ติดตามสถานะการณ์

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว พื้นที่อิสระพ่นควันฉุยสำหรับเหล่าสิงห์อมควันเริ่มแคบลงๆ เข้าไปทุกที เมื่อล่าสุด #กรมควบคุมโรคขยายเขตห้ามสูบบุหรี่ต่อเนื่อง ทั้งพื้นที่ชายหาด ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก สถานที่สาธารณะ ดีเดย์เริ่มจับตาจริงจัง 3 ก.พ. 2562 #หนุนให้ทุกชายหาดในประเทศไทยเป็นพื้นที่ปลอดบุหรี่ในอนาคตต่อไป


ก่อนหน้านี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเคยออกประกาศนำร่อง #ห้ามสูบบุหรี่ (รวมทั้งห้ามทิ้งก้นบุหรี่และขยะ) ใน 24 หาด 15 จังหวัด ตาม พรบ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 #บทลงโทษผู้ที่สูบบุหรี่หรือทิ้งก้นบุหรี่บริเวณชายหาด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


Source : https://mgronline.com/qol/detail/9610000122948


โดยเรื่องนี้ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากกรมทรัพยากรทางทะเลฯได้ออกประกาศห้ามสูบและทิ้งก้นบุหรี่ใน 24 หาด 15 จังหวัด สำนักควบคุมการบริโภคยาสูบได้จัดให้มี #การพัฒนาศักยภาพและเชื่อมต่อองค์ความรู้ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ให้กับเจ้าหน้าที่และบุคลากรที่รับผิดชอบชายหาดปลอดบุหรี่นำร่องทั้ง 24 แห่งไปแล้วเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา


"นอกจากนี้ #กรมควบคุมโรคได้ขยายการดำเนินการมาตรการห้ามสูบบุหรี่ ในสถานที่สาธารณะปลอดบุหรี่ #ส่วนของพื้นที่ที่เชื่อมต่อจากชายหาด เช่น ร้านอาหาร ร้ายขายของฝาก ของที่ระลึก สวนสาธารณะ ซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อมาจากชายหาด โดยกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับใหม่ที่จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 3 ก.พ. 2562 ที่จะถึงนี้" อธิบดีกรมควบคุมโรค ระบุ


อาศัยอำนาจตามมาตรา 41 แห่ง พรบ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560 #ผู้ที่ฝ่าฝืนสูบบุหรี่ในสถานที่ดังกล่าว จะต้องถูกเปรียบเทียบปรับไม่เกิน 5,000 บาท เนื่องจากฝ่าฝืนมาตรา 42 พรบ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ.2560.

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว คนไทยใครว่าจน!! ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ #ปีนี้ตลาดรถยนต์ในประเทศของไทยขยายตัวสูง ประมาณ 18% คิดเป็นตัวเลขยอดขายสูงถึง 1,030,000 คัน #ยอดขายรถยนต์ได้ทะยานกลับขึ้นไปอยู่ที่ระดับล้านคันอีกครั้ง หลังจากที่เคยทำได้เหนือระดับล้านคันในช่วงปี 2555-2556 จากผลของโครงการรถยนต์คันแรก


#รถยนต์อีโคคาร์มาแรง ความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยในปีนี้มีแนวโน้มขยายตัวกว่า 37% หรือ 171,000 คัน เมื่อเทียบกับปี 60 #จากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม 'รถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้า' ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ผู้บริโภคไทยให้ความสนใจและมีทิศทางที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน #ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากระดับราคาที่จับต้องได้มากขึ้น ด้วยการสนับสนุนของภาครัฐในการกำหนดอัตราภาษีสรรพสามิตที่เอื้อให้ผู้บริโภคเข้าถึงรถยนต์ประเภทนี้ได้ง่ายขึ้น


Source : thaiquote - https://bit.ly/2EsnYAz


อนึ่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังได้คาดการณ์แนวโน้มตลาดรถยนต์ของไทยในปี 2562 อีกด้วยว่า #ตลาดรถยนต์ในประเทศน่าจะกลับเข้าสู่ระดับปกติมากยิ่งขึ้น #ท่ามกลางภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงการเพิ่มความระมัดระวังดูแลคุณภาพสินเชื่อของบริษัทลิสซิ่งต่างๆ ส่งผลยอดขายรถยนต์ในประเทศน่าจะหดตัวกว่าร้อยละ 2-5 จากปี 2561 คิดเป็นยอดขาย 980,000-1,010,000 คัน


#รถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้ากลับมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปัจจัยบวกต่างๆ ทั้งการลงทุนของค่ายรถและนโยบายรัฐที่สนับสนุน ทำให้ยอดขายรถยนต์ใช้พลังงานไฟฟ้าโดยรวมมีโอกาสเติบโตกว่าร้อยละ 76 ถึง 83 จากปี 2560.

