ติดตามสถานะการณ์

Bank of Thailand Scholarship Students


(Oct 18) ผลสำรวจชี้ผู้จัดการทุนสหรัฐคาดการณ์ global growth จะชะลอตัวลงในปีหน้า ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2008 : ผลการสำรวจผู้จัดการกองทุนในสหรัฐฯ ประจำเดือน จัดทำโดย Bank of America Merrill Lynch ในระหว่างวันที่ 5-11 ต.ค. ที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนมีมุมมองเชิงลบมากขึ้นเกี่ยวกับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก โดยกว่า 1 ใน 3 ของผู้จัดการทุนคาดการณ์ global growth จะชะลอตัวลงในปีหน้า ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2008 ขณะที่มีประเด็นที่น่าสนใจอื่นๆ ดังนี้


- กว่าร้อยละ 85 ของนักลงทุนผู้ตอบแบบสำรวจ เชื่อว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอยู่ในสถานะ “late cycle” แม้ว่าจะยังไม่มีความชัดเจนกว่าจะอยู่ในภาวะดังกล่าวไปอีกนานเพียงใด


- ผู้จัดการทุนมิได้ระบุอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการเกิดภาวะ recession ในระยะอันใกล้นี้ แต่เป็นการตั้งคำถามถึงปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจว่าจะคงอยู่ได้นานแค่ไหน ทั้งนี้ ผลตอบแทนการลงทุนที่ดีในปีนี้ โดยเฉพาะในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนมีการลงทุนในรูปแบบ cautious มากขึ้นในปี 2019


- Trade tension ยังคงเป็นประเด็นความกังวลหลักต่อไป โดยร้อยละ 35 ของผู้จัดการทุนมองว่าสงครามทางการค้าอาจเป็นความเสี่ยงหลักที่มีผลต่อตลาดการเงิน


- อย่างไรก็ดี ผู้จัดการทุนมองว่ายังไม่ถึงเวลาที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเกิดการ sell-off โดยผลสำรวจระบุว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะ 10 ปี จะต้องปรับสูงขึ้นถึงร้อยละ 3.7 นักลงทุนจึงทำการขายหุ้น เพื่อหันไปลงทุนในพันธบัตร นอกจากนี้ ผู้จัดการทุนยังมองว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ S&P500 จะต้องปรับลดลงไปสู่ระดับ 2390 (ลดลงประมาณร้อยละ 15) จึงจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย


- สัดส่วนการถือครองเงินสดโดยรวมของผู้จัดการทุนไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดือนก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้จัดการทุนมีการวาง position เพื่อรับมือกับความผันผวนที่ปรับสูงขึ้นในเดือนนี้อยู่ก่อนแล้ว


Source: BOTSS


- Fund managers haven’t been this bearish on global growth since 2008: BAML survey: https://www.marketwatch.com/story/f...obal-growth-since-2008-baml-survey-2018-10-16

 

Economy by Than


มาแล้ว!ชาวสวนปาล์มบุกพาณิชย์เอื้อนายทุนโรงกลั่นจริงไหม? #ฐานเศรษฐกิจ

 

Billionaire Mindset - แนวคิดพันล้าน


SEARS คือห้างสรรพสินค้าเจ้าใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่เปิดมานานถึง 126 ปี


ดูเป็นกิจการที่มั่นคงมากๆ เพราะผ่านวิกฤตมาได้ทุกรูปแบบ


แต่กับโลกออนไลน์ซึ่งมีบทบาทและเปลี่ยนโลกไปในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าห้างใหญ่จะปรับตัวไม่ทันเสียแล้ว...


สมมติถ้าคุณซื้อหุ้นของบริษัท Sears Holdings เมื่อราว 3 ปีก่อน


ด้วยเงินทั้งสิ้น 1,000,000 บาท


ผ่านมาถึงปัจจุบัน คุณจะเหลือเงินอยู่เพียง 9,500 บาท ลดลงไปกว่า 99%


และนี่คือวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นกับห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งนี้....



Sears Holdings ยื่นขอความคุ้มครองการล้มละลาย ต่อศาลล้มละลายนิวยอร์ก


หลังจากครบกำหนดชำหนี้มูลค่า 4,300 ล้านบาทเมื่อวานนี้


แต่บริษัทไม่สามารถหาเงินมาจ่ายหนี้ก้อนดังกล่าวได้


เพราะตั้งแต่ปี 2011 ผ่านมาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้เจอปัญหา "ขาดทุน" มาโดยตลอด!!


เพราะอะไรกัน??



1. การเติบโตของอีคอมเมิร์ซในสหรัฐอเมริกา


ตลาดซื้อขายออนไลน์ในสหรัฐอเมริกา เติบโตจนมียอดขายสูงถึง 14 ล้านล้านบาท ในปี 2017 ที่ผ่านมา


เราจะเห็นได้ว่า บริษัทผู้นำในตลาดอย่าง Amazon เติบโตอย่างก้าวกระโดด


มูลค่ากิจการจาก 900,000 ล้านบาท กลายเป็น 27 ล้านล้านบาท ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา



ในขณะที่เปิดห้างร้านกลับประสบปัญหายอดขายลดลง กำไรลดลง ขาดทุน จนกระทั่งต้องปิดสาขา


รายงานพบว่า ในปี 2017 มีห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกรายใหญ่ 6,400 แห่ง ปิดสาขาในสหรัฐอเมริกา


หนึ่งในนั้นก็คือ Sears ที่ต้องปิดลงถึง 98 สาขา


แต่นั่นก็ยังไม่ทำให้บริษัทก้าวพ้นวิกฤตไปได้ เพราะมันยังมีเรื่องของการทำตัวเองด้วย...



2. ความล้มเหลวจากการดำเนินงานของ Sears เอง


มีการวิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ Sears ล้มเหลว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังใช้ความคิดแบบ 100 ปีที่แล้วอยู่


โดยการเปรียบกับห้างอย่าง Walmart ที่แม้จะมาทีหลัง แต่ก็ปรับตัวกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปได้ดีกว่า


Walmart เปิดในปี 1962 เริ่มต้นช้ากว่า Sears ไปถึง 70 ปี



Walmart ใช้วิธีการเลือกทำเลเปิดร้านให้เข้าถึงคนท้องถิ่นมากที่สุด เอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่คนมาซื้อได้ง่าย


ส่วน Sears วางตัวเป็นห้างใหญ่ขนาดใหญ่ โดยการตั้งออกมานอกย่านชุมชน ที่คนต้องตั้งใจมาซื้อของเท่านั้น



ปรากฏว่าเมื่อยุคเปลี่ยนไป พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยน


คนไม่อยากจะขึ้นรถกระบะทั้งครอบครัวเพื่อไปซื้อของในวันหยุดแล้ว


พวกเขาต้องการห้างที่สามารถเดินหรือนั่งรถประจำทางไปซื้อได้ โดยไม่ไกลจากย่านที่ตัวเองอยู่มากนัก


ในปี 2013 Walmart มีร้านถึง 11,000 สาขา


ในขณะที่ Sears มีอยู่แค่ 768 สาขาเท่านั้น



เมื่อกำไรลดลง Walmart รู้ตัวว่าพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป


เร่งพัฒนาระบบซื้อของออนไลน์ เพื่อดึงกลุ่มลูกค้าบางส่วนให้อยู่กับตัวเองต่อไป ไม่หนีไปอีคอมเมิร์ซเจ้าอื่นๆ กันหมด


