ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Hellena George

    จงมีความสุขมาก คุณสมควรแล้ว ❤️
    สวัสดียามเย็นจากบูท sharki / ดามัส.... สุขสันต์วันคริสต์มาส ❤️
    จากอีสต์ / ดามส์สุขสันต์วันคริสต์มาส
     
  2. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โปรดทราบ !! เนื่องด้วยมีฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช รถไฟบางขบวนไม่สามารถเดินรถได้
    17 ธันวาคม 2561 | 344


    โปรดทราบ !! เนื่องด้วยมีฝนตกหนักในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงส่งผลให้มีน้ำเข้าท่วมทางรถไฟระหว่างสถานีโคกคราม – นครศรีธรรมราช ทำให้ขบวนรถไม่สามารถวิ่งผ่านได้ การรถไฟฯจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการเดินขบวนรถโดยสารสายนครศรีธรรมราช ดังนี้.-

    วันที่ 16 ธันวาคม 2561

    - ขบวนรถเร็วที่ 173 กรุงเทพ – นครศรีธรรมราช เดินถึงปลายทางสถานีชุมทางทุ่งสง ขนถ่ายผู้โดยสารต่อทางรถยนต์ไปปลายทาง ช่วงชุมทางทุ่งสง – นครศรีธรรมราช งดเดิน

    - ขบวนรถด่วนที่ 85 กรุงเทพ – นครศรีธรรมราช เดินถึงปลายทางสถานีชุมทางทุ่งสง ขนถ่ายผู้โดยสารต่อทางรถยนต์ไปปลายทาง ช่วงชุมทางทุ่งสง – นครศรีธรรมราช งดเดิน

    - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 452 สุไหงโกลก – นครศรีธรรมราช ช่วงชุมทางเขาชุมทอง – นครศรีธรรมราช งดเดิน



    วันที่ 17 ธันวาคม 2561

    - ขบวนรถเร็วที่ 174 นครศรีธรรมราช – กรุงเทพ

    ขบวนรถออกต้นทางที่สถานีชุมทางทุ่งสง ช่วงนครศรีธรรมราช – ชุมทางทุ่งสง งดเดิน

    - ขบวนรถด่วนที่ 86 นครศรีธรรมราช – กรุงเทพ ขบวนรถออกต้นทางที่สถานีชุมทางทุ่งสง ช่วงนครศรีธรรมราช – ชุมทางทุ่งสง งดเดิน

    - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 451 นครศรีธรรมราช – สุไหงโกลก ออกต้นทางสถานีชุมทางเขาชุมทอง ช่วงสถานีนครศรีธรรมราช – ชุมทางเขาชุมทอง งดเดิน

    - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 456 ยะลา - นครศรีธรรมราช เดินรถถึงสถานีพัทลุง ช่วงพัทลุง - นครศรีธรรมราช งดเดิน

    - ขบวนรถท้องถิ่นที่ 455 นครศรีธรรมราช - ยะลา ออกต้นทางสถานีพัทลุง ช่วงนครศรีธรรมราช - พัทลุง งดเดิน



    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน 1690 ตลอด 24 ชม. การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้


    https://www.hatyaifocus.com/ข่าว/75...BhAAPMHoynorn5-Wr2znSYxmQspH_hrLf94aYuk4TeWt0
     
  3. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เกิดเหตุยิงทหารไซออนิสต์เสียชีวิตหลายนาย ใกล้เมืองรอมัลเลาะห์ เขตเวสต์แบงก์
    Published: Thursday, 13 December 2018 22:20 |


    สื่อไซออนิสต์รายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติการใกล้เมืองรอมัลเลาะห์ ในเขตเวสต์แบงก์และการถูกฆ่าตายและบาดเจ็บของชาวไซออนิสต์หลายนาย

    ตามรายงานของสำนักข่าวฟาร์ส โทรทัศน์ไซออนิสต์ได้รายงานว่า มีเหตุยิงกันใกล้เมืองรอมัลเลาะห์ในเขตเวสต์แบงก์ ทำให้มีทหารไซออนิสต์บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายนาย

    ตามรายงานของสำนักข่าว "ชะฮาบ" โดยอ้างแหล่งข่าวจากวิทยุของไซออนิสต์รายงานว่า ในเหตุการณ์การปะทะกันครั้งนี้ทหารไซออนิสต์อย่างน้อยสามนายถูกสังหาร และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกหนึ่งรายซึ่งอยู่ในอาการโคม่า

    โทรทัศน์อัล-มะยาดีนรายงานว่า มีชายติดอาวุธคนหนึ่งลงมาจากรถยนต์ของเขา ในพื้นที่ดังกล่าวและได้กราดยิงใส่ทหารและประชาชนผู้ตั้งถิ่นฐานชาวไซออนิสต์

    เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ Maariv ได้เขียนว่า : "เราสามารถกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ในวันนี้เป็นหนึ่งในปฏิบัติการที่อันตรายที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา"

    นาง "Tzipi Livni" รัฐมนตรีต่างประเทศของไซออนิสต์ประกาศว่า ความตึงเครียดอย่างหนักในเขตเวสต์แบงก์นั้นจำเป็นต้องหยุดให้ได้และหน่วยความมั่นคงของอิสราเอลควรจะต้องทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง

    โทรทัศน์ไซออนิสต์ประกาศว่า ผู้ปฏิบัติการสามารถหลบหนีไปได้ซึ่งขนะนี้ทางกองทัพอิสราเอลได้ส่งกำลังติดตามตัวผู้ก่อเหตุคนดังกล่าวไปแล้ว

    เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมาได้เกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งมีรายงานผู้ที่ได้บาดเจ็บอย่างน้อย 11 คน บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน



    ที่มา : สำนักข่าวฟาร์ส

    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม


    http://www.iicth.com/news01/muslim-news/424-shooting-near-ramallah
     
  4. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลังจากถูกโจมตี ชาวไซออนิสต์นับพันชุมนุมประท้วงต่อต้านเนทันยาฮู
    Published: Friday, 14 December 2018 10:20 |


    ในคืนวันพฤหัสบดี(13 ธันวาคม) ที่ผ่านมา กลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานชาวไซออนิสต์หลายพันคนได้รวมตัวชุมนุมหน้าบ้านของเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเพื่อประท้วงสถานการณ์ด้านความมั่นคงที่เลวร้าย….

    ตามรายงานนี้ข้อความในแผ่นป้ายหนึ่งที่ผู้ชุมนุมประท้วงถือได้เขียนว่า : "โอ้นายเนทันยาฮู! ความมั่นคงสงบสุขที่คุณสัญญาไว้แก่พวกเรานั้นอยู่ที่ไหน?"

    แหล่งข่าวไซออนิสต์รายงานเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี (13 ธันวาคม) ที่ผ่านมาว่า การปฏิบัติการต่อต้าน (มุกอวะมะฮ์) ล่าสุดในเขตเวสต์แบงก์นั้น มีทหารไซออนิสต์เสียชีวิตสามนาย

    โทรทัศน์ไซออนิสต์รายงานว่า มีคนร้ายพร้อมอาวุธได้ลงจากรถยนต์ของตนและเริ่มกราดยิงใส่ทหารไซออนิสต์และผู้ตั้งถิ่นฐาน เหตุเกิดใกล้เมืองรอมัลเลาะห์ ในเขตเวสต์แบงก์

    ในเหตุการณ์ยิงครั้งนี้ทำให้ทหารไซออนิสต์สามนายเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหนึ่งคน

    หลังจากปฏิบัติการดังกล่าว นายเบนจามิน เนทันยาฮู ได้เตือนไปยังผู้ก่อเหตุ ประกาศขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การเร่งรัดการทำลายบ้านเรือนของบรรดาผู้ปฏิบัติการนี้ เพื่ออนุมัตการสร้างบ้านสำหรับผู้ถิ่นฐานที่ไม่ได้รับอนุญาตนับพันๆ หลัง

    นายเนทันยาฮูยังได้เรียกร้องให้กองทัพและกองกำลังรักษาความมั่นคงปิดล้อมเมือง Al-Bireh และควบคุมเส้นทางในเขตเวสต์แบงก์และทำการตรวจสอบอย่างเข้มงวด

    ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาทหารอิสราเอลได้ยิงชายหนุ่มชาวปาเลสไตน์ 3 คนจนเสียชีวิต ซึ่งพวกเขาแจ้งว่าสามคนนี้คือผู้ที่ร่วมดำเนินการปฏิบัติการต่อต้านต่างๆ

    กลุ่มต่อต้านชาวปาเลสไตน์อย่างเช่นกลุ่มญิฮาดอิสลามี ของปาเลสไตน์ประกาศในเช้าวันพฤหัสบดีว่า เลือดของบรรดาชายหนุ่มชาวปาเลสไตน์จะไม่สูญเปล่า

    ด้วยเหตุนี้เองกลุ่มญิฮาดอิสลามี จึงได้แสดงความยินดีต่อปฏิบัติการที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดี (13 ธันวาคม) ที่ผ่านมา พร้อมประกาศว่าเรามั่นใจว่าศัตรูชาวไซออนิสต์จะต้องถูกบดขยี้

    ที่มา : อัล-อาลัม

    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

    http://www.iicth.com/news01/muslim-news/425-against-netanyahu
     
  5. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดามัสกัสเปลี่ยนกฏสงครามกับเทลอาวีฟ ยอมแลกสนามบินต่อสนามบิน
    Published: Saturday, 15 December 2018 22:30 |


    แหล่งข่าวของซีเรียชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนกฎของกองทัพซีเรีย เพื่อการเผชิญหน้ากับระบอบไซออนิสต์ หากถูกโจมตีแบบใดจะตอบโต้กลับแบบเดียวกัน....

