้กระทำตามอรรถาธิบายในพระสูตร จากนั้นมีค่ำคืนหนึ่งได้นิมิตฝันไปว่ามีผู้หนึ่งใส่อาภรณ์ผิดแผกไปจากคนทั่วไปและใส่มงกุฏมาลา ควบอาชาสีเขียวมาหยุดตรงหน้าแล้วกล่าวแก่พราหมณ์นั้นว่า ด้วยท่านได้จัดสร้างพระปฏิมาของพระพุทธเจ้าขึ้น ๗ พระรูป เพื่อถวายสักการบูชาตามวิธี ด้วยอานิสงส์นี้บุตรของท่านจักมีอายุขัยถึง ๕๐ ปี จากนั้นนอกจากบุตรของพราหมณ์จักไม่สิ้นอายุขัยเมื่ออายุ ๒ ปีแล้วยังมีอายุขัยยาวนานถึง ๕๐ ปีพร้อมกับไม่เคยป่วยไข้เลย และยังมีบันทึกเรื่องราวทำนองนี้อีกเป็นจำนวนมาก

    การทำทานอีกวิธีที่นิยมสำหรับผู้ที่ป่วย คือการให้ทานที่เป็นยา เช่นทำบุญด้วยยารักษาโรค บริจาคทานด้วยยาเป็นต้น บุญเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยอาการทุเลาขึ้น ลองทำดูนะคับ ถ้าเป็นบุญอะดีทุกอย่างคับผม

    จากคุณ :- mickey mo Mon 25 Apr
     
  8. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความเห็นเกี่ยวกับพุทธทำนายกรณีภัยพิบัติในปัจจุบัน
    คัดลอกจาก
    Exteen Blog

    ช่วงที่โลกกำลังประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในทุกหย่อมหญ้า ทั้งภัยจากธรรมชาติและภัยจากมนุษย์สร้างขึ้น ทำให้ผู้คนต่างหวนนึกถึงคำทำนายต่าง ๆ ที่มีอยู่ หนึ่งในคำทำนายเหล่านั้นก็คือ คำทำนายที่กล่าวอ้างว่าเป็นศิลาจารึกพุทธทำนายจากมหาวิหารเจตมหาเชตวัน
    ศิลาจารึกพุทธทำนายนี้มีเนื้อหากล่าวถึงภัยพิบัติที่มนุษย์โลกจะได้รับเมื่ออยู่ในช่วงกึ่งพุทธกาลเป็นต้นไป ซึ่งมีการตีความกันว่าเป็นภัยจากสงคราม และภัยจากธรรมชาติผมเองก็เคยได้อ่านคำทำนายนี้ ตั้งแต่อยู่ประมาณ ป.5-ป.6 แต่ทำไมมีความรู้สึกว่าเนื้อหาที่ผมอ่านในสมัยนั้น ช่างต่างกับสมัยนี้พอสมควรทีเดียว (น่าเสียดายที่เอกสารที่เคยอ่านไม่อยู่เสียแล้ว) ถ้าไม่เชื่อก็ลองค้นหาเนื้อหาจากในอินเตอร์เน็ตหรือเอกสารที่เป็นกระดาษของแต่ละสำนักมาเทียบดูแล้วจะพบว่านี่หรือคือเนื้อหาที่เขียนในศิลาจารึกจริง ๆแค่เนื้อหาที่อ้างว่ามาจากศิลาจารึกยังมีความแตกต่างกันเลย หรือเป็นเนื้อหาที่มีคนพยายามทำความเข้าใจและถอดตามความคิดของตนออกมา

