Bank of Thailand Scholarship Students
(Jan 4) กรมอุตุฯ ฉบับ 18 “พายุปาบึก” ขึ้นไทยแล้ว ที่ อ.ปากพนัง ไป อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช : กรมอุตุฯ ฉบับ 18 “พายุปาบึก” ขึ้นไทยแล้ว ที่ อ.ปากพนัง ไป อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช และคาดว่าจะอ่อนตัวลงเป็นดีเปรสชันเคลื่อนตัวเข้า จ.สุราษฎร์ธานี ต่อไป
วันนี้ (4 ม.ค.) กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนภัยพายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) ฉบับที่ 18 ระบุว่า เมื่อเวลา 12.45 น. ของวันนี้ (4 ม.ค. 62) พายุโซนร้อน “ปาบึก” (PABUK) ได้เคลื่อนขึ้นฝั่งบริเวณระหว่างอำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว หรือ ที่ละติจูด 8.2 องศาเหนือ ลองจิจูด 100.2 องศาตะวันออก ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางประมาณ 75 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุนี้กำลังเคลื่อนตัวทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็ว 18 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คาดว่า พายุนี้จะอ่อนกำลังลงเป็นพายุดีเปรสชันและจะเคลื่อนเข้าปกคลุมจังหวัดสุราษฎรธานีในระยะต่อไป ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคใต้มีฝนตกเป็นบริเวณกว้าง และมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายจากฝนตกหนักถึงหนักมาก ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ โดยมีผลกระทบดังนี้
ในวันที่ 4 มกราคม 2562 จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และ สตูล
ในวันที่ 5 ม.ค. 2562 จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ กับมีลมแรงบริเวณจังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และ สตูล
สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยและทะเลอันดามันจะมีกำลังแรง โดยอ่าวไทยมีคลื่นสูง 3-5 เมตร ส่วนทะเลอันดามัน มีคลื่นสูง 2-3 เมตร ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ชายฝั่งภาคใต้ฝั่งตะวันออกระวังอันตรายจากลมแรง และคลื่นลมแรงที่พัดเข้าหาฝั่ง ชาวเรือควรงดการเดินเรือจนถึงวันที่ 5 มกราคม 2562
ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวพยากรณ์อากาศ และประกาศเตือนภัยได้ที่เว็บไซต์กรมอุตุนิยมวิทยา https://www.tmd.go.th หรือสายด่วนพยากรณ์อากาศ 1182 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
Source: ผู้จัดการออนไลน์
เพิ่มเติม
- Tropical Storm Pabuk makes landfall on Thailand's east coast
https://www.theguardian.com/world/2...al-storm-pabuk-could-be-worst-in-a-generation
- ข่าวดี พายุโซนร้อน 'ปาบึก' อ่อนกำลังลงเป็นดีเปรสชัน จ่อเข้าสุราษฎร์ธานี
https://www.thaipost.net/main/detail/25767
- 4 องคมนตรี รับทราบสถานการณ์ “ปาบึก” ใกล้ชิด “กฤษฎา” สั่งเตรียมฟื้นฟูเกษตรกร 16 จังหวัด
https://www.prachachat.net/local-economy/news-274013
- ร.10พระราชทานพระราโชบายให้ปชช.กลับไปใช้ชีวิตปกติโดยเร็ว: https://www.dailynews.co.th/politics/686069
ติดตามสถานะการณ์
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.
หน้า 2132 ของ 11172
-
-
สถาบันสอนอาชีพชี้ช่องรวย
อยู่ยังไง? ผักไทย...ตายแน่
ผักจากจีนทะลักเข้าผ่านชายแดนเชียงรายไม่หยุด! ผ่านตู้คอนเทนเนอร์ ท่าเรือ “กวนเหล่ย”
#วิกฤติผักไทย #ผักจีนทะลัก #ท่าเรือกวนเหล่ย #ชายแดนเชียงราย
-
China Xinhua News
ไร้แววงบกำแพง! สภา ส.ส. สหรัฐฯ ผ่านร่างงบ ‘ยุติชัตดาวน์’ หลังยืดเยื้อนาน 13 วัน
.
คืนวานนี้ (3 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาซึ่งขณะนี้มีพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมาก ผ่านร่างกฎหมายที่จะทำให้ยุติการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลบางส่วน ซึ่งปิดทำการมานานเกือบ 13 วัน
.
ภายใต้ร่างกฎหมายดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตร กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง และหน่วยงานอื่นๆ จะได้รับงบประมาณจนถึงวันที่ 30 กันยายน ซึ่งคือวันสิ้นสุดปีงบประมาณ
.
ไม่กี่ชั่วโมงก่อนการลงมติในสภา ทำเนียบขาวรายงานว่าที่ปรึกษาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แนะนำให้เขาใช้สิทธิ์วีโต้ต่อมาตรการดังกล่าว หากสภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายโดยไม่มีงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกที่ทรัมป์ต้องการ (ราว 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
.
แนนซี เพโลซี ส.ส.พรรคเดโมแครตและโฆษกสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่ ยืนกรานอย่างหนักแน่นก่อนลงมติว่าจะไม่มีงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงชายแดนแน่นอน
-
China Xinhua News
เคาะวันแล้ว! ปักกิ่งเปิด “ต้าซิง” สนามบินหงส์ไฟก่อนฉลองวันชาติปีนี้
.
จีนเปิดเผยกำหนดการเปิดท่าอากาศยานนานาชาติปักกิ่ง ต้าซิง (Beijing Daxing International Airport) อภิมหาโครงการก่อสร้างมูลค่า 80,000 ล้านหยวน (ราวสี่แสนล้านบาท) ที่มุ่งยกระดับการคมนาคมระหว่างประเทศและกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเบื้องต้นเป็นวันที่ 30 ก.ย. นี้
.
สำนักงานท่าอากาศยานฯ ระบุว่างานก่อสร้างภายในคืบหน้ากว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะงานก่อสร้างภายนอกได้เสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงข่ายท่อน้ำประปาและสถานีไฟฟ้าย่อยก็พร้อมใช้งาน ด้านท่อส่งก๊าซธรรมชาติอยู่ระหว่างการก่อสร้างและจะเปิดใช้งานในอีกไม่ช้า
.
