ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ญี่ปุ่นอ่วมหนัก ฝนถล่มปริมาณน้ำฝนมากสุดในรอบ 50 ปี ภูเขาไฟใกล้กรุงโตเกียวจ่อปะทุซ้ำ หมวดข่าว:ต่างประเทศวันที่ 20 พ.ค. 62 เวลา 08:59:39 น.

    IMG_2479.PNG IMG_2480.PNG IMG_2481.PNG IMG_2482.PNG

    ญี่ปุ่นอ่วมฝนถล่มหนัก วัดปริมาณน้ำฝนได้มากสุดในรอบ 50 ปี ขณะที่ภูเขาไฟใกล้กรุงโตเกียวจ่อปะทุซ้ำ ในพื้นที่จังหวัดคาโงะชิมา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะคิวชู อิทธิพลของพายุก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ลมกระโชกแรง ต้นไม้ล้มระเนระนาด และดินโคลนถล่มปิดเส้นทางเชื่อมต่อกับภูเขา ส่งผลให้นักท่องเที่ยวอย่างน้อย 262 คนติดอยู่ด้านบน ไม่สามารถลงมาได้


    http://news.ch3thailand.com/abroad/95328
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ชลบุรี - เจอแล้วต้นเหตุใหญ่ทำน้ำเน่าทะลักหาดจอมเทียน จนทะเลกลายเป็นสีดำ มาจากระบบผลักดันน้ำเสีย ทต.นาจอมเทียน ค่ากว่า 128 ล้านบาท ไม่ถูกใช้งานจริงซ้ำยังปล่อยทิ้งร้างจนใช้งานไม่ได้ ด้าน นอภ.สัตหีบ จี้ทุกหน่วยงานแก้ไขจริงจัง


     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    F7F869FA-5EFC-4A64-A0FC-B6E8C7B8286B.jpeg
    (May 20) ไม่ใช่แค่กูเกิล บริษัทผลิตชิปอเมริกัน Intel, Qualcomm, Broadcom จะหยุดขายชิปให้ Huawei ด้วย : จากกรณี กูเกิลแบนการทำธุรกิจกับ Huawei ตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐที่เซ็นโดย Donald Trump

    นอกจากกูเกิลแล้ว ยังมีบริษัทสหรัฐอีกจำนวนมากที่จะถูกห้ามทำธุรกิจกับ Huawei ซึ่งเว็บไซต์ Bloomberg ก็รายงานข่าวว่า บริษัทผลิตชิปสัญชาติอเมริกันทั้งหลาย ตั้งแต่ Intel, Qualcomm, Broadcomm, Xilinx ก็แจ้งพนักงานให้เตรียมตัวหยุดทำธุรกิจกับ Huawei แล้วเช่นกัน

    Intel เป็นผู้ขายชิปสำหรับเซิร์ฟเวอร์ให้ Huawei

    Qualcomm เป็นผู้ขายชิปประมวลผลและโมเด็มสำหรับสมาร์ทโฟน

    Xilinx เป็นผู้ขายชิป FPGA แบบเขียนโปรแกรมได้ ใช้สำหรับอุปกรณ์เครือข่าย

    Broadcom เป็นผู้ขายชิปสำหรับสวิตช์

    บริษัททั้ง 4 รายยังปฏิเสธไม่ให้ความเห็นในประเด็นนี้ แต่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Huawei เองก็เตรียมรับมือมานานพอสมควร โดยสต๊อกชิปสำรองไว้ใช้งานได้อย่างน้อย 3 เดือน


    Source: Blognone.com

    https://www.blognone.com/node/109860


    เพิ่มเติม

    - Top U.S. Tech Companies Begin to Cut Off Vital Huawei Supplies : https://www.bloomberg.com/news/arti...me-huawei-business-ties-after-trump-crackdown
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2485.JPG
    (May 20) เมื่อ‘ทรัมป์’เล่นหนักใส่‘หัวเว่ย’ สงครามการค้าสหรัฐฯ-จีนก็ยิ่งบานปลาย: สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนกำลังกลับปะทุดุเดือดขึ้นมาอีก ภายหลังสงบศึกกันมาหลายเดือน มิหนำซ้ำยังวอชิงตันยังพุ่งเป้าเล่นหนักกิจการแชมเปี้ยนด้านเทเลคอมของแดนมังกรอย่างบริษัทหัวเว่ย ทำให้การเผชิญหน้ากันระหว่างมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทั้งสองยิ่งบานปลาย จนยังไม่แน่ใจกันว่าจะกลับมาเจรจาต่อรองกันใหม่ได้เมื่อใด ขณะเดียวกันจากการพิพาทที่ดำเนินมาด้วยความครึกโครมและยืดเยื้อเช่นนี้ ก็ได้เผยให้เห็นความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายอันล้ำลึก จนมองกันว่าถ้าวอชิงตันกับปักกิ่งสามารถหวนคืนมาทำข้อตกลงยุติศึกกันได้ในที่สุด ก็น่าจะเป็นการเลิกรากันแค่ชั่วคราว ไม่ใช่การยุติความเป็นศัตรูคู่แข่งกันระหว่างยักษ์ใหญ่สองรายนี้

    จีนใช้น้ำเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นมากในการทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ โดยพูดเป็นนัยๆ ในวันศุกร์ (17 พ.ค.) ที่ผ่านมาว่า การจัดการเจรจาทางการค้าระหว่างทั้งสองประเทศขึ้นมาอีก จะเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย ตราบใดที่วอชิงตันไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแนวทาง

    คำพูดอันดุดันเช่นนี้นับเป็นจุดพีคของช่วงระยะเวลา 1 สัปดาห์เศษแห่งความเสื่อมทรุดในความสัมพันธ์ของ 2 ชาติที่เป็นเจ้าของระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลก เริ่มตั้งแต่สหรัฐฯบังคับใช้การขึ้นพิกัดศุลกากรสินค้าเข้าจากจีนเพิ่มเติมขึ้นอีกครั้ง หลังระงับเอาไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ทางด้านจีนก็แถลงใช้มาตรการเดียวกันตอบโต้เอากับสินค้าอเมริกัน ขณะที่การเจรจาต่อรองทำดีลการค้ากันเป็นรอบที่ 11 ของทั้งสองฝ่ายยุติลงด้วยความล้มเหลว แล้วจากนั้นสหรัฐฯก็ใช้มาตรการอันหนักหน่วงที่อาจถึงขั้นทำให้เดี้ยงกันได้ทีเดียว เล่นงานหนึ่งในบริษัทใหญ่ที่สุดและประสบความสำเร็จสูงที่สุดของจีน

    ลู่ คัง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับรายงานต่างๆ ทางสื่อของรัฐจีนซึ่งพูดอ้อมๆ ว่าจะไม่มีการเจรจาทางการค้ากันต่อไปอีกแล้ว เขาก็ตอบว่าจีนส่งเสริมสนับสนุนให้แก้ไขข้อพิพาทที่มีอยู่กับสหรัฐฯด้วยการสนทนาและการปรึกษาหารือกันเสมอมา

    “แต่สืบเนื่องจากสิ่งต่างๆ อันชัดเจนซึ่งฝ่ายสหรัฐฯได้กระทำเอาไว้ในระหว่างการหารือทางการค้าจีน-สหรัฐฯครั้งก่อนๆ เราจึงเชื่อว่าถ้าจะทำให้การพูดจาเหล่านี้มีความหมายแล้ว พวกเขาจะต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ” เขาตอบในการแถลงข่าวประจำวันของกระทรวง

    ทางด้าน ซีเอ็นบีซี โทรทัศน์ช่องข่าวการลงทุนและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวหลายรายบอกว่า การเจรจาทางการค้านี้หยุดชะงักลงแล้ว ส่วนการหารือรอบต่อไปนั้น “ยังไม่มีความแน่นอน”

    ขณะที่คณะผู้แทนของจีนกำลังจะเดินทางมาเจรจาเป็นรอบที่ 11 ในกรุงวอชิงตันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ใช้ทวิตเตอร์โจมตีแดนมังกรว่าเบี้ยวคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ ในการหารือรอบก่อนๆ การทำดีลกันเป็นไปอย่างล่าช้า ดังนั้นสหรัฐฯจึงต้องกลับมาขึ้นภาษีศุลกากรกับสินค้าเข้าของจีนกันใหม่ โดยประกาศเริ่มบังคับใช้การขึ้นภาษีเอากับสินค้าจีนมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์เป็นอัตรา 25% จาก 10% กันในตอนนาฬิกาเดินย่างเข้าวันศุกร์ (10) ทั้งๆ ที่ตามกำหนดการที่ตกลงกันไว้ การเจรจาการค้ารอบที่ 11 จะคุยกันในวันพฤหัสบดี (9) และวันศุกร์ (10)

    ปรากฏว่าการเจรจาได้จบลงโดยไม่มีข้อตกลงใดๆ แล้วในวันจันทร์ (13) ปักกิ่งก็ตอบโต้โดยแถลงว่าจะปรับขึ้นภาษีสินค้าเข้าของสหรัฐฯเป็นมูลค่า 60,000 ล้านดอลลาร์ในอัตราตั้งแต่ 5% จนถึง 25% ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป ประธานาธิบดีอเมริกันจึงออกมาแถลงย้ำคำขู่ที่เคยพูดเอาไว้ นั่นคือบอกว่าเขากำลังพิจารณาที่จะขึ้นภาษีเอากับสินค้าเข้าของจีนมูลค่าอีกราว 300,000 ล้านดอลลาร์ที่ยังเหลืออยู่ไม่ได้ถูกปรับพิกัดอัตราศุลกากรเลย

    ไม่เพียงเท่านั้นในวันพุธ (15) ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ประกาศ “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” ที่ให้อำนาจเขาในการขึ้นบัญชีดำบริษัทต่างๆ ซึ่งเห็นว่า “สร้างความเสี่ยงอย่างไม่อาจยอมรับได้แก่ความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ” นี่คือการแผ้วถางทางให้แก่การสั่งห้ามบริษัทกิจการทั้งหลายของสหรัฐฯซื้อผลิตภัณฑ์หรือเทคโนโลยีของผู้ที่ถูกขึ้นบัญชีนั่นเอง คำสั่งนี้ไม่ได้มีการระบุชื่อบริษัทหรือประเทศใดๆ แต่เป็นที่เข้าใจกันอย่างชัดเจนว่ามุ่งใช้เล่นงานบริษัทหัวเว่ย

    ในวันเดียวกันนั้น กระทรวงพาณิชย์อเมริกันยังได้ใช้มาตรการอีกอย่างหนึ่งเล่นงานหัวเว่ย โดยคราวนี้ไม่มีการปิดบังอำพรางอะไรแล้ว กล่าวคือ ขึ้นใส่ชื่อบริษัทยักษ์ของจีนแห่งนี้เอาไว้ในบัญชีดำซึ่งห้ามบริษัทต่างๆ ของสหรัฐฯขายหรือถ่ายโอนเทคโนโลยีอเมริกันให้ ยกเว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตเป็นการเฉพาะจากกระทรวง