    หนังสืมพิมพ์ "อัล-เราะย์" ของคูเวตได้เขียนโดยอ้างแหล่งข่าวของซีเรียว่า กองทัพซีเรียได้เปลี่ยนกฎของการสู้รบกับระบอบไซออนิสต์ โดยได้เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้การโจมตีจากระบอบไซออนิสต์ด้วยสิ่งที่เหมือนกัน

    แหล่งข่าวนี้ได้กล่าวย้ำว่า ดามัสกัสได้ตัดสินใจที่จะกระทำเช่นนี้หลังจากเห็นการแสดงปฏิกิริยาที่เด็ดขาดของรัสเซียต่อการตอบโต้การโจมตีของไซออนนิสม์ในประเทศซีเรีย จากเหตุการณ์ยิงเครื่องบินรัสเซียตก เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา

    ในช่วงเวลานั้นรัสเซียได้ถือว่าระบอบไซออนิสต์จะต้องรับผิดชอบในการโจมตีและการยิงเครื่องบินดังกล่าว ซึ่งรัสเชียได้มีการตัดสินใจขั้นเด็ดขาดในด้านต่างๆ เพื่อต่อต้านเทลอาวีฟ

    ตามรายงานนี้ ซีเรียรอคอยว่าหากมีการโจมตีใดๆ เกิดขึ้นจากรัฐบาลไซออนิสต์ ซีเรียก็จะตอบโต้ด้วยการโจมตีเป้าหมายทางทหารแบบเดียวกัน หมายความว่าหากเครื่องบินรบไซออนิสต์กำหนดเป้าไปที่สนามบินซีเรีย ซีเรียก็จะกำหนดเป้าการโจมตีไปยังสนามบินเทลอาวีฟด้วยเช่นกัน

    แหล่งข่าวดังกล่าวได้ย้ำว่า กองทัพซีเรียมี ยุโธปกรณ์ทางทหารพร้อมขีปนาวุธที่จำเป็นเพื่อการตอบโต้นี้

    ที่มา : สำนักข่าว Mehr

    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม

    http://www.iicth.com/news01/muslim-news/427-war-syria-and-israel
     
  6. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทหารซาอุฯ แตกทัพหนีตาย ในพื้นที่ทางตะวันออกของญีซาน + ภาพถ่ายและวิดีโอ
    Published: Sunday, 16 December 2018 11:51 | Written by Admin_taem |


    ผลการปฏิบัติการของกองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนในจังหวัดญีซาน ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของซาอุดิอาระเบีย ทำให้ทหารของซาอุดีอาระเบียตัดสินใจหนีจากการปะทะกัน....

    สำนักข่าวฟาร์สรายงานว่า ทีมข่าวสงครามของเยเมนได้เผยแพร่วิดีโอเกี่ยวกับปฏิบัติการของกองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนในการโจมตียังตำแหน่งที่ตั้งของทหารซาอุดิอาระเบียทางตะวันออกของจังหวัดญีซาน ในพื้นที่ภูเขา "ญะบัล อัล-ดูด"

    ญีซาน (หรือญาซาน) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของซาอุดีอาระเบียและติดกับชายแดนเยเมน ชาวเยเมนถือว่าพื้นที่สามแห่ง คือจังหวัดญีซาน, นัจญ์รอนและอะซีร เป็นดินแดนของเยเมนที่ถูกยึดและผนวกเข้ากับซาอุดีอาระเบียในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา

    ในช่วงแรกของวิดีโอได้แสดงให้เห็นถึงการกำหนดเป้าหมายของจรวด "Zelzal 1" ซึ่งจำนวนหลายลูกที่เล็งเป้าหมายไปยังตำแหน่งดังกล่าวโดยกองทัพเยเมน

    ต่อจากนั้นหน่วยปฎิบัติต่างๆ ของกองทัพและคณะกรรมการประชาชนของเยเมนได้รุกคืบเข้าไปยังตำแหน่งที่ตั้งของกองกำลังพันธมิตรอาหรับภายใต้การนำของซาอุดิอาระเบีย และเข้าสู่การปะทะกันโดยตรง ทหารซาอุดิอาระเบียได้ต้านทานกองทัพเยเมนในช่วงเวลาสั้นๆ และหลังจากนั้นก็หลบหนีออกไป

    ถึงแม้ซาอุฯ จะส่งเครื่องบินรบเข้าสนับสนุน แต่ในความพยายามนั้นได้ล้มเหลวไร้ผลในการสกัดกั้นการรุกคืบของกองทัพเยเมน ในระหว่างการปฏิบัติการครั้งนี้กองทัพเยเมนสามารถสร้างความสูญเสียแก่ชีวิตและทรัพย์สินและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างกว้างขวางต่อกลุ่มติดอาวุธในเครือของพันธมิตรซาอุดิอาระเบีย




    ซาอุดิอาระเบียก่อสงครามต่อต้านและรุกรานเยเมน ซึ่งเริ่มขึ้นในตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2557 และยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง สงครามนี้ได้เกิดขึ้นโดยการสนับสนุนทางการเมืองและอาวุธ พร้อมด้วยการมีส่วนร่วมในขอบเขตจำกัดจากสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และการเข้าร่วมโดยตรงของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (และอีกบางประเทศ อย่างเช่นซูดาน) ในรูปของกลุ่มพันธมิตรอาหรับที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย จนถึงขณะนี้ได้ทำให้ชาวเยเมนเสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 50,000 คน

    ที่มา : สำนักข่าวฟาร์ส
    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม


    http://www.islamicstudiesth.com/ind...y/18-news_articles/1581-saudi-war-yemen-jizan
     
  7. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กองทัพอากาศอิรักประสบความสำเร็จ สังหารที่ปรึกษา อัล-บักดาดี เสียชีวิต16 คน
    Published: Monday, 17 December 2018 02:48 | Written by Admin_taem |


    แหล่งข่าวของอิรักได้รายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติการที่ประสบความสำเร็จของกองทัพอากาศของประเทศอิรักต่อการรวมตัวของบรรดานำไอซิสในประเทศซีเรียซึ่งส่งผลให้บรรดาที่ปรึกษาของอบูบักร์ อัล-บักดาดีหลายคนเสียชีวิต....

    ตามรายงานของสำนักข่าว Mehr โดยอ้างจาก "อัล-นะห์ร็อยน์" ว่า อบูอะลี อัล-บัศรี หัวหน้าสำนักงานหน่วยข่าวกรองและการต่อสู้กับการก่อการร้ายของอิรักประกาศว่า : ในระหว่างการโจมตีทางอากาศของเครื่องบินรบอิรักยังสถานที่รวมตัวของบรรดาแกนนำกลุ่มไอซิสในพื้นที่ซูซะฮ์ของซีเรีย สามารถสังหารบรรดาที่ปรึกษาของอบูบักร์ อัล-บักดาดี 16 คน พร้อมด้วยกลุ่มมือระเบิดฆ่าตัวซึ่งได้เตรียมพร้อมสำหรับการปฏิบัติการก่อการร้ายในกรุงแบกแดด คอร์คุก ซามารา (ซะมัรรออ์)และคาร์บาลา (กัรบาลา) จำนวน 13 คนรวมอยู่ด้วย

    เขากล่าวเสริมว่า : ผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เตรียมพร้อมที่จะเดินทางเข้าสู่อิรักผ่านทะเลทรายโดยความร่วมมือของผู้นำในเขตพื้นที่ทะเลทรายซึ่งถูกสังหารเสียชีวิตในปฎิบัติการนี้ด้วย บรรดาแกนนำและสมุนของผู้ก่อการร้ายที่อยู่ในซีเรียทั้งหมดนี้มีแผนที่จะเข้าก่อเหตุในอิรัก

    อัล-บัศรได้กล่าวย้ำว่า : บุคคลที่โดดเด่นที่สุดในหมู่ผู้ที่ถูกสังหารได้แก่ "มุชตาก อินาด ฮะระมุลมุฮัมมะดี" รัฐมนตรีสงครามของไอซิส ซึ่งมีฉายานามว่า "อบูอุมัร" เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ถูกคุมขังในคุกบูกา (Camp Bucca) ที่ถูกปล่อยตัวในปี 2005 แล้วเข้าสมทบกับกลุ่มอัลกออิดะฮ์และต่อมาได้เข้าร่วมกับกลุ่มไอซิส

    ที่มา : สำนักข่าว Mehr
    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม สถาบันส่งเสริมการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับอิสลาม


    http://www.islamicstudiesth.com/ind...-news_articles/1582-iraqi-air-force-kill-isis
     
  8. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    จีนเมินเที่ยวไทย เสียหาย 51,365 ล้านบาท
    AREA แถลง ฉบับที่ 567/2561: วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม 2561

    ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
    ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
    บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส


    ที่นักท่องเที่ยวจีนหดหายไปในทุกวันนี้ก็เพราะเขาไม่พอใจไทยกรณีเรือจมที่ภูเก็ต ผมพาคณะไปดูงานอสังหาริมทรัพย์ที่พัทยาเมื่อสัปดาห์ก่อน ปรากฏว่านักท่องเที่ยวจีนหดหายไปจากโรงแรมที่เคยพักเกือบเต็ม เหลือ 20% แต่บางคนก็บอกว่านักท่องเที่ยวช่วงนี้ลดในทุกประเทศ จีนกำลัง "รัดเข็มขัด" ความจริงเป็นยังไงกันแน่ มาดูกัน