อนึ่ง นายชุย เสี่ยวฮ่าว รองหัวหน้าคณะกรรมการการปฏิรูปและการพัฒนาเทศบาลนครปักกิ่ง และรองผู้อำนวยการสำนักงานท่าอากาศยานฯ แห่งใหม่ คือผู้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในวันพฤหัสบดี (3 ม.ค.) ที่ผ่านมา
-
China Xinhua News
สหรัฐอเมริกาเสนอขายระบบขีปนาวุธแพทริออทราคา 3,500 ล้านดอลลาร์ให้ตุรกี
.
วานนี้ (4 ม.ค.) มีรายงานจาก Anadolu Agency สำนักข่าวของรัฐบาลตุรกี ว่าตัวแทนจากสหรัฐอเมริกาได้ยื่นข้อเสนออย่างเป็นทางการเพื่อขายระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศแพทริออท ให้กับตุรกี
.
คณะผู้แทนจากสหรัฐฯ ที่อยู่ในระหว่างการเยือนตุรกีในขณะนี้ ได้จัดการประชุมร่วมกับตัวแทนจากกระทรวงต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม และสำนักงานอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศของตุรกี ในกรุงอังการา เมืองหลวงของตุรกี
.
แหล่งข่าวอ้างว่า คณะผู้แทนจากสหรัฐฯ ยื่นข้อเสนอขายขีปนาวุธแพทริออทมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ให้กับตุรกี แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพิ่มเติม
.
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติให้ขายระบบป้องกันการก่อการร้ายทางอากาศและระบบป้องกันขีปนาวุธให้กับตุรกี เมื่อเดือนธันวาคม 2018 ในขณะที่นายอิบราฮิม คาลิน โฆษกรัฐบาลตุรกีกล่าวว่า การซื้อขายแพทริออทจะไม่ส่งผลกระทบต่อข้อตกลงระหว่างอังการากับมอสโก ว่าด้วยเรื่องการซื้อระบบขีปนาวุธจากภาคพื้นสู่อากาศรุ่น S-400
.
สหรัฐฯ เตือนตุรกีว่าการซื้อขีปนาวุธ S-400 จากรัสเซียนั้นอาจจะส่งผลลบต่อความสัมพันธ์ตุรกี-สหรัฐฯ รวมถึงบทบาทของตุรกีในนาโตด้วย ส่วนทางตุรกีชี้ว่าจะซื้อระบบแพทริออทของสหรัฐอเมริกา แต่นั่นไม่ได้อยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าจะต้องละทิ้งระบบ S-400 ของรัสเซีย
-
China Xinhua News
อัยการซาอุฯ เรียก ‘โทษประหาร’ 5 ผู้ต้องหาฆาตกรรม ‘คาชอกกี’
.
วานนี้ (3 ม.ค.) สำนักข่าวซาอุดีฯ (Saudi Press Agency-SPA) รายงานว่า กรมอัยการของซาอุดีอาระเบียเรียกร้องโทษประหารผู้ต้องหา 5 ราย จากทั้งหมด 11 ราย ในคดีฆาตกรรมนายจามาล คาชอกกี อดีตนักข่าววอชิงตันโพสต์ที่ถูกสังหารในตุรกี
.
อัยการประกาศคำร้องดังกล่าวระหว่างการพิจารณาคดีครั้งแรกที่ศาลอาญาในกรุงรียาด เมืองหลวงของซาอุดีอาระเบีย
.
อัยการสูงสุดของซาอุฯ ยังเปิดเผยอีกว่า กรมอัยการยังคงไม่ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับคดีจากฝ่ายตุรกีมาจนกระทั่งตอนนี้
.
นายจามาล คาชอกกี ถูกฆาตกรรมภายในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียประจำกรุงอิสตันบูล เมื่อเดือนตุลาคม 2018 และต่อมามีการจับกุมเจ้าหน้าที่ซาอุฯ จำนวนหนึ่งเนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าว
-
China Xinhua News
พายุ "Zeetje" บุกเยอรมนี เกิดภัยพิบัติน้ำท่วมเมืองมรดกโลก
.
ชมภาพที่ถูกบันทึกไว้เมื่อเร็วๆนี้ ของวิสมาร์ (Wismar) สตรัลซุนด์ (Stralsund) เมืองยุคกลางที่ตั้งอยู่ใกล้ชายฝั่งทะเลบอลติก ทางตอนเหนือของเยอรมนี และถูกจารึกไว้เป็นหนึ่งในสถานที่มรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี 2002 ซึ่งเกิดภัยพิบัติน้ำท่วมอันเป็นผลมาจากพายุ "Zeetje" ที่บุกเข้ามายังพื้นที่ทางตอนเหนือของเยอรมนีตั้งแต่ช่วงปีใหม่
.
โดยเมืองวิสมาร์นั้นเป็นหนึ่งในเมืองที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นจากปกติราว 1.7-1.8 เมตร และส่งผลให้การออกหาปลาของชาวประมง บริการเรือเฟอร์รี่ และการขนส่งสินค้าทางเรือ ต้องหยุดชะงักลง รวมถึงมีคำสั่งปิดถนนที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ และสั่งให้ผู้คนเคลื่อนย้ายรถยนต์ของตนออกจากพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม
.
โดยเบื้องต้นไม่มีรายงานพบผู้เสียชีวิต แต่มีรายงานพบผู้บาดเจ็บจำนวน 3 ราย จากเหตุการณ์รถชนต้นไม้ที่ล้มลงมา
-
China Xinhua News
เปิดกรุ! สุสานอายุกว่า 2,000 ปีแห่งเมืองชิงเต่า
.
เมื่อเร็วๆนี้ กลุ่มนักโบราณคดีจีนได้เปิดเผยการค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมาก จากหลุมศพในอำเภอผิงตู้ เมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ทางตะวันออกของจีน
.
วัตถุโบราณที่ถูกค้นพบในครั้งนี้ นอกจากจะมีเครื่องปั้นดินเผาที่ถูกตกแต่งด้วยภาพวาดจำนวนกว่า 40 ชิ้น และหม้อชนิดต่างๆแล้ว ยังมีรูปปั้นที่มีลักษณะเหมือนมนุษย์และม้าจำนวนไม่น้อยอีกด้วย ซึ่งการขุดค้นครั้งนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ในเดือนมิถุนายนปี 2018
.
หลินยวี่ไห่ หัวหน้าสถาบันการเก็บรักษาวัตถุโบราณทางวัฒนธรรมและโบราณคดีแห่งชิงเต่ากล่าวว่า "รูปปั้นเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าของหลุมฝังศพอาจเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐของมณฑลซานตง ในสมัยราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสตศักราช – ค.ศ.220)"
.
