ติดตามสถานะการณ์

Bank of Thailand Scholarship Students


(Feb 16) โอเปกงัดแผนข่มขวัญ หวังดันน้ำมันขาขึ้น : หลังเห็นพ้องกันร่วมลดกำลังการ ผลิตน้ำมันลงเมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ (โอเปก) และกลุ่มนอกโอเปกก็ต่างคาดหวังว่า ราคาน้ำมันจะกลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ราว 70-80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล



แม้ว่าราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาแล้ว 20% ในปีนี้ นับตั้งแต่โอเปกและพันธมิตรปรับลดกำลังผลิต แต่ราคาก็ยังไม่ถึงเป้าหมายที่คาดหวังไว้ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนต์อยู่ที่ 63.98 ดอลลาร์/บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอยู่ที่ 54.16 ดอลลาร์/บาร์เรล เมื่อวันที่ 14 ก.พ.



จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้โอเปกหันไปเดิมพันกับกลยุทธ์ใหม่สร้างความตื่นตระหนกให้เกิดขึ้นในตลาด (Shock and Awe) ด้วยการหั่นกำลังการผลิตมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์เอาไว้ เพื่อหวังถีบให้ราคาพุ่งทะยานขึ้นในเวลาต่อมา



โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า กลยุทธ์ล่าสุดของโอเปกคาดว่าจะดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นประมาณ 7% จากระดับปัจจุบัน โดยราคาน้ำมันดิบ เบรนต์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 67.50 ดอลลาร์/บาร์เรล ในไตรมาส 2 ปีนี้



การเดินกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนออกมาจากการเปิดเผยตัวเลขลดกำลังการผลิตน้ำมันเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งโอเปกลดการผลิตน้ำมันลง 7.97 แสนบาร์เรล/วัน ไปอยู่ที่ทั้งหมด 30.8 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลงจาก 31.6 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน ธ.ค. 2018



"ซาอุดิอาระเบีย" ยังคงเป็นผู้นำทัพปรับลดการผลิตลงมากที่สุด โดยปริมาณการผลิตน้ำมันเดือน ม.ค.อยู่ที่ 10.2 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลงถึง 3.5 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งตัวเลขการปรับลดดังกล่าว ต่ำกว่าโควตาลดกำลังการผลิตที่กำหนดไว้เกือบ 1 แสนบาร์เรล/วัน



ไม่เพียงเท่านั้น คาลิด อัล-ฟาลีห์ รัฐมนตรีน้ำมันซาอุดิอาระเบีย เปิดเผยว่า ซาอุฯ จะเดินหน้าลดปริมาณการผลิตต่ออีกกว่า 5 แสนบาร์เรล/วัน ให้ไปอยู่ที่ประมาณ 9.8 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน มี.ค.



นอกจากซาอุดิอาระเบียแล้ว สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์และคูเวต ยังปรับลดกำลังการผลิตลงมากกว่าที่ให้คำมั่นไว้ ทำให้อัตรา



ความร่วมมือในการปรับลดกำลังการผลิตอยู่ที่ 86% โดยปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกลดลง 9.3 แสนบาร์เรล/วัน ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ไปอยู่ที่ 30.83 ล้านบาร์เรล/วัน แตะระดับต่ำสุดเกือบ 4 ปี ตามรายงานล่าสุดของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) คงต้องบอกว่าอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนกลยุทธ์ล่าสุดของโอเปกคือ "มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐ" ทั้งต่ออิหร่านและเวเนซุเอลา ซึ่งจะส่งผลให้ซัพพลายน้ำมันในตลาดลดฮวบเร็วขึ้นไปอีก



ในกรณีของอิหร่านนั้น นับตั้งแต่มาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐมีผลบังคับไปแล้วเมื่อวันที่ 5 พ.ย. การส่งออกน้ำมันของอิหร่านก็ร่วงลงอย่างเห็นได้ชัดไปอยู่ที่เพียง 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือน ธ.ค. 2018 ลดลงเกือบ 60% จากช่วงครึ่งปีแรก



สำหรับกรณีของเวเนซุเอลาที่สหรัฐเพิ่งประกาศคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันแห่งชาติ PDVSA โกลด์แมน แซคส์ มองว่าจะส่งผลให้ซัพพลายน้ำมันในตลาดโลกหายไปประมาณ 3 แสนบาร์เรล/วัน ในปีนี้ โดยการผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาลดลงมาอย่างต่อเนื่องเกือบครึ่งหนึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 1.17 ล้านบาร์เรล/วัน โดยล่าสุดนั้น การผลิตน้ำมันของเวเนซุเอลาลดลงมาอีก 5.9 หมื่นบาร์เรล/วัน เมื่อเดือน ม.ค.



อย่างไรก็ดี การใช้กลยุทธ์ข่มขวัญเพื่อหวังผลเลิศให้ราคาพุ่งขึ้นมานั้น ก็ไม่ได้ง่ายดายราบรื่นอย่างที่โอเปกตั้งใจไว้ ขวากหนามชิ้นแรกคือเรื่อง "ดีมานด์" ที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในปีนี้ จากผลกระทบเศรษฐกิจโลกโตชะลอ



ล่าสุดนั้น โอเปกคาดการณ์ว่า ความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.24 ล้านบาร์เรล/วัน ลดลง 5 หมื่นบาร์เรล/วัน จากคาดการณ์ก่อนหน้านี้ พร้อมระบุว่า ในปีนี้ ดีมานด์น้ำมันจากโอเปกของทั่วโลกจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล/วัน จากเมื่อปีที่แล้ว ไปอยู่ที่ 30.6 ล้านบาร์เรล/วัน



สอดคล้องกับข้อมูลของไออีเอที่ระบุว่า ความต้องการใช้น้ำมันของโอเปกจากทั่วโลกคาดว่าจะอยู่ที่ 30.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2019 ลดลงจากคาดการณ์ก่อนหน้าของไออีเอที่ 31.6 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่การขยายตัวของดีมานด์น้ำมันทั่วโลก ยังอยู่ที่ 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน ไม่ปรับขึ้นจากคาดการณ์เมื่อเดือนที่ผ่านมา



แม้ว่าในช่วงไม่นานนี้ตลาดน้ำมันกำลังได้รับปัจจัยบวกจากความหวังที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐจะคลี่คลายลง ซึ่งทำให้ทิศทางราคากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น แต่ก็เป็นเพียงตัวแปรที่ส่งผลในระยะสั้นเท่านั้น



ปัจจัยที่จะส่งผลต่อตลาดน้ำมันในระยะยาวยังคงหนีไม่พ้นเรื่อง "ซัพพลาย"ไออีเอคาดการณ์ว่า ซัพพลายน้ำมันจากกลุ่มนอกโอเปกจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1.8 ล้านบาร์เรล/วัน ในปี 2019เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ที่ 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน สอดคล้องกับที่โอเปกมองว่า การผลิตน้ำมันจากชาตินอกกลุ่มโอเปกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 8 หมื่นบาร์เรล/วัน ไปอยู่ที่ 2.18 ล้านบาร์เรล/วัน นำโดยการผลิตจาก "กลุ่ม เชลออยล์สหรัฐ"



