ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักระบาดวิทยาเตือน“มาตรการห้ามเที่ยวบิน” ไม่ประกันว่าจะหยุดการระบาดเชื้อไวรัสฯ ย้ำระบบสุขภาพในประเทศสำคัญสุด
    .
    เซาท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ - สายการบินโลกมากกว่า 20 รายได้ออกมาตรการระงับหรือลดเที่ยวบินไปยังหรือออกจากประเทศจีนนับจากสถานการณ์ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ร้อนแรงขึ้น นักระบาดวิทยาขององค์การอนามัยโลก (ฮู) ได้ออกมาชี้ว่ามาตรการห้ามเที่ยวบินฯ ดังกล่าวไม่ได้ประกันว่าจะสกัดเชื้อไวรัสโคโรนาแพร่กระจายเข้ามายังดินแดน
    .
    นายเดวิด เฮย์มานนส์ (David Heymann) นักระบาดวิทยา หัวหน้าปฏิบัติการควบคุมการระบาดของไวรัสซาร์ส (ปี 2002-03) ประจำ องค์การอนามัยโลก แถลงเมื่อวานนี้ (4 ก.พ.) ที่ชัทแธมเฮาส์ ซึ่งเป็นคลังสมองด้านนโยบายระหว่างประเทศในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับสถานการณ์ระบาดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีศูนย์กลางระบาดที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน
    .
    นายเดวิด เฮย์มานนส์ กล่าวว่า “เงื่อนไขเขตแดนไม่อาจที่จะหยุดการระบาดเชื้อโรค คุณอาจจะพุ่งเป้าไปที่พรมแดน กิจกรรมใดๆ ที่จะช่วยสกัดบางสิ่งรุกล้ำเข้ามาในดินแดนหรือช่วยประชาชนหนีรอดจากสิ่งที่ไม่ปรารถนา”
    .
    “ผู้คนต่างเชื่อกันว่าการปิดกั้นการคมนาคมทางอากาศจะหยุดการแพร่กระจาย แต่ถ้าเกิดมีผู้โดยสารที่ติดเชื้อฯมาเปลี่ยนเครื่องบินในประเทศล่ะ เชื้อโรคก็อาจเล็ดรอดเข้ามาในประเทศของคุณได้”
    .
    กลุ่มประเทศจำนวนหนึ่งรวมทั้งสหรัฐอเมริกาได้เมินคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก และใช้มาตรการห้ามการเดินทาง
    .
    กลุ่มชาวต่างชาติที่เดินทางไปยังประเทศจีนในช่วง 14 วันก่อนมายังสหรัฐฯ จะไม่ได้รับอนุญาตเข้าประเทศ พลเมืองอเมริกันที่เดินทางกลับจากมณฑลหูเป่ยจะถูกกักตัวเพื่อดูอาการเป็นเวลาสองสัปดาห์
    .
    แต่กลุ่มผู้เชี่ยวชาญในชัทแธมเฮ้าส์กล่าวว่าสิ่งสำคัญกว่านี้ที่จะช่วยหยุดการระบาดของเชื้อโรคคือระบบรักษาสุขภาพของประเทศที่ได้มาตรฐานสากลและแข็งแกร่ง เพื่อที่จะสามารถติดตามกลุ่มผู้ป่วยได้อย่างท่วงทัน
    .
    “เชื้อไวรัสจะยังระบาดต่อไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระบบป้องกันที่มีประสิทธิภาพภายในดินแดนของแต่ละประเทศ” เฮย์มานนส์ ผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกัน กล่าว
    .
    โรเบิร์ต เยทส์ (Robert Yates) หัวหน้าหน่วยนโยบายสุขภาพโลกแห่งชัทแธมเฮาส์ เผยว่ากลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงเกิดการระบาดของเชื้อโรคไวรัสโคโรนาอย่างรวดเร็ว ได้แก่ ประเทศในเอเชียใต้ อย่างบังกลาเทศ และอินเดีย หรือกลุ่มชาติแอฟริกา เนื่องจากรัฐบาลในประเทศเหล่านี้จัดงบประมาณด้านสุขภาพไว้ไม่มาก
    .
    กลุ่มประเทศอย่างประเทศไทยได้เพิ่มการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขก็จะมีการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโรคได้ดีกว่า
    .
    สำหรับในประเทศจีน การเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ฟรีมีอัตราสูงขึ้นจากช่วงที่ไวรัสซาร์สระบาด ซึ่งในตอนนั้นประชาชนจีนที่สามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขมีเพียง 1 ใน 3 เทียบกับปัจจุบันชาวจีน 96 เปอร์เซ็นต์เข้าถึงบริการสาธารณสุขกันแล้ว
    .
    ด้วยการขยายบริการสาธารณสุขจีนดังกล่าวจะช่วยให้เชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ที่กำลังระบาดทำสถิติอยู่ในขณะนี้ยุติลงโดยเร็ว ในวันที่ 29 ม.ค. เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีนเผยตัวเลขผู้ติดเชื้อฯ ในแผ่นดินใหญ่ได้แซงหน้าตัวเลขฯในช่วงซาร์สระบาด จากข้อมูลนับถึงเมื่อวันอังคาร (4 ม.ค.) กรณีผู้ติดเชื้อฯ ในจีนมีกว่า 20,700 ราย และกรณีเสียชีวิต เท่ากับ 425 ราย
    .
    ขณะที่ชาวฮ่องกงกำลังดิ้นรนเสาะหาหน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรค นายเฮยมานนส์ชี้ว่า การสวมหน้ากากอนามัยก็เป็นวิธีการที่ได้ผลดีในการป้องกันไวรัส อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอที่จะพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าการสวมหน้ากากอนามัยช่วยป้องกันประชาชนจากการติดเชื้อโรค
    .
    “เมื่อคุณป่วย หน้ากากอนามัยช่วยคุณไม่ให้ไปไอหรือจามใส่หน้าผู้อื่น แต่มันช่วยป้องกันคุณจากการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพมากหรือไม่นั้นก็ไม่แน่เสมอไป เพราะเมื่อกินอาหารก็ต้องถอดหน้ากากอนามัย บางทีคุณอาจสวมมันไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสม ดังนั้นเมื่อหน้ากากเปียกและมีคนมาจามใส่หน้ากาก เชื้อไวรัสก็สามารถเล็ดลอดเข้ามาได้”
    .
    ด้านสำนักงานสุขภาพแห่งอังกฤษแถลงผลจากการถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ (2019-nCoV) โดยใช้ตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อฯ ชาวอังกฤษสองราย ผลที่ได้ในขณะนี้มิได้บ่งชี้ว่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้กลายพันธุ์และแพร่กระจายเชื้ออย่างร้ายกาจอย่างที่คิด
    คลิก>>https://mgronline.com/china/detail/9630000011968
    #MGROnline #ไวรัสโคโรนา
     