แต่ Sears กลับไปผิดทาง


พอพวกเขาเห็นว่ารายได้จากการขายของในห้างไม่เพิ่ม


ก็เลยแตกไลน์ไปยังธุรกิจด้านอื่น เช่น เปิดบริการโบรกเกอร์ซื้อขายหุ้น นายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการจริงๆ แถมพอทำแล้วก็สู้เจ้าอื่นที่มีอยู่แล้วไม่ได้


ก็กลายเป็นธุรกิจเก่าไม่สร้างกำไร ธุรกิจใหม่ยังมาทำให้ขาดทุนเพิ่มไปอีก



จนทำให้ปัจจุบัน Sears Holdings มีหนี้สินสะสมสูงถึง 360,000 ล้านบาท


แต่มีสินทรัพย์อยู่เพียง 220,000 ล้านบาท


นั่นแสดงว่าถ้าเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย แล้วต้องขายสินทรัพย์มาใช้หนี้ ก็ยังใช้ได้ไม่หมด


บริษัทจึงยื่นขอความคุ้มครองล้มละลาย และต้องการเงินช่วยเหลือเพื่อประคับประคองกิจการ


ก่อนหน้านี้ บริษัทเคยเจรจากับนักลงทุน ได้รับเงินเกือบ 10,000 ล้านบาท เพื่อปรับโครงสร้างธุรกิจทำให้มีกำไร


แต่เงินเหล่านั้นเหมือนจะเป็นการตำพริกละลายแม่น้ำ


เพราะมันไม่ได้ช่วยให้บริษัทกลับมาทำกำไรได้จริงๆ


ในครั้งนี้ Sears Holdings ก็เจรจาขออีกครั้งในจำนวนเงินเท่าเดิม


เพื่อหวังจะมาชำระหนี้ระยะสั้น และไปปรับโครงสร้างของบริษัทต่อไป


แต่จะเป็นผลสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไป



แต่ถ้าบริษัทล้มละลาย และต้องปิดกิจการจริงๆ


สาขาจำนวน 700 แห่ง ก็จะถูกปิดตัวลง และพนักงาน 90,000 คน ก็จะกลายเป็นตกงาน


ซึ่งนั่นอาจจะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกไม่มากก็น้อย



มอง Sears แล้วย้อนกลับมาดูห้างสรรพสินค้าไทย...


แม้การซื้อของออนไลน์ของไทย จะได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา


แต่สถานการณ์ห้างค้าปลีกใหญ่ของไทย ก็ยังคงเติบโตได้อย่างดี


และห้างในเมืองไทย ก็ไม่ใช่เป็นเพียงร้านขายของใช้อย่างเดียวเท่านั้น


โดยเฉพาะห้างดังในเมืองใหญ่ กลายเป็นทั้งแหล่งความบันเทิง แหล่งพบปะนัดเจอ และเหมือนบ้านหลังที่สองของอีกหลายคนไปแล้ว


การผสมผสานไลฟ์สไตล์ต่างๆ เข้าไปเป็นจุดดึงดูด ก็ยังคงทำให้มีคนมาที่ห้างได้อยู่เสมอ


ตรงกันข้ามกับห้างหลายแห่งในสหรัฐอเมริกา ที่มีแต่สินค้าวางจำหน่ายเท่านั้น


เมื่อคนสามารถสั่งออนไลน์ได้โดยสะดวก รอแค่ 1-2 วันก็ได้รับของ


แถมยังเลือกดูในหลายเว็บ เปรียบเทียบราคา อ่านรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อ ซึ่งบางครั้งดีกว่าคำแนะนำของพนักงานขายอีก


พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเดินเลือกซื้อสินค้าในห้างอีกต่อไป



นี่คือบทเรียนสำคัญจากยักษ์ใหญ่อย่าง Sears


เพราะเทคโนโลยี "อินเตอร์เน็ต" นั้นได้เปลี่ยนโฉมหน้าไปแล้ว


คำกล่าวที่ว่า "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" อาจจะใช้ได้ แต่ก็ไม่เสมอไป


เพราะมันมีปลาเล็กปลาน้อย ที่มีความสามารถเก่งกาจ เกิดขึ้นมากมาย


แถมมันยังทำให้ปลาใหญ่อีกหลายตัว ต้องอัพเกรดตัวเองเป็นปลาเร็วให้ได้



สุดท้ายแล้ว "ปลาใหญ่" ตัวไหนที่ยังคงอืดอาด ก็คงหนีไม่พ้นโดนปลาตัวอื่นๆ พุ่งแซง


หรือไม่ก็โดนปลาเล็กปลาน้อยมาตอดกิน ไปจนตัวเองเหลือเพียงก้าง


ถึงแม้จะเป็นบริษัทที่อยู่มานานถึง 126 ปี


ถ้าทำผิดพลาดในยุคนี้ ก็อาจจะเจ๊งได้ในเวลาเพียง 7 ปี


โดยไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ด้วยซ้ำ...



----------------------------------------------------------------------



ใครที่ชอบก็สามารถติดตามอ่านความรู้ในด้านการลงทุน การตลาด ธุรกิจ และข่าวสารต่างๆ ได้ที่เว็บไซต์ www.BillionaireTH.com อัพเดททุกวันก่อนที่จะนำมาลงเพจครับ

 

ที่นี่เมืองน่าน



น่าน-แม่และพี่สาวเด็กหญิงอายุ 11 ขวบ เหยื่อชนแล้วหนีวอนตำรวจเร่งจับคนขับมาดำเนินคดีด่วน เผยลูกสาวเป็นเด็กดีขยันช่วยครอบครัวทำงาน การเรียนดี ญาติยังทำใจไม่ได้ ครอบครัวมีฐานะยากจนขอผู้มีจิตเมตตาช่วยเพื่อให้พี่สาวน้องได้เรียนจนจบและต่อเติมบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ


บรรยากาศงานบำเพ็ญกุศลศพเด็กหญิงวนิดา กุญชร อายุ 11 ขวบ ที่บ้านเลขที่ 285 บ้านทุ่งกวาง หมู่ที่ 1 ตำบลแงง อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งญาตินำมาบำเพ็ญกุศลหลังเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนรถมอเตอร์ไซด์เมื่อบ่ายวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีนายสมฤทธิ์ กุญชร อายุ 48 ปี พ่อผู้เสียชีวิตเป็นคนขับกลับจากตัวอำเภอปัวพร้อมกับผู้เสียชีวิตที่ซ้อนท้ายมาด้วยถูกรถยนต์พุ่งชนเต็มแรงจนกระเด็นจากอีกฟากถนนมาเสียชีวิตอีกฝั่ง ที่บริเวณถนนสายน่าน-ทุ่งช้าง เขตติดต่อบ้านขอนและบ้านนาก้อ ตำบลเจดีชัย อำเภอปัว ซึ่งเป็นทางโค้งและแยกเข้าบ้านนาก้อ แล้วคนขับที่ชนขับรถหลบหนีไป ต่อมามีผู้นำทั้ง 2 พ่อ-ลูกส่งโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชปัว แต่เด็กหญิงวนิดา หรือน้องซิมฯ อายุ 11 ขวบ เสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล ส่วนนายสมฤทธิ์ฯ ผู้เป็นพ่อบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลฯ ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีผู้ก่อเหตุแสดงตัวรับผิดชอบแต่อย่างใด ทำให้ญาติโดยเฉพาะแม่และพี่สาวเด็กหญิงกังวลจะไม่ได้รับความเป็นธรรม


