Thairath
ชายหาดขึ้นชื่อของ จ.ระยอง ถูกพิษพายุปาบึกทำคลื่นแรง โถมซัดชายหาดจนพังเสียหาย ต้องปักธงแดงห้ามลงเล่นน้ำ ชาวบ้านประมง ร้านอาหาร ก็ถูกน้ำท่วมเสียหาย
ติดตามสถานะการณ์
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.
หน้า 2140 ของ 11171
-
-
Thairath
อัพเดต #พายุปาบึก 5 ม.ค. 62 เวลา 18.55 น.
ฤทธิ์พายุปาบึก ทำฝนตกหนัก-น้ำป่าไหลหลาก มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ 3 ราย และสูญหาย 1 คน ต้องอพยพ 34,089 ราย
#ปาบึก #PABUK #ไทยรัฐออนไลน์ #ไทยรัฐ
-
Sakhon Online
รายงานพิเศษ : ความจริงอันเจ็บปวด ‘ทัวร์จีน’ ไม่เข้ามหาชัย
เสียงหวูดรถไฟดังกึกก้องไปทั่วสองข้างทาง บนทางรถไฟสายแม่กลอง ขณะออกจากสถานีบ้านแหลมในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ด้วยความเร็วอย่างช้าๆ ผ่านชุมชนท่าฉลอมและวัตสุทธิวาตวราราม หรือวัดช่องลม
ทางรถไฟสายนี้มีอายุประมาณ 114 ปี นับจากที่ บริษัท แม่กลอง ทุนจำกัด ได้รับสัมปทานเดินรถ เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2448 ก่อนที่จะขายกิจการให้กับกรมรถไฟ และอยู่ในความดูแลของการรถไฟแห่งประเทศไทยในที่สุด
แม้บทบาทของรถไฟในยุคนี้จะแตกต่างจากยุคก่อน หลังถนนพระราม 2 เปิดใช้เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2516 มีรถโดยสารประจำทาง และมีถนนเข้าหมู่บ้านต่างๆ ความสำคัญของรถไฟสายนี้ก็ลดน้อยถอยลง
สถานีรถไฟช่องลม บ้านบ่อ กาหลง บ้านนาโคก และลาดใหญ่ ถูกยุบไปหมดแล้ว เมื่อประมาณปี 2520 เหลือเพียงแค่สถานีต้นทางบ้านแหลม และปลายทางแม่กลอง ตลอดระยะทาง 33.855 กิโลเมตร
สองข้างทางรถไฟเมื่อออกจากท่าฉลอมไปแล้ว บางพื้นที่ยังคงมีป่ารกร้างหลงเหลืออยู่ สลับกับชุมชน และนาเกลือ ก่อนจะเข้าสู่จังหวัดสมุทรสงครามที่ป้ายหยุดรถเขตเมือง
สิ่งที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่สถานีบ้านแหลมส่วนใหญ่จะเป็นชาวตะวันตก ที่แบกเป้มาเที่ยว จะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาบ้างอยู่ประปรายไม่กี่สิบคน
อาจเรียกได้ว่า ที่สถานีบ้านแหลมในช่วงบ่ายวันหยุด นักท่องเที่ยวมีไม่เยอะมาก แม้จะเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ทั่วประเทศก็ตาม
แต่ความจริงอันเจ็บปวด ในฐานะคนสมุทรสาครกำลังรออยู่ตรงหน้า
นักท่องเที่ยวจีนกลุ่มหนึ่งยืนรอรถไฟบริเวณ ที่หยุดรถบ้านนาขวาง ต.นาโคก อ.เมืองฯ จ.สมุทรสาคร ซึ่งบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้ถนนพระราม 2 แต่ต้องลงจากสะพานข้ามทางรถไฟ ไม่ได้อยู่ๆ จะเข้ามาง่ายๆ
หนำซ้ำ เมื่อเข้าเขตจังหวัดสมุทรสงคราม กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนจำนวนมากยืนรอที่ ป้ายหยุดรถไฟลาดใหญ่ ซึ่งมีถนนลาดยางจากสี่แยกไฟแดงลาดใหญ่ ไปยังถนนพระราม 2 บริเวณตลาดกลางบางแก้วเพียงไม่กี่กิโลเมตร
นักท่องเที่ยวทั้งสองกลุ่ม ล้วนแล้วแต่ถูกไกด์ชาวไทยเป็นคนพามาขึ้นรถไฟทั้งสิ้น ภาพของนักท่องเที่ยวจีนเบียดเสียดกันขึ้นรถบริเวณป้ายหยุดรถไฟแคบๆ เพื่อสัมผัสบรรยากาศรถไฟเพียงช่วงเวลาสั้นๆ
10 นาทีเศษผ่านไป รถไฟกำลังเข้าสู่สถานีแม่กลองอย่างช้าๆ ผ่านทางโค้งเยื้องโรงเรียนอนุบาลสมุทรสงคราม ตรงนั้นเรียกกันติดปากว่า “ตลาดร่มหุบ” คือช่วงที่ทางรถไฟตัดผ่านตลาดเป็นระยะทางราว 300 เมตรสุดท้าย
ที่เรียกกันว่าตลาดร่มหุบ เพราะปกติผู้ค้ามักจะค้าขายกันบนทางรถไฟ เมื่อรถไฟเข้า-ออกสถานี ทุกคนจะพร้อมใจกันหลบไปอยู่ข้างทาง และหุบร่มกันแดดกันฝน กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวต่างชาติอยากจะเห็นสักครั้ง
เสียงชาวต่างชาติต่างกู่ร้องคำว่า “เฮลโหล” เสมือนทักทายแขกบ้านแขกเมืองมาเยือนที่นี่ พร้อมกับถือกล้องถ่ายรูป กล้องจากมือถือ บันทึกภาพเมื่อรถไฟเข้าสู่สถานีแม่กลอง เสมือนมาถึงจุดหมายปลายทาง
เพราะตลาดมหาชัย ท่าเรือเทศบาล ท่าฉลอม และสถานีบ้านแหลม ควรจะเป็นทางผ่านในการท่องเที่ยวบนเส้นทางรถไฟสายแม่กลอง แต่กลับตัดตอนด้วยการให้ไปขึ้นรถไฟกลางทาง เน้นใกล้ตลาดร่มหุบมากที่สุด
คนสมุทรสาครต้องสูญเสียรายได้ไปอีกเท่าไหร่ กับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปแบบนี้
ที่ผ่านมา การท่องเที่ยวในจังหวัดสมุทรสาครถูกทำร้ายจากนโยบายท่องเที่ยวเมืองรอง นำโดย นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เพราะดันไปตีขลุมโดยวัดความเป็นเมืองรองจากตัวเลขจีพีพี
ทั้งๆ ที่ตัวเลขจีพีพี (หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัด) ของสมุทรสาคร เป็นผลมาจากภาคอุตสาหกรรมทั้งนั้น!