    หลายท่านยังคงจำได้ว่าคณะนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 โดยเรือ “ฟีนิกซ์ พีซีไดวิ่ง” อับปางในทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต ระหว่างเกาะเฮกับชายฝั่ง ทั้งนี้ตัวเลขผู้โดยสารเรือมรณะมี 89 ราย เสียชีวิต 47 ศพ รอดตาย 42คน (https://bit.ly/2DNg97J) จากเหตุการณ์นี้ปรากฏว่าจีนไม่พอใจมาก และนักท่องเที่ยวจีนก็ลดลงต่อเนื่องแต่นั้นมา

    ในระหว่างวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2561 ผมพาคณะนักอสังหาริมทรัพย์ไปดูงานการพัฒนาอีอีซีในภาคตะวันออกโดยเฉพาะฉะเชิงเทราและชลบุรี ได้ทราบจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทบริหารการขายอสังหาริมทรัพย์ นายหน้า ผู้จัดการโรงแรม แท็กซี่สนามบิน และอื่นๆ บอกว่า ขณะนี้พัทยากำลังอยู่ในภาวะแย่อย่างมากมาย เพราะนักท่องเที่ยวจีนแทบไม่ได้มาเลย นักท่องเที่ยวอื่นก็น้อยตามปกติอยู่แล้ว

    ในขณะนี้โรงแรมที่เปิดให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเป็นหมู่คณะพัก มีอัตราการเข้าพักเพียง 20% ลดจากเดิมประมาณ 80%-90% ทั้งนี้เพราะจีนยังคงโกรธอยู่ แพ็กเกจท่องเที่ยวไทยถูกตัดออก พวกเขาหันไปท่องเที่ยวยังประเทศอื่นแทน นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยลดลงเป็นอย่างชัดเจน ในขณะที่ประเทศอื่นโดยรอบได้อานิสงส์จากการ "เบนเข็ม" ไปจากประเทศไทยในช่วงนี้ กระทั่ง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ต้องออกไปเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวจีนกลับมาผ่านเว็บไซต์อาลีบาบา ตามข่าวเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน (https://bit.ly/2zpimmq) แสดงว่าท่านรองนายกฯ พยายามเต็มที่ หลังจากนักท่องเที่ยวจีนยังเมินประเทศไทยมา 4 เดือนแล้ว



    จากตัวเลขข้างต้นปรากฏว่านักท่องเที่ยวลดลงไปชัดเจนคือ -12% -15% และ -20% ในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม 2561 แต่ในความเป็นจริง ผู้ประกอบการในพื้นที่พัทยาและเมืองท่องเที่ยวอื่นซึ่งปกติมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ต่างโอดโอยว่าจำนวนคนเข้าพักในโรงแรมลดต่ำลงเกินกว่าครึ่งต่อครึ่งกันทั้งนั้น จากสถิติ 3 เดือน (สิงหาคม-ตุลาคม) จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง -12%-15% -20% หรือลดลงกว่าปีที่แล้ว 388,559 คน หากอนุมานเดือนพฤศจิกายน ณ อัตราเดียวกันก็เท่ากับนักท่องเที่ยวจีนหายไป 518,079 คน ในช่วงเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน 2561 อันที่จริงจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นเดือนละ 15% โดยเฉลี่ย มากกว่าจะลดลง ดังนั้นก็เท่ากับจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงดังกล่าว หายไปราว 1,028,044 คน

    เมื่อปีที่แล้ว (2560) นักท่องเที่ยวจีนเข้ามา 9,846,818 คน สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ520,722.39 ล้านบาท (https://bit.ly/2PzdzZX) ถ้านักท่องเที่ยวในช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2561 หายไป 1,028,044 คน ก็เท่ากับทำเงินหล่นหายไปประมาณ 51,365 ล้านบาท เงินจำนวนนี้มีค่าสูงถึงประมาณ 2% ของงบประมาณแผ่นดินไทยที่ 3 ล้านล้านบาท

    อย่างไรก็ตาม อาจมีบางท่านบอกว่านักท่องเที่ยวจีนเข้ามาน้อยก็เพราะตอนนี้กำลังทำสงครามเศรษฐกิจกับสหรัฐอเมริกาอยู่ คนจีนต้อง "รัดเข็มขัด" ไม่ค่อยไปเที่ยวไหนแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ความจริง จากสถิติของประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซียและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่นำเสนอสถิติได้ว่องไวกว่าประเทศอื่นๆ ในอาเซียน พบว่า นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวประเทศเหล่านี้ไม่ขาดสาย ที่สำคัญเพิ่มขึ้นมหาศาลด้วยโดยเฉพาะฟิลิปปินส์และมาเลเซีย ยิ่งประเทศเหล่านี้พัฒนาการท่องเที่ยวมาก ก็ยิ่งทำให้อสังหาริมทรัพย์ในต่างแดนเหล่านี้เติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก



    นี่อาจเป็นบทเรียนของไทยเรา ที่อยู่ดีๆ เม็ดเงินก็หายไปถึงราว 51,365 ล้านบาท นี่ยังไม่นับรวมผลพวงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากอาการขาดเงินของประชาชน จนทำให้เกิดอาชญากรรมเพิ่ม หรืออาจทำให้ถึงขั้นฆ่าตัวตาย บ้านแตกสาแหรกขาดอีกต่างหาก บ้านเรากำลังจะเติบโตตามคำของท่านรองนายกฯ ดร.สมคิด แต่พอเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น

    มาพัฒนาการท่องเที่ยวไทยขึ้นมาใหม่ เพื่อแผ่นดินไทยอยู่รอด

    https://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement2804.htm
     
  9. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักท่องเที่ยวจีนลด ผู้สร้างความเสียหายต้องชดใช้เท่าไหร่
    AREA แถลง ฉบับที่ 545/2561: วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561

    ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
    ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
    บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส


    หลังจากนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2561 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนหดหายไปมาก ผู้ที่พูดให้ประเทศชาติเสียหาย สมควรชดใช้เท่าไหร่

    ในระหว่างวันที่ 16-17 พฤศจิกายน 2561 ผมพาคณะนักอสังหาริมทรัพย์ไปดูงานการพัฒนาอีอีซีในภาคตะวันออกโดยเฉพาะฉะเชิงเทราและชลบุรี ได้ทราบจากผู้เกี่ยวข้อง เช่น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทบริหารการขายอสังหาริมทรัพย์ นายหน้า ผู้จัดการโรงแรม แท็กซี่สนามบิน และอื่นๆ บอกว่า ขณะนี้พัทยากำลังอยู่ในภาวะแย่อย่างมากมาย เพราะนักท่องเที่ยวจีนแทบไม่ได้มาเลย นักท่องเที่ยวอื่นก็น้อยตามปกติอยู่แล้ว

    ในขณะนี้โรงแรมที่เปิดให้นักท่องเที่ยวจีนที่มาเป็นหมู่คณะพัก มีอัตราการเข้าพักเพียง 20% ลดจากเดิมประมาณ 80%-90% ทั้งนี้เพราะจีนโกรธที่ผู้บริหารประเทศท่านหนึ่งไปบอกว่าที่นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตเพราะ "จีนทำจีนกันเอง" จึงทำให้คนจีนโกรธมาก แพ็กเกจท่องเที่ยวไทยถูกตัดออก พวกเขาหันไปท่องเที่ยวยังประเทศอื่นแทน นักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยลดลงเป็นอย่างมาก



    ดูจากตัวเลขข้างต้นปรากฏว่านักท่องเที่ยวลดลงไปชัดเจนคือ 12%-15% แต่ในความเป็นจริง ที่พัทยาและเมืองท่องเที่ยวอื่นที่มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางไปท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ต่างโอดโอยว่าจำนวนคนเข้าพักในโรงแรมลดต่ำลงเกินกว่าครึ่งต่อครึ่งกันทั้งนั้น การนี้ชี้ให้เห็นว่าตัวเลขของทางราชการอาจมีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ หากรายงานว่านักท่องเที่ยวจีนลดลงครึ่งต่อครึ่ง อาจทำให้เสียภาพพจน์ (ปลอมๆ) ของประเทศชาติก็เป็นไปได้

    จากสถิติ 2 เดือน (สิงหาคม-กันยายน) จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง 12%-15% หรือลดลงกว่าปีที่แล้ว 229,086 คน หากอนุมานเดือนตุลาและพฤศจิกายน ณ อัตราเดียวกันก็เท่ากับนักท่องเที่ยวจีนหายไป 458,172 คน ในช่วงเดือนสิงหาคม - พฤศจิกายน 2561 อันที่จริงจำนวนนักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นเดือนละ 12%-15% มากกว่าจะลดลง ดังนั้นก็เท่ากับจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงดังกล่าว หายไปราว 916,344 คน

    เมื่อปีที่แล้ว (2560) นักท่องเที่ยวจีนเข้ามา 9,846,818 คน สร้างรายได้เข้าประเทศประมาณ520,722.39 ล้านบาท https://bit.ly/2PzdzZX) ถ้านักท่องเที่ยวในช่วงเดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2561 หายไป 916,344 คน ก็เท่ากับทำเงินหล่นหายไปประมาณ 48,458.38 ล้านบาท เงินจำนวนนี้มีค่าสูงถึงประมาณ 2% ของงบประมาณแผ่นดินไทยที่ 3 ล้านล้านบาท

    การชดใช้ความผิดพลาด ควรเป็นสิ่งที่ผู้บริหารควรทำ เช่น ที่ผ่านมาก็มีการคิดค่าทดแทนความรับผิดชอบของอดีตนายกฯ ทักษิณ และอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ซึ่งแม้กรณีของอดีตนายกฯ ทั้งสองคนจะยังดู "กำกวม" แต่ก็มีการยึดทรัพย์ และบังคับโอนเงินในบัญชีของผู้ถูกกล่าวหามาเข้าคลังหลวงแล้ว กรณีนี้มีความผิดชัดแจ้ง จึงควรที่จะมีผู้รับผิดชอบ อย่าปล่อยให้ลอยนวล หาไม่ก็จะเท่ากับไม่มีความเท่าเทียม เลือกปฏิบัติ และสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นกับคนในชาติได้

    คำถามที่ควรมีคำตอบก็คือ ใครควรเป็นคนรับผิดชอบ!