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว มันก็จะอู้ฟู่หน่อยๆ นะ!! เมื่อล่าสุด กฟผ.ส่งรายได้ 2 เดือนแรกปีงบประมาณ 2562 #รายได้สูงสุดขึ้นแทนอันดับหนึ่งในกลุ่มรัฐวิสาหกิจ 12,924 ล้านบาท ตีปีกแซงหน้า ปตท. กองสลาก ธนาคารออมสิน เฉิบๆ


#รัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงสุด5อันดับแรก ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 62 (ต.ค. 61-พ.ย. 61) ได้แก่


▪️อันดับ 1 กฟผ. - 12,942 ล้านบาท

▪️อันดับ 2 ปตท. - 11,679 ล้านบาท

▪️อันดับ 3 ธ.ออมสิน - 9,270 ล้านบาท

▪️อันดับ 4 สำนักงานสลากฯ - 8,255 ล้านบาท

▪️อันดับ 5 กฟภ. - 6,903 ล้านบาท


รวมทั้งสิ้น 49,032 ล้านบาท หรือกว่า 81% จากเงินนำส่งรายได้ทั้งหมด


Source :


โดยเรื่องนี้ นายประภาศ คงเอียด ผอ.สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. เผยถึงการจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินจากรัฐวิสาหกิจ ว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 สคร.สามารถจัดเก็บเงินนำส่งรายได้แผ่นดินทั้งสิ้น 60,425 ล้านบาท #สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม 49,470 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 10,956 ล้านบาท คิดเป็น 22% #ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการจัดเก็บรายได้


สำหรับรัฐวิสาหกิจที่นำส่งรายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2562 ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย 12,924 ล้านบาท // บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) 11,679 ล้านบาท // ธนาคารออมสิน 9,270 ล้านบาท // สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 8,255ล้านบาท และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค 6,903 ล้านบาท รวมจำนวน 49,032 ล้านบาท คิดเป็น 81% ของเงินนำส่งรายได้สะสมทั้งหมด.

 

MOREMOVE


#มอร์มูฟเป็นข่าว ถ้าเรายังกลัว (แบบขาดสติ) ถ้าเรายังตั้งข้อรังเกียจผู้ป่วย HIV/เอดส์ แล้วเมื่อไหร่โลกของเราจะสูญพันธุ์จากโรคนี้เสียที!!!


โดยล่าสุด องค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ว่า #ความกลัว #ความรู้สึกว่าถูกสังคมรังเกียจ #การขาดความรู้ เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ #ไม่สามารถหยุดยั้งการระบาดของโรคเอดส์ได้ ทั้งๆ ที่วงการแพทย์มีวิธีบำบัดเอดส์อย่างได้ผล #คนไม่จำเป็นต้องเสียชีวิตจากเอดส์เสมอไป


Source : https://www.voathai.com/a/aids-stigma-tk/4684143.html


โดยเรื่องนี้ Dr.Jared Baeten ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเชื้อ HIV กล่าวว่า ทั้งๆ ที่วงการแพทย์มีความสามารถพร้อมในการหยุดยั้งการระบาดของเอดส์ แต่จนถึงขณะนี้โลกก็ยังไปไม่ถึงเส้นชัยอยู่ดี นั่นเป็นเพราะว่าความสามารถในการนำมาตรการเหล่านี้ไปรับมือกับโรคเอดส์ยังไม่เต็มที่เท่าที่ควร


สอดคล้องกับคำกล่าวของ Steffani Strathdee ศาสตราจารย์จาก ม.แคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานดิเอโก ที่ว่า #ยังมีคนเกือบล้านคนเสียชีวิตทุกปีจากโรคเอดส์ โดยอุปสรรคใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งคือ #HIVมักระบาดในกลุ่มคนที่เกือบตกขอบของสังคมทั่วโลก


"มีประชากรจำนวนมากทั่วโลกที่ยากจน ขาดการดูแลจากสังคม และกลุ่มคนที่ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น ตลอดจนผู้ค้าประเวณี #กลุ่มคนเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากที่สุด ผลการวิจัยด้านนี้ชิ้นอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นเล้วว่า #จำเป็นต้องแก้ปัญหาปากท้องและความเป็นอยู่ของคนเสียก่อนที่จะแก้ปัญหาเอดส์ และหากยังไม่ดำเนินการนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะประสบกับผลกระทบรุนแรงทางสังคมและเศรษฐกิจจากโรคเอดส์อย่างแน่นอน"


คนที่หิวโหยและต้องการที่พักพิงต้องใส่ใจต่อความต้องการเร่งด่วนเหล่านี้ของตนเองเสียก่อนที่จะมากังวลเรื่องการติดเชื้อ HIV


ด้าน Dr.Jared Baeten ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า #ทุกคนควรเข้ารับการตรวจเลือดและการบำบัดอย่างเท่าเทียมกัน


"สิ่งสำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้ในการป้องกัน HIV ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาคือ #เราไม่มียาวิเศษที่จะแก้ปัญหานี้ แต่หากเราใช้มาตรการที่ได้ผลทุกอย่างร่วมกัน ก็จะได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน อาทิ การให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับเอดส์ และการหาทางให้คนที่ติดเชื้อ HIV เข้ารับการบำบัดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะช่วยลดความรู้สึกว่าถูกสังคมรังเกียจลง".

