ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


    CIAรุกฆาตพยายามกินขุนเวเนซูเอลา: ด้านรัสเซียเตือนสหรัฐอย่าแทรกแซงกิจการภายในเวเนซูเอลา/เลขาUNวอนทั้ง2ฝ่ายเจรจายุติความขัดแย้งโดยเรียกร้องให้ประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร(ซึ่งมีกองทัพและรัสเซียหนุนหลัง)กับผู้นำฝ่ายค้าย"นายกุยโด"(หุ่นเชิดสหรัฐกับนักการเมืองฝ่ายค้านหนุนหลัง)ซึ่งนาย"กุยโด"ผู้ประกาศตั้งตน(อุปโลก)เป็นรักษาการประธานาธิบดี ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามบานปลายเสียเลือดเสียเนื้อและกลายเป็นหายนะ(เข้าแผนนักล่าตัวลายพล้อย)/ขณะเดียวกันรัสเซีย,เม็กซิโกออกมาแสดงความสนับสนุน"นายมาดูโร"ว่าเป็นประธานาธิบดีที่ถูกต้องชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ การที่"สหรัฐ"(ตัววางแผนล่า)และลูกหาบอย่างแคนาดา(จอมชอบเอามือซุกหีบ)บราซิลและอื่นๆในบัญชีลูกหาบสหรัฐ ให้การ"รับรอง"นายกุยโดผู้นำฝ่ายค้าน"เป็นประธานาธิบดี"เป็นเรื่องไม่ถูกต้องถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของเวเนซูเอลา และยิ่งทำให้เกิดการนองเลือดมากขึ้น ในรายงานในการรวมตัวประท้วงที่กรุงการากัสเมื่อวานนี้ได้มีผู้เสียชีวิตแล้ว7ราย(เป็นไปตามแผนของเหล่าCIAและเข้าแผนสมบูรณ์แบบตามสไตน์นักล่าตัวลายพร้อย)

    Cr: ch7hd


     
  2. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sayan Rujiramora


    Sovereign Man

    Get Ready– they’re coming for your money

    Simon Black. Jan 22, 2019


    หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ที่กลุ่มชาวนาลุกฮือออกตามล่าฝ่ายอิลิท มันมักจะเกิดขึ้นเมื่อช่องว่างทางฐานะห่างออกไปสุดๆ ...และเมื่อคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจนไม่มีโอกาสที่จะเงยหน้าได้เลย


    ธนาคารกลางทั่วโลกพากันพิมพ์เงินเพิ่มเข้าระบบนับล้านล้านดอลล่าร์ในช่วงสิบปีหลังมานี้ และดันให้อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดๆยันศูนย์เปอร์เซนต์ ..เงินมหาศาลที่อ้างว่าออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้..กลับไหลตรงเข้ากระเป๋าของพวกที่รวยอยู่แล้ว..ให้รวยมากยิ่งขึ้น


    นับแต่ปี 2009 มา เศรษฐีใหญ่ของโลกมีเงินเพิ่มมากขึ้นอีกเท่าตัว ..จากที่รวมกันทั้งหมดมีอยู่ $3.4 ล้านล้าน..จนถึงปี 2017 พวกเขามีรวมกันถึง $8.9 ล้านล้านเข้าไปแล้ว


    แค่ Mark Zuckerberg คนเดียวก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 20 เท่า ..จาก $3,000 ล้านในปี 2009 มาเป็น $58,000 ล้านในปี 2019


    $8.9 ล้านล้าน เป็นจำนวนเงินมหาศาล ...แต่มันก็มีเหตุผลนะ คนพวกนี้น่ะหาเงินเก่งอยู่แล้ว มันเป็นการพอกพูนของทรัพย์สินที่มีอยู่ก่อน คล้ายๆลูก snow ball ...ถ้ามีเวลาอีก พวกเขาก็เพิ่มได้มากขึ้นไปอีก


    ในรอบสิบปีมานี้ เราได้เห็นเงินเฟ้อด้านราคาทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นมหาศาลในทุกอย่าง เริ่มจาก..ราคาหุ้น พันธบัตร อสังหาฯ ไปจนถึงศิลปวัตถุต่างๆ


    แต่สำหรับพวกเราๆที่ไม่มีทรัพย์สิน ก็ต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ..รวมถึงพวกกินแต่เงินเดือนและคนชั้นกลางน่ะ ความมั่งคั่งที่มีอยู่น้อยนิด มันไม่ขยับไปไหนเลย


    เรืองนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นเรื่องระดับโลกเลยแหละ


    กลุ่มที่ยากจนที่สุดครึ่งหนึ่งของโลก 3.8 ล้านคน ยากจนเพิ่มขึ้นถึง 11% แค่ปีที่แล้วปีเดียว ..นี่ข้อมูลจาก Oxfam ..กลุ่มผู้พยายามขจัดความยากจนของโลก


    The New York Times รายงานว่า คนที่รวยที่สุดของโลก 8 คน มีทรัพย์สินรวมกันมากกว่าทรัพย์สินของคน 3.8 พันล้านคนเหล่านั้น


    Forbes ก็รายงานว่า ...3 คนอเมริกันที่รวยที่สุด มีความมั่งคั่งมากกว่าคนอเมริกันที่ยากจนครึ่งประเทศ


    คนส่วนใหญ่ในโลกรู้สึกว่าตัวเองติดกับ ไม่มีทางที่จะได้มีส่วนร่วมพบกับความร่ำรวยได้เลย พวกเขาเห็นแต่เงินที่ฝ่ายรัฐโปรยล่องลอยผ่านหัวไปมา เห็นคนรวย เห็นตลาดหุ้น ตลาดทรัพย์สินที่มันบูม ...แต่ไม่เห็นทรัพย์ของตัวเองเลย


    การขาดการผ่องถ่ายที่ควรนี่แหละ ที่จะเป็นตัวผลักดันมวลชนให้ลุกขึ้นมา


    คน 3.8 พันล้านคนยากจนเพิ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว ..แล้วอีกกี่คนล่ะที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ..คนส่วนใหญ่ในโลก ฐานะคงเดิม..หรือไม่ก็แย่ลงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา


    แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น คนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่ง รวยมากขึ้นอย่างเหลือเชื่อ


    มันก็ฟังดูเหมือนพวกฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงอยู่นะ ถ้าจะบอกว่า เมื่อช่องว่างทางฐานะมันห่างออกไปมากๆ จนถึงจุดหนึ่ง ...ก็จะได้เวลา correction


    การเปลี่ยนแปลงบางทีมันก็เป็นไปตามระบบของกฏหมาย ...แต่บางทีมันก็ออกแนวนอกระบบที่เกิดขึ้นด้วยความรุนแรง ..คนส่วนใหญ่ต้องการให้นักการเมืองช่วยในเรื่องการกระจายความมั่งคั่งในสังคม ..นักการเมืองที่ส่วนใหญ่ก็ยังอดอยากหิวโหย ก็พร้อมที่จะเข้ามา ...แต่เข้ามาพร้อมกับถือช้อนส้อมมาเลย...


    เรื่องเหล่านี้กำลังจะได้เห็นแล้วในอเมริกา


    สัปดาห์ที่ผ่านมา นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์ค Bill de Blasio กล่าวสุนทรพจน์ "พี่น้องขรับ..(เวลาอ่านควรออกสำเนียงนักการเมือง)...เงินมีอยู่มากมายในโลก และในมหานครแห่งนี้ แต่มันไปอยู่ผิดที่ ผิดมือ..."


    นอกจากนี้ ดาวรุ่งดวงใหม่ของคองเกรส Alexandra Ocasio-Cortez (สส.นักเคลื่อนไหวเดโมแครท) หนุนให้มีการขึ้นภาษีเงินได้จนถึง 70%, จัดให้มีการรักษาพยาบาลฟรี, การศึกษาฟรี, กระจายความร่ำรวยเท่าเทียมกัน (a chicken in every pot) ....แน่นอนที่ว่า เธอโทษว่า เรื่องทั้งหมดมาจากระบบทุนนิยมนี่เอง


    Ray Dalio ผู้จัดการกองทุน Bridgewater กองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่กำลังกระทบไหล่กับพวกอิลิทระดับโลก..อยู่ใน รีสอร์ทสกีที่ ดาวอส สวิสเซอร์แลนด์ ....ก็กล่าวในหมู่ผู้เข้าร่วมประชุมว่า ไอเดียของนักการเมืองดาวรุ่งสาววัย 29 นั้น น่าจะเป็นไปได้


    แต่ Paul Krugman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลคิดว่า อัตราภาษี 70% ที่ Alexandra Ocasio-Cortez บอกมานั้นต่ำไป ...มันน่าจะอยู่ระหว่าง 73% - 80% ...เหลือไว้ให้คุณๆผู้เสียภาษีแค่ 27% ก็พอแล้ว...


    สาธารณชนก็ดันเห็นชอบความคิดนี้ซะด้วย


    จากผล Gallup Poll ..คนวัย 18 - 29 ปี ถึง 51% นิยมชมชอบกับระบบสังคมนิยม


    มีเพียง 45% ที่เห็นชอบกับระบบทุนนิยม ..แต่มันก็น้อยกว่าผลโพลล์เรื่องเดียวกันกลุ่มคนวัยเดียวกันเมื่อหลายปีก่อนที่สูงถึง 68%...


    นอกจากนี้ สมาชิกพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยแห่งอเมริกา Democratic Socialists of America ก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นถึง 7 เท่าในชั่วเวลา 2 ปี


    พรรคนี้น่าจะมีตัวเก็งที่จะทำ primary ในปี 2020


    *********


    Sovereign Man

    Get Ready– they’re coming for your money

    Simon Black. Jan 22, 2019


    Every so often throughout history, the peasants grab their pitchforks and come for the elite. It happens when the wealth gap grows too extreme… when people feel like they are getting left behind, with no opportunity to advance.


    Central banks around the world have printed trillions of dollars over last decade, and pushed interest rates to zero, and sometimes below. And all of that stimulus went directly into the pockets of the wealthy.


    Since 2009, the world’s billionaires more than DOUBLED their combined wealth. All the billionaires in the world had $3.4 trillion in 2009. By 2017, they amassed $8.9 trillion.