เมื่อจังหวัดสมุทรสาครไม่ได้อยู่ในเมืองรอง ย่อมสูญเสียโอกาสจากการท่องเที่ยวที่ควรจะได้รับอย่างมหาศาล ทั้งสิทธิประโยชน์ด้านภาษีจากนักท่องเที่ยว หรือนิติบุคคลที่จัดสัมมนาต่างๆ
ยิ่งเห็นภาพสถานีรถไฟบ้านแหลม ผู้คนดูหงอยเหงา ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนไปแออัดอยู่ริมรางรถไฟ ที่ลาดใหญ่เมืองแม่กลอง
ก็ยิ่งตอกย้ำว่า การท่องเที่ยวเมืองมหาชัยถูกทำลายลงไปมากแล้ว
– กิตตินันท์ นาคทอง – -
Wattana Kanbua
ฝนสะสมช่วง เวลา 7.00 น. วันที่ 4 มกราคม ถึง เวลา 7.00 น. วันที่ 5 มกราคม 2562
http://www.tmd.go.th/climate/climate.php?FileID=1
-
Candy Bella
เคยได้ยินเรื่องราวของเพชรต้องสาปไหม มันเป็นเพชรขนาดใหญ่หนักราวๆ 45 กะรัตที่มีสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งถูกเก็บไว้ที่ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียน ที่สหรัฐอเมริกา และว่ากันว่าจะนำพาเรื่องร้ายๆ มาให้กับเจ้าของ
เพชรโฮป (Hope Diamond) เป็นเพชรขนาดใหญ่ หนัก 45.52 กะรัต (9.10 กรัม) สีน้ำเงินเข้ม ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาสมิธโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพชรโฮปมองด้วยตาเปล่าเห็นเป็นสีน้ำเงินเพราะมีธาตุโบรอนปริมาณเล็กน้อยอยู่ในโครงสร้างผลึก แต่จะเรืองแสงสีแดงเมื่ออาบแสงอัลตราไวโอเล็ต เพชรดังกล่าวจัดเป็นเพชรประเภท 2 บี และดังกระฉ่อนเพราะเล่าว่าเป็นเพชรต้องคำสาป มันมีประวัติศาสตร์บันทึกยาวนานโดยมีช่องว่างอยู่บ้างเมื่อมันได้เปลี่ยนมือหลายครั้งระหว่างทางจากอินเดียไปฝรั่งเศส ไปอังกฤษและสหรัฐอเมริกา เพชรโฮปได้รับการอธิบายว่าเป็น "เพชรที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก" และเป็นงานศิลปะที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก รองจากภาพโมนาลิซา
ประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับเพชรที่มีชื่อว่า “เพชรโฮป (Hope Diamond)” เริ่มขึ้นเมื่อ พ่อค้าชาวฝรั่งเศส ชื่อ จอง แบปทิส ทาเวอร์เนีย (Jean Baptiste Tavernier) ได้ซื้อเพชรดิบน้ำหนัก 112 3/16 กะรัต จากเหมืองคอลเลอ (Kollur) เมืองกอลคอนดา (Golconda) ประเทศอินเดีย แล้วนำมาถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในปี ค.ศ. 1668 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้มีบัญชาให้ช่างเพชรแห่งราชสำนักเจียระไนเพชรเม็ดนี้ขึ้น เป็นเพชรเม็ดที่รู้จักกันในชื่อว่า “Blue Diamond of the Crown” หรือ “French Blue” ซึ่งนำไปตกแต่งบนสายสะพายเครื่องอิสริยาภรณ์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พื่อใช้สวมใส่ในงานพิธีการต่างๆ ต่อมาเพชรเม็ดนี้ตกทอดมาถึงมือของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และแมรี่ อังตัวเนตต์ ในเวลาต่อมา และในช่วงนี้เองที่ตำนานเพชรต้องสาปเริ่มต้นขึ้น
พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และแมรี่ อังตัวเนตต์ถูกประหารชีวิตในการปฏิวัติฝรั่งเศสหลังจากนั้น ส่วนเพชรเม็ดนี้ได้สูญหายไปอย่างลึกลับ เป็นไปได้ว่าจะถูกขโมยไปพร้อมๆ กับเครื่องประดับอื่นๆ ในระหว่างความวุ่นวายของการปฏิวัติ
จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 1830 เพชรโฮปได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เฮนรี่ ฟิลิป โฮป (Henry Philip Hope) ได้ซื้อเพชรเม็ดนี้ไว้ และทำให้เพชรสีน้ำเงินเม็ดดังกล่าวได้รับชื่อ “เพชรโฮป” ที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
และหลังจากนั้นเขาก็ได้เสียชีวิตลงในปี ค.ศ. 1839 ทำให้เพชรแห่งความหวังตกทอดไปสู่ญาติพี่น้องตระกูลโฮป ในปี ค.ศ.1906 เพชรเม็ดดังกล่าวได้ผ่านจากมือของบุคคลผู้เป็นสมาชิกในครอบครัวของโฮป ไปอยู่ในมือของจาคส์ เซลอท ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายเพชรชาวเปอร์เซีย ซึ่งต่อมาเขาได้กระทำอัตตวินิบาตกรรม เจ้าของคนถัดมาคือ เจ้าชายคานิตอฟกีแห่งรัสเซีย ทรงซื้อเพชรเม็ดนี้ไว้ และมอบให้แก่นางสนมชาวฝรั่งเศส เพื่อใส่ไปแสดงละครที่ฟัวเยร์เบอร์เกร์ แต่ขณะที่เธอกำลังแสดงอยู่นั้นเจ้าชายก็ทรงปลิดชีพเธอด้วยอาวุธปืน และอีกสองวันต่อมาพระองค์ก็ถูกปลงพระชนม์โดยผู้ปฏิวัติชาวรัสเซีย