  2. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รายงานข่าวกรณีโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
    ( Novel Coronavirus;2019-nCoV)
    ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563

    1.สถานการณ์ ถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ณ เวลา 08.00 น.
    1. รายงานผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อขณะนี้นอนในโรงพยาบาล 16 ราย กลับบ้านแล้ว 9 ราย รวมสะสม 25 ราย
    2. มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้ป่วย เข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 549 ราย คัดกรองจากสนามบิน 48 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 501 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้ว 124 ราย ส่วนใหญ่ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 425 ราย โดยวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรครายใหม่ 57 ราย
    3. สถานการณ์ทั่วโลกใน 26 ประเทศ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม– 4 กุมภาพันธ์ 2563 พบผู้ป่วยยืนยัน
    ติดเชื้อจำนวน 20,682 ราย ส่วนประเทศจีน ข้อมูล ณ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 พบผู้ป่วย 20,485 ราย เสียชีวิต 427 ราย
    4. ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข สถานการณ์จะดีขึ้นด้วยความร่วมมือจากประชาชน อย่าเชื่อข่าวลือจากทุกทาง “เช็คก่อนแชร์” งดแชร์ข้อมูลผู้ป่วยทางสื่อออนไลน์ และมาจากแหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแพร่หลาย เกิดความตระหนก และมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ โปรดติดตามข่าวสารจากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัยสอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเว็บไซต์ https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/ และ Line@/เฟซบุ๊ค : รู้กันทันโรค,Coronavirus2019, กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ประชาชนตรวจสอบข่าวลวงได้ที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม www.antifakenewscenter.com
    2. สธ.แถลงข่าวดี ผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโคโรนาในประเทศรายแรกกลับบ้านได้แล้ว
    กระทรวงสาธารณสุข เผยวันนี้ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่เป็นการติดเชื้อในประเทศรายแรก และเข้ารับการรักษาในสถาบันบำราศนราดูร ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบเชื้อแล้ว ถือว่าหายเป็นปกติ สามารถกลับบ้านได้ ส่วนญาติและผู้สัมผัสใกล้ชิดทุกคนมีการติดตามเฝ้าระวังอาการต่อเนื่องตามมาตรฐาน ทุกรายเป็นปกติ
    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์กฤษฎา หาญบรรเจิด รองผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร และผู้ป่วยชายไทย ซึ่งเป็นผู้ป่วยโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ของสถาบันบำราศนราดูร ที่หายป่วย และได้รับอนุญาตให้กลับบ้านในวันนี้ ร่วมแถลงข่าวสถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
    นายอนุทิน กล่าวว่า วันนี้ได้รับข่าวดีจากสถาบันบำราศนราดูรว่าผู้ป่วยชายไทย ที่เป็นผู้ป่วยติดเชื้อภายในประเทศไทยรายแรก ซึ่งได้เข้ารับการรักษาที่สถาบันบำราศนราดูร มีอาการค่อนข้างรุนแรง โดยอยู่ในห้องแยกโรคความดันลบ มีทีมแพทย์ให้การดูแลรักษาตามมาตรฐานอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการครั้งล่าสุดไม่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 แล้ว ถือว่าหายป่วยแพทย์จึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ สรุปสถานการณ์ของไทยขณะนี้เหลือผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรักษาในโรงพยาบาล 16 ราย กลับบ้านแล้ว 9 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 25 ราย โดยผู้ป่วยที่ยังอยู่โรงพยาบาลได้รับรายงานว่ามีแนวโน้มอาการดีขึ้น รายที่อาการมาก วันนี้อาการยังทรงตัวและอยู่ในความดูแลของทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด
    ขณะนี้ สถานการณ์โรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ได้ยกระดับการดำเนินการเป็นระดับชาติ มีการขับเคลื่อนงานร่วมกันจากหลายกระทรวง หลายหน่วยงาน เพื่อให้มาตรการต่างๆ มีประสิทธิภาพ โดยในส่วนของกระทรวงมีมาตรการคัดกรอง ดูแลรักษาผู้ป่วยเป็นอย่างดี การตรวจวิเคราะห์หาเชื้อดำเนินการโดยห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานระดับโลกและมีความรวดเร็ว ทำให้ได้รับคำชื่นชมจากองค์การอนามัยโลกรวมถึงประเทศต่างๆ ว่าระบบสาธารณสุขของไทยเข้มแข็งและมีการปฏิบัติที่สูงกว่ามาตรฐาน ทั้งนี้เป็นเพราะเรามีบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคต่างๆ มาหลายครั้ง
    ด้านนายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ผู้ป่วยรายนี้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่และมีประวัติเคยรับนักท่องเที่ยวชาวจีน เมื่อรู้สึกมีอาการป่วยได้ปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข คือ หยุดขับรถรับผู้โดยสาร และสวมหน้ากากอนามัยมาพบแพทย์พร้อมแจ้งประวัติความเสี่ยง ทำให้เข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังควบคุมโรคอย่างรวดเร็ว ซึ่งจากการติดตามญาติและผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยตามมาตรฐานการเฝ้าระวังควบคุมโรค ทุกรายมีอาการเป็นปกติ ถือเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้ประกอบอาชีพขับรถรับจ้างสาธารณะ ที่มีความตระหนัก ติดตามข้อมูลความรู้และปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างถูกต้อง ทำให้ไม่เกิดความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อ ทั้งนี้ ขอแนะนำผู้ที่ขับรถรับจ้างสาธารณะให้เช็ดทำความสะอาดพื้นผิวที่ผู้โดยสารสัมผัสบ่อยๆ เช่น ที่จับประตู เบาะนั่ง ที่เท้าแขน ด้วยน้ำผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาด หรือแอลกอฮอล์ 70% ซึ่งสามารถทำลายเชื้อไวรัสได้ สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาขณะขับรถซึ่งสามารถใช้หน้ากากอนามัยแบบผ้าได้และให้ล้างมือบ่อยๆ
    3. ผลการดำเนินงานที่ด่านควบคุมโรค
    - ตั้งแต่วันที่ 3 - 23 มกราคม 2563 ตรวจคัดกรองผู้เดินทางเข้าประเทศด้วยเครื่องวัดอุณหภูมิ สะสม จำนวน 137 เที่ยวบิน จำนวน 21,522 คน ใน 5 ท่าอากาศยาน ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ ภูเก็ต และกระบี่ ได้ และเพิ่มที่ท่าอากาศยานเชียงรายอีก 1 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม -3 กุมภาพันธ์ 2563 คัดกรองผู้โดยสารสายการบินจากสาธารณรัฐประชาชนจีน 276 เที่ยวบิน ผู้เดินทางและลูกเรือได้รับการคัดกรอง จำนวน 13,411 ราย ทางกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเจ้าหน้าที่หมุนเวียนไปสนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่ด่าน เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพตลอด 24 ชั่วโมง
    - นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้รับแจกคำแนะนำสุขภาพ (health beware card) จากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรค
    4.ข้อแนะนำประจำวันในการป้องกันตนเองจากโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
    หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น และปฏิบัติตามคำแนะนำ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” อย่างเคร่งครัด
    จากหน่วยงาน : กลุ่มภารกิจด้านข่าวและสื่อมวลชนสัมพันธ์ สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
     