    1. เนื้อหาที่เปลี่ยนไป ผมจะขอแบ่งไว้คร่าว ๆ ก็แล้วกัน เพราะแต่ละที่ยังเขียนเนื้อหาไม่เหมือนกันเลย เช่น
    1.1 การกำหนดปีที่เป็นระยะเวลาเกิดเหตุที่ชัดเจน กล่าวคือ ระบุ พ.ศ.ที่เกิดเหตุชัดเจนไปเลย เช่น ตั้งแต่ พ.ศ.2550 ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่ที่จะเป็นสิ่งที่มาจากศิลาจารึกจริง ๆ ซึ่งเป็นคำทำนายของพระพุทธเจ้าเมื่อยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ สมัยนั้นยังไม่มีปีพุทธศักราช เพราะปีพุทธศักราชเรากำหนดให้เริ่มนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน และการนับปีแบบสุริยคติยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
    1.2 ช่วงเริ่มต้นของภัยพิบัติ ฉบับที่ผมเคยอ่านบอกว่าช่วงกึ่งพุทธกาล ในคำทำนายนั้นเขียนไว้ว่า จะมีผีเสื้อเหล็กปล่อยไข่จากฟากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญ ซึ่งทำให้มีการตีความว่านั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็คือ เหตุการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่เอง เพราะมีเครื่องบินทิ้งระเบิดด้วย แต่คำทำนายในปัจจุบัน ระบุปีเกิดเหตุ เช่น ตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 เป็นต้นไป
    1.3 การระบุพื้นที่เกิดเหตุอย่างจำเพาะเจาะจง คำทำนายจากตำราที่เคยอ่านจะบอกพื้นที่กว้าง ๆ เท่านั้น ส่วนคำทำนายตามตำราใหม่จะระบุพื้นที่จำเพาะเจาะจง เช่น กรุงเทพมหานครจะจมอยู่ใต้น้ำ ถึงจังหวัดสระบุรี นครราชสีมาจะจมอยู่ใต้น้ำส่วนหนึ่ง จะขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่าพุทธทำนายต้องเป็นภาษาบาลี (หรือไม่ก็ต้องเป็นภาษาสันสกฤต) นี่มาระบุชื่อจังหวัดแบบไทย ๆ ได้อย่างไร (แม้ว่าชื่อบางจังหวัดอาจประกอบด้วยคำที่มาจากหลายภาษาก็ตาม) นอกจากนี้ยังกล่าวด้วยว่าชายฝั่งจะถูกคลื่นถล่ม บางตำราบอกว่าคลื่นสูง 20 เมตร บางตำราบอกว่าคลื่นสูง 200 เมตร (พิมพ์เกินหรือเปล่าเนี่ย)
    1.4 ประชากรที่รอดพ้นจากภัยพิบัติ คำทำนายซึ่งอ้างว่าเป็นพุทธทำนายฉบับในปัจจุบันจึงกล่าวถึงประชากรในประเทศไทยหลังภัยพิบัติได้อย่างจำเพาะเจาะจง เช่น ประชากรเหลือเพียงร้อยละ 30 ทั้งที่มีพื้นที่ประสบภัยแห่งอื่นด้วย เช่น ชมพูทวีป ซึ่งน่าจะเป็นที่แรกที่ต้องระบุอย่างเฉพาะเจาะจงกลับไม่กล่าวถึง
    1.5 การระบุช่วงเวลาปรากฏตัวของพระโพธิสัตว์ ตำราในอดีตที่เคยอ่านไม่ระบุช่วงเวลาปรากฏตัว แต่ตำราคำทำนายสมัยใหม่กลับระบุช่วงเวลาปรากฏตัว เช่น แรมกี่ค่ำ เดือนอะไร ปีอะไร

    2. เนื้อหาที่ยังคงเหมือนกัน แต่ละตำราทั้งในอดีตและปัจจุบัน ยังคงเนื้อหานี้ไว้ ซึ่งมีความว่า ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นทั่วไป หรือบอกได้เลยว่าไม่มีข้อยกเว้น แต่ดินแดนที่มีศีลธรรม หากบางตำราแปลเข้าข้างตนเองหน่อย คือ ดินแดนพุทธศาสนา จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าดินแดนอื่น

    3. เนื้อหาที่ไม่กล่าวถึง เนื้อหาในส่วนนี้คือเนื้อหาที่กล่าวถึงพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ซึ่งจะมาช่วยทำให้พุทธศาสนาอยู่ครบ 5 พันปี ในคำทำนายสมัยปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่นำมาใส่ไว้ อาจจะตีความไม่ออกว่าเป็นใคร หรือเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป แต่ในตำราคำทำนายในปัจจุบันจะนำคำทำนายของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาใส่แทน

    ผมยังไม่ปักใจเชื่อนะครับว่าศิลาจารึกที่ตรัสกับพระอานนท์จะเป็นของจริง เพราะยังแปลกใจอยู่ว่าทำไมจึงไม่ได้บรรจุในพระไตรปิฎกด้วย เนื้อหาของศิลาจารึกที่เป็นต้นฉบับอยู่ที่ไหน ใครพบเห็นช่วยถ่ายภาพศิลาจารึกพุทธทำนาย เน้นแบบเห็นตัวอักษรต้นฉบับให้ชัดเจนหรือส่งเอกสารให้ที

    อย่างไรก็ตามความไม่ประมาททั้งทางโลกและทางธรรม ก็คือสิ่งที่ดีที่สุด ทั้งนี้ต้องตั้งสติพิจารณาสิ่งผิดปกติและบิดเบือนที่พยายามสอดแทรกเข้ามาด้วย
     
  9. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ZeroFive is located in the United States and specializes in multi-band vertical antennas and much more.