    Mark Zuckerberg multiplied his wealth almost 20 times over, from $3 billion in 2009, to over $58 billion in 2019.


    $8.9 trillion is a massive, almost incomprehensible amount of wealth.


    But it really shouldn’t be that surprising if you think about it… these people are wealthy for a reason. Typically, they are pretty good at making money. And with the snowball effect, if you give them more time, they will probably make even more.


    For the last ten years, we’ve seen a huge asset price inflation in everything from the stock market, to bonds and real estate, and even fine art and wine.


    But if you’re a wage earner without assets, you’ve been left out. Wages and median household wealth have stagnated.


    And this is a global issue…


    The combined wealth of the poorest half of the world–3.8 billion people–fell by 11% just last year, according to Oxfam, a group working to alleviate poverty.


    The New York Times claims the richest 8 people on the planet have more wealth than the poorest 3.8 billion.


    And Forbes says the 3 richest Americans have as much wealth as the poorest half of the country’s population.


    People feel trapped, like they have no path to prosperity. They see money thrown around by the government, and the rich. They see stocks and real estate boom… but where is theirs?


    It’s this lack of MOBILITY that really gets the masses worked up.


    3.4 billion people got poorer last year. How many more stayed exactly where they were, or barely budged? The vast majority of the global population is the same or worse off than they were 12 months ago.


    Meanwhile a tiny group got embarrassingly rich.


    I’m not trying to sound like some radical, left-wing, social justice warrior. I just know that throughout history, whenever the wealth gap gets large enough, it corrects.


    Sometimes that happens through legislation and sometimes it happens through violence. People demand that their politicians forcefully redistribute the wealth. And the politicians, always hungry for more power, are happy to step up to the plate.


    We’re starting to see this in America today.


    Last week we talked about New York City Mayor Bill de Blasio’s speech in which he said: “Brothers and sisters, there’s plenty of money in the world. There’s plenty of money in this city. It’s just in the wrong hands.”


    What he meant was that the people who earned the money shouldn’t get to keep it.


    Then there’s the new star of Congress, Alexandra Ocasio-Cortez. She supports hiking income taxes up to 70%, providing free medical care, free college, a chicken in every pot and a unicorn in every garage.


    And, of course, she blames capitalism for everything wrong with the United States… and says “it will not always exist in the world.”


    Ray Dalio, manager of Bridgewater, the world’s largest hedge fund, is hobnobbing with the global elite at a Swiss ski resort in Davos. He says that among the attendees, the ideas of this 29-year-old freshman Congresswoman are actually taking root.


    Nobel Laureate economist Paul Krugman thinks AOC’s 70% is too low.


    Somewhere between 73% and 80% is the optimal tax rate he says. Under his plan, the government will graciously let you keep up to 27% of what you earn.


    Unfortunately, the public likes what it hears.


    According to Gallup, 51% of 18-29 year olds view socialism favorably.


    Only 45% view capitalism positively. That’s down from 68% in the same age group just a few years ago.


    And membership in the Democratic Socialists of America has swelled 7x just in the last two years.


    Their candidates are certainly crowding the 2020 primary.


     
  3. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub


    6. เวเนซูเอล่ามีประธานาธิบดีตัวจริง กับประธานาธิบดีตัวปลอม


    Vladimir Padrino รมว กลาโหมของเวเนซูเอล่า ประกาศว่าทหารขออยู่เคียงข้างประธานาธิบดีตัวจริง คือนายมาดูโร และจะไม่สนับสนุนประธานาธิบดีตัวปลอม คือนายกุยโดที่เป็นตัวแทนของผลประโยชน์ด้านมืด (dark interests)


    เขากล่าวเพิ่มเติมว่าทหารจะปกป้องรัฐธรรมนูญ และอำนาจอธิปไตยของประเทศ


    แล้วประธานาธิบดีตัวปลอมจะเอายังไงต่อ จะปฏิวัติได้ต้องได้รับการสนับสนุนจากทหาร กุยโดปฏิวัติกลางถนนด้วยการประกาศว่าตัวเองเป็นประธานาธิบดีรักษาการโดยไม่มีอะไรรองรับ ยกเว้นสหรัฐออกมารับรองทันที ตามด้วยบริวารประเทศทั้งหลายที่สั่งซ้ายหันขวาหันได้

    https://www.rt.com/news/449545-venezuela-defense-minister-constitution/


    24/1/2019


     
  4. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub


    7. เวเนซูเอล่ามีประธานาธิบดีตัวจริง กับประธานาธิบดีตัวปลอม


    ทวิทเตอร์ของหน่วยงานข่าวของสภาอียู ออกมาหนุนประธานาธิบดีตัวปลอมอย่างเป็นทางการแล้ว


    อียู องค์กรที่มีสมาชิกของประเทศยุโรป28ประเทศประกาศรับรองประธานาธิบดีตัวปลอมของเวเนซูเอลาอย่างสง่างาม ท้ังๆทีอียูคงไม่เคยรู้ว่านายกุยโดหน้าตาเป็นอย่างไร


    Federica Mogherini ผู้ดูแลนโยบายการทูตของอียูแถลงว่า ประชาชนชาวเวเนซูเอล่าจำนวนมากต้องการได้ประชาธิปไตย และให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรี


    อียูเรียกร้องให้ประธานาธิบดีตัวจริง นายมาดูโร ซึ่งอียูถือว่าเป็นตัวปลอมไปแล้วให้เคารพสิทธิของประชาชน ให้สมาชิกของสภาสมัชชามีเสรีภาพและมีความปลอดภัย รวมท้ังประธานของสภา หรือนายกุยโด


    จุดยืนของอียูคือ ให้เวเนซูเอล่ากลับไปสู่ขบวนการประชาธิปไตย และการเคารพต่อหลักนิติรัฐ แปลว่าอะไรก็ไม่ทราบ


    อียูคงหมายถึงการเลือกตั้งปีที่แล้วที่ประธานาธิบดีตัวจริงชนะไม่ยอมรับได้ ต้องเลือกต้ังใหม่ ถ้าประธานาธิบดีตัวจริงชนะอีก ก็จะไม่ยอมรับเพราะว่าโกงการเลือกตั้ง ถ้ากุยโดชนะการเลือกตั้งก็ถือว่าเวเนซูเอล่าได้กลับคืนสู่ระบอบประธานาธิปไตยที่สมบูรณ์แล้ว

    https://www.euractiv.com/section/gl...voice-of-venezuelan-people-cannot-be-ignored/


     
  5. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Candy Bella


    .... เรื่องเล่าในเรือนจำ....


    ตอนนั้นเราอายุ 6 ขวบ จำเรื่องร้ายๆในวันนั้นได้ดีค่ะ เราเป็นลูกสาวคนโต มีน้องชายที่อายุห่างจากเรา 2 ปี ด้วยความซนของเด็กอ่ะนะคะ เราจะจูงมือน้องไปเดินเล่นตามประสา

    เดินไปเรื่อยๆจนไปถึงสระที่เค้าเรียกกันว่า บ่อบำบัดน้ำเสียอ่ะค่ะ เป็นบ่อลึก 20 เมตร ขอบบ่อจะชันมากค่ะ ระยะทางจากบ่อบำบัดกับที่บ้านพัก ห่างกันประมาณ 300 เมตรได้ (เราพักอยู่บ้านพักของเรือนจำนะคะ เป็นบ้านหลังสุดท้าย เลยอยู่ติดกับบ่อไปหน่อย)


    ในตอนนั้นเราจูงมือน้องเดินเล่นอยู่แถวขอบสระค่ะ เดินไปเดินมา เราเจออะไรอยู่ในสระไม่รู้ เราเลยบอกให้น้องดูน้องเราก็ด้วยความเป็นเด็ก เด็กมากกก... เลยจะเดินลงไปหยิบ แต่มันชันเราเลยจับแขนน้องไว้ เราตัวเล็กกว่าน้องค่ะ คือผอมกว่า น้องจะจ้ำม่ำมมาก... ตัวอวบ น้ำหนักเยอะ แรงเราไม่สามารถดึงน้องได้ไหว (พิมพ์ไปร้องไห้ไปเลยค่ะ เสียใจกับเหตุการณ์ในวันนั้นมาก หลังจากเกิดเรื่องร้องไห้ทุกคืนเลย)


    น้องก็พยายามที่จะหยิบมันมาให้ได้ จากนั้นมือเราก็หลุดจากกันค่ะ ภาพตอนนั้นเห็นน้องไถลลงไปในบ่อน้ำเสีย ค่อยๆจมลงไป เราจำสายตาของน้องตอนที่จมลงไปในบ่อได้ดี เราตกใจมาก อึ้งไปสักพัก เลยรีบวิ่งไปหาแม่ที่บ้าน แล้วตะโกนบอกแม่ว่าน้องจมน้ำอยู่บ่อบำบัด แม่ก็ไม่ได้ยิน เราเรียกแม่ดังมาก เรียกไปร้องไห้ไป แต่แม่ก็ไม่ได้ยินเราเลย สักพักเราเห็น นักโทษผู้ชายคนหนึ่งวิ่งไปที่บ่อ


    เราเลยวิ่งตามไป เค้ากระโดดลงไปช่วยน้องเราได้ แต่ไม่สามารถขึ้นมาได้เพราะบ่อมันชันมากอย่างที่บอก คนแถวนั้นเลยเอาไม้มาให้จับ ในตอนนั้นมีคนมามุงดูเยอะมาก ต้องขอบคุณนักโทษคนนั้นที่ทำให้เรายังมีน้องอยู่จนทุกวันนี้

    ในเวลานั้นเป็นเวลา 4 โมงเย็นเกือบ 5 โมงแล้ว ปกตินักโทษจะกลับเข้าเรือนจำ ตอน 4 โมงเย็น แต่นักโทษคนนี้ยังทำงานอยู่ ถ้าเขายังไม่ทำงานอยู่แถวนั้น คงไม่มีใครไปช่วยน้องเราแน่ๆ