หัวของรูปปั้นม้าทุกตัวล้วนถูกวางให้หันไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “จี๋โม่” เมืองหลวงโบราณ ในคาบสมุทรชานตงเมื่อ 2,000 ปีก่อน
.
ขณะนี้ การขุดยังคงดำเนินต่อไปในพื้นที่ใกล้เคียง กลุ่มนักโบราณคดีได้ค้นพบหลุมฝังศพทั้งหมด 15 แห่ง ซึ่งคาดว่าถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกตอนกลาง (206 ปีก่อนคริสตศักราช – ค.ศ.8) และคาดว่าเป็นหลุมศพของตระกูลใหญ่ของจีน 2 ตระกูล
-
China Xinhua News
ร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์! “กระต่ายหยก” วิ่งสำรวจ “ด้านมืด” ดวงจันทร์ครั้งแรก
.
องค์การอวกาศแห่งชาติจีน (CNSA) ประกาศความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ของวงการอวกาศจีนและโลก หลังจากหุ่นยนต์สำรวจดวงจันทร์ “อี้ว์ทู่-2” (Yutu-2) หรือกระต่ายหยก-2 ของจีน สามารถเคลื่อนตัวจากยานลงจอดสู่พื้นผิวด้านไกล (far side) หรือด้านมืดของดวงจันทร์อย่างราบรื่น เมื่อคืนวันพฤหัสบดี (3 ม.ค.) ที่ผ่านมา
.
รายงานระบุว่าหุ่นยนต์สำรวจฯ อี้ว์ทู่-2 เคลื่อนตัวสัมผัสพื้นผิวดวงจันทร์และสร้างร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ในเวลา 22.22 น. ตามเวลาท้องถิ่นปักกิ่ง โดยขั้นตอนทั้งหมดถูกบันทึกไว้ด้วยกล้องถ่ายภาพของยานลงจอด และภาพถ่ายถูกส่งกลับมายังภาคพื้นโลกผ่านดาวเทียมสื่อสาร “เชวี่ยเฉียว” (Queqiao) ที่แปลว่าสะพานนกกางเขน
.
ทั้งนี้ ยานสำรวจดวงจันทร์ฉางเอ๋อ-4 (Chang'e-4) ของจีน ซึ่งประกอบด้วยยานลงจอดกับหุ่นยนต์สำรวจฯ ถูกส่งขึ้นสู่ห้วงอวกาศตั้งแต่วันที่ 8 ธ.ค. 2018 และลงจอดบนด้านไกลของดวงจันทร์ในช่วงเช้าวานนี้ (3 ม.ค.) ต่อจากนั้นก็จัดตั้งระบบสื่อสารระหว่างภาคพื้นโลกกับด้านไกลของดวงจันทร์ โดยอาศัยดาวเทียมเชวี่ยเฉียวเป็นสื่อกลาง
.
นอกจากการจัดตั้งการสื่อสารแล้ว ยังมีการจัดตั้งการชี้วัดสภาพแวดล้อมของพื้นที่ลงจอด สภาพเครื่องไม้เครื่องมือของยานสำรวจฯ รวมถึงทิศทางของแสงอาทิตย์ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแยกตัวของยานลงจอดและหุ่นยนต์สำรวจฯ โดยทีมผู้เชี่ยวชาญส่งคำสั่งแยกตัวถึงยานสำรวจฯ ผ่านดาวเทียมเชวี่ยเฉียวในเวลา 15.07 น. ของวานนี้
.
ศูนย์ควบคุมการบินและอวกาศปักกิ่ง (Beijing Aerospace Control Center) ระบุว่าหลังจากรับคำสั่งดังกล่าว หุ่นยนต์สำรวจฯ อี้วทู่-2 ซึ่งตั้งอยู่บนยอดยานสำรวจฯ ฉางเอ๋อ-4 ได้กางแผงโซลาร์เซลล์ ยืดเสาอากาศ และเริ่มขับเคลื่อนเข้าสู่ส่วนกลไกเคลื่อนย้าย ซึ่งปลดล็อกส่วนรางลงแตะพื้นผิวดวงจันทร์ เพื่อเปิดทางให้หุ่นยนต์สำรวจฯ วิ่งลงสู่พื้นผิวสำเร็จ
-
ข่าวช่อง 8
เรือประมงเจอคลื่นพายุปาบึก ซัดเรืออับปางกลางอ่าวปัตตานี ไต้เรือและลูกเรือ 6 คนตัดสินใจกระโดดเรือหนีลอยคอกลางน้ำ 2 ชั่วโมง ล่าสุดเสียชีวิต 1 สูญหาย 1 คน
#พายุปาบึก #ข่าวช่อง8
-
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jan 4) เอสเอ็มอีระทม เจอเศรษฐกิจฝืด พ่วงกู้บัญชีเดียว :แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2562 หรือปีหมูทอง ที่ไม่น่าสดใส เพราะเจอสงครามการค้า ที่คาดว่าจะยืดเยื้อต่อไปอีก เพราะสหรัฐกับจีนยังไม่มีทีท่าจะจับมือกันได้ง่ายๆ ทำให้เครื่องยนต์หลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย อย่างการส่งออกลดความร้อนแรง ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในปี 2562 ผลกระทบจากสงครามการค้าของสหรัฐกับจีนจะเป็นรูปธรรมมากขึ้น และถ้าหากส่งผลยืดเยื้อถึงสิ้นปีจะกระทบการส่งออกของไทยไปตลาดโลกเป็นมูลค่าราว 2,400-2,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5-0.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยธุรกิจไทยในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พลาสติกผลิตภัณฑ์ยาง เหล็ก รถยนต์ และส่วนประกอบที่เกี่ยวเนื่อง ทำให้เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตหรือจีดีพี อยู่ที่ระดับ 4.0 ซึ่งต้องอาศัยแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนมาช่วยเสริม เพื่อให้สามารถชดเชยโมเมนตัมของภาคต่างประเทศที่ผ่อนแรงลงได้
การส่งออกที่ชะลอตัวลง ผสมกับภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ย่อมส่งกระทบต่อเนื่องไปยังผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอีด้วย ทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เอสเอ็มอีเป็นตัวจุดชนวนความคึกคักเศรษฐกิจฐานราก อาจไม่เป็นดังคาด เพราะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเองก็ถูกบีบให้เข้าระบบจากภาครัฐ ผ่านมาตรการเอสเอ็มอีบัญชีเดียว
ขณะที่ผลสำรวจจำนวนเอสเอ็มอีของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ กับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจว่า จากข้อมูลสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานว่ามีจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย มีประมาณ 2.49 ล้านราย