นางเยาว์ กุญชร อายุ 50 ปี แม่ของเด็กหญิงวนิดา หรือน้องซิม ที่อยู่ในอาการเศร้าโศกยังทำใจไม่ได้ได้กล่าวว่า อยากให้ตำรวจเร่งรัดคดีติดตามผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีโดยเร็ว และอยากจะถามว่าทำไมเมื่อชนแล้วจึงหนี ไม่ช่วยนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล โดยเชื่อว่าขณะถูกชนลูกสาวไม่น่าเสียชีวิตทันที หากได้รับการช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลก็จะสามารถทำให้น้องเขารอดได้ ในวันเกิดเหตุน้องซิมฯต้องการติดรถไปส่งพี่สาวคือนางสาวพนิดาฯที่จะขึ้นรถเพื่อไปเรียนที่อุตรดิตถ์เพราะเขามีความรักผูกพันกับพี่สาวมาก น้องซิมเป็นเด็กดีขยันช่วยงานบ้านเสมอ การเรียนก็เรียนเก่งเพื่อนฝูง ครูอาจารย์รักน้องเขามาก


เช่นเดียวกับนางสาวพนิดา กุญชร อายุ 23 ปี พี่สาวที่กำลังเรียนคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ กล่าวว่า บริเวณนั้นเป็นทางโค้งและเกิดอุบัติเหตุบ่อย จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ไข และหากเป็นช่วงกลางคืนไฟจะมืดเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ดีควรติดกล้องวงจรปิดด้วย


สำหรับครอบครัวน้องซิมฯมีฐานะค่อนข้างยากจน พ่อและแม่มีอาชีพรับจ้างทั่วไปและมีโรคประจำตัวบ้านก็ยังสร้างไม่เสร็จ หวังจะให้ลูกสาวทั้งสองได้ช่วยแบ่งเบาภาระ แต่ลูกสาวคนเล็กก็มีอันเป็นไปเสียก่อน จึงขอให้ผู้มีจิตเมตตาช่วยครอบครัวนี่ด้วยโดยโอนเข้าบัญชี นส.พนิดา กุญชร พี่สาวน้องซิมที่เสียชีวิตตามบัญชีของธนาคารกสิกรไทย สาขาปัว เลขบัญชี 041-1-31030-2


ด้านตำรวจภูธรปัว อำเภอปัว ร้อยตำรวจเอกประทิน ไชยวงค์ ร้อยเวรเจ้าของคดี ได้ให้รายละเอียดว่า ขณะนี้ทราบตัวคนขับชนแล้วหนีรายนี้แล้ว กำลังติดต่อให้มามอบตัว แต่ทราบว่าผู้ก่อเหตุก็บาดเจ็บรักษาตัวที่โรงพยาบาลน่าน กำลังติดตามอายัดรถคันที่ชนมาดำเนินคดีต่อไป.

#ที่นี่เมืองน่านรายงาน

 

News1


กรมควบคุมโรค เตือนเข้าป่ากางเต็นท์สัมผัสอากาศหนาว ระวัง "ตัวไรอ่อน" เสี่ยงป่วยโรคไข้รากสาดใหญ่ เผยปี 61 พบป่วยมากกว่า 7 พันราย พบสูงสุดในภาคเหนือ แนะสวมเสื้อปิดคอ แขนยาว ขายาว ส่วนอยู่นอกร่มผ้าให้ทายากันแมลงกัด

http://news1live.com/detail.aspx?NewsID=9610000104268

 

คลังพุทธศาสนา


ม้วนคัมภีร์สมัยเฮอันของญี่ปุ่น อายุราวศตวรรษที่ 11 – 12 หรือ 1,000 หรือ 900 ปีก่อน แสดงลักษระการทำลัญจกรมือ หรือท่ามุทราพร้อมชื่อและคำอธิบายในภาษาจีน สำหรับประกอบในพิธีมนตรยานของศาสนาพุทธ ที่ญี่ปุ่นนำเข้าจากอาณาจักรถังของจีนในยุคนั้น


คำว่ามุทรา ในภาษจีนใช้คำว่า โส่วอิ้น (手印) แปลว่า ตราประทับมือ หรือลัญจกร เป็นสัญลักษณ์ของโพธิสัตว์หรือธรรมบาล หรือสัญลักษณ์ของข้อธรรมระดับสูง การใช้มุทราต้องประกอบด้วย มนตร์ มุทรา และสมาธิ


มนตร์หมายถึง การรู้แจ้งในวาจา


มุทรา หมายถึงการรู้แจ้งด้วยกริยา


สมาธิ หมายถึงการรู้แจ้งด้วยจิต


คัมภีร์ม้วนนี้สืบทอดมาในวัดโชเรนอิน ซึ่งเป็นวัดนิกายเทนได (มีทั้งการประกอบมนตรยานและการศึกษาปรัชญา) วัดนี้จะแต่งตั้งองค์ชายจากราชสำนักมาบวชเป็นเจ้าอาวาส ทำใ้หมีศักดิ์และศรีสูงส่งยิ่ง ตามปกติวัดในนิกายมนตรยาน คือนิกายเทนได กับนิกายชินกอน จะประกอบพิธีกรรมเพื่ออำนวยอวยชัยให้กับประเทศชาติ และถวายพระพรจักรพรรดิให้มีพระชนมายุยืนนาน จึงได้รับการสนับสนุนจากราชสำนักไม่น้อย

 

คลังพุทธศาสนา


เทศกาลพ้อต่อในวัดเซนญี่ปุ่น


ตามปกติแล้ววัดนิกายเซนในญี่ปุ่น จะไม่เน้นพิธีกรรมสำหรับฆราวาสมากนัก จะมุ่งปฏิบัติธรรมเป็นหลัก แต่มีวัดเวนสาขาหนึ่งที่ประกอบพิธีกรรมให้ฆราวาส ทั้งยังเป็นพิธีแบบจีน องค์ประกอบของานเป็นแบบจีน ซึ่งนับว่าแปลกมาก แต่หากรู้เบื้องหลังแล้วจะไม่เห็นว่าแปลก เพราะวัดเหล่านี้เป็นวัดเซนสายจีน ที่นำเข้านิกายเซนระลอกสุดท้ายมายังญี่ปุ่น ในสมัยเอโดะ หรือตรงกับสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ทั้งยังส่งผ่านเซนจากมณฑลฝูเจี้ยน จึงมีพิธีกรรมแบบจีนฮกเกี้ยนหลงเหลืออยู่ ต่างจากวัดเซนสายอื่นๆ ที่นำเข้าญี่ปุ่นสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเน้นความเรียบร้อย ไร้พิธีตอง


วัดเซนสายราชวงศ์หมิง คือเซนสายโอบากุ (黄檗宗) มีศูนย์กลางที่วัดมัมปุกุจิ ในเกียวโต และมีวัดสาขาในแถบเมืองที่มีคนจีนอาศัยอยู่มาก เช่นที่นางาซากิ พิธีที่เพิ่งจัดไปเมื่อเร็วๆ นี้คืองานเทศกาลพ้อต่อ หรือการเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ และวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลาย เรียกอีกอย่างว่า เทศกาลอุลลัมพน