    หลังจากที่ปู่ย่ารู้เรื่องเข้า ก็มาทำพิธีช้อนขวัญให้น้องของเรา เราก็ไม่รู้หรอกว่า ทำไปเพื่ออะไร เราเลยไปถามย่าทวด ที่เป็นแม่ของย่าอีกที ท่านบอกว่า คนที่เจออุบัติเหตุแบบนี้ต้องช้อนให้ขวัญที่หายไปกลับคืนมา อะไรสักอย่างที่แหละค่ะ


    แม่ของเราไม่ได้โกรธเราเลยนะที่พาน้องไปเจอเรื่องร้ายๆๆแบบนั้น แม่กลับพูดหยอกเราว่า


    "ถ้าไม่มีใครไปช่วยน้อง ป่านนี้ทุกคืนน้องคงมาเคาะประตูบ้าน แล้วบอกว่าให้เปิดประตูให้หน่อย น้องหนาวแล้วมั้ง (ขำ)"


    เราเดินไปหาน้องตอนที่น้องหลับอยู่ ได้แต่พูดคำว่าขอโทษๆๆๆๆ หลายร้อยครั้ง หลังจากเกิดเรื่องย่าทวดของเราก็มาอยู่ด้วย ท่านยังแข็งแรงมาก จนปัจจุบันตอนนี้ท่านก็ยังอยู่


    ท่านเล่าให้เราฟังว่า


    "ที่น้องตกลงไปไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเพราะไหลลงไปเอง แต่เป็นเพราะผีที่อยู่ในนั้น เค้าอยากได้น้องเราไปอยู่ด้วย เค้าเลยดึงน้องเราลงไป แต่ดีที่น้องเรายังไม่ถึงฆาตที่จะไป เขาเลยเอาไปไม่ได้"


    ตั้งแต่ย่ามาอยู่ด้วย ย่าจะมีเรื่องเล่าให้เราฟังทุกวันเลย แกมักจะได้ยินเสียงของนักโทษผู้หญิง ที่ตายไปแล้วมาขอส่วนบุญ เขาจะอยู่ที่หน้าประตูบ้าน แล้วขอร้องให้ย่าทวดช่วย เขาบอกว่าเขาหนาว เขาอยากออกไปจากที่นี่ ไม่อยากทรมาน แล้วก็ยังมีนักโทษที่ฆ่าตัวตายในเรือนจำมาขอส่วนบุญให้เขาได้ไปเกิด


    เราเคยเจอกับตัวเองถึงสองครั้ง ช่วงที่มีงานของเรือนจำ จัดงานเลี้ยงต้อนรับ ผบ. คนใหม่ ทุกคนจะได้ร่วมงานอยู่หน้าเรือนจำกันหมด ที่บ้านที่จะไม่มีคนอยู่เลยสักคน เราเองก็เบื่อที่ต้องนั่งอยู่ที่งานนานๆ เลยขอตัวเข้ามาที่บ้านก่อน โดยพาน้องที่สนิทอยู่บ้านใกล้ๆ กลับมาด้วย (สมมติน้องชื่อยุ้ยนะคะ) เราพายุ้ยไปเอาเสื้อผ้าเพื่อที่จะไปนอนบ้านเรา เราก็รอน้องอยู่หน้าบ้าน หน้าบ้านมันมืดมาก มีไฟตรงถนนสลัวๆ ข้างๆบ้านจะเป็นเหมือนป่าหญ้ากว้างๆ เดินไปจะเป็นกำแพงเรือนจำ


    คนที่อยู่ก่อนหน้าเขาเล่าให้เราฟังว่า มีผู้หญิงผูกคอตายที่ต้นไม้ใหญ่ใกล้คอกวัวตรงนั้น ทีแรกเราก็เฉยๆ แต่เราทำผ้าเช็ดหน้าตกเลยก้มเก็บ สายตามันรอดหว่างขาไปเอง แล้วเจอจังๆ เลยค่ะ เราหลับตาปี๋ แล้วเรียกยุ้ยให้ออกมาเร็วๆ จากนั้นก็รีบไปหน้าเรือนจำไม่กลับบ้านเลยค่ะ รอกลับพร้อมพ่อกับแม่


    ครั้งที่สองเจออยู่ที่บ้านค่ะ ตอนนั้นมันค่ำมาก อันนี้ไม่ได้เจอตัวเป็นๆหรอกนะคะ

    คือตอนนั้นแม่ใช้เราไปล้างจานหลังบ้านค่ะ เราก็นั่งล้างจานอยู่คนเดียว มืดๆ เราได้ยินเสียงยุ้ยนี่แหละค่ะ เรียกเราดังมากเลยนะคะ สาบานได้ว่าเราได้ยินจริงๆ แล้วก็ได้ยินเสียงจักรยานปั่นมาด้วย เราก็เลยลุกไปดู ว่าจะเปิดประตูให้ แต่ไม่มีใครเลยค่ะ เราก็กลัวนะแต่ก็ต้องล้างจานต่อให้เสร็จ ไม่งั้นแม่ด่าแน่ๆ 555555


    ล้างไปเกือบเสร็จแล้วค่ะ ได้ยินเสียงเรียกอีก มันเรียกชื่อเราแล้วบอกว่า "ออกมาหาหน่อย ออกมาเปิดประตูให้หน่อย" เรานี่วิ่งเข้าบ้านเลยค่ะ บอกแม่ว่าไว้มาล้างใหม่พรุ่งนี้ แต่แม่ดันด่าเราซะงั้น แถมไล่ไปล้างต่อให้เสร็จ


    เรานี่จะร้องไห้เลยค่ะ (แม่ใจร้ายมาก) ไม่เชื่อที่เราเล่าให้ฟังด้วย งือๆๆ


    ** เรื่องเล่าของเราก็มีแค่นี้แหละค่ะ ต้องขอโทษด้วยถ้ามีผิดพลาดในส่วนไหน **


    เครดิตเรื่องเล่าจากกระทู้ : เรื่องเล่าในเรือนจำ ของคุณ กาลครั้งนึงฉันเคยรักคุณ




    ...... ผีมีวิชา......


    เล่าโดย : คุณชาย


    เป็นเรื่องราวที่อาจารย์นำมาถ่ายทอดให้ฟัง เหตุการณ์เกิดขึ้นแถวบางแค คุณชายทำอาชีพด้านทนายความ ชอบสะสมเครื่องรางของขลังมาก เสาะหาไปทั่ว จนไปเจอเข้ากับสายวิชาหนึ่ง ต้นสายวิชาคือหลวงพ่ออั๊บ วัดท้องไทร มีลูกศิษย์เรื่อยมา จนมาถึงอาจารย์ท่านนี้ ชื่ออาจารย์สามารถ


    ท่านเป็นฆราวาสของวัดแห่งหนึ่ง ไปได้ตำรามาเล่มนึง ที่ตกทอดมาจากประเทศลาว เป็นตำราเกี่ยวกับวิชามนต์เสน่ห์ ป้องกันตัว และปืนผาหน้าไม้ แต่มีข้อห้ามไว้ว่า ถ้าใครได้ร่ำเรียนวิชาเหล่านี้แล้ว ห้ามดื่มเลือดเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นเลือดของอะไรก็ตาม


    แต่อาจารย์คิดว่า ตนเองสามารถรักษากฏเหล็กข้อนี้ได้อย่างเคร่งคัด จึงนั่งศึกษาวิชาตามตำราทุกอย่าง จนเข้าใจได้ถ่องแท้ แม้ว่าจะเป็นแค่การนั่งท่องตำราธรรมดา แต่ในขณะนั้นกลับเหมือนว่า มีผู้เจนจัดในวิชา มานั่งถ่ายทอดให้ข้างๆ


    เวลาผ่านไปแรมเดือน วันหนึ่งในตอนที่อาจารย์นั่งทานข้าวอยู่กับครอบครัวที่บ้าน ภายในสําหรับอาหารมีแกงเขียวหวานไก่รวมอยู่ด้วย แต่อาจารย์กลับลืมตัว ตักกินเลือดที่เป็นก้อนเข้าปาก แล้วพึ่งมาฉุกคิด ว่าตนเองกินเลือดไม่ได้ แต่มีความคิดถึงแย้งขึ้นว่า ไม่เป็นไร แม่ทำให้กิน คงไม่เป็นไร


    ลักษณะบ้านของอาจารย์จะเป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูน ชั้นล่างเป็นปูน ส่วนชั้นบนจะเป็นไม้ พื้นปูด้วยไม้กระดาน ปกติอาจารย์จะนอนอยู่ชั้นบน ที่นอนจะเป็นเพียงแค่ฟูก และกางมุ้งครอบอีกที


    คืนนั้นเอง อาจารย์ตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงหมาหอนดังมาตั้งแต่ท้ายซอย หอนรับกันเป็นทอดๆ ภายในห้องปิดไฟมืด มีเพียงแค่แสงไปจากถนน สาดเข้ามาทางหน้าต่าง เห็นภายในห้องลางๆ แต่ก็ต้องรู้สึกแปลกใจระคนตกใจ เพราะทุกส่วนของร่างกายสามารถขยับได้ปกติ แต่ไม่สามารถยกหลังขึ้นมาจากฟูกที่นอนได้


    ในขณะที่อาจารย์กำลังพยายามดึงร่างของตัวเองขึ้นมาอยู่นั้น หูก็ได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง ตกลงบนพื้นไม้กระดานแถวๆปลายเท้า ห่างออกไปไม่กี่เมตร แล้วค่อยๆกลิ้งเข้ามาหา "ตุ๊บ!! ครืดดดดดดดด"


    อาจารย์สะดุ้งรีบผงกหัวขึ้น มองฝ่าความมืดออกไปนอกมุ้ง เห็นเป็นลูกกลมๆสีดำสนิท ใหญ่ประมาณเท่าหัวคน กลิ่นมาหยุดอยู่ตรงปลายเท้านอกมุ้ง สิ่งนั่นมันค่อยๆยืดตัวขึ้นเป็นแนวตั้ง สูงประมาณเมตรกว่าๆได้


    อาจารย์มองด้วยความตกใจ มันค่อยๆแปลเปลี่ยนเป็นร่างคน แล้วค่อยๆเคลื่อนตัวแนบเข้ากับมุ้ง พร้อมๆกับใช้มือเลิกมุ้งขึ้น แทรกตัวเข้ามาในมุ้ง