    หมายเหตุ: ในวันพุธที่ 28 พฤศจิกายน 2561 จะมีสัมมนาสำหรับผู้บริหาร เรื่อง "ฟองสบู่อสังหาฯ: จุดเริ่มต้นของจุดจบ" ณ ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย ดูรายละเอียดได้ที่ https://bit.ly/2T6gmI1

    https://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement2782.htm
     
  10. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตัวเลขนักท่องเที่ยว รัฐแหกตา?!?
    AREA แถลง ฉบับที่ 517/2561: วันอังคารที่ 30 ตุลาคม 2561

    ผู้แถลง: ดร.โสภณ พรโชคชัย
    ประธานกรรมการบริหาร ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
    บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส


    เราคงได้ข่าวว่ากรุงเทพมหานครมีต่างชาติมาท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งเหนือปารีส นิวยอร์ก แต่ถ้าเราเคยไปกรุงพนมเปญ จะพบว่าน่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกมากกว่าในกรุงเทพมหานคร ตัวเลขของทางราชการ "แหกตา" หรือเปล่า ถ้าเราขืนลงทุน เช่น ทำโรงแรมไปตามข้อมูล จะเจ๊งพังพาบหรือไม่ เป็นสิ่งที่พึงสังวร

    ล่าสุดทางราชการไทยก็รายงานข่าวว่ากรุงเทพมหานครมีคนต่างชาติมาเที่ยวมากที่สุดถึง 20.05 ล้านคน มาอยู่เฉลี่ย 4.7 คืน และมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยคนละ 5,500 บาทต่อวัน (https://is.gd/30kYLI) หรือเท่ากับเป็นเงิน 518,293 ล้านบาทในปี 2560 นี่ถ้ามีคนมาใช้เงินมากมายเช่นนี้จริง มากกว่ามาตรการทั้งหลายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของชาติ ป่านนี้คนไทยคงไม่ "ปากกัดตีนถีบ" เช่นทุกวันนี้

    ยิ่งเมื่อดูจากรายได้ประชาชาติต่อหัวจะพบว่าในส่วนของ "ที่พักอาศัยและอาหาร" ซึ่งหมายถึงการท่องเที่ยวเป็นหลัก มีรายได้ตามตัวเลขจริง 700,843 ล้านบาทในปี 2559 (ล่าสุด: https://is.gd/CukIZo) แต่มีอัตราการเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 9.9% ทั้งนี้ในกรณีนี้รวมนักท่องเที่ยวไทย ตลอดจนกิจการที่ไม่ได้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยตรงด้วย เช่น การจัดประชุมสัมมนาภายในประเทศ ดังนั้นตัวเลขนักท่องเที่ยวทางการจึงไม่น่าจะสอดคล้องกับความจริง

    อันที่จริงนักท่องเที่ยวก็เพิ่มแต่ไม่ได้ขึ้นมากมายตามตัวเลขทางการ ความเห็นจากผู้ค้าที่วัดอรุณ ท่าเตียน ท่าช้าง และถนนข้าวสาร ที่ผมไปถามเมื่อวันอังคารที่ 13 กุมภาพันธ์ 2561 พื้นที่เหล่านี้เป็นแหล่งที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจไปท่องเที่ยวมากที่สุด ในแต่ละบริเวณมีร้านค้า แผงลอยและผู้ประกอกการอยู่ราว 150-200 ราย ผมได้สำรวจแห่งละประมาณ 32 รายหรือราว 20% ของผู้ค้าทั้งหมด



    ผลการสำรวจเบื้องต้นพบว่าที่บริเวณวัดอรุณราชวราราม ปรากฏว่ามีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเนื่องจาก พระปรางค์วัดอรุณเพิ่งบูรณะเสร็จ และเรือด่วนเริ่มจอด โดยมีนักท่องเที่ยวเพิ่มจากเดิมประมาณ 4.4% โดยประมาณ รายได้จากการขายก็ดีกว่าเดิมเล็กน้อย ทั้งนี้โดยถือว่าการขายในปี 2560 เท่ากับ 100% ปีนี้เพิ่มขึ้น 0.6% อย่างไรก็ตามผู้ค้าเห็นว่าเศรษฐกิจตกต่ำลงกว่าปี 2560 จาก 100% เหลือ 98.1% และคาดว่าปี 2562 เศรษฐกิจยังจะตกต่ำลงไปอีกเหลือเพียง 97% จาก 100% ในปี 2560

    ที่บริเวณท่าเตียน วัดโพธิ์ ซึ่งปัจจุบันไม่มีเรือด่วนผ่านแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ โดยนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 1.6% ต่ำกว่าที่วัดอรุณราชวราราม ส่วนรายได้จากการขายสินค้า กลับลดลงจาก 100% ในต้นปี 2560 เหลือ 96.6% ในต้นปี 2561 ผู้ค้าประเมินภาวะเศรษฐกิจจาก 100% ณ ต้นปี 2560 เหลือ 96.4% ในปี 2561 และคาดว่าจะตกลงเหลือ 91.4% ในปี 2562

    บริเวณท่าช้างใกล้กับพระบรมมหาราชวัง ก็เป็นอีกจุดที่มีนักท่องเที่ยวหนาตาเป็นพิเศษ ปรากฏว่าผู้ค้าเห็นว่านักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นกว่าต้นปี 2560 ถึง 7.2% แต่รายได้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น คือเป็นเพียง 98.1% ของรายได้ในช่วงต้นปี 2560 ในด้านภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน ผู้ค้าและสามล้อประจำย่านนั้นก็มองว่า ยังตกต่ำกว่าปี 2560 คือในปีนี้เหลือเพียง 96.6% และในปี 2560 น่าจะเหลือ 93.4%

    ในบริเวณถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวหนาแน่นเช่นกัน แต่ในสายตาของผู้ค้าและสามล้อในพื้นที่กลับมองว่านักท่องเที่ยวลดลง ผู้เข้าพักก็ลดลงกว่าแต่ก่อน เหลือเพียง 96.8% ของปี 2560 รายได้จากการขายสินค้าก็ลดลงเหลือเพียง 93.2% ซึ่งถือว่าลดลงมากที่สุดใน 4 บริเวณนี้ ส่วนเศรษฐกิจ ผู้ค้าในย่านถนนข้าวสารประเมินไว้ต่ำสุดคือ 95.8% และคาดว่าในปี 2562 เศรษฐกิจน่าจะลงต่ออีกเล็กน้อย เหลือ 91.3%

    โดยสรุปทั้ง 4 บริเวณพบว่า นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นจริง คือประมาณ 2.5% จากต้นปี 2560 แต่รายได้ลดลงเหลือ 97.2% ซึ่งแม้ไม่ได้ลดลงมาก แต่ไม่ได้เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจของชาติก็ดูตกต่ำลงจาก 100% เหลือ 96.7% เท่านั้น และที่สำคัญในปี 2562 คาดว่ายังจะลงต่อไปเหลือ 93.3% สาเหตุที่นักท่องเที่ยวเพิ่ม แต่ขายสินค้าได้น้อยลงก็เพราะ นักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพจากยุโรปมาลดลง เนื่องจากผลของรัฐประหารส่วนหนึ่ง

    ลูกค้าที่มามากก็คือชาวจีนซึ่งมักมาเป็นหมู่คณะ ไม่ได้ซื้อสินค้าอะไรมากนัก มาเดินมากกว่า ลูกค้าต่างชาติที่มา ยังต่อรองราคาอย่างสุดจะน่าเกลียด เช่น สินค้าราคา 100 บาท ต่อครึ่งราคา หรือต่อเหลือ 30 บาทบ้าง แม่ค้าบางรายถึงกับระบุว่าชาวพม่าที่มาทำงานในประเทศไทย แล้วแวะมาเที่ยว ยังมีกำลังซื้อมากกว่านักท่องเที่ยวเสียอีก และไม่ต่อรองราคาครึ่งต่อครึ่งเช่นนี้ นอกจากนั้น ยังอาจเป็นเพราะมีผู้ค้ามากยิ่งขึ้นอีกด้วย ผู้ค้าหลายรายโดยเฉพาะที่ถนนข้าวสารก็เจ๊งไปหลายร้าน โรงแรมก็ไม่เต็มเช่นเมื่อหลายปีก่อนรัฐประหาร

    เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่านักท่องเที่ยวจีนมาใช้จ่ายเงินคนละ 6,600 บาทต่อวัน หรือครั้งละ 53,484 บาท (7-8 วัน: https://is.gd/RxRbmT) ข้อมูลนี้ใครไปเชื่อก็คง "ออกลูกเป็นลิงแน่นอน" (เชื่อไม่ได้) ตัวเลขนี้สูงกว่าของนักท่องเที่ยวทั่วไปเสียอีก เรามักเห็นไกด์จีน รถทัวร์จีน ร้านอาหารจีน โรงแรมจีน ร้านค้าของที่ระลึกจีน ยังดีที่จีนยังไม่ได้เป็นเจ้าของสถานท่องเที่ยวในไทย หรือยังไม่ได้เลียนแบบไปตั้งไว้ที่จีนเสียหมด จึงมาเที่ยวเมืองไทย