  3. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Coronavirus: วันที่ 37: Xi Jinping อยู่ที่ไหน ไม่เห็นปรากฏตัวที่สาธารณะใน 8 วัน: "เราค่อนข้างตายที่บ้านมากกว่าไปกักกัน": "ธรรมชาติลงโทษนิสัยที่ไร้อารยธรรมและขนบธรรมเนียมของมนุษย์" นักวิทยาศาสตร์
    มีรายงานจำนวนมากตามหลักฐานที่แตกต่างกันเช่นเดียวกับโรคซาร์สประเทศจีนมีส่วนร่วมอย่างจงใจในการปกปิดซึ่งทำให้โลกล่าช้าในการแจ้งเตือนการระบาดครั้งนี้ คุณเห็นว่าอะไรเป็นหลักฐานที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับความล่าช้าหรือการปกปิด
    จากรายงานเมื่อวันที่ 29 มกราคมในวารสารการแพทย์นิวอิงแลนด์โดยผู้เขียนจาก CDC ของจีนพบว่ามีคนงานด้านสุขภาพติดเชื้อในต้นเดือนมกราคม นี่คือหลักฐานการสูบบุหรี่ของการส่งผ่านจากมนุษย์สู่คน
    แต่ประชาชนไม่ได้รับการแจ้งเกี่ยวกับสถานการณ์นี้จนกว่าจะถึงวันที่ 18 มกราคมผู้คนยังคงได้รับการบอกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับการติดต่อจากคนสู่คน ในบทความเดียวกันใน NEJM มีหลักฐานอื่นที่แสดงว่าการติดต่อจากคนสู่คนเกิดขึ้นในเดือนธันวาคมแล้ว
    มีคำอธิบายอื่น ๆ หรือไม่สำหรับเหตุผลที่จีนอาจไม่ได้รับการเปิดเผยและในระดับใดของรัฐบาลที่การปกปิดนี้เกิดขึ้น?
    รัฐบาลท้องถิ่น [ในหวู่ฮั่น] ดูเหมือนจะบ่งบอกว่าพวกเขาเข้าใจผิดโดย CDC กลางเกี่ยวกับความร้ายแรงของการระบาด แต่ CDC ส่วนกลางดูเหมือนว่าบ่งบอกว่าพวกเขาไม่มีอำนาจในการประกาศคดีที่ได้รับการยืนยัน - มันขึ้นอยู่กับคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเพื่อทำงานดังกล่าว
    แต่ถ้าคุณดูวิธีที่ [หวู่ฮั่น] รายงานโรคหลังจากวันที่ 5 มกราคมพวกเขาจะหยุดจัดทำรายงานและมันจะไม่กลับมาทำงานอีกจนถึงวันที่ 11 มกราคมในช่วงเวลานั้นไม่มีข้อมูลจากรัฐบาลเกี่ยวกับโรคนี้ แต่มีการประชุมทางการเมืองที่สำคัญสองครั้งที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 5 ถึง 11 มกราคม: การประชุมสภาประชาชนของเมืองและการประชุมที่ปรึกษาทางการเมือง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการประชุมที่สำคัญในการแต่งตั้งผู้นำคนใหม่ทำการเปลี่ยนแปลงบุคลากรในระดับท้องถิ่น
    [เจ้าหน้าที่ของหวู่ฮั่น] ไม่ต้องการให้ข่าวร้ายทำลายการประชุม VOX
    Coronavirus: Day 37: Where is Xi Jinping? Not seen in public in 8 days: ‘We’d rather die at home than go to quarantine’: “Nature punishing the uncivilized habits and customs of humans.” Scientist.
     