    “นี่จะเป็นการป้องกันเทคโนโลยีอเมริกันไม่ให้ถูกบุคคลหรือกิจการของต่างชาตินำไปใช้ในทางที่อาจบ่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯหรือผลประโยชน์ด้านนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ” วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์บอก

    เห็นกันว่า มาตรการอย่างหลังนี้เป็นตัวที่ฟาดโครมใส่หัวเว่ยอย่างหนักหน่วงยิ่งกว่าคำสั่งบริหารของทรัมป์เสียอีก เนื่องจากในเวลานี้หัวเว่ยก็แทบไม่ได้ขายอะไรสักเท่าใดในสหรัฐฯอยู่แล้ว ขณะที่รายรับแทบทั้งหมดมาจากในจีนและภูมิภาคอื่นๆ ของโลก

    แต่สำหรับการห้ามบริษัทสหรัฐฯขายอะไรให้หัวเว่ยนั้น อาจทำให้บริษัทจีนแห่งนี้เดือดร้อนมาก เนื่องจากถึงแม้หัวเว่ยและกระทั่งทางการจีนได้พยายามเตรียมทางหนีทีไล่ ด้วยการเร่งหันมาผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยี 5 จีกันในแดนมังกร ทว่าเป็นเพราะระบบห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมเทค แต่ไหนแต่ไรก็มีการกระจายการผลิตชิ้นส่วนไปตามที่ต่างๆ ดังนั้น หัวเว่ยจึงยังต้องซื้อจากบริษัทอเมริกันไม่ใช่น้อยๆ

    ขณะนี้พวกผู้เชี่ยวชาญยังถกเถียงกันอยู่ว่า แชมเปี้ยนเทเลคอมของจีนรายนี้ซึ่งครองฐานะทั้งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลก และผู้ผลิตเครื่องโทรศัพท์สมาร์ทโฟนขายดีเป็นอันดับ 2 ของโลก จริงๆ แล้วจะเจ็บหนักแค่ไหน บางฝ่ายเห็นว่าอาจถึงกับเดี้ยงไปไม่เป็นกันทีเดียว แต่บางฝ่ายยังคิดว่าน่าจะพอประคองตัวแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปได้ แล้วเร่งรัดการผลิตชิ้นส่วนภายในจีนเองในระยะยาว นอกจากนั้นยังเชื่อด้วยว่า คณะบริหารทรัมป์น่าจะไม่กล้าทำอะไรตึงตังรุนแรง เพราะพวกบริษัทผลิตชิ้นส่วนของสหรัฐฯจะต้องย่ำแย่เช่นกัน เมื่อเสียลูกค้ารายยักษ์อย่างหัวเว่ยไป

    สมรภูมิเทคโนโลยี

    เห็นกันได้ชัดๆ ว่า เมื่อสหรัฐฯนำเรื่องการทำสงครามการค้ากับจีน มาผนวกกับเรื่องการเล่นงานหัวเว่ย ปฏิกิริยาจากปักกิ่งก็ออกมาในทางแข็งกร้าวขึ้นมากมาย เนื่องจากทั้งสหรัฐฯและจีนต่างตระหนักดีว่า การต่อสู้เกี่ยวกับหัวเว่ยไม่ได้เป็นเพียงแค่ประเด็นความมั่นคงปลอดภัยด้านการสื่อสารโทรคมนาคมของสหรัฐฯเท่านั้น

    อันที่จริงการเผชิญหน้ากันในเรื่องหัวเว่ยเป็นสิ่งที่สะสมพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ มาเป็นแรมปีแล้ว ขณะที่บริษัทจีนรายนี้ประสบความสำเร็จในการแข่งขันจนสามารถนำหน้าพวกคู่แข่งไปไกลในเรื่องการพัฒนาระบบสื่อสารไร้สาย 5 จี ซึ่งจะทำให้สามารถรับส่งข้อมูลข่าวสารกันได้มากมายและรวดเร็วยิ่งกว่าในปัจจุบันอย่างมหาศาล อันจะผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจกระทั่งวิถีชีวิตของผู้คนไปสู่อีกยุคสมัยหนึ่ง

    สหรัฐฯเชื่อว่าหัวเว่ยได้รับการหนุนหลังจากกองทัพจีน และอุปกรณ์ของบริษัทนี้เปิดช่องให้หน่วยข่าวกรองของปักกิ่งมีประตูหลังที่จะเจาะเข้าไปเครือข่ายการสื่อสารของบรรดาประเทศคู่แข่ง

    ในสายตาของวอชิงตัน การเร่งรัดผลักดันของจีนอาศัยการปฏิบัติต่างๆ ที่สหรัฐฯเห็นว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม เป็นต้นว่า การใช้มาตรการอุดหนุนอย่างมากมายและการปกป้องคุ้มครองแก่อุตสาหกรรมต่างๆ ที่ทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ตลอดจนการดำเนินโครงการโจรกรรมเทคโนโลยีอเมริกันอย่างเป็นระบบ

    “จีนกำลังกลายเป็นคู่แข่งขันที่น่าเกรงขาม และพวกผู้นำของจีนก็มีความชัดเจนในเจตนารมณ์ของพวกเขาที่จะเข้าแทนที่สหรัฐฯ ซึ่งพวกเขามองเห็นว่ากำลังอยู่ในภาวะเสื่อมถอย แล้วจัดแจงสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ระดับโลกและสถาบันต่างๆ ระดับโลกขึ้นมาใหม่เพื่อตอบสนองผลประโยชน์ต่างๆ ของจีน” เจมส์ ลิวอิส ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและข่าวกรองแห่ง ศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) คลังสมองชื่อดังซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน พูดเช่นนี้ขณะไปให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการของรัฐสภาสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

    “จีนได้พัฒนาโมเดลเพื่อนวัตกรรมและการลงทุนที่เป็นโมเดลคู่แข่ง (ของสหรัฐฯ) ขึ้นมา โดยที่ได้รับเงินทุนอุดหนุนเป็นอย่างดีและมีทิศทางที่รวมศูนย์เอาไว้ที่ส่วนกลาง ความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของสหรัฐฯจึงไม่ใช่อยู่ในฐานะไร้ข้อโต้แย้งอีกต่อไปแล้ว” เขากล่าว

    ไมเคิล เฮียร์สัน ผู้อำนวยการฝ่ายเอเชียของบริษัทที่ปรึกษา ยูเรเชีย กรุ๊ป พูดให้ความเห็นว่า เวลานี้เมื่อพูดกันถึงความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯกับจีนโดยรวม มีบางคนใช้คำว่า “สงครามเย็น” ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นคำที่แรงเกินไป ทว่าถ้านำคำนี้มาพูดถึงการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีของสองประเทศนี้แล้ว เขามองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ

    เขากล่าวต่อไปว่า การพิพาทกันเกี่ยวกับหัวเว่ย แท้จริงแล้วเป็นอาการที่แสดงออกมาของการแข่งขันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ดุเดือดเข้มข้น

    “ความเป็นศัตรูกันในลักษณะนี้ ยากลำบากแก่การแก้ไขคลี่คลายยิ่งกว่าพวกประเด็นการค้าแท้ๆ มากมายนัก”


    Source: ผู้จัดการออนไลน์

    https://mgronline.com/around/detail/9620000047857
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2486.JPG
    (May 20) กูเกิ้ลจำกัดการใช้งานแอนดรอยด์ของหัวเว่ย : บริษัทกูเกิ้ลระงับสิทธิ์บางส่วนของหัวเว่ยในการเข้าถึงระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าใหม่ที่จะวางขายในอนาคตไม่สามารถอัปเดตแอปพลิเคชั่นหลัก ที่รวมถึงจีเมลและยูทูบ


    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ว่าบริษัทกูเกิ้ลออกแถลงการณ์เมื่อวันอาทิตย์ ว่าบริษัทอัลฟาเบ็ตซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิ้ลกำลังพิจารณาเพื่อเตรียมปฏิบัติตาม ต่อการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศคำสั่งฝ่ายบริหารเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าสหรัฐกำลังเผชิญกับ "สถานการณ์ฉุกเฉินด้านเทคโนโลยี" ที่มาตรการรวมถึงการเพิ่ม "ความเข้มงวด" ในกรณีผู้ประกอบการของสหรัฐประสงค์ขอใบอนุญาตเพื่อทำธุรกรรมหรือค้าขายกับบริษัทด้านเทคโนโลยีของต่างประเทศ ที่แม้ไม่มีการเอ่ยชื่ออย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นที่เข้าใจกันโดยอัตโนมัติว่าหมายถึงบริษัทหัวเว่ยของจีน


    อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวในกูเกิ้ลเปิดเผยกับสื่อหลายแห่งของสหรัฐ ว่าทางบริษัทตัดสินใจระงับความร่วมมือบางส่วนกับหัวเว่ย นั่นคือการที่สมาร์ทโฟนและเท็บเล็ตรุ่นใหม่ของหัวเว่ยจะไม่สามารถอัปเดตแอปพลิเคชั่นสำคัญบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแอปพลิเคชั่นของกูเกิ้ล ไม่ว่าจะเป็นจีเมล ยูทูบ และแผนที่ แต่สินค้าของหัวเว่ยจะยังสามารถรองรับแอปพลิเคชั่นอื่นบนแอนดรอยด์และมีการอัปเดตเมื่อถึงเวลาได้ตามปกติ


    แม้มีรายงานด้วยว่า แหล่งข่าวในกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐเผยเรื่องการเตรียมออก "มาตรการผ่อนผัน" ให้กับหัวเว่ยเป็นเวลาสูงสุด 90 วัน เพื่อไม่ให้กระทบกับบริการที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลของรัฐที่มีประชากรอาศัยเบาบาง เช่นรัฐออริกอนและรัฐไวโอมิง ซึ่งมาตรการจะรวมถึงการอนุญาตให้หัวเว่ยซื้อสินค้าและบริการของสหรัฐเพื่อไม่ให้ลูกค้าของหัวเว่ยในอเมริกาได้รับผลกระทบ แต่มาตรการผ่อนผันนี้จะไม่มีผลครอบคลุม "โครงการในอนาคต" แต่ความเคลื่อนไหวในส่วนของกูเกิ้ลซึ่งหากเป็นความจริงจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อธุรกิจของหัวเว่ย ซึ่งยังไม่แสดงความคิดเห็นอย่างเป็นทางการต่อรายงานดังกล่าว


    Source: เดลินิวส์ออนไลน์ : https://www.dailynews.co.th/foreign/710133


    **************

    ยังได้ไปต่อ กูเกิลระบุยังให้บริการ Google Play กับโทรศัพท์หัวเว่ย "รุ่นปัจจุบัน" ต่อไป

    กูเกิลออกแถลงสั้นๆ ยืนยันว่าจะให้บริการ Google Play กับโทรศัพท์หัวเว่ยต่อไป แม้จะมีคำสั่งแบนหัวเว่ยและบริษัทในเครือจากประธานาธิบดี หลังมีข่าววันนี้ว่ากูเกิลจะหยุดให้บริการทั้งหมดกับโทรศัพท์หัวเว่ย