    เผยให้เห็นตัวตนอันแปลกประหลาดของมัน ผิวหนังมีลักษณะคล้ายกับเปลือกไม้ที่แห้งแตก มือยาวจนลากพื้น เบ้าตาลึกโบ๋ มีแสงเล็กๆเหมือนไฟจากก้านธูป ฉายอยู่ในเบ้าตาอันดำมืด มันค่อยๆอ้าปากกว้าง จนเห็นเป็นช่องโหว่ที่มืดสนิท มีเสียงลอดลำคอออกมาเบาๆ "อาาาาาาาาาาาาา"


    อาจารย์ผวาสุดขีด ขนลุกตั้งไปทั้งตัว พยายามดิ้นสุดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถยกหลังขึ้นมาจากฟูกได้ มันค่อยๆคลานเข้ามาคร่อมร่างของอาจารย์ เป็นอะไรที่แปลกประหลาดและน่ากลัวที่สุด เท่าที่อาจารย์เคยพบเจอมา


    อาจารย์ไม่รอช้า รีบท่องบทสวดมนต์ ทั้งของทางไทย และพม่า แต่มันกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้านแต่อย่างใด มันอ้าปากกว้างขึ้นอีกเล็กน้อย พยายามโน้มตัวลงมาอมศีรษะของอาจารย์ให้ได้ จนอาจารย์ต้องใช้มือและเข่าทั้งสองข้างยันอกมันไว้ ปากก็พยายามท่องบทสวดมนต์ต่างๆที่พอจะนึกออก


    แต่มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย เจ้าสิ่งนั่นอ้าปากกว้างออกเรี่อยๆ จนใหญ่กว่าศีรษะของอาจารย์ มีกลิ่นเหม็นสาบรุนแรง และเสียงคราญครางที่น่าขนลุก ลอยออกมาจากโพลงปากของมัน "อูออออออ่าาาาาาา"


    จนอาจารย์เริ่มอ่อนแรง ในทางกลับกัน มันยิ่งกดร่างของมันลงมาเรื่อยๆ จนหน้าของอาจารย์ห่างกับหน้าของมันเพียงไม่ถึงคืบ อาจารย์มองเข้าไปในโพรงปากของมัน เห็นแค่ความดำมืดที่มืดสนิท ไม่อยากจะคิดว่าถ้าได้เข้าไปอยู่ในนั้นทั้งตัว มันจะเป็นยังไง


    ในหัวคิดสับสนวุ่ยวาย ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ จนมาฉุดคิดได้ว่า วันนี้ตนเองได้ทำผิดครู เพราะงั้นแล้ว ผีตัวนี้คงจะเป็นคนที่เรียนวิชาทางสายเดรัจฉานวิชา แต่ทำผิดครูผิดผีจนไม่สามารถแก้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้


    การที่อาจารย์ฝ่าฝืนข้อห้าม โดยการกินเลือดเข้าไป ทำให้ของในตัวเริ่มเสื่อม เป็นของโปรดของพวกที่ถูกอวิชากลืนกิน มันต้องการที่จะส่งต่ออวิชาในร่างของมันไปยังร่างใหม่ เพื่อให้ตนเองพ้นทุกข์จากที่เป็นอยู่


    ในใจของอาจารย์คิดว่า ยังไงวันนี้คงไม่รอดแน่แล้ว ทำให้เผลอคิดไปถึงพระคุณของคุณแม่ ภาพต่างๆของคุณแม่ผุดขึ้นมาเต็มหัว จนอาจารย์หลุดพูดคำว่า "แม่" ออกมาเบาๆ


    อยู่ๆ เจ้าสิ่งแปลกประหลาดนั่นมันก็ดีดตัวถอยหลัง ร่างของมันค่อยๆกลืนหายเข้าไปกับอากาศที่มืดสนิท อาจารย์รีบลุกพรวดขึ้นมาจากฟูก หายใจหอบถี่ด้วยความเหนื่อย มองออกไปนอกมุ้งรอบๆตัว เพราะกลัวว่ามันยังแอบอยู่ในมุมมืดที่ไหนสักแห่ง


    ตอนนี้อาจารย์รู้แล้วว่า ไม่มีมนต์คาถาใด จะศักดิ์สิทธิ์ไปกว่าความรักของแม่อีกแล้ว เวลาที่ตกอยู่ในเหตุการณ์จวนตัว หรือไม่คาดฝัน ถ้าระลึกถึงคุณพ่อหรือคุณแม่ ท่านสามารถคุ้มครองลูก ให้พ้นจากภยันตรายต่างๆทั้งปวงได้ และนี่ก็คือเรื่องราวทั้งหมด


    เครดิตเรื่องราวจาก:

    เพจคนอ่านผี


     
  6. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Ple Wongchana Pinkaew


    ทำไมประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาถึงดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 สมัย?

    Why are US presidents only allowed 2 terms?


    ที่มา : ศิลปวัฒนธรรม https://www.silpa-mag.com/history/article_26545


    สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบบสหพันธรัฐ มีรัฐธรรมนูญที่เริ่มร่างมาตั้งแต่ ค.ศ. 1787 และประกาศใช้อย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่ปีถัดมา โดยระบุถึงอำนาจอธิปไตยแห่งรัฐที่แบ่งออกเป็นสามฝ่ายคือ ฝ่ายนิติบัญญัติโดยรัฐสภา ฝ่ายตุลาการโดยศาลสูงสุด และฝ่ายบริหารโดยประธานาธิบดี โดย จอร์จ วอชิงตัน (George Washington) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก


    จอร์จ วอชิงตัน ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ. 1789-1797 รวมทั้งสิ้น 8 ปี หรือ 2 สมัย แต่ท่านปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งต่อเป็นสมัยที่ 3 แนวปฏิบัติของจอร์จ วอชิงตัน ที่เลือกจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแค่ 2 สมัย จึงกลายเป็น “ประเพณีปฏิบัติ” หรือ “จารีต” ขณะที่ในรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุถึงระยะเวลาของการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีเอาไว้เลย


    ประธานาธิบดีใยยุคต่อมามักยึดตามแนวทางของจอร์จ วอชิงตัน ที่จะดำรงตำแหน่งแค่ 2 สมัย จนเรื่องนี้เหมือนจะกลายเป็น “กฎหมาย” ไปโดยปริยาย ในยุคต่อมามีความพยายามผลักดันให้ “ประเพณีปฏิบัติ” นี้เป็นกฎหมายจริง ๆ จัง ๆ เสียที แต่ก็ไม่ได้รับความกระตือรือร้นสนใจจากรัฐสภาเพราะต่างก็เชื่อมั่นว่า “ประเพณีปฏิบัติ” นี้ศักดิ์สิทธิ์และมีผลทางพฤตินัยมาโดยตลอดอยู่แล้ว


    กระทั่งเมื่อถึงการเลือกตั้ง ค.ศ. 1940 แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin Delano Roosevelt) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีมาแล้ว 2 สมัย ถูกเสนอชื่อจากพรรคเดโมแครต (Democratic Party) เพื่อเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 3 ซึ่งท่านก็ได้รับเลือกจากชาวอเมริกันอย่างท่วมท้น โดยเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามา 3 สมัยติดกัน


    ก่อนที่จะถึงการเลือกตั้งครั้งนั้น ประธานาธิบดีรูสเวลต์ก็วิตกกังวลว่าหากลงรับสมัครเลือกตั้งเป็นสมัยที่ 3 จะเป็นการทำลาย “ประเพณีปฏิบัติ” ของจอร์จ วอชิงตัน ในการเลือกตั้งครั้งนั้นสิ่งที่สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงต่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งคือประเด็นที่ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนประธานาธิบดีในช่วงวิกฤตสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ขยายตัวไปทั่วโลก ประเด็นนี้สำคัญมากเกินกว่าที่ผู้คนจะมาสนใจว่าประธานาธิบดีรูสเวลต์จะดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 3 ดังนั้นท่านจึงได้รับเลือกตั้ง ใน ค.ศ. 1940 และอีกครั้งใน ค.ศ. 1944 รวม 4 สมัยติดกัน


    การดำรงตำแหน่งสมัยที่ 4 ของประธานาธิบดีรูสเวลต์สร้างความหวาดกลัวให้กับพรรครีพับลิกัน (Republican Party) และฝ่ายอนุรักษ์นิยมในพรรคเดโมแครตว่าจะเกิดการสะสมอำนาจและอาจนำไปสู่ระบอบเผด็จการนิยม รัฐสภาจึงได้ผลักดัน “รัฐบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 22” (Amendment XXII) เมื่อ ค.ศ. 1947 และรัฐต่าง ๆ ก็ทยอยให้สัตยาบันมาเรื่อย ๆ จนถึง ค.ศ. 1951 ซึ่งมีเนื้อหาพอสรุปได้ ดังนี้


    1. ประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้งมีวาระดำรงตำแหน่งได้ 2 สมัย (สมัยละ 4 ปี) หรือดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 10 ปี


    2. ในกรณีผู้ที่เป็นประธานาธิบดีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยดำรงตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีคนก่อนน้อยกว่า 2 ปี สามารถลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีได้อีก 2 สมัย


    3. ในกรณีผู้ที่เป็นประธานาธิบดีไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง โดยดำรงตำแหน่งต่อจากประธานาธิบดีคนก่อนมากว่า 2 ปี สามารถลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีได้อีก 1 สมัย


    ภาพแสดงผลการเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ. 1940 (ภาพจาก wikipedia.org)

    เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นจึงขออธิบายถึงกรณีของประธานาธิบดีรูสเวลต์ ซึ่งอย่างที่กล่าวไปแล้วว่าท่านชนะเลือกตั้งเมื่อ ค.ศ. 1944 เป็นสมัยที่ 4 และได้ให้สัตยาบันในเดือนมกราคม ค.ศ. 1945 แต่เพียงไม่นานก็ถึงแก่อสัญกรรม แฮร์รี เอส. ทรูแมน (Harry S. Truman) รองประธานาธิบดีจึงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน


    แต่เนื่องจากประธานาธิบดีทรูแมนดำรงตำแหน่งต่อจากวาระของประธานาธิบดีรูสเวลต์ที่เหลือมากกว่า 2 ปี ดังนั้นประธานาธิบดีทรูแมนจึงสามารถสมัครเลือกตั้งได้อีกแค่ครั้งเดียว คือใน ค.ศ. 1948 (ซึ่งประธานาธิบดีทรูแมนชนะการเลือกตั้ง) แต่การเลือกตั้งครั้งถัดมาใน ค.ศ. 1952 ไม่สามารถลงสมัครได้เพราะจะกระทำผิดรัฐธรรมนูญ


    อย่างไรก็ตาม มีความคิดที่จะให้ยกเลิกรัฐบัญญัตินี้เพราะการเลือกตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสิทธิโดยตรงของชาวอเมริกันอยู่แล้ว เรื่องการยกเลิก-ไม่ยกเลิกเป็นที่ถกเถียงกันมานานหลายปีจะเห็นได้จากการให้สัตยาบันรัฐบัญญิตินี้ โดย 41 รัฐให้สัตยาบัน แต่รัฐ Oklahoma และ Massachusetts ปฏิเสธที่จะให้สัตตยาบัน ขณะที่รัฐ Arizona Kentucky Rhode Island Washington และ West Virginia ไม่มีการตอบรับใด ๆ


    “รัฐบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 22” (Amendment XXII) (ภาพจาก www.archives.gov)

    “ประเพณีปฏิบัติ” ของจอร์จ วอชิงตัน นั้นปฏิบัติต่อกันมานานมากกว่า 160 ปี ก่อนที่จะถูกทำให้เป็น “ลายลักษณ์อักษร” การแหวกจารีตของประธานาธิบดีรูสเวลต์จึงเปิดช่องให้ฝ่ายที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมสามารถผลักดันรัฐบัญญัตินี้ได้สำเร็จ แต่จะเหมารวมว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมทั้งหมดคงไม่ถูกต้องนัก เพราะยังมีปัจจัยสำคัญเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเป็นความพยายามของฝ่ายนิติบัญญัติที่จะจำกัดอำนาจฝ่ายบริหารให้อยู่ใน “กรอบ” ที่มีผลทางนิตินัยอย่างเป็นรูปธรรม ในแง่หนึ่ง รัฐบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 22 จึงสะท้อนแนวคิดอนุรักษ์นิยมของสหรัฐอเมริกาได้ระดับหนึ่ง


    อ้างอิง :


    Encyclopedia Britannica. (2019). Franklin D. Roosevelt, from https://www.britannica.com/biography/Franklin-D-Roosevelt


    Encyclopedia Britannica. (2019). Twenty-second Amendment, from https://www.britannica.com/topic/Twenty-second-Amendment


    National Constitution Center. (2019). TWENTY-SECOND AMENDMENT, from https://constitutioncenter.org/interactive-constitution/amendments/amendment-xxii.


    Sean Rowley. (2014). Presidential terms limited by 22nd Amendment, from https://www.tahlequahdailypress.com...cle_abfac7ef-c505-55f2-b171-08bc83b6914d.html


     
  7. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Thanong Fanclub


    8. เวเนซูเอล่ามีประธานาธิบดีตัวจริง กับประธานาธิบดีตัวปลอม


    ทวิทเตอร์ของทรัมป์เขียนว่า ประชาชนชาวเวเนซูเอล่าได้ประสบกับความยากลำบากมาเป็นเวลานานเกินไปแล้วด้วยเงื้อมมือของระบอบที่ไม่ชอบธรรมของมาดูโร วันนี้ ผมได้รับรองอย่างเป็นทางการประธานของสมัชชาแห่งชาติของเวเนซูเอล่า ฮวน กุยโดให้เป็นรักษาการประธานาธิบดีของเวเนซูเอล่า


    ทรัมป์ทำตัวเป็นกกต.แจกใบดำใบแดง โดยให้ใบแดงแก่มาดูโร


    ทวิทเตอร์ชิ้นนี้ของทรัมป์เทียบเท่ากับการทำรัฐประหารเวเนซูเอล่าโดยทำเนียบขาว


    24/1/2019


     
  8. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สำนักข่าวอาเซี่ยน


    ศาลเวียดนามสั่งจำคุกนักเคลื่อนไหว 14 ปี ฐานพยายามโค่นล้มรัฐบาล

    .

    รอยเตอร์/เอเอฟพี.24 ม.ค. - ศาลในเวียดนามได้ตัดสินจำคุกนักเคลื่อนไหวชายเป็นเวลา 14 ปี ฐานพยายามโค่นล้มรัฐบาลของประเทศ โดยร่วมกันวางแผนกับกลุ่มที่ตั้งอยู่ในสหรัฐฯ ตามการระบุของกระทรวงความมั่นคงสาธารณะวานนี้ (23)

    .

    ฟาน วัน บิ่ง อายุ 47 ปี ถูกตัดสินความผิดหลังพิจารณาคดีภายในเวลาเพียง 1 วัน ซึ่งศาลกล่าวหาว่า บิ่ง ทำงานกับกลุ่มองค์กรที่ชื่อว่า “รัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวเวียดนามใต้” ที่ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย และต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ที่เป็นพรรครัฐบาลของเวียดนาม ตามคำแถลงของกระทรวงที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ข่าวของกระทรวง

    .

    กระทรวงความมั่นคงสาธารณะกำหนดให้รัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวเวียดนามใต้ เป็นองค์กรก่อการร้าย

    .

    บิ่ง ถูกกล่าวหาว่าได้รับภารกิจให้ “ลวง” ผู้คนใน จ.แค๊งฮวา เข้าร่วมกับองค์กร ตามการรายงานของสำนักข่าวเวียดนาม

    .

    คำแถลงของกระทรวง ระบุว่า บิ่ง โพสต์เฟซบุ๊กใส่ร้ายป้ายสีทำลายภาพลักษณ์ของโฮจิมินห์ และบรรดาผู้นำพรรคและรัฐ ซึ่งการกระทำของบิ่งเป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์ คำแนะนำของพรรค นโยบายและกฎหมายของรัฐ ด้วยมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มการบริหารของประชาชน

    .

    “กิจกรรมของบิ่งเป็นการละเมิดกฎหมายอย่างร้ายแรงซึ่งบ่อนทำลายความสามัคคีของชาติ ละเมิดความมั่นคงของชาติ และขัดผลประโยชน์ของชาติ” กระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ระบุ โดยอ้างคำกล่าวของอัยการ

    .

    แม้เวียดนามดำเนินการปฏิรูปเศรษฐกิจ และเปิดกว้างรับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากขึ้น แต่พรรคคอมมิวนิสต์ที่เป็นพรรครัฐบาลยังคงควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด และไม่อดทนยินยอมต่อการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ

    .

    เฟซบุ๊กเป็นเว็บไซต์สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการใช้งานกันอย่างกว้างขวางในเวียดนาม และเป็นช่องทางสำคัญสำหรับแสดงความเห็นของบรรดาผู้เห็นต่าง

    .

    ในเดือนนี้ ทางการเวียดนามได้กล่าวหาเฟซบุ๊กว่าละเมิดกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ฉบับใหม่ด้วยการอนุญาตให้ผู้ใช้งานโพสต์ความเห็นต่อต้านรัฐบาล

    .

    นับตั้งแต่เหวียน ฝู จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์สายแข็งกร้าวเข้ากุมอำนาจ ทางการเวียดนามดำเนินการจับกุมและจำคุกนักเคลื่อนไหวมากขึ้น เช่นในปีที่ผ่านมา มีนักเคลื่อนไหวอย่างน้อย 55 คน ถูกตัดสินความผิด และบางรายถูกตัดสินจำคุกนานถึง 20 ปี.


     
  9. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กลุ่มต่อต้านมุสลิมหัวรุนแรง 3 จังหวัดชายแดนใต้


    หากไทยเสียพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ไป ปิโตเลียม JDA ทั้งหมดมาเลเซียจะได้รับประเทศเดียว และบังเอิญจริงๆ ที่เหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นปี 2547 ในปีต่อมา JDA เริ่มผลิตก๊าซในปี 2548


     
  10. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    MGROnline Live


    อนุภาคเล็ก แต่ผลกระทบไม่เล็ก! ฝุ่น PM2.5 ฆ่าทั้งความสุข ฆ่าทั้งชีวิตในอนาคต แพทย์ถึงกับออกมาโพสต์ให้จัดการปัญหาด่วน ก่อนที่เด็กจะล้นรพ. ไปมากกว่านี้ ทั้งฝุ่นยังส่งผลต่อปอดของเด็ก คล้ายคนเป็นโรคถุงลมโป่งพอง ฝั่งสังคมโซเชียลฯ กังวลมาตรการแก้ไขของรัฐยังไม่ชัดเจน


    https://m.mgronline.com/live/detail/9620000008500

    #MGROnline #ฝุ่นพิษ #เด็กเสี่ยงเป็นโรค #หมอจี้รัฐแก้ไข


     
  11. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Sayan Rujiramora


    Globalization is the Demise of Humanity": Toward an "Economy of Peace" with an Alternative Monetary System

    By Peter Koenig

    Global Research, January 20, 2019

    First published - 11 September 2016


    ในระบบเศรษฐกิจโลกตะวันตก เงินดอลล่าร์นี่แหละที่เป็นเครื่องมือของจักรวรรดิ์อเมริกันในการเข้ายึดทรัพยากร..ผู้คน..และระบบการเงินของโลก ยูเอสดอลล่าร์ถูกสร้างมาเพื่อการนี้ตั้งแต่ต้น ....แม้กระทั่งอียู และระบบเงินยูโรของมัน ..ก็ไม่ใช่สิ่งที่สร้างโดยชาวยุโรป แต่เป็นงานสร้างของซีไอเอ ที่เริ่มมาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง


    ในปี 1946 วินสตัน เชอร์ชิล พูดว่า. "เราต้องสร้างครอบครัวยุโรป เพื่อให้เกิดโครงสร้างการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เราจะต้องสร้าง 'สหรัฐยุโรป'..."