    ในแง่ของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรมหรือการท่องเที่ยวอื่น หากเรามองในแง่ดีจนเกินไป ที่เน้นที่นักท่องเที่ยวจีน ก็อาจผิดหวังได้ เพราะตอนนี้จีนกำลังทำสงครามการค้ากับสหรัฐอเมริกา อาจต้องรัดเข็มขัด ดังจะเห็นได้ว่านักท่องเที่ยวจีนหดตัวลงอย่างเด่นชัด เรายังคงจำได้ว่าเมื่อก่อนก็มีนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น รัสเซียมาไทยมากมาย แต่ต่อมาก็ค่อยๆ มลายหายไป

    ในความเป็นจริง จากการสำรวจความเห็นของประชาชนแท้ๆ ที่รังสิต สำโรงและอ้อมน้อย ปรากฏว่าคะแนนที่ประเมินได้คือ 3.7 เต็ม 10 สถานการณ์เศรษฐกิจในขณะนี้ไม่ดีอย่างชัดเจน และหากเทียบกับเมื่อปีที่แล้ว พ.ศ.2560 ปรากฏว่าคะแนนอยู่ที่ 4.7 หรือดีกว่าปีนี้ แสดงว่าเศรษฐกิจตกต่ำลงกว่าที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้นในปี 2562 แต่ก็ยังต่ำกว่าปี 2560 หรืออาจจะรวมก่อนหน้านี้ด้วยอยู่ดี (http://bit.ly/2M1sHgZ)

    เห็นทีไทยจะหวังพึ่งการท่องเที่ยวมากระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้เสียแล้ว คงต้องกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากให้ดีด้วยการ "ให้เบ็ด" แบบ "ประชานิยม" ของรัฐบาลก่อนๆ มากกว่าการ "ให้ปลา" แจกเงินแบบ "ประชารัฐ" ของรัฐบาลปัจจุบัน เพื่อให้ประชาชนมีอิสรภาพทางการเงิน สามารถที่จะพัฒนาตนเองให้พ้นจากความยากจนได้ รวมทั้งต้องปราบปรามยาบ้า หวยใต้ดิน บ่อนเถื่อนที่บ่อนทำลายฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชนส่วนใหญ่

    ต้องรีบทำก่อนที่คนไทยจะจนลงกว่านี้
    https://www.area.co.th/thai/area_announce/area_press.php?strquey=press_announcement2753.htm
     
  11. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    DroidSans

    สงครามระหว่าง 2 บริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Apple และ Qualcomm ที่ไปเกิดขึ้นบนแผ่นดินจีนตอนนี้กำลังสนุกเลยทีเดียว
    หลังจาก Apple โดนสั่งแบนห้ามขาย iPhone รุ่นเก่าที่ละเมิดสิทธิบัตรในจีนไป ก็หาทาง update software เพื่อหลบสิทธิบัตรที่ทาง Qualcomm อ้างและนำขึ้นฟ้องศาล เพื่อที่จะกลับมาวางขายได้อีกครั้ง โดยยังออกมาบ่นว่าคำสั่งศาลรอบนี้อาจส่งผลกระทบกับโรงงานของจีนอย่าง Foxconn และไหนจะแรงงานอีกกว่า 5 ล้านตำแหน่งที่ทำงานให้กับซัพลายเออร์ของ Apple อีก พร้อมทั้งระบุว่ามันจะกระทบแบรนด์มือถือทั้งหมดที่ต้องมาจ่ายค่าสิทธิบัตรซึ่งแพงเกินไปและไม่สมเหตุสมผล
    แต่ทาง Qualcomm กลับมองว่านี่ยังไม่จบ เพราะต้องการจะหาทางแบน iPhone XS, XS Max และ XR ด้วย

    https://droidsans.com/qualcomm-seek...nxCZG3raI40x2q0rlUf-BjTr2U-pYPkM0NiR2i-q8l9vg
     
  12. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    พนิดา แม่สาย


    ชาวไร่อ้อย อีสาน สุรินทร์ศรีสะเกษ

    ตัดอ้อยมาสามวัน แต่โรงงาน ไม่มีใครมาซื้อ

    อ้อยก็แห้งคารถ วอนขอความเห็นใจ

    Cr ภาพข่าว


     
  13. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศูนย์สารสนเทศอิสลาม Islamic Information Center


    หัวหน้าของสำนักงานการเมืองของขบวนการต่อต้านแห่งอิสลามของปาเลสไตน์ (ฮามาส) ได้เน้นย้ำว่า "กุดส์" (เยรูซาเล็ม) จะยังคงเป็นของอาหรับและอิสลาม การย้ายสถานทูตสหรัฐฯ ไปยังเยรูซาเล็มจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้.....


     
  14. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 17) คืบหน้าเหตุแก๊สระเบิดบาร์ในซัปโปโร เจ็บ 42 สาหัส 1 : ทางการญี่ปุ่นสรุปเบื้องต้นเหตุแก๊สระเบิดในบาร์อิซากายะแห่งหนึ่งในเมืองซัปโปโร บนเกาะฮอกไกโดทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เจ็บ 42 คน โดยในจำนวนนี้บาดเจ็บสาหัส 1 คน

    เมื่อเวลาประมาณ 20.30น. ตามเวลาท้องถิ่นในเมืองซัปโปโร เมืองเอกบนเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นเกิดเหตุระเบิดในบาร์แห่งหนึ่งชื่อ อิซากายะ อุมิ ซากูระ ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินฮิรากิชิ ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 40 คน และอาคารขนาดสองชั้นถล่มลงมา โดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าเป็นเหตุแก๊สระเบิด

    เบื้องต้นไม่มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว แม้ภาพและคลิปเหตุการณ์ที่เผยแพร่ผ่านทางสื่อญี่ปุ่นเหตุการณ์จะดูรุนแรงมาก โดยมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 41 คน และได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 คน

    ผลจากแรงระเบิดทำให้บาร์อิซากายะขนาด 66 ที่นั่งซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุพังถล่มลงมา ขณะเดียวกันกระจกของร้านอาหารและอพาร์ทเมนต์บริเวณใกล้เคียงก็แตกกระจาย โดยย่านฮิรากิชินั้นอยู่ไม่ไกลสถานีรถไฟซัปโปโรนัก เพียงนั่งรถไฟราว 15 นาที

    หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจฮอกไกโดและหน่วยกู้ภัยได้ออกคำเตือนให้ผู้ที่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงอพยพออกจากบริเวณดังกล่าว โดยเตือนว่าอาจเกิดเหตุระเบิดขึ้นอีกครั้งก็ได้ โดยภาพจากสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคแสดงให้เห็นว่าเปลวเพลิงพวงพุ่งขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องเร่งควบคุมสถานการณ์เอาไว้

    ผู้ที่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงเปรียบเทียบเหตุการณ์ว่าคล้ายกับเสียงของแผ่นดินไหว บ้างกล่าวว่าเหมือนฟ้าผ่า หรือเหมือนกับการถูกโจมตีด้วยขีปนาวุธ ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ในบริเวณนั้นยืนยันว่าได้กลิ่นแก๊สคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

    หนังสือพิมพ์ไมนิชิอ้างคำพูดของสตรีวัย 70 กว่าที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นระบุว่า ร้านอาหารเหมือนกับหายไปโดยไร้ร่องรอย ขณะเดียวกันหลังคาของร้านอาหารแบบครอบครัวที่อยู่ติดกันก็พังถล่มลงมาด้วย โดยเธอรู้สึกตกใจและไม่รู้จะพูดอะไรหลังจากเห็นภาพของความสูญเสีย

    ด้านสถานีเอ็นเอชเคก็อ้างคำพูดของพี่สาวของพนักงานเสิร์ฟหญิงในร้าน ที่ระบุว่าน้องสาวของเธอถูกสั่งให้กระโดดออกจากชั้นที่ 2 เพื่อหนีตาย โดยการกระโดดดังกล่าวทำให้น้องสาวของเธอขาหัก แต่ก็ถือเป็นโชคดีที่ยังมีชีวิตอยู่

    Source: ผู้จัดการออนไลน์
    https://mgronline.com/japan/detail/9610000124659

    ***********
    เกิดเหตุระเบิดที่ร้านอาหารในเมืองซัปโปโรของญี่ปุ่น มีผู้บาดเจ็บกว่า 40 คน: สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เกิดเหตุระเบิดในร้านอาหารซึ่งตั้งอยู่ในเมืองซัปโปโร ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น เมื่อคืนนี้ตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้อาคารหลายแห่งพังถล่ม และทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 40 คน

    รายงานระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงได้รุดไปยังจุดเกิดเหตุซึ่งตั้งอยู่ในเขตโตโยฮิระ เมืองซัปโปโร โดยเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงเอาไว้ได้ พร้อมกับเตือนประชาชนให้ระมัดระวังว่าอาจจะเกิดเหตุระเบิดขึ้นอีก

    เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลา 20.30 น.ในวันอาทิตย์ตามเวลาท้องถิ่น และขณะนี้ยังไม่ทราบสาเหตุของการระเบิด

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช

    - 42 injured in suspected gas explosion in northern Japan: https://english.kyodonews.net/news/...s-injured-in-explosion-in-japans-sapporo.html

    ********************
    ซัปโปโรระทึก! ระเบิดในร้านอาหารกลางเมือง เจ็บระนาวกว่า 40 ราย:

    เกิดเหตุระเบิดในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในเมืองซัปโปโร ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีผู้ได้รับบาดเจ็บตามที่สื่อต่างประเทศรายงานจำนวน 42 คน และหนึ่งในจำนวนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยแรงระเบิดทำให้อาคารดังกล่าว พังถล่มลงมา จนเกิดความโกลาหล ขณะเกิดเหตุมีคนอยู่ในร้านอาหารมากกว่า 40 คน