    แถลงของกูเกิลยืนยันเฉพาะ "รุ่นปัจจุบัน" เท่านั้น (existing devices) โดยยังไม่มีรายละเอียดว่ารุ่นต่อไปในอนาคตจะเป็นอย่างไร


    Source: Blognone.com

    https://www.blognone.com/node/109856


    เพิ่มเติม

    - Google forces Huawei to use open-source version of Android after Trump blacklist : https://www.cnbc.com/2019/05/19/google-suspends-some-business-with-huawei-after-trump-blacklist.html
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2487.JPG
    (May 20)'เที่ยวไทย' ออกตัวอืด ! จากรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 10.8 ล้านคน เติบโตเพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยนักท่องเที่ยว จีนและยุโรปซึ่งเป็นตลาดหลักลดลง 2.1% และ 2.5% ส่วนนัก ท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น, มาเลเซีย และเกาหลียังคงรักษาการเติบโตได้ในอัตรา 9.5%, 8.4% และ 7.1% ตามลำดับ ขณะที่นักท่องเที่ยวอินเดียเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงถึง 25%



    การขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวของไทยที่ต่ำในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บวกกับการแข่งขันของธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจสายการบินของไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น ทุกค่ายมีกำไรในอัตราที่ลดลงอย่างชัดเจน



    แอร์ไลน์ต้นทุน (ยัง) พุ่งไม่หยุด



    โดย "บางกอกแอร์เวย์ส" ภายใต้บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BA "พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวว่า ไตรมาส 1/2562 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 7,789.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.5%



    โดยเป็นผลมาจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสนามบินและกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และรายได้ที่ไม่ได้แบ่งตามสายธุรกิจ ขยายตัวเพิ่มขึ้น 11.6% และ 35% ตามลำดับ



    อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายได้จากธุรกิจการบินได้ปรับตัวลดลง 4.2% เนื่องจากการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางบินภายในประเทศ ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 510.8 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนจำนวน 208.5 ล้านบาท หรือ 29%



    เช่นเดียวกับบมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ผู้บริหารสายการบินไทยแอร์เอเชีย ที่รายงานว่าในไตรมาส 1/2562 บริษัทมีรายได้รวม 11,623 ล้านบาท ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 903.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 51% หรือประมาณ 926 ล้านบาท



    ทั้งนี้ เป็นผลจากต้นทุนการขายและ บริการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 โดยหลัก ๆ มาจากค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้น้ำมัน ที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับค่าบริการใน สนามบินและลานจอด รวมถึงค่าซ่อมแซมและบำรุงรักษาที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น



    อย่างไรก็ตาม "ไทยแอร์เอเชีย" มีอัตราการขนส่งผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น 4% หรือ 5.86 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นตามปริมาณที่นั่งที่เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน



    ด้านพี่ใหญ่ "การบินไทย" นั้น ผลประกอบการไตรมาส 1/2562 ยังคง ลดลงเช่นกัน โดย "สุเมธ ดำรงชัยธรรม" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมา "การบินไทย" มีรายได้รวม 49,791 ล้านบาท และลดลง 6.9% มีกำไรสุทธิ 456 ล้านบาท ลดลง จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 83.3%



    โดยสาเหตุหลักมาจากการแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นที่เป็นรายได้หลัก รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรง



    ประกอบกับมีปริมาณการขนส่ง ผู้โดยสารลดลง เนื่องจากปริมาณการผลิต (จำนวนที่นั่ง) ลดลง ด้วยจำนวนเครื่องบินที่จำกัดที่จำนวน 90 ลำ ต่ำกว่าปีก่อนที่เฉลี่ย 94 ลำ ขณะที่ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มขึ้น 989 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2%



    นอกจากนี้ "การบินไทย" ก็ยังไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งหมดซึ่งเกิดจากค่าเสื่อมราคา ค่าเช่าเครื่องบิน และอะไหล่เพิ่มขึ้นจากการปรับลดประมาณการมูลค่าคงเหลือของเครื่องบินในสถานการณ์ที่เงินบาทแข็งค่ากดดัน ขณะที่การขนส่งคาร์โก้มีรายได้รวม ลดลงกว่า 12.9% จากปัญหาสงครามการค้าสหรัฐ-จีน



    รวมถึงเหตุการณ์ปิดน่านฟ้าของปากีสถาน ที่ทำให้การบินไทยต้องยกเลิกเที่ยวบินเส้นทางไป-กลับ ยุโรปในช่วงเวลาดังกล่าว พร้อมทั้งดำเนินการจัดเที่ยวบินพิเศษและเปลี่ยนเครื่องบินให้ใหญ่ขึ้นเพื่อทยอยนำผู้โดยสารที่ ตกค้างไปยังจุดหมายปลายทาง



    และผลกระทบจากกรณีเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ Trent 1000 ต่อเนื่องจาก ปีก่อน และการจอดเครื่องบินเพื่อทำการซ่อมบำรุงตามตารางการซ่อมปกติ



    ด้าน บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสายการบิน "นกแอร์" ที่รายงานผลประกอบการในไตรมาส 1/2562 ว่า บริษัทมีรายได้รวมที่ 3,468.77 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 848.07 ล้านบาท หรือ 19.65%



    ทั้งนี้ เป็นผลจากการลดขนาดฝูงบินทำให้มีจำนวนเครื่องบินลดลง 19.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บวกกับการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงและจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่ลดลง



    ส่งผลให้บริษัทมีตัวเลขขาดทุนสุทธิรวม 281.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 777.08%



    ราคาห้องพักร่วงทุบรายได้



    ส่วนในฟากของธุรกิจโรงแรมนั้น ก็พบว่าผู้ประกอบการโรงแรมรายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น ก็มีผลประกอบการในส่วนของ "กำไร" ปรับตัวลดลงด้วยเช่นกัน



    โดย บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ระบุว่า ไตรมาส 1/2562 มีรายได้รวม 5,643 ล้านบาท ลดลงช่วงเดียวกันของปีก่อน 98.3 ล้านบาท หรือ 1.7% โดยธุรกิจโรงแรมมีรายได้รวม 2,755.6 ล้านบาท หรือประมาณ 48.8% ลดลงจากปีก่อน 193.2 ล้านบาท หรือ 6.6%



    ทั้งนี้ เนื่องจากรายได้ต่อห้องพักเฉลี่ยลดลง 5.7% จากการลดลงของอัตราการเข้าพักจาก 86% เป็น 83.3% และราคาห้องพักเฉลี่ยลดลง 2.6% และอีกส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปิดห้องจำนวน 36 ห้องของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ บีชรีสอร์ท สมุย ตั้งแต่พฤษภาคม 2561 จนถึงปัจจุบัน



    ด้าน บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW รานงานว่า ไตรมาส 1/2562 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 1,775 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 1% มีกำไรสุทธิ 235 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18%



    โดยในช่วงดังกล่าวนี้โรงแรมในเครือ (ยกเว้นฮ็อปอินน์) มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักลดลง 9% เช่นเดียวกับอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ลดลง 3% และค่าห้องพักเฉลี่ยลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รวมถึงจากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในไตรมาส 1 และการชะลอตัวของกลุ่มลูกค้าต่างชาติในตลาดประชุมสัมมนา



    เช่นเดียวกับบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่ระบุว่า มีรายได้จากการดำเนินงานในไตรมาส 1/2562 จำนวน 28,848 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้น 79% มีกำไรสุทธิ 633 ล้านบาท ลดลง 63%



    โดยตัวแปรที่ฉุดให้กำไรของกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์ฯ ลดลงอย่างชัดเจนนั้นเป็นผลจากการขาดทุนของ "เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป" เนื่องจากไปโลว์ซีซั่นธุรกิจท่องเที่ยวของทวีปยุโรป ขณะเดียวกันการลงทุนในเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยังทำให้ บริษัทมีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น รวมถึงอัตราภาษีที่สูงขึ้น



    จากตัวเลขผลประกอบการดังกล่าวนี้ สะท้อนให้เห็นภาพชัดเจนว่า แม้ว่าไตรมาส 1/2562 จะเป็น "ไฮซีซั่น" ของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย แต่ธุรกิจส่วนใหญ่ยัง "ออกตัว" ได้ไม่สวยงามนัก


    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2488.JPG
    (May 20) สงครามการค้าครั้งใหม่ : ใครได้ใครเสีย? ย่างเข้ารุ่งอรุณของวันศุกร์ที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา การปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. (ประมาณกว่า 6.3 ล้านล้านบาท) จากเดิม 10% เพิ่มเป็น 25% ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ทวีตข้อความขู่ไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยได้เริ่มมีผลบังคับใช้จริงเพราะเห็นว่าการเจรจาไม่คืบหน้าเท่าที่ควร นับเป็นการจุดชนวนให้ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนปะทุขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หลังจากก่อนหน้าดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะได้ข้อตกลงทางการค้าระหว่างกัน บางขุนพรหมชวนคิดวันนี้จึงอยากชวนท่านผู้อ่านมาวิเคราะห์กันว่า สงครามครั้งนี้ใครจะได้ ใครจะเสีย?



    ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า สินค้าจีนที่สหรัฐฯขึ้นภาษีในครั้งนี้ มีจำนวนทั้งหมด 5,745 รายการ หรือคิดเป็นประมาณ 40% ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯนำเข้าจากจีน โดยเป็นกลุ่มสินค้าเดียวกันกับที่โดนภาษีนำเข้าที่ 10% ไปแล้ว คือมีทั้ง 1) กลุ่มสินค้าทุน (capital goods) เช่น เครื่องจักรและอุปกรณ์ไฟฟ้า 2) สินค้าขั้นกลาง (intermediate goods คือ สินค้าที่นำไปผลิตต่อ) เช่น ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์และรถยนต์ และ 3) สินค้าขั้นสุดท้าย (final goods คือ สินค้าที่นำไปอุปโภคบริโภค) เช่น เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย...แต่แค่นี้ยังไม่พอ! สหรัฐฯยังกำหนดรายชื่อสินค้าเพื่อเตรียมการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนในส่วนที่เหลืออีกราว 3 แสนล้านดอลลาร์ สรอ. (ประมาณกว่า 9.5 ล้านล้านบาท) ครอบคลุม 3,805 รายการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าทุนและสินค้าขั้นสุดท้าย