เจ้าของคนต่อมาเป็นชาวอียิปต์ที่ต้องจมน้ำตายทั้งครอบครัว เมื่อเกิดอุบัติเหตุเรือสำราญชนกันที่สิงคโปร์ นายหน้าคนต่อมาได้นำเพชรเม็ดนี้ไปขายให้กับสุลต่านแห่งตุรกี และนายหน้าคนดังกล่าวก็ต้องตายพร้อมภรรยาและลูกจากอุบัติเหตุรถยนต์ตกหน้าผา และสุลต่านแห่งตุรกีทรงมอบเพชรเม็ดนั้นให้แก่พระสนม แต่ตอนที่ถูกทหารของพระองค์กระทำรัฐประหารนั้นเอง กระสุนปืนได้พลาดไปถูกหล่อนจนถึงแก่ความตาย ส่วนสุลต่านถูกเนรเทศและขันทีผู้มีหน้าที่ดูแลรักษาเพชรเม็ดดังกล่าวก็ถูกจับแขวนคอ
จากนั้นบริษัทคาร์เทียร์เป็นผู้รับซื้อเพชรโฮปเม็ดนั้นไว้ แล้วนำไปขายต่อให้กับ ครอบครัวแมคลีน (McLean) อาถรรพ์ที่เกิดกับพวกเขาก็คือบุตรชายวัยแปดขวบของพวกเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน บุตรสาวและหลานสาวของพวกเขา ก็ตายเนื่องจากใช้ยาบาบิตูเรตเกินขนาด ส่วน เอ็ดเวิร์ด แมคลีน มีอาการคลุ้มคลั่ง วิกลจริต และเสียชีวิตในโรงพยาบาลโรคจิตแห่งหนึ่ง
ในที่สุด แฮรี่ วินสตัน (Harry Winston) ซึ่งเป็นพ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮป และมอบให้แก่สถาบัน สมิธโซเนียน (Smithsonian Institute) ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งดูเหมือนคำสาปแช่งจะยุติลงเพียงแค่นั้น ท่ามกลางจดหมายจำนวนนับพันๆ ฉบับที่ส่งมาขอบคุณในการบริจาคของเขาครั้งนั้น
ที่มา :https://www.git.or.th/g20130410.html
-
Candy Bella
"สะพานหัน" เป็นสะพานข้ามคลองโอ่งอ่าง หรือคลองรอบกรุง ฝั่งหนึ่งออกนอกพระนคร ไปหน้าวัดสามปลื้ม (วัดจักรวรรดิราชาวาส) อีกฝั่งเข้าพระนครทางประตูยอดสะพานหัน ไปพาหุรัด และบ้านหม้อ
สาเหตุที่เรียกว่า "สะพานหัน" เพราะเดิมสะพานข้ามคลองสะพานนี้ เป็นสะพานไม้แผ่นเดียวพาดข้าม ข้างหนึ่งตอกติดกับที่ อีกข้างหันจับไปมาให้เรือแล่นผ่านได้
ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อสะพานไม้เก่า แล้วสร้างเป็นสะพานโครงเหล็ก พื้นสะพานเป็นไม้เรียบเสมอกันตลอด ใต้พื้นไม้มีล้อเหล็กบนราง ไขให้สะพานแยกออกจากกันได้เวลาเรือแล่นผ่านมา
แม้จะหันไม่ได้ แต่คนโดยมากก็ยังติดปากเรียก "สะพานหัน" เช่นเดิม
ถึงในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้รื้อสะพานเหล็กเก่า แล้วสร้างเป็นสะพานแบบใหม่อย่างสะพานริอัลโต เมืองเวนิช ประเทศอิตาลี คือเป็นสะพานไม้โค้งกว้าง ตรงกลางเป็นทางเดิน สองฟากทางมีร้านค้าเล็กๆ แต่ไม่ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อเหมือนสะพานอื่นๆ ที่สร้างใหม่ในรัชกาลของพระองค์ คนจึงยังใช้ชื่อเก่าเรียกว่า "สะพานหัน" อีก
ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) บรรยายถึงสะพานหันและร้านค้าบนสะพานไว้ในหนังสือ "กรุงเทพเมื่อวานนี้" ว่า
"สองข้างสะพานทำเป็นห้องแถวไม้ติดต่อกันตลอด ฟากหนึ่งราวๆ เจ็ดถึงแปดห้อง ห้องนั้นเป็นห้องเล็กๆ แต่ทำอย่างดี เป็นที่คนอยู่และขายของได้ ด้านหลังของห้องเป็นหน้าต่าง ระหว่างห้องทั้งสองข้างเป็นทางสำหรับคนเดินข้ามกว้างราวสัก ๓ ศอก ห้องทั้งหมดมีคนเช่าอยู่และขายของเต็ม แทบทั้งหมดเป็นจีนและขายผลไม้ที่มาจากเมืองจีน เช่น องุ่น สาลี่ ลูกพลับ ฯลฯ ตลอดจนเป็นลิ้นจี่ดองเป็นไหๆ สมัยนั้นองุ่นไม่มีในเมืองไทยอย่างสมัยนี้ เขาใส่ลำไม้ฉำฉาโตขนาดกลางๆ มาเป็นพวงๆ มีเศษไม้ก๊อกเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่แทรกอยู่เต็ม ทำให้พวงองุ่นหมกอยู่แน่นกับที่ไม่กระทบกระแทกหรือมากองรวมกัน บางห้องขายของเบ็ดเตล็ดบ้าง มีอยู่สองห้องเป็นคนไทย ห้องหนึ่งเป็นหญิงขายหมากพลู บุหรี่ ธูป เทียน น้ำอบไทย ฯลฯ อยู่ห้องสุดที่จะเข้าสำเพ็ง อีกห้องหนึ่งเป็นร้านตัดผม อยู่กลางสะพานทางขวามือ ช่างตัดผมมีลูกสาวสวย ชอบนั่งอยู่ริมกระจกบานใหญ่ข้างหน้าต่างเสมอ ผู้ที่เข้าไปตัดผมซึ่งมักเป็นหนุ่มๆ ถ้าไม่มองกระจกเผลอไปมองลูกสาวแก แกมักเอาตะไกรเคาะหัวให้รู้สึกว่า "อย่ามองลูกสาวฉัน มองกระจกซี" ความจริงเขาก็ว่าแกเอาลูกสาวมานั่งล่อให้คนเข้าตัดผมมากๆ เท่านั้นเอง ข้าพเจ้าเคยเห็นมีคนเข้าไปนั่งตัดเสมอ แต่ตัวเองไม่เคยเข้าไปตัดเลย คนเข้าไปนั่งตัดมักจะเป็นนักเรียนนายร้อยหนุ่มๆ ผลสุดท้าย ลูกสาวแกจะไปได้กับใครไม่ทราบ ไม่ได้ข่าว"
สะพานหันที่สร้างใหม่ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าจะรื้อเมื่อใด ไม่ปรากฎหลักฐาน แต่ปัจจุบันกลายเป็นสะพานคอนกรีตง่ายๆ เกลี้ยงๆ ไม่สวยงามเหมือนในอดีตอีกแล้ว
