ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    แม่น้ำหลายแห่งในเนเบรสกาสหรัฐอเมริกา กำลังจะล้นถนนบางสายไปแล้ว น้ำท่วมใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป ...
     
  2. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    ในฐานะที่เป็นไซโคล PEGO ในแอฟริกาในสื่อต่างประเทศนั้นไม่ถือเป็นไวรัส

    ซิมบับเวอยู่ใต้น้ำโดย ไซโคลน idai วิดีโอเหล่านี้มาจากชั่วโมงสุดท้าย น้ำท่วมได้ลากผู้คนและรถยนต์ไปสู่ความสับสนวุ่นวายทั้งหมด ...
    16/03/2019
     
  3. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    พายุไซโคลนidai มีผู้เสียชีวิต 140 ราย ขณะที่มันผ่านโมซัมบิก และซิมบับเว
    Detalles⤵⤵⤵
     
  4. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    เนเบรสกา ยังอยู่ใต้น้ำ มีน้ำแข็งขนาดใหญ่ และถนนแตกหัก
    นี่ต้องเป็นเหตุฉุกเฉินระดับชาติแล้ว ...

     
  5. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    กังวล ...

    ธารน้ำแข็งสีเทา ในชิลี กำลังลอก
     
  6. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez


    ภาพถ่ายทางอากาศเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาในเนบราสก้า และคุณสามารถเห็นน้ำท่วมที่น่ากลัว
     
  7. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    พบดาวตกที่ส่องแสงในรัสเซีย
    16/03/2019
     
  8. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    การทำลายรวมทั้งสิ้น
    # ด่วน
    น้ำท่วมฉับพลันในอินโดนีเซีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 42 รายบาดเจ็บ 21 คน
    คาดว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีหลายคนที่หายไป

     
  9. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    # ด่วน
    สถานการณ์ฉุกเฉินในอินโดนีเซียเนื่องจากน้ำท่วมฉับพลัน
    จนถึงขณะนี้มีผู้เสียชีวิต 42 ราย และตัวเลขจะเพิ่มขึ้นต่อไป continue

     
  10. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kike Hernandez

    ในอีกไม่กี่วันข้างหน้ามีความเป็นไปได้ที่พายุเฮอร์ริเคนจะก่อตัวขึ้นในอ่าวเม็กซิโก

    จำได้ว่าฤดูพายุเฮอริเคนเริ่มต้นจนถึงเดือนมิถุนายน ...

     
  11. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    Schumann Resonance ยังคงเพิ่มขึ้น ความถี่ของสนามแม่เหล็กโลก พุ่งขึ้นสูงถึง 150 Hz ปกติคือ 7.83 Hz

    The Schumann Resonance is still spiking. The frequency of the earth just hit 150 Hz. Normal is 7.83 Hz.

     
  12. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การปฏิวัติวัฒนธรรม (ที่ถูกทำให้ลืม) ระบอบกวาดล้างคนเห็นต่างแบบจีนๆ

    ภาพแรงงานสตรีขณะทำการแสดงในมณฑลเจียงซู โดยเรื่องราวที่แสดงมีเนื้อหาวิจารณ์งานของขงจื๊อ นักปราชญ์จีนยุคศักดินา ทั้งนี้จากข้อมูลของเอเอฟพี ภาพถูกเผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 1974 โดยสื่อจีน (AFP PHOTO / XINHUA)
    ผู้เขียน อดิเทพ พันธ์ทอง
    เผยแพร่ วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2562
    ในประเทศไทยยุคหนึ่งสมัยหนึ่งการถูกกล่าวหาว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” ถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง ขณะที่ในประเทศคอมมิวนิสต์อย่างจีนครั้งหนึ่ง การเป็นคอมมิวนิสต์ก็ต้องเป็นคอมมิวนิสต์แบบจีนๆเช่นกัน หากถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก “ลัทธิแก้” อันเป็นการตราหน้าศัตรูร่วมชาติว่ามีอุดมการณ์อย่างพวกฝักใฝ่ศักดินา กระฎุมพี ก็ถือเป็นอาชญกรรมร้ายแรง มีโทษมหันต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ที่ปัจจุบันรัฐบาลจีนพยายามจะไม่พูดถึง


    ภาพแรงงานจีนขณะอ่านกระดานประกาศซึ่งเขียนด้วยลายมือหรือ “ต้าจือเป้า” (Dazibao) เรื่องราวจำนวนมากมักประณามค่านิยมดั้งเดิมของชาวจีนที่ถูกมองว่าขัดต่อหลักสังคมนิยม ภาพถูกเผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม 1974 โดยสื่อจีน (AFP PHOTO / XINHUA)
    การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีนมีรากฐานมาจากความขัดแย้งภายในของพรรคคอมมิวนิสต์เอง เหมา เจ๋อตุง ประธานพรรคคอมมิวนิสต์ในยุคนั้นกล่าวหาสมาชิกชั้นนำระดับบนของพรรคหลายคนว่าเป็นพวก “กระฎุมพี” ที่คอยขัดขวางการดำเนินนโยบายของพรรค และประกาศว่าการกำจัดพวกลัทธิแก้คือ ภารกิจอันเร่งด่วน มิเช่นนั้นระบอบสังคมนิยมของประเทศอาจถึงกาลอวสานได้

    การปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมานับว่าเริ่มขึ้นตั้งแต่ 16 พฤษภาคม 1966 หลังคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ออกจดหมายเวียนแสดงถึงแนวคิดในการปฏิวัติวัฒนธรรมของเหมา ก่อนสิ้นสุดลงในปี 1976 หลังเหมาเสียชีวิต และ “แก๊งสี่คน” (เจียง ชิง, เหยา เหวินหยวน, จาง ชุนเฉียว และหวัง หงเหวิน) กลุ่มผู้นำคนสำคัญของการปฏิวัติวัฒนธรรมถูกคุมขัง ช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษดังกล่าวได้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างร้ายแรงซึ่งมติว่าด้วยประวัติศาสตร์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Resolution on CPC History) ยังยอมรับว่า ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นการสูญเสียที่ร้ายแรงที่สุด สร้างความถดถอยที่สุดในประวัติศาสตร์นับแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน

    หนึ่งในต้นตอของการปฏิวัติวัฒนธรรมมาจากบทประพันธ์ชิ้นหนึ่งชื่อ “การปลด ไฮ รุย ออกจากตำแหน่ง” (The Dismissal of Hai Rui From Office) ของ หวู่ ฮั่น (Wu Han) นักประวัติศาสตร์ และรองผู้ว่ากรุงปักกิ่งในสมัยนั้น เป็นเรื่องราวของขุนนางราชวงศ์ซ่งที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ ซึ่งเหมามองว่าบทประพันธ์ชิ้นนี้มีเจตนาโจมตีเขาและให้การสนับสนุน เผิง เตอหวย (Peng Dehuai) รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่ถูกปลดหลังออกมาชี้ถึงความล้มเหลวของนโยบายการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ของเหมา ทำให้ หวู่ ฮั่น เป็นปัญญาชนรายแรกๆที่ถูกเล่นงานในการปฎิวัติวัฒนธรรม

    “กองทัพพิทักษ์แดง” (Red Guards) กลุ่มเยาวชนจากสถาบันการศึกษาตั้งแต่มัธยมถึงมหาวิทยาลัยคือกองกำลังสำคัญของเหมาที่เขาเปรียบว่าเป็น “เห้งเจีย” เทพเจ้าวานรที่เคยอาละวาดทั้งเมืองบาดาลและสรวงสวรรค์มาแล้ว และเขาต้องการเห้งเจียจำนวนมากเพื่อทำลายปีศาจร้าย ภายใต้การรณรงค์เพื่อกำจัด “สี่เก่า” อันประกอบด้วย อุดมคติ, จารีต, วัฒนธรรม และสันดาน ที่ถูกอ้างว่าเป็นของพวกระบอบเก่า ด้วยวิธีการอันรุนแรงต่อกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ทั้งการใช้กำลังต่อกายหมายเอาชีวิต การเหยียดหยามต่อสาธารณะ การทำลายโบราณสถาน และวัตถุทางวัฒนธรรม

    เบื้องต้นกลุ่มพิทักษ์แดงเริ่มการโจมตี ทำร้ายเจ้าหน้าที่ในสถานศึกษา ก่อนขยายตัวไปถึงเจ้าหน้าที่ของพรรค และผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ศัตรูทางชนชั้น” ในวงกว้าง เกิดการสังหารหมู่ในปักกิ่งและหลายเมืองทั่วประเทศ บางครั้งกลุ่มพิทักษ์แดงก็ตีกันเอง หลายครั้งมีการใช้อาวุธหนัก และกองทัพก็เข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งด้วย เอกสารลับของจีนยังเคยบันทึกถึงเรื่องราวสุดโหดของกลุ่มพิทักษ์แดงว่า พวกเขาไม่เพียงทรมาณเหยื่อจนเสียชีวิต บางครั้งถึงกับ “กินเนื้อ” ของเหยื่อเหล่านี้ด้วย ส่วนตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แน่นอนยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ มีการประเมินตั้งแต่ 5 แสนราย ไปจนถึง 8 ล้านราย

    แต่สุดท้าย “เห้งเจีย” เหล่านี้ก็สิ้นฤทธิ์ด้วยฝีมือของเหมาเองที่ใช้ประโยชน์ของเด็กๆได้สมปรารถนา กำจัดเหล่าเสี้ยนหนามสำคัญอย่าง หลิว เซ่าฉี และเติ้ง เสี่ยวผิง รวมถึงกลไกของพรรคที่เป็นอุปสรรคได้สำเร็จ ก็ออกมาตำหนิการใช้ความรุนแรงของเรดการ์ด และสุดท้ายกองทัพปลดปล่อยประชาชนก็เข้ามาสลายกลุ่มปัญญาชนรุ่นเยาว์ที่มีสมาชิกกว่า 20 ล้านคน ด้วยการส่งตัวพวกเขาไปใช้ชีวิตในไร่นาในชนบทจนเสร็จสิ้นในเวลาเพียง 6 เดือน ทำให้พวกเขาแทบหมดอนาคต


    แผ่นปิดบนกำแพงริมถนนในกรุงปักกิ่งช่วงปลายปี 1956 แสดงภาพการจัดการกับ “ศัตรูประชาชน” ระหว่างการปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งเริ่มขึ้นราวเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน AFP PHOTO / JEAN VINCENT
    โจว เอินไหล เป็นผู้นำอาวุโสลำดับสองของพรรคในยุคนั้นซึ่งสามารถรอดพ้นการกวาดล้างมาได้ด้วยการแสดงถึงความภักดีที่มีต่อเหมา ขณะเดียวกันชาวจีนก็ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ที่ช่วยจำกัดกรอบความรุนแรงในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรม แต่เขาก็ไม่อาจต้านทานความบ้าคลั่งจากการใช้อำนาจของเหมาได้เช่นเดียวกับสมาชิกพรรครายอื่นๆ ที่มองเห็นถึงความผิดพลาดของเหมาแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ต้องรอจนเหมาตาย จึงมีการประมวลให้เห็นถึงความเลวร้ายของการปฏิวัติวัฒนธรรมดังที่เห็นในมติว่าด้วยประวัติศาสตร์แห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในการประชุมใหญ่วาระที่ 6 ของการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 1981

    ถึงวันนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวได้ผ่านมากว่า 50 ปี แม้ครั้งหนึ่งพรรคจะยอมรับความผิดพลาดของอดีตผู้นำ แต่รัฐบาลในปัจจุบันพยายามลบภาพความทรงจำในอดีต การจัดงานรำลึกรวมถึงการรวมตัวรณรงค์ทางการเมืองและกิจกรรมอื่นๆที่เกี่ยวเนื่องกับเหตุการณ์นี้ต่างไม่ได้รับการอนุญาตจากทางการ

    พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งส่วนตัวเล็กๆในเมืองซัวเถา (Shantou) ที่เสนอเรื่องราวเหตุการณ์ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมทั้งการทรมาณเหยื่อของกลุ่มเรดการ์ด และถ้อยคำปลุกระดมในสมัยนั้น ถูกบันทึกเรียงรายบนป้ายสลักหินแกรนิตจำนวนมาก ทางเข้าพิพิธภัณฑ์มีถ้อยคำประกาศว่า “ประวัติศาสตร์เป็นดั่งเงาสะท้อนของเรา เราจงอย่าปล่อยให้โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมเกิดขึ้นซ้ำอีก” แต่วันนี้พิพิธภัณฑ์ถูกบดบังด้วยแผ่นป้ายโฆษณาชวนเชื่อกล่อมประสาทประกาศ “ค่านิยมของสังคมนิยม” และ “ความฝันของชาวจีน” โครงการรณรงค์ที่ถูกผลักดันโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เพื่ออำพรางเรื่องราวที่รัฐต้องการจะปกปิด

    “พรรคเสียหน้าอย่างมาก พวกเขารู้สึกอับอายจากการปฏิวัติวัฒนธรรม รวมถึง (การประจาน) จากพิพิธภัณฑ์แห่งนี้” พนักงานร้านขายของชำจากหมู่บ้านไม่ไกลจากตัวพิพิธภัณฑ์กล่าว

    เส้นทางในการเดินทางมายังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดจับตาผู้เข้าออก คัลลัม แมคลาว (Calum Macleod) ผู้สื่อข่าวของเดอะไทม์กล่าวว่า เขาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามนานราวหนึ่งชั่วโมงบริเวณทางเข้า และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีก 5 คน คอยติดตามเขาตลอดเวลาที่เขาชมสวนในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้

    ถึงวันนี้ ชาวจีนยุคใหม่รับรู้ประวัติศาสตร์ในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรมน้อยมาก ลัว จื่อ (Luo Zhi) อดีตนักเรียนหญิงวัย 18 ปี ผู้เห็นเพื่อนนักเรียนรุมทุบตีครูใหญ่วัย 50 ปี ตายต่อหน้าต่อตากล่าวว่า “ดูเหมือนคนจะไม่ค่อยใส่ใจกันแล้ว…พอคุณพูดขึ้นมา เขาก็จะบอกว่า ‘ตอนนี้เราก็อยู่กันอย่างสงบสุขแล้วจะมาพูดเรื่องนี้กันอีกทำไม’…” (รายงานจาก ABC)

    อ้างอิง:

    1. ประวัติศาสตร์จีน โดย ทวีป วรดิลก

    2. China by Charles O. Hucker (Encyclopedia Britannica)

    3. Explaining China’s Cultural Revolution by Austin Ramzy (New York Times)

    4. A Tale of Red Guards and Cannibals by Nicholas D. Kristof (New York Times)

    5. Resolution On CPC History (https://www.marxists.org/subje…/china/documents/cpc/history/)

    6. Cultural Revolution is officially forgotten by Calum MacLeod (The Times)

    7. China silent on Mao’s ‘big mistake’ 50 years after Cultural Revolution (ABC)

    https://www.silpa-mag.com/history/article_2619
     
  13. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เพิ่มเติมครั้งที่ 2 วันที15-16 มี.ค 62
    ห้อง 61 สาธารณภัย ปภ ติดตามเหตุน่าสนใจต่างประเทศ รายงานเหตุฝนตกหนักน้ำไหลหลาก จ.ปาปัว ประเทศอินโดนีเซีย เบื้องต้น
    // เสียชีวิต 45+ ราย สูญหาย 15 ราย บาดเจ็บ 30 ราย ยังไม่นิ่ง
    / บ้านเรือนเสียหาย 250+ หลัง สะพาน 3 แห่ง โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 1 แห่ง สนามบินขนาดเล็ก 1 แห่ง
    / เสียหาย 9 หมู่บ้าน ใน 2 ตำบล
    / ปัจจุบันระดับน้ำลดลงต่อเนื่องอยู่ละหว่างช่วยเหลือ โดยหน่วย SAS และ หน่วยบาซานาส /
    ห้อง 61 / กลุ่มไลน์ภาคพื้นแปซิฟิก
     
  14. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ดร. วีรชัย พลาศรัย | นักการทูตผู้เป็นต้นแบบของการเจรจาที่ฉลาดบนพื้นฐานของเหตุผล 17 March 2019



    เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 เรื่องใหญ่ที่สุดเรื่องหนึ่งที่ประชาชนชาวไทยใจจดใจจ่อรอคอยถึงความคืบหน้า ก็คือการตัดสินของศาลโลก (International Court of Justice: ICI) ในกรณีปราสาทพระวิหาร หรือเราเรียกกันสั้นๆ ว่าคดีเขาพระวิหาร ที่เรื่องราวและประวัติของคดีนี้ไม่ได้สั้นตามไปด้วย กล่าวโดยสรุปคงต้องขอยกคำนำในหนังสือ 50 ปี 50 ประเด็นถาม-ตอบ กรณีปราสาทพระวิหาร ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงการต่างประเทศ ที่ท้าวความถึงที่มาของคดีนี้ไว้ว่า



    “เมื่อปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และให้ไทยถอนกำลังออกจากตัวปราสาทพระวิหาร และบริเวณใกล้เคียงปราสาท ซึ่งประเทศไทยได้ปฏิบัติตามพันธกรณีดังกล่าวแล้วทุกประการ ทว่าเกือบครึ่งศตวรรษต่อมา เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นขอศาลโลกตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 โดยอ้างว่าไทยกับกัมพูชามีความเห็นที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับความหมาย หรือขอบเขตของคำพิพากษาเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นขอบเขตบริเวณใกล้เคียงของปราสาทพระวิหาร ดังนั้นแม้ไทยจะไม่ได้รับอำนาจศาลโลกแล้วในปัจจุบัน แต่ก็ต้องกลับไปต่อสู้คดีในศาลโลกอีกครั้งหนึ่ง ตามผลของการรับอำนาจศาลในคดีเดิมเมื่อกว่า 50 ปีมาแล้ว เพื่อคัดค้านคำฟ้องของกัมพูชา และรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มที่”



    ตลอดเวลาของการต่อสู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติอย่างเต็มที่ดังกล่าวนั้น เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ดร. วีรชัย พลาศรัย ในฐานะหัวหน้าทีมกฎหมายฝ่ายไทย และตัวแทนจากรัฐบาลไทย ได้รับการจับตามองและได้รับเสียงเชียร์จากคนไทยมากเป็นพิเศษ จากท่าทีการต่อสู้อย่างเข้มข้นและเข้มแข็งในเวทีศาลโลก เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติให้ประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งถ้าว่าด้วยตำแหน่งที่ท่านทูตยืนสู้อยู่นั้นคงพูดได้ว่าสุ่มเสี่ยงเหลือเกินที่จะหลุดจากตำแหน่งฮีโร่ของคนไทยไปในชั่วข้ามคืน หากว่าผลของคดีไม่เป็นที่พอใจของคนไทย แต่ท่านทูตวีรชัยก็เดินหน้าต่อสู้เพื่อคนไทยและประเทศไทยด้วยความนิ่งสงบและใช้ข้อมูลเหตุผลเป็นที่ตั้ง



    วันนี้ผลการตัดสินของศาลโลกผ่านพ้นไปแล้วอย่างที่ผู้อ่านทุกท่านได้รับทราบผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งถ้าหากสรุปความตามที่ท่านทูตวีรชัยได้ให้สัมภาษณ์ไว้ทันทีกับโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ผ่านระบบ video conference จากศาลโลกหลังจากมีผลคำพิพากษาออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า “ผมก็เรียนว่า ท่านดูอย่างนี้ครับว่าโจทก์ (ประเทศกัมพูชา) ขออะไร และได้หรือไม่ อะไรที่โจทก์ไม่ได้ และอะไรที่เราได้ ทั้งๆ ที่เราเป็นผู้ที่ถูกฟ้อง ท่านจะเห็นว่าสิ่งที่โจทก์ไม่ได้ มีมากเกินกว่าสิ่งที่เราไม่ได้



    เราคงกล่าวได้ว่าท่านทูตทำให้ประชาชนคนไทยสบายใจได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม คดีที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติเช่นนี้ ไม่อาจใช้เพียงความสบายใจได้ แต่ยังต้องประกอบไปด้วยเหตุผลที่เพียงพอด้วยว่าเราควรสบายใจเพราะอะไร หรือไม่สบายใจเพราะอะไร เหมือนที่ท่านทูตบอกไว้ตอนหนึ่งในบทสัมภาษณ์ว่า



    “ผมอยากให้พวกเราใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์” เพราะท่านเชื่อเป็นการส่วนตัวว่าเหตุผลคือสิ่งสวยงาม



    และในสถานการณ์ครั้งใดก็ตามที่มีการถกเถียงเกิดขึ้น เราเองก็เชื่อเป็นการส่วนตัวว่าเหตุผลเท่านั้นที่จะพาเราไปได้ไกลในความหมายของคำว่าก้าวหน้า ขณะที่อารมณ์จะพาเราไปไกลในความหมายของคำว่าไร้จุดหมาย และอาจหลุดลอยไปจากสายตา



    หลังศาลโลกอ่านคำพิพากษากรณีปราสาทพระวิหาร สิ่งที่ประชาชนจดจ่อที่สุดตอนนี้คือตกลงเราได้ดินแดนหรือเสียดินแดนกันแน่ ปีนี้การจดจ่ออยู่แค่ประเด็นที่ว่าเสียหรือได้ มันทำให้เราพลาดอย่างอื่นที่ควรจะพิจารณาด้วยไหม



    ใช่ครับ ก็ต้องไปดูว่าจริงๆ แล้วคำพิพากษาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขตแดน แต่คำพิพากษาเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือปราสาทและบริเวณใกล้เคียงประสาท ซึ่งเป็นของกัมพูชา แต่ที่นี้มันจะกว้างใหญ่แค่ไหนเท่านั้นเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เราต้องเจรจากัน แต่ที่แน่ๆ คำพิพากษานี้ไม่ใช่เรื่องเขตแดน ซึ่งประเด็นที่จะต้องคิดก็คือ คำพิพากษาครั้งใหม่นี้เป็นการตีความคำพิพากษาเก่า ซึ่งบัดนี้ได้จำกัดขอบเขตชัดเจนทางภูมิศาสตร์แล้วว่าอยู่แค่บริเวณที่เรียกว่า promontory นั่นแหละ ซึ่งเราก็แปลว่ายอดเขาไปก่อนชั่วคราว ตราบที่ยังหาคำแปลตรงตัวไม่ได้ แต่พื้นที่ก็จำกัดอยู่แค่นั้น ถ้าออกนอกบริเวณนั้นคำพิพากษาก็ไม่มีผลแล้ว เดิมคือมันไม่ชัดว่าออกนอกพื้นที่นี้คำพิพากษามีผลหรือเปล่า



    แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าถ้าออกนอก promontory คำพิพากษาไม่มีผลแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการปลดพันธนาการของเราที่มีมา 50 ปี เพราะความที่มันไม่ชัดจากเดิมทำให้กัมพูชาก็พูดอยู่นั่นแหละว่าคำพิพากษานี้ส่งผลคลุมตลอดหลายร้อยกิโลเมตร ทำให้หลายร้อยกิโลเมตรนั้นต้องใช้แผนที่ 1:200,000 ซึ่งคนจำนวนมากในประเทศไม่ชอบ และมีคนต่อต้านมาก แต่แผนที่นี้บัดนี้ไม่ได้ผูกพันกับเราแล้ว โดยผลของคำพิพากษายกเว้นในพื้นที่เล็กๆ ซึ่งคำว่า ‘พื้นที่เล็กๆ’ นั้น ศาลพูด ไม่ใช่ผมพูดเอาเองนะ ศาลพูดว่ามันเล็กๆ



    เพราะฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องทำให้มันเล็กที่สุดโดยการเจรจา ซึ่งผลของคำพิพากษาฉบับใหม่นี้ หากเราคิดจะปฏิบัติตาม มีอย่างเดียวที่ต้องทำคือการเจรจาโดยสุจริตใจ หรือ in good faith ซึ่งสุจริตใจนี้ตามความหมายระหว่างประเทศมันไม่ใช่สุจริตแบบทั่วๆ ไป มันมีนิยาม มีกฎเกณฑ์ของมันอยู่ แต่ถ้าให้พูดภาษาง่ายๆ ก็คือ ต้องเจรจาโดยมีจิตใจแท้จริงที่จะหาข้อยุติ ไม่ใช่แกล้งเจรจาไปอย่างนั้น แต่ต้องมีจิตใจที่จะหาข้อยุติจริงๆ ไม่ได้ถ่วงเวลา ไม่ได้แกล้งเจรจา แต่ถ้ายังตกลงกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีกรอบเวลาให้ ไม่ใช่ว่าต้องทำภายใน 1 เดือน 1 ปีหรือ 5 ปี หรือ 10 ปี ตราบใดที่ทำโดยสุจริตใจก็เท่ากับว่าเราทำตัวสอดคล้องกับคำพิพากษานี้แล้ว ตรงนี้ก็มาสู่คำถามว่าแล้วเราเสียดินแดนหรือเปล่า ผมบอกว่าผมตอบไม่ได้ เพราะมันต้องขึ้นอยู่กับผลการเจรจา ซึ่งนอกจากจะไม่รู้แล้ว อีกเหตุผลที่ตอบไม่ได้เพราะถ้าเราจะเจรจากับเขา ถ้าเราเข้าสู่โต๊ะเจรจาโดยที่เราพูดอะไรที่ผูกพันตัวเองล่วงหน้า มันก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่



    แล้วการเจรจาที่ฉลาดกับประเทศกัมพูชา เราควรมีท่าทีแบบไหน



    อย่างแรกก็คือคุณต้องทำให้เขาคาดเดาคุณไม่ได้ก่อน จนถึงวันเริ่มเจรจาเขาต้องคาดเดาคุณไม่ได้ นี่คือหลักการเจรจาเบื้องต้น สมมติผมจะซื้อของชิ้นหนึ่งจากคุณ 500 บาท คุณต้องคาดเดาไม่ได้ว่าผมมีอยู่ในใจว่าจะจ่ายคุณเท่าไหร่ ตราบใดที่คุณไม่แน่ใจว่าผมจะจ่ายคุณเท่าไหร่ วิธีที่จะกำหนดว่าคุณจะเรียกร้องผมเท่าไหร่ก็ลำบากแล้ว ถูกไหม แต่ถ้าผมไปพูดล่วงหน้าก่อนแล้วว่าผมมีเงินอยู่เท่านี้ พร้อมจะจ่ายเท่านี้ พูดออกหนังสือพิมพ์ พูดออกรัฐสภาไป คุณก็ได้ไต๋ผมไปแล้ว



    ดังนั้น ผมต้องทำให้คุณมึนงงไว้ก่อน ซึ่งตรงนี้ก็จะมีคนมองว่าผมเล่นลิ้นปลิ้นปล้อน ไม่ชัดเจนกับประชาชน ก็แน่นอน เพราะผมยังไม่สามารถชัดเจนได้ เพราะอย่าลืมว่าตอนจบมันเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของเราทั้งหมด ทั้งประชาชน ทั้งตัวผมเอง เพราะเราเป็นคนไทยด้วยกัน ผมต้องคลุมเครือกับเขา ซึ่งถ้าผมต้องคลุมเครือกับเขา ผมก็จำเป็นต้องคลุมเครือกับคุณด้วย แต่ก็คงต้องเปิดบ้างเท่าที่ทำได้ เพราะประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย เราเป็นประเทศเปิด ดังนั้น เราออกข่าวอะไรมาก็ได้ แต่มันทำให้ประเทศอื่นเขาอ่านเราออก



    ถ้าเป็นอย่างนั้น สื่อมวลชนมีหน้าที่ในการนำเสนอเรื่องนี้ควรจะวางตัวอย่างไร



    ก็นั่นไง อันนี้มันเป็นทางเลือกของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ซึ่งในเมืองนอกเขามีกฎหมายว่าถ้าผมอยู่ในฐานะอย่างที่ผมอยู่ แล้วผมจะต้องเปิดเผยข้อมูลกับคุณที่เป็นสื่อเกี่ยวกับ bottom line ของผมว่าคืออะไร จะเจรจาอย่างไร ถ้าผมบอกคุณไปแล้วคุณจะต้องเซ็นหนังสือว่าคุณจะไม่นำข้อมูลเหล่านี้ไปเปิดเผย แต่ทำให้ประชาชนเข้าใจได้ แล้วถ้าหากว่าคุณละเมิดหรือฝืนกฎอันนี้ คุณจะต้องโทษอาญา จำคุก หรือปรับ แต่บ้านเรายังไม่มีกฎหมายนี้



    ดังนั้น ถ้าผมพูดอะไรกับคุณไป คุณมีอิสระเสรีที่จะนำไปใช้อะไรก็ได้ ดังนั้น ผมจึงพูดไม่ได้ เพราะตอนนี้เราไม่มีกฎหมายนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ถ้าผมจะคลุมเครือกับเขา ผมก็จำต้องคลุมเครือกับประชาชนด้วย เพราะผมไม่รู้จะทำอย่างไร และสุดท้ายมันก็เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของเราทุกคน ผมจึงเปิดเผยเท่าที่ทำได้ ส่วนไหนที่เปิดเผยไม่ได้ผมก็จะบอกว่าผมไม่รู้ แต่หลายๆ อย่างผมก็ไม่รู้จริงๆ นะ อย่างตอนนี้ ณ วินาทีนี้ เส้นจะเป็นอย่างไรผมยังไม่รู้ หรือจะได้หรือเสียอะไรแค่ไหนผมไม่รู้ เพราะยังศึกษาอยู่



    มาต่อตรงประเด็นที่ว่า หลังจากทำให้เขาคาดเดาไม่ได้แล้ว หน้าที่ควรจะเป็นอย่างไรต่อไป



    เมื่อเราเข้าสู่โต๊ะเจรจา เราต้องเข้าสู่ท่าทีสูงสุด ไม่ใช่ท่าทีต่ำสุด สมมติว่าผมอยากจะซื้อของจากคุณ 500 บาท ท่าทีสูงสุดของผมก็คือการเข้าไปบอกว่าอยากจะซื้อแค่ 200 บาท ส่วนคุณกะจะขาย 1,000 บาท ท่าทีที่คุณเข้าโต๊ะเจรจา คือคุณบอกว่าขาย 1,500 บาท มันต้องแบบนี้ เพราะฉะนั้น ท่าทีต่ำสุดจึงให้ใครรู้ไม่ได้ บอกกับประชาชนไม่ได้ ถ้าบอกกับประชาชนเมื่อไหร่ทางนั้นเขาก็จะรู้ นี่คือปัญหาของการต่างประเทศที่คนยังไม่เข้าใจกันเยอะ เพราะสังคมของเราเพิ่งเริ่มพัฒนามาถึงจุดที่ประชาชนต้องการมีส่วนร่วม เราเพิ่งเริ่มต้น ผมให้เต็มที่ไม่เกิน 20 ปีที่เริ่มมา ขณะที่ต่างชาติเขาเริ่มมาเป็นร้อยปีแล้ว เขาเข้าใจแล้ว



    พอถึงจุดนี้ประชาชนก็ต้องเข้าใจว่าสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอาจมีข้อจำกัดเพื่อประโยชน์ส่วนรวม หรือไม่อย่างนั้นก็ต้องมีกฎหมายมาคุ้มครองข้อมูลเหล่านี้ ว่าถ้าหากคุณรู้แล้วนำไปเผยแพร่ก็มีบทลงโทษ หรือในรัฐสภาก็ต้องมีประชุมลับ



    นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีอื่นๆ อีกไหมที่ควรจะใช้ในการเจรจา



    เมื่อเข้าสู่โต๊ะเจรจาด้วยท่าทีสูงสุดเสร็จแล้ว เราก็ต้องขยับไปเรื่อยๆ เพราะถ้าเราไม่ขยับไปเรื่อย มันก็ไม่ใช่การเจรจาสุจริตตามกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ใช่ว่าการเจรจาผ่านไป 3 ปีแล้ว คุณยังยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ คุณต้องมีความพยายามที่จะทำให้มันมีทางออก คุณต้องขยับท่าทีจาก 1,500 ลงมา ของผมก็ต้องจาก 200 แต่กรอบเวลาไม่มีในธรรมนูญศาลโลก



    การที่ศาลโลกบอกว่าไทยต้องถอนทหารออกไป บางคนก็คิดว่าเราแพ้ อย่างนี้จะอธิบายว่าอย่างไร



    ที่ว่าต้องถอนกำลังนั้นเป็นผลของคำพิพากษาปี 2505 ไม่ใช่ฉบับนี้ ฉบับใหม่นี้มีเพียงแต่ให้ความกระจ่างเรื่องพื้นที่ที่ต้องถอนว่าแค่ไหนโดยไม่ขีดเส้น ทีนี้ถ้าคุณจะถอน คุณต้องรู้ก่อนว่าจะถอนจากที่ไหน ไม่อย่างนั้นคุณจะถอนได้อย่างไร คุณต้องรู้พื้นที่ที่คุณจะถอนก่อน ก็จะรู้พื้นที่ที่สะท้อนก็ต้องเห็นเส้น แต่ตัวเส้นมันยังเจรจากันอยู่ แล้วคุณจะถอนได้อย่างไรล่ะ คุณก็ยังถอนไม่ได้ ทีนี้มันมี 2 วิธี



    วิธีแรกคือถอยเยอะๆ ไปเลย หรืออีกวิธีคือตกลงกันว่าต่างคนต่างอยู่ไปก่อน จนกว่าจะเจรจากันได้แล้วค่อยถอน ซึ่งมันก็ต้องเป็นวิธีหลังนี้แหละ เพราะวิธีแรกมันก็ทำให้เกิดช่องว่าง ก็ต้องทำวิธีหลัง คือต่างคนต่างคงกำลังไว้ก่อน พอตกลงหรือรู้แล้วว่าจะถอนจากที่ไหนก็ค่อยถอน ตราบใดที่ไม่รู้ว่าจะถอนจากที่ไหนไปที่ไหน มันก็ถอนไม่ได้



    แต่ตอนนี้พอศาลโลกพิพากษาออกมาปุ๊บ ก็จะมีกระแสว่าเราไม่รับอำนาจศาลก็ได้ จริงๆ แล้วเราสามารถจะไม่รับอำนาจศาลได้จริงหรือเปล่า



    จะไม่รับอำนาจศาลมันคงไม่ได้แล้วล่ะ ศาลท่านวินิจฉัยไปแล้วว่าตัวเองมีอำนาจ ในระบอบของสหประชาชาติมันไม่รับไม่ได้ วิธีเดียวที่คุณจะไม่รับคือคุณต้องเลิกเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ แต่หากแม้ว่าเลิกวันนี้ก็ยังต้องรับมา เพราะมันเป็นผลมาก่อนแล้ว คือถ้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติแล้วคุณก็ต้องรับกติกานี้ ตอนนี้เราก็ไม่รับอำนาจศาลโลกแล้ว แต่คดีนี้มันเป็นคดีตีความ ดังนั้น อำนาจในการตีความคำพิพากษาเดิมของศาลโลกมันมีไปเรื่อยๆ แม้ว่าเราจะเลิกรับอำนาจโดยทั่วไปแล้ว เพราะอำนาจในการตีความมันยังอยู่ไปเรื่อยๆ สำหรับคดีที่ตัดสินไปแล้ว แต่ต้องอยู่ในกรอบที่ต้องไม่เกินขอบเขตของคดีเดิม



    เพราะฉะนั้น ถ้าอะไรที่เกินขอบเขตคดีเดิม ศาลก็ไม่มีอำนาจ ในกรณีนี้เราก็ต่อสู้ว่าศาลไม่มีอำนาจเพราะมันเกินขอบเขตคดีเดิม และไม่มีประเด็นให้ตีความเพราะไม่มีข้อขัดแย้งระหว่างคู่กรณี แต่กัมพูชาก็พูดเป็นตรงกันข้าม ทีนี้ใครจะเป็นคนชี้ว่าศาลมีอำนาจหรือไม่ ใครเป็นคนชี้ว่ามีข้อขัดแย้งระหว่างคู่กรณีหรือไม่ ก็คือศาลเองเป็นคนชี้ แล้วเมื่อศาลชี้แล้ว มันก็ผูกพันเราในฐานะสมาชิกสหประชาชาติที่จะต้องยอมรับตามนั้น กรณีนี้ศาลก็ชี้มาแล้วว่าศาลมีอำนาจ และมีข้อขัดแย้งระหว่างคู่กรณี ในการตีความคำพิพากษา ศาลชี้มาแล้วเราต้องยอมรับ