    เห็นอย่างนี้แล้ว ถามว่าใครจะเสียประโยชน์จากการขึ้นอัตราภาษีบ้าง นักวิเคราะห์หลายสำนักชี้ให้เห็นว่า ผู้เสียประโยชน์กลับกลายเป็นประชาชนชาวอเมริกันและธุรกิจในสหรัฐฯ เสียเอง เนื่องจากชาวอเมริกันต้องซื้อสินค้าในราคาที่แพงขึ้น โดยเฉพาะสินค้าขั้นสุดท้ายที่จำเป็นสำหรับอุปโภคบริโภค ขณะที่ธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนจากสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลาง โดยยังไม่สามารถหาตลาดอื่นทดแทนจีนได้ทั้งหมดในระยะเวลาอันสั้น ส่วนหนึ่งเพราะผู้ส่งออกจีนไม่ได้ปรับลดราคาสินค้าลง ต่างจากที่นายทรัมป์ได้เคยกล่าวมาตลอดว่า จีนจะต้องจ่ายและแบกรับภาษีดังกล่าว อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์บางสำนักเห็นว่า หากมองในระยะยาว ธุรกิจ จีนย่อมได้รับความเสียหายเช่นกัน ส่วนหนึ่งเพราะเมื่อถึงเวลานั้น สหรัฐฯอาจสามารถนำเข้าสินค้าจากตลาดอื่นทดแทนสินค้าจีนได้มากขึ้น



    ทางด้านจีนตอบโต้สหรัฐฯกลับอย่างทันควัน ด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ สรอ. (ประมาณ 1.9 ล้านล้านบาท) ครอบคลุมสินค้า 5,142 รายการ โดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.2019 และสินค้าส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าทุนและสินค้าขั้นกลาง ซึ่งอาจลดผลกระทบต่อผู้บริโภคในจีนได้บ้างเพราะมีสินค้าขั้นสุดท้ายเป็นส่วนน้อย แต่แน่นอนว่าสงครามครั้งนี้จะส่งผลลบต่อทั้งสองฝ่ายและยังจะขยายผลต่อไปสู่การค้าโลกการชะลอลงของเศรษฐกิจโลก และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่แย่ลง



    เมื่อหันกลับมามองไทย ถามว่าไทยได้หรือเสียประโยชน์? โดยเบื้องต้นประเมินว่าไทยอาจเสียมากกว่าได้ประโยชน์คล้ายกับประเทศอื่นๆที่มีความเชื่อมโยงกับต่างประเทศสูงกล่าวคือ จะเสียประโยชน์จากการส่งออกที่ชะลอลงตามการชะลอของเศรษฐกิจโลก และผลของ supply chain effect โดยรวม เพราะไทยเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่การผลิตที่ส่งไปจีนแม้ว่าไทยอาจได้ประโยชน์จากการส่งออกทดแทนในสหรัฐฯและจีน (trade diversion) เช่น สหรัฐฯโยกคำสั่งนำเข้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากไทยมากขึ้นและไทยอาจได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตจากจีน (investment diversion) มายังไทยเพื่อเลี่ยงมาตรการภาษีแต่อย่าลืมว่ายังมีประเทศอื่นๆในภูมิภาคที่พร้อมจะแข่งขันกับไทยเพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากจีนด้วย เช่น เวียดนาม จึงไม่ควรนิ่งนอนใจในประโยชน์ที่จะได้รับมากนัก



    ซุนวูเคยกล่าวไว้ว่า "ไม่มีชาติใดที่จักได้รับผลประโยชน์จากการทำสงครามระยะยาว"...เพราะขึ้นชื่อว่าสงครามแล้ว ย่อมไม่เกิดประโยชน์แก่ฝ่ายใดทั้งสิ้น!



    ** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **


    คอลัมน์ บางขุนพรหมชวนคิด: สุพริศร์ สุวรรณิก เศรษฐกรอาวุโส ธปท.


    Source: ไทยรัฐ
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2489.JPG
    (May 19) จับตาประชุม 'OPEC' 25-26 มิ.ย.ชี้ชะตาน้ำมันโลก :"อุปทานน้ำมัน"ในตลาดโลกกำลังได้รับผล กระทบจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่ รุนแรงขึ้น นับตั้งแต่ที่สหรัฐอเมริกายกเลิกมาตรการผ่อนปรนการนำเข้าน้ำมันจาก "อิหร่าน" ขณะที่สถานการณ์ใน "เวเนซุเอลา" ย่ำแย่ลงจากการที่สหรัฐแซงก์ชั่นบริษัทน้ำมันแห่งชาติ



    วันที่ 15 พ.ค.ราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้นเล็กน้อย จากแรงหนุนของความตึงเครียดในตะวันออกกลาง หลังประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี แห่งอิหร่าน ประกาศจะแลกหมัดกับสหรัฐเป็นการตอบโต้ ที่สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์ ทั้งยังคว่ำบาตรภาคธุรกิจน้ำมัน และแร่ยูเรเนียมของอิหร่าน



    "เวเนซุเอลา" ได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตั้งแต่สหรัฐแซงก์ชั่นบริษัทน้ำมัน PdVSA เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เพื่อตัดท่อน้ำเลี้ยงรัฐบาล "นิโคลัส มาดูโร"และล่าสุดสั่งระงับเที่ยวบินโดยสาร และเครื่องบินขนส่งสินค้าที่ไปเวเนฯ เพื่อปิดช่องทางเข้าออกประเทศจากที่เคยปิดล้อมทางบกและทางเรือ



    นักวิเคราะห์ในตลาดน้ำมันกล่าวว่า ระยะสั้นราคาน้ำมันดิบโลกอาจเพิ่ม สูงขึ้น จากการที่อุปทานของเวเนฯและอิหร่านหายไปจากตลาดน้ำมันโลกในช่วงเดียวกับที่โอเปกกำลังลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบ โดยกลุ่มโอเปก และน็อนโอเปกเห็นพ้องที่จะปรับลดการผลิตน้ำมันลงที่ 1.2 ล้านบาร์เรล/วันเพื่อป้องกันการทรุดตัวของราคาน้ำมัน



    เมื่อวันที่ 15 พ.ค. "โอเปก" เผยรายงานประจำเดือน พ.ค. 2019 ระบุว่า ดีมานด์การใช้น้ำมันของโอเปกคาดว่าจะสูงกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ โดยจะอยู่ที่ 1.21 ล้านบาร์เรล/วัน จากที่ก่อนหน้านี้คาดว่า ดีมานด์ใช้น้ำมันในปี 2019 อยู่ที่ 1.1 ล้านบาร์เรล/วัน



    โดยระบุเพิ่มว่า การผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐ ชะลอตัวลงจากปัญหาซัพพลายล้นภายในเมื่อปีก่อนบ่งชี้ถึงสภาวะ "น้ำมันตึงตัว"หากโอเปกไม่ปรับเพิ่มการผลิตน้ำมัน นักวิเคราะห์ขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) มองว่าการประชุมกำหนดนโยบายของโอเปก ในวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้ เป็นไปได้สูงที่สมาชิกรวมทั้งกลุ่มน็อนโอเปก จะปรับเพิ่มการผลิตน้ำมัน



    สอดคล้องกับที่ประธานาธิบดีทรัมป์ เคยทวีตข้อความว่า ซาอุดีอาระเบียและหลายประเทศกลุ่มโอเปกจะสามารถผลิตน้ำมันได้มากขึ้น หากสหรัฐใช้มาตรการลงโทษเต็มรูปแบบกับอิหร่าน พร้อมกล่าวว่า การสูญเสียอุปทานน้ำมันจาก "อิหร่านและเวเนซุเอลา" จำเป็นต้องได้รับการชดเชยจากสมาชิกอื่นที่เหลือ รวมทั้งธุรกิจน้ำมันของสหรัฐด้วย



    สัปดาห์ก่อนนักวิเคราะห์จาก IEA คาดว่าสหรัฐจะผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้น 83,000 บาร์เรล/วัน ในเดือน มิ.ย.นี้ และผลิตได้สูงสุดที่ 8.49 ล้านบาร์เรล/วัน



    ทั้งนี้ "เดวิกา คริชน่า คูมาร์"นักวิเคราะห์ของ "รอยเตอร์ส" กล่าวว่า หลังจากที่ IEA ส่งสัญญาณปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันชั้นหินดินดานในปี 2019 บวกกับโอกาสที่กลุ่มโอเปกและน็อนโอเปกจะจับมือเพิ่มการผลิตน้ำมันมีอยู่สูง เชื่อว่าจะเอื้ออานิสงส์ต่อภาคธุรกิจและผู้บริโภค เนื่องจากราคาน้ำมันดิบโลกจะปรับตัวลดลงตาม



    หากเป็นอย่างนั้นเท่ากับการประชุมโอเปก ซึ่งจะมีขึ้นวันที่ 25-26 มิ.ย.นี้ จะเป็นวันที่ชี้อนาคตของตลาดน้ำมันโลกเลยก็ว่าได้


    Source: ประชาชาติธุรกิจ


    Key oil producers meet to discuss output amid Iran tension: https://www.aljazeera.com/news/2019...cuss-output-iran-tension-190519094217638.html
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    4E774217-D2BA-41A5-B78D-8ACBE4C92D4B.jpeg
    (May 19) สื่อจีนปลุกกระแสชาตินิยม"ต่อต้าน"-"ตอบโต้”สหรัฐ : ขณะที่บทบรรณาธิการของซินหัวและพีเพิลส์เดลี ระบุว่า ในระหว่างที่สหรัฐต่อสู้เพื่อความโลภและยโสโอหัง จีนกำลังต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตัวเอง


    ขณะที่สหรัฐและจีน กำลังตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษี และต่างฝ่ายต่างมีวาทกรรมห้ำหั่นกันแทบทุกวัน สื่อทางการของจีนก็ปลุกระดมมวลชนให้ร่วมกันตอบโต้สหรัฐ พร้อมทั้งประโคมข่าวว่า รัฐบาลปักกิ่งอาจจะไม่สนใจที่จะเจรจากับสหรัฐเรื่องการค้าในขณะนี้ เนื่องจากท่าทีที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่น้อยมากของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ

    บล็อกวีแชท ของอีโคโนมิค เดลี ซึ่งเป็นสื่อทางการของรัฐบาลจีน ระบุว่า หากสหรัฐไม่เดินหน้าภายใต้รูปแบบหรือแนวทางใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงความจริงใจอย่างแท้จริง การเดินทางมาเจรจาเรื่องการค้าของเจ้าหน้าที่สหรัฐในจีนก็ไม่มีความหมายอันใด โดยที่ผ่านมาสหรัฐได้เจรจาเรื่องความต้องการที่จะให้มีการเจรจาต่อรองต่อไป แต่ในขณะเดียวกันสหรัฐก็เล่นแง่เล็กๆน้อยๆเพื่อที่จะทำลายบรรยากาศ ซึ่งอ้างถึงความเคลื่อนไหวในการเข้ามาควบคุมบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ในสัปดาห์นี้