ภาพ : สะพานหัน ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เครดิตภาพและข้อมูลจาก :
เพจฉายานิทัศน์
-
ที' นะคับ-
ประกาศการยืนยันจากศูนย์ติดตามพายุไต้ฝุ่น JTWC ณ เวลานี้ หย่อมความกดอากาศต่ำ บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกทวีความรุนแรงขึ้นเป็น พายุ TD 01W (ว่าที่พายุโซนร้อนหวู่ติ๊บ) แล้ว
พายุลูกนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ในอีก 2 วัน
สำหรับพายุ ปาบึก ยังไม่ตาย โดยมีแนวโน้ม ทวีความรุนแรงขึ้น เป็น พายุไซโคลน ปาบึก อีกครั้ง ในหมู่เกาะทะเลอันดามัน,นิโคบาร์ โดยคาดว่าจะอ่อนกำลังลงก่อนขึ้นฝั่งเมียรม่าร์ตอนใต้ในช่วงวันที่ 7 มกราคม นี้
#โปรดติดตามเส้นทางอย่างต่อเนื่อง : โดยแบบจำลองของ GFS ให้ขี้นฝั่งฟิลิปปินส์ด้านตะวันออกค่อนใต้ของประเทศช่วงกลางเดือนนี้
https://www.facebook.com/groups/paipibat.vcharkarn/permalink/2239471926301460/ -
ไปเข้าแนวนี้ไม่มีอะไรตามมาหรือ ถ้าจำไม่ผิด ก็เป็นช่วงต่อรอยเลื่อนสะแกงไม่ใช่หรือ
ที' นะคับ-
ชาวเหนือเตรียมรับ คลื่นกระแสลมฝ่ายตะวันตก จากซาก ปาบึก ที่สลายเคลื่อนตัวเข้าเมียนม่าร์ ในช่วงวันที่ 7-8 มกราคม นี้ไว้ด้วย
มีทั้งฝนทั้งลมทั้งฟ้าคะนอง เริ่มจากด้านตะวันตกก่อน! โดยบางพื้นที่จะมีฝนตกหนักได้
หลังจากนั้น อากาศจะเย็นลง อุณหภูมิจะลดลง 1-3 องศาเซลเซียส
https://www.facebook.com/groups/paipibat.vcharkarn/permalink/2239439632971356/ -
คงต้องลุ้นให้สลายตัวในทะเล อย่าขึ้นฝั่งที่ภาคเหนือ พายุ ลม ฝน ไม่น่ากลัว ที่น่าห่วงคือแผ่นดินไหว จำกันได้ไหมว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยมีพายุเกิดในทะเลน่าจะแถวยุโรป และมีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้น ซึ่งมีการวิเคราะห์ว่าเกิดจากแรงกดของพายุลงพื้นดินใต้มหาสมุทร
ช่างศุภวิชญ์ จูเปรมปรี
13:00 #ศูนย์กลางพายุดีเปรสชัน “ปาบึก”
อยู่ที่ พิกัด 9.5°N 98.1°E ในทะเลอันดามัน เคลื่อนห่างฝั่งออกไปในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ความเร็วลม 30 น็อต หลังได้รับความอุ่นจากน้ำทะเล #จะทวีกำลังกลับเป็นพายุโซนร้อนอีกครั้งใน 12 ชั่วโมงข้างหน้า
-
เจนจิรา จันทรเสนา
17:54 น. (5 ม.ค.62)
แผ่นดินไหว แมกนิจูด 5.2 (ลึก 10 กม.) พิกัด 127.54°E 0.86°S ในทะเลใกล้ฝั่งเกาะฮัลมาเฮรา ของหมู่เกาะโมลุกกะ จังหวัดมาลูกูเหนือ ประเทศอินโดนีเซีย
-
เจนจิรา จันทรเสนา
" บันทึกประวัติศาสตร์ "
พายุโซนร้อน"แฮเรียต"ถล่มตะลุมพุกเมื่อปี2505 กับความเสียหายพายุโซนร้อน"ปาบึก"ถล่มแหลมตะลุมพุกปี2562
-
เจนจิรา จันทรเสนา
ชาวบ้าน แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เข้าสำรวจความเสียหาย
ขอบคุณ: Wisan @NationTV -
เจนจิรา จันทรเสนา
ความเสียหายชาวบ้าน แหลมตะลุมพุก อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช :
ขอบคุณภาพ: Wisan NationTV -
เจนจิรา จันทรเสนา
" เจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาดถนน "
คลิปภาพ: ตร.เกาะเต่า -
เจนจิรา จันทรเสนา
" โรงครัวพระราชทาน "
ในหลวง ร.10 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กองทัพบก โดยศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กองพันทหารช่างที่ 5 จัดรถครัวสนาม ออกหน่วยโรงครัวพระราชทาน เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน ณ ศูนย์อพยพชั่วคราว ต.ทุ่งปรัง อ.สิชล จ. นครศรีธรรมราช ซึ่งมีประชาชนอพยพมาพักอาศัยอยู่รวมกันกว่า 1,000 คน
Credit: เรารักกองทัพบก -
เจนจิรา จันทรเสนา
" เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช "
ถึงประเทศไทยแล้ว กองทัพเรือจัดหมู่เรือฟริเกต3ลำ ต้อนรับอย่างสมเกียรติ
เรือหลวงภูมิพลอดุลยเดช เคลื่อนเข้าสู่น่านน้ำไทยอย่างเป็นทางการแล้ว หลังฝ่ามรสุมพายุปาบึก มาจากสาธารณรัฐเกาหลี โดยกองทัพเรือจัดหมู่เรือฟริเกต 3 ลำ ต้อนรับ
หมายกำหนดการจัดพิธีรับมอบ และขึ้นระวางเรือประจำการ วันที่ 7 ม.ค.นี้ ณ ท่าเรือจุกเสม็ด อ.สัตหีบ จ. ชลบุรี
-
CatDumb News
มันคือแสงสว่างวาบ 93 ครั้ง จากกาแล็กซี ซึ่งห่างจากโลกไปราวๆ 3 พันล้านปีแสง
#เหมียวศรัทธา #CatDumb
-
ลมฟ้าพยากรณ์
ปาบึก กำลังจะตายในทะเลซะแล้ว..