สัญญาณการเดินหน้าผลิตเพิ่มของกลุ่มเชลออยล์ปรากฏขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว สะท้อนออกมาจากสต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 ในช่วงสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.พ. โดยเพิ่มขึ้นมา 3.6 ล้านบาร์เรล ไปอยู่ที่ 450.8 ล้านบาร์เรล แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2017 ขณะที่ รอยเตอร์สรายงานว่า การผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐยังคงอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ 11.9 ล้านบาร์เรล/วัน



ขณะที่สำนักงานข้อมูลพลังงานสหรัฐ (อีไอเอ) คาดการณ์ว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 1.45 ล้านบาร์เรล/วัน ในปีนี้ และอีก 7.9 แสนบาร์เรล/วัน ในปีหน้า จนไปอยู่ที่ทั้งหมด 13 ล้านบาร์เรล/วันในปี 2020



การปั๊มน้ำมันเพิ่มของเชลออยล์จึงคาดว่าจะส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยก่อนหน้านี้ เอ็ด มอร์ส นักวิเคราะห์จากธนาคารซิตี้ คาดการณ์ว่าหากราคาน้ำมันดิบ เบรนต์ปรับขึ้นแตะ 65-70 ดอลลาร์/บาร์เรล จะกระตุ้นให้เชลออยล์เพิ่มการลงทุนแท่นขุดเจาะน้ำมันมากขึ้น ซึ่งมอร์สมองว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่องไปอยู่ที่กว่า 60 ดอลลาร์/บาร์เรล และแตะ 70 ดอลลาร์/บาร์เรล ก่อนสิ้นปีนี้



การวางเดิมพันกับกลยุทธ์ล่าสุดของโอเปก ที่ตั้งใจดูดซัพพลายออกจากตลาดเพื่อหวังดันให้ราคากลับมาเพิ่มขึ้นนั้น คงไม่ได้สำเร็จลุล่วงไปโดยง่าย แต่ยังมีตัวแปรที่อยู่นอกเหนือการควบคุมอีกหลายอย่างทั้งในระยะสั้นและระยะยาว


โดย นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

Source: Posttoday

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Feb 16) ประณามคว่ำบาตร 9 แสนล้าน มาดูโรซัดสหรัฐ มนุษยธรรมช่วยเวเนฯปลอมเปลือก: เมื่อ 16 ก.พ. เอเอฟพี รายงานว่า ประธานาธิบดีนิโกลาส มาดูโร ผู้นำเวเนซูเอลา กล่าวหาทางการสหรัฐอเมริกาว่าพยายามขโมยความมั่งคั่งของเวเนซูเอลาไป และความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมที่ส่งมานั้นเป็นกับดักที่เต็มไปด้วยอาหารเน่าเหม็นและปนเปื้อน หลังทางการสหรัฐใช้มาตรการคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล 5 คน ที่ใกล้ชิดกับประธานาธิบดีมาดูโร มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 9 แสนล้านบาท


รายงานระบุว่า บรรดาถุงยังชีพและอาหารน้ำดื่มที่สหรัฐจัดส่งมาช่วยเหลือชาวเวเนซูเอลานั้นไม่สามารถเข้ามาในเวเนซูเอลาได้ เพราะประธานาธิบดีมาดูโร ทำให้สัมภาระกองรวมกันอยู่ที่ชายแดนประเทศโคลอมเบีย ขณะที่นายฆวน กวยโด ประธานาธิบดีรักษาการณ์ที่สหรัฐและชาติตะวันตกให้การยอมรับนั้นยังยืนยันจะเปิดทางให้สิ่งของบรรเทาทุกข์ผ่านเข้ามาได้


ประธานาธิบดีมาดูโรอ้างว่า “พวกมันขโมยเงินของพวกเราไป 3 หมื่นล้านดอลลาร์ แล้วส่งเศษอาหารเน่าๆ มาให้ชาวเวเนซูเอลาแทน” และว่า “มันเป็นกับดัก แค่พยายามสร้างภาพว่าช่วยเหลือ ด้วยอาหารเน่าๆ ปนเปื้อนของพวกมัน”


ทั้งนี้ เวเนซูเอลากำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรง ทำให้ประชาชนหลายล้านคนขาดแคลนปัจจัยสี่ โดยประธานาธิบดีมาดูโรกล่าวโทษว่ามาจากการคว่ำบาตรของสหรัฐ ขณะที่นายกวยโด ระบุว่าเป็นผลมาจากการบริหารงานที่ผิดพลาดของประธานาธิบดีมาดูโร


Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


- Venezuela crisis: Nicolas Maduro blasts US for 'stealing' billions and offering 'crumbs': https://www.timesnownews.com/intern...-stealing-billions-and-offering-crumbs/366821

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Feb 17) เศรษฐกิจบนมือถืออาเซียน 'โตเร็ว-ยั่งยืน'แซงหน้าจีน: ภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ กำลังเป็นฮอตสปอตของเศรษฐกิจบนมือถือแซงหน้าจีน โดยบรรดาผู้บริโภคชาวไทย-อินโดฯ-สิงคโปร์ แห่ทำกิจกรรมต่างๆบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทั้งการทำธุรกรรมทางการเงินทางออนไลน์ ซื้อสินค้า และบริการ และเรียกใช้บริการรถรับจ้างผ่านแอพพลิเคชั่น



จีน อาจจะเป็นบ้านของยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซโลกอย่างอาลีบาบา แต่อินโดนีเซีย ก็เป็นประเทศที่มีอัตราการเข้าถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซบนมือถือสูงที่สุดในโลก ส่วนไทย เป็นประเทศชั้นนำในการทำ ธุรกรรมทางการเงินบนมือถือ และสิงคโปร์ มีความโดดเด่นในฐานะเป็นศูนย์กลาง ด้านการใช้แอพพลิเคชั่นเรียกรถรับจ้าง นี่จึงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่า เพราะ เหตุใดเม็ดเงินลงทุนจึงหลั่งไหลเข้าไป ยังบรรดาบริษัทสตาร์ทอัพอาเซียน ซึ่ง จะช่วยหนุนให้ภูมิภาคนี้เป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ทรงพลังที่สุด ในช่วงที่เศรษฐกิจจีนออกอาการซวนเซจากภาวะการชะลอตัว



รายงานประจำปีของโกลบอล ดิจิทัล รีพอร์ท ปี 2562 จัดทำโดย ฮูทสวีทแพลตฟอร์มบริหารจัดการสื่อโซเชียลและวี อาร์ โซเชียล บริษัทด้านการตลาดดิจิทัล ระบุว่า ในกลุ่ม ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของไทยนั้น มีสัดส่วน 74% ที่เข้าถึงการบริการธนาคารผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้ไทยเป็นหนึ่ง ในจุดหมายปลายทางที่บรรดา นักท่องเที่ยวนิยมเข้ามาท่องเที่ยว มากที่สุดของภูมิภาคเอเชียแซงหน้า อัตราของทั่วโลกซึ่งอยู่ที่ 41% และสูงกว่าในจีนซึ่งอยู่ที่ 61%



รายงานชิ้นนี้ ระบุว่า การโอนเงิน ผ่านระบบธนาคารแบบออนไลน์ที่ทำบน มือถือยังคงเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยม มากที่สุดในหมู่ผู้บริโภคชาวไทยที่ประชากรส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงบัตรเครดิต หรือ สมุดเช็ค ซึ่งเปิดโอกาสให้การทำธุรกรรมทางการเงินบนมือถือขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง



ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ของไทย ก็ปรับตัวรับกระแสการมาถึงของเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน โดยเมื่อเดือนมี.ค.ปีที่แล้ว ธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งของไทย คือ กรุงเทพ กสิกรไทย ไทยพาณิชย์ และกรุงไทย ยกเลิกการเก็บค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมทางอินเทอร์เน็ตและบนมือถือสำหรับผู้เปิดบัญชีกับธนาคาร จากนั้น ไม่นาน ธนาคารขนาดเล็กรายอื่นๆก็ดำเนินนโยบายในลักษณะคล้ายๆ กัน เพื่อรับมือกับการแข่งขันอย่างดุเดือดของอุตสาหกรรมให้บริการทางการเงิน เพราะมีผู้เล่นหน้าใหม่ๆเข้ามาแข่งขันด้วย อาทิ ไลน์ เพย์



แนวโน้มการบริการในรูปแบบดังกล่าว ของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของไทย สอดคล้องกับแผนการของรัฐบาลที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็นสังคมไร้เงินสด และรัฐบาลเองคาดหวังว่าจะได้ประโยชน์มหาศาลจากเศรษฐกิจการจ่ายเงินค่าสินค้าและบริการทางดิจิทัล ขณะที่กระแสความนิยมทำธุรกรรมทางการเงินบนมือถือที่เพิ่มขึ้นเป็นประวัติการณ์ เปิดโอกาสให้บริษัทขนาดกลางและเล็ก(เอสเอ็มอี)ยื่นเอกสารสมัครเพื่อขอสินเชื่อ และทำให้ยากต่อการที่จะติดสินบนหรือฉ้อฉล รวมทั้งทำให้การค้ามนุษย์หรือการลักลอบค้ายาเสพติดกระทำได้ยากด้วยเช่นกัน



ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของโทโกพีเดีย และบูกาลาพัก ยูนิคอร์นในธุรกิจอีคอมเมิร์ซในฐานะที่มีผู้เข้าใช้บริการในอันดับต้นๆของโลก โดยในช่วงเดือน ที่ผ่านมา 76% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตซื้อสินค้าผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทิ้งห่างส่วนอื่นของโลกแบบไม่เห็นฝุ่นซึ่งมีสัดส่วน 55% รวมทั้งจีนที่มีสัดส่วน 74%



นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาในแง่ประชากรศาสตร์ของอินโดนีเซียแล้ว จะพบว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซบนมือถือเติบโตอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่อง โดยประมาณ 60% ของประชากรในอินโดนีเซีย 260 ล้านคน มีอายุต่ำกว่า 40 ปี สัดส่วนการเข้าถึงอุปกรณ์เคลื่อนที่อยู่ที่ 70% และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านสมาร์ทโฟนเป็นเรื่องปกติของประชากรในประเทศนี้



ธุรกิจอีคอมเมิร์ซบนมือถือเป็น กิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากในเมือง ต่างๆ เนื่องจากการซื้อสินค้าและบริการ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายแก่ผู้คน ไม่ต้องออกไปเสียเวลาบนท้องถนน เพราะการจราจรที่ไม่ค่อยมีความคล่องตัว และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ธุรกิจของโก-เจ็ก เติบโตอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมถึง ธุรกิจส่งอาหารตามบ้านในเครือของ บริษัทที่ชื่อโก-ฟู้ดด้วย ซึ่งบริษัทระบุว่า มูลค่าการโอนเงินเพื่อเป็นค่าบริการ ส่งอาหารจากลูกค้าในแต่ละปีอยู่ที่ 2,000 ล้านดอลลาร์ ถือเป็นธุรกิจให้บริการส่งอาหารรายใหญ่สุดในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้



ขณะที่ธุรกิจเรียกรถบริการผ่าน แอพพลิเคชั่นที่โดดเด่นที่สุดของภูมิภาค คือในสิงคโปร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทแกร็บ ที่ถือเป็นผู้เล่นรายใหญ่สุดในธุรกิจให้บริการเรียกรถรับจ้างผ่านแอพพลิเคชั่น โดยใน กลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตของสิงคโปร์ มีสัดส่วนการใช้แอพฯเรียกรถรับจ้างอย่างน้อยเดือนละครั้งมากที่สุดคือ 52% อินโดนีเซีย ตามมาเป็นอันดับ 2 ที่ 51% และอันดับ3 คือ มาเลเซียที่ 48% ส่วนสัดส่วนของทั่วโลกอยู่ที่ 30% และในจีน 35%



ด้วยความที่สิงคโปร์ เป็นประเทศขนาดเล็ก เป็นประเทศที่ดำเนินเศรษฐกิจรูปแบบดิจิทัลมานานหลายปีแล้ว ทั้งยังมีกฎระเบียบที่เอื้อต่อการเข้าลงทุนของ บริษัทด้านเทคโนโลยี ทำให้ธุรกิจอย่างแกร็บ และอูเบอร์ เทคโนโลยี ได้แจ้งเกิดเมื่อปี 2556 และเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งแกร็บเข้าครอบครองกิจการของอูเบอร์ในตลาดอาเซียน



โกลบอล ดิจิทัล รีพอร์ท ยังระบุว่า ผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใช้เวลามากกว่าผู้คนในภูมิภาคอื่น ของโลกในการท่องเน็ตบนมือถือ หรืออุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยคนไทย ใช้เวลามากที่สุด วันละประมาณ5 ชั่วโมง 13 นาที ตามมาด้วยชาวฟิลิปปินส์ ที่ใช้เวลาทางออนไลน์ 4 ชั่วโมง 58 นาที ส่วนอินโดนีเซีย ใช้เวลาท่องเน็ต 4 ชั่วโมง 35 นาที



เมื่อ5ปีก่อน อัตราผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ที่ 25% แต่ปัจจุบันตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 63% ส่วนประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยรวมทั้งภูมิภาคอยู่ที่ 415 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 380 ล้านคนเมื่อปีก่อน แต่ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับสหรัฐและยุโรปที่มีอัตรา ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตมากกว่า 90%


Source: กรุงเทพธุรกิจ

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Feb 17) “ทรัมป์”เปิดบททดสอบอำนาจ"คองเกรส-ทำเนียบขาว" : การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของผู้นำสหรัฐ เพื่อสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโก เผชิญกับความท้าทายทางกฎหมายในทันที ซึ่งอาจกลายเป็นบททดสอบการถ่วงดุลอำนาจครั้งสำคัญระหว่างทำเนียบขาวกับสภาคองเกรส


บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ให้ความเห็นกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า ความเคลื่อนไหวของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ประธานาธิบดีใช้อำนาจฉุกเฉินในการเอาชนะมติคัดค้านของสภาคองเกรส เพื่อดึงงบประมาณก่อสร้างกำแพงชายแดนตามที่นายทรัมป์ต้องการมานาน


นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญยังตั้งคำถามนายทรัมป์เกี่ยวกับการจัดประเด็นคนเข้าเมืองเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติ และการนำงบประมาณกองทัพมาใช้กับโครงการที่ไม่เกี่ยวกับการทหาร