    นอกจากนี้ บรรดาสื่อของทางการจีนพยายามออกมาปลุกระดมมวลชนให้ร่วมกันตอบโต้สหรัฐ เริ่มจากคัง ฮุย ผู้ประกาศข่าวค่ำช่วงไพรม์ไทม์ทางสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี กล่าวในรายการที่ออกอากาศเมื่อวันจันทร์ (13พ.ค.)ว่า การสู้รบที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐกับจีน เป็นสิ่งที่จีนไม่เคยพบเจอมาก่อนในประวัติศาสตร์ 5,000ปีของประเทศ จีนจะต่อสู้เพื่อโลกใหม่ ตามที่ ปธน.สี จิ้นผิง เคยชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของจีนเปรียบดั่งทะเล ไม่ใช่บ่อน้ำเล็กๆ พายุฝนเพียงลูกเดียวสามารถทำลายบ่อน้ำได้ แต่ไม่สามารถทำอะไรท้องทะเลได้ แม้พายุจะผ่านมาลูกแล้วลูกเล่า ทะเลก็ยังเป็นทะเล

    จีนได้ให้คำตอบกับสหรัฐไปแล้ว นั่นคือการเจรจา ประตูสำหรับการเจรจายังคงเปิดอยู่ แต่จีนจะสู้ให้ถึงที่สุด ซึ่งปรากฎว่าคลิปจากรายการดังกล่าวกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์ของจีนทันที โดยสื่อต่างๆ ของทางการต่างก็ช่วยกันโปรโมตคลิปนี้ จนมีผู้เข้าชมแล้วหลายล้านครั้ง


    ขณะที่บทบรรณาธิการของซินหัวและพีเพิลส์เดลี ระบุว่า ในระหว่างที่สหรัฐต่อสู้เพื่อความโลภและยโสโอหัง จีนกำลังต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของตัวเอง สงครามการค้าเกิดจากบุคคลเพียงคนเดียวในสหรัฐ แต่กลับเป็นภัยคุกคามต่อชาวจีนทั้งประเทศ เพราะฉะนั้นสำหรับชาวจีนแล้ว นี่ถือเป็นสงครามของประชาชนอย่างแท้จริง

    นอกจากนี้ บรรดาผู้ผลิตสินค้าในจีน ต่างปล่อยสินค้ารับกระแสเชียร์รัฐบาลปักกิ่งออกมาหลากหลายกว่าเดิม ทั้งแปรงขัดห้องน้ำรูปโดนัลด์ ทรัมป์ ลูกบอลคลายเครียด อุปกรณ์เปิดขวดไวน์ และกางเกงใน โดยบนหน้าเวบไซต์อีคอมเมิร์ซยอดนิยมอย่างเถาเป่า หรืออีเบย์ เวอร์ชันจีน มีแปรงขัดห้องน้ำรูป ประธานาธิบดีสหรัฐหลายแบบให้เลือกสรร ราคาตกประมาณ 20 หยวน (ราว 90 บาท )

    ร้านค้าแห่งหนึ่งที่ขายสินค้าตัวนี้ โฆษณาว่า แปรงขัดห้องน้ำทรัมป์ ความยาว 37 ซ.ม. มาพร้อมกับด้ามจับสีส้ม น้ำหนักเบา เก๋ หมุนได้ 360 องศา ทำความสะอาดได้ทั่วถึง ทุกซอกทุกมุม ขณะที่ผู้ขายอีกราย กระตุ้นยอดขายด้วยการขายแปรงขัดทรัมป์ และแถมกระดาษชำระพิมพ์หน้าทรัมป์ 1 ม้วน


    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


    - Chinese media signals lack of interest in continuing talks

    : https://www.straitstimes.com/asia/e...-signals-lack-of-interest-in-continuing-talks
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    A3BFB811-A5BC-4C6A-A41E-FC6A303827FA.jpeg
    (May 19) โปลิตบูโรจีนกล่าว “สงครามการค้าอาจทำให้ GDP จีนลดลง 1%” แต่ไม่มีผลกระทบกับนโยบายจีน : 1 ในโปลิตบูโรของจีนได้กล่าวกับนักลงทุนชาวไต้หวันถึงเศรษฐกิจของจีนว่ากรณีที่แย่ที่สุดคือ GDP ของจีนอาจลดได้ถึง 1% อย่างไรก็ดีเรื่องของสงครามการค้าจะไม่ทำให้นโยบายเศรษฐกิจของจีนเปลี่ยนไป


    Wang Yang ซึ่งเป็น 1 ใน 7 สมาชิกกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ หรือเรียกย่อๆ ว่า โปลิตบูโร ได้กล่าวกับนักลงทุนชาวไต้หวันในกรุงปักกิ่งถึงสถานการณ์เศรษฐกิจจีนในช่วงนี้ว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในปีนี้ถ้าหากประเมินในขั้นแย่สุดในกรณี คาดว่าจะลดลงได้มากถึง 1% จากที่รัฐบาลจีนประเมินไว้ ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนประเมิน GDP ปีนี้ไว้ที่ 6 ถึง 6.5%


    เขาเองยังได้กล่าวว่า รัฐบาลจีนได้ประเมินเรื่องเศรษฐกิจจีนในปีหน้าใหม่แล้ว ถ้าหากสงครามการค้าระหว่าง 2 มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงยืดเยื้อออกไป เขายังได้เสริมว่า เรื่องของสงครามการค้าจะไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างนโยบายทางเศรษฐกิจของจีนอย่างแน่นอน แต่ตัวเขาเองไม่ได้เปิดเผยแผนการของจีนถ้าหากเศรษฐกิจของจีนเกิดประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวแต่อย่างใด


    นอกจากนี้เขาเองยังไม่ได้ต่อต้านถ้าหากเจ้าของบริษัทจากไต้หวันจะย้ายฐานการผลิตออกจากจีน หลังจากสหรัฐได้ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีนมูลค่ากว่า 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และจีนก็ได้ตอบโต้กลับ แต่เขาได้ให้มุมมองว่านี่คือโอกาสครั้งใหญ่ และทางสหรัฐฯ ยังประเมินชาวจีนต่ำไป


    ล่าสุดทางคณะกรรมการการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีน หรือ NDRC ซึ่งเป็นหนึ่งในหน่วยงานในการวางแผนเศรษฐกิจจีน ได้เตรียมพร้อมที่จะออกแนวทางในการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน โดยตั้งเป้าไปที่การ กระตุ้นกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กภายในประเทศ รวมไปถึงสนับสนุนการบริโภคในพื้นที่ท้องถิ่นห่างไกล


    โดย Wattanapong Jaiwat

    Source: Brandinside.asia

    https://brandinside.asia/politburo-...-scenario-china-gdp-decrease-1-pc-in-beijing/


    - Trade war could slice 1 per cent off China’s economic growth, top party official says


    https://www.scmp.com/economy/china-...slice-1-cent-chinas-economic-growth-top-party
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2495.JPG
    (May 19) ท่องเที่ยว Q1/62 นิ่งสนิทตลาดจีนติดลบทั้ง 'จำนวน-รายได้' - กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ระบุว่า ในช่วงไตรมาสแรก ที่ผ่านมา (มกราคม-มีนาคม 2562) ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทาง เข้ามาทั้งหมดรวม 10.79 ล้านคน ขยายตัว เพิ่มขึ้น 1.76% สร้างรายได้คิดเป็นมูลค่ารวม 5.73 แสนล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.38%



    โดยในส่วนตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลัก พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยจำนวน 3.12 ล้านคน ลดลง 1.72% สร้างรายได้ 1.72 แสนล้านบาท ลดลง 1.82%



    เรียกว่าลดลงทั้งในแง่จำนวนรายได้และจำนวนนักท่องเที่ยว



    "วิชิต ประกอบโกศล" นายกสมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA) ให้ข้อมูลว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม-มีนาคมที่ผ่านมา ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวจีน เกินกว่า 1 ล้านคนทุกเดือน ซึ่งถือว่า เป็นตัวเลขในระดับที่ดี แต่สาเหตุที่ทำให้ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แล้วมีตัวเลขลดลงเล็กน้อยนั้นมาจากสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนที่ลดจำนวนลงตั้งแต่ปลายปี 2561 ซึ่งยังมีผล ต่อเนื่องให้สายการบินซึ่งมีเที่ยวบิน เช่าเหมาลำยกเลิกเที่ยวบินในไทยเปลี่ยนไปบินในเส้นทางอื่น และยังไม่ได้กลับ มาบินในเส้นทางเดิมเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง



    โดยสายการบินหลายแห่งเลือกเปิดเส้นทางใหม่สู่หลาย ๆ ประเทศแทนประเทศไทย อาทิ เวียดนาม พม่า ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น จะพบว่ามีอัตรา ผู้โดยสารและการเติบโตที่ดีพอ ทำให้สายการบินเหล่านั้นตัดสินใจไม่กลับมาบินในไทยอีกครั้ง



    อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จำนวนนักท่องเที่ยว จะลดลงในไตรมาสแรก แต่หากพิจารณาร่วมกับการเติบโตที่สูงมากในปีก่อน จะเห็นว่าไม่ใช่การลดลงในจำนวนที่มากนัก



    ทั้งนี้ ยังเชื่อด้วยว่าในอีก 7 เดือนต่อจากนี้ นักท่องเที่ยวจีนจะมีจำนวนเฉลี่ยอยู่ที่ 8 แสน-1 ล้านคนต่อเดือน และมั่นใจว่าตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไปจำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเติบโตมากกว่า 10% อย่างแน่นอน



    และน่าจะหนุนให้จำนวนนักท่องเที่ยว จีนในปีนี้ถึง 11 ล้านคนตามที่ตั้งเป้าไว้ เพียงแต่ไม่ได้เติบโตแบบก้าวกระโดด 20-30% เหมือนที่เคยเป็นมา และมีส่วน ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมใน ปี 2562 นี้เติบโตอย่างน้อย 5-10%



    อย่างไรก็ตาม โครงสร้างพื้นฐานในด้านต่าง ๆ ของไทยเองก็ไม่สามารถรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของนักท่องเที่ยวได้อีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพในการรองรับของสนามบิน และสลอตการบินที่แน่นมาก จึงคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจีนและชาติอื่น ๆ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดอีกครั้งเมื่อ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองในเฟสใหม่สร้างเสร็จ



    "วิชิต" ยังอธิบายถึงปรากฏการณ์ด้านรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนที่ปรับตัว ลดลงในสัดส่วนที่สูงกว่าตัวเลขของ จำนวนนักท่องเที่ยวด้วยว่า รายได้ที่ตกลง ประมาณ 1.8% นั้นถือว่าเป็นตัวเลข ที่ไม่แย่นัก เพราะเมื่อเทียบสัดส่วนกับ เงินหยวนที่อ่อนค่าและบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ตัวเลขที่ตกลงไป 1.8% แทบจะเท่ากับการจับจ่ายไม่ได้ลดลงเลย



    ในขณะที่การจับจ่ายใช้สอยของ นักท่องเที่ยวจีนทั่วโลกลดลงมากกว่าไทย ด้วยหลายสาเหตุ ทั้งจากกลุ่มนักท่องเที่ยว เดินทางด้วยตัวเองที่เข้ามาทดแทนกลุ่มกรุ๊ปทัวร์เป็นหนุ่มสาวที่เน้นการกินดื่มรับประสบการณ์มากกว่าการช็อปปิ้ง