 

Thanong Fanclub


008สิ้นท่าอีกราย


สายลับ 008ของแคนาดาที่ถูกจีนจับตัวคือนายMichael Spavor ผู้ทำงานให้บริษัท Peaktu Cultural Exchange ที่เคยนำทักท่องเที่ยว และทีมฮ็อกกี้ไปเกาหลีเหนือ


จากภาพถ่าย 008อยู่ขวาสุดในรูปที่ถ่ายกับคิม จองอัน ผู้นำของเกาหลีเหนือ


Canadian businessman Michael Spavor, as well as former Canadian diplomat Michael Kovrig, who works for the International Crisis Group, were detained this week.

China's foreign ministry said on 10 December that two Canadian nationals detained in China are suspected of engaging in activities that endanger national security, and that both cases are under investigation.

https://sputniknews.com/asia/201812...er_notification&utm_campaign=sputnik_inter_en

 

สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


รัฐสภาฟิลิปินส์อนุมัติให้ต่อ"กฏอัยการศึก"บนเกาะมินดาเนาทางใต้ของประเทศฟิลิปินส์ปี2562/แต่มีชาวฟิลิปินส์ไม่น้อยสละเสรีภาพเพื่อแลกกับเสถียรภาพและความเรียบร้อย/เกาะมินดาเนาประกาศใช้กฏอัยการศึกในพื้นที่มาตั้งแต่เดือนพ.ค.2560เพื่อปราบปรามและควบคุมเหตุการณ์รุนแรงจากกลุ่มแข็งข้อต่อต้านชาวมุสลิมซึ่งยืดเยื้อมานานหลายปี และป้องกันการก่อเหตุก่อการร้าย ซึ่งเรื่องนี้ได้รับความสนับสนุนเป็นอย่างมากจากประชาชนส่วนใหญ่บนเกาะมินดาเนา...

 

สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


ทรัมป์อาจแทรกแซงคดี: ของผู้บริหารหัวเว่ย หากช่วยให้การเจรจาการค้ากับจีนคืบหน้า/

-------------------

นี่มันต้องแบบนี้!คือสหรัฐของจริง แต่ถ้าทำแบบตรงไปตรงมาตามมาตรฐานอันนั้นสหรัฐของปลอม/ขอแต่ตัวเองได้ประโยชน์จะกลับขาวเป็นดำก็ยังได้ใครจะทำไมเพราะข้าคือกฏหมายของโลก/สรุปเรื่องนี้กลายเป็นคดีต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง หาใช่ทำผิดกฏหมายจริงๆ/แต่ดูๆแล้วคนที่จะซวยที่เอามือไปซุกหีบน่าจะเป็นแคนาดา ระวังให้ดีคบกับเสือร้ายอย่างสหรัฐคงไม่เลี้ยงเหยื่อไว้ดูเล่นหรอก วันไหนหิวขึ้นมาก็ถูกขย้ำไม่เหลืออย่าเชื่อใจมากไป/

 

China Xinhua News


จำเป็นก็พร้อมทำ! อิสราเอลลั่นจะโจมตีอิหร่าน เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง

.

วานนี้ (12 ธ.ค.) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ออกมากล่าวตอบสื่อมวลชนต่างชาติ ซึ่งตั้งคำถามถึง “เส้นแดง” (red line) ของเขาว่าหมายถึงการโจมตีดินแดนอิหร่านโดยตรงมากกว่าตัวแทนในซีเรียและเลบานอนหรือไม่

.

“อิสราเอลอาจเตรียมการโจมตีอิหร่าน หากความอยู่รอดของรัฐยิวตกอยู่ใต้ความเสี่ยง ... เราจะทำสิ่งที่จำเป็นต่อการปกป้องประเทศ เพราะอิหร่านเรียกร้องการทำลายล้างรัฐยิวอย่างโจ่งแจ้ง ... เราจะทำทุกอย่างเพื่อป้องกันตัวเอง”

.

เนทันยาฮูผู้มองอิหร่านเป็นภัยคุกคามอันดับหนึ่งกล่าวว่าอิสราเอลเป็นประเทศเดียวที่ “สู้รบกับอิหร่าน” โดยตรง ขณะปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในประเทศเพื่อนบ้านอย่างซีเรีย ซึ่งอิหร่านสันบสนุนกองกำลังของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด

.

“พฤติกรรมกร้าวร้าวของอิหร่านสวนทางกับอิสราเอลที่ต่อสู้กับขบวนการอิสลามหัวรุนแรง ส่งผลให้กลุ่มรัฐอาหรับที่ครั้งหนึ่งเคยบาดหมางกันกลับมาใกล้ชิดกับอิสราเอล เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าเราไม่ใช่ศัตรูแต่เป็นหุ้นส่วนที่ขาดไม่ได้”

.

เนทันยาฮูกล่าวว่าอิสราเอลสร้างสายสัมพันธ์ใหม่กับโลกอาหรับ โดยเมื่อไม่นานนี้ได้ขยับขยายความสัมพันธ์ระดับภูมิภาค จากเดิมที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศอาหรับเพียงสองแห่งคืออียิปต์และจอร์แดนเท่านั้น

.

รายงานระบุว่ากรณีอิสราเอลมุ่งกระชับความสัมพันธ์กับ “ซาอุดิอาระเบีย” ซึ่งถือเป็นขาใหญ่ของภูมิภาคและคู่ปรปักษ์ของอิหร่าน อาจกลายเป็นการเดินหมากครั้งสำคัญของอิสราเอล

.