    มาบัดนี้ นางเทเรซา เมย์ ก็ยังคงรับงานเป็นกระบอกเสียงให้สหรัฐ ..เป็นม้าโทรจันในยุโรป


    ประมาณ 240 ปีมาแล้ว กลุ่มผู้ก่อตั้งฟรีเมสันในสหรัฐคิดคำสวยหรูเพื่อหลอกลวงชาวอเมริกันและต่อมาก็หลอกคนทั้งโลก ด้วยคำว่า Democracy (ประชาธิปไตย), Equality (ความเสมอภาพ), Free Speech (เสรีภาพในการพูด), Justice for All (ความเที่ยงธรรมในสังคม) ....เพื่อให้ประชาชนทั้งหลายเชื่อว่ากำลังอยู่ในสังคมที่มีเสรีภาพ ....(มีประโยคดราม่าของ Patrick Henry ว่า "Give me liberty, or give me death!"...ผู้แปล)


    สโลแกนดราม่าพวกนี้มีอยู่เต็มไปหมดในรัฐธรรมนูญสหรัฐ (แต่นักหาเงินในเมืองไทยประยุกต์มาเขียนในป้ายรับจ้างถือ)...เนื้อหาจริงๆในรัฐธรรมนูญน่ะ มันเอื้อให้กับอิลิทกลุ่มอภิสิทธิ์ชนเล็กๆของสหรัฐเท่านั้น


    ระบบทาสที่มีมาตั้งแต่เริ่มตั้งอาณานิคมก็ยังคงอยู่ มันถูกกฏหมายด้วยซ้ำตอนที่มีการใช้รัฐธรรมนูญแล้วน่ะ ..Equality กับ Justice for All ไม่เกี่ยว ...ระบบทาสอยู่ยืนยงมาอีกเกือบศตวรรษซะด้วย .....ปัจจุบันนี้ก็ยังอยู่แต่หลบไปอยู่เบื้องหลังระบบการเงินที่ซับซ้อน


    ระบบการเงินที่อิงกับหนี้ debt-based ของโลกตะวันตก เป็นทายาทของรัฐธรรมนูญจอมปลอมนั้นนั่นเอง มันเริ่มมาตั้งแต่ปี 1910 เมื่อกลุ่มนายแบ้งค์แห่งวอลล์สตรีทไปรวมหัวกันอย่างลับๆที่ Jekyll Island จอร์เจีย ..สรุปออกมาได้ในปี 1913 เป็นกฏหมาย Federal Reserve Act ..เป็นการเริ่มของธนาคารกลางที่เป็นของเอกชน กลุ่มร้อธไชล์ด ...เปิดศักราชเริ่มมีเครื่องผลิตดอลล่าร์ของตนเองแล้ว


    ปธน.วู้ดโรว์ วิลสันผู้ใกล้ตาย หลังเซ็นผ่านกฏหมาย Fed บอกว่า "ผมเป็นผู้ทำลายประเทศนี้อย่างงี่เง่าเอง ประเทศอุตสาหกรรมใหญ่แต่ต้องมาอยู่ใต้ระบบเครดิต ตั้งแต่นี้รัฐบาลจะอยู่ในมือคนเพียงไม่กี่คน ไม่มีรัฐบาลจากเสียงส่วนใหญ่อย่างแท้จริงอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของคนกลุ่มเดียวเท่านั้น"


    อังกฤษมีธนาคารกลางอยู่ก่อนแล้วตั้งแต่ปี 1694 ซึ่งมันก็คุมโดยพวกร้อธไชล์ด ...ที่ปกติก็คุมธนาคารทั้งหมดอยู่แล้ว บารอนนาธาน ร้อธไชล์ดเคยพูดว่า หุ่นเชิดไหนจะมานั่งบัลลังก์ของจักรวรรดิ์ของอังกฤษก็ได้ แต่คนที่ควบคุมปริมาณเงินของอังกฤษนี่แหละที่จะปกครองจักรวรรดิ์ ...สิ่งที่บารอนพูดเมื่อ 320 ปีก่อนยังคงเป็นจริงอยู่ในทุกวันนี้


    มาตรฐานทองคำที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1944 (1oz = $35) ตามสัญญา Bretton Woods ..ที่มี IMF และ World Bank เป็นฝ่ายควบคุมระบบการเงินของโลกตะวันตก ยูเอสดอลล่าร์เป็นสกุลเงินที่ใช้อ้างอิงและเป็นเงินรีเสิร์ฟของทุกประเทศ ....Fed จึงสามารถพิมพ์เงินดอลล่าร์ได้ตามต้องการเพื่อให้รัฐบาลสหรัฐใช้ทำสงครามได้ทั่วโลก ทุกๆดอลล่าร์ที่พิมพ์ออกมาคือหนี้ (หรือใบ IOU) ....ทั้งหมดที่เพิ่มมา ไปอยู่ต่างประเทศทั้งนั้น..เพราะโลกต้องการใช้เป็นรีเสิร์ฟอยู่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่เกิดเงินเฟ้อตลอดมาในทุกประเทศ


    (John Connally รัฐมนตรีคลังยุคนิกสันเคยพูดในทีประชุม G-10 ที่โรมเมื่อปี 1971 ว่า "Dollar is our currency, but it's your problem"....ผู้แปล)


    แต่มาตรฐานทองคำเริ่มมีปัญหาในช่วงปี 60s ....นิกสันจึงยกเลิกการอิงทองคำของดอลล่าร์ในปี 1971 ....เริ่มศักราชการใช้ Petrodollar


    แต่มาถึงวันนี้ กระบวนทัศน์ (paradigm) แบบนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ..เมื่อยี่สิบปีที่แล้วเงินรีเสิร์ฟของโลกเป็นดอลล่าร์ถึง 90% แต่วันนี้มันอยู่ที่ต่ำกว่า 60% และยังต่ำลงไปเรื่อยๆ ...แน่นอนที่ว่าตราบใดที่ค่าเงินดอลล่าร์ยังมีการจัดการปั่นกันอยู่ได้ มูลค่าของเงินรีเสิร์ฟก็ยังคงนิ่งอยู่ได้ แต่ถ้าเมื่อรีเสิร์ฟลดลงไปต่ำกว่า 50% อาจได้เห็นเศรษฐกิจโลกเปลี่ยนทิศทางไปสู่ระบบการเงินทางเลือกใหม่ก็ได้


    การเปลี่ยนแปลงเริ่มแล้ว จีน รัสเซีย และอีกหลายประเทศโลกตะวันออก เปลี่ยนเงินดอลล่าร์รีเสิร์ฟกันอย่างเงียบๆ ไปสู่หลักประกันอื่นๆ ...แนวคิดในอนาคตสำหรับการแบ้คค่าของระบบการเงิน อาจใช้ผลผลิตที่เกิดจากสังคมเศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็เป็นได้


    ในสมัยของ ปธน.บุชผู้พ่อ (George H.W.) เขามีการทำข้อตกลงกับสหาย House of Saud ที่ยังคงเป็นผู้นำกลุ่ม OPEC ..ว่าตราบใดที่ OPEC ใช้เงินดอลล่าร์ในการค้าน้ำมัน ซาอุดิฯจะได้รับการคุ้มครองความมั่นคงจากสหรัฐ ..นี่ทำให้สหรัฐสามารถสร้างฐานทัพในซาอุดิฯได้อย่างเป็นซีรี่ส์เลย เพื่อใช้ควบคุมตะวันออกกลางทั้งบริเวณ สามารถสร้างสงครามแบบไม่รู้จบได้ ไม่ว่าจะกับเยเมนหรือซีเรีย


    ด้วยเงื่อนไขการค้าน้ำมันของ OPEC ต่อชาวโลก ดอลล่าร์ยิ่งเป็นที่ต้องการมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทุกดอลล์ที่พิมพ์ขึ้นคือหนี้ของสหรัฐ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะสหรัฐตั้งใจจะชักดาบหนี้ทั้งหมดนี้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น ...Alan Greenspan อดีตประธาน Fed เคยตอบนักข่าวว่า ..."เราจะไม่ชำระหนี้หรอก เพราะเรายังพิมพ์เงินใหม่ๆออกมาได้"...


    คำตอบนี้คอนเฟิร์มได้เลยถึงหลักการของระบบ dollar based:.....คุณก่อปราสาททรายให้มันสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้ามันยังไม่ล้มก็ก่อสูงขึ้นไปอีก จนกระทั่ง...


    แต่ตราบใดที่เงินดอลล่าร์ยังท่วมโลกอยู่นับร้อยล้านล้าน มันก็ไม่ยากที่จะเข้าไปปั่นค่าเงินของสกุลใดก็ตามหรือแม้กระทั่งราคาทองคำ เพราะยังมีธนาคารกลางของธนาคารกลางทั้งโลกอยู่ คือ Bank of International Settlement (BIS) ของร้อธไชล์ดที่จะมาช่วยจัดการให้ได้


    เกือบทุกประเทศต่างก็ปรารถนาจะดิ้นให้หลุดจากระบบการเงินแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าออกตัวแรง เพราะจะต้องประสบกับการแซงค์ชั่น ..โดยเฉพาะในช่วงที่ยักษ์ใหญ่กำลังใกล้ตายแบบนี้ มันก็อยากจะลากเอาบริวารทั้งหลายลงหลุมตามไปด้วยให้ได้


    วัฒนธรรมโลกตะวันตกอยู่บนพื้นฐานของความโลภและการรุกราน มันอยู่กับแนวคิดการแข่งขันมากกว่าการร่วมมือ ความขัดแย้งมากกว่าความสามัคคี มันทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร ...ไม่เป็นเศรษฐกิจที่ยั่งยืน ซึ่งไม่ช้าก็เร็วมันก็จะต้องพังจนได้


    ตั้งแต่ช่วงปี 1980s มาแล้ว รวมถึงมีตัวเร่งจากกรณี 9/11 ..สงครามที่สหรัฐก่อขึ้นใน 15-20 ปีมานี้..ได้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วถึง 12-15 ล้านคนทั่วโลก ..เป็นการหล่อเลี้ยง อุตสาหกรรมอาวุธ military complex ของสหรัฐ จนอุตสาหกรรมนี้และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกลายเป็นรายได้หลักของประเทศไปแล้ว


    การสร้างความขัดแย้งและก่อสงครามกลายเป็นหลักประกันการอยู่รอดของสหรัฐไปแล้ว แล้วสักวันหนึ่งมันจะลามไปสู่ยุโรป ..การรุกรานและเข้าไปเปลี่ยนรัฐบาลของประเทศที่ไม่ใช่มิตร ตั้งแต่ตะวันออกกลางยันไปถึงเอเซียและละตินอเมริกา นี่จะเป็นงานเดียวที่ยังเหลืออยู่ของตะวันตก


    ถ้าวงจรของระบบหนี้นับหลายล้านล้านดอลล่าร์มีอันต้องพังทลายลง เศรษฐกิจของโลกตะวันตกก็ต้องเจ๊งตาม


    ถ้าโลกกลับไปสู่สันติภาพ ก็จะได้เวลาที่จะเปลี่ยนระบบการเงินของโลกเสียที อนาคตน่าจะสดใสขึ้น ...ระบบการโอนเงิน SWIFT ของตะวันตกก็กำลังถูกแซะจากฝ่ายตะวันออกแล้ว ที่ผ่านมา SWIFT นี่แหละที่ทำให้อิหร่านถูกกันออกจากระบบการโอนเงินของโลก..อาร์เจนติน่าก็ถูกแบล้คเมล์จากการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกองทุนนอกกฏหมาย ...ระบบการโอนเงิน CIPS ของจีนเข้ามาใช้ทดแทนได้ในระดับนานาชาติ สำหรับประเทศที่ต้องการจะหลุดพ้นจากการควบคุมของตะวันตก ..แต่สื่อกระแสของตะวันตกก็ไม่เคยทำข่าวเรื่องนี้เลย.....