    นอกจากนั้น นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น ๆ ก็มีประสบการณ์การเดินทางที่ทำให้ นักท่องเที่ยวเริ่มคิดคำนวณรายการจับจ่าย อย่างละเอียดมากขึ้น ในสถานการณ์ที่ เศรษฐกิจของจีนมีทั้งปัญหาชะลอตัวจากสงครามการค้าและเงินหยวนแข็งค่า



    และเพื่อเป็นการมุ่งทำตลาด นักท่องเที่ยวโดยเน้นเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย ของนักท่องเที่ยวมากกว่าการเพิ่มจำนวน ตามนโยบายรัฐบาล ทางสมาคมไทยธุรกิจ การท่องเที่ยว หรือแอตต้าก็ได้ให้ความ สำคัญกับการกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยว กลุ่มเฉพาะที่มีการใช้จ่ายมากประกอบด้วย กลุ่มท่องเที่ยวด้วยตัวเอง กลุ่มอุตสาหกรรม ไมซ์ กลุ่มครอบครัว และกลุ่มเฉพาะอื่น ๆ (niche market)



    โดยระหว่าง 26-31 พฤษภาคมนี้ ทางแอตต้าเตรียมไปโรดโชว์ใน 3 เมืองรองที่มีศักยภาพของจีน ได้แก่ เมืองเซียะเหมิน มณฑลฝูเจี้ยน เมืองหนานฉาง มณฑลเจียงซี และเมืองฉางชา มณฑลหูหนาน ซึ่งคาดว่าน่าจะช่วยกระตุ้นตลาดได้ระดับหนึ่งด้วย


    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2496.JPG
    (May 19) เครดิตบูโรวัดไข้หนี้คนรุ่นใหม่ ติดบ่วง'บัตรรูด-ผ่อน0%-กู้รถ'โตไม่หยุด :"เครดิตบูโร" ชี้ปมหนี้ครัวเรือนพุ่ง เหตุคุมคนรุ่นใหม่ไม่ได้ผล ปมธุรกิจบัตรล็อกเป้าคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน ยอมรับโปรฯ ผ่อนบัตรกดเงินสด 0% ทำคนติดกับดัก ฟาก TMB ระบุหนี้เสีย รถน่าห่วง ระบุ ธปท.ออกเกณฑ์ คุมสินเชื่อรถยนต์ทำยาก เหตุคุมค่ายรถไม่ได้



    นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นขณะนี้ น่าเป็นห่วงในหลายประเด็น ทั้งการที่หนี้มีอัตราการเติบโตเร็วกว่า GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ขณะที่หนี้เช่าซื้อรถยนต์ มีการเติบโตขึ้นถึง 11% (เฉพาะข้อมูลเครดิตบูโร) ส่วนหนี้บ้านมีการเติบโต แต่เกิดจาก การเร่งโอนก่อนมาตรการ LTV บังคับใช้ แต่ที่น่ากังวลมากคือ ปัญหาคนอายุน้อยเป็นหนี้เสียมาก ยังไม่ได้หายไป แม้ว่าช่วงปี 2560 จะมีมาตรการคุมบัตรเครดิตกับสินเชื่อส่วนบุคคล (พีโลน) ก็ตาม แต่ปัจจุบันสินเชื่อ 2 ประเภทนี้ก็กลับมาเติบโตเหมือนช่วงก่อนมีมาตรการคุมแล้ว



    "บัตรเครดิต วันนี้เขามุ่งไปหาลูกค้าที่อายุน้อย หรือผู้กู้หน้าใหม่ เพราะคนกู้เก่ามีบัตรอยู่แล้ว ซึ่งคนกู้หน้าใหม่ก็คือคนที่เริ่มมีงานทำ สมัยก่อนอาจจะต้องมีงานทำสัก 2 ปีก่อน แต่ตอนนี้ไม่ต้องรอขนาดนั้นแล้ว หรือมีงานทำแต่ไม่ใช่งานประจำก็มีบัตรแล้ว ส่วนบัตรกดเงินสดที่มักจะจัดโปรโมชั่น 0% ถือว่ามีผลต่อการสร้างหนี้ ทำให้คนตัดสินใจง่ายขึ้น แต่หากไปห้ามไม่ให้มีโปรฯนี้ คนที่เขาผ่อนได้ ก็เสียประโยชน์ อีกด้านหนึ่งก็มีคนที่ติดกับดัก ผ่อนไม่ได้ การจะไปคุมตรงนี้ก็เลยอีหลักอีเหลื่อ สิ่งที่ผมกังวลมากกว่าคือ ผู้กู้หน้าใหม่ไม่ยอมเรียนรู้ แล้วใช้ชีวิตโดยอ้างอิงชีวิตคนอื่นที่มีรายได้ สูงกว่า หรือดูมีรายได้สูงกว่า แล้วมีบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์คนเหล่านี้" นายสุรพลกล่าว



    นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่น่าเป็นห่วง คือ คนที่มีปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย แต่รู้ตัวว่ากำลังจะเป็นหนี้เสีย เช่น เป็นหนี้บัตรเครดิต 3 ใบ บัตรกดเงินสดอีก 2 ใบ แล้วผ่อนชำระขั้นต่ำมาจนจะผ่อนไม่ไหวแล้ว ซึ่งคนเหล่านี้ยังไม่มีทางออก เพราะไม่สามารถเข้าโครงการคลินิกแก้หนี้ได้ รวมถึงกลุ่มเกษตรกรอายุมากขึ้น แต่หนี้ไม่ได้ลดลง ซึ่งการจะชำระหนี้ได้ขึ้นกับราคาพืชผล การเกษตร ที่ไม่ได้ราคาดีทุกชนิดขณะเดียวกันหนี้ครัวเรือนปัจจุบัน ยังไม่นับรวมหนี้ กยศ. และยังมี หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ ที่เพิ่มขึ้นแตะ 2 ล้านล้านบาท มีการเติบโต 4% เริ่มโตช้าลง แต่ต้องดูว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดการกู้วนซ้ำไปแหล่งอื่นอีก



    "สุดท้าย ต้องคิดว่าการสร้างการเรียนรู้เรื่องวินัยการเงินอย่างได้ผลจะต้องทำอย่างไร เพราะคนส่วนใหญ่มักจะบอกว่าเข้าใจอยู่แล้ว" นายสุรพล กล่าว



    นายนริศ สถาผลเดชา ผู้บริหารศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย (TMB Analytics) กล่าวว่า หนี้ครัวเรือนที่เริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น ส่วนใหญ่เป็นในส่วนของสินเชื่อรถยนต์และสินเชื่อบ้าน โดย ณ สิ้นไตรมาสแรกปีนี้ สินเชื่อบ้านมียอดคงค้าง 2.25 ล้านล้านบาท ส่วนเช่าซื้อรถยนต์มียอดคงค้างที่ 1.1 ล้านล้านบาท ซึ่งสินเชื่อบ้านในไตรมาสแรกน่าจะโตได้ 7% ต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีก่อนที่โต 8% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการเร่งโอนก่อนมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีผลในวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา



    "สินเชื่อบ้านโตมาก แต่ต่อไปคงชะลอลงบ้าง ส่วนเช่าซื้อรถยนต์โตมาต่อเนื่องตลอดปี 2561 ไตรมาสละ 12-13% ซึ่งมาถึงไตรมาสแรกปีนี้ก็ยังโตต่อ น่าจะเกิน 10% หรือโต 2 หลักต่อเนื่องกัน 5 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาสแรกปีก่อน แต่ถ้าย้อนกลับไป 3 ปีที่แล้ว ไม่มีโตแบบนี้ แถมบางช่วงติดลบด้วย และการที่กลับมาโตเร่งขึ้นเป็นตัวเลข 2 หลัก ทาง ธปท.ก็คงจะเป็นห่วง" นายนริศกล่าว



    นายนริศกล่าวว่า หากดูคุณภาพ สินเชื่อ ก็จะพบว่า สินเชื่อบ้านมีเอ็นพีแอลกว่า 3.4% ขณะที่สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีเอ็นพีแอล 1.7% บัตรเครดิตมีเอ็นพีแอล 2.6% และพีโลนมีเอ็นพีแอล 2.8% โดยเฉพาะหากดูการผิดนัดชำระในช่วง 30-90 วัน (SM) จะพบว่า สินเชื่อบ้านมี SM ที่ 1.8% ขณะที่เช่าซื้อรถยนต์ มี SM ถึง 7.5% ส่วนบัตรเครดิตมี SM ที่ 2% และพีโลนมี SM ที่ 2.3%



    ทั้งนี้ จากกรณีที่ ธปท.ส่งสัญญาณออกมาตรการคุมสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์นั้น ก็เป็นไปได้ที่ ธปท.จะออกมาตรการมาในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งหากคุมได้ก็น่าจะช่วยลดเรื่องการออกรถโดยใช้เงินดาวน์ต่ำ หรือดาวน์ 0% ลงไปได้ แต่คำถามคือ จะคุมอย่างไร เพราะสินเชื่อรถยนต์ในระบบแบงก์มีแค่ 1.1 ล้านล้านบาท หรือสัดส่วนประมาณ 60% ของตลาด ขณะที่ในส่วนของน็อนแบงก์ และพวกลีสซิ่งที่ค่ายรถยนต์ทำเอง มีอีกกว่า 6 แสนล้านบาท หรือกว่า 20 ราย



    "ต้องดูว่าในทางปฏิบัติจะคุมอย่างไรให้ได้มาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพราะลีสซิ่งก็ไม่ได้อยู่ภายใต้กำกับของ ธปท.โดยตรง" นายนริศกล่าว



    ด้านแหล่งข่าวจากแวดวงการเงิน กล่าวว่า การแก้ปัญหาการสร้างหนี้เกินตัว นอกจากการสร้างการเรียนรู้ด้านวินัยการเงินให้แก่ครัวเรือนแล้ว อีกมุมหนึ่งผู้ให้กู้ก็ต้องให้กู้อย่างมีความรับผิดชอบด้วย ซึ่งกรณีการคุมหนี้บัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสดนั้น หากจะให้ได้ผลแบบทันที ต้องมีการกำหนดวงเงินชำระขั้นต่ำ (minimum pay) ให้สูงขึ้นเป็น 20%



    "วิธีนี้ได้ผลแน่นอน แต่จะกระทบกับพวกธุรกิจบัตรเครดิตเต็ม ๆ จึงไม่รู้ว่า ธปท. จะกล้าทำหรือไม่" แหล่งข่าวกล่าว


    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2497.JPG
    (May 19) กลเกมโหดร้ายของ “ทรัมป์” ใน “สงครามการค้า” รอบล่าสุด: เรียกได้ว่าพลิกความคาดหมายในระดับช็อกโลกสำหรับการเจรจาการค้ารอบล่าสุดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนเมื่อวันที่ 9 และ 10 พฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงใด ๆ ได้แล้ว สหรัฐยังปรับเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ จาก 10% เป็น 25% ทั้งที่บรรยากาศก่อนถึงวันเจรจาไม่ถึง 1 สัปดาห์ ล้วนแต่มีแนวโน้มดี เห็นได้จากคำยืนยันของประธานาธิบดีทรัมป์เอง ตลอดจนรัฐมนตรีคลังและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอื่น ๆ ของสหรัฐที่ดูเหมือนจะส่งสัญญาณตรงกันว่า ครั้งนี้น่าจะบรรลุข้อตกลงกันได้

