Severe Weather Europe
* โลก * การปะทุครั้งใหม่ที่น่าตื่นเต้นของภูเขาไฟ Popocatepetl ประเทศเม็กซิโก เมื่อวานนี้เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน รายงาน: Apocalipsis Mundial
ติดตามสถานะการณ์
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.
หน้า 2801 ของ 11172
-
-
Severe Weather Europe
การแสดงเมฆ noctilucent ที่สวยงามเมื่อเช้าวานนี้วันที่ 14 มิถุนายนที่เมืองแฟรงเกน, บาเยิร์น, ประเทศเยอรมนี รูปถ่าย: Olaf Timm / Urlaub im Fichtelgebirge - ขอบคุณสำหรับการรายงาน!
Beautiful noctilucent cloud display yesterday morning, June 14th, over Franken, Bayern, Germany. Photo: Olaf Timm / Urlaub im Fichtelgebirge - thank you for the report!
-
"หญิงศรีลังกา" ร้องเรียนหมอมุสลิมทำหมันคนไข้ชาวพุทธ
12:23 | 7 มิถุนายน 2562 | 2,220
หญิงชาวศรีลังการวมตัวร้องเรียนสูตินรีแพทย์ชาวมุสลิม ซึ่งถูกกล่าวหาว่าลักลอบทำหมันให้คนไข้ชาวพุทธหลังผ่าตัดทำคลอด เพื่อหวังลดจำนวนประชากร
วันนี้ (7 มิ.ย.2562) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า หญิงสาวจากกลุ่มชาติพันธุ์สิงหล ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ รวมตัวกันที่โรงพยาบาลในเมืองคุรุเนกาลา ทางตะวันตกเฉียงเหนือของศรีลังกา เพื่อร้องเรียนการกระทำของ นพ.ชาฟี สูตินรีแพทย์ที่โรงพยาบาลดังกล่าว โดยทางโรงพยาบาลเปิดเผยว่า มีผู้หญิงมายื่นเรื่องร้องเรียนแล้วมากกว่า 600 คน หลังจากเมื่อเดือนที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นศรีลังกา ตีพิมพ์บทความกล่าวหาแพทย์ชาวมุสลิมคนหนึ่งที่ไม่เอ่ยนามว่าลักลอบทำหมันให้หญิงชาวพุทธหลังจากผ่าคลอดมากถึง 4,000 คน
โดยบทความดังกล่าวเผยแพร่ประมาณ 1 สัปดาห์ หลังจากที่กลุ่มชาวพุทธในศรีลังกา ก่อเหตุบุกทำลายบ้านเรือน ร้านค้า และมัสยิดของชาวมุสลิม เนื่องจากไม่พอใจเหตุการณ์ที่กลุ่มมุสลิมสุดโต่งโจมตีโบสถ์และโรงแรมในหลายเมือง เมื่อช่วงวันอีสเตอร์ ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 250 คน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่า แพทย์คนดังกล่าวเป็นสมาชิกของกลุ่มเนชัลแนล ธาวฮีด จามาอัด หรือ NTJ ที่อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดโจมตีอีกด้วย ซึ่งตำรวจได้จับกุมตัว นพ.ชาฟี ฐานครอบครองอสังหาริมทรัพย์โดยมีแหล่งที่มาด้านการเงินอันไม่ชอบมาพากล พร้อมทั้งกำลังสอบสวนข้อกล่าวหาลักลอบทำหมันดังกล่าว
http://news.thaipbs.or.th/content/280693 -
ศรัทธาวอนช่วย! หลวงปู่ 94 พรรษา วัดเมืองก๊ะ อ.แม่ริม อาพาธนอนติดเตียงนานกว่า 5 ปี สั่งลูกศิษย์ห้ามรับเงินบริจาค รบกวนญาติโยมตั้งจิตละสังขารอายุไขที่วัด
อ่านต่อ...