    ทีนี้เวลาคนฟังเรื่องเหล่านี้ก็จะมีความเห็น 2 ทาง ทางหนึ่งบอกเรายอมให้เสียดินแดนไม่ได้ อีกทางบอกว่าในโลกนี้ไม่มีใครเขาคิดเรื่องเสียดินแดนกันแล้ว เขาคิดเรื่องการหาผลประโยชน์ร่วมกันมากกว่า จริงๆ แล้วท่านมองอย่างไร



    จริงๆ แล้วทั้งคู่ไม่มีใครผิดใครถูกมากกว่ากัน เพียงแต่ว่าขณะนี้ผลของคำพิพากษา หากเราจะปฏิบัติต้องทำอย่างเดียวเท่านั้นคือเจรจา โดยเจรจาถ่ายทอดเส้นแผนที่ 1:200,000 ลงมาในพื้นที่จริง เฉพาะในบริเวณใกล้เคียงปราสาท ไม่ใช่ให้เสียดินแดน



    ซึ่งก็มีข้อถกเถียงอีกว่าเส้น 1:200,000 วันถ่ายทอดลงในพื้นที่จริงได้ยาก



    ใช่ และนั่นแหละคือสิ่งที่ศาลฟังเรา ไม่ฟังเขา เพราะว่าในประวัติศาสตร์แล้ว ศาลโลกหรือศาลระหว่างประเทศเขาเป็นศาลทางกฎหมาย เขาไม่สนใจประเด็นปัญหาด้านแผนที่หรือปัญหาเทคนิคอื่นๆ เอาที่ผ่านๆ มาในกรณีแบบนี้ ที่ว่ามีสนธิสัญญาเรื่องเขตแดนแล้วมีแผนที่ ถ้าหากเขาจะตัดสินว่าต้องใช้แผนที่ฉบับไหน เขาก็ตัดสินไปเลย ส่วนคุณจะไปทำอะไรเรื่องแผนที่เขาไม่เกี่ยว ไม่ใช่ปัญหาของกฎหมาย แต่บัดนี้วรรคที่ 99 ในคำตัดสิน ให้ลองไปอ่านดู เพราะมันเป็นวรรคทองของเรา คือศาลยอมรับแล้วว่าประเด็นแผนที่จะมีผลต่อประเด็นกฎหมาย คือคุณจะถ่ายทอดเส้นอย่างไรมันมีผลกระทบซึ่งกันและกัน ต้องใช้ความระมัดระวัง ไม่ใช่ศาลบอกว่าให้ไปทำเอาเองโดยไม่มีหลักการ คือศาลจะบอกว่า ประเด็นแผนที่จะมีผลต่อประเด็นกฎหมาย คือคุณจะถ่ายทอดเส้นอย่างไรมันมีผลกระทบซึ่งกันและกัน ต้องใช้ความระมัดระวัง



    ไม่ใช่ศาลบอกว่าให้ไปทำเอาเองโดยไม่มีหลักการ คือศาลจะบอกว่าศาลไม่รู้เรื่องไม่ได้แล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนะ แล้วเราได้มาด้วยการต่อสู้อย่างยากลำบาก ซึ่งเราทำรายงานเสนอต่อศาลไป 2 ฉบับ ที่จริงก็ไปอ่านได้ในข้อเขียนของไทย 2 ฉบับที่อยู่ในเว็บไซต์ อ่านแล้วจะเห็นว่าประเด็นสำคัญคือ การถ่ายทอดเส้น ซึ่งเดิมศาลไม่เคยเห็นประเด็นเรื่องนี้ แต่มาคดีนี้ศาลเห็นแล้วว่าการถ่ายทอดเส้นมีผลกับคดีเพราะเส้นมันถ่ายทอดได้ออกมาเป็นล้านๆ รูปแบบ แต่ที่กัมพูชาถ่ายทอดออกมาจนเกิดเป็นพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แล้วเขาอ้างว่าเป็นพื้นที่ของเขา เป็นเพียง 1 ในล้านวิธีที่ทำได้ในการถ่ายทอดเส้น แล้วยังผิดอีกด้วย เพราะฉะนั้น เส้นที่กัมพูชาเขียนขึ้นมาจึงตกไปแล้วโดยผลของคำพิพากษาครั้งนี้ และศาลให้คู่กรณีไปตกลงกันว่าหน้าตาของเส้นที่ถ่ายทอดจากบนแผนที่ 1:200,000 ลงพื้นที่จริงจะเป็นอย่างไร คือคุณจะไปเห็นเส้นบนแผนที่ 1:200,000 แล้วยกเอารูปร่างเส้นแบบนั้นมาใช้ตรงๆ ไม่ได้ เพราะว่าแผนที่ 1:200,000 นั้นภูมิประเทศผิด ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่สุด และคนก็ไม่ค่อยเข้าใจเพราะซับซ้อน



    แต่ประเด็นที่ท่านบอกว่าเป็นวรรคทอง กลับไม่มีใครไปโฟกัสกับมันมากนัก เป็นเพราะอะไร



    ใช่แล้วครับ คือที่ไปโฟกัสกันที่วรรค 98 ก็ถูก เพราะมันบรรยายว่าพื้นที่หน้าตาเป็นอย่างไร แต่มันบรรยายเป็นตัวอักษร แต่การจะรู้ว่าพื้นที่เป็นอย่างไรมันก็ต้องไปถ่ายทอดให้เป็นเส้นบนพื้นที่จริง ซึ่งการจะถ่ายทอดลงไปมันอยู่ที่วรรค 99 ที่ระบุว่าศาลรับฟังข้อต่อสู้ของเราแล้ว ซึ่งศาลยอมรับว่าในการถ่ายทอดเส้น 1:200,000 ว่าอยู่ที่ตรงไหนแน่บนพื้นดินมันเป็นเรื่องยาก โดยความยากในที่นี้ความหมายของมันเกือบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะมันมีเป็นล้านรูปแบบ จะใช้อันไหน เลือกอันไหนมันก็เป็นเรื่องตามอำเภอใจทั้งนั้น



    มันไม่มีหลักทางวิทยาศาสตร์ว่าอันไหนถูก แต่เป็นหลักทางจิตใจว่ารักชอบอันไหน ดังนั้น คู่กรณีก็จะไปรักชอบอันที่ตัวเองได้มากที่สุด ทีนี้ประโยคถัดไปก็ระบุว่าในปี 2505 ศาลไม่ได้ถ่ายทอดเส้นให้ ดังนั้น ศาลวันนี้จึงถ่ายทอดเส้นให้ไม่ได้ เขาก็ไม่สามารถจะชี้ให้เราได้ว่าเส้นอยู่ที่ไหน แต่ว่าอย่างไรก็ดี คู่กรณีในปัจจุบันมีพันธกรณีที่จะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยสุจริต โดยต้องไปถ่ายทอดเส้นนี้บนพื้นที่จริงแล้วพันธกรณีนี้ไม่อนุญาตให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำฝ่ายเดียว จึงต้องเจรจากันซึ่งก็หมายความว่าตราบใดที่เราไม่ตกลงกับเส้นใดๆ ของกัมพูชา การเจรจาก็จะไม่จบ แต่เราจะต้องสุจริตใจอยู่นะ





    สิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจผิดกับการทำหน้าที่ของคุณคืออะไร



    คือบางคนเขาหาว่าผมปิดบังข้อมูล แต่ผมไม่คิดว่าเป็นคนส่วนใหญ่นะ เพราะผมไม่บอกว่าเส้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจะเสียอะไรเท่าไหร่ ก็อย่างที่ผมบอกว่าเส้นจะหน้าตาเป็นอย่างไรไม่รู้ ต้องเจรจา นี่คือคำพิพากษา เพราะฉะนั้น ตอนนี้ไม่ต้องทำอะไรหรอก รอไปเจรจาอย่างเดียว เจรจาให้สุจริตก็แล้วกัน



    แล้วตอนนี้ท่านคาดหวังอย่างไรกับสื่อมวลชนที่ต้องทำหน้าที่นำเสนอข่าวให้ประชาชนได้รับรู้ในระหว่างที่มีการเจรจา



    ก็อธิบายว่าอย่างนี้ครับว่า หากจะปฏิบัติตามคำพิพากษานี้ก็ไปเจรจา ตอนนี้ยังไม่รู้ผล ขณะนี้คนที่เจรจาเขาทำดีที่สุดแล้ว แต่ในการเจรจาระหว่างประเทศมันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเปิดเผยท่าทีต่ำสุดและท่าทีสูงสุดไม่ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะทำให้การเจรจาไม่ได้ผลสมบูรณ์อย่างที่ควรจะได้



    คือพูดง่ายๆ ว่าความคลุมเครือเป็นเรื่องจำเป็นในตอนนี้



    ใช่แล้ว หมายถึงต้องคลุมเครือกับเขานะ ซึ่งมันก็เลยบังเอิญกลายเป็นต้องคลุมเครือกับเราไปด้วย เพราะสังคมเราเปิด อะไรที่คนไทยไม่รู้กัมพูชาก็จะรู้ ในขณะที่สังคมเขายังไม่เปิดเท่าเรา ซึ่งผู้นำของเขาก็ต้องพูดว่าชนะไว้ก่อน ประชาชนฟังก็ชอบใจ



    แต่ปัญหาคือประชาชนของเราไปฟังเขาด้วย



    ใช่ แล้วเราจะไปฟังเขาทำไมล่ะ (หัวเราะ)



    ตอนนี้คำว่าชนะ หรือแพ้ มันอยู่ที่ว่าเราฟังฝ่ายไหนใช่ไหม



    เพราะฉะนั้น ก็อย่าพูดว่าแพ้หรือชนะดีกว่า เอาเป็นว่าเราได้อะไร เขาได้อะไร มันแลกกัน ผมพูดได้แบบนี้ว่าเราได้ 3 อย่างแน่ๆ ไม่ต้องเจรจาแล้ว เขาได้อย่างเดียวและต้องเจรจา



    จริงๆ แล้วการพัฒนาพื้นที่โดยรอบร่วมกันของมรดกโลก ไทยควรคำนึงถึงอะไร และต้องระวังอะไร



    ถ้าเกิดไปพัฒนาร่วมกันจริงๆ น่ะเหรอ? ซึ่งยังไม่มีวี่แววเลยนะ แต่ถ้าพัฒนาร่วมกันจริงๆ มันต้องลงขันกัน เราก็อาจจะต้องลงขันพื้นที่ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้น วิธีการที่จะไม่ทำให้เราเสียประโยชน์ก็คือต้องทำให้มันชัดว่าพื้นที่ที่เราลงขันไปนั้นไม่ใช่ว่าให้เขาไปเลยนะ มันจะต้องมาคุยกันทีหลัง มากำหนดกันทีหลังเรื่องเส้นเขตแดน แต่ในระหว่างนี้อาจจะพัฒนาร่วมกันไปสัก 50 ปี ระหว่างสงวนวิทธิ์ทั้งหมดไว้แล้วค่อยกลับมาเจรจากันว่าเส้นอยู่ไหน ถ้าอย่างนั้นก็โอเค