เทศกาลพ้อต่อนิยมกันจัดกันที่มณฑลฝูเจี้ยน จึงแพร่หลายในหมู่ชาวจีนโพ้นทะเล ที่เป็นชาวฝูเจี้ยน ทั้งในไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมถึงที่ไต้หวันที่ใกล้กับฝูเจี้ยน ส่วนที่ญี่ปุ่น วัดเซนสายโอบากุ ล้วนแต่รับถ่ายทอดธรรมะและพิธีกรรมจากฝูเจี้ยน จึงมีพิธีนี้ และทุกวันนี้ยังจัดอยู่ โดยมีชาวญี่ปุ่นเชื้อสายจีนมาร่วมพิธี


ที่มาของเทศกาลพ้อต่อ มีดังนี้ ในพระสูตรฝ่ายมหายาน โยคะตันตระอัคนีชวาลมุขเปรตพลีโยคกรรม หรือพระสูตรว่าด้วยพิธีเทกระจาด มีใจความกล่าวว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้า (พระศากยมุนีพุทธเจ้า) ทรงประทับ ณ วัดนิโครธาราม ในเมืองกรุงกบิลพัสดุ์ ขณะนั้น พระอานนท์ พุทธอนุชา ทรงปลีกวิเวกไปเข้าฌาณสมาบัติในป่า ขณะที่กำลังเข้าฌาณอยู่นั้น มีเปรตตนหนึ่ง สภาพน่าเกลียดร่างกายดำ ผอมแห้ง ในปากมีไฟพลุ่โพล่งอยู่ตลอดเวลา ได้กล่าวกับกับพระอานนท์ว่า "หากพระคุณเจ้าไม่กระทำการกุศลอุทิศให้กับเหล่าฝูงเปรต แลคนยากคนจนทั้งหลาย อีก 3 วัน พระคุณเจ้าจักถึงกาลมรณภาพ" พระอานนท์พุทธอนุชาทรงหวาดกลัวอย่างยิ่ง จึงกับไปที่วัดนิโครธาราม แล้วได้ทรงถามพระผู้มีพระภาคถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตอบกลับพระอานนท์ผู้เป็นพุทธอนุชาว่า "อย่าทรงหวาดกลัวไปไยเลยหนา เปรตตนนั้นไม่ใช่ใครอื่นใด ที่แท้คือพระอวโลกิเตศวร (เจ้าแม่กวนอิม) ที่ทรงนิรมาณกายให้พระอานนท์ทรงมาบอกเรื่องนี้ เพราะว่าสมัยก่อนนั้น เรา ตถาคตเคยเป็นศิษย์ของสำนักพระอวโลกิเตศวร ซึ่งพระองค์ทรงเคยสอนมหาธารณีมนตร์แก่เรา อันเรานำมาใช้โปรดเหล่าสรรพสัตว์และเพื่อโปรดเหล่าเปรต ซึ่งเป็นมหากุศลอันใหญ่ยิ่ง บัดนี้เรา ตถาคต จักแสดงเหล่าธารณีมนตร์ให้แก่เธอเพื่อใช้โปรดสัตว์" ซึ่งในช่วงเดือนเจ็ด เป็นเทศกาลเปิดประตูนรก พิธีนี้จึงเกี่ยวข้องกับพิธีพ้อต่อ ซึ่งพ้อต่อหมายถึง"อนุเคราะห์คนยากจน" ซึ่งคำนี้มาจากพิธีนี้ (จากวิกิพีเดีย)


ภาพพิธีพ้อต่อ ที่วัดมัมปุกุจิ จากเพจ 黄檗山萬福寺

 

Bualuang Fund


กระทรวงการคลังสหรัฐไม่พบว่าจีนปั่นค่าเงิน


ในวันพุธที่17 ตุลาคมที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐออกรายงานพิเศษ โดยระบุว่าไม่พบว่าจีนมีการกระทำที่เข้าข่ายปั่นค่าเงินหยวน แต่อย่างไรก็ตาม ทางกระทรวงการคลังสหรัฐยังคงให้จีนอยู่ในประเทศที่ถูกจับตามองในเรื่องนี้ พร่้อมกับเยอรมันนี ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ เกาหลีและอินเดีย


การที่กระทรวงการคลังสหรัฐไม่กล่าวหาว่าจีนปั่นค่าเงิน ทั้งๆที่มีแรงกดดันจากทำเนียบขาวให้ทำเช่นนั้น ช่วยลดระดับความตึงเครียดทางการสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนได้ระดับหนึ่ง


ค่าเงินหยวนมีทิศทางอ่อนค่าในช่วงที่ผ่านมาท่ามกลางสงครามการค้า โดยเคยลงไประดับต่ำสุดที่6.93หยวนต่อดอลล่าร์ แต่ดูเหมือนว่าทางจีนไม่ปล่อยให้อ่อนทะลุ7หยวนต่อดอลล่าร์ ล่าสุดค่าเงินหยวนอยู่ที่ระดับ9.263ต่อดอลล่าร์

https://www.cnbc.com/2018/10/17/chna-not-a-currency-manipulator-us-says.html

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Oct 18) Breaking news : ก.คลังสหรัฐเผยไม่มีประเทศคู่ค้ารายใหญ่บิดเบือนค่าเงิน แต่ขึ้นบัญชีจีน-ญี่ปุ่น-อินเดียถูกจับตานโยบาย FX : กระทรวงการคลังสหรัฐได้เปิดเผยรายงาน "นโยบายเศษฐกิจและอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ (International Economic and Exchange Rate Policies) รอบครึ่งปี ต่อสภาคองเกรสเมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ไม่มีประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐประเทศใดที่มีพฤติกรรมบิดเบือนค่าเงิน ซึ่งรวมถึงจีน


อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวได้ระบุว่า จีน เยอรมนี อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และสวิตเซอร์แลนด์ อยู่ใน "รายชื่อประเทศที่ถูกจับตา" ซึ่งหมายความว่า ทางการสหรัฐจะจับตานโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศเหล่านี้อย่างใกล้ชิด


Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช


- Treasury Opts Against Labeling China a Currency Manipulator : https://www.nytimes.com/2018/10/17/business/china-currency-manipulation.html


- US declines to label China a currency manipulator : https://www.ft.com/content/a58245ee-d255-11e8-a9f2-7574db66bcd5


- รายชื่อประเทศที่มีพฤติกรรมบิดเบือนค่าเงิน ของ สหรัฐ

https://home.treasury.gov/system/files/206/2018-10-17-(Fall-2018-FX Report).pdf


- Treasury Releases Report on Macroeconomic and Foreign Exchange Policies of Major Trading Partners of the United States:

https://home.treasury.gov/news/press-releases/sm528


- Yuan Falls to Lowest Since January 2017 After Treasury Report: https://www.bloomberg.com/news/arti...-weakest-since-january-2017?srnd=premium-asia

 

MGR Online Politics


สหรัฐอเมริกา - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เผยอเมริกาได้ขอหลักฐานเทปเสียงหรือวิดีโอใดๆ จากตุรกี ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของจามาล คาช็อกกี คอลัมนิสต์ของวอชิงตันโพสต์ชาวซาอุดีอาระเบีย แต่ไม่แน่ใจว่าหลักฐานเหล่านั้นมีอยู่จริงหรือไม่

 

MGR Online Politics


สหรัฐอเมริกา - ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุไม่ต้องการตีจากซาอุดีอาระเบีย ต่อกรณีหายตัวไปของนักหนังสือพิมพ์ จามาล คาช็อกกี ที่ว่ากันว่าอาจถูกสังหารไปแล้ว พร้อมโต้แย้งว่าอเมริกาจำเป็นต้องพึ่งพิงริยาดในการต่อสู้กับก่อการร้าย