    Peter Koenig is an economist, and water resources and environmental specialist. He has worked for over 30 years with the World Bank, the World Health Organization, and the Swiss Development Cooperation, in Africa, Middle East, Eastern Europe and Central Asia, East and South East Asia and Latin America. Peter is also a geopolitical analyst for Global Research, Information Clearing House, RT, PressTV, Sputnik, TeleSUR and The 4th Media, China. He is the author of Implosion – An Economic Thriller about War, Environmental Destruction and Corporate Greed – fiction based on 30 years of World Bank experience around the globe. He is a co-author of The World Order and Revolution! – Essays from the Resistance.

    ************


    Globalization is the Demise of Humanity": Toward an "Economy of Peace" with an Alternative Monetary System

    By Peter Koenig

    Global Research, January 20, 2019

    First published - 11 September 2016


    In the western economic system, the US currency means everything for the US empire to fully dominate the world, its resources, people and finances. The US dollar has been created for this purpose. And so has the European Union and her single currency, the Euro. They are not the product of Europe, they are the deceitful construct of the CIA, a process begun shortly after WWII. In 1946 Winston Churchill proclaimed, [we must]re-create the European family, or as much of it as we can, and to provide it with a structure under which it can dwell in peace, in safety and in freedom. We must build a kind of United States of Europe.” He was then as Cameron and his successor, Theresa May, are today a mouthpiece for the United States, expressing Washington’s ideas as a Trojan horse in Europe.


    Some 240 years ago, the freemason founders of the United States of America duped the common US population and later the world with Big Words, like Democracy, Equality, Free Speech, and Justice for All – into believing that they are living in a free and just country. These ideals were just slogans stamped into the US Constitution, while the long-script is favouring a small privileged elite. For example, slavery existed already since early colonial days in British North America. It was legal at the time of US Independence in 1776. Instead of being abolished under the principles of Equality and Justice for All, it prevailed throughout the 18th and part of the 19th Century. Yet, the sham of a free America continues to this day, providing fertile ground for a predatory monetary system to lead a predatory world economy.


    Today’s western debt-based monetary system is – but a foster child of the deceitful Constitution. It began in 1910, when a group of prominent Wall Street bankers travelled clandestinely to Jekyll Island, Georgia, on what they disguisingly called “The Duck Hunt”, where they concocted what in 1913 became the Federal Reserve Act. Thus, emerged the entirely privately owned, Rothschild dominated Federal Reserve system (FED), serving as the US Central Bank. It is the omnipotent dollar making machine.


    After signing the FED Act into existence, then President Woodrow Wilson as a dying man declared, “I am a most unhappy man. I have unwittingly ruined my country. A great industrial nation is controlled by its system of credit. Our system of credit is concentrated. The growth of the nation, therefore, all our activities are in the hands of a few men. We have come to be one of the worst ruled, one of the most completely controlled and dominated Governments in the civilized world, no longer a Government by free opinion, no longer a Government by conviction and the vote of the majority, but a Government by the opinion and duress of a small group of dominant men.”


    The Brits had already a central bank way back in 1694. It was then already controlled by the Rothschild family, as was the entire banking system. Baron Nathan Mayer Rothschild once declared: “I care not what puppet is placed upon the throne of England to rule the Empire on which the sun never sets. The man that controls Britain’s money supply controls the British Empire, and I control the British money supply.” What the Baron may have said some 320 years ago, still holds true to this day.


    When Nixon in 1971 abandoned the gold standard (one troy-ounce of gold = US$35), essentially created by the Bretton Woods institutions, the IMF and the World Bank, to control the western monetary system – the US dollar became de facto the world’s currency of reference and by implication the world’s reserve currency. This Machiavellian move allowed the FED to print dollars as needed to fund US / NATO instigated conflicts and wars, as well as propaganda to sell the wars around the globe. Every new dollar was a dollar of debt, most of them externalised, since the world held them in their reserve coffers.


    The good news is that the paradigm is changing rapidly. When twenty years ago about 90% of worldwide reserves were kept in dollar-denominated securities, today this figure is below 60% and falling. Of course, as long as the value of currencies can be manipulated, the value of dollar reserves is relative. However, the trend is clear. Slipping below 50% may be the beginning of a sea change in world economy, giving rise to alternative monetary systems.


    The shift has already started. China, Russia and other eastern countries are quietly divesting their dollar reserves into securities of other denominations. The idea for the future is to back monetary systems, funds circulating and released by central banks, by actual socio-economic outputs of a nation, including social and environmental achievements, such as public health, education, protection and conservation of natural resources, as well as a sovereign’s ability of internal and external conflict resolution.


    China, Russia and other eastern countries are quietly divesting their dollar reserves into securities of other denominations. The idea for the future is to back monetary systems, funds circulating and released by central banks, by actual socio-economic outputs of a nation.


    Simultaneously with the end of the “gold standard”, the limitless dollar production was further facilitated by Father Bush (George H. W.). He negotiated with the House of Saud – his friends – to remain at the head of OPEC, as long as Saudi Arabia would assure that hydrocarbons would never be traded in currencies other than the US-dollar. In return, the US would guarantee the Saudis’ security. Done deal. It allowed the US to establish a series of US bases in Saudi Arabia, with which to control the Middle East and surrounding areas and to carry on wars and proxy conflicts, destroying Yemen and Syria, killing and maiming hundreds of thousands of civilians, women and children. The Saudis, Qatar and other Gulf vassals were also coopted into funding the US-created NATO ground troops in Syria, Iraq and Libya, namely the “terror” organisation, and Islamic State (IS-ISIS-Daesh).


    Under this OPEC arrangement with the Saudis, the demand for US-dollars increased almost exponentially. Every dollar created means new US debt. This is irrelevant, since US debt was never meant to be paid off. Alan Greenspan, former chief of the FED once answered a journalist’s question on how the US was ever able to repay her debt, “We never will pay our debt, since we can just print new money.” This confirms the pyramid principle of the dollar based monetary system: You create dollars as debt which bears interest which you pay by new debt. In other words: Never; creating an endlessly growing and ever shakier house of cards – until it collapses, and collapse it will.


    Greece is a typical showcase, strangled into misery by a rigged monetary system. Similar criminal deeds emanating from the dollar denominated worldwide “Ponzi” scheme, are “sanctions”, punishing countries that do not submit to the tyrannical dominance of the empire, blocking trade, confiscating assets, foreign currency accounts – and more. This is possible, because the US dollar scam-currency still dominates international trade. As long as hundreds of trillions of dollars are flooding the globe, it is possible to manipulate the value of any currency, including gold. The secretive Basle-based BIS (Bank for International Settlement), also called the central bank of central banks, entirely privately owned and controlled by Rothschild and Co, is best suited for such manipulations.


    No wonder, breaking loose from this abusive monetary scheme is number one priority of most countries that treasure sovereignty, autonomy and freedom, though many do not dare say so openly, lest the empire lashes out at them punishing them with the very financial terror they want to escape from – illegal economic sanctions. And lashing out at the unaligned nations the empire does, like a dying beast, attempting to pull with it much of the living world into its own shoveled grave.


    The western culture is based on aggressive, greed driven mono-theistic Judo-Christianism. It foments constant competition instead of cooperation, conflict instead of harmony, supremacy instead of solidarity. It thrives on a constant growth fetish which flourishes on extreme consumerism – it plunders mercilessly the earth’s natural resources, representing an unsustainable marauder economy, bound to implode rather sooner than later.


    Since the ascent of neoliberalism in the 1980s, exacerbated by the auto-coup 9/11, the Washington-declared war on terror has killed an estimated 12 to 15 million people around the globe in the last 15 to 20 years. It has also fed and fueled the US military-security complex that by now accounts for a majority of the US economic output, including associated industries and services.


    Wars and conflicts have become Washington’s guarantee of survival. The US economy could not survive without the military industrial complex unlimited amounts of dollars that finances them. This war dependency and tool for dominance used by world financiers may soon spread to Europe. Aggressions by “regime change” of every “unaligned” government, US/NATO military invasions, or mercenary wars, from the Middle East, through Asia, Latin America and Europe abound. They are enhanced by western organised false flag “terror” attacks, gradually reaching around the globe, sacrificing the lives of western governments’ own citizens, with the purpose of spreading fear. Since history remembers, fear is the weapon of dictators to subdue people, countries and eventually entire continents. The very useful culprits are invariably Islamic “jihadists”, who hate the west. The ultimate goal is to complete militarisation of Europe, US and eventually the world. People under Martial Law can be controlled and manipulated.


    The US economy could not survive without the military industrial complex unlimited amounts of dollars that finances them.