กลุ่มเมฆฝนบริเวณสมุทรสงคราม สมุทรสาคร เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง ชุมพร สุราษฎร์ธานี
พายุดีเปรสชัน “ปาบึก” (PABUK) บริเวณทะเลอันดามัน ได้อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ และสลายตัวตามลำดับ
Cr. กรมอุตุนิยมวิทยา
-
Gossipสาสุข
ค้านเก็บค่า "คลินิกนอกเวลา" อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
•
•
สองวันนี้ วิวาทะที่ดุเดือดเกิดขึ้นทันที หลัง สุภัทรา นาคะผิว กรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สายเอ็นจีโอ ออกมา "ชี้ช่อง" ให้คนไข้สิทธิ์บัตรทอง "ร้องเรียน" ขอเงินคืน หากถูกโรงพยาบาลเรียกเก็บเงินค่ารักษาบริการ "นอกเวลาราชการ"
•
สุภัทรา ชี้แจงว่า พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 2545 ให้สิทธิ์คนไข้ ในการเข้ารับบริการทั้งกรณีฉุกเฉิน กรณีจำเป็น และกรณีอื่นๆ ทั้งในและนอกเวลาราชการ
•
จึงไม่มีข้ออ้างใด ที่จะเรียกเก็บค่าให้บริการนอกเวลาราชการ แม้จะเป็นจำนวนเงินเล็กน้อย แค่ 110 บาทก็ตาม
•
เสียงจาก "สุภัทรา" เรียก "ก้อนหิน" จากบุคลากรในโรงพยาบาลที่ให้บริการนอกเวลาราชการ ถล่มไปยัง สปสช.
•
ด้วยคิดว่าเป็นมติบอร์ด เป็นมติองค์กร
•
แต่เสียงจากอีกด้านหนึ่ง นพ.กิตติศักดิ์ กลับดี ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และ นพ.ชาตรี บานชื่น ประธานกรรมการควบคุมคุณภาพฯ สปสช. และ รศ.พญ.ประสบศรี อึ้งถาวร กรรมการหลักประกันสุขภาพฯ ต่างก็ออกมายืนยันว่า โรงพยาบาลสามารถเก็บค่าบริการนอกเวลาได้
•
หากไม่ใช่กรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินและมีความจำเป็นต้องใช้บริการ
•
ซ้ำยังเชียร์ให้โรงพยาบาล เก็บค่าบริการนอกเวลา ในกรณีไม่ฉุกเฉินและไม่จำเป็นต่อไป
•
ดูเหมือนเป็นศึกระหว่างกระทรวง และ สปสช.
•
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร...
•
เพราะการให้บริการนอกเวลา ไม่ใช่เรื่องของการร่วมจ่าย ไม่ใช่เรื่องการแสวงหากำไรจากคนไข้บัตรทอง
•
หากแต่เป็นการขยายบริการเพิ่มเติมของสถานบริการของรัฐ เพื่อให้บริการคนไข้ได้มากขึ้น ลดปัญหาคนต้องต่อคิวรอตั้งแต่เช้าตรู่จนเสียงานเสียการ ถ้าจ่ายค่านอกเวลาราชการไหว แล้วโรงพยาบาลนั้นมีคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการก็มา และยังแก้ปัญหาห้องฉุกเฉินไม่ได้ทำหน้าที่ฉุกเฉินได้ด้วย
•
และการเก็บค่าบริการ 110 บาท ก็ไม่ได้มากมายนัก
•
เชื่อว่าแม้แต่โรงพยาบาล ก็ไม่ได้ "คุ้ม" อะไรกับต้นทุน ที่ต้องจ้างบุคลากรมาอยู่เวรเพิ่ม
•
จริงอยู่ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ได้เปิดช่องให้ "เก็บเงิน" นอกเวลา และเรื่องการร่วมจ่าย ก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร
•
แต่หากเราต้องการสนับสนุนหลักการที่ให้โรงพยาบาล มีอำนาจการตัดสินใจ มีความเป็นอิสระมากขึ้น ไม่ต้องพึ่งพางบบัตรทองเพียงอย่างเดียว การออกบริการเสริมเพื่อสร้างทางเลือกให้ประชาชน ก็เป็นเรื่องควรสนับสนุนอย่างยิ่ง
•
เพราะนอกจากโรงพยาบาล จะมีรายรับเพิ่มขึ้น (เล็กน้อย) แล้ว ผู้ป่วยสิทธิบัตรทองก็ยังคงได้ประโยชน์ ไม่ได้เสียหายอะไร
•