 

MGR Online Politics


สหรัฐอเมริกา - กระทรวงการคลังยังคงเลี่ยงที่จะตราหน้าจีนเป็นนักปั่นค่าเงิน แต่ยอมรับปรากฏการณ์เงินหยวนอ่อนค่าและแนวทางบริหารอัตราแลกเปลี่ยนของจีนเป็นสิ่งที่ ‘น่ากังวลเป็นพิเศษ’

 

MGR Online Politics


สหรัฐอเมริกา - รัฐมนตรีต่างประเทศ เผยหลังการหารือในกรุงอังการา ว่าตอนนี้วอชิงตันอาจยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่กำหนดเล่นงานตุรกี ระหว่างข้อพิพาทเกี่ยวกับการควบคุมตัวศาสนาจารย์มะกันรายหนึ่ง

 

MGR Online Politics


เฮติ - ประชาชนหลายหมื่นประท้วงต่อต้านการคอร์รัปชั่น บางคนถึงกับผลักประธานาธิบดีในงานพิธีสาธารณะ

 

China Xinhua News


สีจิ้นผิงเผย "จีนพาประชาชน 700 ล้านคนหลุดพ้นความจนคือความมหัศจรรย์ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”

.

วานนี้ (17 ต.ค.) ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน กล่าวว่าการปฏิรูปและเปิดประเทศอันยาวนานกว่า 40 ปี ได้นำพาประชาชนจีนกว่า 700 ล้านคนหลุดพ้นจากความยากจนข้นแค้น ซึ่งถือเป็นความมหัศจรรย์ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

.

ประธานาธิบดีสีผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง แสดงวาทะดังกล่าวเนื่องในวันบรรเทาความยากจนแห่งชาติ (National Poverty Alleviation Day) ครั้งที่ 5

.

สีชี้ว่าปัญหาความยากจนสัมบูรณ์ (absolute poverty) ซึ่งปรากฏมาเนิ่นนานหลายพันปีบนแผ่นดินจีน กำลังจะถูกแก้ไขครั้งประวัติศาสตร์ และการบรรเทาปัญหาความยากจนได้เข้าสู่ช่วงสำคัญที่สุดในปัจจุบัน

.

ทั้งนี้ สีเรียกร้องความมุ่งมั่นตั้งใจเอาชนะการสู้รบกับความยากจน กระตุ้นภาคส่วนต่างๆ ในแต่ละภูมิภาคตระหนักและแสดงความรับผิดชอบอย่างถูกต้องเหมาะสม

.

ด้านนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เน้นย้ำความสำคัญของการสนับสนุนการบรรเทาความยากจนในพื้นที่ที่ยังคงติดหล่มปัญหาดังกล่าว และดำเนินมาตรการที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อช่วยเหลือประชากรชนบทผู้ยากจน

.

หลี่เสริมว่าบรรดากองทุนการบรรเทาความยากจนควรถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด รวมถึงยกระดับการประเมินผลและการตรวจสอบงานบรรเทาความยากจน

.

นอกจากนั้นหลี่ย้ำถึงภารกิจพาประชาชนอีก 10 ล้านคนออกจากความยากจนภายในปีนี้ และการบรรลุเป้าหมายการขจัดความยากจนอย่างสิ้นเชิงภายในปี 2020

 

China Xinhua News


จีนจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐกว่า 6,200 คน ฐานมีส่วนทำสิ่งแวดล้อมเสียหาย

.

เมื่อไม่นานนี้ กระทรวงนิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อมของจีนเปิดเผยว่าทางการจีนได้จับกุมเจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่น จำนวน 6,219 คน ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมในมณฑลและเขตปกครองตนเอง 10 แห่งทั่วประเทศ

.

รายงานระบุว่าการจับกุมเกิดขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่รัฐส่วนกลางดำเนินการตรวจสอบสิ่งแวดล้อมระหว่างวันที่ 30 พ.ค.-7 ก.ค. โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐ 610 คนถูกลงโทษกักขังและปรับเงิน 710 ล้านหยวน (ราว 3,550 ล้านบาท)

.

ส่วนพื้นที่ที่ถูกตรวจสอบ ได้แก่ เหอเป่ย เหอหนาน มองโกเลียใน หนิงเซี่ย เฮยหลงเจียง เจียงซู เจียงซี กว่างตง กว่างซี และอวิ๋นหนาน โดยทีมตรวจสอบพบปัญหาต่างๆ เช่น การบังคับใช้มาตรการป้องกันสิ่งแวดล้อมอย่างไร้ประสิทธิภาพ

.

การตรวจสอบดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับมลพิษและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ซึ่งเป็นผลมาจากทศวรรษแห่งการพัฒนาประเทศ ที่ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควัน น้ำเสีย และดินปนเปื้อนตามมา

.

ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมจัดเป็นหนึ่งใน “สามศึกสงครามใหญ่” ที่จีนประกาศจะเอาชนะให้ได้ภายในเวลาสามปีข้างหน้า

 

เจริญ! บินไทย TG971 ดีเลย์ 2 ชั่วโมงครึ่ง เหตุนักบินไม่ยอมเทกออฟเพราะที่นั่งพวกเดียวกันเองไม่ลงตัว จนผู้โดยสารต้องยอมย้ายที่ให้
เผยแพร่: 18 ต.ค. 2561 17:33 ปรับปรุง: 18 ต.ค. 2561 18:16 โดย: ผู้จัดการออนไลน์



MGR Online - เผยจดหมายร้องเรียนการบินไทย เหตุเที่ยวบิน TG971 ซูริค-สุวรรณภูมิ วันที่ 11 ต.ค. ดีเลย์กว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง เหตุนักบินไม่ยอมนำเครื่องขึ้น เพราะที่นั่งของนักบินที่จะโดยสาร (Deadhead pilot) ไม่ได้นั่งเฟิร์สคลาสตามต้องการ ปล่อยผู้โดยสารกว่า 300 คนนั่งรอ จนสุดท้ายผู้โดยสารสามี-ภรรยาคู่หนึ่ง ต้องยอมสละที่นั่งที่จองไว้ล่วงหน้าให้

วันนี้ (18 ต.ค.) MGR Online ได้รับข้อมูลจากแหล่งข่าวเป็นจดหมายร้องเรียนของผู้โดยสารรายหนึ่งที่โดยสารบนเที่ยวบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เที่ยวบินที่ ทีจี 971 วันที่ 11 ตุลาคม 2561 จากนครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มายังสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เรื่อง ไม่ได้รับการบริการตามข้อตกลงของบัตรโดยสาร โดยมีเนื้อหาดังนี้