นายบ็อบบี้ เชสนีย์ รองคณบดีคณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเทกซัส กล่าวว่า การใช้งบประมาณของกองทัพขัดกับหลักเกณฑ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ซึ่งระบุว่า แม้งบประมาณจะถูกดึงไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น แต่จะต้องนำไปใช้เพื่อโครงการที่กำหนดให้มีกองกำลังทหารเท่านั้น


ขณะที่นางเจนนิเฟอร์ ดาสคาล ศาสตร์จารย์วิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัยอเมริกัน คาดว่า บรรดาเจ้าของที่ดินแถบชายแดนเม็กซิโกจะฟ้องร้องต่อศาลเพื่อให้คุ้มครองสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ของตน และที่ดินหลายแห่งบริเวณนั้นไม่ใช่ของรัฐบาลกลาง แต่เป็นของเอกชน


นายทรัมป์ ตัดสินใจเลือกใช้อำนาจฉุกเฉิน หลังเผชิญทางตันกับสมาชิกพรรคเดโมแครตที่ขัดขวางโครงการสร้างกำแพงของเขา ข้อพิพาทซึ่งเป็นเหตุให้เกิดภาวะชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนเป็นเวลากว่า 35 วัน ขณะที่การใช้อำนาจฉุกเฉินของนายทรัมป์ยิ่งเพิ่มความกังวลให้กับบรรดาสมาชิกสภาคองเกรสรวมถึงสมาชิกพรรครีพับลิกันของเขาเอง ซึ่งเตือนว่ามันอาจก่อบรรทัดฐานที่อันตรายตามมา


ด้านพรรคเดโมแครตแสดงความกังวลว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของนายทรัมป์ จะเป็นการเปิดทางให้ประธานาธิบดีคนต่อ ๆ ไปในอนาคต ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปหมดทุกอย่าง ไล่ตั้งแต่ความรุนแรงจากอาวุธปืนไปจนถึงภาวะโลกร้อน


นางแนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรพรรคเดโมแครตและนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาของพรรคเดโมแครตแถลงตำหนิทันทีว่า การกระทำของประธานาธิบดีละเมิดอำนาจของรัฐสภาเหนือฝ่ายบริหารในการควบคุมงบประมาณ ซึ่งเป็นอำนาจที่ผู้ก่อตั้งประเทศได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ รัฐสภาจะปกป้องอำนาจนี้ทั้งในสภา ในศาล และสาธารณะ โดยจะใช้ทุกหนทางที่มีอยู่


ขณะเดียวกัน กลุ่มพับลิก ซิติเซน ที่เป็นกลุ่มปกป้องผู้บริโภคได้ยื่นฟ้องในนามเจ้าของที่ดินริมแม่น้ำริโอแกรนด์ในรัฐเทกซัส 3คนที่อ้างว่าได้รับแจ้งว่า รัฐบาลจะสร้างกำแพงเม็กซิโกในที่ดินของพวกเขา หากได้รับงบประมาณในปีนี้ คำฟ้องยังได้อ้างชื่อสมาคมแห่งหนึ่งเป็นโจทก์ยื่นฟ้องด้วยว่า สมาชิกสมาคมจะถูกละเมิดสิทธิการสังเกตการณ์ชีวิตสัตว์ป่าหากมีการสร้างกำแพง เพราะจะทำลายถิ่นอาศัยของสัตว์ป่า


ประธานาธิบดีหลายคนก่อนหน้านี้ ก็เคยใช้อำนาจฉุกเฉินในประเด็นต่าง ๆเช่นเดียวกับนายทรัมป์ แต่แนวโน้มที่นายทรัมป์ กำลังใช้อำนาจในการรุกเข้าไปยังบัญชีของรัฐบาลเพื่อหาเงินสำหรับสร้างกำแพง ได้ก่อความกังวลอย่างยิ่งในสภาคองเกรส


Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


- Legal challenges to Trump emergency declaration face uphill battle: https://www.euronews.com/2019/02/16...rump-emergency-declaration-face-uphill-battle

 

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 22.30 น. เจ้าหน้าที่ได้รับรายงานว่า ผกร. ที่หลบหนีอยู่ในประเทศมาเลเซีย จะทำการข้ามฝั่งมาทางช่องทางธรรมชาติ เพื่อเข้ามาในพื้นที่บริเวณบ้านปะลุกา หมู่ที่ 3 ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการวางกำลังซุ่มเฝ้าตรวจบริเวณดังกล่าว

ในเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจพบบุคคลต้องสงสัยกำลังนั่งเรื่อข้ามฝั่ง เมื่อถึงบริเวณฝั่งประเทศไทย เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนเพื่อขอเข้าตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบ นายยูฮารี สะมะแอ อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลที่ 325/1 บ้านเกาะยาว หมู่ที่ 8 ต.เจ๊ะเห อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เป็นสมาชิกกลุ่ม ผกร. ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับ ป.วิอาญา ที่ จ.70/2560 ลง 27 ก.พ.2560

จากการตรวจสอบทราบว่า นายยูฮารี สะมะแอ เป็นบุคคลที่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 ที่มีกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม บุกยิง พระครูประโชติรัตนานุรักษณ์ อดีตเจ้าคณะอำเภอสุไหงปาดีและอดีตเจ้าอาวาสวัดรัตนานุภาพ มรณภาพพร้อมพระลูกวัดรวม 2 รูป และเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2562 คนร้ายใช้อาวุธปืนซุ่มยิง ส.ต.อ.มูฮัมหมัดฟัยซอล มะยาโก๊ะ อายุ 29 ปี ผบ.หมู่(ป) สภ.สุไหงโก-ลก ซึ่งถูกกระสุนปืนยิงที่ต้นขาซ้าย 1 นัด ได้รับบาดเจ็บ และชาวบ้านโดนลูกหลงอีก 1 ราย ชื่อนายมูหัดมะห์ฟาอีส เจะโกะ อายุ 23 ปี ถูกกระสุนปืนยิงเข้าหน้าท้อง 1 นัด ขณะกำลังขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนน จนเสียชีวิต ที่บริเวณถนนหมายเลข 4057 สุไหงโกลก – มูโน๊ะ บ้านกวาลอซิลา หมู่ที่ 7 ต.ปาเสมัส อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.กฎอัยการศึก ทำการควบคุมตัว นายยูฮารีฯ เพื่อจัดทำประวัติบุคคลและตรวจเก็บสารพันธุกรรม DNA เพื่อหาความเชื่อมโยงกับกลุ่ม ผกร.ในพื้นที่ และดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

 

John Traczyk


แสงดาวตกสีเขียวสดใสเสียงดังก้องเหนือท้องฟ้ากลางคืนฟลอริด้า

 

Watchers


#ข่าวภัยพิบัติ #พายุหิมะ #จีน

// จีนช่วยชาวไร่ประสบพายุหิมะ ปศุสัตว์ตายหลายหมื่นตัว //

17 ก.พ. 2019

ชิงไห่ - ทางการจีนจัดสรรความช่วยเหลือให้กับชาวไร่ท้องถิ่น ขณะที่พายุหิมะพัดกระหน่ำทั่วเขตปกครองตนเองทิเบตทางมณฑลชิงไห่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน


สถานีพยากรณ์อากาศท้องถิ่นรายงานว่า พายุหิมะนับ 10 ลูกพัดกระหน่ำทั่วพื้นที่มาตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ จนหิมะปกคลุมมากเป็นประวัติการณ์ ปศุสัตว์ล้มตายร่วม 18,080 ตัวเนื่องจากหิมะตกหนักตั้งแต่ 15 กุมภาพันธ์ นอกจากนี้หิมะยังตกสะสมกีดขวางถนนหลายสายในมณฑลชิงไห่ ต้องเร่งปฏิบัติการกู้ภัย ทางการท้องถิ่นจัดสรรสิ่งของบรรเทาทุกข์มูลค่าราว 2.2 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งทุนอุดหนุน อาหาร สิ่งของช่วยเหลือ และอาหารสัตว์ให้กับพื้นที่ประสบภัย .