-
อิหร่าน ปฏิเสธ "อย่างหนักแน่น" หลังถูกสหรัฐฯ กล่าวหาว่า อยู่เบื้องหลังการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำในอ่าวโอมานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
-
แฉกลโกงแท็กซี่ แอบสลับสายไฟต่อเข้าสวิตช์ใต้คันเร่ง ใช้จังหวะผู้โดยสารเผลอเหยียบสวิตช์ ทำมิเตอร์พุ่งกระฉูด แม้รถไม่ได้วิ่ง
-
พาณิชย์ประกาศ ให้ “รถยนต์ใช้แล้ว” เป็นสินค้าต้องห้าม ห้ามนำเข้าในราชอาณาจักร หากฝ่าฝืนให้ทำลายได้
-
John Traczyk
คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลอายุ 2,000 ปี สำเร็จแล้วในวันที่ 23 กันยายน 2017 วันนี้ 15 มิถุนายน 2019 มีระยะเวลา 90 สัปดาห์หรือ 630 วันนับตั้งแต่ปรากฏตัว มันถูกเรียกว่าสัญลักษณ์แห่งการเปิดเผย 12 - สิ่งมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ในสวรรค์
จากหนังสือวิวรณ์คำพยากรณ์อ่านดังนี้:
"และมีความประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นในสวรรค์ผู้หญิงคนหนึ่งสวมชุดกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ภายใต้เท้าของเธอและบนมงกุฎของเธอสิบสองดาว: และเธออยู่กับเด็กร้องไห้ travailing เกิดและเจ็บปวดที่จะถูกส่ง ." วิวรณ์ 12: 1-2
•ผู้หญิงที่สวมใส่ดวงอาทิตย์เป็นกลุ่มดาวราศีกันย์
•ดวงจันทร์อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ
•บนศีรษะของเธอเป็นมงกุฎสิบสองดาวซึ่งประกอบด้วยการจัดตำแหน่งของดาวเคราะห์พุธ ดาวอังคาร และดาวศุกร์ และดาว 9 ดวงของกลุ่มดาวสิงห์
•เด็กที่เธอท้องด้วยคือดาวพฤหัสบดีที่เข้ามาในท้องของเธอหยุดการเคลื่อนที่ไปข้างหน้าหันหลังแล้วหันหลังอีกครั้งแล้วออกจากห้องพักอยู่ภายในเธอเป็นเวลา 9 เดือน
ทำไมมันช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่งใหญ่
มันเป็นสัญญาณว่าคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ต่อไปกำลังจะเกิดขึ้น: 1 เธสะโลนิกา 4: 16-17 และวิวรณ์ 12: 3-5 เหตุการณ์ที่ตามมาในวิวรณ์ 12: 1-2
เหตุการณ์เดียวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
วิวรณ์ 12: 3-5
" 3และหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็ปรากฏในสวรรค์ นี่แน่ะ มีพญานาคสีแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา และบนหัวทั้งเจ็ดมีมงกุฎเจ็ดอัน 4และหางของพญานาคตวัดดวงดาวหนึ่งส่วนสามในท้องฟ้า แล้วทิ้งลงมาบนแผ่นดินโลก และพญานาคตัวนั้นก็ยืนอยู่ข้างหน้าหญิงที่กำลังจะคลอดบุตร เพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่บุตรนั้นคลอดออกมา 5แล้วนางก็คลอดบุตรชาย ผู้ที่จะครอบครองประชาชาติทั้งหมดด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกนำตัวไปเฝ้าพระเจ้ายังพระที่นั่งของพระองค์ "
1 เธสะโลนิกา 4: 16-17
"การเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า
16คือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน
17หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ "
มันเป็นสัญญาณของการกลับมาของพระเยซูคริสต์ความปีติและคติ
มันเป็นสัญญาณว่าส่วนที่เหลือของหนังสือวิวรณ์กำลังจะเกิดขึ้นจริงและคำทำนายของพระเยซู โจเอล อิสยาห์ เอเสเคียล แดเนียล และคนอื่น ๆ อีกมากมายกำลังจะเกิดขึ้น
มันเป็นสัญญาณว่าเรื่องราวความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าบทนี้กำลังจะสิ้นสุดลง
มันเป็นสัญญาณที่พระเจ้าทรงรอคอยเป็นเวลานับพันปีเพราะเขากำลังจะรวมตัวกับคู่ของเขา - เอวา
นี่คือวิดีโอฉบับย่อของ Revelation 12 ลงชื่อเข้าใช้รายละเอียดเพิ่มเติม
"The วิวรณ์ 12 ลงชื่อเข้าใช้ใน 5 นาที! 23 กันยายน 2017 อธิบายการจัดตำแหน่งสิ่งที่คุณต้องรู้" ลิงก์ :
A 2000 year old Bible prophecy was fulfilled on September 23, 2017. Today, June 15, 2019, marks 90 weeks or 630 days since it appeared. It is referred to as The Revelation 12 Sign - The Great Wonder in Heaven.
From the Book of Revelation the prophecy reads as follows:
"And there appeared a great wonder in heaven; a woman clothed with the sun, and the moon under her feet, and upon her head a crown of twelve stars: And she being with child cried, travailing in birth, and pained to be delivered." Revelation 12:1-2
• The woman clothed with the sun was the constellation Virgo.
• The moon was under her feet.
• Upon her head was a crown of twelve stars which comprised of an alignment of the planets Mercury, Mars and Venus, and the 9 stars of the constellation Leo.
• The child she was pregnant with was the planet Jupiter which entered her belly, stopped its forward motion, turned and went backwards, and then turned again and exited, staying within her for 9 months.
Why is it such a great wonder?
It's the sign that further Bible prophecy is just about to be fulfilled: 1 Thessalonians 4:16-17 and.Revelation 12:3-5. The event which follows Revelation 12:1-2.
The single greatest event in the history of the world.
Revelation 12:3-5
"And there appeared another wonder in heaven; and behold a great red dragon, having seven heads and ten horns, and seven crowns upon his heads. And his tail drew the third part of the stars of heaven, and did cast them to the earth: and the dragon stood before the woman which was ready to be delivered, for to devour her child as soon as it was born. And she brought forth a man child, who was to rule all nations with a rod of iron: and her child was "caught up" unto God, and to his throne."
1 Thessalonians 4:16-17
"For the Lord himself shall descend from heaven with a shout, with the voice of the archangel, and with the trump of God: and the dead in Christ shall rise first: Then we which are alive and remain shall be "caught up" together with them in the clouds, to meet the Lord in the air: and so shall we ever be with the Lord."
It's the sign of the return of Jesus Christ, the Rapture and the Apocalypse.
It's the sign that the rest of the Book of Revelation is about to be fulfilled and the prophecies of Jesus, Joel, Isaiah, Ezekiel, Daniel and many others are about to come to pass.