“ด้วยผมและภรรยา เป็นผู้โดยสารเที่ยวบิน TG971 (ZRH-BKK) วันที่ 11 ตุลาคม 2561 ไม่ได้รับการบริการตามข้อตกลงของบัตรโดยสารชั้นธุรกิจ โดยมีเนื้อหาการร้องเรียนดังนี้ เที่ยวบิน TG971 (ZRH-BKK) มีกำหนดการบินออกจาก นครซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เวลา 13.30 CEST แต่ได้รับการประกาศจากภาคพื้นดิน ว่า มีการล่าช้ากว่ากำหนด และไม่มีกำหนดการบินที่ชัดเจน จนกระทั่งเวลา 15.00 CEST มีเจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินเชิญผมและภรรยามาคุย จึงได้ทราบถึงปัญหาของความล่าช้าของเที่ยวบินนี้ เนื่องจากเที่ยวบินนี้ได้รับแจ้งว่ามีคณะนักบินที่ต้องการจะโดยสารเครื่องบินเที่ยวบินนี้กลับประเทศไทยด้วย จำนวน 4 คน และ นักบินต้องการที่นั่งในตำแหน่งที่ผมและภรรยาได้ทำการจองมา จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินมาขอร้องให้ผมและภรรยาเปลี่ยนที่นั่งไปนั่งที่อื่น เพราะไปขอผู้โดยสารท่านอื่นแล้วไม่มีใครยอมให้ และได้รับแจ้งว่าถ้าผมไม่ยอมเปลี่ยนที่ให้นักบินที่จะโดยสาร (Deadhead pilot) ไปด้วย นักบินประจำเครื่อง (On duty pilot) ก็จะไม่ยอมบิน ผมและภรรยาจึงจำเป็นต้องตัดสินใจในขณะนั้น โดยผมและภรรยายอมที่จะทำการเปลี่ยนที่นั่งที่จองไว้ตั้งแต่เริ่มต้นที่ซื้อตั๋ว เนื่องจากผมและภรรยาทราบถึงปัญหาแล้วว่าถ้าผมและภรรยามิยอมให้ที่นั่งก็จะเกิดความล่าช้าต่อไปเรื่อยๆ และเห็นใจผู้โดยสารท่านอื่นที่ได้รับความเดือดร้อนในเที่ยวบินนี้เช่นกัน

“จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ผมจึงจำเป็นต้องร้องเรียนที่ไม่ได้รับการบริการตามข้อตกลงที่ได้ทำการจองมา ท้ายสุดนี้ผมขอความกรุณาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับเรื่องร้องเรียนนี้ช่วยชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีการดำเนินการอย่างไร ... ทั้งนี้ การร้องเรียนในครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงการรักษาสิทธิ์ของผู้ใช้บริการการบินไทย อีกทั้งรู้สึกประหลาดใจต่อการกระทำของกลุ่มนักบิน ทั้งผู้ขอโดยสาร (Deadhead pilot) และ ผู้ทำการบิน (On duty pilot) ซึ่งควรเป็นผู้ให้บริการ แต่กลับยึดถือการบริการตนเองและพวกพ้องก่อนโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้โดยสารประหนึ่งเอาผู้โดยสารเป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับความต้องการของตนเอง ทั้งที่ที่นั่งชั้นธุรกิจก็ยังมีที่ว่าง” ผู้โดยสารคนดังกล่าวระบุ



เมื่อตรวจสอบจากเว็บไซต์ flightradar24.comซึ่งเป็นบันทึกสถิติของเที่ยวบินต่างๆ พบว่า เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2561 เที่ยวบิน TG971 แบบเครื่องบิน B747-400 (HS-TGZ) มีความล่าช้าในการเดินทางจริง โดยกำหนดการออกเดินทาง (STD; Scheduled Time of Departure) ที่ 13.30 น. แต่ออกเดินทางจริง (ATD; Actual Time of Departure) ในเวลา 15.59 น. หรือล่าช้าไปเกือบสองชั่วโมงครึ่ง ซึ่งส่งผลให้เที่ยวบินเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิล่าช้ากว่าที่กำหนดราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2561 ภายในบริษัท การบินไทย มีหนังสือรายงานถึงกรณีดังกล่าว เรื่อง ขอแนวทางการจัดที่นั่งให้ Flight Deck Passive Crew ในเครื่องบิน B747/A380 ที่ operate 2-class concept โดยมีรายละเอียดดังนี้



“สืบเนื่องจากกรณีเที่ยวบิน TG971/11OCT/ZRH-BKK เปลี่ยนแบบเครื่องบินเป็น B747-400 (HS-TGZ) Config. 49C 325Y ซึ่งตามตารางการบินใช้เครื่องบินแบบ B777-300ER Config. 42C 306Y เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนแบบเครื่องบินระหว่าง B777 และ B747 ทำให้มี Passive Crew 2FC และ 2FP โดยสถานีฯ ได้อ้างอิงการเก็บที่นั่งตามคู่มือ Flight Crew Standard Blockage of Seats for Augmented Crew and Passive crew Summer 2018 ซึ่งกำหนดที่นั่ง 24AB/EF แต่ที่นั่งดังกล่าวถูกผู้โดยสารสำรองที่นั่งล่วงหน้าแล้ว จึงจัดที่นั่ง 16AB/JK ซึ่งเป็นที่นั่งใน C-class Upper deck แทน

“เนื่องจากการเปลี่ยนแบบเที่ยวบินครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแบบเที่ยวบินล่วงหน้า (อ้างถึง ASM YS 252 วันที่ 13 กันยายน 2561) ทำให้ระบบ reservation ปรากฏแผนผังที่นั่งใน First Class Zone (Row 1-3) สำหรับผู้โดยสารชั้นธุรกิจ และผู้โดยสารได้จองที่นั่งล่วงหน้าไปแล้ว

“เที่ยวบิน TG971/11OCT มีผู้โดยสารสำรองที่นั่งจำนวน 39C 275Y โดยที่นั่งทั้งหมดใน First Class Zone (9 ที่นั่ง) ได้ถูกสำรองที่นั่งล่วงหน้าโดยผู้โดยสาร เมื่อนักบินและลูกเรือทั้งหมดมาถึงเครื่อง พนักงานภาคพื้นได้แจ้งหมายเลขที่นั่งสำหรับ Passive Crew คือ 16AB/JK (2FC/2FP) ปรากฏว่า P.I.C. ปฏิเสธและยืนยันให้ Passive FC ทั้ง 2 ท่านนั่งใน First Class Zone เท่านั้น พร้อมทั้งไม่อนุญาตให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องจนกว่าทางสถานีฯ จะดำเนินการตามที่ร้องขอ ทำให้ทางสถานีฯ จำเป็นต้องร้องขอผู้โดยสารที่นั่งใน First Class Zone เป็นรายคนเพื่อขอย้ายที่นั่ง แต่ได้รับการปฏิเสธทั้งหมด จนกระทั่งเวลา 15.00 น. ซึ่งเลขเวลาจากตารางบินเดิม (STD 1330LT) ผู้โดยสาร XXXX ได้ตัดสินใจยินยอมย้ายที่นั่งไป 16AB ต่อมาได้ทราบว่าผู้โดยสารท่านดังกล่าวคือ XXXXX และภรรยา” จดหมายฉบับดังกล่าวระบุ และขอแนวทางพิจารณาแก้ไขเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวซ้ำอีก

https://mgronline.com/onlinesection/detail/9610000104381

 

Workpoint News - ข่าวเวิร์คพอยท์


คืนนี้ (18 ต.ค. 61) จะเกิด “ดาวเคียงเดือน”

.

โดย “ดวงจันทร์” สว่างปรากฎเคียงข้าง “ดาวอังคาร” สีแดง ห่างกันประมาณ 1.4 องศา จะเกิดขึ้นหลังดวงอาทิตย์ตกลับขอบฟ้า โดยช่วงหัวค่ำจะปรากฏทางทิศใต้ เวลาผ่านไปก็จะค่อนไปทางทิศตะวันตกใต้ ถึงตี 1 ของวันที่ 19 ต.ค. สังเกตได้ด้วยตาเปล่าทั่วประเทศ

.