เนทันยาฮูเสริมว่าต้องมีการตอบโต้ทางการทูตอย่างสมดุล สำหรับกรณีสังหารนายจามาล คาช็อกกี นักข่าวซาอุฯ ภายในสถานกงสุลอิสราเอลในนครอิสตันบูลของตุรกี เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งจุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ร้อนแรงไปทั่วโลก

.

“ทุกประเทศโดยเฉพาะประเทศที่มีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับซาอุดิอาระเบีย ต้องพิจารณาใคร่ครวญวิธีการตอบโต้ คำนึงถึงความสำคัญและบทบาทของซาอุฯ ในตะวันออกกลาง เพราะหากซาอุฯ สั่นคลอน โลกก็คงสั่นคลอนตามไปด้วย”

 

ฐานเศรษฐกิจ


'เชฟรอน' ผิดหวังแพ้ประมูลเอราวัณและบงกช #ฐานเศรษฐกิจ






'เชฟรอนผิด' หวังแพ้ประมูลเอราวัณและบงกช ลั่น! เคารพการตัดสินใจของภาครัฐและจะยังคงมุ่งมั่นในภารกิจจัดหาพลังงานอย่างปลอดภัย


นายไพโรจน์ กวียานันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอน ไทยแลนด์ โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า เชฟรอนรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมากที่ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดำเนินการของแหล่งเอราวัณและบงกชในการประมูลครั้งนี้


โดยเชฟรอนได้ยื่นข้อเสนอที่มีแผนการดำเนินงานและการลงทุนอย่างเหมาะสมในทางปฏิบัติ สามารถนำทรัพยากรปิโตรเลียมขึ้นมาใช้ได้มากที่สุด ด้วยประสบการณ์และองค์ความรู้ในการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในอ่าวไทยมาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ เคารพการตัดสินใจของภาครัฐและจะยังคงมุ่งมั่นในภารกิจจัดหาพลังงานอย่างปลอดภัยและเชื่อถือได้ให้กับราชอาณาจักรไทยต่อไป

"ผมเชื่อมั่นว่า บุคลากรชาวไทยที่เปี่ยมด้วยความสามารถของเชฟรอน มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนความมั่นคงทางพลังงานของราชอาณาจักรไทยมามากกว่าครึ่งศตวรรษ นับเป็นความสำเร็จที่น่าภูมิใจยิ่ง"


ทั้งนี้ การเปิดประมูลแหล่งปิโตรเลียมของแหล่งเอราวัณและบงกชที่จะหมดอายุในปี 2565-2566 ที่คณะอนุกรรมการพิจารณาการให้สิทธิสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ก่อนหน้านี้ได้ดำเนินการเปิดซองพิจารณาข้อเสนอทั้ง 4 ซอง ของผู้ร่วมเข้าประมูลทั้ง 4 ราย ประกอบด้วย แปลง G1/61 (แหล่งเอราวัณ) จำนวน 2 ราย ได้แก่ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท เอ็มพี จี 2 (ประเทศไทย) จำกัด ในเครือมูบาดาลา และบริษัท เชฟรอน ไทยแลนด์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท มิตซุย ออยล์ เอ็กซ์ โปลเรชั่น คัมปานี ลิมิเต็ด

ขณะที่ แปลง G2/61 (แหล่งบงกช) ได้แก่ บริษัท ปตท.สผ. เอนเนอร์ยี่ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท เชฟรอน ไทยแลนด์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ร่วมกับ บริษัท มิตซุยออยล์ เอ็กซโปลเรชั่น คัมปานี ลิมิเต็ด

 

ฐานเศรษฐกิจ


ทีวีสะเทือน! Facebook ปล่อยเกมโชว์แนวอินเตอร์แอคทีฟ "Confetti" ในไทย #ฐานเศรษฐกิจ

 

ฐานเศรษฐกิจ


ปตท.สผ. ดัมพ์ราคาก๊าซ 116 บาท/ล้านบีทียู ชนะ 'เชฟรอน' ทั้งแหล่งเอราวัณ-บงกช #ฐานเศรษฐกิจ

 

เตือนภัย พิบัติโลก


13/12/2561 coronal hole หรือลมสุริยะความเร็วสูงบนดวงอาทิตย์ คาดว่าจะมาถึงโลกและเข้าปะทะสนามแม่เหล็กโลกประมาณวันที่ 16 ธค. นี้

ส่งผลต่อสนามแม่เหล็กโลกได้

ผลกระทบต่อโลก อาจรบกวนระบบสื่อสารผ่านดาวเทียมได้

(หมายเหตุ ถ้าเกิดรุนแรงและเกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่องกันอาจทำให้เกิดการเหนี่ยวนำไฟฟ้าขึ้นบนท่อส่งน้ำมันหรือสายไฟฟ้าแรงสูงได้ ทำให้หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดและระบบส่งจ่ายไฟฟ้าขัดข้องได้ผลกระทบมากจะอยู่บริเวณใกล้ขั้วโลก)