It's the sign that this chapter of God's epic love story is about to come to an end.
It's the sign the Lord has waited thousands of years for — that he about to be united with his counterpart — his Eve.
Here is a quick video of the Revelation 12 Sign in further detail.
"The Revelation 12 Sign in 5 Minutes! September 23, 2017 Alignment Explained. What you need to know."
Link:
-
วิกฤตโลกร้อน! วันเดียวน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลาย "2 พันล้านตัน"
19:15 | 15 มิถุนายน 2562 |
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายวันเดียวถึง 2 พันล้านตัน นักวิจัยไทย ชี้ มีโอกาสเป็นไปได้ เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือสูงขึ้น
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา กว่าร้อยละ 40 ของประเทศกรีนแลนด์ได้ประสบกับภาวะการละลายของน้ำแข็ง โดยพบแผ่นน้ำแข็งละลายโดยเฉลี่ยมากกว่า 2 กิกะตัน หรือ 2 พันล้านตัน (หนึ่งกิกะตันเท่ากับ 1 พันล้านตัน)
สำหรับกรีนแลนด์นั้นเป็นเกาะใหญ่ทางขั้วโลกเหนือที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งปกคลุมมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติอย่างมาก ที่น้ำแข็งจำนวนมากละลายในช่วงกลางเดือนมิ.ย.ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วการละลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะอยู่ที่เดือน มิ.ย.-ส.ค.โดยน้ำแข็งจะละลายมากที่สุดในเดือน ก.ค.
Greenland@greenlandicesmb
ขณะที่ ทวิตเตอร์ Greenland ซึ่งเป็นทวิตเตอร์รายงานสถานการณ์ละลายของน้ำแข็งในกรีนแลนด์ใกล้เคียงเวลาเรียลไทม์ ได้ทวีตข้อความระบุว่า เมื่อวาน (วันที่ 13 มิ.ย.) ได้ลองคำนวณแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ที่หายไป พบว่า มีมากกว่า 2 Gt (2 km³) หรือ 2 พันล้านตัน ที่ละลายเป็นวงกว้าง นับเป็นภาวะการละลายของน้ำแข็งในปริมาณสูงผิดปกติในช่วงต้นฤดูกาลละลาย และไม่เคยปรากฏมาก่อน
วิกฤตโลกร้อน ต้นเหตุน้ำแข็งละลาย
ล่าสุด วันนี้ (15 มิ.ย.2562) ไทยพีบีเอสออนไลน์ สอบถามข้อมูลไปยัง รศ.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ประจำกลุ่มวิจัยชีววิทยาแนวปะการัง ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในนักวิจัยไทยผู้เชี่ยวชาญด้านผลกระทบภาวะโลกร้อน โดยรศ.สุชนา ระบุว่า การละลายของแผ่นน้ำแข็ง 2 พันล้านตันในวันเดียว มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เนื่องจากการลงพื้นที่สำรวจของนักวิจัยไทยพบว่า บริเวณขั้วโลกเหนือมีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นถึง 5 องศาเซลเซียส
(อ่านเพิ่มเติม : นักวิจัยไทย พบน้ำทะเล "ขั้วโลกเหนือ" อุ่นขึ้น 5 องศาฯ)
สำหรับสาเหตุที่ทำให้แผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายนั้น เกิดจากภาวะโลกร้อน ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกันกับอุณหภูมิขั้วโลกเหนือสูงขึ้น ทำให้ในช่วงซัมเมอร์ของขั้วโลกเหนือ เดือน มิ.ย.-ส.ค. มีอุณหภูมิสูงกว่าปกติ แผ่นน้ำแข็งจึงละลายมากกว่าปกติ แต่ก็อาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้น้ำแข็งละลายได้ถึง 2 พันล้านตัน อย่างการละลายของน้ำแข็งสร้างรอยร้าวบนแผ่นน้ำแข็งเป็นวงกว้างทำให้เมื่อแผ่นน้ำแข็งหลุดออก ปริมาณการละลายก็เพิ่มขึ้นได้
“ปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นผลโดยตรงจากสภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือภาวะโลกร้อน ทำให้วันนี้เราต้องคิดที่จะทำอะไรสักอย่าง เพราะสิ่งที่เราทำทุกวันนี้ คือ การเร่งปัญหาที่น่าจะเกิดขึ้นในอีก 100 ปี ข้างหน้าให้ใกล้เข้ามา”