    If the multi-trillion-dollar cycle of debt-interest-debt is broken, the western economy is dead. The war on Iraq and the murder of Washington’s long-time ally, Saddam Hussein, was foremost a currency war. At the end of the 1990’s “sanctions” upon Iraq for its western provoked attack on Kuwait, Saddam planned to sell Iraq’s hydrocarbons, at that time the world’s second largest known source, for Euros and later for the “Gold Dinar”, Libya’s new gold-backed currency; the very currency with which Mohammed Gaddafi intended to free Africa from the voracious fangs of the west. Gaddafi wanted to gradually introduce the Gold Dinar as a common (reserve) currency in Africa. He also planned to bring low cost mobile telecommunication to Africa, thereby foregoing European and US phone monopolies’ insane profits reaped off the African people. Therefore, Gaddafi and Libya also had to go.


    Iran was falsely accused as a nuclear threat, even when the 16 most prominent US secret services said that Iran had no intentions of producing nuclear weapons. It was again the dollar that was at stake. In 2007 Iran was about to launch the Teheran Oil Bourse, where hydrocarbons could have been traded in Euros, instead of dollars, an idea many oil producers cherished. Imagine, the trillions of dollars lost to the empire; dollars required by Washington’s proxy government to sustain its supremacy around the world. Iran, Iraq, Libya, Syria, Sudan, Chad, Afghanistan and more Middle-Eastern and North-African countries were already condemned to fall under the Zionist-neocon fabricated PNAC (Plan for a New American Century). However, the “oil bourse” and what it would have meant for the decline of the dollar, triggered the nuclear pretext for illegal “sanctions” and economic attacks on Iran.


    To return to peace, it is high time for the world to move to an alternative monetary system. A new future is dawning. SWIFT (Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication), the western privately-owned and Wall Street dominated international transfer system is being disbanded by the East. SWIFT makes it possible that Iran can be excluded from receiving and making monetary transfers, and that Argentina can be blackmailed into acceding to the US-based Vulture funds demanding US$4 billion of UN-declared illegal debt. SWIFT is being replaced by the Chinese CIPS which can be rolled out internationally and made available to countries that would like to disconnect from western control. Western media are silent about the emerging change, lest it might help awaken the slumbering oppressed masses.


    The only reason BREXIT may have a negative impact, is if the powers that control the dollar-economy – the minute elite of less than 1% – manage to fabricate another crisis in Europe and accuse BREXIT for it.


    BREXIT, if allowed to happen, might put an avalanche of international discontent in motion. But BREXIT is under tremendous pressure not to happen by Washington and its European vassals, as it puts dollar hegemony on the brink. The IMF has started a lie and manipulation campaign falsely – and ridiculously – predicting BREXIT may jeopardise the world economy. There are no reasons or explanations given whatsoever for such nonsense. People have to blindly believe the authorities (sic) of the International Monetary Fund. The only reason BREXIT may have a negative impact, is if the powers that control the dollar-economy – the minute elite of less than 1% – manage to fabricate another crisis in Europe and accuse BREXIT for it. This is entirely possible. The criminals controlling the mendacious “system” know no scruples in oppressing and enslaving the world.


    The British voters’ preference for LEAVE, is giving rise to higher aspirations – EUREXIT, a challenge already in the crosshairs of several EU countries’ populations – though not necessarily shared by their undemocratic puppet governments – including Austria, Sweden, Denmark, Hungary, the Czech Republic, Slovakia, Poland – and the list goes on. An alternative economic and monetary model is already available and being launched.


    “Economy of Resistance” counters neo-fascist globalisation imposed around the world by the west. This for our times revolutionary concept, though not new, is already successfully applied by Russia and Iran, using local banking and local money to promoting local capacities and resources to replace imports by building internal production facilities, creating labour, scientific research and adding in-country value.Resistance Economy may effectively defeat the dollar hegemony and western economy of war, destruction and assassinations, replacing it with an economy of equal opportunities, justice and peace.


    Peter Koenig is an economist, and water resources and environmental specialist. He has worked for over 30 years with the World Bank, the World Health Organization, and the Swiss Development Cooperation, in Africa, Middle East, Eastern Europe and Central Asia, East and South East Asia and Latin America. Peter is also a geopolitical analyst for Global Research, Information Clearing House, RT, PressTV, Sputnik, TeleSUR and The 4th Media, China. He is the author of Implosion – An Economic Thriller about War, Environmental Destruction and Corporate Greed – fiction based on 30 years of World Bank experience around the globe. He is a co-author of The World Order and Revolution! – Essays from the Resistance.


     
  12. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    'พลังงาน' เร่งหารือค่ายรถ ดัน "B20" เข้าปั๊ม


    Publisher : 23 January 2019

    นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เรียกประชุมค่ายรถบรรทุกขนาดใหญ่และผู้ค้าน้ำมันหารือเตรียมความพร้อมขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรีในการขยายการใช้น้ำมัน B20 ในรถขนาดใหญ่ สารพัดประโยชน์ ทั้งช่วยเกษตรกรสวนปาล์ม ลดค่าใช้จ่ายภาคขนส่ง และยังสามารถช่วยลดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5)


    ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

    โดยกรมธุรกิจพลังงานได้นัดค่ายรถบรรทุกขนาดใหญ่ นำโดย นายกสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย, บจ.ฮีโน่มอเตอร์เซลล์ (ประเทศไทย), บจ.เดมเลอร์ คอมเมอร์เชียล วีอีเคิลส์ (ประเทศไทย) และ บจ.ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ ผู้ค้าน้ำมันดีเซล 16 ราย ได้แก่ บมจ.ปตท, บจ.เซลล์แห่งประเทศไทย, บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย), บจ.เชฟรอน (ไทย), บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น, บมจ.ไทยออยล์, บมจ.ไออาร์พีซี, บมจ.ซัสโก้, บจ.ซัสโก้ดีลเลอร์ส, บจ.พี.ซี. สยาม ปิโตรเลียม, บมจ.สยามเฆมี, บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล, บมจ.สตาร์ปิโตรเลียม, บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี, บมจ.ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก และ บมจ.ปตท.บริหารธุรกิจค้าปลีก ประชุมหารือแนวทางขับเคลื่อนนโยบายขยายการใช้ B20 ในรถขนาดใหญ่ให้มากขึ้น

    โดยได้ข้อสรุป คือ ให้ค่ายรถยนต์ดังกล่าวเสนอรุ่นรถในเครือตนเองที่สามารถใช้ B20 ได้ ภายในวันที่ 23 ม.ค. นี้

    ส่วนด้านสถานีบริการ ปตท. บางจาก ซัสโก้ ประกาศความพร้อม สามารถให้บริการได้รวมมากกว่า 10 แห่งเร็ว ๆ นี้


    http://m.thansettakij.com/content/378452
     
  13. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รับใช้สหรัฐอเมริกา จนได้ดิบได้ดี เป็นว่าที่ประธานาธิบดี ตั้งแต่ยังหนุ่ม

    NBC News

    รัสเซียได้เตือนสหรัฐว่าอย่าได้แทรกแซงทางทหารในเวเนซูเอล่า บอกว่าการแทรกแซงนั้นจะกระตุ้นมหันตภัย

    Russia has warned the U.S. not to intervene militarily in Venezuela, saying such a move would trigger a catastrophe.

     
  14. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานการณ์โลก ด้านความมั่นคง


    โลกสวยทุ่งลาเวนเดอร์หลบไป: พียุ่นญี่ปุ่น"เกณฑ์ทหารหญิง"มารับใช้ชาติมากขึ้น(อย่าเกณฑ์นางเอกAVของ@ไปนะเดวหนังขาดตลาด)/ด้วยสถานการณ์แถบทะเลจีนใต้ไม่มีอะไรแน่นอน ทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นจำเป็นต้องเรียกพลเรือนเข้ามาประจำการเป็นทหารมากขึ้น แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจำนวนประชากรญี่ปุ่นกลับลดน้อยลง จึงจำเป็นต้องหากำลังพลมาเพิ่ม และเป็นที่มาของการเกณฑ์ทหารหญิงเข้ามารับใช้ชาติ/...


     
  15. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    The Public Post


    อิหร่าน-ตุรกี-รัสเซีย-จีน ประสานเสียงหนุนมาดูโร เตือนสหรัฐฯเลิกจุ้นกิจการภายในเวเนซุเอลา ชี้การเคลื่อนไหวของวอชิงตันอาจนำไปสู่ความไร้ระเบียบและการนองเลือดในประเทศนี้

    https://www.publicpostonline.net/22610


     
  16. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers


    #Earthquake #ฟิลิปปินส์

    วันที่ 24 ม.ค. 2562

    เวลา 15:34 น. ตามเวลาประเทศไทย


    แผ่นดินไหว ขนาด 5.5

    Claveria,#Philippine Islands Region

    พิกัด (19.14,121.21)

    ความลึก 23 กม.



    https://earthquake.usgs.gov/earthquakes/eventpage/us2000j85q/executive #Watchers


     
  17. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Watchers



    #งานศิลปะจากภัยพิบัติ:

    24/01/19

    คลิปวิดีโอ สภาพท่าเรือริม #ทะเลสาบอีรี ใน #โอไฮโอ ได้รับการแปรสภาพเป็นเหมือนในเทพนิยายหิมะน้ำแข็ง ช่างภาพถ่ายรูปน้ำแข็งสูงตระหง่าน ในวันจันทร์ที่ผ่านมา(21/01)

    จากพายุหิมะฮาร์เปอร์ via: KOIN News

    #LakeErie #Ohio #USA #Watchers
     
  18. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodrigo Contreras Lopez

    #น้ำท่วมใน #makassar อินโดนีเซีย เป็นภัยพิบัติแล้ว #วิดีโอ #น้ำท่วม #ฝน


     
  19. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodrigo Contreras Lopez



    ยักษ์เข้าหา #lahabra county เขต #orange ในสหรัฐอเมริกา ของ #แคลิฟอร์เนียไม่มีการอพยพ #วิดีโอ 24/01
     
  20. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,253
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Rodrigo Contreras Lopez

    เหตุการณ์เหลือเชื่อ # ธรณีวิทยา; บ่อน้ำเดือดพล่านใน # อาเจะห์ Indonesia # สุมาตรา

    # Geology # วิดีโอ

     

แชร์หน้านี้