แต่ผลสำรวจจำนวนเอสเอ็มอี พบว่า ยังมีผู้ประกอบการธุรกิจรายย่อย หรือจุลเอสเอ็มอี ที่ไม่มีการจดนับในสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม อีกมากถึง 2.76 ล้านราย ได้แก่ กลุ่มผู้ค้า แผงค้าในตลาด กลุ่มนี้ตกสำรวจอีกกว่า 1.28 ล้านราย กลุ่มหาบเร่หรือแผงลอย อีกกว่า 5.64 แสนราย ยังมีพวกกลุ่มรถจำหน่ายอาหารเคลื่อนที่ หรือฟู้ดทรัค รถพุ่มพวงอีกกว่า 9 หมื่นราย กลุ่มร้านค้าออนไลน์ ที่ยังไม่เข้าระบบอีกกว่า 4 แสนราย สรุปว่าจากข้อมูล 2 ส่วน ทำให้รู้ว่ามีจำนวนเอสเอ็มอีไทยในระบบมากกว่า 5.23 ล้านราย
นี่ถือเป็นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐในการสนับสนุน ยกระดับเอสเอ็มอีให้ได้มาตรฐาน เพราะในจำนวนเอสเอ็มอีกว่า 5.23 ล้านราย มีเอสเอ็มอีที่ยอมจดทะเบียนเป็นนิติบุคลลเพื่อเข้าสู่ระบบเพียง 7-8 แสนรายทำให้ยังเหลือเอสเอ็มอีที่ไม่จดทะเบียนอีกกว่า 4.5 ล้านราย เมื่อมาพิจารณารวมกับมาตรการรัฐที่กรมสรรพากร กำหนดให้เอสเอ็มอีต้องเข้าสู่มาตรฐานเอสเอ็มอีบัญชีเดียวที่จะเริ่มใช้ในปี 2562 สำหรับเป็นหลักฐานในการยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน จะยิ่งทำให้การเข้าสู่ระบบ ทั้งการขอสินเชื่อ การได้รับประโยชน์จากมาตรการรัฐต่างๆ ของเอสเอ็มอียิ่งห่างไกลออกไป
ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า เอสเอ็มอีส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าระบบเพราะมองว่าตัวเองมีหลักประกันไม่เพียงพอ โครงการไม่น่าสนใจ ประวัติการชำระหนี้ไม่ดี ไม่มีแผนธุรกิจ งบการเงินไม่ดี ยิ่งปีหน้ารัฐออกมาตรการเอสเอ็มอีบัญชีเดียวยิ่งสร้างความกังวล และมีโอกาสที่จะหวนกลับไปก่อหนี้นอกระบบได้ง่ายมากขึ้น ประกอบกับปีหน้า เชื่อว่าเศรษฐกิจจะมีการฟื้นตัวแม้สัญญาณจะไม่ขึ้นโดดเด่น แต่คาดว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีหน้า เอสเอ็มอีจะเริ่มต้องการเงินสินเชื่อเพื่อเอาไปเป็นทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการ พัฒนาคุณภาพสินค้า เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน
แต่ปัญหาคือ หากไม่เข้าระบบบัญชีเดียวจะมีสถาบันการเงินไหนกล้าปล่อยกู้ ซึ่งเชื่อว่าในปี 2562 จะเป็นปีแห่งความยากลำบากของเอสเอ็มอี ทั้งขายของไม่ดี เพราะเศรษฐกิจไม่ดี คนไม่มีกำลังซื้อแล้วยังถูกบีบด้วยมาตรการรัฐ ที่ต้องการผลักดันคนเข้าสู่ระบบ เพื่อใช้เป็นฐานภาษีในการหารายได้ในอนาคต เท่ากับว่าถ้าเอสเอ็มอีรายไหนที่ยังละล้าละลังไม่เตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องเอกสารการทำบัญชีที่โปร่งใส และการพัฒนาคุณภาพสินค้าเพื่อรองรับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป ก็มีโอกาสสูงมากที่จะต้องล้ม หรือปิดกิจการกันไป
ด้าน มงคล ลีลาธรรม กรรมการผู้จัดการ ธพว. กล่าวว่า ในจำนวนเอสเอ็มอีที่ไม่จดทะเบียนกว่า 4.5 ล้านราย ในจำนวนนี้กว่า 80% หรือกว่า 3 ล้านราย เป็นกลุ่มที่ไม่มีความพร้อมในการทำบัญชีเดียว จำเป็นต้องหามาตรการช่วยเหลือ เพื่อรอให้กลุ่มนี้ได้ปรับตัว เพื่อปรับสภาพการทำงาน จากที่ค้าขายด้วยเงินสด ต้องหักทำบัญชี หรือการเดินไปขอจดทะเบียนตั้งเป็นนิติบุคคลเป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งการจะช่วยเอสเอ็มอี ยกระดับให้รอดไม่ใช่เพียงการปล่อยสินเชื่อ แต่ต้องให้องค์ความรู้ในการพัฒนาต่อยอดสินค้า และหาช่องทางการตลาดไปด้วย
อย่างไรก็ดี เห็นว่าในช่วงของการเปลี่ยนผ่านที่จะต้องเข้าสู่ยุค 4.0 รัฐบาลควรให้โอกาสผู้ประกอบการรายกลางรายเล็กปรับตัวมากกว่านี้ เพราะที่ประกาศมา 2 ปี ถือว่ายังอ่อนประชาสัมพันธ์ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ทำให้การค้าการขายไม่คล่องตัว ผู้ประกอบการยังกังวลกับสภาพธุรกิจ ทำให้ยังไม่ตระหนักถึงข้อดีของการเข้าสู่ระบบ และยังไม่มั่นใจว่าเมื่อเข้าสู่ระบบแล้วจะถูกรัฐรีดภาษีแค่ไหนอย่างไร
ก่อนหน้ามีการเสนอให้ขยายเพดานการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแวต จากปัจจุบันต้องจดทะเบียนภาษีแวตเมื่อมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี เสนอเพิ่มเป็นเกิน 10 ล้านบาท/ปี แก้ปัญหาผู้ประกอบการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีแวต เนื่องจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปัจจุบันมีรายได้อยู่ปีละ 7-8 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่มีรายได้ไม่ถึง 10 ล้านบาท ไม่ต้องจดทะเบียนขึ้นภาษีแวต จะต้องเสียภาษีจากการขายจากรายรับ 2% ทดแทน
ทั้งนี้ เห็นว่าการปฏิรูปทั้งระบบควรทำไปพร้อมกัน เพื่อให้เกิดการยอมรับ เพราะหากรัฐบาลต้องการขยายฐานภาษี ด้วยการดึงเอสเอ็มอีเข้าระบบบัญชีเดียว ก็ควรจะได้ข้อสรุปเรื่องการทบทวนเรื่องโครงสร้างภาษีใหม่ให้แล้วเสร็จก่อนด้วยเพราะกฎหมายบางตัวใช้มานานหลายสิบปี อย่าหวังแต่ยอดการดึงคนเข้าระบบ เพราะสุดท้ายแล้วถ้าเอสเอ็มอีไม่สามารถเข้าระบบสินเชื่อได้ ก็จะมีปัญหาอื่นตามมาให้รัฐบาลแก้ต่อไป นั่นคือ เรื่องเจ้าหนี้นอกระบบที่จะฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งนั่นเอง
โดย กนกวรรณ บุญประเสริฐ
Source: Posttoday -