ล่าสุด

// รัฐบาลจีนยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้เลี้ยงสัตว์แถบยูชู ในเขตปกครองตนเองทิเบต ที่กำลังถูกพายุหิมะเข้าถล่มอย่างรุนแรง //


รัฐบาลจีนยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้เลี้ยงสัตว์แถบยูชู ในเขตปกครองตนเองทิเบต ซึ่งอยู่ในมณฑลฉิงไห่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ที่กำลังถูกพายุหิมะเข้าถล่มอย่างรุนแรง โดยสำนักอุตุนิยมวิทยาจีนระบุ นับแต่เดือนธันวาคมจนถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ มีพายุหิมะเข้าถล่มแถบยูชูถึงกว่า 10 ลูก ทำให้สัตว์ตายไปเกือบ 20,000 ตัว นอกจากนี้ยังทำให้ทุกเส้นทางที่จะไปยังเขตปกครองตนเองทิเบตถูกปิด เป็นอุปสรรคต่อการส่งความช่วยเหลือ โดยเมืองฉิงชุยเหอ เป็นเมืองที่เสียหายหนักที่สุด ทางการต้องส่งอาหารสัตว์ราว 40,000 ตันไปช่วยผู้เลี้ยงสัตว์คนหนึ่งกล่าวว่า หากทางการไม่ช่วยเรื่องอาหารสัตว์แล้วสัตว์เหล่านี้ไม่รอดแน่

เครดิต : mcot #Watchers

 

MOREMOVE


#ซาวเสียงกันหน่อย แทบทุกประเทศทั่วโลกของเรากำลังประสบวิกฤต 'อัตราการเกิดต่ำ' ทำทั่วโลกขาดพลเมืองแรงงานในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น คิดเห็นอย่างไรคะ!!? หากไทยตามอย่างฮังการี เตรียมประกาศนโยบายกระตุ้นการมีลูก ด้วยการให้เงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยจากรัฐบาลแก่ครอบครัวที่มีลูกสองคนขึ้นไป โดยครอบครัวที่มีลูก 3 คนจะได้รับเงินกู้ยืมปลอดดอกเบี้ยมากถึง 3,900,000 บาท!!!


สำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในหลายประเทศในเอเชียที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า ถ้าจะรักษาการเติบโตของจำนวนประชากร อัตราการเกิดใหม่ของเด็กไทยควรอยูที่ 2.1 คน ขณะที่สถิติเด็กเกิดใหม่ของไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.48 เท่านั้น


Source : https://www.springnews.co.th/news/440117


โดยเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี วิคเตอร์ ออร์บาน ของฮังการี ได้แถลงการณ์ว่า ขณะนี้มีเด็กเกิดใหม่ในยุโรปน้อยลงเรื่อยๆ รัฐบาลจึงกำลังออกมาตรการเพื่อสนับสนุนคู่สามีภรรยาอายุน้อย ดังนี้


ผู้หญิงทุกคนที่อายุต่ำกว่า 40 ปีที่แต่งงานเป็นครั้งแรก จะได้รับเงินให้กู้ยืมไร้ดอกเบี้ยจากรัฐบาล 10 ล้านโฟรินต์ หรือราว 1,116,000 บาท


คู่แต่งงานที่มีลูก 2 คน สามารถได้รับเงิน 22 ล้านโฟรินต์ หรือราว 2,455,000 บาท


ครอบครัวที่มีลูก 3 คนจะได้รับเงิน 35 ล้านโฟรินต์ หรือราว 3,900,000 บาท


นอกจากนี้ ยังมีแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนมาตรการดังกล่าวด้วย ยกตัวอย่างเช่น สัญญาว่าจะสร้างสถานรับเลี้ยงเด็ก 21,000 แห่งภายใน 3 ปี จะขยายงบประมาณระบบสาธารณสุขอีกราว 2,500 ล้านดอลลาร์ และสนับสนุนการซื้อรถ 7 ที่นั่ง


จำนวนประชากรของฮังการีลดลงปีละกว่า 32,000 คน ผู้หญิงฮังการีมีลูกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของยุโรป อัตราการเด็กเกิดใหม่ของฮังการีเฉลี่ยอยู่ที่ 1.45 คน ขณะที่อัตราเด็กเกิดใหม่ของยุโรปอยู่ที่ 1.58 คน โดยฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดสูงสุดในยุโรปคือ 1.96 คน


อนึ่ง นักวิชาการระบุว่า อัตราเด็กเกิดใหม่ที่ตกต่ำนั้น มีผลกระทบด้านเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ถ้าโลกมีคนสูงอายุมากเกินไปและไม่มีคนวัยทำงานมารองรับ จะกลายเป็นภาระทางการเติบโตทางเศรษฐกิจ


อย่างไรก็ตาม อัตราเด็กเกิดใหม่ทั่วโลกเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5 อัตรา ขณะที่สถิติเด็กเกิดใหม่ของไทยล่าสุดอยู่ที่ 1.48 เท่านั้น.

 

ไม่มีจะกินแล้ว! เปิดบทเรียนพิษประชานิยมอาร์เจนฯ วันที่ 17 ก.พ. 2562 เวลา 12:31 น.

อาร์เจนตินากำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก และหากย้อนดูประวัติศาสตร์ก็จะพบว่าเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันเป็นผลพวงจากนโยบายประชานิยม

ชาวอาร์เจนตินาพร้อมใจกันเดินขบวนประท้วงใน 50 เมืองทั่วประเทศ รวมทั้งในกรุงบัวโนสไอเรส เรียกร้องให้ประธานาธิบดี เมาริซิโอ มาครี ประกาศภาวะฉุกเฉินทางอาหารและหยุดขึ้นราคาสาธารณูปโภค เนื่องจากส่วนใหญ่ตกงานจนแทบไม่มีเงินประทังชีวิต โดยนับตั้งแต่ประธานาธิบดีมาครีขึ้นดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2015 ชาวอาร์เจนตินาต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 2.1% ค่าแก๊ส 3% แล้ว

ทั้งนี้ หากย้อนไปในช่วงศตวรรษที่ 19 อาร์เจนตินายังเป็น 1 ใน 10 ประเทศร่ำรวยเงินทุนต่างประเทศไหลเข้าไม่ขาดสาย แต่กลับเป็นช่องว่างให้คนรวยกลุ่มหนึ่งเข้ามาครอบงำประเทศจนเกิดความเหลื่อมล้ำ ในปี 1916 ฮิโปลิโต อิริโกเยน นักการเมืองคนหนึ่งได้ชูนโยบายประชานิยมขึ้นมาเพื่อโค่นล้มกลุ่มคนรวย ปรากฏว่าเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้นำและเริ่มแจกทุกอย่างให้ชาวอาร์เจนตินาทันที ต่อมาผู้นำที่ยังครองอำนาจก็ใช้วิธีเดียวกันนี้จนชาวอาร์เจนตินาเสพติดของฟรี