  4. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อภูมิคุ้มกันบำบัดสามารถทำให้เกิดภาวะ HIV สงบ และอาจกำจัดเชื้อ HIV ได้ ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา นักวิจัยผู้ใฝ่ฝันจะพิชิตเชื้อ HIV [Advertorial]
    โดย THE STANDARD TEAM
    18.10.2019


    HIGHLIGHTS

    • นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพยายามค้นหาวิธีการที่ทำให้เชื้อ HIV อยู่ในภาวะสงบ แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์ไทยได้ทำสำเร็จแล้วเป็นครั้งแรก โดยใช้นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด HIV ด้วยสารสกัดจากพืชกินได้ (Plant- based Immunotherapy for HIV) ที่ทำให้เชื้อ HIV ตรวจไม่พบแล้ว หรืออาจจะไม่มีเหลือเลย จนเกิดภาวะที่เรียกว่า ‘ภาวะ HIV สงบ’ หรือ ‘HIV Functional Cure’ ที่ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตเหมือนคนปกติต่อเนื่อง
    • ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ APCO คือนักวิจัยผู้ใฝ่ฝันจะพิชิตเชื้อ HIV การเห็นผู้ป่วยมีความหวังและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นแรงบันดาลใจให้กับชายผู้นี้ในการทำงานวิจัยเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายที่มนุษย์ไม่เคยเอาชนะได้เลยชนิดนี้
    แม้การแพทย์ในปัจจุบันนี้จะก้าวล้ำไปมาก มีข่าวคราวเกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยศึกษามาแล้วมากมาย และดูเหมือนว่าการที่มนุษย์เราพยายามที่จะต่อสู้กับเชื้อไวรัส HIV อันนำมาซึ่งโรค AIDS หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกที แต่น่าเสียดายที่ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์หรือแพทย์คนไหนที่กล้าคอนเฟิร์มว่าค้นพบวิธีกำจัดเชื้อ HIV ได้หมดทั้ง 100% ราวกับว่านี่เป็นเพียงความฝันของมวลมนุษยชาติ

    แต่รู้หรือไม่ว่าเมืองไทยเองมีนักวิจัยผู้มุ่งมั่นทำงานเพื่อเอาชนะเชื้อไวรัสตัวร้ายดังกล่าวอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง เพื่อให้ผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วย AIDS ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    แทนที่จะมุ่งกำจัดเชื้อ HIV โดยตรงกลับมุ่งเสริมภูมิคุ้มกัน

    ตามปกติแล้วนั้นผู้ป่วยจะต้องได้รับยาต้านไวรัสเพื่อหยุดการเพิ่มปริมาณของเชื้อ HIV และต้องพยายามดูแลตนเองให้สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันที่ถูกทำลายไป แล้วมีเม็ดเลือดขาว ‘CD4’ (เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ควบคุมและต่อสู้กับเชื้อโรค และมีบทบาทในการสร้างสารภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเพื่อต่อสู้กับเชื้อโรค) ในจำนวนที่มากขึ้น ทว่าการใช้ยาต้านไวรัสนั้นก็อาจมีผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นได้มากมาย รวมถึงในผู้ป่วยบางรายนั้น หากใช้ไปถึงจุดหนึ่งหรือกินยาไม่ตรงเวลาก็อาจจะเกิดอาการดื้อยาขึ้นมาได้ด้วย ซึ่งแนวทางในการรักษาโดยมุ่งควบคุมปริมาณ HIV ให้น้อยลงโดยรับประทานยาต้าน และพยายามเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 นั้น ถือเป็นวิธีการมาตรฐานที่ปฏิบัติกันในวงการแพทย์ปัจจุบัน