ทั้งนี้ แม้การละลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์จะอยู่ไกลถึงขั้วโลกเหนือ แต่ รศ.สุชนา ระบุว่า ประเทศไทยก็อาจได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เนื่องจากแต่ละปีที่ผ่านมา น้ำทะเลเริ่มสูงขึ้นเฉลี่ย ปีละ 2-3 มิลลิเมตร โดยมหาสมุทรทั่วโลกนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน จึงทำให้ประเทศไทยเองก็มีน้ำทะเลสูง ส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่งและน้ำท่วมได้
https://l.facebook.com/l.php?u=https://news.thaipbs.or.th/content/280902&h=AT2R7HdV98pxjkJtXmZa2Kt7jPvgUGMlW82WB3PyfsdzAK5kWRaTQsZgDTeo_VZI3-dc6WJV5BpormkOFGtbvXIBFuUKDK6_3jJbtnz3SzrFDVFisMI-yJSc6K-hom7EdbVRVdyHsg -
ข่าวเก่าตอนนี้อุณหภูมิขั้วโลกเหนือ น่าจะเพิ่มขึ้นกว่า ปี 2561 มาก ปี 2562 มีคลื่นความร้อนที่อาร์กติก และ polar vortex ผิดปกติมากมาย น่าใกล้จบแล้ว
นักวิจัยไทย พบน้ำทะเล "ขั้วโลกเหนือ" อุ่นขึ้น 5 องศาฯ
14:14 | 8 สิงหาคม 2561 |
นักวิจัยไทย จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอพวช.ร่วมวิจัยผลกระทบภาวะโลกร้อนที่ขั้วโลกเหนือ พบอุณหภูมิที่ขั้วโลกโดยเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าอุณหภูมิปกติ มากกว่า 5 องศาฯ ทำให้พฤติกรรมการกินอาหารของสิ่งมีชีวิตต่างๆที่ขั้วโลกเปลี่ยน
วันนี้ (8 ส.ค.2561) เพจเฟชบุ๊กคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เผยแพร่ความคืบหน้ากรณี รศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ และ รศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมด้วยผู้ร่วมวิจัยจากประเทศไทยรวม 13 ชีวิต ได้เดินทางด้วยเรือปฏิบัติการถึงบริเวณชายฝั่งหมู่เกาะสวาลบาร์ด มหาสมุทรอาร์กติก และดำน้ำเพื่อสำรวจความเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมใต้ทะเล เพื่อศึกษาวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อน และขยะพลาสติกขนาดเล็กที่มีต่อสัตว์ทะเลหน้าดินที่ขั้วโลกเหนือ ซึ่งเป็นการวิจัยใต้ทะเลอาร์กติก ภายใต้ความร่วมมือของมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ในการสำรวจและสังเกตการณ์ของช่วงฤดูร้อนพื้นที่ขั้วโลกเหนือ ขณะนี้พบว่าไม่เห็นน้ำแข็งในทะเล ภูเขาน้ำแข็ง และแผ่นน้ำแข็งมากนัก เทียบกับฤดูร้อนของขั้วโลกใต้ ยังเห็นแผ่นน้ำแข็ง ภูเขาน้ำแข็งอยู่จำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิที่ขั้วโลกเหนือสูงขึ้น ทำให้น้ำแข็งละลาย ขณะเดียวกันยังพบหมีขั้วโลกหันมากินพืชเป็นอาหาร อีกทั้งยังมีปริมาณสาหร่ายและแมงกะพรุนในทะเลเพิ่มขึ้น และพบกวางเรนเดียร์กินสาหร่ายเป็นอาหารมากขึ้น
ภาพ:จุฬาฯ-อพวช.
เชื่อโลกร้อน กระทบพฤติกรรมกินอาหาร "หมีขาว"
รศ.ดร.วรณพ ในฐานะหัวหน้าคณะนักสำรวจ เผยว่าหลังจากเดินทางมาถึงพื้นที่ได้เริ่มดำเนินการวิจัยตามแผนงาน แต่หลายครั้งไม่สามารถปฏิบัติงานได้เนื่องจากคลื่นแรง หรือน้ำขุ่นมากอันตรายต่อการการดำน้ำและเก็บตัวอย่างใต้ทะเล หรือแม้กระทั่งหมีขาวที่กำลังว่ายน้ำอยู่ ก็เป็นอุปสรรคหนึ่งในการทำงานเช่นกัน
“จากการสำรวจบนบกพบสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง และมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เลี่ยนแปลงที่ขั้วโลกเหนือคือ คณะของเราพบเห็นแม่หมีขาว กับลูกกำลังกินพวกมอสและพืชเป็นอาหาร ปกติหมีขาวเป็นสัตว์ผู้ล่าที่กินเนื้อสัตว์พวกแมวน้ำเป็นอาหาร ”
ประกอบกับจากการผ่ากระเพาะซากหมีขาวของนักวิจัยในพื้นที่ พบปริมาณของพืชมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงให้เห็นว่าปัจจุบันหมีขาวไม่สามารถล่ากินอาหารสัตว์ทะเลอื่นได้อย่างเพียงพอ ทำให้ต้องหันมากินพวกพืชบนบกแทน โดยการกินพวกพืชเป็นอาหารมากๆจะทำให้หมีขาวมีสภาพร่างกายอ่อนแอ และไม่แข็งแรง
นอกจากนี้การดำน้ำสำรวจในพื้นที่ขั้วโลกเหนือยังพบว่ามีปริมาณสาหร่ายจำนวนมาก อาจจะมาจากการที่น้ำทะเลมีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลให้น้ำทะเลบริเวณนี้อุ่นขึ้น ทำให้สาหร่ายเจริญเติบโตได้ดี ขณะเดียวกันยังพบแมงกะพรุน และหวีวุ้น(สัตว์จำพวกแมงกะพรุน) อยู่ในน้ำทะเลมาก แสดงว่าอุณหภูมิน้ำทะเลที่ขั้วโลกเหนือสูงขึ้น
ภาพ:จุฬาฯ-อพวช.