    Updated 06/22/2013 @ 13:30 UTC
    Solar Update
    Good morning. Below is an updated image of the visible solar disk on Saturday morning. Solar activity is currently at low levels. Much of the B-Class and low level C-Class X-Ray activity is being detected around Sunspot 1772. All other regions remain fairly stable for now. Old Sunspot 1763 is rotating back into view off the east limb and should be renumbered 1778. There will continue to be a chance for at least C-Class solar flares.

    Low energy proton levels steaming past Earth are at elevated levels, but remain below the S1 Radiation Storm threshold. The increase is the result of the M2.9 event on Jun 21. The associated CME may deliver a glancing blow to our geomagnetic field within the next 24-48 hours. Only a minor increase in geomagnetic activity is expected with a small chance for minor G1 level storming at very high latitudes.

    Visible Solar Disk (Saturday) - Click to Open

    มนข้อความนี้บอกสาเหตุที่ค่าโปรตอนเพิ่มว่ามาจากการ solar flare m2.9 เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2556
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** บันทึกการกระทำพระพุทธเจ้า ****

    คนพุทธไม่ได้จดบันทึกไว้
    พราหมณ์คือผู้บันทึกทุกเรื่องราวพระพุทธเจ้า
    แต่เก็บไว้เฉยๆ ไม่ได้นำมาศึกษาอะไร

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก้องภพ อยู่เย็น
    3 hours ago near Arlington, VA ·
    วันที่ 21 มิถุนายน เวลา 4:52 UT เกิดปฏิกริยาดวงอาทิตย์เป็นมุมกว้าง ขนาดใหญ่ที่สุดในรอบ 14 วัน และมีความเร็วสูง โดยทิศทางหลักออกไปทาง-ทิศตะวันออก- จากโมเดลพบว่าพลังงานจะเดินทางมาถึงโลกในวันที่ 22 มิถุนายน เวลา 12-18 UT +/- 7 ชั่วโมง ในช่วงเดียวกันนี้ยังเป็นช่วงที่ปริมาณจุดดับที่ดวงอาทิตย์อยู่ในปริมาณสูง

    สำหรับความสัมพันธ์ทางดาราศาสตร์นั้น เป็นช่วงที่โลกมีเวลากลางวันนานที่สุดในรอบปี (summer solstice Summer solstice - Wikipedia, the free encyclopedia) และยังเป็นช่วงที่โลกเรียงตัวกับดวงอาทิตย์และทางช้างเผือกเป็นเส้นตรง โดยในวันที่ 23 มิถุนายน นั้นเป็นวันที่ดวงจันทร์โคจรใกล้โลกมากที่สุดในช่วงนี้ครับ BBC News - 'Bigger and brighter supermoon' to light up night sky

    ผู้ที่สนใจการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติบนโลกโปรดติดตามสถานการณ์ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 24 มิถุนายน ครับ

    ข้อมูลเพิ่มเติมของเหตุการณ์ครั้งนี้มีดังนี้
    - ภาพถ่ายดวงอาทิตย์มุมกว้าง มุมมองจากโลก
    CACTUS CME Details
    - ดัชนีจุดดับที่ผิวดวงอาทิตย์ ESA Daily Sun Spot Number
    - ภาพถ่ายดวงอาทิตย์มุมกว้าง โดยโลกอยู่ทางด้านซ้ายมือ http://stereo.gsfc.nasa.gov/browse/2013/06/22/ahead_20130622_cor2_512.mpg
    - ภาพถ่ายดวงอาทิตย์มุมกว้าง โดยโลกอยู่ทางด้านขวามือ http://stereo.gsfc.nasa.gov/browse/2013/06/21/behind_20130621_cor2_512.mpg
    - โมเดลจำลองการแพร่กระจายของพลังงานจากดวงอาทิตย์ http://iswa.ccmc.gsfc.nasa.gov/IswaSystemWebApp/StreamByDataIdServlet?allDataId=368634929

     
  12. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันนี้ 23 มิย 2556 เวลา 0:17 ครับ พอดีผมนอนไม่หลับ แต่อยากบอกให้ทุกท่านอย่าลืมน่ะครับ วันที่ 23 นี้กระทรวงวิทย์ชวนดูพระจันทร์ หลังจากชวนแฟนไปเที่ยวแล้ว อย่าลืมพากันไปดินเทอร์ท่ามกลางแสงจันทร์กับพระจันทร์ดวงโตๆ และสำคัญยิ่งกว่านั้นเป็นวันพระด้วย

    กระทรวงวิทย์เชิญชวนดูดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่สุด
    ยังไงก็ขอทบทวนข่าวที่ลงไปแล้วก่อนครับ