    อยากให้พูดถึงสถานการณ์ตอนนี้ว่าความรักชาติที่ควรจะเป็นนั้นมันควรจะเป็นอย่างไร



    ในความคิดของผม ผมมองว่าไม่มีใครขายชาติหรอก ผมไม่เชื่อว่าจะมีคนไทยขายชาติ ผมอาจจะมองโลกในแง่ดีนะ ผมเชื่อว่ามันอยู่ในดีเอ็นเอของคนไทย ไม่มีใครไม่รักชาติ ทุกคนรักชาติไม่น้อยไปกว่ากัน แต่อาจจะรักกันคนละแบบ ผมอยากเปรียบเทียบกับการรักลูก ทีนี้คุณจะเลี้ยงลูกอย่างไรล่ะ คุณเลี้ยงลูกโดยการตี ให้อยู่ในวินัย หรือเลี้ยงโดยปล่อยให้ทำทุกอย่าง ตามใจ กินขนม เล่นเกม ดื่มน้ำอัดลมตามใจชอบ ซึ่งพ่อแม่แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่พื้นฐานก็คือต่างคนต่างรักลูกทั้งนั้น นี่ก็เหมือนกัน เราก็รักชาติทั้งนั้น แล้วเมื่อรักชาติทั้งนั้น บางคนก็อาจจะออกมาในแบบที่สุดไปทางหนึ่ง ทางที่ไม่ยอมให้กินขนม ไม่ยอมให้กินลูกอม ไม่ยอมให้เล่นเกม อีกคนก็สุดไปอีกทาง คือให้หมดทุกอย่าง แต่สิ่งที่ถูกต้องคือเราควรจะอยู่ตรงกลางๆ เด็กที่ไม่มีลูกอม ไม่มีขนม ไม่มีเกม ก็เครียดตาย แต่เด็กที่เอาแต่เล่นเอาแต่กิน ก็เป็นเด็กที่ไร้สาระ เติบโตขึ้นมาก็เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ค่อยฉลาด เราต้องอยู่ตรงกลาง



    ในกรณีนี้เราก็ต้องมีเหตุผล ใช้เหตุและผล ของบางอย่างเราก็ต้องยอมรับว่า โดยประวัติศาสตร์มามันเป็นแบบนี้ เช่น มีการเสียดินแดนไปในประวัติศาสตร์ แต่เราต้องอย่าลืมว่าทั้งหมดนี้มันแลกกับอธิปไตยของเรา หรือเอกราชที่เราภูมิใจ ไม่อย่างนั้นถ้าเราไม่ยอมเขา ในสมัยรัชกาลที่ 5 เราอาจจะถูกจับไปเป็นอาณานิคมของเขา ซึ่งการที่เรารอดกลับมาได้ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยน ซึ่งตรงนี้มันเป็นเพียงหางเลขของเรื่องในสมัยนั้น มันต้องมีเหตุมีผล ไม่ใช่จะเอาไปหมด เล่นเกมตลอดเวลา ในขณะเดียวกันก็อย่าให้มันเกินไป คือไม่ยอมให้เล่น เอาแต่เรียนหนังสือท้ายที่สุดมันก็พัง กลายเป็นเสียคน มันต้องมีความสมดุลด้วย



    กรณีเรื่องเขาพระวิหาร คนไทยเราก็จำเป็นต้องมีเหตุผล กรณีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เส้นพื้นที่ที่กัมพูชาเขาเคยอ้างซึ่งกินพื้นที่เยอะมากก็ตกไป เส้นของเราที่เคยอ้างก็ตก เมื่อตกไปแล้วเส้นที่ศาลว่าถูกอยู่ที่ไหนก็มีบรรยายไว้ในวรรค 98 ซึ่งเราจะเห็นเลยว่ามันไม่ไปไหนไกลหรอก เพราะว่าอย่างน้อยๆ ภูมะเขือทั้งลูกไม่ใช่ของเขาแล้ว ต้องกันออกไปจากบริเวณใกล้เคียง เหลือแต่ว่า promontory ซึ่งจะก้อนใหญ่แค่ไหน ให้ไปเจรจา พูดง่ายๆ คือสิ่งที่เราได้ตอนนี้มีสามอย่าง คือ หนึ่ง ภูมะเขือไม่ใช่ของกัมพูชาแล้ว ส่วนเป็นของไทยหรือไม่เขาไม่ได้พูด เพราะเขาไม่มีอำนาจจะพูด แต่เราก็รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มานั่งลงเจรจา



    ในเมื่อคำพิพากษานั้นบอกว่าภูมะเขือไม่ใช่ของคุณ คุณก็ไม่มีสิทธิ์อ้างคำพิพากษามาเคลมแล้ว อันนี้จบ ไม่ต้องเจรจา แล้วก็มาดูว่าในโลกนี้มีใครที่เคลมภูมะเขือบ้าง ก็ไม่มีใครอีกแล้วนอกจากเรา แล้วเรายังได้ข้อสอง คือ แผนที่ 1:200,000 ที่หลายคนไม่ชอบ ตอนนี้ศาลตัดสินว่านอกบริเวณ promontory ออกไปนั้นไม่ผูกพันเราอีกต่อไปแล้ว โดยผลของคำพิพากษาจะโดยเหตุผลอื่นหรือไม่ต้องมาคุยกัน แต่คุณอ้างคำพิพากษาไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น พื้นที่นี้ยิ่งแคบเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลประโยชน์กับเรา เพราะแปลว่าพื้นที่ที่ไม่บังคับเรา ยิ่งใหญ่ ก็จะยิ่งเยอะ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่ต้องเจรจาแล้ว หลักการนี้ได้มาแล้ว และสุดท้ายคือ การอ้างสิทธิของกัมพูชาจนเกิดพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเกิดจากเส้นที่กัมพูชาลากเอง ก็ตกไปแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่สามที่เราได้แล้ว ไม่ต้องเจรจาอีก เหลือประเด็นเจรจาประเด็นเดียวคือ สิ่งที่เราเสียคือ เราเสียเส้นมติคณะรัฐมนตรีปี 2505 ที่อ้างไว้ก็ต้องหาเส้นใหม่ เส้นใหม่จะหน้าตาเป็นอย่างไร ต้องเจรจา คือพูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่เราได้มาไม่ต้องเจรจากันอีกแล้ว แต่สิ่งที่เขาอาจจะได้ต้องเจรจากันต่อไป คิดเอาเองว่าใครได้ประโยชน์ เราได้สามอย่างโดยไม่ต้องเจรจาแล้ว เขาได้หนึ่งอย่างแต่ต้องเจรจา สิ่งที่เจรจานี้ตราบใดที่เราไม่บอกว่า yes การเจรจาก็ไม่จบ เพราะตราบใดที่เราเจรจาโดยสุจริตใจ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้



    ได้เรียนรู้อะไรจากการทำคดีนี้บ้าง หรือได้เห็นภาพอะไรในสังคมที่ชัดเจนขึ้นมาบ้างไหม



    เห็นว่าในประเทศไทยเราใช้อารมณ์และความรู้สึกเยอะ เราควรที่จะใช้เหตุผลให้มากขึ้น นี่ผมไม่ได้ว่าทุกคนนะ ผมเห็นว่าเราควรที่จะต้องมีความสมดุลระหว่างเหตุผลกับอารมณ์ และความรู้สึก ฝรั่งเขาเรียกว่าการใช้หัว กับการใช้หัวใจ เรื่องบางเรื่องใช้หัวใจมันเป็นอย่างหนึ่ง เรื่องบางเรื่องใช้หัวก็เป็นอีกอย่าง แต่แน่นอนว่าคุณจะบังคับมนุษย์ให้ไม่มีหัวใจก็ไม่ได้ มนุษย์ที่ไม่มีหัวใจก็ทำให้โลกมนุษย์ไม่น่าอยู่ คนเรามันต้องมีหัวใจกันบ้าง ตรงนี้คือต้องหาความสมดุลระหว่างหัวกับหัวใจ หัวอย่างเดียวมันไม่ได้หรอก โลกมันไม่น่าอยู่ แต่ถ้าคนทั้งโลกนี้ไม่ใช่หัวคิด มันก็นรกเหมือนกันนะ



    เพราะฉะนั้น ต้องสมดุลระหว่างหัวกับหัวใจ ผมคิดว่าคนไทยบางส่วนอาจจะเอนมาทางหัวใจมากกว่าหัว บางส่วนก็หัวมากกว่าหัวใจ ผมคิดว่ามันต้องสมดุล เราถึงจะเป็นประเทศที่เจริญ เป็นประเทศที่เป็นผู้ใหญ่ ในฐานะประเทศประชาธิปไตยระบอบรัฐสภาที่เป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องอยู่กลางๆ คือสมเหตุสมผลแต่ก็ต้องมีหัวใจด้วย



    แล้วท่านรับมือกับความกดดันอย่างไรสำหรับกรณีนี้ที่มีผลประโยชน์ของชาติเป็นเดิมพันและทุกคนจับตามองอยู่



    ผมไม่มีความกดดันใดๆ เพราะผมมองว่างานนี้เป็นงานอีกชิ้นหนึ่ง ถ้าเรามีตำแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบ งานทุกชิ้นสำคัญเท่าเทียมกันทั้งสิ้น เพราะคุณต้องทำให้ดีที่สุดสำหรับงานที่คุณได้มา งานนั้นอาจจะเป็นแค่การชงกาแฟให้เจ้านายดื่ม หรือทำคดีนี้ มันมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในหน้าที่ของคุณ พอผมคิดได้อย่างนี้แล้วก็ทำให้ผมสบายใจ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นงานไหนแค่ทำให้ดีที่สุด ทำเต็มที่ แล้วก็จบ



    ในเมื่อคุณรู้ตัวว่าคุณทำเต็มที่ คุณหลอกตัวเองไม่ได้หรอก ไม่ใช่ว่าต่อหน้าชาวบ้านทำเป็นขยัน ทำเป็นถือแฟ้มเดินไปเดินมา ถึงเวลาก็แอบนั่งหลับ หรือพอนายกฯ มาก็ครับผม ครับผม แต่ลับหลังแล้วไม่ทำอะไร เราจะรู้และหลอกตัวเองไม่ได้ ตราบใดที่เรารู้แก้ใจว่าเราทำเต็มที่จนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วก็สบายใจ



    จริงๆ แล้วท่านอยากให้คนไทยพิสูจน์ผลงานท่านจากอะไรในกรณีนี้



    ที่แน่ๆ คือผมอยากให้ประชาชนเป็นคนตัดสินผมจากการที่เขาเห็นว่าผมทำเต็มที่หรือเปล่า แต่เขาจะดูอย่างไรอันนี้ก็เป็นเรื่องยาก ซึ่งตราบใดที่เขาตัดสินผมว่าทำเต็มที่หรือไม่ได้ทำ ผมก็พอใจแล้ว แต่มีคนหนึ่งพูดให้ผมคิดได้อย่างหนึ่งว่า ไม่มีใครทำงานเยอะๆ แล้วไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น จะตัดสินว่าผมทำงานดีหรือเปล่าก็ลองไปดูผลของคดีนี้ก็ได้ ผลของคดีนี้คืออะไรล่ะ งานหลักของผมคือทำอย่างไรที่จะไม่ให้เขาเอาแผ่นดินทั้งก้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปได้ ตอนนี้การอ้างสิทธิแบบนี้ของเขาตกไปแล้วล่ะ ยืนยัน แต่เราจะเสียอะไรอีกไหม จะไปเจรจากัน ผลยังไม่รู้และไม่มีกำหนดว่าต้องเสร็จเมื่อไหร่ และแผนที่ 1:200,000 ที่มันเป็นโซ่พันธนาการเรามา 50 ปี เพราะที่ผ่านมากัมพูชาอ้างว่าคำพิพากษาปี 2505 ตัดสินแล้ว ผูกพันเราหลายร้อยกิโลเมตร



    ศาลในวันนี้บอกเราชัดเจนแล้วว่ามันผูกพันโดยผลคำพิพากษาเฉพาะในบริเวณใกล้เคียงปราสาท ที่เหลืออีกหลายร้อยกิโลเมตรนั้นคำพิพากษาไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้น จะผูกพันไทยหรือไม่ก็ต้องมาคุยกันใหม่ โดยใช้กฎหมายระหว่างประเทศทั่วไป



    ท่านอยู่ในฐานะที่จะตอบได้ไหมว่าการแก้รัฐธรรมนูญ (ฉบับปี 2550) มาตรา 190 มันมีผลต่อเรื่องเหล่านี้ไหม



    ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะตอบได้ แต่ผมบอกได้ว่า ทั้งฉบับใหม่และฉบับเก่า ผลสุดท้ายก็ต้องไปขอความเห็นชอบจากรัฐสภาเหมือนกันแหละ ต่างกันหลักๆ ตรงที่ฉบับใหม่ทำให้ก่อนเจรจาไม่ต้องไปขอกรอบเจรจาจากรัฐสภา ส่วนฉบับเก่า ก่อนไปเจรจาต้องไปขอกรอบเจรจาก่อน