ไม่ว่าค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ ค่าแล็ป ค่าหมอ ก็ยังครอบคลุมภายใต้สิทธิบัตรทองครบถ้วน
•
การจะให้บริการเล็กๆ น้อยๆ โดยที่สิทธิ์บัตรทองเดิมไม่หายไป เรื่องนี้ สปสช.ก็ไม่ได้เสียอะไร
•
เพียงแต่ต้องทำหน้าที่ให้ดี นั่นคือ "ควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข" ก็เท่านั้น
•
ในทางกลับกัน ลองคิดดูว่า หากให้บริการ "ฟรี" ไม่เก็บเงิน 110 บาท ในที่สุด คนไข้บัตรทอง อาจแห่กันไปรับบริการ "นอกเวลา" กันเต็มไปหมด
•
ทั้งที่อยู่นอกเหนือเวลางานของเจ้าหน้าที่ แต่โรงพยาบาล ยังต้องเปิดให้บริการเพิ่ม และก็ต้องจ้างบุคลากร ด้วยค่าจ้างล่วงเวลา ซึ่งเป็นไปตามระเบียบราชการ
•
ในที่สุด โรงพยาบาล ก็จะต้องบริหารงบประมาณที่ลงมาน้อยอยู่แล้ว อย่างยากลำบากมากขึ้น
•
อันที่จริง เรื่องนี้ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข ทั้ง สปสช. ควรคุยกันให้ชัด เพื่อผลักดันการออกระเบียบให้ชัดเจน ไม่ต้องมีปัญหาหน้างาน และไม่ต้องมีปัญหากับเอ็นจีโอภายหลัง
•
และหากข้อสรุปจะเปิดช่องให้เก็บคนไข้สูงกว่า 110 บาท ก็เชื่อว่าคนไข้จะยังพร้อมจ่าย และยินดีสมทบเพิ่ม เพื่อให้โรงพยาบาลอยู่ได้กันทั้งนั้น
•
เป็นที่รู้กันดีว่าสถานการณ์ระบบบริการสาธารณสุขของไทยตอนนี้ตึงตัวมาก ความต้องการใช้บริการมีมาก ขณะที่บุคลากรหน้างานก็รู้สึกแบกภาระหนัก ค่าตอบแทนไม่คุ้ม มองไปเห็นข้าราชการสายอื่นเติบโตพรวดๆ ก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจซ้ำเข้าไปอีก
•
งานสาธารณสุขเป็นงานบริการ พบเจอประชาชนทุกวัน ย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง บ้างเกิดจากผู้ให้ บ้างเกิดจากผู้รับ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องมาใช้บริการนอกเวลาราชการด้วยเหตุไม่ฉุกเฉินที่ห้องฉุกเฉิน เป็นปัญหาเรื้อรังมานาน
•
ดังนั้นการพยายามคลายปัญหาด้วยการจัดคลินิกพิเศษในบางโรงพยาบาล ก็จะช่วยทำให้ระบบที่ตึงตัวคลายตัวลงไปได้บ้าง ระบบก็จะเดินหน้าต่อไป แล้วเอาเวลามาแก้เรื่องใหญ่ๆ ที่กำลังรออยู่น่าจะดีกว่าเรื่องเล็กๆ แบบนี้
•
ที่สำคัญข้อสรุปของเรื่องนี้ก็ไม่เสียหายอะไร หากผู้ป่วยที่มานอกเวลาราชการ เป็นผู้ป่วยทั่วไปไม่ฉุกเฉิน ถ้าโรงพยาบาลนั้นเปิดคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ และผู้ป่วยสมัครใจไปใช้บริการ ก็ไป และจ่ายค่าบริการนอกเวลาราชการตามที่กำหนด ส่วนฉุกเฉินและแม้ไม่ฉุกเฉินแต่จำเป็นก็ใช้สิทธิตามปกติอยู่แล้ว ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลก็จะได้ทำหน้าที่ได้เต็มที่ ไม่ต้องพะวงกับคนไข้ที่ไม่ฉุกเฉินและไม่จำเป็นแต่มาใช้บริการ
•
การค้านเก็บค่าบริการพิเศษคลินิกนอกเวลาราชการ จึงกลายเป็นสร้างความขัดแย้ง ระหว่างระบบบัตรทอง กับผู้ปฏิบัติงานอย่างไม่จำเป็น
•
ในเวลาที่เงินในระบบไม่พอ และยังไม่มีทางออกในการหาเงินชัดเจน ทั้ง สปสช. และ โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ควรจะอยู่กันแบบ "ถ้อยทีถ้อยอาศัย" ไม่ใช่หรือ?
•
อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย...
#คลินิกนอกเวลาราชการ
-
ฝันดีครับ
Jeerachart Jongsomchai
... “สมรภูมิไซเบอร์การเงิน ระหว่าง SWIFT กับ CIPS กำลังเดือด และอาจจะมีตัวเลือกที่สามของยุโรป?”