    ดร.ศรัณย์ โปษยะจินดา รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สดร. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ในวันที่ 23 มิถุนายน 2556 เวลาประมาณ 18:11 น. ตามเวลาในประเทศไทย คนบนโลกจะมองเห็นดวงจันทร์มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ประมาณ 2-3% เนื่องจากเป็นวันที่ดวงจันทร์โคจรมาเข้าใกล้โลกที่สุดในรอบปีที่ระยะห่าง 356,989 กิโลเมตร และเป็นวันที่ดวงจันทร์เต็มดวงพอดี

    ทั้งนี้ตามปกติแล้วดวงจันทร์จะโคจรรอบโลกเป็นรูปวงรีจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก 1 รอบ ใช้ระยะเวลา 1เดือน ดังนั้นในทุกๆ เดือน จะมีทั้งวันที่ดวงจันทร์ไกลโลกและดวงจันทร์ใกล้โลก ช่วงของวงโคจรที่อยู่ใกล้โลกมากที่สุด เรียกว่า เปริจี (Perigee) มีระยะห่างประมาณ 356,000 กิโลเมตร ส่วนช่วงของวงโคจรที่ห่างจากโลกมากที่สุด เรียกว่า อะโปจี (Apogee) มีระยะห่างประมาณ 407,000 กิโลเมตร

    ดร.ศรัณย์ กล่าวอีกว่า การที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก และโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ทำให้ทิศทางของแรงกระทำต่อโลกมีการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้น น้ำลง ซึ่งถือว่าเป็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ ดังนั้น การที่ผู้คนบนโลกสามารถมองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงในคืนที่มีวงโคจรมาใกล้โลกนับว่าเป็นเรื่องปกติที่สามารถอธิบายได้ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งปรากฏการณ์ดวงจันทร์ใกล้โลกในคืนวันเพ็ญลักษณะเช่นนี้ เกิดครั้งล่าสุดในวันที่ 6 พฤษภาคม 2555 (ตามเวลาในประเทศไทย 10:34 น.) ที่ระยะห่าง 356,953 กิโลเมตร
     
  13. ไฟฉาย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +112
    ผมแปลกใจจังว่า เมื่อคำทายนายในอดีตผิด ทำไมไม่ได้เกิดจากคนตีความ แต่เกิดจากคำทำนาย ทั้งมายัน ทั้งพุทธทำนาย อย่างพุทธทำนายเวลาตีความก็หาเหตุผลมารองรับการตีความต่างๆนาๆ เมื่อผิด แล้วท้วงขึ้นมากลายเป็นการปรามาสองค์พระพุทธ ส่วนผู้ที่ตีความนั้นลอยตัวหาได้ยอมรับว่าตีความผิดไม่
     
  14. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 23 มิย 2556
    ลมสุริยะยังคงมีความเร็วลมแรง โดยมีความเร็วลงเพิ่มขึ้น และลดลงสลับกัน

    เวลา 9.07 ความเร็วลม 606.6
     
  15. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 23 มิย 2556 ขณะนี้ค่าโปรตอนยังมีค่าสูงครับ ผมว่าแค่เกิด solar flare แค่ m2.9 ก็เกิดโปรตอนเลยหรือ ทำไมตอนเกิด การประทะระดับ c บ่อยๆ และระดับ m มีบ้าง และ x 4 ครั้ง ทำไมโปรตอนไม่พุ่งติดต่อกัน ผมสงสัยว่าเกิดอะไรผิดปรกติหรือเปล่าครับ
     
  16. Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ตอนนี้ศูนย์กลางอยู่ที่สวป.ลาวเด้อ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,250
    ค่าพลัง:
    +97,150
    วันที่ 23 มิถุนายน 2556 ข้อมูลจากเฟส อาจารย์ปิยะชีพ
    ก่อนผมนำข้อมูลนำเสนอ อ่านดูครับอาจารย์ว่าเพื่อต่างชาตินำข้อมูลของ ดร ก้องภพ บอกลงให้ NASA ที่ทำงาน ดร ก้องภพ พิสูจน์ และอย่าลืมเขามีข้อตกลงกับพนักงานห้ามนำความลับไปเปิดเผย ในเฟส ดร ก้องภพ เป็นภาษาไทย ฝรั่งมันคงไม่มาเรียนภาษาไทย เหมือนเราเรียนภาษาอังกฤษ ที่เป็นสากล คงมีใครไปบอก และแปลเอกสารจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษให้ ฝรั่งแน่