    ทว่าสิ่งที่นักวิจัยของ บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จํากัด มหาชน หรือ APCO (Asian Phytoceuticals Public Company Limited) ซึ่งนำโดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา กลับมุ่งที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยโรค AIDS ด้วยวิธีการที่ต่างกัน นั่นคือแทนที่จะมุ่งลดจำนวนเชื้อ HIV กลับใช้ ‘การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแกร่ง’ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันไปจัดการกับเชื้อ HIV แทน ซึ่งเป็นวิธีการที่เรียกว่า ‘ภูมิคุ้มกันบำบัด’ (Immunotherapy)



    “จากหลักการที่ว่าหากภูมิคุ้มกันไม่สมดุล เราก็จะเป็นโรค เป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วครับ ที่ APCO เราทำการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สร้างนวัตกรรมเพื่อดูแลสุขภาพของผู้ที่มีปัญหาภูมิคุ้มกันไม่สมดุลมาโดยตลอด

    “จนกระทั่งวันหนึ่งเราค้นพบว่าเราสามารถดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยการกระตุ้นเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกัน ‘เซลล์ T พิฆาต’ หรือ ‘Killer T Cells’ ซึ่งเซลล์ตัวนี้ก็คือตัวที่ไปจัดการกับมะเร็งภายในร่างกาย บังเอิญว่าจากการที่ค้นคว้าติดตามวิทยาการเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันมาโดยตลอด ก็ไปพบผลการศึกษาที่พิมพ์เผยแพร่ออกมา ในช่วงปี 2010-2012 ว่าเชื้อ HIV เมื่อเข้าไปสู่ร่างกายแล้ว ก็จะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว CD4 ชนิด Th17 มากที่สุด ซึ่งเม็ดเลือดขาว Th17 ก็คือตัวที่จะไปกระตุ้น ‘เซลล์ T พิฆาต’ หรือ ‘Killer T Cells’ ดังนั้นในทางทฤษฎี หากเราสามารถกระตุ้นเสริมสร้าง Th17 ได้ก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะสามารถจัดการกับเชื้อ HIV ได้เช่นเดียวกัน จึงเกิดแนวคิดที่จะนำนวัตกรรมนี้ไปพัฒนาต่อยอดใช้ในการดูแลผู้ป่วย AIDS และผู้ติดเชื้อ HIV นับแต่นั้นมาครับ”


    ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา

    ศ.ดร.พิเชษฐ์ เล่าถึงจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจในการมุ่งมั่นพัฒนาภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารสกัดจากพืชกินได้ โดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติ 5 ชนิด ได้แก่ มังคุด, งาดำ, ถั่วเหลือง, ฝรั่ง และใบบัวบก จนเกิดเป็นนวัตกรรม สูตรที่เรียกกันในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ว่า ‘APCOcap’ แล้วขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตั้งแต่นั้นมา (APCOcap ไม่ใช่ชื่อเครื่องหมายการค้าที่ใช้ขึ้นทะเบียน)

    ทั้งนี้ APCOcap ได้รับการทดสอบจากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นโครงการที่ได้รับการรับรองจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ว่าเป็นโครงการวิจัยที่มีมาตรฐาน โดยได้ทดลองในกลุ่มอาสาสมัครสุขภาพปกติ พบว่า สามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว Th17 และ Th1 ซึ่งเพิ่มอานุภาพการกำจัดเชื้อของ ‘เซลล์ T พิฆาต’ หรือ ‘Killer T Cells’ ให้มีพลังมากขึ้น หลังจากนั้นจึงได้มีการนำไปทดลองใช้เพื่อดูแลอาสาสมัครที่ติดเชื้อ HIV จำนวน 27 รายที่ใช้ยาต้านไวรัสอยู่แล้ว ที่โรงพยาบาลแม่ออน พบว่าผู้ติดเชื้อมี CD4 เพิ่มมากขึ้นหลังจากรับประทาน APCOcap จำนวน 4 แคปซูลต่อวัน ติดต่อกันนาน 6-9 เดือน ในขณะเดียวกันก็ได้ดำเนินการโครงการวิจัยคู่ขนานที่สารภี และดอยสะเก็ด อีก 21 ราย ซึ่งผลก็คือ CD4 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งกินยาต้านอยู่แล้วเพิ่มจำนวนมากขึ้นเช่นเดียวกัน เฉลี่ย 64% นอกจากนี้ยังพบว่าผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัสลดลง และการติดเชื้อฉวยโอกาสก็หายไป ช่วยให้อาสาสมัครมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

    เมื่อมั่นใจในประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ APCOcap ทาง APCO จึงได้เริ่มโครงการ CSR ที่บ้านแกร์ด้า (มูลนิธิสิทธิเด็ก บ้านแกร์ด้า เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดูแลเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อ HIV) ในจังหวัดลพบุรี โดยได้มอบ APCOcap ให้กับเด็กๆ ผู้ติดเชื้อ HIV จำนวน 17 คน ที่ได้ยาต้านไวรัสแล้ว แต่ยังมีโรคแทรกซ้อน เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย และมะเร็ง ผลปรากฏว่าโรคแทรกซ้อนหายไป ในเวลา 2-3 เดือน ในเด็กที่ติดเชื้อ HIV 3 ราย ที่ CD4 ไม่เพิ่มเลย แม้ว่าจะใช้ยาต้านเป็นเวลาต่อเนื่อง 6 เดือน แต่หลังจากรับประทาน APCOcap 9 แคปซูลต่อวัน ติดต่อกัน 3 เดือน เด็กๆ มีปริมาณ CD4 เพิ่มขึ้นถึงเฉลี่ย 32.45% ดังนั้น CD4 ที่เพิ่มขึ้นในเด็กเหล่านี้เกิดจากผลของ APCOcap