... โลกแบ่งเป็นสองขั้ว ขั้วแรกยอมเป็นข้าทาสเงินดอลล่าร์รวมทั้งระบบการโอนเงินของดอลล่าร์ หรือ SWIFT นำโดย “อเมริกา” กับ อีกขั้วที่มี “จีน” นำ ที่สร้างระบบการโอนเงินแบบทางเลือกมาแข่งก็คือ CIPS หรือ Cross-Border Inter-Bank Payments System ที่ตั้งขึ้นมาเมื่อปี 2015 หรือแม้แต่ “รัสเซีย” เองก็สร้างระบบการโอนเงินระหว่างประเทศเช่นกัน คือ SCO, และ BRI แต่อาจจะไม่มีเครือข่ายที่ใหญ่เท่าของจีน
... ขั้วที่พยายามเป็นคู่แข่งของระบบเงินดอลล่าร์นั้น นำโดย “จีน รัสเซีย ตุรกี อิหร่าน อินเดีย เวเนซุเอล่า” พยายามทำทุกอย่างอย่างชัดเจนมากขึ้น นับตั้งแต่ปี 2017 – 2018 เป็นต้นมา ทั้งการเทขายทิ้งเงินดอลล่าร์ เทขายทิ้งพันธบัตรสกุลดอลล่าร์ของอเมริกา รวมทั้งการค้าขายน้ำมัน การค้าทองคำและการค้าต่างประเทศระหว่างกันเป็นเงินที่ไม่ใช่ดอลล่าร์ เพราะว่า ตราบใดที่ประเทศทั่วโลกต้องใช้ดอลล่าร์ในการซื้อขายน้ำมัน หรือ “เปโตรดอลล่าร์” และ การค้าขายสินค้าระหว่างกัน เป็นเงินดอลล่าร์แล้ว ก็ยากที่ธนาคารกลางของทั่วโลกจะเทขายดอลล่าร์ในคลังทิ้งแล้วมาเก็บทองคำแทน
... ดังนั้น กลไกหนึ่งที่ต้องมาก่อนที่ขั้วตรงข้ามดอลล่าร์พยายามจะเร่งทำก็คือ “เร่งกระตุ้นให้ทั่วโลกเลิกซื้อขายน้ำมันเป็นดอลล่าร์ และ ค้าขายสินค้าระหว่างกันในนานาชาติเป็นเงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่ดอลล่าร์” .หรือการ Bypass ดอลล่าร์ เพราะถ้าทำได้สร้างกระแสไปทั่วโลก ธนาคารชาติทั่วโลกจะเทขายดอลล่าร์ในคลังออกได้มากมายแน่นอนแล้วไปสะสมทองคำแทน ที่ทำให้ดอลล่าร์จะลงจากบัลลังค์ “เผด็จการทางการเงินของโลก” ได้อย่างแน่นอน เพราะว่าการที่โลกยังต้องซื้อขายน้ำมันเป็นดอลล่าร์และค้าขายนานาชาติเป็นดอลล่าร์ ทำให้ตอนนี้ นอกจากธนาคารกลางของชาติทั่วโลกต้องเก็บเงินดอลล่าร์แล้ว ธนาคารเอกชนทั่วไปของทั้งโลกก็ต้องเก็บเงินดอลล่าร์ไว้ในคลังมากกว่า 60 % ด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ ฝ่ายตรงข้ามต้องการลดปริมาณตรงนี้ลงให้ได้ เพื่อลดอำนาจของดอลล่าร์ลง
.. และขั้นตอนต่อไปก็คือต้องโค่นระบบทำธุรกรรมทาง
การเงิน หรือโอนเงินระหว่างธนาคารนานาชาติของ ระบบ SWIFT หรือ Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication ที่ในทางพฤตินัยก็เป็นเครื่องมือหนึ่งของระบบดอลล่าร์ แล้วไปใช้ทางเลือกของจีนสร้างมาหรือเรียกว่า CIPS แทน ซึ่งระบบนี้จะมีหยวนของจีนเป็นสกุลหลัก
... ส่วนอีกซีกยุโรป ก็มีกระแสนี้มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน เช่น ตอนนี้ “รัสเซีย” พยายามจะชักชวนประเทศในสหภาพยุโรปมาค้าขายกันโดยบายพาสดอลล่าร์ มาใช้เงินยูโรแทน ที่ก็แค่แก้ไขไปได้ครึ่งทาง แต่รัสเซียต้องการมากกว่านั้น โดยชวนให้ออกจากระบบ SWIFT ของดอลล่าร์ด้วย โดยมาใช้ระบบอื่นแทน
... เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2018 ที่ผ่านมา มีข่าวหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากต่อวงการเงินโลก เพราะปรากฏว่า “เยอรมัน” ประเทศที่เป็นบริวารหลักของ “อเมริกา” ในยุโรป เหมือนญี่ปุ่นเป็นบริวารหลักอเมริกาในเอเชีย ได้ออกข่าวว่าอาจจะพิจารณายกเลิกการใช้ระบบการโอนเงิน SWIFT มาเป็นระบบอื่นแทน ซึ่งบางสายมองว่าเป็นไปได้สูง
... โดยสาเหตุที่นักวิเคราะห์มองว่าโอกาสที่ “เยอรมัน" จะออกจากระบบ SWIFT ได้นั้น ก็เพราะว่าพวกเขาอึดอัดกับการอันธพาลของ “อเมริกา” เช่นการขึ้นภาษีการค้าเหล็ก อลูมิเนียม ที่ไม่เว้นแม้แต่ประเทศบริวารคนสนิทอย่างประเทศสหภาพยุโรป หรือกรณีบีบให้กลับมาคว่ำบาตรกับ “อิหร่าน” อีกครั้งทั้งๆที่ยุโรปต้องการค้าขายกับอิหร่านมาก รวมทั้งพยายามจะห้ามการค้าขายและเดินท่อแก๊ส “โครงการสายเหนือ 2” ที่เยอรมันจะเป็นศูนย์กลางในการขนส่งและกระจายแก๊สจากรัสเซียผ่านทะเลบอลติคไปขายให้ยุโรปตะวันตก ซึ่งนักการเมืองบางพรรคของเยอรมันออกมาตำหนินโยบายนี้ของอเมริกาอย่างมาก ( ยังไม่นับการที่อเมริกา พายุโรปคว่ำบาตรรัสเซียจนทำให้การค้าสะดุดไปทั่วทวีป ตั้งแต่ปี 2014 )
... และถ้า “เยอรมัน” ออกจากระบบ SWIFT ได้จริง จะมีการนำทางให้ประเทศยุโรปอื่นๆออกตามมาอย่างแน่นอน และจะทำให้อำนาจของดอลล่าร์ในเวทีการเงิน การค้าโลก สั่นครอนและลดลงไปมากทันที
... ทำไมต้องออกจากระบบ SWIFT ?