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jan 4) เมื่อจีนเป็นหวัด : ความใหญ่ของเศรษฐกิจจีนนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ คนที่คิดปฏิเสธคือคนที่หลุดโลก คำกล่าวเมื่อสองทศวรรษว่า เมื่อใดที่จีนเป็นหวัด ชาติข้างเคียง มีโอกาสเข้าไอซียู อาจจะดูเกินเลยไปบ้าง แต่ต้องยอมรับว่ามีโอกาสเป็นไปได้ หากประมาทเลินเล่อ
ล่าสุดเช้าวานนี้ มีการประกาศตัวเลขล่าสุดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน ซึ่งมาร์กิตจัดทำร่วมกับไฉซิน อยู่ที่ระดับ 49.7 ในเดือนธันวาคม ลดลงจากเดือนพฤศจิกายนปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ระดับ 50.2 โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนขยายตัวต่ำกว่า 50 เป็นครั้งแรกในรอบ 19 เดือน นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560
การตีความทั่วไป ระบุว่าเมื่อดัชนี PMI เคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนอยู่ในภาวะหดตัว ขณะที่ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงภาวะขยายตัวในภาคการผลิต
ไม่ต้องสงสัยอะไรเลยว่า ฤทธิ์เดชของสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ส่งผลรูปธรรมที่ชัดเจน
ผลพวงที่ตามมาจากข่าวร้ายดังกล่าว ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ร่วงไปกว่า 25 จุด และฮั่งเส็งของฮ่องกงร่วงกว่า 600 จุด
การถดถอยของเศรษฐกิจจีน ทำให้ตอกย้ำแนวทางวิเคราะห์เมื่อกลางเดือนธันวาคมของนายเจสัน ดอว์ นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนของธนาคารใหญ่ฝรั่งเศส โซซิเอเต้ เจนเนอราล ในสิงคโปร์ ล่าสุดเพิ่งออกบทวิเคราะห์ตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลกว่า ปีที่แล้วที่เพิ่งผ่านไปเป็นแค่การเผาหลอกเท่านั้น ปีนี้ต่างหากตลาดเกิดใหม่จะมีปรากฏการณ์เผาจริง
เหตุผลที่นายดอว์นำมาอธิบาย คือ ปริมาณเงินหมุนเวียนในตลาดเก็งกำไรทั่วโลกจะเหือดหายลงไปมากทีเดียว เพราะมาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของโลกจากสหรัฐฯ และล่าสุดสหภาพยุโรปที่เรียกว่า QE ถูกยกเลิกไป (เหลือแค่เพียงญี่ปุ่นที่คงเพิ่มมาทดแทนไม่ได้)
ปริมาณเงินที่เหือดแห้งลง ตามมาด้วยผลพวงต่อเนื่องของเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อของชาติต่าง ๆ จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราหวั่นไหว เงินจะไหลจากการปรับพอร์ตจากตลาดเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูงไปสู่ตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าตลาดตราสารหนี้ หรือตลาดพันธบัตรจะกลายเป็นตลาดที่ถือว่าปลอดภัยกว่า แต่ตลาดหุ้น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน จะเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ส่วนหนึ่งของความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดเจนคือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะย่ำแย่ลงเพราะสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนที่ทำท่าบานปลายต่อเนื่องเป็นศึกยืดเยื้อยาวนาน
ดังนั้น ไม่ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยกี่ครั้ง ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะทุ่มเงินแทรกตลาดเงินมากแค่ไหน หรือราคาน้ำมันจะขึ้นหรือลง ความเสี่ยงของตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่อย่าง อินเดีย บราซิล จีน จะพุ่งแรง ส่วนตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ก็น่าจะมีผลข้างเคียงตามไปด้วย
จีนเองก็ดูเหมือนจะรู้ตัวดีถึงผลสะเทือนทางลบนี้ เพราะเมื่อกลางเดือนธันวาคม ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ประกาศเปิดตัวเครื่องมือทางการเงินประเภทใหม่ เพื่อกระตุ้นการปล่อยกู้ให้กับธุรกิจขนาดเล็กและบริษัทเอกชน
เครื่องมือประเภทใหม่นี้มีชื่อว่า โครงการเงินกู้ระยะกลางแบบกำหนดกลุ่มเป้าหมาย (targeted medium-term lending facility หรือ TMLF) โดยขณะนี้ ทางแบงก์ชาติกำลังเปิดรับสมัครธนาคารที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เพื่อรับเงินทุนระยะยาวที่มีเสถียรภาพ นำไปสนับสนุนธุรกิจของตนต่อไป
PBOC ระบุว่า ระดับการเข้าถึงโครงการ TMLF สำหรับสถาบันการเงิน จะขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโตของเงินกู้ที่ปล่อยให้แก่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม รวมถึงบริษัทเอกชน
ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ธนาคารแบบรวมหุ้น และธนาคารพาณิชย์ประจำหัวเมืองใหญ่ ที่มีการปล่อยกู้เป็นจำนวนมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจที่แท้จริง และมีการดำเนินการตรงตามเกณฑ์การกำกับดูแลความมั่นคงในภาพรวมนั้น จะมีสิทธิสมัครเข้าโครงการ TMLF ซึ่งครบกำหนดสูงสุด 3 ปี ในอัตราดอกเบี้ย 3.15% ต่อปี ซึ่งน้อยกว่าโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน 0.15%
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางจีนใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง MLF เพื่อบริหารสภาพคล่องระยะสั้นและระยะกลางในระบบธนาคารของจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก
นอกจากนี้ ธนาคารกลางจีนยังได้ประกาศเพิ่มโควตาการได้รับเงินกู้ relending และ rediscount อีก 1 แสนล้านหยวน (ประมาณ 1.45 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากการประกาศเพิ่มโควตาก่อนหน้านี้ได้ปรากฏให้เห็นประสิทธิภาพในการส่งเสริมการจัดหาเงินทุนแก่ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม รวมถึงบริษัทเอกชน
มาตรการของ PBOC สอดรับกับแนวทางของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของประเทศจีน (CSRC) หรือ ก.ล.ต.จีน ที่เตรียมสนับสนุนให้บริษัทหลักทรัพย์จีนออกโครงการซื้อหุ้นคืน และทำธุรกรรมควบรวมกิจการและซื้อกิจการ (ทั้งฉันมิตรหรืออื่น ๆ) อีกทั้งเตรียมเพิ่มสภาพคล่องในตลาด พร้อมลดการแทรกแซงตลาดทุนหากไม่จำเป็น เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้นสำหรับนักลงทุน พร้อมระบุว่า CSRC จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้าสู่ตลาดมากขึ้น
ประกาศดังกล่าวแม้จะไม่มีผลเกิดขึ้นทันที แต่ในยามที่ค่าหยวนต่ำสุดในรอบหลายปีเทียบกับดอลลาร์ และมีแนวโน้มสำนักวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์เรื่องการลงทุนก็กำลังคิดจะปรับลดอัตราเติบโตของจีดีพีจีนลง ก็ถือเป็น “ขอนไม้ผุกลางลำธารเชี่ยว” และเป็น “มือที่มองเห็น” ในกลไกเศรษฐกิจแบบจีนที่เลียนแบบยาก เพียงแต่ในเชิงสัญลักษณ์ ถือว่าเป็นแค่การทำให้บรรยากาศ “หมี” ในตลาดหุ้นจีนที่ดำเนินมานานหลายเดือน พอมีความหวังมากขึ้นว่า ก.ล.ต.จีนยัง “เอาอยู่”
นอกจากนั้น จีนยังสร้างตัวช่วยอีกหลายด้าน เช่นมาตรการปล่อยสินเชื่อที่ยืดหยุ่นของธนาคารพาณิชย์ มาตรการของบริษัทหลักทรัพย์ มาตรการจูงใจต่างชาติเข้ามาในตลาดทุนจีน และการกำกับค่าเงินหยวน เรียกว่าเตรียมกองหลังให้สนับสนุนกองหน้าเต็มตัวทีเดียว เพื่อรับกับสถานการณ์เลวร้าย
การเตรียมความพร้อมของจีน ยืนยันจากท่าทีของผู้นำอย่าง สีจิ้น ผิง ที่กล่าวในการประชุม G20 เมื่อเดือนธันวาคมว่า จีนยอมรับและเตรียมความพร้อมในการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ต่อไป เพราะเจตนารมณ์ที่เขาแบกรับมาจากสมัชชาประชาชนจีนปีก่อนหน้านี้คือ ทำให้ยุคสมัยของเขาแตกต่างจากยุคเหมาและเติ้ง ด้วยการยกระดับเป็นเจ้าเทคโนโลยีของโลก ใช้แนวคิดการพัฒนาใหม่ที่เน้นวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โปร่งใส และกระจายประโยชน์ ภายใต้คำขวัญ “เมด อิน ไชน่า 2025” ที่เป็นต้นเหตุของสงครามการค้าในปัจจุบัน
ภารกิจอันใหญ่หลวงที่สีต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า 2 เรื่อง (แลกกับฉันทานุมัติให้เขาเป็นผู้นำพรรคโดยไม่กำหนดเวลา) คือ 1) ให้จีนเป็นเจ้าเทคโนโลยีตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ 2) ผลักดันถนนสายใหม่ “One Belt, One Road” มีความคืบหน้าให้มากที่สุด เพื่อสลัดทิ้งจากโมเดลเศรษฐกิจเดิม ๆ ของธนาคารโลก-กองทุนการเงินระหว่างประเทศ
เรื่องแรกมีความสำคัญมากสุด เพราะหากไม่สำเร็จ อนาคตของจีนก็จะตกเป็นเบี้ยล่างสหรัฐฯ ไปอีกยาวนาน แต่เรื่องหลังก็ไม่อาจทิ้งได้ เพราะไม่เช่นนั้นชาติในโครงการที่จีนไปชักชวนมาร่วมวงศ์ไพบูลย์จะมองว่า สี จิ้นผิง เป็น “ศรีธนญชัย”
เป้าหมายที่ไม่อาจถอยหลังกลับเช่นนี้ ทำให้แรงกดดันที่สี จิ้นผิงและพวกต้องแบกรับเป็นปรากฏการณ์ “สี ทนได้” จึงเป็นเดิมพันที่ใหญ่มหึมาสำหรับอนาคตจีน เพราะมาตรการที่ออกมาใหม่ มุ่งไปที่การลดการพึ่งพารายได้จากการค้าระหว่างประเทศที่เป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญในช่วง 20 ปีนี้ของจีน (คิดเป็น 33% ของ GDP)
การ “ติดหวัด” ของจีนจากตัวเลข PMI จึงเป็นระยะเปลี่ยนผ่านสำคัญที่ถือเป็นบทพิสูจน์รากฐานเศรษฐกิจของจีน แต่สำหรับชาติอื่น ๆ ที่มีความเปราะบางกว่า ช่วงเวลานี้ หมิ่นเหม่ต่อหายนะไม่น้อย
Source: ข่าวหุ้น
เพิ่มเติม
- Chinese manufacturing had an even worse December than expected, more data show
https://www.cnbc.com/2019/01/02/chi...-manufacturing-purchasing-managers-index.html -
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jan 4) สภาผู้แทนฯสหรัฐไฟเขียวร่างกม.งบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติชัตดาวน์โดยไม่บรรจุงบสร้างกำแพง: สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้อนุมัติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์แล้ว โดยการอนุมัติงบประมาณดังกล่าวไม่ได้บรรจุงบประมาณในการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐและเม็กซิโกตามข้อเรียกร้องของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย สุนิตา พรรณรักษา/รัตนา
- https://www.cnbc.com/2019/01/04/hou...nment-shutdown-without-border-wall-money.html -