จากนั้นไม่นานเงินสำรองของประเทศก็หมดลงจนต้องกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เมื่อไม่มีใครให้กู้อีกต่อไปก็เริ่มพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้ตามใจชอบ ในที่สุดอาร์เจนตินาก็ประสบภาวะเงินเฟ้อจนนำไปสู่การล้มละลายในปี 1956 หรือ 40 ปี หลังเริ่มใช้นโยบายประชานิยม

เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของอาร์เจนตินายังถูกอภิมหาวิกฤตเศรษฐกิจ (Great Depression) ระหว่างปี 1974-1990 เล่นงานจนเศรษฐกิจล่มสลาย อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นปีละ 3,000% และมีปัญหาลากยาวมาถึงปี 2002 ระหว่างนั้นรัฐบาลก็เริ่มกู้เงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) มากระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อปีที่แล้วเศรษฐกิจอาร์เจนตินาก็ทรุดลงอีก เมื่อค่าเงินเปโซลดลงไปครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ประกอบกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นไปแตะ 48% บีบบังคับให้ประธานาธิบดีมาครีจำต้องกู้เงินจาก IMF อีก 56,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นเงินกู้ก้อนใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ IMF ภายใต้ข้อตกลงว่าอาร์เจนตินาต้องรัดเข็มขัด ปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด และตัดลดการอุดหนุนต่างๆ จากนโยบายประชานิยม โดยธนาคารกลางก็ห้ามแทรกแซงค่าเงิน

ข้อแลกเปลี่ยนของ IMF ส่งผลให้ราคาสินค้าทะยานขึ้นต่อเนื่อง ค่าเงินเปโซของอาร์เจนตินายิ่งต่ำลง และเมื่อค่าเงินต่ำลงแล้ว ต่างชาติก็จะเข้าซื้อกิจการต่างๆ ในอาร์เจนตินาในราคาแสนถูก ฝ่ายผู้เชี่ยวชาญก็มองว่าเงินกู้ของ IMF เป็นกับดักที่ร้ายกาจ และอาจจะทำให้เศรษฐกิจของอาร์เจนตินาย่ำแย่ลงอีก เช่น ในปี 2001 ที่อาร์เจนตินาประสบวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ผลักให้ประชาชนนับล้านตกอยู่ในฐานะยากจน 3 ปีหลังจาก IMF เข้ามาแทรกแซง

ซึ่งในภายหลังผู้ตรวจสอบภายในของสถาบันแห่งนี้ยอมรับว่าประเมินการเติบโตเศรษฐกิจและความสำเร็จในการปฏิรูปเศรษฐกิจของอาร์เจนตินาผิดพลาด จึงยังปล่อยเงินกู้ให้อาร์เจนตินาทั้งที่มีความสามารถในการชำระหนี้ต่ำ

ทั้งนี้ เว็บไซต์ publicfinanceinter national.org ระบุว่า สหรัฐคือหุ้นส่วนใหญ่ในกองทุน IMF (ราว 16%) ซึ่งมีอำนาจมากพอที่จะชี้เป็นชี้ตายมาตรการรัดเข็มขัดของประเทศผู้กู้ ซึ่งในท้ายที่สุดก็จะเป็นประโยชน์กับสหรัฐไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

ภาพ เอเอฟพี

ที่มา www.m2fnews.com

https://www.posttoday.com/world/580551

 

Clima Extremo 24


รัสเซีย



การทรุดตัวลงของหอพักในมหาวิทยาลัยรัสเซีย


ส่วนหนึ่งของหลังคาและอาคารหลายชั้นของมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซียทรุดตัวลงเมื่อวันเสาร์ แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีผู้ตกเป็นเหยื่อ มีรายงานว่ามีผู้คน 80 คนอพยพออกจากอาคาร

 

Clima Extremo 24


รัสเซีย



การถล่มลงของหลังคาและพื้นที่ในมหาวิทยาลัยรัสเซีย


นักดับเพลิงในซากปรักหักพังของการถล่มลงของหลังคาและชั้นต่างๆภายในอาคารมหาวิทยาลัยในเมืองใหญ่อันดับสองของรัสเซีย


การถล่มลงเกิดขึ้นในวันเสาร์ เจ้าหน้าที่บอกว่าไม่มีเหยื่อ มีรายงานว่ามีผู้คน 80 คนอพยพออกจากอาคาร

 

ฉากยังกับหนัง

Clima Extremo 24


สหรัฐอเมริกา



วิดีโอ กล้องบนรถตำรวจจับภาพช่วงเวลา

ที่น่ากลัว ที่รถปลิวมาชนกับรถตำรวจ


ดินถล่มหินและดินบนถนนทำให้รถพลิกลอยตัวขึ้นมาชนรถตำรวจที่วิ่งมาจากฝั่งตรงกันข้าม ในเมืองบริสตอล รัฐเทนเนสซี

 

Clima Extremo 24


กรีซ



ดินถล่มหลังฝนตกหนักในช่วงบ่าย 16 ก.พ. ใน steni, evia

 

Clima Extremo 24


อินเดีย



ดินถล่มที่ Chabba Damote ในเขต Ramban ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์

 

Clima Extremo 24


MEXICO



ภูเขาไฟ Popocatepetl ยังคงดำเนินกิจกรรมต่อไป


การปล่อยไอน้ำ ก๊าซและเถ้าในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งมีความสูงมากกว่า 1.5 กม. การแจ้งเตือนของภูเขาไฟ ในเฟส 2 สีเหลือง

 

Clima Extremo 24


MEXICO



ทะเลเคลื่อน ใน Progreso, Yucatán


ทะเลเคลื่อนห่างออกไป 100 เมตรใน Progreso, Mérida, Yucatán และสร้างความประหลาดใจให้กับผู้อยู่อาศัย


ปรากฏการณ์ที่รู้จักกันในภูมิภาคว่าเป็นความว่างเปล่าทางทะเล หรือระยะทางจากทะเลที่สังเกตได้บนทางเดินริมทะเลและทำให้เกิดความประหลาดใจในหมู่ชาวพอร์ตเมริดาที่อยู่ใกล้เคียง


การปรากฏตัวของตำรวจนิเวศวิทยาที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นตัวแทนนำสายพันธุ์สัตว์ทะเลที่แตกต่างกันเช่นหอยทาก กลับไปที่ทะเล เพื่อให้พวกมันอยู่รอด

 

Amazing World



การชนกันของรถยนต์ ที่น่าทึ่งของยานพาหนะและรถบรรทุกที่ บนทางหลวงเมืองแคนซัส

 

อย่างกะวันสิ้นโลก ! ชาวบ้านเผาไร้อ้อย ควบคุมไฟไม่อยู่ ทำให้ไฟลุกลามอย่างหนัก ส่งผลให้กลุ่มควันปกคลุมไปทั่วบริเวณกว้างนับหลายกิโลเมตร / เหตุที่ ถนนบุรีรัมย์-ลำปลายมาศ