... “เอ็ดเวิร์ด สโนเดน” ที่ต้องหนีการตามจับตัวจาก “อเมริกา” จนต้องหนีไปซบรัสเซีย เคยบอกว่า ระบบ SWIFT ของอเมริกานั้น มีจุดอ่อน สำคัญ 2 เรื่อง ทั้ง เรื่องการสปายสอดแนมได้ง่ายเพื่อจะตรวจสอบว่าใครโอนเงินไปให้ใครบ้าง ซึ่งไม่มีความส่วนตัวหรือปลอดภัยเลย ซึ่งในทางพฤตินัยแล้วระบบนี้ตกอยู่ในอิทธิพลของอเมริกา และสองคือการแฮคจากโจรไซเบอร์ ที่ธนาคารของบังคลาเทศเคยเจอมาแล้วและสูญเงินในบัญชีไปมากถึง 81 ล้านดอลล่าร์ โดยจับมือใครดมไม่ได้ หรือแม้แต่ธนาคารของเวียตนามก็เคยร้องเรียนเรื่องนี้มาแล้ว ซึ่งทั้งฝ่าย "อเมริกา" และ "จีน" ก็โยนสาดอาจมใส่อีกฝ่ายว่าใช้ "ทหารแฮกเกอร์" ในการโจมตีการโอนเงินของอีกฝ่ายให้เสียหายและทำลายความน่าเชื่อถือ
.. หรือแม้แต่กรณีลูกสาวเจ้าของ “หัวเว่ย” โดนจับที่แคนาดา นั้นก็ถูกสปายจับได้ว่าไปมีการทำธุรกรรมที่เกี่ยวกับอิหร่าน ก็โดยการสืบตรวจจากระบบ SWIFT ของอเมริกา เช่นกัน ทำให้ไม่มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยเลย
... ซึ่งจากสองสาเหตุนั้น รวมกับเรื่องที่อเมริกาจุ้นจ้านบีบบังคับให้พวกเขาคว่ำบาตร รัสเซีย อิหร่าน และห้ามนั่นนี่ จะทำให้ประเทศในยุโรปถอนตัวออกจากระบบ SWIFT และ ไปใช้ระบบ CIPS ที่จีนก่อตั้ง หรือ ระบบอื่นแทน
... เร็วๆนี้ ของปี 2018 ที่ผ่านมา นาย Heiko Maas รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของ “เยอรมัน” เคยออกมาบอกว่า อยากจะปลดแอกตัวเองออกจากระบบดอลล่าร์และ SWIFT โดยการสร้างระบบการโอนเงินระหว่างประเทศของตัวเองขึ้นมา เพราะว่าถ้าสหภาพยุโรปสามารถสร้างระบบโอนเงินไม่ต้องพึ่ง SWIFT ก็จะไม่ต้องเดินตามนโยบายต่างประเทศของอเมริกาในการคว่ำบาตร “อิหร่าน” ที่ยุโรปหลายชาติต้องการไปลงทุนในการค้าพลังงานที่มากมายในประเทศนี้ เพราะว่าสาเหตุหนึ่งที่อเมริกาขู่ก็คือ ประเทศไหนที่ขืนดื้อไม่เชื่อฟัง ยังไปค้าขายกับอิหร่าน พวกเขาจะแช่แข็งหรือยึดเงินที่มีการโอนผ่าน SWIFT ที่ธนาคารเอกชนเหล่านั้นเกรงกลัวอย่างมาก เพราะถ้าธนาคารไหนดื้อไปทำธุรกรรมกับอิหร่าน อาจจะถูกลงโทษในการห้าม หรือจำกัดการทำธุรกรรมทางการเงินในประเทศอเมริกาหรือโดนยึดทรัพย์ ยึดเงินได้ จนทำให้ธนาคารของหลายชาติต้องกลัวและทำตาม
... นอกจากนั้นนาย Heiko Maas ยังพูดได้แรงมากว่า “เราไม่ควรให้อเมริกามาทำอะไรข้ามหัวเราและบนค่าใช้จ่ายของเรา ด้วยเหตุนี้ มันเป็นความจำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับเอกราชของยุโรปโดยการสร้างช่องทางการชำระเงินที่เป็นอิสระจากอเมริกา โดยสร้างกองทุนการเงินยุโรปและสร้างระบบการโอนเงินที่เป็นอิสระจากระบบ Swift ... ยุโรปไม่ต้องการเป็นประเทศราชทางธุรกรรมทางการเงินของอเมริกาอีกต่อไป”
... นักเวิเคราะห์เชื่อว่า กระแสหนีเงินดอลล่าร์และระบบโอนเงินผ่าน Swift ของ “อเมริกา” นั้น จะค่อยๆเดินหน้าไปอย่างช้าๆ และจะเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจนในอีกประมาณ 7 – 10 ปีข้างหน้านี้ ที่จะทำให้อำนาจของฝ่ายอเมริกาจะค่อยๆหายไปและหมดอิทธิพลในการเงินและการค้าของโลก
.
... Now we learn that Germany is on board with moving away from SWIFT and the “trade wars”, sanctions against Russia and President Trump forcing NATO “partners” to pay up. President Trump’s actions have pushed Germany away from their alliance with the U.S.. The German / Russian partnership is very important to the overall German economy and Trump’s recent demand that Germany stop doing oil business with Russia seems to have pushed them over the edge. There may be more at play here, but most all geopolitical issues in the 21st century boil down to oil, oil production and how to get the cheapest oil possible. Whatever the motivation, Germany wants out of SWIFT as they have come to realize how strangling this payment system is to any and all economies utilizing this platform.
... In a stunning vote of “no confidence” in the US monopoly over global payment infrastructure, Germany’s foreign minister Heiko Maas called for the creation of a new payments system independent of the US that would allow Brussels to be independent in its financial operations from Washington and as a means of rescuing the nuclear deal between Iran and the west.
Writing in the German daily Handelsblatt, Maas said “Europe should not allow the US to act over our heads and at our expense. For that reason it’s essential that we strengthen European autonomy by establishing payment channels that are independent of the US, creating a European Monetary Fund and building up an independent Swift system,” he wrote, cited by the FT.
... Maas said it was vital for Europe to stick with the Iran deal. “Every day the agreement continues to exist is better than the highly explosive crisis that otherwise threatens the Middle East,” he said, with the unspoken message was even clearer: Europe no longer wants to be a vassal state to US monopoly over global payments, and will now aggressively pursue its own “Swift” network that is not subservient to Washington’s every whim.
... All of these discussions, policy changes and actions all point to one thing – de-dollarization. It’s a slow walk, we believe another 7-10 years, mid / late 2020’s will be the timeframe this whole picture is realized and the FRN no longer carries any weight at all on the global stage.
.
.
https://globaleconomicwarfare.com/2016/05/swift-attacks-in-the-global-economic-war/
https://thedailycoin.org/2018/08/22/is-germany-moving-swift-ly-to-cips/
หน้า 2140 ของ 11171