    พอจะบอกได้ไหมว่ามีข้อดีหรือไม่ดีอย่างไร



    มีทั้งดีและไม่ดี การที่ต้องขอกรอบเจรจามันก็ดี คือเราขอแล้วเราก็ใช้กรอบเจรจานั้นไปเป็นข้อต่อรองในการเจรจา เช่น บอกว่าสภาไทยเขาไม่ยอม คือมีกรอบเป็นหลังพิงเป็นสิ่งที่ดี แต่ในขณะเดียวกันกรอบเจรจาก็อาจจะไม่ดีได้เช่นกัน ถ้ากรอบนั้นเขียนไว้ไม่ดี คำว่าไม่ดีก็คือเขียนไว้แล้วทำให้การเจรจานั้นเสียเปรียบตั้งแต่ต้น เช่น กรอบเจรจานั้นบอกเลยว่า bottom line อยู่ที่ไหน กรอบเจรจาบอกว่า bottom line ของผมคือ 500 บาท ถ้ากรอบนั้นบอกว่าจะจ่าย 500 แล้วเวลาไปนั่งบนโต๊ะเจรจาผมไปบอกว่าจะจ่ายแค่ 200 ทางโน้นเขาก็หัวเราะก๊าก เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมพร้อมจ่าย 500 ทางคุณก็เหมือนกัน ถ้ากรอบเจรจาของคุณบอกว่าคุณพร้อมจะขาย 1,000 บาท แล้วพอมานั่งบนโต๊ะเจรจามาบอกว่าจะเอา 1,500 ผมก็ต้องหัวเราะเหมือนกัน เพราะฉะนั้น กรอบเจรจาที่ดีก็ต้องไม่เปิดเผยไต๋ ถ้าเมื่อไหร่มันเปิดเผยไต๋หรือ bottom line แล้ว มันก็เป็นกรอบที่ไม่ดีและเป็นผลเสียแก่ประเทศชาติ เพราะฉะนั้น ของทุกอย่างมันมี 2 ด้านหมด จะไปบอกว่าดีหรือไม่ดีอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำมันออกมาอย่างไร



    ถึงท่านจะไม่ตอบ แต่ในขณะเดียวกันก็มีสื่อบางแห่งวิเคราะห์ไปแล้วด้วยซ้ำว่าจะเสียพื้นที่เท่าไหร่ ท่านมองอย่างไร



    ก็เป็นสิทธิของเขา เพราะเราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ใครจะเขียนอะไรก็ได้ภายใต้กฎหมาย แต่ควรมีเหตุผล



    แล้วเส้นแบ่งมันอยู่ตรงไหนระหว่างการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนได้รับรู้กับการทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ



    เส้นแบ่งมันก็คือกฎหมายฉบับนั้นที่เราไม่มี คือสื่อมวลชนหรือใครก็ตามที่มีสถานะที่จะไปเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนได้ มีสิทธิ์ที่จะรู้เกือบทุกอย่างแหละ แต่ในส่วนที่เกินไปและเปิดเผย คุณต้องทำเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษรว่าคุณจะไม่เปิดเผย แล้วคุณจะนำข้อมูลที่ได้ไปเขียนวิธีไหนให้ประชาชนเข้าใจได้ก็เป็นเรื่องของคุณ แต่คุณต้องไม่เปิดเผยในเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผย ไม่อย่างนั้นคุณต้องคิดคุก ต้องโทษทางอาญา ซึ่งเรายังไม่มีกฎหมายนี้ แต่ประเทศตะวันตกหลายประเทศก็มีคล้ายๆ กันเกือบทุกประเทศ เพราะฉะนั้น เส้นแบ่งตรงนี้มันลำบากในประเทศไทยขณะนี้ จึงมีความเสี่ยงที่คนอย่างผมจะถูกด่าว่าปิดบังข้อมูล ซึ่งผมก็พร้อมจะให้ด่า อยากด่าก็ด่าไปเถอะ เพราะด่าผม ผมก็ไม่เจ็บ แต่ถ้าผมไปเปิดข้อมูลให้รู้กันหมด คนที่เจ็บคือคน 67 ล้านคน มันเสียหายทั้งประเทศ ถ้าจะด่าผมคนเดียวก็ด่าไป ผมไม่ว่าอะไรหรอก



    งานนี้ถือเป็นงานใหญ่ที่สุดเลยไหมเท่าที่เคยทำคดีมา



    งานใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทยคงใช่ แต่ผมก็ยังได้รับโอกาสทำงานใหญ่อื่นอีกสำหรับประชาคมระหว่างประเทศ คือผมรับเป็นผู้ตัดสินของคดี WTO (World Trade Organization หรือองค์การการค้าโลก) ซึ่งผมคัดสินคดีมา 8 คดี แล้วที่ WTO แต่ละคดีมีมูลค่าทางธุรกิจมหาศาล ขณะนี้ผมทำคดีโบอิ้ง คือสหภาพยุโรปไปฟ้องสหรัฐอเมริกาว่าให้เงินอุดหนุนโบอิ้งโดยผิดกฎหมายระหว่างประเทศ ผมตัดสินคดีนี้อยู่ ยังไม่เสร็จ ลองคิดดูสิว่ามูลค่ามันจะมหาศาลขนาดไหน โบอิ้งทั้งบริษัทน่ะ เครื่องบินลำหนึ่งกี่พันล้านเฉพาะลำเดียวนะ



    ก่อนหน้านี้ผมตัดสินคดีระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนว่าด้วยเรื่องบริการบัตรจ่ายเงิน ในโลกนี้มีคนให้บริการไม่กี่ราย หลักๆ ก็มีแค่อเมริกันเอ็กซ์เพรส วีซ่า มาสเตอร์การ์ด แต่ตอนนี้มียูเนียนเพย์ขึ้นมา เป็นชาติเดียวที่อาจหาญมาสู้กับอเมริกา แล้วที่แน่ๆ คือในประเทศจีนเองเขาก็กันผู้ให้บริการรายอื่นออกไปหมด ทีนี้ตลาดจีนมันใหญ่ สหรัฐฯ อยากเข้าตลาดจีนก็เลยมาฟ้องคดีนี้ คิดดูว่ามูลค่ามันเท่าไหร่ แค่คนจีน 10% ใช้บัตรวันละ 1 ครั้ง ก็ได้รายได้มหาศาลแล้ว ผมตัดสินคดีนี้โดยผมได้รับมอบหมายให้เป็นประธาน แล้วพอผมตัดสินออกมาเสร็จ จีนกับสหรัฐฯ ก็ไม่อุทธรณ์ เรื่องนั้นต้องถือว่าใหญ่นะ ถ้ามองในแง่ของคดี แต่ถ้ามองในแง่ที่เราเป็นคนไทย คดีปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องของคนไทย จึงต้องถือเป็นคดีที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผมอยู่ดี



    เวลาขึ้นศาลโลกตื่นเต้นไหม เพราะมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด



    ไม่ตื่นเต้นนัก มันอยู่ที่การทำใจ คือผมไปอ่านหนังสือมา เขาบอกว่าคนเราต้องหลอกตัวเอง จะทำอะไรให้ดีต้องหลอกตัวเอง อย่างการตีกอล์ฟ เรื่องวงสวิงมันต้องหลอกตัวเองทั้งนั้น เพราะว่ากล้ามเนื้อของคุณกับสมองมันไม่สัมพันธ์กัน วงสวิงที่คุณคิดว่าดีแล้ว ถูกแล้ว จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ดี ไม่ถูก ดังนั้น คุณไม่ต้องคิดว่าคุณจะเปลี่ยน แต่คุณต้องหลอกตัวเองว่าคุณจะตีวงสวิงให้มันผิด ทั้งๆ ที่เมื่อผิดแล้วมันจะถูก วิธีก็คือเราต้องไปเรียนจากอาจารย์ที่ดี ต้องผ่านการวิเคราะห์อะไรต่างๆ นานา นั่นคือการหลอกตัวเอง ส่วนในศาลโลก วิธีหลอกตัวเองของผมก็คือ ผมบอกตัวเองว่ามันคือสุนทรพจน์อีกครั้งหนึ่งในชีวิตนักการทูต ซึ่งผมผ่านมาพอสมควร ตั้งแต่กล่าวกับเด็กมัธยมตาแป๋ว จนกระทั่งไปถึงการกล่าวสุนทรพจน์ต่อประมุขของรัฐต่างประเทศ ซึ่งในคดีปราสาทพระวิหารผมก็คิดว่ามันเป็น another speech อันนั้นเรื่องแรก



    อีกเรื่องคือผู้พิพากษาศาลโลก ซึ่งผมได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหลายท่าน อย่างประธานศาลโลกผมก็เคยมีโอกาสรับประทานอาหารกับท่านก่อนที่จะเกิดคดี พอเกิดคดีแล้วก็ต้องหยุด แต่ยังร่วมโต๊ะอาหารกันได้ถ้าเป็นดินเนอร์การทูตที่มีคนเยอะๆ เมื่อไม่นานนี้ก็ไปร่วมดินเนอร์กับคนเยอะๆ แล้วผมนั่งตรงข้ามประธานศาลโลกพอดี ก็นึกในใจว่าจริงๆ แล้ว เขาไม่ใช่ใครอื่น เขาก็เป็นคนคุ้นเคยกับเรา ในเมื่อนึกอย่างนี้ ในศาลโลก ต่อหน้าท่านประธาน ผมก็หลอกตัวเองว่าขณะนี้เรากำลังอยู่บนโต๊ะดินเนอร์ แล้วก็กินข้าวกัน เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผมจะพูดกับเขา ก็คิดเสียว่าเป็นเหมือนการสนทนาบนโต๊ะอาหาร นี่คือการหลอกตัวเอง ดังนั้น ผมก็ไม่เครียด ไม่ตื่นเต้นอะไรเกินไปนัก



    แล้วมีมุมสนุกๆ ในการทำงานนี้ไหม



    มีสิ มีเยอะเลย คือคนที่มาทำงานนี้มักจะเป็นพวกที่ชอบเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว คือเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมันก็มีแง่มุมที่ลับสมองเยอะมาก ดังนั้น มันจึงเป็นที่สิ่งสนุกสำหรับคนที่อยู่ในวงการนี้ เพราะฉะนั้น คนในวงการนี้จะไม่เครียดถ้าเถียงกันว่าอะไรเป็น Res Judicata คือสิ่งที่ได้รับการตัดสินโดยศาล ถึงที่สุดแล้วโดยกระบวนการถูกต้อง แล้วจะผูกพันกับคู่กรณีและเปลี่ยนแปลงไปไม่ได้แล้ว Res Judicata จะมีในคำตัดสินทุกอันเหมือนกันหมด ไม่ว่าศาลภายในหรือศาลภายนอก แล้วการถกเถียงว่าอะไรเป็น ไม่เป็น เป็นมาก เป็นน้อย เกี่ยวพันกันอย่างไร แค่นี้มันก็สนุกแล้วสำหรับคนที่ทำงานด้านนี้



    ถ้าอยางนั้นท่านก็มองว่าการเถียงกันด้วยเหตุผลเป็นเรื่องที่สนุก และสวยงามใช่ไหม



    สนุก สวยงาม และมันช่วยสร้างปัญญาโดยไม่ต้องโกรธเคืองกัน เพราะฉะนั้น การถกเถียงกันก็จะดุเดือด โดยใช้เหตุผลกัน แล้วถึงที่สุดมันก็ต้องมีข้อยุติ แล้วคนที่จะบริหารจัดการเรื่องนี้ได้ดีและจำเป็นต้องทำก็คือตัวแทนรัฐบาลในคดี นั่นก็คือตำแหน่งของผม ซึ่งผมมีอยู่ 2 หมวก คือตัวแทนรัฐบาล และหัวหน้าทนาย มันไม่เหมือนกัน เพราะสุดท้ายแล้วตัวแทนรัฐบาลคือคนที่จะคุมคดีทั้งหมด คนที่ต้องชี้ในที่สุดว่าถ้าทนาย 2 คนเห็นไม่ตรงกันจะเอาอย่างไร โดยคำนึงถึงนโยบายต่างประเทศ คำนึงถึงรัฐบาล คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ แล้วต้องชี้ให้ได้ว่าจะเอาอย่างไร