    ด้านชายที่พักอยู่ใกล้กับอาคารที่เกิดเหตุเล่าว่า ตอนเกิดเหตุ ได้ยินเสียงดังมากเหมือนฟ้าผ่าและคอนโดมิเนียมสั่นสะเทือน ขณะที่อีกรายบอกว่า ได้กินแก๊สหุงต้มฟุ้งกระจายไปทั่ว และแรงระเบิดทำให้กระจกของร้านอาหารอีกแห่งแตกกระจาย นอกจากนี้ยังพบคลิปจากกล้องหน้ารถยนต์ที่บันทึกภาพเหตุการณ์ตอนเกิดเหตุระเบิดได้อย่างชัดเจน

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ห้ามประชาชนเข้าใกล้จุดเกิดเหตุ เกรงว่าอาจเกิดเหตุระเบิดซ้ำ ตอนนี้ยังไม่มีการยืนยันว่าสาเหตุของการระเบิดในครั้งนี้ เกิดจากอะไร แต่คาดว่าน่าจะเกิดจากแก๊สระเบิด


    Source: เรื่องเล่าเช้านี้
    https://morning-news.bectero.com/international/17-Dec-2018/135098
     
  15. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 17) หุ้นแบงก์แกร่งรับดบ.ขึ้น : หุ้นกลุ่มแบงก์ยังแข็งแกร่ง ต่างชาติมั่นใจทยอยสะสม จากภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีและราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดอื่น โบรกฯ ชี้สินเชื่อธุรกิจเติบโตโดดเด่น หลังโครงการใหญ่ของรัฐทยอยออกมาต่อเนื่องชี้ไตรมาส 4 เป็นช่วงไฮซีซัน แนะนำหุ้นธนาคารใหญ่อย่าง BBL, KBANK

    ในปี 2561 ถือเป็นปีที่ค่อนข้างกดดันหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไม่น้อย โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันมีปัจจัยเข้ามากระทบกับผลการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ที่หายไป หลังจากมีการยกเลิกเก็บค่าธรรมเนียม ทำให้เกิดการหารายได้ในช่องทางอื่นทดแทน นอกจากนี้ จากการคุมเข้มสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังทำให้เกิดความกังวลมากขึ้น แต่ด้วยความเชื่อมั่นในพื้นฐานของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ยังคงแข็งแกร่งจากพื้นฐานที่ยังดี ทำให้นักลงทุนต่างชาติยังมั่นใจ และทยอยเข้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง

    นางสาวอุษณีย์ ลิ่วรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติยังคงเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมีความได้เปรียบในด้านมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ที่มีขนาดใหญ่ซึ่งการถือครองระยะยาวยังสามารถทำได้ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงดี ถึงแม้จะมีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทยลง แต่ยังอยู่ในระดับ 4% ถือว่ายังมีการเติบโตได้ดี โดยเฉพาะราคาหุ้นธนาคารเทียบมูลค่าตามบัญชี(P/BV) อยู่ที่ประมาณ 1.2 เท่า ราคาหุ้นถือว่าไม่แพงเกินไปเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ

    คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2562 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ 215,195 ล้านบาท หรือเติบโต 5.1% จากปีนี้ที่คาดการณ์กำไรสุทธิอยู่ที่ 204,848 ล้านบาท หรือเติบโต 9.9% โดยในปีหน้าการเติบโตจะมาจากการปล่อยสินเชื่อที่คาดว่าจะอยู่ที่ 6% โดยเฉพาะในสินเชื่อรายใหญ่ที่เติบโตมากที่สุดจากความต้องการใช้เพื่อลงทุนในโครงการใหญ่ที่จะเริ่มทยอยออกมาทั้งภาครัฐและเอกชน ส่วนภาพรวมสินเชื่อยังเติบโตไม่โดดเด่น แต่ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องในสินเชื่อรายย่อยและรถยนต์

    "ในช่วงไตรมาส 4 จะเป็นช่วงไฮซีซันของสินเชื่อธนาคาร โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ สินเชื่อรวมเติบโตที่ 3% จากทั้งปีนี้ที่คาดไว้ที่ 5% ส่วนใหญ่มาจากการที่ธนาคารขนาดใหญ่มีการปล่อยสินเชื่อในหลายโครงการ ทำให้รายได้ในไตรมาส 3 ที่ลดลง พลิกกลับมาขยายตัวได้ในไตรมาส 4 จากสินเชื่อรายใหญ่ นอกจากนี้ การเบิกใช้เงินจากบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ยังมีแนวโน้มมากขึ้น ถึงแม้รายได้ค่าธรรมเนียมจากการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์จะลดลง แต่ยังมีในด้านอื่นๆ เข้ามาทดแทนได้"

    สำหรับหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่น่าสนใจ คือ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) โดย BBL มีการเติบโตของสินเชื่อที่ดี ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเติบโตที่ 5% มาจากสินเชื่อรายใหญ่ที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของพอร์ต หลังจากภาครัฐเกิดการลงทุน ทำให้เอกชนเกิดการลงทุนตาม นอกจากนี้ ยังมองว่าหากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย BBL จะได้รับประโยชน์จากสินเชื่อที่อยู่อาศัย ถึงแม้จะมีมาตรการควบคุมก็ตาม เนื่อง จากสินเชื่อรายย่อยส่วนใหญ่ของ BBL จะเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย

    ขณะที่ KBANK ถึงแม้สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) จะยังไม่ฟื้น และพอร์ตส่วนใหญ่ของ KBANK จะเป็นเอสเอ็มอีถึง 30% ก็ตาม แต่การขยายการปล่อยสินเชื่อทางช่องทางออนไลน์สามารถทำได้ดีกว่าธนาคารอื่น จากส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ของลูกค้าออนไลน์ที่อยู่ในอันดับต้นๆ และฐานลูกค้าเดิมที่มีบัญชีของ KBANK ทำให้ความสามารถในการปล่อยสินเชื่อช่องทางนี้มาทดแทนสินเชื่อเอสเอ็มอี และรายได้ค่าธรรมเนียมที่หายไปได้เป็นอย่างดี

    ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไทยพาณิชย์ จก. ระบุว่า การเติบโตของสินเชื่อเกิดขึ้นจากการที่ธนาคารขนาดใหญ่และกลาง นำโดย BBL และ KBANK ทั้งนี้ในแง่การเติบโต BBL เป็นธนาคารที่มีอัตราการขยายตัวของสินเชื่อในเดือนตุลาคมแข็งแกร่งที่สุด สะท้อนถึงการได้รับประโยชน์จากวัฏจักรการลงทุน

    BBL มีการเติบโตของสินเชื่อที่ดี ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเติบโตที่ 5% มาจากสินเชื่อรายใหญ่ที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งของพอร์ต

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  16. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทำไมถึงรับพิจารณาขึ้นดอกเบี้ย ผมเข้าใจว่าจะพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยอีกครั้ง ก็ตุลาคน - พฤศจิกายน 2562 แต่นี่จะมารีบประชุม แสดงว่าต้อมมีปัญหา เพราะเงินส่วนใหญ่ของประเทศกู้มาจากต่างประเทศ ซึ่งดอกเบี้ยเฟดปรับขึ้นไปแล้ว คงอั้นไม่อยู่แล้วแน่นอน

    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 17) คาดมติ'4:3' เพิ่มขีดความสามารถนโยบายการเงิน-รับความเสี่ยง กนง.จ่อ'ขึ้นดอกเบี้ย'รอบ 7 ปี : การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) วันที่ 19 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นนัดส่งท้ายปี 2561 มีความเป็นไปได้สูงที่ กนง. จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับ 1.5% เป็น 1.75%

    ซึ่งจะนับเป็นการปรับ ขึ้น ดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 7 ปี และยังเป็นการ ขยับ ดอกเบี้ยครั้งแรกในสมัยของ วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) คนปัจจุบัน

    สาเหตุที่ กนง. น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ เพราะต้องการลดพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น(search for yield) นำไปสู่การสะสมความเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ และที่สำคัญกนง.ส่งสัญญาณมาตลอดว่า ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน(policy space) เพื่อรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้า

    อย่างไรก็ตามภายใน บอรด์ กนง. ทั้ง 7 คน ยังมีความเห็นต่อภาพเศรษฐกิจและความเสี่ยงในระยะข้างหน้าแตกต่างกัน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สายเหยี่ยว ที่สนับสนุนการ ขึ้นดอกเบี้ย เพราะห่วงเรื่องเสถียรภาพระบบการเงินในระยะข้างหน้า และ สายพิราบ ที่สนับสนุนการ คงดอกเบี้ย เพื่อรักษาระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

    โดย สายเหยี่ยว ค่อนข้างห่วงเรื่องเสถียรภาพระบบการเงินในระยะข้างหน้า ซึ่งมองว่า ความเสี่ยง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำเป็นเวลานาน ทำให้พฤติกรรม search for yield เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเริ่มจะนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงที่ต่ำกว่าความเป็นจริง(underpricing of risk) มากขึ้นเรื่อยๆ

    นอกจากนี้กลุ่มสายเหยี่ยว ยังเห็นว่า เศรษฐกิจไทยช่วงที่ผ่านมาขยายตัวได้ค่อนข้างดี แม้ปัจจุบันจะเริ่มชะลอตัวลงบ้าง แต่ยังเป็นระดับที่สูงกว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทย ประกอบกับถ้ามองไประยะข้างหน้าเริ่มมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกมากขึ้น นโยบายการเงินจึงควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถของนโยบาย หรือเพิ่ม policy space โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง และขึ้นครั้งละ 0.25% ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในทางกลับกันจะช่วยลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งเป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว

    สายพิราบห่วงกำลังซื้อฐานราก

    สำหรับ กลุ่มสายพิราบ มองว่า เศรษฐกิจแม้จะขยายตัวดี แต่กระจุกตัวเฉพาะเศรษฐกิจระดับกลางถึงบน ขณะที่เศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศยังทรงตัว การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งซ้ำเติมเศรษฐกิจคนกลุ่มนี้ อีกทั้งมองว่า เศรษฐกิจกำลังเผชิญความเสี่ยงด้านต่ำจากผลกระทบของมาตรการกีดกันการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจึงยังมีความจำเป็น

    นอกจากนี้ ยังมองว่าเงินเฟ้อทั่วไปที่ กนง. ใช้เป็นเป้าหมายในการทำนโยบายการเงินยังทรงตัวในระดับต่ำ นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายจะเอื้อให้เงินเฟ้อกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายที่ 1-4% ได้ ขณะที่การขึ้นดอกเบี้ยจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อลดลงต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย

    ส่วนเรื่องความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินนั้นกนง.สายพิราบมองว่า สามารถนำมาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน(macroprudential measures) มาช่วยดูแลความเสี่ยงเหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นมาตรการที่เฉพาะจุดไม่กว้างเหมือนดอกเบี้ย ขณะที่ สายเหยี่ยว ประเมินว่า มาตรการลักษณะนี้ไม่สามารถทดแทนการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมได้

    สำหรับ กนง. ทั้ง 7 คน ประกอบด้วย วิรไท สันติประภพ , เมธี สุภาพงษ์ , ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน , เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ , คณิศ แสงสุพรรณ , สุภัค ศิวะรักษ์ และ สมชัย จิตสุชน

    กองบรรณาธิการ กรุงเทพธุรกิจ ประเมินว่า มติ กนง. เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมีคะแนน 4 ต่อ 3 เสียง ให้ คง ดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.5% โดย 3 เสียง เสนอให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ประกอบด้วย 1.ไพบูลย์ กิตติศรีกังวาน ซึ่งเราเชื่อว่า ไพบูลย์ เป็นคนแรกที่โหวตให้ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา เพราะเขาห่วงเรื่องเสถียรภาพระบบการเงินมาโดยตลอด ที่สำคัญ ไพบูลย์ จะค่อนข้างกังวลว่า เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวดี แต่นโยบายการเงินถอนคันเร่งช้า จะเพิ่มความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าได้

    ส่วนอีก 2 คน เราเชื่อว่า เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ และ เมธี สุภาพงษ์ เป็น 2 คนที่โหวตขึ้นดอกเบี้ยตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 คน นี้มีมุมมองต่อนโยบายการเงินไม่ต่างไปจาก ไพบูลย์ มากนัก โดยมองว่า ดอกเบี้ยที่อยู่ระดับต่ำนานเกินไปจะยิ่งสะสมความเปราะบางทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า ขณะที่เศรษฐกิจช่วงที่ผ่านมาเติบโตร้อนแรง แม้จะชะลอลงมาบ้างแต่ก็เป็นระดับที่สูงกว่าศักยภาพ ที่สำคัญการดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน นอกจากใช้เครื่องมือ macroprudential measures แล้ว ยังต้องผสานเครื่องมืออื่นๆ เช่น ดอกเบี้ยนโยบายด้วย

    ฟันธง19ธ.ค.นี้ขึ้นดอกเบี้ย 0.25 %

    สำหรับการประชุมในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ กองบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ คาดการณ์ว่า คะแนนเสียงในที่ประชุม กนง. จะออกมาเท่าเดิม คือ 4 ต่อ 3 เสียง เพียงแต่มติที่ประชุมจะเปลี่ยนไปเป็นให้ ปรับขึ้น ดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% โดยเราเชื่อว่าจะมี กนง. หนึ่งเสียง ที่เปลี่ยนผลโหวตจากให้ คง ดอกเบี้ยมาเป็น ขึ้น ดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้

    คะแนนเสียงที่จะเปลี่ยนผลโหวตในครั้งนี้ น่าจะเป็น วิรไท สันติประภพ ซึ่งที่ผ่านมา วิรไท ให้ความสำคัญและเห็นความจำเป็นในการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมาโดยตลอด แต่ขณะเดียวกันก็ห่วงว่า การปล่อยให้ดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำเป็นเวลานานเกินไป จะยิ่งสะสมความเปราะบางในระบบการเงินมากขึ้น และปัจจุบันก็เริ่มเห็นพฤติกรรม search for yield ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้จะนำมาตรการ macroprudential มาใช้บ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถลบความเสี่ยงไปได้ทั้งหมด

    ที่สำคัญมองไปข้างหน้า เศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ความจำเป็นในการเพิ่มขีดความสามารถของนโยบายการเงินเพื่อรองรับความเสี่ยงในระยะข้างหน้าจึงมีความสำคัญมากขึ้น ส่วนเศรษฐกิจไทยเวลานี้แม้จะชะลอตัวลงบ้าง แต่ยังเป็นระดับที่สูงกว่าศักยภาพ เหตุผลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อเพิ่ม policy space ยังพอมี ขณะที่เงินเฟ้อเริ่มสูงกว่ากรอบเป้าหมายต่อเนื่อง

    ส่วน สมชัย จิตสุชน ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการวิจัยนโยบาย ด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) ซึ่งคลุกคลีกับเศรษฐกิจกลุ่มฐานราก เราเชื่อว่า เขาน่าจะเลือกโหวตให้ คง ดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ก่อน เพราะการปรับขึ้นดอกเบี้ยย่อมเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจฐานรากที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัว เช่นเดียวกับ สุภัค ศิวะรักษ์ แม้จะเป็นอดีตนายแบงก์ แต่ปัจจุบันนั่งเป็นบอร์ดใน บริษัท ไทยวา จำกัด (มหาชน) ทำให้เขาคลุคลีกับเศรษฐกิจฐานรากมากขึ้น จึงน่าจะเป็นอีกหนึ่งเสียงที่เลือกคงดอกเบี้ยไว้ก่อนในการประชุมรอบนี้

    ขณะที่ คณิศ แสงสุพรรณ เราเชื่อว่าเขาจะเป็น คนสุดท้าย ที่จะโหวตให้ ขึ้น ดอกเบี้ยนโยบาย จากมุมคิดที่ชัดเจนว่า เศรษฐกิจต้องโตดีและกระจายตัว ดอกเบี้ยจึงปรับขึ้นได้ เพราะดอกเบี้ยขึ้นเมื่อไหร่คนเป็นหนี้ย่อมโดนผลกระทบก่อน ที่สำคัญ คณิศ มีบทบาทเป็นคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ซึ่งเวลานี้เขามุ่งมั่นสนับสนุนให้คนมาลงทุนในพื้นที่อีอีซีมากขึ้น แน่นอนว่าผู้ลงทุนย่อมไม่ชอบดอกเบี้ยสูง เราจึงเชื่อว่า คณิศ จะเป็นคนท้ายสุดที่โหวตให้ขึ้นดอกเบี้ย

    โดยสรุปแล้ว กองบรรณาธิการกรุงเทพธุรกิจ เชื่อว่าการประชุม กนง. รอบนี้ เป็นจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมสุดในการขยับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อหยั่งเชิงตลาด จึงเชื่อว่า ที่ประชุมในวันที่ 19 ธ.ค.2561 จะมีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้ ขึ้น ดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% จากระดับ 1.5% เป็น 1.75%

    กูรูคาดมติ4ต่อ3ขึ้นดอกเบี้ย

    ขณะที่ผลการสำรวจ นักเศรษฐศาสตร์ ส่วนใหญ่ประเมินตรงกันว่า การประชุม กนง. ครั้งนี้ ที่ประชุมเสียงส่วนใหญ่จะมีมติให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของนโยบายการเงิน และลดความเสี่ยงจากพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น

    สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานวิจัย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ประเมินว่า ครั้งนี้ที่ประชุมน่าจะมีมติ ปรับขึ้น อัตราดอกเบี้ย 0.25% จากระดับ 1.5% เป็น 1.75% ด้วยคะแนน 4 ต่อ 3 เสียง เนื่องจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเอื้อให้ดอกเบี้ยสามารถปรับเข้าสู่ระดับสมดุลได้

    นอกจากนี้ที่ผ่านมา กนง. ยังส่งสัญญาณทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง โดยเชิงปริมาณทำผ่านคะแนนเสียงของ กนง. ที่ขยับขึ้นจาก 1 เสียง มาเป็น 3 เสียงในครั้งล่าสุด และเชิงคุณภาพ ดำเนินการผ่านการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

    ผมว่าแฟร์ที่ดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มขึ้นแม้ว่ารอบนี้ กนง. อาจปรับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้และปีหน้าลง แต่สาเหตุการปรับลงมาจากตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 3 ที่ออกมาต่ำคาด จากเครื่องยนต์หลักชะลอลงพร้อมกัน ซึ่งต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยกระจุกตัวอยู่แค่บางกลุ่มเมื่อเกิดอะไรขึ้น ตัวเลขจึงสะดุดลงบ้าง

    มั่นใจช่วยรักษาเสถียรภาพระยะยาว

    อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในครั้งนี้ จะไม่มีผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตรงกันข้ามการขึ้นดอกเบี้ยยังเข้ามาช่วยดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย

    สมประวิณ คาดว่า หลังการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 19 ธ.ค.นี้แล้ว กนง. อาจพิจารณาปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนมี.ค.2562 ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยนโยบายขยับขึ้นเป็น 2% หลังจากนั้นเชื่อว่าดอกเบี้ยจะทรงตัวในระดับดังกล่าวยาวตลอดปี 2562