ด้านรศ.ดร.สุชนา ระบุจากการพูดคุยกับนักวิทยาศาสตร์ของประเทศนอร์เวย์ พบว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ในช่วงฤดูหนาว หิมะตกน้อยลง น้ำแข็งไม่หนาพอ จึงทำให้ไม่สามารถใช้รถขับบนหิมะหรือ Snow mobile ได้ และมีความเสี่ยงสูงต่อการที่มีหิมะถล่มในพื้นที่ต่างๆ และเกิดน้ำท่วม แสดงให้เห็นว่าที่ขั้วโลกเหนือ ณ ปัจจุบันอุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปกติมากเนื่องจากภาวะโลกร้อน ทำให้น้ำแข็งหรือหิมะมีน้อยมากโดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน น้ำแข็งละลายไปเยอะมากกว่าปกติ
“อุณหภูมิที่ขั้วโลกโดยเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าอุณหภูมิปกติ มากกว่า 5 องศาเซลเซียส ทำให้พฤติกรรมการกินอาหารของสิ่งมีชีวิตต่างๆที่ขั้วโลกเปลี่ยน สัตว์เหล่านั้นไม่สามารถที่จะหาอาหารได้เพียงพอ ทั้งนี้การดำน้ำที่ขั้วโลกเหนือในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่ต้องเผชิญกับน้ำทะเลที่เย็นจัด อุณหภูมิเกือบศูนย์องศา ”
เปิดใจภารกิจสุดตื่นเต้น-อันตราย
ในการดำน้ำต้องระวังหมีขาวและช้างน้ำ (walrus) ขั้วโลกด้วย เพราะอาจจะเกิดอันตรายถ้านักดำน้ำไปดำใกล้สัตว์เหล่านั้น ที่สำคัญมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ทางทีมดำน้ำได้ลงไปในบริเวณใกล้ธารน้ำแข็ง และเป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำแข็งละลายสูงมาก ทำให้น้ำบริเวณดังกล่าวขุ่นมาก จากน้ำจืดของน้ำแข็งที่ไหลลงทะเล
ชมชีวิตหมีขาวขั้วโลกเพิ่มเติม
เมื่อทีมดำน้ำลึกลงไปประมาณ 2-3 เมตร ตามปกติน้ำที่ระดับน้ำลึกลงไปน้ำทะเลต้องใสมากขึ้น แต่พื้นที่นั้นกลับขุ่นมากกว่าปกติ เมื่อทีมงานดำลงไปที่ความลึกระดับ 10 เมตร ซึ่งเป็นระดับที่มีน้ำขุ่นมากและมีทัศนะวิสัยการมองเห็นใต้น้ำเพียง 0 เมตร อันตรายมาก จนตนแอบคิดถอดใจที่จะได้กลับขึ้นสู่ผิวน้ำ เพราะมีความเป็นไปได้ว่าหากเรามองไม่เห็นแล้วดำน้ำต่อไปอาจจะพลาดตกไปในส่วนลาดชันใต้ทะเลที่มีระดับความลึก 40 เมตรได้ แต่สุดท้าย ทุกคนก็สามารถที่จะขึ้นมาจากน้ำได้อย่างปลอดภัย
ภาพ:จุฬาฯ-อพวช.
การเดินทางสำรวจวิจัยครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการศึกษาผลของภาวะโลกร้อนและขยะพลาสติกขนาดเล็กที่มีต่อสัตว์ทะเลหน้าดินที่มหาสมุทรอาร์กติกแล้ว ยังเป็นความร่วมมือในการทำวิจัยที่อาร์กติกระหว่างประเทศไทย จีน และราชอาณาจักรนอร์เวย์ รวมถึงสร้างความตระหนัก จิตสำนึก และความตื่นตัว ในผลของภาวะโลกร้อนและขยะทะเลที่มีต่อมหาสมุทรอาร์กติกและโลก ให้กับประชาชนและเยาวชนไทย
โดยจะดำเนินการสำรวจวิจัยเสร็จสิ้นในวันที่ 12 ส.ค.นี้ ทั้งนี้หลังจากคณะวิจัยกลับถึงประเทศไทยจะมีการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ที่ได้จากการปฏิบัติงานสู่เยาวชนและประชาชนที่สนใจอีกครั้ง
https://news.thaipbs.or.th/content/273845 -
Setiawan
ประชาชนกว่า 1.8 ล้านคนได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคตะวันออก ของมณฑลเจียงซี ประเทศจีน 10 มิถุนายน2019
ภาพทางอากาศนี้แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเมือง Ji'an
More than 1.8 million people have been affected by torrential rain-triggered floods in east China's Jiangxi Province. 10June2019
This aerial footage shows what's happening in Ji'an City.