    Piyacheep S.Vatcharobol
    10 minutes ago near Bangkok ·
    เพื่อนต่างชาติลงโฟส สิ่งที่ดร.ก้องภพ เคยบอกเรา แล้ว NASA พิสูจน์ว่าจริงอีกแล้ว
    เชื้อไวรัส แบคทีเรีย มากมายหลายร้อยสายพันธุ์ มาจากอวกาศ
    มาจากระบบสุริยะนอกโลก และนอกระบบสุริยะนอกโลก

    ปกติชั้นบรรยากาศโลกเต็มไปด้วยรังสียูวี ที่ใช้ฆ่าเชื้อรา เชื้อโรค
    รังสียูวีแรงมากมายมหาศาล มากกว่าในหลอดไฟฆ่าเชื้อตามโรงงาน
    หรือแรงมากกว่าห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์

    สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์บินสูงไป ๖ ไมล์ หรือ ๙.๖ กิโลเมตร
    แล้วดูดอากาศเข้ามา พบเชื้อโรคมากมาย แบคทีเรียกว่าพันล้าน เช่น
    เชื้อรา อีโคไล ที่พบมากมายในดิน สาเหตุท้องร่วง
    สเต็ปโตรโรโคคัส ที่พบมากบนผนังศรีษะและซอกเล็บ

    เมื่อใดที่ชั้นบรรยากาศอ่อนแอ หรือ เกิดรูรั่ว เชื้อเหล่านี้คงมาพร้อมกับ
    ความเย็นเฉียบพลันลงมาทำปฏิกิริยากับสิ่งมีชีวิตแน่นอนใช่ไหมครับ?
    ไม่ต้องคลังอาวุธเชื้อโรคระเบิดแตกกระจายไปในอากาศ เชื้อก็แผ่กระจายได้
    ซอมบี้ก็ไม่น่าใช่จิตนาการอีกต่อไปหรือไม่ครับ?

    Matt Vanderhoff
    Not solar or space related but interesting non the less.

    Bacteria in Earth's upper atmosphere? Flooded by the Sun's UV radiation and still there?
    It’s Alive! & Airborne: In the midst of airborne sea salt and dust, researchers from Georgia Tech unexpectedly found thousands of living fungal cells and bacteria, including E. coli and Streptococcus. Courtesy Georgia Tech; Photo by Gary Meek

    Bacteria Live At 33,000 Feet | Popular Science
     
  18. Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    เตรียมจะออกจากสวป.ลาว และดูเหมือนจะเริ่มอ่อนกำลังลง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
  20. Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา
    "พายุ “เบบินคา” "
    ฉบับที่ 12 ลงวันที่ 23 มิถุนายน 2556
    เมื่อเวลา 13.00 น. วันนี้ (23 มิ.ย. 56) พายุโซนร้อน “เบบินคา” (BEBINCA) มีศูนย์กลางบริเวณอ่าวตังเกี๋ยห่างจากกรุงฮานอย ประเทศเวียดนามประมาณ 200 กิโลเมตรหรือที่ ละติจูด 19.9 องศาเหนือ ลองจิจูด 107.0 องศาตะวันออก มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง ประมาณ 65 กม./ชม. และกำลังเคลื่อนที่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความเร็วประมาณ 15 กม./ชม. คาดว่า พายุนี้จะขึ้นฝั่งระหว่างบริเวณเวียดนามตอนบน ในคืนวันนี้ (23 มิ.ย. 56) ต่อจากนั้นจะอ่อนกำลังลง โดยอิทธิพลของพายุนี้ทำให้บริเวณจังหวัดน่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร นครพนม และมุดาหาร มีฝนตกหนักถึงหนักมากได้จึงขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระมัดระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมากในระยะ 1-2 วันนี้ ไว้ด้วย
    อนึ่ง มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามันตอนบน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้คลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร ส่วนชายฝั่งภาคตะวันออกมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือบริเวณดังกล่าวเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กในทะเลอันดามันตอนบนควรงดออกจากฝั่งต่อไปอีกจนถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2556



    ประกาศ ณ วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556 เวลา 16.00 น.



    (ลงชื่อ) วรพัฒน์ ทิวถนอม

    (นายวรพัฒน์ ทิวถนอม)

    อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา

    ----------------------------------------------------

    ...ดูจากแหล่งข้อมูลดาวเทียมของต่างประเทศ ผมว่ามันขึ้นฝั่งเวียตนามไปแล้วนะนั่น
    แต่ดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงพอสมควร ถ้าไม่มีความกดอากาศอื่นมาเป็นปัจจัยกระตุ้น
    ก็คงเข้าไทยมาแบบเบาๆชิวๆได้อยู่
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้