    แต่ถ้าเถียงกันทางกฎหมายแล้วมันตกลงตรงกันหมด และสอดคล้องกับนโยบายมันก็โอเค เพราะฉะนั้น มันก็มีหลายครั้งที่ทำคดีนี้ที่พอถึงเวลาตี 2 ตี 3 แล้วทุกคนก็บอกว่าแล้วแต่ตัวแทนรัฐบาล คือผม จะต้องตัดสินใจ แต่ผมก็คิดว่ามันเป็นสิ่งที่สนุก แล้วในประเทศไทยก็ไม่เคยมีใครรับบทบาทนี้มา 50 กว่าปีแล้ว เพราะเราไม่เคยมีคดีที่ศาลโลกอีกเลยตั้งแต่ปี 2505



    ทราบมาว่าท่านชอบดนตรีมาก อยากทราบว่าท่านฟังเพลงแนวไหน



    ผมฟังทุกแนวเลย อย่างที่ปรากฏในนี้ (เปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์) ก็มีโอเปรา อย่าง Margiono Quintet เนี่ย ชื่อฟังดูเป็นอิตาเลียนมาก แต่เขาเป็นชาวดัตช์ แล้วร้องเพลงได้ไพเราะมาก แล้วก็มี Dusty Springeld ยุค 1960s มี Led Zeppelin, UFO, The Blues Brothers, Cilla Black, Rory Gallagher, Simply Red ผมฟังแทบทุกแนว



    เอาอย่างนี้ ก่อนจะขึ้นศาลโลก ท่านฟังเพลงไหม



    ฟังทุกวัน เพลงนี่ฟังทุกวันเหมือนกินอาหาร



    แล้วมีเพลงที่เอาไว้ช่วยผ่อนคลายตัวเองไหม



    อ๋อ อันนี้ผมเรียกว่า comfort music คือเพลงที่ผมฟังตอนเด็กๆ คือเพลงที่พ่อแม่ผมฟังซึ่งเพลงที่ฟังบ่อยๆ ก็คือเพลงของ Les Paul and Mary Ford มันเป็นเพลงยุคที่พ่อแม่ผมแต่งงานกัน หรือ Patti Page นี่คือ comfort music สำหรับผม



    เวลาอยู่ต่างประเทศนานๆ คิดถึงเมืองไทยไหม แล้วคิดถึงในแง่ไหนบ้าง



    คิดถึงในแง่ที่มันเป็นประเทศที่อยู่สบายที่สุด แต่ปัญหามันมีอยู่นิดเดียวคืออากาศร้อน



    อยู่เนเธอร์แลนด์ได้ขี่จักรยานไปทำงานบ้างหรือเปล่า



    ไม่ครับ เพราะว่าผมออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นอยู่แล้ว แล้วถ้าขี่จักรยานมันใช้เวลานานกว่านั่งรถ แต่ผมต้องการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ทุกวินาทีในระหว่างที่นั่งรถยนต์ที่มีคนขับให้ ไม่ใช่ว่าผมศักดินาหรอกนะ แต่การนั่งรถทำให้ผมสามารถทำงานไปด้วยได้ หรือถ้าไม่ทำงานบนรถผมก็หลับ ผมมีสองอย่างคือทำงานกับพักผ่อน อาจจะเหมือนนโปเลียน ซึ่งผมชื่นชมนโปเลียนนะ เพราะท่านเป็นมหาบุรุษที่ถ้าไม่ทำงานก็พักผ่อนและสามารถพักผ่อนได้ทุกแห่งแม้กระทั่งหลับขณะที่อยู่บนหลังม้าแล้วก็เดินทางไปได้ ผมก็เหมือนกัน ที่ผมใช้รถเพราะมันเร็ว แล้วระหว่างนั้นผมก็ทำงานได้ หรือถ้าไม่ทำงานผมก็พักผ่อน ส่วนการออกกำลังกายผมแบ่งเวลาในแต่ละวันไว้แล้ว ไม่ใช่ปัญหา ก็เลยไม่ได้ขี่จักรยาน สรุปว่าอาชีพของผมยิ่งทำงานได้เยอะเท่าไหร่ยิ่งดี ยิ่งพักผ่อนได้เยอะเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เลยขอเลือกทำในสิ่งที่ทำให้ผมมีเวลาเหลือเยอะๆ ดีกว่า



    หมายเหตุ: บทสัมภาษณ์นี้เป็นบทสัมภาษณ์เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2556



    https://adaybulletin.com/talk-conversation-weerachai-palasai/29011
     
  15. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    ถ่ายเมื่อเวลา 04:44 น. ในวันที่ 14 มีนาคม

    Sharon Hrabec เขียนว่า "ใช่ภาพสะท้อนน่าจะเป็นไปได้ แต่อาจเป็นบางสิ่งบางอย่าง .. เรามีหลายอย่างไม่เหมือนกัน ในตอนนี้สิ่งต่าง ๆ กำลังเปลี่ยนแปลงภาพขนาดใหญ่ที่ถ่ายโดย Linda Good McGillis จาก Texas ... ผลสะท้อนกลับเกี่ยวกับดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง หรือมิติ "

    Taken at 4:44 on March 14th.

    Sharon Hrabec writes, "Yes a reflection is probable, but could be something..we have several not too unlike this now. Big things are changing. Incredible images taken by Linda Good McGillis from Texas... It definitely looks like a reflection of a planet or dimensional feedback."

     
  16. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk

    7 คนเสียชีวิต 13 คนหายไปหลังจากแผ่นดินถล่มกระทบฝั่งตอนเหนือของมณฑลซานซีของจีนในช่วงเย็นวันศุกร์

    7 killed, 13 missing after landslide hits northern China's Shanxi Province early Friday evening.
     
  17. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฝันดีน่ะครับ สำหรับผู้มีความฝันทุกคนเราควรมีความมุ่งมั่นไปจนสุดปลายความฝัน สำหรับตัวผมเองก็มีความฝัน ที่มีผู้จุดไฟนั้นเมื่อหลายปีที่แล้ว หลังจากแม่ผมเสียชีวิต โดยบอกว่าผมมีพลังศักดิ์สิทธิมหาศาล ที่ซ่อนเร้นในกายมนุษย์ ซึ่งผมเลยนำไปรวมกับสิ่งที่แม่ผมชอบบอกเล่าให้ผมฟังตอนยังมีชีวิตอยู่ ว่ามีคนบอกว่าเขาเป็นลูกศิษย์ของพระอวโลกิเตศวร ผมเลยมีความฝันที่อยากเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อเป็นสิ่งที่รำลึกถึงผู้ที่รักผม ไว้ในโลกแห่งนี้ ตอนก่อนผมชอบนำเรื่องที่ชายผู้บอกว่าผมมีพลัง และความต้องการไปบอกผู้อื่น และได้รับการตอบรับว่าสติไม่เต็ม ซึ่งในทุกวันนี้ถึงคนที่บอกกล่าวจะตายไปแล้ว และดูท่าเขาจะคิดว่าผมเป็นสิ่งประหลาดที่น่ากลัว แทนที่จะหัวเราะว่าผมสติไม่เต็มเช่นผู้อื่น แต่สิ่งที่เขาบอกว่าผมมีพลัง... ก็ได้สร้างแรงบันดาลใจ และผมเองก็ไม่คิดจะท้อแท้ในการกระทำความดี เพื่อให้ไปสู่ฝัน คือ ยามจากไป ขอให้มีผู้จดจำใน ความหมายแห่ง ผู้เป็นมหาสัตว์ แค่นั้นก็พอ

    "บางแห่งตรงสุดปลายสายรุ้ง ปีนไต่ไปให้สูง
    มีดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ฉันเคยได้ยินในเพลงกล่อมให้นอนเพลงหนึ่ง
    บางแห่งตรงสุดปลายสายรุ้งเหนือขึ้นไปนั้นคือท้องฟ้าสีคราม
    และหลาย ๆ ความฝันที่เธอนั้นกล้าที่จะฝันนั้นจะกลายเป็นความจริง"

    "ในบางแห่งที่ที่ปลายสายรุ้ง และมีบลูเบิร์ดโบกบินไป
    ฝูงนกได้บินเหนือสายรุ้งที่พาดผ่าน
    ทำไมนะ ทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ"

    "หากนกบลูเบิร์ดตัวเล็ก ๆ ที่มีความสุขได้โบยบิน
    เหนือสายรุ้งที่พาผ่าน
    ทำไมนะ ทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ"

    แปลเพลง Somewhere Over The Rainbow

    Somewhere over the rainbow way up high
    There’s a land that I heard of once in a lullaby
    Somewhere over the rainbow skies are blue
    And the dreams that you dare to dream really do come true
    บางแห่งตรงสุดปลายสายรุ้ง ปีนไต่ไปให้สูง
    มีดินแดนแห่งหนึ่ง ที่ฉันเคยได้ยินในเพลงกล่อมให้นอนเพลงหนึ่ง
    บางแห่งตรงสุดปลายสายรุ้งเหนือขึ้นไปนั้นคือท้องฟ้าสีคราม
    และหลาย ๆ ความฝันที่เธอนั้นกล้าที่จะฝันนั้นจะกลายเป็นความจริง
    Someday I’ll wish upon a star
    And wake up where the clouds are far
    Behind me
    Where troubles melt like lemon drops
    Away above the chimney tops
    That’s where you’ll find me
    บางวัน ฉันก็อยากจะไปอยู่บนดวงดาวดวงหนึ่ง
    แล้วตื่นขึ้นมาท่ามกลางก้อนเมฆ
    ที่อยู่ข้างหลังฉัน
    ในที่ที่ปัญหาจะมลายหายไปดั่งเลมอนที่ตกลงมา
    ความสูงที่เหนือกว่าปล่องไฟนั่น
    จะเป็นที่ที่เธอจะได้พบกับฉัน
    Somewhere over the rainbow bluebirds fly
    Birds fly over the rainbow.
    Why then, oh, why can’t I?
    ในบางแห่งที่ที่ปลายสายรุ้ง และมีบลูเบิร์ดโบกบินไป
    ฝูงนกได้บินเหนือสายรุ้งที่พาดผ่าน
    ทำไมนะ ทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ
    If happy little bluebirds fly
    Beyond the rainbow.
    Why, oh, why can’t I?
    หากนกบลูเบิร์ดตัวเล็ก ๆ ที่มีความสุขได้โบยบิน
    เหนือสายรุ้งที่พาผ่าน
    ทำไมนะ ทำไมฉันถึงทำไม่ได้ล่ะ

    แปลเพลง Somewhere Over The Rainbow – Judy Garland
    https://www.educatepark.com/แปลเพลง/แปลเพลง-somewhere-over-the-rainbow-judy-garland/
     
  18. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jeerachart Jongsomchai

    ... “คลองปานามา คือการยุให้แยกประเทศ ปานามา จากโคลัมเบีย โดยอเมริกา”


    ... “คลองปานามา” หรือ Panama Canal เป็นคลองเดินเรือสมุทรความยาว 77 กิโลเมตร สร้างขึ้นบริเวณคอคอดปานามาในประเทศปานามา เพื่อเชื่อมมหาสมุทรแปซิฟิกกับมหาสมุทรแอตแลนติกเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาที่ต้องไปอ้อมช่องแคบเดรกและแหลมฮอร์น ทางใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งมีผลอย่างยิ่งต่อการเดินเรือระหว่างสองมหาสมุทร โดยถูกใช้เป็นเส้นทางเดินเรือหลักสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างประเทศ ตั้งแต่เปิดทำการ คลองปานามาประสบความสำเร็จและเป็นกุญแจสำคัญในการขนส่งสินค้าทั่วโลก จำนวนเรือที่ผ่านคลองปานามาเพิ่มขึ้นเป็น 14,702 ลำต่อปี ในปี คศ 2008