ภาพ - อภิญญา สำรวมจิต

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Feb 17) รวม 2 แบงก์ส่อจบหลังเลือกตั้ง ตบเท้าพบขุนคลังถกหลายประเด็นไม่ลง : คลังแจงดีลควบรวม 2 แบงก์ “TMB-ธนชาต” ส่อลากยาวหลังเลือกตั้ง ธปท.ห่วง “หนี้เสีย” สินเชื่อรถยนต์พุ่ง เผยไตรมาสแรก ส่งเจ้าหน้าที่เข้าตรวจมาตรฐานปล่อยกู้ ส่วน NPL “สินเชื่อบุคคล-บัตรเครดิต” ดีขึ้น


แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ดีลควบรวมกิจการระหว่างธนาคารทหารไทย (TMB) กับธนาคารธนชาตนั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ก.พ. ผู้บริหารทั้ง 2 ฝ่ายได้เข้าหารือร่วมกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลังแล้ว แต่ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องเจรจาต่อ และต้องทำการตรวจสอบฐานะ (ดิวดิลิเจนซ์) ซึ่งน่าจะใช้เวลาอีกพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นอาจจะมีเซ็นสัญญาทำข้อตกลง (เอ็มโอยู) กันไว้ในช่วงก่อนเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เป็นการผูกมัดว่าดีลจะต้องสำเร็จ ส่วนกระบวนการเจรจา คงยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ไม่น่าจะทันก่อนเลือกตั้ง


“ทั้ง 2 แบงก์ยังไม่ได้ไปเคลียร์เรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีกับกรมสรรพากรเลยว่า จะขอใช้สิทธิอะไรบ้าง เพราะแต่ละฝ่ายต้องดูความคุ้มค่าด้านภาษีด้วย ก่อนจะตกลงกันว่าจะลงเงินกันเท่าไหร่ โดยทางคลังก็ไม่อยากใส่เงินมาก ต้องดูให้คุ้มค่า และตอบสังคมได้” แหล่งข่าวกล่าว


ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 และ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา TMB ได้จัดประชุมคณะกรรมการ (บอร์ด) โดยพิจารณาเรื่องการเจรจาดีลควบรวมกิจการกับธนาคารธนชาต ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ บมจ.ทุนธนชาต (TCAP) โดยผลการประชุมของบอร์ดต่อเรื่องนี้ยังไม่จบ


นายสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์สถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในกรณีการควบรวมของ 2 แบงก์ข้างต้น ก็ต้องให้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังดูเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม หากมีการควบรวมกันก็จะทำให้แบงก์มีความแข็งแกร่งขึ้นส่วนแนวทางดำเนินงานด้านสถาบันการเงินของ ธปท. นายสมชายกล่าวว่า ช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ธปท.จะเข้าไปตรวจสอบมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อรถยนต์ของสถาบันการเงิน หลังจากเห็นแนวโน้มการเร่งตัวขึ้นของหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ค่อนข้างมากในปี 2561 ที่ผ่านมา


“ปีนี้เริ่มเป็นปีแรกในการเข้าตรวจสินเชื่อรถยนต์ ก็คงคล้าย ๆ กับที่เคยเข้าไปตรวจการปล่อยสินเชื่อบ้าน โดยตอนนี้ก็เริ่มคุยกับซีอีโอแล้ว หลังจากนั้นก็จะตรวจตลอดทั้งปี ส่วนการออกมาตรการ (ดูแลการปล่อยสินเชื่อดังกล่าว) ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปไปถึงขั้นนั้นได้ เพราะไปตรวจแล้วอาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้” นายสมชายกล่าว


สำหรับสถานการณ์ NPL โดยรวมของแบงก์ทั้งระบบในปี 2561 เริ่มทรงตัว เนื่องจากสัดส่วน NPL เริ่มนิ่งอยู่ที่ 2.93% ใกล้เคียงปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการบริหารคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ แต่สินเชื่อธุรกิจ SMEs ยังมีการเพิ่มของ NPL สูงอยู่ที่ 4.46% จากปีก่อน 4.37% ส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคทรงตัว 2.66% แต่สินเชื่อรถยนต์ขยับขึ้นเป็น 1.66% จากปี 2560 เนื่องจากการเร่งปล่อยสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมา ขณะสินเชื่อบ้านยังมี NPL สูงอยู่ที่ 3.25% ซึ่งยังต้องติดตามสถานการณ์ต่อเนื่อง


“ส่วน NPL ของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล แนวโน้มปรับดีขึ้นเล็กน้อย น่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการที่ออกไปเมื่อเดือน ก.ย. 2560 ที่มีการจำกัดเรื่องวงเงินกู้ยืม” นายสมชายกล่าว


สำหรับ NPL ของ SMEs ที่ยังเพิ่มนั้น พบว่ามีหลายธุรกิจในเซ็กเตอร์อุตสาหกรรม พาณิชย์ และก่อสร้าง ซึ่งเป็นเรื่องโครงสร้างเศรษฐกิจ และรูปแบบธุรกิจที่แข่งขันได้ยาก


อย่างไรก็ดี ยอด NPL ในภาพรวมก็มีแนวโน้มชะลอ โดยยอดคงค้าง ณ สิ้นปี 2561 อยู่ที่ 443,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 14,400 ล้านบาท เมื่อเทียบสัดส่วนแล้วขยายตัว 3.3% ซึ่งเป็นปีแรกที่การขยายตัวของ NPL ในส่วนเพิ่มเป็นเลขหลักเดียว จากที่เคยขยายตัว 2 หลักมาตลอดตั้งแต่ปี 2558-2560 ดังนั้น สินเชื่อที่กลายเป็น NPL เริ่มนิ่งและชะลอแล้ว เช่นเดียวกับหนี้ที่ปรับโครงสร้างแล้วกลับเป็น NPL สัดส่วนก็ลดลง


นายสมชายกล่าวว่า ปี 2561 แบงก์มีการขยายสินเชื่อเพิ่มขึ้น 6% ซึ่งในส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคขยายตัว 9.4% โดยหลัก ๆ มาจากสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่มีการเร่งโอนก่อนมาตรการ LTV มีผลบังคับใช้ สินเชื่อรถยนต์ที่เพิ่มตามยอดขายหลังสิ้นสุดมาตรการรถคันแรก และสินเชื่อส่วนบุคคลที่ยังขยายตัว ขณะที่กำไรสุทธิรวมในปี 2561 อยู่ที่ 2.072 แสนล้านบาท ขยายตัว 10.8% ตามสินเชื่อที่ขยายตัว และค่าใช้จ่ายกันสำรองที่ลดลง แม้ว่ารายได้ค่าธรรมเนียมจะชะลอตัว


Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

https://www.prachachat.net/finance/news-291130

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Feb 17) อียู-เบร็กซิท'คว่ำบาตร ฉุดเศรษฐกิจกัมพูชา'วิกฤติ' : "กัมพูชา" กำลังจวนเจียนจะเข้าสู่วิกฤติทางเศรษฐกิจ ในขณะที่ต้องเผชิญกับมาตรการเก็บภาษี ส่งออกไปสหราชอาณาจักรสูงขึ้นผลจากการออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของ สหราชอาณาจักรหรือ "เบร็กซิท" ในช่วงที่อียู กำลังพิจารณาระงับสิทธิปลอดภาษีของกัมพูชา เพื่อลงโทษนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ฐานกดขี่ทางการเมือง



คลื่นลูกแรกของความเสียหายทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชัดเจนภายใน เดือนพ.ค.นี้ หากรัฐบาลพนมเปญเสียสิทธิพิเศษ ด้านภาษีนำเข้าจากสหราชอาณาจักร กัมพูชาได้รับประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในอัตราค่อนข้างสูง อานิสงส์จากการส่งออกอันแข็งแกร่งที่ได้รับ การสนับสนุนจากข้อตกลง "ทุกอย่างยกเว้นอาวุธยุทโธปกรณ์" (อีบีเอ) ของอียูโครงการอีบีเออนุญาตให้ 49 ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดในโลก ส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มอียูโดยปราศจากภาษีนำเข้า แต่เนื่องจากสหราชอาณาจักรมีกำหนดออกจากอียูช่วงสิ้นเดือนมี.ค.นี้ การส่งออกสินค้าจากกัมพูชาไปยังสหราชอาณาจักร จึงอาจจะเสียสิทธิพิเศษทางการค้านี้



รายงานของสถาบันการพัฒนาเยอรมัน (จีดีไอ) ที่เผยแพร่ในเดือนนี้ ระบุว่า ในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา กัมพูชาอาจได้รับผลกระทบจากเบร็กซิทหนักที่สุด "ความสูญเสียใหญ่หลวงที่สุดจะเกิดขึ้นกับกัมพูชา ซึ่งพึ่งพาตลาดสหราชอาณาจักรมากที่สุด เนื่องจากมีสัดส่วนส่งออกสินค้าไปประเทศดังกล่าว 7.7%" รายงานของ จีดีไอชี้ และเสริมว่า กัมพูชาเผชิญกับ การเก็บภาษีนำเข้าและอุปสรรคทางการค้า มากขึ้นเรื่อยๆ ในกรณีเลวร้ายที่สุดหาก สหราชอาณาจักรออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลง สถานการณ์นี้อาจฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจของกัมพูชาลง 1.08% และ การบริโภคในครัวเรือนอาจร่วงลงตามไปด้วย อีก 1.4%



ปัจจุบัน กัมพูชากำลังเผชิญกับปัญหาหลายด้านกับอียูซึ่งเริ่มทบทวนการระงับข้อตกลงอีบีเอกับประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ ความเคลื่อนไหวของอียูมีขึ้น หลังจากพรรคกู้ชาติกัมพูชา (ซีเอ็นอาร์พี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ถูกศาลฎีกาตัดสินยุบพรรค ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นความพยายามที่มีแรงจูงใจทางการเมือง เพื่อให้ พรรครัฐบาลชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อ ปีที่แล้วอย่างเบ็ดเสร็จ



พรรคประชาชนกัมพูชา (ซีพีพี) ซึ่งนำโดย นายกฯฮุน เซน ครองที่นั่งทั้งหมดใน สภาแห่งชาติรวม 125 ที่นั่ง ทำให้กัมพูชากลายเป็นประเทศที่ปกครองโดยพรรคเดียว



"การเพิกถอนสิทธิในข้อตกลงอีบีเอ จะมีผลเสียหายขั้นรุนแรงต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอของกัมพูชา เพราะจะทำให้แรงงานหลายแสนคนตกงาน" ศาสตราจารย์กิตติคุณ คาร์ล เทเยอร์ จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์ในกรุงแคนเบอร์ราของออสเตรเลีย กล่าวและว่า "สถานการณ์นี้อาจจะส่งผลให้เกิด ความวุ่นวายในสังคมครั้งใหญ่ และเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพของรัฐบาล สมเด็จฮุน เซน"



แม้สุ่มเสี่ยงที่จะเผชิญกับการคว่ำบาตร และวิกฤติทางเศรษฐกิจ แต่นายกฯ ฮุน เซน ก็ยังไม่หยุดสร้างวาทกรรมชวนทะเลาะและ การปราบปรามกลุ่มนักวิจารณ์



เมื่อปลายเดือนที่แล้ว กอง มาส สมาชิกพรรคซีเอ็นอาร์พีที่ถูกยุบไปแล้ว ถูกจับกุมและตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นผ่านเฟซบุ๊ค ให้ออกมาตรการภาษีนำเข้าใหม่เกี่ยวกับการส่งออกข้าวของกัมพูชา การจับกุมดังกล่าว มีขึ้นไม่กี่วันหลังสมเด็จฮุน เซนเตือนว่าเขาจะลงโทษฝ่ายค้าน หากข้อตกลงอีบีเอถูกยกเลิก



"หากคุณต้องการให้ฝ่ายค้านตาย ก็แค่ ตัดมันออกไป" ผู้นำกัมพูชากล่าวขู่



การแตกหักกับชาติตะวันตกของ นายกฯ ฮุน เซน มีขึ้นในช่วงรัฐบาลพนมเปญ กำลังกระชับสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลปักกิ่ง ซึ่งส่งผลให้กัมพูชาได้รับเงินช่วยเหลือ ก้อนโตและการช่วยเหลือทางการทหาร อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า รัฐบาลพนมเปญต้องระมัดระวังกับท่าทีหนีตะวันตกไปซบอกรัฐบาลจีน



"อันตรายในแง่การเมืองและเศรษฐกิจสำหรับรัฐบาลและประชาชนชาวกัมพูชาคือ เราจะสูญเสียโอกาสหลายด้าน" เอีย โสพล รองศาสตราจารย์เชื้อสายกัมพูชา-อเมริกัน ด้านกิจการและการทูตโลกของวิทยาลัย ออกซิเดนทอล กล่าว และว่า "การนำไข่ทั้งหมด ของกัมพูชาไปใส่ในตะกร้าของจีนอาจทำให้ไข่แตกทั้งตะกร้า เมื่อจีนเผชิญกับความ ยากลำบากทางเศรษฐกิจและ/หรือทางการเมือง"



ขณะที่รัฐบาลของสมเด็จฮุน เซน กลับไม่สนใจกระแสกังวลเกี่ยวกับวิกฤติทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด



"เราคาดว่าจะเผชิญกับความยากลำบาก เพียงระยะเวลาหนึ่ง แต่จะไม่เกิดขึ้นนาน" พาย สิพัน โฆษกรัฐบาลกัมพูชาเผย



"เราจะไม่เสียตลาดอียู แต่เราจะต้องจ่ายภาษี นั่นเป็นเรื่องที่เรากำลังเจรจาอยู่ในขณะนี้ เราพยายามจะพัฒนาความสัมพันธ์นี้" พาย สิพันเสริม และบอกว่า รัฐบาลกัมพูชาไม่ได้พึ่งพาจีนอย่างสิ้นเชิง "เรากำลัง มองหาประเทศอื่นๆ ไม่ว่าจะอยู่ภูมิภาคใด ก็ตาม ที่ต้องการจะทำธุรกิจเพื่อให้ชาติของเรา อยู่รอด"



อย่างไรก็ตาม เอีย โสพลชี้ว่า ปัญหาเศรษฐกิจอาจทำให้รัฐบาลเสียศูนย์ได้เช่นกัน "คำตอบเดียวของฮุน เซนคือ รุกหาจีนมากขึ้น หากเขาดำเนินการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ทำให้ ถูกเพิกถอนข้อตกลงอีบีเอ อำนาจในมือของเขาก็อาจเสื่อมถอยลง และมีความเป็นไปได้ที่จะสูญเสียอำนาจควบคุม"


Source: กรุงเทพธุรกิจ