    ต่อมา APCO จึงได้มอบ APCOcap ให้เด็กๆ ทุกคนในบ้านได้ใช้เพิ่มอีก 50 ราย และใน 50 รายนี้ ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และ CD4 เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 67% ในเวลา 12 เดือน

    ปัจจุบันเด็กๆ ที่บ้านแกร์ด้าทั้ง 70 คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีปริมาณ CD4 ในระดับปกติ มีปริมาณเชื้อไวรัส HIV น้อยกว่าที่สามารถวัดได้ (ต่ำกว่า 20 copies/ml.) จนถึงปัจจุบันนี้ APCO ได้มอบนวัตกรรม APCOcap ให้เด็กที่บ้านแกร์ด้าได้ใช้ฟรีเป็นเวลา 6 ปีแล้ว และตั้งใจที่จะให้ได้ใช้ต่อเนื่อง เพื่อให้มีสุขภาพดี และเป็นกำลังสำคัญของสังคมไปตลอดชีวิต

    ในปี 2015 องค์การอนามัยโลกได้สรุปว่าการเพิ่มขึ้นของ CD4 มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของผู้ติดเชื้อ HIV มากกว่าการลดลงของจำนวนเชื้อ HIV เพราะเชื้อ HIV ไม่ทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิต แต่การที่ CD4 ลดลงต่างหากที่ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง จนทำให้มีการติดเชื้อฉวยโอกาส อันเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตได้

    ศ.ดร.พิเชษฐ์ กล่าวว่า แนวทางการดูแลผู้ติดเชื้อขององค์การอนามัยโลก เป็นแนวทางเดียวกันกับที่ APCO ได้ใช้มาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว และด้วยแนวทางปฏิบัตินี้เอง APCOcap จึงสามารถเพิ่ม CD4 ของผู้ป่วย AIDS จากระดับ 10 Cells/cu.mm. เป็น 500 Cells/cu.mm. ในเวลาเพียงครึ่งปี และกลับมีคุณภาพชีวิตที่แข็งแรงเหมือนคนปกติ

    หลังจากที่ได้มีการศึกษาวิจัยและทดลองมาได้พักใหญ่ ทำให้ทาง APCO เห็นว่า มีความเป็นไปได้ว่า APCOcap อาจจะเป็นนวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด HIV แรกของโลกที่ทำให้เชื้อไวรัสลดลงจนไม่สามารถตรวจพบได้ หรืออาจจะไม่มีแล้ว เกิดภาวะที่เรียกว่า ‘ภาวะ HIV สงบ’ หรือ ‘HIV Functional Cure’ ที่ผู้ติดเชื้อมีคุณภาพชีวิตเหมือนคนปกติต่อเนื่องโดยอาจไม่ใช้ยาต้านไวรัสเลย

    ศ.ดร.พิเชษฐ์ ได้กล่าวยกตัวอย่างเคสซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ที่มีผู้ติดเชื้อ HIV รายหนึ่งตัดสินใจใช้ APCOcap แทนการใช้ยาต้านไวรัส เพราะกลัวว่าจะมีผลข้างเคียง เวลาผ่านไป 1 ปีพบว่า CD4 เพิ่มขึ้นจนถึงระดับปกติ และเชื้อ HIV ลดลงจนตรวจไม่พบ ทั้งยังมีสุขภาพที่แข็งแรงมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน

    ประสิทธิภาพการทำให้เกิดภาวะ HIV สงบเช่นนี้ ถือเป็นเป้าหมายใหม่ของบริษัทที่ผลิตยาเกี่ยวกับการดูแลผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วย AIDS แทนการผลิตยาที่มุ่งกำจัดเชื้อ HIV ไปจนหมดสิ้น ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นไปได้ยากมาก แต่จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดเลยที่ทำให้เกิด HIV Functional Cure ในมนุษย์

    ในอาสาสมัครรายที่ 2 ที่เข้าสู่ภาวะ HIV สงบ เป็นผู้ติดเชื้อในเดือนธันวาคม ปี 2559 และเข้าสู่กระบวนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในปี 2560 แต่ใช้ยาต้านไวรัสอยู่ได้เพียง 2 เดือนก็ต้องหยุดใช้ เพราะไม่สามารถทนกับผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากยาต้านไวรัสได้ แล้วแสวงหาผลิตภัณฑ์อื่นที่จะสามารถใช้แทนยาต้านไวรัสได้ ในขณะที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และได้ค้นพบนวัตกรรม APCOcap จึงได้เริ่มใช้เป็นครั้งคราวตามสะดวก แต่ก็ยังทำให้สุขภาพดีขึ้น จนมี CD4 อยู่ที่ 453 cells/cu.mm. (ในระดับปกติค่า CD4 ของผู้ที่ไม่ติดเชื้อ HIV จะอยู่ระหว่าง 500-1,500 cells/cu.mm.)