-
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jun 15) 'ไออีเอ'หั่นคาดการณ์การใช้น้ำมันโลก : "ไออีเอ" หั่นคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปีนี้เหลือเพียง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เหตุปริมาณการค้าโลก ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 10 ปี
สำนักงานพลังงานสากล (ไออีเอ) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงอาจหมายถึงอุปสงค์น้ำมันปี 2562 จะชะลอตัวลงด้วย แม้ว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจะยังคงรักษาอุปทานให้มีมากพอ โดยไออีเอได้ปรับลดคาดการณ์ความต้องการน้ำมันโลกลงเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน จากระดับ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนที่แล้ว เหลือเพียง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน เนื่องจากการขยายตัวที่อ่อนแอที่สุดในรอบ 10 ปีของการค้าทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (อีไอเอ) ได้เปิดเผยตัวเลขอุปสงค์น้ำมันที่ปรับตัวลดลง ก่อนที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) จะออกรายงานภาวะตลาดน้ำมันประจำเดือน มิ.ย. ที่ชี้ให้เห็นว่าโอเปกลดการผลิตน้ำมันในเดือน พ.ค.ลง โดยอีไอเอปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบและกำลังผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐในปี 2562 อีกทั้งรายงานแนวโน้มทางพลังงานระยะสั้นที่เผยแพร่ในวันอังคาร อีไอเอประเมินว่ากำลังผลิตน้ำมันดิบภายในประเทศปีนี้จะอยู่ที่ 12.32 ล้านบาร์เรล ต่อวัน ลดลง 1% จากการคาดการณ์เมื่อเดือน พ.ค.
นอกจากนี้ อีไอเอยังปรับลดคาดการณ์กำลังผลิตปี 2563 ลง 0.9% เหลือ 13.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐแห่งนี้ยังปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส สำหรับปี 2562 ลง 5.6% เหลือ 59.29 ดอลลาร์ ส่วน ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ปรับลด 4.2% เหลือ 66.69 ดอลลาร์ แต่ของปี 2563 ยังคาดการณ์ตัวเลขเดิม
ขณะที่นายเรนเนอร์ ไมเคิล เพรส ผู้อำนวยการบริหารของบริษัททอรัส เวลท์ แอดไวเซอร์ กล่าวว่า ราคาน้ำมันโลกจะดิ่งลงแตะระดับ 45 ดอลลาร์ หากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเลวร้ายลง พร้อมทั้งระบุว่าอุปสงค์น้ำมันมีความเสี่ยง ที่จะทรุดตัวลง หากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบ ให้เศรษฐกิจโลกอ่อนแอมากขึ้น
Source: กรุงเทพธุรกิจ
US revises down oil price forecasts for 2019:
https://www.aa.com.tr/en/economy/us-revises-down-oil-price-forecasts-for-2019/1502991 -
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jun 14) ทรัมป์ลดการคาดการณ์ในการพบประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน: ประธานาธิบดี Trump ได้ให้สัมภาษณ์กับ Fox News ว่า ไม่สำคัญว่าประธานาธิบดี Xi จะยอมพบกับตนเพื่อเจรจาข้อตกลงทางการค้ากันใหม่หรือไม่ เพราะตอนนี้จีนถูกเก็บภาษีนำเข้ากว่าพันล้านดอลลาร์ สรอ. อยู่แล้ว โดยที่เชื่อว่าท้ายที่สุด ทางการจีนจะหันมาเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เอง เนื่องจากทนแบกรับภาระภาษีที่ต้องจ่ายจากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าไม่ไหว โดยที่ตนไม่ได้กำหนดเส้นตายในการเจรจาแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ประธานาธิบดี Trump ยังแย้งว่า ความเข้าใจที่ว่าผู้บริโภคสหรัฐฯ เป็นผู้แบกรับภาระภาษีนำเข้าที่ปรับขึ้นเมื่อเดือนที่ผ่านมานั้น เป็นความเข้าใจที่ผิด แท้ที่จริงแล้วทางการจีนซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินอุดหนุนอุตสาหกรรมจีนต่างหากที่เป็นผู้รับภาระส่วนนี้ โดยยังโจมตีว่าทางการจีนยังใช้มาตรการแทรกแซงค่าเงินหยวนเพื่อประโยชน์ทางการค้าอีกด้วย
อนึ่ง วันนี้ทาง WTO ได้ประกาศว่า สหรัฐฯ ได้ยื่นขอเลื่อนการพิจารณาข้อพิพาทกับจีนว่าด้วยการละเมิด Agreement on Trade-Related Aspects of Intellectual Property Rights (TRIPs) ออกไปเป็นระยะเวลา 6 เดือน หรือกระทั่งวันที่ 31 ธ.ค. แต่ทาง USTR ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นกับเรื่องดังกล่าว
Source: BOTSS
- Trump downplays possible G-20 meeting with Chinese President Xi: ‘It doesn’t matter’ if he shows up: https://www.cnbc.com/2019/06/14/trump-it-doesnt-matter-if-chinese-president-xi-shows-up-to-g-20.html -
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jun 14) ทรัมป์ลั่นจะไม่มีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ หลังเกิดเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันวานนี้: ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ในวันนี้ว่า จะไม่มีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของโลก หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 2 ลำเมื่อวานนี้ ซึ่งปธน.ทรัมป์ระบุว่า อิหร่านอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