    แต่เป็นสหรัฐเสียเองที่ทำลายบรรยากาศนั้น เพราะวันที่ 8 พฤษภาคมก่อนหน้ากำหนดการเจรจาเพียง 1 วัน ทรัมป์ประกาศปรับเพิ่มภาษีสินค้าจีนจาก 10% เป็น 25% โดยให้มีผลในวันที่ 10 พฤษภาคม เห็นชัดว่าทรัมป์ต้องการใช้เรื่องนี้เป็นเครื่องมือกดดันจีนล่วงหน้าให้ยอมตามเงื่อนไขที่ต้องการ


    การกระทำดังกล่าวซึ่งดูเหมือนไม่ให้เกียรติและหักหน้าจีน ส่งผลให้ในตอนแรกเกิดข่าวสับสนอลหม่านว่าทีมเจรจาของจีนนำโดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรี อาจยกเลิกการเดินทางมาวอชิงตัน อย่างไรก็ตาม ในที่สุดจีนยอมเดินทางมาตามกำหนดเดิม คือ 9-10 พฤษภาคม ก่อนที่ผลการเจรจาจะออกมาตามคาด คือ ไร้ข้อตกลง ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐช็อกหนัก


    ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 600 กว่าจุด


    ทรัมป์ออกมาขู่ดักคอจีนว่า อย่าคิดตอบโต้ แต่ไม่ได้ผล เพราะจีนเอาคืนด้วยการประกาศขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ในอัตราเท่ากัน มีผลวันที่ 1 มิถุนายน


    ผู้ช่วยศาสตราจารย์โนอาห์ สมิธ แห่งมหาวิทยาลัยสโตนี่ บรูก เขียนบทความในบลูมเบิร์ก ยอมรับว่าตนเองคาดผิดที่คิดว่าทรัมป์จะยอมถอยในการทำสงครามการค้าเพื่อแลกกับการให้จีนซื้อสินค้าเกษตร แต่กลายเป็นว่าทรัมป์เพิ่มแรงกดดันมากขึ้นด้วยการขึ้นภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์ และยังเตรียมจะเพิ่มภาษีสินค้าส่วนที่เหลืออีก 3.25 แสนล้านดอลลาร์


    สมิธชี้ว่า มีหลายเหตุผลที่ทำให้ตนเชื่อว่าทรัมป์น่าจะยอมถอย เช่น ข้อกล่าวหาต่อจีนในประเด็นขโมยทรัพย์สินทางปัญญานั้นยากที่จะพิสูจน์ นอกจากนั้น ต้นทุนในการทำสงครามการค้ามีข้อมูลจากนักเศรษฐศาสตร์หลายคนแสดงให้เห็นว่า ภาระภาษีส่วนใหญ่ตกอยู่กับ


    ผู้บริโภคอเมริกัน ดังนั้น ยากที่อเมริกาจะเป็นฝ่ายชนะในสงคราม ขณะที่ความสูญเสียมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เหตุใดทรัมป์กลับแข็งกร้าวมากขึ้น


    ความแข็งกร้าวนั้นอาจเป็นเพราะทรัมป์ต้องการอาศัยจังหวะที่เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งเล่นงานจีนและสกัดกั้นการเป็นมหาอำนาจ เพราะการที่เศรษฐกิจสหรัฐเติบโตดี อาจทำให้คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้สังเกตหรือรู้สึกถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่วนสินค้าเกษตรซึ่งจะได้รับผลกระทบหนักจากการตอบโต้ของจีน และเกษตรกรยังเป็นฐานเสียงสำคัญของทรัมป์นั้น ดูเหมือนทรัมป์


    จะคำนวณแล้วว่า การให้เงินช่วยเหลือแก่เกษตรกร 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์เพื่อบรรเทาผลกระทบ จะทำให้เขาไม่เสียคะแนนเสียงมากนักในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึง ซึ่งเหลือเวลาไม่ถึง 2 ปี


    สมิธระบุว่า การใช้สงครามการค้าเป็นเครื่องมือเล่นงานจีน อยู่บนตรรกะที่โหดร้ายพอสมควร โดยเป็นไปได้ว่าวัตถุประสงค์แท้จริงของทรัมป์ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเพิ่มความเจริญรุ่งเรือง กินดีอยู่ดีให้กับชาวอเมริกัน แต่เป็นการให้ความสำคัญต่อประเด็นภูมิรัฐศาสตร์มากที่สุด ทรัมป์ต้องการสกัดการขึ้นเป็นมหาอำนาจของจีน จึงเห็นว่าการใช้วิธีนี้จะได้ผลที่สุด แม้ว่าจะสร้างผลเสียต่อสหรัฐ แต่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้เมื่อเทียบกับจีนที่จะเสียมากกว่า


    อีกทั้งเป็นไปได้ว่าสงครามการค้าเป็นแค่เครื่องมือประชานิยมของทรัมป์ การเก็บภาษีจีนต่อไปเรื่อย ๆ เป็นหนทางง่าย ๆ เพื่อโชว์ว่าทรัมป์เข้มแข็ง และหากคำนวณแล้วว่าการทำข้อตกลงสงบศึกการค้าได้ผลประโยชน์น้อยกว่าการเก็บภาษีไปเรื่อย ๆ ก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดศึกบดขยี้ทางการค้าที่ยาวนาน


    ในระยะสั้นจีนจะได้รับผลกระทบหนักกว่าจากสงครามการค้า แต่ในระยะยาวผลกระทบหรือความเจ็บปวดนั้นจะแผ่ซ่านไปยังสหรัฐในระดับเท่าเทียมกัน จนสรุปได้ว่าสุดท้ายแล้วทุกคนตายหมดในศึกนี้


    Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์


    https://www.prachachat.net/world-news/news-328479
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    ข่าวแผ่นดินไหวและภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น โดย นร.เก่าญี่ปุ่น


    ใครจะไปแถวHakone ขอให้หลีกเลี่ยงครับ แผ่นดินไหวที่เกิดจากภูเขาไฟแถวHakone ยังคงไหวต่อเนื่องกว่า74 ครั้งเมื่อวันอาทิตย์และจนถึงตอนบ่ายสามวันจันทร์นี้นับได้อีก4 ครั้งครับ โดยศูนยํกลางอยู่ทางตะวันตกของทะเลสาบ Ashi


    ตอนนี้ได้ปิดรถกระเช้า Hakone ropeway ที่ไปหุบเขาOdakuwani แหล่งเที่ยวต้มไข่ดำยอดนิยมของนักท่องเที่ยว และถนนบางส่วนในบริเวณนั้นแล้ว พร้อมแจ้งให้เฝ้าระวังการประทุและหินภูเขาไฟร่วงใส่ https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/20190520_30/


     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Bank of Thailand Scholarship Students

    IMG_2500.JPG
    (May 15) จีนแห่เรียนมหา'ลัยไทย ปรับหลักสูตรโรดโชว์ดึงตี๋หมวย - มหา'ลัยไทยรุกตลาดแดนมังกรเดินหน้าโรดโชว์ดีลตรงดึงนักศึกษาจีน ตัดวงจรเอเยนซี่ลดค่าใช้จ่ายลง 1.5-2 แสนบาทต่อหัว ม.รังสิตปูพรม MOU มหา'ลัยทุกมณฑล เผยหลักสูตร "ภาษาไทย-บริหารธุรกิจ" มาแรง ด้าน ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ปรับหลักสูตรใหม่ตอบโจทย์ตลาดเด็กจีนโดยเฉพาะ กงสุลเชียงใหม่เปิดข้อมูลเด็กจีนมาเรียนกว่า 7,000 คน ตั้งแต่ระดับอนุบาล-อุดมศึกษา มช.ร่วมวงชูหลักสูตรดิจิทัล-เทคโนโลยีฯ

    นักศึกษาจีนแห่เรียนมหา'ลัยไทย

    แหล่งข่าวจากแวดวงธุรกิจการศึกษา เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า สถานการณ์ตลาดการศึกษาในไทยขณะนี้กำลังได้รับความนิยมจากนักศึกษาจีนอย่างมาก รองจากตลาดหลักอย่างยุโรปและสหรัฐอเมริกา ผลจากจำนวนของประชากรจีนที่มีจำนวนมาก ส่งผลให้การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีการแข่งขันสูงมาก การศึกษาต่อในต่างประเทศจึงเป็นอีกตัวเลือก โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยในประเทศไทย ประกอบกับมหาวิทยาลัยในไทยกำลังประสบปัญหาจำนวนนักศึกษาลดลงอย่างมาก

    เดิมทีนักศึกษาจีนจะใช้บริการแนะแนวการศึกษาต่อต่างประเทศจากบริษัทตัวกลาง หรือเอเยนซี่ ที่ให้บริการแนะแนวการศึกษา ตั้งแต่ยื่นเอกสารจนถึงได้เข้าเรียน ซึ่งมีค่าดำเนินการอยู่ที่ 25,000-30,000 หยวน หรือราว 150,000 บาท แต่จากสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้มหาวิทยาลัยทั้งรัฐและเอกชนเห็นโอกาสพุ่งเป้ามาที่ตลาดจีนมากขึ้น ด้วยวิธีการร่วมเป็นพาร์ตเนอร์กับมหาวิทยาลัยในจีน เพื่อแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างกัน ทั้งในรูปแบบโครงการนักศึกษาแลกเปลี่ยน นักศึกษาทุน และนักศึกษาที่สนใจมาเรียนในไทยอยู่แล้ว ซึ่งทำให้นักศึกษาลดค่าใช้จ่ายในการใช้เอเยนซี่ลง

    หลักสูตรภาษาไทยมาแรง

    สำหรับหลักสูตรที่นักศึกษาจีนให้ความสนใจ คือ หลักสูตรภาษาไทย และหลักสูตรบริหารธุรกิจ โดยให้เหตุผลว่าในอนาคตไทยและจีนจะมีความร่วมมือทางธุรกิจและความร่วมมือด้านอื่น ๆ มากขึ้น หากพูดภาษาไทยได้จะช่วยให้ธุรกิจคล่องตัวมากขึ้น

    "ในบางมณฑลของจีนที่มีการเปิดสอนวิชาภาษาไทยจะมีนักเรียนเลือกเรียนกว่า 2,000 คน ถ้ารวมมณฑลอื่น ๆ มองว่าจะมีจำนวนมหาศาลที่สนใจเรียนภาษาไทย ที่สำคัญไม่ได้มีเพียงนักศึกษาเท่านั้น ยังรวมถึงครู-อาจารย์ที่ต้องการมาเรียนในไทยโดยเฉพาะในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เพื่อไปปรับวุฒิอีกด้วย”