ที่มา สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ Fan Page

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Oct 18) 'ลาการ์ด'เลื่อนแผนเยือนตอ.กลาง : ผู้อำนวยการไอเอ็มเอฟเลื่อนร่วมประชุมเอฟไอไอที่ริยาด หลังเกิดคดีนักข่าวซาอุฯ หายตัวลึกลับ ด้านเลขาธิการยูเอ็น เรียกร้องรัฐบาลซาอุฯ รีบเคลียร์ข้อกังขาเรื่องนี้



นางคริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เลื่อนการเดินทางเยือนตะวันออกกลาง ออกไป จากเดิมที่เธอมีแผนจะเดินทาง เยือนตะวันออกกลาง รวมถึงเข้าร่วม การประชุมฟิวเจอร์ อินเวสต์เมนท์ อินนิชิเอทีฟ (เอฟไอไอ) ระหว่างวันที่ 23-25 ต.ค.นี้ ที่กรุงริยาด เมืองหลวง ของซาอุดีอาระเบีย



โฆษกไอเอ็มเอฟ กล่าวว่า นางลาการ์ด จะเลื่อนการเดินทางเยือนตะวันออกกลาง ออกไป เนื่องจากเหตุการณ์หายตัวไป ของนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์วอชิงตัน โพสต์ ซึ่งก่อน หน้านี้ นางลาการ์ด กล่าวว่า แม้จะ หวาดกลัวที่นายคาช็อกกีอาจถูก ฆาตกรรม แต่ก็ยังมีแผนที่จะเดินทาง เข้าร่วมงานเอฟไอไอที่ริยาด เนื่องจาก เป็นหน้าที่ที่จะจัดการธุระของไอเอ็มเอฟ กับหลากหลายรัฐบาลทั่วทุกมุมโลก และตอนนี้ ยังมีความตั้งใจที่จะเดินทาง เยือนกรุงริยาดและจะจับตาดูข้อมูล ใหม่ๆ ที่จะเปิดเผยออกมาในอีกไม่กี่วัน ข้างหน้า



การตัดสินใจเลื่อนเข้าประชุม ทางเศรษฐกิจที่กรุงริยาดของผู้อำนวยการ ไอเอ็มเอฟ มีขึ้นหลังจากบรรดาผู้บริหาร บริษัทกูเกิล คลาวด์ จีเอ็ม เจพีมอร์แกน ฟอร์ด และธนาคารชั้นนำของโลก จำนวนหนึ่งอย่าง ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เติร์ด เอชเอสบีซี และธนาคาร เครดิต สวิส ตัดสินใจยกเลิกเข้าร่วม การประชุมดังกล่าวไปแล้ว



ด้านนายอันโตนิโอ กูเตียเรส เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เรียกร้องให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยความจริงกรณีการหายตัวไป อย่างไร้ร่องรอยของนายคาช็อกกี



ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสประจำ หน่วยข่าวกรองของตุรกี ระบุโดย อ้างข้อมูลที่ได้จากนาฬิกาแอ๊ปเปิ้ลวอทช์ ของนายคาช็อกกีว่า นักข่าวรายนี้ ถูกสังหารอย่างทรมาน ด้วยการถูกตี ด้วยไม้สควอชจนตาย ส่วนศพน่าจะ ถูกหั่นเป็นชิ้นๆ แล้วนำไปทิ้งที่ไหน สักแห่ง


Source: กรุงเทพธุรกิจ


https://www.cnbc.com/2018/10/17/imfs-christine-lagarde-postpones-trip-to-the-middle-east.html


ความคืบหน้า

- ขุนคลังสหรัฐเตรียมทบทวนการตัดสินใจร่วมการประชุมธุรกิจที่ซาอุฯ : https://www.ryt9.com/s/iq38/2902334

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Oct 18) นูเรล รูบินี: ‘Cryptocurrency’ สุดยอดลวงโลก? ผมเป็นหนึ่งในผู้ติดตามและศึกษา ‘สกุลเงิน Crypto’ หรือ Cryptocurrency ไม่ว่าจะเป็น ‘บิทคอยน์’ หรือสกุลเงิน Crypto อื่นๆ อย่างค่อนข้างลึกซึ้ง


จากทั้งมุมมองการลงทุนและความชอบส่วนตัว โดยสรุป ก่อนที่จะมาฟังคำให้การณ์ของนูเรล รูบินี หรือ ดร.ดูม ผู้ที่เคยทายวิกฤติซับไพร์มได้ถูกต้องเมื่อ 10 ปีก่อน ต่อวุฒิสภาสหรัฐ ผมมองว่าท้ายสุดแล้ว สกุลเงิน Crypto จะเหลือเพียง 2 สกุลคือ บิทคอยน์ และ อีเธเรียม


ด้วยเหตุผลที่ว่าทั้งคู่เป็นส่วนหนึ่งจากเทคโนโลยี Blockchain โดยตรง แม้ว่า อีเธเรียม เป็นสกุลเงินดิจิตัลจะยังถือว่ามีความเสถียรของเทคโนโลยีที่ต่ำกว่า ทว่าผมมองว่าการมีผู้นำอย่าง วิทาลิค บูเธลิน หนุ่มเซอร์วัย 20 ต้นๆ ผู้ก่อตั้งเหรียญอีเธเรียม ที่ครั้งหนึ่งเคยมาร่วมสัมมนากับหน่วยงานระดับชาติในเมืองไทย น่าจะดูมีความน่าเชื่อถือในแง่ของการก้าวต่อไปของอีเธเรียม และมีแพลตฟอร์มที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้งานต่างๆ ได้มากระดับหนึ่ง แม้ยังมีความบกพร่องหรือ Bug อยู่บ้างก็ตาม ส่วนสกุลเงินดิจิตัลที่เหลือนั้น ผมมองว่าน่าจะร่วงโรยไปตามกาลเวลา เนื่องจากไม่มีเทคโนโลยีซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงกว้างคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง


อย่างไรก็ดี เมื่อมาฟังความเห็นของรูบินี ผมเริ่มจะเปลี่ยนความคิดไปเล็กน้อย โดยมองว่าอีเธเลียมจะอยู่หรือไปให้ดูใน 1-2 ปีนี้ แม้ผมไม่ได้เห็นด้วยกับมุมมองของรูบินีแบบเต็มร้อย ทว่าหลายๆประเด็น รูบินีพูดได้น่าสนใจ ผมยอมรับว่ารูบินีไม่ได้ซี้ซั้วมาวิจารณ์เรื่องนี้ เขาศึกษาเรื่องนี้มาเป็นอย่างดี รู้ถึงความเป็นไปและเบื้องหลังของวงการ Crypto ดีมาก ทว่าก็มีบางจุดที่ผมมองว่ารูบินีน่าจะมีความเห็นไม่ถูกต้องนัก แต่ก็ต้องบอกว่ามีอยู่น้อยมาก ทว่าจุดดังกล่าวมีความสำคัญ