ผลกระทบทางชีวภาพ ผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่องบิน บินสูง ที่ละติจูดสูง นักบินอาวกาศ ผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่บนสถานนีอวกาศ มีความเสี่ยงรังสีสูง.และเกิดแสงออโรร่าบริเวณขั้วโลกเหนือ-ใต้

 

Nemsis - نمسيس


ซีแอตเติลเกิดพระอาทิตย์ตกที่แปลกประหลาด 2 ดวง

 

Sayan Rujiramora


Sovereign Man

Steve Jobs and the secret to investing in public markets

Simon Black. Dec 12, 2018


เมื่อหนึ่งในนักธุรกิจที่ฉลาดที่สุดในยุคของเราตัดสินใจไม่ทำอะไรเลย


เมื่อปี 1997 หลังจากที่ถูกเตะออกจากบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือ ..Steve Jobs ก็ได้กลับมาเป็นผู้ดูแลสูงสุดอีกครั้งให้กับ Apple


แต่ตอนนั้น Apple มีส่วนแบ่งตลาดพีซีแค่ 4% เท่านั้น ..ตลาดเองก็มอง Apple ว่าคงเกาะกินอยู่กับตลาด niche (ตลาดเฉพาะกลุ่ม..ผู้แปล) ย่อยๆกับสาวกเดิมๆของตนเท่านั้น (ในขณะที่ส่วนใหญ่อยู่กับ Windows และ Intel หรือ Wintel ที่เรียกกันตอนนั้น)


ศาสตราจารย์ทางธุรกิจ Richard Rumelt ได้คุยกับ Jobs ในซัมเมอร์ ปี 1998 ไว้ว่า


"สตีฟ...เรารู้กันดีว่าในธุรกิจพีซีตอนนี้ ไม่เหมาะเลยที่ Apple จะก้าวออกไปพ้นจาก niche เล็กๆที่เรามีอยู่ ..กระแสเครือข่ายมันแรงมากที่จะไปต่อสู้กับมาตรฐาน Wintel ..แล้วแบบนี้คุณจะทำอย่างไรต่อไปในระยะยาวล่ะ ยุทธศาสตร์ของคุณคืออะไร"


คำตอบของเขาไม่น่าเชื่อ แต่ฟังง่ายๆ "ผมไม่ทำอะไร แต่กำลังรอให้เกิดเรื่องใหญ่"


Jobs รู้ว่าไม่มีอะไรที่ต้องเร่งรีบทำในตอนนั้น


ภาพลวงตาในยุคนี้ที่ยอดฮิตอย่างหนึ่งก็คือ ..ต้องใช้คำสอนที่ยึดติดกับตำราใน business school ที่มีอยู่มากมาย ..มีประโยคสวยหรูอยู่มาก เช่น "sticking to core competencies" ..หรือ "improving margins through synergies"....bla bla bla.....อย่าพยายามไปผูกติดกับมันมากนักเลย


Steve Jobs แค่คอย จนกระทั่งเขาเห็นโอกาสที่เป็น BIG opportunity


ในยุคปลายของปี 90s ตลาดพีซีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ..Jobs รู้ดีว่าอะไรคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลจีที่เหมาะสมที่จะลงทุน ...เขาเคยทำมันสำเร็จมาแล้วกับ Apple II, Macintosh และ Pixar


หลังจากที่รออยู่ 2 ปี เขาก็ส่ง iPod เข้าสู่ตลาดซึ่งเข้ามาปฏิวัติวงการอุตสาหกรรมเพลง...ตามมาด้วย iPhone ...หลังจากนั้นก็เป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่


หลังจากยุทธการรออยู่เฉยๆของเขา ..เขาดันให้ Apple กลายมาเป็นบริษัทแรกที่เข้าเทรดในตลาดแล้วสร้างมูลค่าได้เกิน $1 ล้านล้าน


ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะจะชี้ให้เห็นถึง การไม่ทำอะไรเลย บางครั้งก็เป็นยุทธศาสตร์ที่ดีที่สุดทั้งในธุรกิจและการลงทุน


Warren Buffett นักลงทุนใหญ่ ก็เป็นผู้ใช้แนวทางนี้ในการลงทุน


ถ้าคุณยังไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก ก็ไม่เห็นจะต้องร้อนรนที่จะลงทุนเลย อยู่นิ่งๆบ้างก็น่าจะดีนะ


ทุกวันนี้แทบทุกตลาดน่าจะเรียกได้ว่า crazy ..ราคาทรัพย์สินเกือบทุกอย่างอยู่ที่ all-time-high ..(ไม่ว่าจะวัดจาก CAPE ratio หรือมูลค่า market cap ต่อ GDP)


ถ้าไม่มีลูกแก้ววิเศษบอกอนาคตแล้วล่ะก็...นั่งเฉยๆที่ขอบสนามน่าจะดีกว่า


มีผลการศึกษาที่น่าสนใจในวารสารของมหาวิทยาลัย Arizona State University โดย professor Hendrik Bessembinder


Bessembinder ศึกษาผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นในรอบ 92 ปีที่ผ่านมา ..มันมี ups and downs เต็มไปหมด


เขาดูว่าถ้าซื้อหุ้นเหล่านั้นแล้วถือไว้ยาวแบบ Value Investor (VI) ..ผลจะดีกว่าการถือตั๋วเงินระยะสั้น 30 วันยังไงบ้าง ...ผลออกมา shocking