ต่อข้อถามที่ว่า เขาจะจัดการต่ออิหร่านอย่างไร และสหรัฐจะมีมาตรการป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ในอนาคตอย่างไร ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า "เราจะได้เห็นกัน"
ทางด้านผู้บัญชาการกองทัพเรือของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามของอิหร่าน กล่าวในเดือนเม.ย.ว่า อิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ หากมีการขัดขวางอิหร่านมิให้เดินเรือในบริเวณดังกล่าว
"ตามกฎหมายระหว่างประเทศ ช่องแคบฮอร์มุซเป็นช่องทางเดินเรือ ซึ่งถ้าหากเราถูกห้ามไม่ให้ใช้ เราก็จะปิดช่องแคบ โดยเราไม่มีความสงสัยแม้แต่น้อย ในการปกป้องน่านน้ำของอิหร่าน" เขากล่าว
Source -อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ
https://www.foxbusiness.com/energy/...es-iran-for-oil-tanker-attacks-in-middle-east
เพิ่มเติม
- กองทัพสหรัฐปล่อยคลิปยันอิหร่านเบื้องหลังโจมตีเรืออ่าวโอมาน
http://www.komchadluek.net/news/foreign/375512
- In Clip: สื่ออิหร่านโชว์คลิปลูกเรือจาก “เรือบรรทุกน้ำมัน” ที่ถูกโจมตี พูดขอบใจอิหร่าน: https://mgronline.com/around/detail/9620000056849
- The US blames Iran for the tanker attacks. Here’s what the Navy could do next: https://www.cnbc.com/2019/06/14/us-...ker-attacks-heres-what-the-navy-could-do.html -
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jun 14) บาดแผล “สงครามการค้า” ฉุดเศรษฐกิจโลกถดถอย: นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์และบรรดา “มืออาชีพ” ในแวดวงตลาดการเงินระดับโลกทั้งหลาย มีความเห็นตรงกันเป็นเอกฉันท์ว่า สงครามการค้านั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกแน่นอนในหลาย ๆ ด้าน และส่งเสียงเตือนเรื่องนี้มาโดยตลอดถึง “ความเสี่ยง” นี้ ซึ่งยิ่งหนาหูมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาถึงตอนนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับหนึ่งและสองของโลกนั้น ไม่เพียงไม่ยุติลงในเร็ววันเท่านั้น ยังขยายตัวลุกลามออกไปเรื่อย ๆ ทั้งในทางกว้างและทางลึกข้อเท็จจริงที่เป็นหลักฐานชี้ให้เห็นชัดว่า ปริมาณการค้าโลกกำลังชะลอตัว
แบบร่วงลงเฉียบพลันมีให้เห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นสัญญาณที่แม้แต่หน่วยงานและตัวบุคคลในระดับผู้กำหนดนโยบายเริ่มแสดงท่าทีเห็นพ้องมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน หลังสุดก็คือการส่งสัญญาณจาก เจอโรม พาวเวลล์ ประธานกองทุนสำรองแห่งรัฐ (เฟด) หรือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา ที่ทำให้หลายคนตีความเอาว่า เฟด กำลังเตรียมลดอัตราดอกเบี้ยลง
ทำนองเดียวกันกับที่ผู้ว่าการธนาคารกลางของอีกหลายประเทศลงมือทำล่วงหน้าไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ หรือแม้กระทั่งอินเดียเจพี มอร์แกน หนึ่งในวาณิชธนกิจใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ออกมาแล้วว่า เฟด จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้
สัญญาณอีกอย่างก็คือ อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ลดลงอย่างฮวบฮาบเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ทั้งในสหรัฐอเมริกา, ในเขตยูโรโซน เรื่อยไปจนถึงในอังกฤษ และยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าระดับเงินเฟ้อเป้าหมายอยู่ต่อเนื่อง มีการปรับลดภาพรวมเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่องในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เป็นเหตุให้ธนาคารกลางแห่งยุโรป ยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำอยู่ต่อเนื่องต่อไปอย่างน้อยก็จนถึงกลางปี 2020
หลายคนพยายามคาดการณ์ถึงผลกระทบในที่สุดจากสงครามการค้า แต่ก็เจอกับปัญหาที่ว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้นครั้งนี้ยังยืดเยื้ออยู่อย่างต่อเนื่อง จนยากที่จะคาดการณ์ได้ใกล้เคียงหรือแม่นยำ เพราะไม่รู้ว่าลำดับต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นตามมาอีก ในแง่ของผู้กำหนดนโยบาย ซึ่งอยู่ในสถานะจำกัดสำหรับการแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะในเชิงลบ ยิ่งไม่ยอมชี้ชัดผลสะเทือนจากเหตุการณ์นี้ออกมา
คริสตีน ลาร์การ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) บอกเพียงว่า สงครามการค้าจีน-สหรัฐนั้น ไม่น่าจะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ในเวลาเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะย้ำว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นก็เหมือน “บาดแผล” ที่เกิดจากการ “ทำร้ายตัวเอง” ด้วยแนวความคิดกีดกันทางการค้านั่นเอง ในขณะที่ภาคเอกชนซึ่งมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นมากกว่า ชี้ให้เห็นถึงนัยสำคัญของ “สงครามการค้า” ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ว่า ไม่ใช่สงครามการค้าตามนิยามที่พบเห็นกันทั่ว ๆ ไปแล้ว