    นริศ สถาผลเดชา หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย(ทีเอ็มบี) ประเมินว่า การประชุมครั้งนี้ กนง. น่าจะมีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 1.75% เนื่องจาก กนง. ต้องการเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน(policy space) และลดพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทน(search for yield) แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวลง ทำให้ กนง. อาจไม่สามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้มากนัก

    เรามองว่ารอบนี้คงปรับเพิ่มขึ้น แต่ก็คงขึ้นได้แค่ครั้งเดียว หรืออย่างมากเต็มที่ปีหน้าก็ขึ้นได้อีกเพียง 1 ครั้ง ซึ่งต้องยอมรับว่าโอกาสการขยับขึ้นดอกเบี้ยเริ่มมีน้อยลง ตามเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว เพราะปีหน้าเศรษฐกิจคงไม่เอื้อให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยมากนัก

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  17. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 17) สหรัฐมีแผนพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและสังคมกับประเทศแอฟริกาเพื่อแข่งขันกับจีนและรัสเซีย: นาย John Bolton, U.S. National Security Adviser กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐฯ มีแผนพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้ากับประเทศกลุ่มแอฟริกา ซึ่งจะช่วยสนับสนุนบริษัทสัญชาติอเมริกัน เพิ่มอิสระในการทำธุรกิจแก่ประเทศในทวีปแอฟริกา รวมถึงสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยที่ผ่านมา บริษัทจากจีนและรัสเซีย ดำเนินธุรกิจในแอฟริกาอย่างทุจริตโดยไม่ให้ความสำคัญกับกฎหมายท้องถิ่น และเร่งการลงทุนในภูมิภาคที่สร้างโอกาสการแข่งขันกับสหรัฐฯ


    นอกจากนี้ นาย Bolton กล่าวว่า บริษัทสัญชาติจีนสร้างข้อตกลงที่ไม่โปร่งใส ติดสินบน และใช้หนี้เป็นเครื่องผูกมัดบริษัทและรัฐต่างๆ ในแอฟริกา โดยประธานของ U.S. Overseas Private Investment Corp (OPIC) เคยกล่าวว่า หนี้ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในแอฟริกา มีที่มาจากโครงการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจากจีน ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่ฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ


    อนึ่ง ประธานาธิบดี Trump ลงนามกฎหมายปรับปรุงการให้กู้ยืมแก่โครงการพัฒนาในต่างประเทศ ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา โดยจัดตั้ง U.S. International Development Finance Corp จากการควบรวม OPIC และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องอื่นๆ และมีวัตถุประสงค์เพื่อตอบโต้อิทธิพลที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศของจีน


    Source: BOTSS


    - US-Africa: Bolton unveils plan to counter Russia and China influence: https://www.bbc.com/news/world-us-canada-46559132
     
  18. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    (Dec 17) ธปท.แนะเอสเอ็มอีปรับตัวยกระดับการแข่งขัน : ธปท. แนะเอสเอ็มอีปรับตัวเพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขัน ทั้งการใช้เทคโนโลยีและลดขั้นตอนการทำธุรกิจ ช่วยขยายโอกาสและสร้างความเท่าเทียมแก่เอสเอ็มอี ให้มากขึ้น

    น.ส.ศราวัลย์ อังกลมเกลียว ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลสำรวจ SMEs กว่า 2,400 ราย ทั่วประเทศเพื่อศึกษาปัญหา อุปสรรคและการปรับตัวเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาและช่วยเหลือ SMEs ว่า SMEs ไทยต้องเผชิญกับ 2 ปัญหาหลัก คือ ต้นทุนธุรกิจสูงและการแข่งขันรุนแรง จากทั้ง SMEs ด้วยกันเอง ธุรกิจขนาดใหญ่และธุรกิจ E-Commerce ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการบริโภคสินค้าและบริการในราคาและคุณภาพที่หลากหลาย ส่งผลให้ SMEs ร้อยละ 70 ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย มีเพียงร้อยละ 30 ที่ใช้กลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ และบริหารจัดการต้นทุนให้น้อยลง ส่งผลให้ผลประกอบการดีขึ้นและภาระต้นทุนทางการเงินลดลง

    ทั้งนี้ ผลสำรวจระบุว่า การที่ SMEs ปรับตัวด้วยการเข้าสู่ตลาดออนไลน์ แต่ยังคงขายสินค้าและบริการที่ไม่มีเอกลักษณ์ไม่เพียงพอที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนได้ เนื่องจากตลาดออนไลน์มีการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งจำนวนมากและเน้นแข่งขันด้วยราคา ดังนั้นการมุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการให้แตกต่างจากคู่แข่ง จึงเป็นการสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจในระยะยาว

    ขณะที่ SMEs ในเมืองรองมีความท้าทายมากกว่า SMEs ในเมืองหลัก เพราะตลาดขนาดเล็ก ต้องแข่งขันรุนแรงกับธุรกิจขนาดใหญ่ที่ขยายเข้ามาในพื้นที่ เช่น Modern Trade ห้างสรรพสินค้า โรงแรม นอกจากนี้ยังมีต้นทุนแรงงานสูงเพราะขาดแคลนแรงงาน จากการอพยพย้ายถิ่นเข้าสู่หัวเมือง แรงงานรุ่นใหม่ต้องการทำงานในสำนักงาน และโครงสร้างพื้นฐานไม่เอื้ออำนวย อาทิ ถนนชำรุดคับแคบ ไฟฟ้าดับบ่อย อินเทอร์เนตไม่เสถียร ทำให้ SMEs เมืองรองเสียโอกาสทางการค้าและภาระต้นทุนธุรกิจสูงขึ้น

    ทั้งนี้ ธปท. มองว่า SMEs ต้องปรับตัวเพื่อยกระดับศักยภาพการแข่งขัน ขณะเดียวกันการสนับสนุนให้ SMEs ปรับตัวและใช้เทคโนโลยีด้วยต้นทุนที่ต่ำลง มีภาระด้านต้นทุนกฎเกณฑ์ และขั้นตอนการทำธุรกิจที่ลดลง จะช่วยขยายโอกาสและสร้างความเท่าเทียมแก่ SMEs ให้มากขึ้น โดยเฉพาะ SMEs ในจังหวัดเมืองรอง สำหรับ ธปท. จะต้องมุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินกลางให้เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบการเงิน และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินด้วยต้นทุนที่เหมาะสม

    Source: สำนักข่าวไทย

    - อ่านบทความฉบับเต็ม https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/DocLib_/Article_17Dec2018.pdf

    เอกสาร ธปท.
     
  19. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students


    (Dec 18) ไทยรัฐประกาศ “ลดคน” แล้ว! เปิดโครงการลาออกสมัครใจทุกระดับส่งท้ายปี 61 : สื่อสิ่งพิมพ์ยังต้องเผชิญกับสถานการณ์ยากลำบาก ล่าสุด ค่ายสื่อยักษ์ใหญ่ ไทยรัฐ ได้ออกประกาศ “โครงการลาออกด้วยความสมัครใจ” แล้ว


    โดยระบุว่า ด้วยปัจจุบันสถานการณ์สิ่งพิมพ์ของบริษัทฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายต่อสภาวะเศรษฐกิจและพฤติกรรมการบริโภคสื่อของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้สภาพทางธุรกิจของบริษัทฯ ไม่เป็นไปตามเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าบริษัทฯ จะได้พยายามประคับประคองธุรกิจสิ่งพิมพ์ในทุกวิถีทางอย่างถึงที่สุดแล้วก็ตาม บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องลดโครงสร้างและอัตรากำลังคน เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินการต่อไปได้ บริษัทจึงมีนโยบายให้พนักงานประจำ ในสังกัด บริษัท วัชรพล จำกัด ทุกระดับ สมัครเข้าโครงการลาออกด้วยความสมัครใจ โดยได้รับความช่วยเหลือ มีรายละเอียดตามประกาศ ดังนี้


    ทั้งนี้ พนักงานที่ประสงค์เข้าร่วมโครงการ ให้กรอกแบบฟอร์มแสดงความประสงค์ ที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ตั้งแต่วันที่ 17-30 ธันวาคม 261


    โดยผลตอบแทนตามโครงการ ประกอบไปด้วย


    - เงินช่วยเหลือตามอายุงาน โดยให้นับอายุงานตั้งแต่วันเข้าทำงาน จนถึง 31 มกราคม 2562

    - เงินช่วยเหลือพิเศษอีก 30 วัน


    โดยพนักงานที่ได้รับพิจารณาอนุมัติ จะพ้นสภาพการเป็นพนักงานในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 และจะได้รับเงินช่วยเหลือเป็นเช็ค ในวันที่ 30-31 มกราคม 2562 ประกาศเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2561 ลงชื่อ ยิ่งลักษณ์ วัชรพล ประธานกรรมการบริหาร


    ทั้งนี้ สำหรับเม็ดเงินโฆษณาสื่อหนังสือพิมพ์ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา มียอด 555 ล้านบาท ติดลบ 17.41 % และสำหรับยอด 11 เดือนที่ผ่านมา มียอด 5,589 ล้านบาท ลดลง 20.95% เป็นการลดลงต่อเนื่อง.


    Source: positioningmag.com


    https://positioningmag.com/1203393
     
  20. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,257
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Khaosod - ข่าวสด


    พรุ่งนี้เริ่มร้อนแล้ว อุณหภูมิกลับมาสูงขึ้น 4 องศา #Khaosod #ข่าวสดข่าวด่วน


     

แชร์หน้านี้