เขาพบว่ามีแค่ 4% ของหุ้นทั้งหมดเท่านั้นที่ทำกำไรให้ได้ 100% ทั้งตลาด


อีก 96% ให้ผลพอๆกับการถือตั๋วเงิน 30 วัน (one-month Treasury bills)


ตลอด 92 ปีมานี้ ถ้าคุณถือตั๋วเงินระยะสั้นไว้ ก็ได้ผลตอบแทนพอๆกับที่ไปถือหุ้น 96% ในตลาด


สำหรับผมแล้ว T-bills ถือเป็นทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องมากที่สุดและผันผวนน้อยที่สุดในโลก ..มันเป็นเสมือนเงินสดเลย


ผมบอกไม่ได้ว่ารัฐบาลจะชักดาบพันธบัตรหรือไม่ ...แต่ทรัมพ์คงไม่ทำให้ประเทศนี้เจ๊งในอีก 30 วันข้างหน้าแน่นอน


แล้วระหว่างที่คุณอยู่เฉยๆ ยังไม่ลงทุนอะไรอื่นตอนนี้ ..ก็รับดอกเบี้ย 2.25% จาก T-bills ไปก่อนก็เมคเซนส์ดีนะ

 

เตือนภัย พิบัติโลก

ประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา

"ฝนตกหนัก คลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้ "

ฉบับที่ 2 ลงวันที่ 13 ธันวาคม 2561

1. ฝนตกหนักและคลื่นลมแรงบริเวณภาคใต้

มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้มีกำลังแรงขึ้น ลักษณะเช่นนี้ทำให้มีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัด


สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสม ที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้


ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันมีกำลังแรง โดยบริเวณอ่าวไทยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร สำหรับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่งไว้ด้วย ส่วนชาวเรือควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังและเรือเล็กบริเวณอ่าวไทยงดออกจากฝั่งจนถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2561


2. อากาศหนาวเย็นบริเวณประเทศไทยตอนบน


ในช่วงวันที่ 13-17 ธันวาคม 2561 บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นลงโดยทั่วไปกับมีลมแรง อุณหภูมิจะลดลง 2-4 องศาเซลเซียสในภาคเหนือ ส่วนบริเวณเทือกเขาสูงในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด อุณหภูมิต่ำสุด 5-11 องศาเซลเซียส สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล อุณหภูมิจะลดลงได้ 1-3 องศาเซลเซียส จึงขอให้ประชาชนดูแลสุขภาพเนื่องจากอากาศที่หนาวเย็นลงไว้ด้วย


ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงกำลังแรงจากประเทศจีนแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวมีอากาศหนาวเย็นลงกับมีลมแรง และอุณหภูมิจะลดลง


จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยา และติดตามข้อมูลที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา http://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


ประกาศ ณ วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เวลา 17.00 น.

 

เจนจิรา จันทรเสนา


"ดีเอสไอ" บุกค้นเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ และเว็บพนันออนไลน์ 19 จุด


ระบุว่า แม่ข่ายปล่อยสัญญาณ-เช่าเซิร์ฟเวอร์ มีสมาชิก 25 ล้านคน มูลค่าความเสียหายกว่า 4,000 ล้านบาท พบกลุ่มนักธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่จบปริญญาโทวิศวะฯคอมพิวเตอร์ รวมกลุ่มทำผิดกฎหมาย ทำรายได้มากกว่า 300 ล้านบาทภายในระยะเวลา 3 ปี

 

Economy by Than


ผลผลิตกุ้งวูบ สะเทือนห้องเย็นปิดตัว 40 โรง #ฐานเศรษฐกิจ





ผลผลิตลด-ส่งออกกุ้งวูบ กระทบห้องเย็นปิดตัว เหลือแค่ 20 ราย สมาคมกุ้งไทยคาดปีนี้ผลผลิตได้แค่ 2.9 แสนตัน ส่งออกได้ 5.5 หมื่นล้าน ลุ้นปีหน้าผลผลิตกุ้งอินเดียวูบ ดันราคากุ้งขยับ เกษตรกรเลี้ยงเพิ่ม เป้า 3.2 แสนตัน ส่งออก 6 หมื่นล้าน


นายสมศักดิ์ ปณีตัธยาศัย นายกสมาคมกุ้งไทย เผยว่า จากในรอบปี 2561 ได้เกิดวิกฤติราคากุ้งตกต่ำในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน รวมถึงยังมีโรคระบาด เช่นโรคตายด่วน ตัวแดงดวงขาว หัวเหลือง ส่งผลให้เกษตรกรเลี้ยงกุ้งลดลง คาดในปีนี้ประเทศไทยจะมีผลผลิตกุ้งรวมที่ 2.9 แสนตัน(จากปี 2560 มีผลผลิต 3 แสนตัน) ส่งผลกระทบถึงโรงงานแปรรูป(ห้องเย็น)ขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตส่งออก ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีโรงงานแปรรูปที่ยังเปิดดำเนินกิจการอยู่กว่า 60 โรง เวลานี้คาดยังเปิดดำเนินการอยู่ประมาณ 20 โรง