นีล แมคคินนอน นักยุทธศาสตร์เศรษฐกิจมหภาคของโลกประจำ วีทีบี แคปิตอล ระบุเอาไว้ว่า ตอนนี้ในความคิดเห็นของบรรดานักลงทุนทั่วไป ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่เรื่องการค้าอย่างเดียวอีกแล้ว แต่เป็นส่วนหนึ่งของสงครามที่ใหญ่กว่า ครอบคลุมกว้างขวางกว่า ซับซ้อนกว่า ของการช่วงชิงกันเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีของโลกในอนาคต
สงครามใหญ่ที่ว่านี้ สำหรับบรรดานักลงทุนแล้ว ไม่เพียงไม่ยุติลงได้อย่างง่าย ๆ เท่านั้น แต่ยังอันตรายสูงกว่าและมีความไม่แน่นอนอย่างยิ่งอีกด้วย นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี ธนาคารขนาดใหญ่ของอเมริกันอีกแห่ง พยายามมองให้เห็นอนาคตบางส่วนด้วยข้อมูลทั้งหลายเท่าที่มี ผลการคาดการณ์จากความพยายามนี้ก็ออกมาใกล้เคียงกัน
ซีซาร์ โรฮาส นักเศรษฐศาสตร์ของซิตี ทำบันทึกถึงผู้ใช้บริการเมื่อไม่นานมานี้ ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานที่ผ่านมานี้ สอดคล้องกับทัศนะต่อความตึงเครียดทางการค้าที่ทางธนาคารยึดถือมานานว่า สงครามการค้ายังไม่ถึงจุดพีกสูงสุด และจะยังคงดำเนินต่อไปทั้งกับจีนและประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากจีน
“สงครามการค้าระดับโลก” นั้น มีแนวโน้มสูงที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องขนานใหญ่ทั้งในทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของทั้งโลกตกลงสู่สภาวะการเจริญเติบโตถดถอย”
นี่คือบทสรุปชัด ๆ ของกระแสกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้นพรวดพราดในเวลานี้นั่นเอง
คอลัมน์ ชีพจรเศรษฐกิจ โดย ไพรัตน์ พงศ์พานิชย์
Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/world-news/news-338692 -
Bank of Thailand Scholarship Students
(Jun 15) อินเดียขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ: รัฐบาลอินเดียตัดสินใจปรับขึ้น อัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ 29 รายการ หลังจากเลื่อนมาหลายครั้ง นับตั้งแต่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว โดยอัตราภาษีใหม่จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันอาทิตย์
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ว่า รัฐบาลอินเดียประกาศในเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว ว่า จะขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐหลายรายการ รวมถึง อัลมอนด์และแอปเปิล ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการแสดงความไม่พอใจ ต่อการที่วอชิงตันไม่ยกเว้นนิวเดลี จากการขึ้นภาษีเหล็กกล้าและอลูมิเนียม แต่อินเดียเลือ่นการขึ้นภาษีหลายครั้ง ขณะที่การเจรจาการค้าระหว่าง 2 ประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มความหวังว่าจะแก้ปัญหาได้
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ในการถอดถอนสิทธิพิเศษทางการค้าแก่อินเดีย เมื่อต้นเดือนนี้ ดูเหมือนจะกระตุ้นการตัดสินใจล่าสุดของอินเดีย
เจ้าหน้าที่รัฐบาลอินเดีย เผยว่า อัตราภาษี "ตอบโต้" ของอินเดีย จะเริ่มมีผลตั้งแต่วันอาทิตย์ (16 มิ.ย.) กระทรวงการคลังจะประกาศเรื่องนี้อย่างเป็นทางการในอีกไม่นาน และรัฐบาลได้แจ้งการตัดสินใจไปยังทางการสหรัฐแล้ว
ความตึงเครียดทางการค้าเกิดขึ้น แม้ว่าวอชิงตันพยายามจะส่งเสริมความสัมพันธ์กับอินเดีย เพื่อต่อต้านอำนาจจีน ทรัมป์และนายกรัฐมนตรีนดรนทรา โมดี ของอินเดีย กำหนดพบปะกัน ในระหว่างการประชุมสุดยอด จี20 ที่เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 28 - 29 มิ.ย. ซึ่งจะมีการหยิบยกประเด็นความขัดแย้งทางการค้าขึ้นหารือ
มูลค่าการค้าภาคสินค้าและบริการ สหรัฐ-อินเดีย ในปี พ.ศ. 2561 อยู่ที่ 142,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (4,426,2018 ล้านบาท) โดยสหรัฐขาดดุลการค้าให้อินเดีย 24,200 ล้านดอลลาร์ (753,910 ล้านบาท).
Source: เดลินิวส์ออนไลน์ https://www.dailynews.co.th/foreign/714946
- India set to levy higher tariffs on some US goods next week :
//economictimes.indiatimes.com/articleshow/69787526.cms?utm_source=contentofinterest&utm_medium=text&utm_campaign=cppst -
Rodolfo Martin Brenes Salvatierra
น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม และสะพานพังทลาย เป็นเหตุการณ์มี่เกิดทางตอนใต้ของประเทศจีน #15 มิถุนายน#วิดีโอ
-
Rodolfo Martin Brenes Salvatierra
แกะและแพะ จำนวน 70 ตัว ถูกสังหารโดยฟ้าผ่าในอินเดีย #15 มิถุนายน
-
Rodolfo Martin Brenes Salvatierra
ความร้อนในอินเดีย ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 36 คนในฤดูร้อนนี้จากอุณหภูมิที่สูงมากในช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศนั้น ได้รับการลงทะเบียน บันทึกอุณหภูมิ ได้ที่ 48 ° C
-
Rodolfo Martin Brenes Salvatierra
#สหรัฐอเมริกา #รัฐ Indiana มีพายุทอร์นาโด ที่กระทบโรงเรียนมัธยม Alro Steel โชคดีที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ # 15 มิถุนายน
หน้า 2801 ของ 11172