    แหล่งข่าวกล่าวเพิ่มเติมว่า แนวโน้มนักศึกษาจีนในไทยจะยังเพิ่มขึ้นอีกมาก และภาพที่เห็นชัดในปี 2562 นี้ คือแต่ละมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐและเอกชน เดินสายโรดโชว์และลงนามข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) กับมหาวิทยาลัยจีนในมณฑลต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อส่งนักศึกษาจีนมาเรียนที่ประเทศไทย

    หากจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่คาดว่าจะมีนักศึกษาเข้ามาเรียน อันดับ 1 ปีนี้มองว่าน่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกริก เนื่องจากปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยมีนักลงทุนจีนเข้ามาถือหุ้นแล้ว ทำให้มีการส่งนักศึกษาจีนเข้ามาโดยตรง อันดับ 2 คือ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความนิยมของนักศึกษาจีน ซึ่งที่ผ่านมามีการใช้ เอเยนซี่ส่งนักศึกษาจีนเข้ามา และอันดับ 3 มหาวิทยาลัยรังสิตซึ่งมีการบุกหนัก

    ม.รังสิตโรดโชว์ทุกมณฑล

    ดร.กัญจน์นิตา สุเชาว์อินทร์ คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน และรองผู้อำนวยการสถาบันจีน-ไทย มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ จำนวนนักศึกษาจีนใน ม.รังสิต กว่า 400 คน โดย 50% เป็นนักเรียน แลกเปลี่ยน สาขาวิชาภาษาไทยและสาขาบริหารธุรกิจ (เรียนด้วยภาษาไทย) อีก 50% เป็นนักศึกษาเรียน 4 ปี หลักสูตรนานาชาติ หลักสูตรบริหารธุรกิจ หลักสูตรการท่องเที่ยว-การโรงแรม และหลักสูตรเทคโนโลยีสารสนเทศ

    นอกจากนี้อยู่ระหว่างขยายความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนของจีนเพิ่มเติม จากเดิมที่มีความร่วมมือ แล้วเช่น มหาวิทยาลัยหลางฝ่าง ในมณฑลเหอเป่ย์ หลักสูตรชีวการแพทย์, มหาวิทยาลัยกุ้ยโจว มณฑลกุ้ยโจว ร่วมมือหลักสูตรพยาบาล, มหาวิทยาลัยกวางสี มณฑลกวางสี หลักสูตรภาษาไทย และมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และการเงินยูนนาน กับวิทยาลัย Oxbridge รวมถึงมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีคุนหมิง ซึ่งจากความร่วมมือโดยตรงระหว่างมหาวิทยาลัยทำให้เชื่อมั่นว่า ในปี 2562 จะมีนักศึกษาจีน (แรกเข้า) อีก 400-500 คน ซึ่งเตรียมความพร้อมไว้ทั้งอาคาร-สถานที่ ไปจนถึงบุคลากรอย่างอาจารย์ผู้สอน

    "ภาพรวมที่เห็นตอนนี้มีนักศึกษาไทยไปเรียนจีนกว่า 20,000 คน ขณะที่มีนักศึกษาจีนมาเรียนไทย 30,000 คน และปีหน้าจะเห็นภาพชัดขึ้นว่านักศึกษาจีนยังคงเพิ่มขึ้น เพราะทุกมหาวิทยาลัยในไทยต่างพุ่งเป้าไปที่ตลาดจีน จากอัตรา การเกิดที่น้อยลงและที่นั่งว่างในมหาวิทยาลัยของรัฐในไทยเพิ่มขึ้น”

    มธบ.ปรับหลักสูตรรับเด็กจีน

    ด้าน ดร.พัทธนันท์ เพชรเชิดชู คณบดีวิทยาลัยบริหารธุรกิจเชิงนวัตกรรมและการบัญชี มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า ปัจจุบันทางมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาจีนที่กำลังศึกษาอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 3,000 คน โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้นำเสนอหลักสูตรใหม่ในที่ประชุมสภามหาวิทยาลัย เพื่อตอบโจทย์นักศึกษาทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะนักศึกษาจีน คือ "หลักสูตรแนวใหม่ หรือจับวิชาเป็นโมดูล" สาขาบริหารธุรกิจ โดยแต่ละหลักสูตรจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มวิชาพื้นฐาน 2) กลุ่มด้านนวัตกรรม และ 3) กลุ่มดิจิทัล มีเป้าหมายให้นักศึกษาเป็น "นวัตกร" (inovater) หรือสร้าง ผู้ประกอบการแห่งอนาคต

    "จะเป็นหลักสูตรที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมที่เข้ามาเรียนหลักสูตรใดก็จะเรียนแค่หลักสูตรนั้น ๆ แต่หลักสูตรใหม่นักศึกษาเลือกวิชาเอกเอง จะผสมผสานทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน อย่างเช่น ทักษะการเป็นผู้ประกอบการ ต้องผสมผสานทั้งเรื่องการตลาด โลจิสติกส์ และการจัดการองค์กร เป็นต้น นักศึกษากลุ่มนี้จะวัดผลการเรียนด้วยการปฏิบัติ โดยมีผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านมาประเมินผล เมื่อจบไปสามารถทำงานได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาเทรนเพิ่มเติม”

    มช.ชูจุดแข็งหลักสูตรพยาบาล

    ขณะที่ รองศาสตราจารย์อุษณีย์ คำประกอบ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ปัจจุบัน มช.มีนักศึกษาต่างชาติรวม 1,058 คน ทั้งในระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษาจีน688 คน หลักสูตรที่ได้รับความนิยม คือ เศรษฐศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และวิทยาลัยศิลปะ สื่อและเทคโนโลยี นอกจากนี้ ในแต่ละปียังมีนักศึกษาจีนที่เข้ามาเรียนในคอร์สพิเศษระยะสั้นอีกราว 1,000 คน/ปี สำหรับหลักสูตรระดับปริญญาโทที่นักศึกษาจีนสนใจมาก คือ หลักสูตรพยาบาล นอกจากนี้ยังได้เริ่มโปรโมตหลักสูตร Digital Innovation and Financial Technology ในจีนด้วย

    มหา'ลัยจับมือเอเยนซี่ป้อนเด็ก

    ดร.นิศาชล ไทยทอง กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท โซบอน เอ็ดดูเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด และในฐานะอาจารย์ประจำวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยกวางสี กล่าวว่า แต่ละปีจะมีนักเรียนที่พลาดจากการเข้าสอบมหาวิทยาลัยในจีนเป็นจำนวนมาก การเข้ามหาวิทยาลัยในไทยจึงเป็นทางเลือก ซึ่งในช่วงแรกนักศึกษาจะใช้บริการจากเอเยนซี่ต่าง ๆ แต่ปัจจุบันการเลือกใช้เอเยนซี่น้อยลง เพราะมหาวิทยาลัยไทยเข้าไปติดต่อประสานกับทางจีนโดยตรง ซึ่งก็ทำให้ โซบอน เอ็ดดูเคชั่น ต้องปรับจากการเป็น คนกลางมาเสนอจัดซัมเมอร์แคมป์ รวมถึง จัดศึกษาดูงานสถาบันการศึกษาแทน

    "ส่วนใหญ่แต่ละมหา'ลัยจะมีเอเยนซี่อยู่ที่จีนอยู่แล้ว เราเป็นเพียงบริษัทเล็ก ๆ ที่ทำธุรกิจเป็นตัวกลางความร่วมมือเรียกได้ว่ามหาวิทยาลัยเอกชนทุกแห่งในไทยต่างก็มีเอเยนซี่หลักของตัวเอง”

    ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจข้อมูลจากเว็บไซต์แนะแนวการศึกษาพบว่า เอเยนซี่จีน "Taiguo.m.liuxue86.com" มีการโปรโมตมหาวิทยาลัยในไทย จำนวนมาก เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เชียงใหม่, อัสสัมชัญ, สงขลานครินทร์, ธรรมศาสตร์, มหิดล, ศรีนครินทรวิโรฒ, แม่โจ้, เกษตรศาสตร์, บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, นเรศวร, มหาสารคาม, ทักษิณ, ม.กรุงเทพ เป็นต้น

    จีนบุกเรียนเชียงใหม่ 7,000 คน

    นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดิร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเชียงใหม่ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แนวโน้มคนจีนเดินทางมาเรียนหนังสือในจังหวัดเชียงใหม่มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลจากสถานกงสุลเชียงใหม่ระบุว่า ปัจจุบันเด็กจีนที่มาเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงระดับอุดมศึกษา มีประมาณ 7,000 คน เพราะด้วยศักยภาพของจังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และศูนย์กลางการศึกษาในภูมิภาค ทำให้คนจีนนิยมเดินทางเข้ามาเรียนกันมากขึ้น

    ตลาดด้านการศึกษาของกลุ่มคนจีนในจังหวัดเชียงใหม่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอดีตที่ผ่านมาจะมีพ่อแม่เข้ามาลงทุนซื้อคอนโดฯหรือบ้านให้ลูกหลานที่มาเรียนใช้เป็นที่พัก แต่ปัจจุบันพบว่าส่วนใหญ่เลือกที่จะเช่าอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมอยู่เพื่อความสะดวกมากกว่าการซื้อที่อยู่อาศัย

    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    พบผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 15 ราย เหนือ-อีสาน เยอะสุด‼️

    ...เตือนประชาชนบริโภคแหนมหมู หมูดิบ เลือดหมูดิบ เสี่ยงโรคไข้หูดับ อันตรายถึงชีวิต พบผู้ป่วยมากสุดในกลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป สั่งสาธารณสุขจังหวัดเร่งลงพื้นที่สอบสวนโรค

    ------

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Kike Santillana


    มีรายงานเสียงแปลก ๆ บนท้องฟ้า เมื่อเกิดพายุทรายในซาอุดิอาระเบีย

    19/05/2019


     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Kike Santillana

    IMG_2501.JPG
    อีกวันหนึ่งของสภาพอากาศที่รุนแรงสำหรับสหรัฐอเมริกา




    คาดว่าจะมีพายุรุนแรงในวันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม 2562 สำหรับโอคลาโฮมาและแคนซัส ด้วยพายุทอร์นาโดที่อาจเกิดขึ้น


     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Kike Santillana

    คาดว่าจะเป็นวันที่ยากลำบากสำหรับสหรัฐอเมริกาที่จะมีการระบาดของพายุทอร์นาโดขนาดใหญ่และสภาพอากาศเลวร้ายสุด ๆ จะส่งผลกระทบต่อ # Oklahoma #เท็กซัสทางตอนเหนือ # Kansas

    มาอธิษฐานเผื่อผู้คนในพื้นที่นี้กันเถอะ

    ผู้เชี่ยวชาญกลัวว่าจะเป็นวันที่เลวร้าย

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    221,989
    ค่าพลัง:
    +97,149
    Clima Extremo 24

    สหรัฐอเมริกา
    เมื่อสายฟ้าฟาดต้นไม้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและชนกับยานพาหนะในEugene, Oregon, บ่ายวานนี้เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม

     

แชร์หน้านี้

Loading...