“จากผลผลิตกุ้งที่ขาดแคลนช่วงต้นปี ทางสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยได้ขออนุญาตนำเข้ากุ้งจากอินเดีย 5 หมื่นตัน แต่ก็มีความยืดเยื้อและความยุ่งยากเรื่องเอกสาร ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถนำเข้ามาได้ เพราะช่วงหนึ่งราคากุ้งตกต่ำมาก หากนำเข้ามาก็จะกระทบกับราคากุ้งของเกษตรกรในประเทศ”


อย่างไรก็ดีจากผลผลิตกุ้งของไทย ปี 2561 ที่คาดจะอยู่ที่ประมาณ 2.9 แสนตัน หรือลดลง 3 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในจำนวนนี้คาดจะแปรรูปส่งออกเป็นกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง และแปรรูปได้ประมาณ 1.8 แสนตัน คิดเป็นมูลค่า 5-5.5 หมื่นล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ส่งออกได้ 2.04 แสนตัน มูลค่า 6.8 หมื่นล้านบาท โดยการส่งออกตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2561 มีปริมาณ 1.43 แสนตัน ลดลง 14.5 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านมูลค่า 4.55 หมื่นล้านบาท ลดลง 18.8 %


ด้านสถานการณ์ผลผลิตกุ้งทั่วโลกปีนี้ คาดจะอยูที่ประมาณ 3.2 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยประเทศที่มีผลผลิตกุ้งเพิ่มขึ้นในปีนี้ อาทิ เวียดนาม คาดมีผลผลิต 4.10 แสนตัน เพิ่มขึ้น 16% , อเมริกากลางและใต้(แหล่งผลิตใหญ่อยู่ที่เอกวาดอร์) คาดผลิตได้ 8.70 แสนตัน เพิ่มขึ้น 7 %, อินโดนีเซีย 2.75 แสนตันเพิ่มขึ้น 6 % ขณะที่อินเดียผู้ผลิตกุ้งอันดับ 1 ของโลกในปีที่ผ่านมา (6 แสนตัน) คาดปีนี้มีผลิต 5.60 แสนตัน ลดลง 7 % จากมีปัญหาโรคระบาด


สำหรับในปี 2562 คาดไทยจะมีผลผลิตกุ้งประมาณ 3.1-3.2 แสนตัน ในจำนวนนี้จะแปรรูปส่งออกได้ประมาณ 2 แสนตัน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยผลผลิตที่จะเพิ่มขึ้นเป็นผลจากเกษตรกรไทยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงกุ้งให้มีคุณภาพ และมีอัตรารอดมากขึ้น ผลิตกุ้งได้ไซซ์ใหญ่เป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ(สัดส่วนผลผลิตกุ้งไทยส่งออก 90%)


“ปี 2562 การส่งออกกุ้งจะดีหรือไม่ดีขึ้นกับ 1.ความต้องการกุ้งของต่างประเทศซึ่งต้องดูเศรษฐกิจของตลาดหลักที่นำเข้ากุ้งว่าจะเป็นอย่างไรทั้งสหรัฐฯ จีน ยุโรป ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย 2.ต้องดูประเทศคู่แข่งว่าจะยังผลิตกุ้งได้ดีหรือไม่ อย่างอินเดียที่เคยผลิตกุ้งได้เยอะมาก แต่เขาก็ส่อแววมีปัญหาเรื่องโรคระบาด ผลผลิตอาจลดลงและช่วยดันราคากุ้งให้ขยับขึ้นได้”


ทั้งนี้ปัจจุบันราคากุ้งไทยยังอยู่ในระดับทรงตัว โดยขนาด 100 ตัวต่อกิโลกรัม เฉลี่ยที่ 110-120 บาท โดยตลาดส่งออกหลักของไทย 5 อันดับแรก ช่วง 10 เดือนแรกปี 2561 ได้แก่ สหรัฐฯ 4.07 หมื่นตัน, ญี่ปุ่น 3.43 หมื่นตัน, จีน 1.4 หมื่นตัน,ออสเตรเลีย 6,390 ตัน และอียู 5,546 ตัน โดยตลาดจีนเป็นตลาดที่มาแรงและน่าจับตา ซึ่งหากสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนไม่รุนแรง เศรษฐกิจจีนขยายตัวมากกว่า 5 % คาดว่าจะส่งผลให้ไทยส่งออกกุ้งได้มากขึ้นในปีหน้า แต่หากสงครามการค้ายืดเยื้อ และกระทบเศรษฐกิจจีนขยายตัวลดลง และนักท่องเที่ยวจีนซึ่งนิยมเข้ามากินกุ้งไทย มาเที่ยวไทยลดลงจะกระทบกับอุตสาหกรรมกุ้งไทยตามไปด้วย


ส่วนกรณีอังกฤษจะถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู) หรือเบร็กซิท มองจะเป็นผลดีต่อการส่งออกกุ้งของไทย เพราะสามารถเจรจาได้ง่ายกว่าการเจรจากับอียูที่มีกว่า 20 ประเทศ จากปัจจุบันที่ไทยถูกอียูตัดสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร(จีเอสพี) ทำให้การส่งออกกุ้งไปอียูเหลือเพียงระดับ 6,000 ตันเท่านั้นจากเดิมที่ไทยเคยส่งออกได้ถึง 1.5 แสนตัน