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jan 4) ธปท.ชงปรับ'กรอบเงินเฟ้อ' ป้องนโยบายการเงินผ่อนคลายเกิน : ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เผยแพร่บทความเรื่อง "บทบาทของนโยบายการเงินเมื่อประสิทธิผลในการดูแลเงินเฟ้อลดลง" ผ่านในรายงานนโยบายการเงินฉบับล่าสุดว่า ประเทศไทยใช้กรอบนโยบายการเงินที่กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (flexible inflation targeting หรือ FIT) มาตั้งแต่ปี 2543 เพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งช่วยให้เงินเฟ้อ ของไทยมีเสถียรภาพไม่เคลื่อนไหว สูงเกินเป้าหมายได้อย่างดี
อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเศรษฐกิจโลก และไทยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในทศวรรษที่ผ่านมาทำให้พลวัตเงินเฟ้อ มีแนวโน้มต่ำลง อีกทั้งเสถียรภาพของระบบการเงินทวีความสำคัญมากขึ้นหลังเกิดวิกฤติการเงินช่วงปี 2551 ที่มีต้นตอจากการสะสมความเปราะบางในระบบการเงินของสหรัฐ ด้วยพลวัตเงินเฟ้อที่เปลี่ยนไปและ เสถียรภาพระบบการเงินที่มีความสำคัญมากขึ้น ทำให้ธนาคารกลางส่วนใหญ่ที่ใช้กรอบ เป้าหมายเงินเฟ้อ (inflation targeting) ต้องเผชิญกับความท้าทายและข้อจำกัด ในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้น
แม้ประสิทธิผลของนโยบายการเงิน ในการดูแลเงินเฟ้อลดลงในช่วงที่เงินเฟ้อต่ำ แต่เสถียรภาพด้านราคายังเป็นเป้าหมายสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน เนื่องจาก
1.อัตราเงินเฟ้อที่สูงหรือต่ำเกินไป จะส่งผลกระทบต่อการวางแผนการออมและการลงทุน ซึ่งกระทบต่อกิจกรรมในระบบเศรษฐกิจและกำลังซื้อของประชาชน
2.การดูแลเสถียรภาพด้านราคาสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของนโยบายการเงินที่ในระยะยาวจะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อเท่านั้น แต่จะไม่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ณ ระดับศักยภาพ ดังนั้นการใช้อัตราเงินเฟ้อเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงินจึงยังเหมาะสม และการดูแลให้อัตราเงินเฟ้อมีเสถียรภาพยังเป็นเป้าหมายสำคัญของการดำเนินนโยบายการเงิน
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยควรพิจารณากำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อให้เหมาะสมกับพลวัตเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มต่ำลงจากอดีต โดยเป้าหมายเงินเฟ้อที่เหมาะสมไม่ควรสูงหรือต่ำเกินไป จนกระทบต่อประสิทธิภาพในการดำเนินนโยบายการเงิน นอกจากนี้ เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อควรมีความยืดหยุ่น เพื่อให้ ธปท. สามารถดูแลเสถียรภาพด้านอื่น ควบคู่กันได้
โดย 1.ความเหมาะสมของเป้าหมายเงินเฟ้อในปัจจุบัน กนง. ให้พิจารณาข้อดีและข้อเสียของการกำหนดเป้าหมาย ณ ระดับอัตราเงินเฟ้อต่างๆ รวมทั้งคำนึงถึงผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินอย่างรอบด้าน และเห็นว่าแนวทางการปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อจากระดับปัจจุบันในช่วงที่เหมาะสมจะช่วยทำให้เป้าหมายสอดคล้องกับพลวัตเงินเฟ้อของไทยในบริบทใหม่ที่มีแนวโน้มต่ำกว่าอดีตจากปัจจัยเชิงโครงสร้างเป็นสำคัญ
ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่นโยบายการเงินจะผ่อนคลายมากเกินไป และลดโอกาส ที่เงินเฟ้อจะต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ ไม่เหมาะกับบริบทปัจจุบัน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารกลางหลายประเทศได้ปรับลด เป้าหมายเงินเฟ้อ เพื่อให้เป้าหมายสอดคล้องกับพลวัตเงินเฟ้อที่เปลี่ยนแปลงไปจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น ธนาคารกลางเกาหลีใต้ และธนาคารกลางนอร์เวย์
ทั้งนี้ แนวทางการปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อดังกล่าวอาจยังไม่เหมาะสมสำหรับช่วงปี 2562 เมื่อพิจารณาจากปัจจัยระยะสั้น และระยะยาว โดยระยะสั้นต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากสาธารณชนอาจชะลอการใช้จ่ายหากประเมินว่า นโยบายการเงินจะลดการผ่อนคลายลงอย่างมีนัยในระยะต่อไปจากการปรับลดเป้าเงินเฟ้อ ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อคาดการณ์ปรับลดลง
สำหรับระยะยาวที่ต้องคำนึงถึง คือ ขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน เพื่อรับมือกับวิกฤติในอนาคตอาจมีน้อยลง เนื่องจากการปรับลดเป้าเงินเฟ้อลงจะทำให้วัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นไม่สูงเช่นในอดีต ตามการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะปานกลาง ที่ปรับลดลง ดังนั้นการคงเป้าหมายเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.5% บวกลบ 1.5% ยังเป็นระดับ ที่เหมาะสมสำหรับระยะปานกลางและสำหรับปี 2562 ซึ่งจะเอื้อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจสอดคล้องกับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย
ขณะที่ค่าความยืดหยุ่นของเป้าหมายเงินเฟ้อ 1.5% ยังเหมาะสมกับศักยภาพเศรษฐกิจไทย ในขณะที่ค่าความยืดหยุ่นของเป้าหมายเงินเฟ้อ 1.5% ยังเหมาะสม ในการรองรับความผันผวนที่อาจส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในอนาคตเบี่ยงเบนออกจาก ค่ากลางของเป้าหมายในระยะสั้นได้
สำหรับการพิจารณากำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อในอนาคต ธปท. จะศึกษาการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อพลวัตและแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า รวมถึงการประเมินข้อดีข้อเสีย เพื่อให้การกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงินในระยะต่อไปมีความเหมาะสมและเอื้อให้การดำเนินนโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2.แนวทางการปรับเป้าหมายเงินเฟ้อ ให้เหมาะสมกับกรอบ FIT ในการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อควรมีความยืดหยุ่นพอที่ จะเอื้อให้ กนง. สามารถให้น้ำหนักในการดูแลเสถียรภาพด้านอื่นควบคู่ไปกับเสถียรภาพด้านราคาได้ โดยอาจพิจารณารูปแบบของเป้าหมายเงินเฟ้อแบบอื่น เช่น การกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อเฉพาะขอบบน การกำหนด เป้าหมายเงินเฟ้อเป็นแบบช่วง รวมทั้ง อาจทบทวนพันธกิจในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาที่มองไปในระยะปานกลางมากขึ้น เช่นเดียวกับธนาคารกลางในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินนโยบายการเงิน ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านเสถียรภาพระบบการเงินได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น
Source: กรุงเทพธุรกิจ
- แถลงข่าวรายงานนโยบายการเงินไตรมาส 4 ปี 2561
https://www.bot.or.th/Thai/MonetaryPolicy/MonetPolicyComittee/MPR/DocLib/MPR_January2562_QRTY.pdf
-รายงานนโยบายการเงินไตรมาส 4: ฉบับเดือนธันวาคม 2561
https://www.bot.or.th/Thai/Monetary...ttee/MPR/DocLib/MPRPress_january2562_QRTY.pdf -
Economy by Than
"ฉัตรชัย"เร่งช่วยเหลือเรือประมงหลบพายุตามเกาะมากกว่า 120 ลำ #ฐานเศรษฐกิจ
-
#ภาพล่าสุดจากทางบ้าน
นครศรีธรรมราชประกาศตัดไฟทั้งจังหวัดและสั่งปิดถนนเส้น 401ขนอม สิชล ท่าศาลา อ.เมือง อีกประมาณ2ชม.คลื่นโทรศัพท์คงตัดน่าจะเป็นเวลาเดียวกับพายุขึ้นฝั่ง เป็นห่วงทุกคนมาก
-
น้ำจากเทือกเขาบรรทัดเปลี่ยนสี ชาวบ้าน-เจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง เร่งอพยพด่วน
#พายุปาบึก #ปาบึก
-
สวัสดีผู้ใจบุญทุกๆคน ศูนย์อพยพ เขต 11 ต.บางจาก มีผู้อพยพ ตอนนี้ รวม 800 คน ขออนุเคราะห์ ผู้ใจบุญ มาบริจาก ข้าวกล่อง ข้าวสาร อาหารแห้ง
1. นมเด็ก
2. โอวัลติน
3. กาแฟ
4. ผ้าห่ม
5. อาหารแห้ง ข้าวสาร กับข้าว
6. ไฟ ใช้ในเวลากลางคืน
0868961935 น้องบาว พรพนา ธาราวดี
ดูแลศูนย์อยู่ตอนนี้ครับ
-
รายงานภาพรวมการออมของประเทศของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก ธนาคารออมสิน พบเรื่องที่น่าตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อผลวิจัยระบุว่า คนไทยส่วนใหญ่เสี่ยงมีเงินเก็บไม่พอใช้ในยามเกษียณอายุ และกลุ่มคนวัยทำงานมีแนวโน้มเป็นหนี้เพิ่มขึ้น
สำหรับรายงานดังกล่าวเก็บสถิติภาพรวมการออมของประเทศในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่า ในปี 2560 คนไทยมีการออมเบื้องต้นของประเทศอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งแบ่งเป็นการออมในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น เงินฝาก สลาก พันธบัตร ประกันชีวิต นอกจากนี้ หากนับจำนวนเงินฝากที่อยู่ในสถาบันการเงิน (อ้างอิง เดือนสิงหาคม 2561) พบว่ามีจำนวนอยู่ที่ 17.9 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นในส่วนของธนาคารพาณิชย์ 13.2 ล้านล้านบาท และธนาคารเฉพาะกิจ 4.7 ล้านล้านบาท
อ่านต่อ...https://www.smartsme.co.th/content/111058
-
เปิดศักยภาพ รพ.สนาม-ห้องฉุกเฉินเคลื่อนที่
โรงพยาบาลสนาม (ห้องฉุกเฉินเคลื่อนที่) โดยกรมแพทย์ทหารบก เป็นห้องฉุกเฉินเคลื่อนที่มีความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยทุกระดับ เจ้าหน้าที่สามารถติดตั้งโดยใช้เวลาเพียง 4 นาที ภายในมีระบบน้ำและระบบไฟที่สมบูรณ์
โครงสร้างภายในคล้ายเบาะลม มีผนัง 2 ชั้นเพื่อป้องกันอากาศจากภายนอก นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพิ่มเติมได้ด้วย แต่ภารกิจในครั้งนี้ใช้ระบบอากาศแบบธรรมชาติ
ห้องฉุกเฉินเคลื่อนที่แห่งนี้รองรับผู้ป่วยได้มากถึง 20 คน โดยจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วนตามอาการของผู้ป่วยคือ เต้นท์แดง จะรองรับผู้ป่วยเร่งด่วน มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตขั้นสูง รองลงมาจะเป็นเต้นท์สีเหลือง ส่วนเต้นท์สีเขียว จะรองรับผู้ป่วยที่มีอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ห้องฉุกเฉินเคลื่อนที่นี้ ถูกนำมาใช้ในภารกิจค้นหาผู้สูญหายในถ้ำหลวงเป็นภารกิจแรก สามารถใช้เป็นห้องผ่าตัดขนาดเล็ก โดยมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่เป็นไปตามมาตรฐานการรักษา เจ้าหน้าที่และบุคลากรที่ประจำการ มีความพร้อมในการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
ที่มาข้อมูล : พล.ต. ปราโมทย์ อิ่มวัฒนา
#อนุรักษ์กำลังรบและประชาชน
#ทหารเป็นที่พึ่งของประชาชนในทุกโอกาส
หน้า 2132 ของ 11172