ผมขอเกริ่นย่อๆ ว่า ของความสัมพันธ์ระหว่าง บล็อคเชน บิตคอยน์ และ อีเธเรียม ให้เข้าใจกับแบบเบื้องต้นก่อน เริ่มจาก บล็อคเชน เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ประโยชน์ของศาสตร์ที่ว่าด้วยการเข้ารหัส หรือ Cryptography โดยข้อมูลที่ส่งออกจากจุดหนึ่งจะส่งออกเป็น Block โดยที่จะเดินทางไปทุกจุดในระบบ บล็อคเชนที่กระจายไปทั่วหรือ decentralization โดยที่ผู้รับเท่านั้นที่มีพาสเวิร์ดซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลซึ่งเมื่อบันทึกแล้วไม่สามารถแก้ไขนี้ได้ ดังนั้นในระบบนี้ จึงไม่มีใครเป็นเจ้าของ เนื่องจากทุกคนในระบบเข้าถึง Block ที่ว่าได้ ทว่าด้วยการเข้ารหัสเป็นอย่างดี จึงมีผู้ที่มีพาสเวิร์ดเท่านั้น ซึ่งสามารถอ่านหรือได้รับข้อมูลนั้นได้ ทำให้มีความปลอดภัยสูงและต้นทุนถูกเนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทว่าข้อเสียคือยังค่อนข้างช้า


ทีนี้ เจ้า บิทคอยน์ เข้ามามีบทบาทตรงที่จะเป็นทรัพยากรในการเข้ารหัสของ Block ดังกล่าว ซึ่งยิ่งมีสูตรการเข้ารหัสที่เก่งแค่ไหนก็ยิ่งจะได้รางวัลเป็น บิทคอยน์ มากแค่นั้น โดยตอนนี้ อีเธเรียม เริ่มมีระบบที่ใช้กันมากขึ้น ทว่าตอนนี้ยังไม่เสถียรมากนัก โดยเลียนแบบการทำงานของบล็อคเชน ทว่าทำได้รวดเร็วกว่า


สำหรับประเด็นหลักที่ทำให้รูบินี กล่าวว่า Cryptocurrency คือ mother of all scams หรือสุดยอดจอมลวงโลก มีดังนี้


หนึ่ง การที่ บิทคอยน์ ถูกกำหนดให้จำกัดจำนวนสกุลเงินนี้ให้มี 21 ล้านเหรียญนั้น รูบินีให้ความเห็นว่าจุดแข็งนี้ก็ถือเป็นจุดอ่อน เนื่องจากการที่อุปทานของเงินสกุลใดไม่ได้เติบโตไปกับจีดีพีของเศรษฐกิจ ระดับราคาของเศรษฐกิจนั้น จะเกิดอัตราเงินฝืด โดยหากบิตคอยน์เกิดบูมขึ้นมาจริงๆ ก็จะติดปัญหานี้ ซึ่งเหตุการณ์ก่อให้เกิดวิกฤต Great Depression ในทศวรรษ 1930 ทว่ารูบินีมองว่าชาวโลกคงจะไม่ได้เห็นเหตุการณ์นี้ เนื่องจาก บิตคอยน์ ได้ถูกแตกขยายหน่อออกมาเป็น Bitcoin Cash และ Bitcoin Gold เพิ่มมาอีก ซึ่งรูบินี มองว่าบิตคอยน์เริ่มจะออกลีลาไม่ทำตามคำสัญญาการจำกัดจำนวนเหรียญ นอกจากนี้ อีเธเรียมรุ่นดั้งเดิม ถูกแตกขยายออกมาเป็น Ethereum Classic และ new spin-off Ethereum โดยใช้เวลาแค่ 3 ปี ในขณะที่เครื่องดื่มโคคา โคล่าใช้เวลากว่า 100 ปีในการมีเครื่องดื่มโค้กรุ่นใหม่


สอง ผู้ที่เป็นเจ้าของสกุลเงินอาทิ วิทาลิค บูเธลิน นั้น ได้เก็บตุนสกุลเงินอีเธเรียมไว้เพียบแล้ว แล้วเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว จะมองว่า อีเธเรียม เป็นสกุลเงินที่จะใช้เป็นเงินสกุลหลักได้อย่างไร เมื่อเจ้าของผลิตตุนไว้เองอย่างเต็มๆ


สาม บูเธลิน กล่าวว่า มีข้อจำกัด ‘inconsistent Trinity‘ ในวงการ Crypto ซึ่งประกอบด้วย Decentralization Scalability และ Security ซึ่งตรงนี้ รูบินีเห็นด้วย ทว่าไม่เชื่อว่าจะมี Decentralization อยู่จริงในสกุลเงินดิจิตัลนี้ เนื่องจากผู้ที่มีจำนวนเหรียญเยอะ จะสามารถมีอิทธิพลในระบบเหนือรายย่อย โดยการที่มีเหตุการณ์โจมตีระบบของสกุลเงินดิจิตัลหลายสกุล รวมถึง อีเธเรียม หรือที่เรียกว่า 51% Attack นั้น นอกจากนี้ จะมีการ Hack พาสเวิร์ดที่อยู่ในระบบหรือที่เรียกกันว่า Hot Storage ในกระเป๋าเงินดิจิตัล จนระบบไปต่อไม่ได้


สี่ การกระจายตัวของความมั่งคั่งของเจ้าของเหรียญ Crypto ถือว่ามีการกระจุกตัวอยู่กับคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น โดยการกระจุกตัวความมั่งคั่งของผู้ถือเหรียญบิตคอยน์นั้น ถือว่ามีมากกว่าของประชาชนชาวเกาหลีเหนือเสียด้วยซ้ำ


ห้า รูบินีมองว่าการที่มีการเปรียบเทียบระหว่าง Crypto และ อินเตอร์เน็ต ว่ามีเส้นทางที่ค่อยๆ เป็นที่นิยมแบบเข้าสู่ระดับรากหญ้าในระดับโลกด้วยลักษณะและรูปแบบที่ใกล้เคียงกันนั้น ถือว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากหลังจากฟองสบู่ Crypto แตกเมื่อกลางปีที่แล้ว มูลค่าการซื้อขายของ Crypto ก็ลดลงมาเรื่อยๆ ผิดกับอินเตอร์เน็ตเมื่อกว่า 20 ปีก่อนที่เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งจุดนี้ ผมค่อนข้างเห็นต่างเนื่องจากหากสังเกตดีๆ อินเตอร์เน็ตในช่วงก่อนที่จะมีบราวเซอร์ Netscape ก็เติบโตค่อนข้างช้า ผมมองว่ารูบินีอาจจะฟันธงเรื่องนี้เร็วเกินไป


ท้ายสุด รูบินี มองว่า บล็อคเชน ถูกยกย่องเกินจริง โดยแท้จริงแล้ว FinTech ต่างหาก ซึ่งมี AI และ Big Data เป็นตัวขับเคลื่อน ที่เป็นของจริง ตรงนี้ ผมมองว่ารูบินีน่าจะประเมินศักยภาพของบล็อคเชนต่ำเกินไปนิด เพราะบล็อคเชนได้กลายเป็นระบบที่นำไปใช้ในหลายวงการแบบไม่มีข้อผิดพลาด ตามที่ได้คุยกันไว้เรียบร้อยแล้ว


โดย ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ

คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์ "มุมคิดมหภาค"


Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


เพิ่มเติม

- Debunked: How Nouriel Roubini Failed to Attack Crypto with Cherrypicked Data : Debunked: https://www.ccn.com/debunked-how-nouriel-roubini-failed-to-attack-crypto-with-cherrypicked-data/


เรื่องเดิม

- Roubini doubles down on criticisms of crypto, calls it a 'stinking cesspool that is in meltdown' : https://www.cnbc.com/2018/10/12/dr-...l-roubini-calls-crypto-stinking-cesspool.html