    ... "แนวความคิดในการขุดคลองปานามา" มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ก่อนที่จะเริ่มการก่อสร้างครั้งแรกในปี คศ1880 โดยบริษัทสัญชาติ "ฝรั่งเศส" ภายใต้การบริหารของนายแฟร์ดินองด์ เดอ เลสเซ็ปส์ แต่ก็ล้มเหลวไป มีคนงานกว่า 21,900 คนเสียชีวิต มักมีสาเหตุจากโรคระบาด ( มาลาเรียหรือไข้เหลือง ) และดินถล่ม จนกระทั่ง “อเมริกา” เข้ามาดำเนินงานต่อ โดยมีผู้เสียชีวิตราว 5,600 คน จนกระทั่งสามารถเปิดใช้งานได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1914 นับเป็นหนึ่งในโครงการวิศวกรรมที่ใหญ่ที่สุดและยากลำบากที่สุดที่เคยมีมา


    … ย้อนหลังไปก่อนนั้น จากการประสบความสำเร็จของการสร้าง "คลองสุเอซ" ( คลองสุเอซเริ่มสร้างในเดือนเมษายน ปี 1859 แล้วเสร็จในเดิอนพฤศจิกายน ปี 1869 ) "รัฐบาลกรันโคลอมเบีย" ได้ให้สัมปทานกับนักผจญภัยชาวฝรั่งเศสชื่อ ลูเซียง นโปเลียน โบนาปาร์ต ไวส์ ในการขุดคลองซึ่งจะเชื่อมระหว่างสองมหาสมุทรในบริเวณ “จังหวัดปานามา” และเขาได้ขายสัมปทานต่อให้กับบริษัทฝรั่งเศสที่บริหารโดยนายแฟร์ดีนอง เดอ เลสเซป ซึ่งดำเนินการขุดคลองปานามาในทันที


    … เมื่อวันที่ 1 มกราคม คศ 1880 บริษัทฝรั่งเศสได้ทำงานอย่างรีบเร่งโดยขาดการศึกษาที่เพียงพอทั้งทางด้านภูมิประเทศและอุทกวิทยา อีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บในภูมิอากาศเขตร้อนที่คนงานก่อสร้างคลองต้องเผชิญทั้งโรคไข้เหลืองและมาลาเรีย คร่าชีวิตคนงานเป็นจำนวนมากและทำให้การก่อสร้างไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เป็นเหตุให้คนงานต่างหวาดกลัวและหนีกลับฝรั่งเศสในปี คศ 1883 บริษัทฝรั่งเศสที่ได้สัมปทานไม่สามารถทำงานต่อได หลังจากที่บริษัทของนายเดอเลสเซปล้มละลายต้องขายโครงการขุดคลองทอดตลาดไป


    ... “อเมริกา” ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการขุดคลองครั้งนี้ เนื่องจากในตอนที่อเมริกาได้ทำ "สงครามกับสเปนในปี คศ 1898" เห็นว่าการเดินทางระหว่างฝั่งตะวันตกกับตะวันออกเป็นเรื่องยุทธศาสตร์ ถ้ามีคลองลัดย่นระยะทางการเดินทางของเรือรบและเรือขนส่งยุทธสัมภาระได้ก็จะเป็นผลดีอย่างยิ่งในการป้องกันประเทศ รัฐบาลจึงเห็นความสำคัญในจุดนี้


    ... “การแยก ปานามาจากโคลัมเบีย” เกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 3 พฤศจิกายน 1903 ด้วยการจัดตั้ง “สาธารณรัฐแห่งปานามา” เป็นอิสระจากสเปนในปี คศ1821 และปานามาได้ประกาศรวมตัวกับ “สมาพันธ์กรันโคลัมเบีย” โดยเชื่อมโยงกับส่วนที่เหลือของประเทศทางตอนใต้ ที่คือประเทศโคลัมเบียในปัจจุบันอย่างเหนียวแน่น แต่นานไป ความที่อยู่ห่างไกลทางภูมิศาสตร์จาก “รัฐบาลในเมืองโบโกตาของโคลัมเบีย”และขาดการเชื่อมต่อทางบกกับส่วนที่เหลือของ Gran Colombia ทำให้ “ปานามา” มักเป็นจังหวัดที่มีการลุกฮือก่อกบฏโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “วิกฤตการณ์ปานามาในปี 1885 “ ซึ่งเป็นการแทรกแซงของกองทัพเรือ “อเมริกา” อย่างชัดเจน


    ... ซึ่งสาเหตุที่ “อเมริกา” เข้ามายุแยง แยกปานามาจากโคลัมเบีย ก็เพื่อผลประโยชน์จาก “คลองปานามา”


    … โดยก่อนนั้น “อเมริกา” ได้เจรจากับ “รัฐบาลกรันโคลอมเบีย” ( ตอนนั้นยังไม่แยกกัน ) ว่า หากอเมริกาลงทุนขุดคลองแล้วก็ “ขอให้อเมริกาเช่าพื้นที่บริเวณนั้นเพื่อดำเนินการควบคุมการเข้าออกของเรือที่ผ่านคลอง” แต่การตกลงเรื่องราคาค่าเช่าที่ไม่ลงตัว “รัฐบาลกรันโคลอมเบีย” ไม่ตกลงกับรัฐบาลอเมริกา ซึ่งขณะนั้นเกิดมีข่าวออกมาว่า “ชาวจังหวัดปานามากลัวว่าโคลอมเบียจะไม่แบ่งผลประโยชน์ให้เท่าที่พวกตนควรได้” จึงได้ก่อการปฏิวัติขึ้นและประกาศตัวเป็นประเทศเอกราช ซึ่ง “อเมริกา” เองได้รับรองการเป็นเอกราชของ “ปานามา” และยังได้ช่วยไม่ให้โคลอมเบียยกกองทหารเข้ามาปราบปรามชาวปานามา จนในที่สุดอเมริกาได้ทำสัญญากับปานามา


    ... ในปี คศ 1903 โดยปานามายกกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นระยะทางกว้าง 10 กิโลเมตร ตลอดแนวทางที่อเมริกาจะขุดคลอง และรัฐบาลอเมริกาเป็นผู้ดำเนินการบริหารเป็นสิทธิขาดตลอดไป โดยอเมริกาจะจ่ายเงินตอบแทนให้ปานามาเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านดอลลาร์ และจะให้เป็นประจำทุกปี อีกปีละ 250,000 ดอลลาร์ ส่วนอเมริกาก็ได้จ่ายเงินให้แก่ “โคลอมเบีย” เป็นเงิน 25 ล้านดอลล่าร์ในปี ค.ศ. 1921 และรัฐบาลโคลอมเบียรับรองความเป็นเอกราชของปานามาในสนธิสัญญาธอมสัน-อูรูเตีย


    ... โดย “อเมริกา” เป็นประเทศแรกที่ยอมรับความเป็นอิสระของสาธารณรัฐที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่อย่าง “ปานามา” และได้ส่งกองทัพเรืออเมริกา เพื่อป้องกันไม่ให้ “โคลัมเบีย” ทำการยึดครองดินแดนในช่วงวันแรกของประเทศใหม่ เพื่อแลกกับบทบาทในการปกป้องปานามา และเพื่อสร้างคลองได้รับสัญญาเช่าบนที่ดินรอบคลอง ที่ต่อมาเรียกว่า “คลองปานามา” ซึ่งต่อมาได้คืนส่งกลับไปปานามาภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญา Torrijos–Carter ที่ระบุว่า “อเมริกา” จะคืนการครอบครอง "คลองปานามา" ในปี 1999 หลังจากที่ครอบครองมาตั้งแต่ ปี 1903 รวมเป็นเวลา 96 ปี

    .


    .


    .

    https://en.wikipedia.org/wiki/Torrijos–Carter_Treaties

    https://th.wikipedia.org/wiki/คลองปานามา

    https://en.wikipedia.org/wiki/Separation_of_Panama_from_Colombia


     
  19. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    John Traczyk


    ถ่ายโดย Markus Varik เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2019 @ Tromsøนอร์เวย์


    มาร์คัสเขียนว่า "ถ้ามีช่วงเวลาของการโพสต์เกี่ยวกับวันสิ้นโลก เราคุยกันได้ตอนนี้? แน่ใจว่ารู้สึกเหมือนท้องฟ้าตกลงบนพื้นคืนนี้!"


    Taken by Markus Varik on March 16, 2019 @ Tromsø, Norway


    Markus writes, "If there was a time of Post Apocalypse, could we discuss it now? It sure felt like the sky was falling on the ground tonight!"


     
  20. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,318
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฆ่ากันไปมา มุสลิมก็สังหารคนต่างศาสนาที่ไม่มีความผิดมามาก ควรเลิกสร้างเวรกรรม เพราะให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว



    เผยประวัติชายออสเตรเลียตัวการยิงที่มัสยิดนิวซีแลนด์
    ต่างประเทศ 16 มี.ค. 2019 14:36:23

    ซิดนีย์ 16 มี.ค.- คนรู้จักเผยว่า ชายชาวออสเตรเลียที่เป็นตัวการในเหตุยิงที่มัสยิดสองแห่งในเมืองไครสต์เชิร์ชของนิวซีแลนด์ เป็นเทรนเนอร์ขยันทำงานที่เปลี่ยนไปหลังเดินทางไปยุโรปและเอเชีย

    เทรซีย์ เกรย์ เจ้าของโรงยิมในรัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียเผยกับบรรษัทกระจายเสียงออสเตรเลีย หรือเอบีซี (ABC) ว่า นายเบรนตัน แฮร์ริสัน แทร์เรนต์ วัย 28 ปี เป็นชาวเมืองแกรฟตัน จบการศึกษาระดับมัธยมและได้วุฒิด้านฟิตเนส มาสมัครงานกับเธอในปี 2555 เป็นคนขยันขันเข็ง แต่เริ่มเปลี่ยนไปหลังเดินทางไปหลายประเทศในยุโรปและเอเชีย เชื่อว่ามีบางอย่างเปลี่ยนเขาในช่วงเวลานั้น อาจเป็นประสบการณ์หรือกลุ่มคนที่เขาพบเจอ ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ชี้ว่า เขาเดินทางไปไกลถึงปากีสถานและเกาหลีเหนือ

    นายแทร์เรนต์โพสต์แถลงการณ์ยาวเหยียดหนา 74 หน้าก่อนก่อเหตุเมื่อวานนี้ว่า เริ่มคิดเรื่องก่อเหตุร้ายครั้งแรกช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2560 ขณะเดินทางไปฝรั่งเศสและหลายประเทศในยุโรปตะวันตก เขารู้สึกตกใจที่เห็นเมืองต่าง ๆ ในฝรั่งเศสถูกคนเข้าเมืองรุกราน และผิดหวังกับผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสปีก่อนที่นายเอมานูว์เอล มาครง ผู้สนับสนุนสหภาพยุโรปและมีความแนวคิดสายกลางเอาชนะนางมารีน เลอเปน ผู้สมัครสายขวาจัด

    คนร้ายชาวออเตรเลียรายนี้พูดถึงตัวเองว่า เป็นคนขาวธรรมดา เกิดในครอบครัวชนชั้นทำงานรายได้น้อย มีชีวิตวัยเด็กเหมือนเด็กทั่วไป ไม่มีปัญหาอะไร ผลการเรียนไม่ดีและไม่คิดเรียนต่อ สื่อรายงานว่า บิดาของเขาจากไปด้วยโรคมะเร็งในปี 2553 เขาลาออกจากงานในปีถัดมา ส่วนเจ้าของโรงยิมคิดว่าเขามีมารดาและพี่น้องอยู่ในเมืองแกรฟตัน นายแทร์เรนต์อ้างว่า เงินที่ใช้เดินทางได้จากการลงทุนในบิทคอยน์ เขาได้โพสต์ภาพปืนและอาวุธหลายภาพก่อนก่อเหตุ และอ้างในแถลงการณ์ว่า ได้แรงบันดาลใจจากพวกขวาสุดโต่ง เช่น นายอันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก ฆาตกรชาวนอร์เวย์ที่สังหารคน 77 คนในปี 2554 และยกชื่อนายออสวัลด์ มอสลีย์ แกนนำฟาสซิสต์ชาวอังกฤษในช่วงคริสต์ทศวรรษหลังปี 1930 ว่าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีความคิดใกล้เคียงกับความเชื่อของเขามากที่สุด.-สำนักข่าวไทย


    https://www.tnamcot.com/view/2MYemm...fjN74drMHAdxDANpIlHsjIsUiw9qRHm7qcLKK59g-jxyo
     

แชร์หน้านี้