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Dec 13) ECB มีมติคงดบ.วันนี้ ส่งสัญญาณตรึงยาวถึงกลางปีหน้า ขณะปิดฉาก QE สิ้นเดือนนี้: ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

ECB ระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนในปีหน้า
นอกจากนี้ ECB ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นเดือนนี้ หลังจากที่ได้เข้าซื้อพันธบัตรในวงเงิน 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือนก่อนหน้านี้

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

- ECB announces the end of crisis-era stimulus, switches to reinvestments
https://www.cnbc.com/2018/12/13/ecb...imulus-set-to-end-despite-growth-worries.html

- Euro slips as ECB's Draghi lowers growth forecast for Europe: https://www.cnbc.com/2018/12/13/euro-slips-as-ecbs-draghi-lowers-growth-forecast-for-europe.html

**************
ดรากีหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซนปีนี้,ปีหน้า ชี้มีความเสี่ยงช่วงขาลง

นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.9% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.0%

นอกจากนี้ นายดรากียังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของยูโรโซนในปีหน้า สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8%
นายดรากีระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงในช่วงขาลง โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์, ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า, ความเปราะบางในตลาดเกิดใหม่ และความผันผวนในตลาดการเงิน

ขณะเดียวกัน นายดรากีได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 1.8% จากการดีดตัวขึ้นของค่าจ้าง ขณะที่ตลาดแรงงานอยู่ในภาวะตึงตัว

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Dec 13) ECB มีมติคงดบ.วันนี้ ส่งสัญญาณตรึงยาวถึงกลางปีหน้า ขณะปิดฉาก QE สิ้นเดือนนี้: ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จัดการประชุมนโยบายการเงินในวันนี้ โดยที่ประชุมมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.40% ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%

ECB ระบุว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยต่อไป อย่างน้อยจนถึงช่วงฤดูร้อนในปีหน้า
นอกจากนี้ ECB ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นเดือนนี้ หลังจากที่ได้เข้าซื้อพันธบัตรในวงเงิน 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือนก่อนหน้านี้

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

- ECB announces the end of crisis-era stimulus, switches to reinvestments
https://www.cnbc.com/2018/12/13/ecb...imulus-set-to-end-despite-growth-worries.html

- Euro slips as ECB's Draghi lowers growth forecast for Europe: https://www.cnbc.com/2018/12/13/euro-slips-as-ecbs-draghi-lowers-growth-forecast-for-europe.html

**************
ดรากีหั่นคาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซนปีนี้,ปีหน้า ชี้มีความเสี่ยงช่วงขาลง

นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.9% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.0%

นอกจากนี้ นายดรากียังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของยูโรโซนในปีหน้า สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8%
นายดรากีระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงในช่วงขาลง โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์, ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า, ความเปราะบางในตลาดเกิดใหม่ และความผันผวนในตลาดการเงิน

ขณะเดียวกัน นายดรากีได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 1.8% จากการดีดตัวขึ้นของค่าจ้าง ขณะที่ตลาดแรงงานอยู่ในภาวะตึงตัว

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

https://www.cnbc.com/2018/12/13/ecb...imulus-set-to-end-despite-growth-worries.html

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Dec 13) ญี่ปุ่นเตรียมใช้ระเบียบควบคุมบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด: ญี่ปุ่นกำลังวางแผนที่จะใช้ระเบียบที่เข้มงวดในการควบคุมบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลก อย่างเช่น กูเกิ้ล และเฟสบุค หลังจากที่คณะผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นให้มีการควบคุมในเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจและความเป็นส่วนตัวให้ดียิ่งขึ้น

รัฐบาลญี่ปุ่นเผยแพร่รายงาน ซึ่งอ้างอิงข้อมูลความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ระบุว่า ควรจะมีระเบียบใหม่ในการควบคุมบริษัทเหล่านี้ในปีหน้า ท่าทีของญี่ปุ่นดังกล่าวเป็นการดำเนินรอยตามประเทศอื่น ๆ ในการตรวจสอบบริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศชั้นนำอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึง 4 บริษัทยักษ์ใหญ่ได้แก่ กูเกิ้ล แอปเปิล เฟสบุค และแอมาซอน ที่มีบทบาทและอิทธิพลครอบงำไปทั่วโลก รายงานของรัฐบาลระบุว่า แม้ว่าบริษัทเหล่านี้จะนำผลประโยชน์มาให้ แต่มีแนวโน้มว่าจะดำเนินกิจการในลักษณะของการผูกขาดในตลาด นอกจากนั้น ยังเรียกร้องให้มีการปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคให้ดีกว่าเดิม และให้มีความเป็นธรรมและโปร่งใสเกี่ยวกับเทคโลยีที่ใช้ในการควบคุมการเข้าถึงตลาด ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กระทรวงการค้าของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลจะประกาศหลักการของระเบียบใหม่ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า

Source: สำนักข่าวไทย

- Japan considers tighter antitrust rules on US tech giants: https://asia.nikkei.com/Economy/Japan-considers-tighter-antitrust-rules-on-US-tech-giants