    อาสาสมัครรายแรกที่คาดว่าอยู่ในภาวะ HIV สงบ

    เมื่อได้ข่าวว่าทาง APCO ได้จัดให้มีโครงการ APCO Life Fitness Challenge ซึ่งให้ผู้ติดเชื้อรักษาสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย ควบคู่กับการรับประทาน APCOcap ในปริมาณ 9 แคปซูลต่อวัน

    ผู้ติดเชื้อรายนี้จึงตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการในเดือนมกราคม ปี 2562 ในขณะที่ก่อนเข้าโครงการมี CD4 = 734 cell/cu.mm. และปริมาณ HIV = 88.2 copies/ml ผลการตรวจเลือดในแต่ละครั้งระหว่างเข้าร่วมโครงการดังกล่าว เป็นดังนี้



    นอกจากผู้ป่วยรายดังกล่าวแล้ว ยังมีผู้ติดเชื้ออีกสองราย คืออาสาสมัครรายที่ 3 และ 4 ที่เข้าสู่ภาวะ HIV สงบแล้วในเดือนแรก และอยู่ในระหว่างการติดตามผล ด้วยการตรวจเลือด ซึ่งมีแนวโน้มว่าผลการตรวจจะยืนยันภาวะ HIV สงบอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

    ด้วยข้อมูลที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ทาง APCO จึงสรุปว่านวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัด HIV ด้วย APCOcap ของ APCO ได้ทำให้ผู้ติดเชื้อในระยะแรกสามารถเข้าสู่ภาวะ HIV สงบได้ โดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส แต่จะต้องดูแลสุขภาพด้วยการเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม ลดอาหารหวาน ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
    เป็นความสำเร็จครั้งแรกของโลกโดยนักวิทยาศาสตร์ไทย




    “ความหวังและคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ป่วย HIV

    เป็นทั้งแรงบันดาลใจ และกำลังใจที่ทำให้ผมทำงานนี้”

    THE STANDARD ถาม ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานต่อสู้กับเชื้อ HIV มาอย่างจริงจังและยาวนาน ว่าเขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากไหน จึงคิดจะต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายที่มนุษย์ไม่เคยเอาชนะได้เลยชนิดนี้

    ทุกครั้งที่ผมไปที่บ้านแกร์ด้าและได้พบกับเด็กๆ น้ำตาก็จะซึมทุกรอบ คือผมไปที่บ้านแกร์ด้ามาตั้งแต่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว คราวแรกที่ไปนั้นเห็นสภาพเด็กๆ ผอมแห้งแรงน้อยดูไม่แข็งแรง และเป็นโรคติดเชื้อ แต่ตอนนี้ไปดูสิครับ เกือบทุกคนดูเหมือนเด็กปกติ ในโรงเรียนประจำ นี่เป็นทั้งแรงบันดาลใจ กำลังใจ และรางวัลชีวิตให้กับผม เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ ความรู้สึกเช่นนี้มันหล่อหลอมและให้กำลังใจเราอย่างแรง กับผู้ป่วยมะเร็งก็เหมือนกัน เมื่อเขาอาการดีขึ้นและมีความหวัง ก็มาแสดงความขอบคุณด้วยการโอบกอดเรา เมื่อไรที่เราโอบกอดผู้ป่วยเหล่านี้ ทั้งเด็กๆ ที่เป็น HIV หรือผู้ป่วยมะเร็งที่เขาเคยหมดความหวังแล้วกลับมามีความหวังด้วยสิ่งที่เราทำ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมาก เป็นแรงบันดาลใจให้ผมทำงานต่อไปโดยหยุดไม่ได้




    นวัตกรรมภูมิคุ้มกันบำบัดด้วยสารสกัดจากพืชกินได้นี้ จึงเป็นมิติใหม่ของการดูแลสุขภาพที่ช่วยเหลือผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS ซึ่ง THE STANDARD คิดว่าคงต้องติดตามข่าวคราวความก้าวหน้ากันต่อไปว่า วันหนึ่งอาจจะมีข้อมูลยืนยันว่า เขาเหล่านี้ปลอดจากเชื้อ HIV แล้ว

    พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

    FYI
    • HIV ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เมื่อเข้าไปในร่างกาย จะเจาะเข้าไปในเม็ดเลือดขาวภูมิคุ้มกัน (CD4) แล้วขยายจำนวนด้วยการก๊อบปี้ตัวเอง แล้วทำลาย CD4 และเชื้อ HIV จากเม็ดเลือดขาวที่ถูกทำลาย ก็จะเจาะเข้าไปในเม็ดเลือดขาวใหม่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนในที่สุด CD4 จะลดจำนวนต่ำลง กว่าที่จะป้องกันโรคได้ คือเข้าสู่ภาวะโรค AIDS และติดเชื้อฉวยโอกาสอื่นๆ เช่น เชื้อวัณโรค ปอดบวม เชื้อรา และมะเร็ง เป็นต้น จนผู้ป่วยเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนเหล่านี้ในที่สุด
    • ในปี 2558 สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ รับรองผลงาน APCOcap ให้เป็นผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของชาติไทยสำหรับเพิ่มคุณภาพชีวิตผู้ติดเชื้อ HIV/AIDS
    • บทสัมภาษณ์นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้สัมภาษณ์ และผลการวิจัยของ APCO ผู้ติดเชื้อควรต้องปรึกษาแพทย์ และศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติม

    https://thestandard.co/hiv-functional-cure/
     
  5. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รอยแตกขนาดเล็กในสนามแม่เหล็กโลก: เมื่อคืนเกิดรอยแตกเล็ก ๆ ในสนามแม่เหล็กของโลก ลมสุริยะเข้ามาเติมเชื้อเพลิงเพื่อแสดงแสงออโรร่าแบบสั้น ๆ แต่น่าทึ่งเหนือเทือกเขาแอลป์ , นอร์เวย์
    รอยแตกพัฒนาเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์เมื่อสนามแม่เหล็กดาวเคราะห์ (IMF) ใกล้โลกเอียงไปทางทิศใต้ นี่เป็นการยกเลิกสนามแม่เหล็กที่ชี้ไปทางทิศเหนือของโลกบางส่วนทำให้เกิดช่องว่างที่ลมสุริยะสามารถไหลผ่านได้ ในระหว่างช่วงต่ำสุดสุริยะ (เกิดขึ้นตอนนี้) เราพึ่งพารอยแตกและช่องว่างดังกล่าวเพื่อ "จุดไฟ" ของแสงเหนือแสงออโรร่าโดยไม่ได้รับจากจุดดับความร้อนและเปลวสุริยะตามปกติ (เกิดขึ้นตามปกติ) www.spaceweather.com
    "ดวงจันทร์และแสงออโรร่าส่องสว่างในเทือกเขา Lyngyn Alps ใกล้เมืองTromsø"
    -Peter Schurte
    A SMALL CRACK IN EARTH'S MAGNETIC FIELD: Last night, a small crack opened in Earth's magnetic field. Solar wind poured in to fuel a brief but dramatic display of auroras over the Alps of Norway.
    The crack developed on Feb. 3rd when the interplanetary magnetic field (IMF) near Earth tilted south. This partially canceled our planet's north-pointing magnetic field, creating a gap through which solar wind could flow. During Solar Minimum (happening now), we rely on such cracks and gaps to "stoke the fires" of aurora borealis without the usual support of sunspots and solar flares. www.spaceweather.com
    "The Moon and auroras lit up the Lyngyn Alps near Tromsø,"
    -Peter Schurte
     
  6. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เอ็มเอซีไต้หวันย้ำ รับชาวไต้หวันกลับจากอู่ฮั่น ต้องพร้อมด้วย 3 เงื่อนไข
    • 05 February, 2020
    • กฤษณัย ไสยประภาสน์

    เอ็มเอซีไต้หวันย้ำ รับชาวไต้หวันกลับจากอู่ฮั่น ต้องพร้อมด้วย 3 เงื่อนไข

    สืบเนื่องจากหลายฝ่ายให้ความสนใจว่า ไต้หวันจะรับชาวไต้หวันกลับจากอู่ฮั่นรอบ 2 เมื่อใดนั้น นายชิวฉุยเจิ้ง รองประธานคณะกรรมการกิจการจีนแผ่นดินใหญ่หรือ MAC ไต้หวัน ระบุในวันนี้ว่า เนื่องจากชาวไต้หวันที่เพิ่งรับกลับจากเมืองอู่ฮั่นกลับมายังไต้หวันเมื่อวันที่ 3 ก.พ. ที่ผ่านมา 1 ในจำนวน 247 คน ที่รับกลับมา ตรวจพบว่าติดเชื้อโคโรนาไวรัส ดังนั้น หลังจากที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ปรึกษาหารือกันแล้ว รัฐบาลจึงได้กำหนด 3 หลักการในการดูแลและจัดการปัญหาดังกล่าว โดยการรับชาวไต้หวันกลับจากอู่ฮั่นรุ่นต่อไป จะต้องเพียบพร้อมด้วย 3 หลักการ จะทำแบบลวก ๆ ไม่ได้ ดังนั้น ในวันนี้และพรุ่งนี้จะไม่มีเที่ยวบินพิเศษไปรับชาวไต้หวันกลับจากอู่ฮั่นแต่อย่างใด

    นายขิวฯ ระบุว่า หลักการแรกก็คือการเสริมมาตรการการตรวจเชื้อให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงต้องประสานกับฝ่ายจีนว่าจะเข้มงวดการตรวจเชื้อได้อย่างไร ประการต่อมาคือ ก่อนการรับตัวกลับไต้หวัน ฝ่ายไต้หวันได้แจ้งให้ฝ่ายจีนทราบแล้วว่า ผู้ที่จะรับกลับมาไต้หวันจะต้องเป็นชาวไต้หวันที่เดินทางไปประกอบธุรกิจระยะสั้น มีโรคประจำตัว ต้องใช้ยาประจำตัวเป็นระยะเวลานาน และจำเป็นต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์เป็นพิเศษ หรือเป็นผู้ชรา เด็ก ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งจีนเห็นชอบแล้ว อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบของฝ่ายไต้หวัน บุคคลที่มีเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้นมิได้อยู่ในรายชื่อผู้เดินทางกลับไต้หวัน ดังนั้น การจัดทำรายชื่อผู้ที่จะเดินทางกลับไต้หวัน ฝ่ายจีนต้องปรึกษากับฝ่ายไต้หวัน จนได้ข้อยุติร่วมกัน นอกจากนี้ รายชื่อผู้โดยสารทั้งหมดจะต้องส่งมอบให้แก่ไต้หวันก่อนการเดินทาง 1 วัน เมื่อไต้หวันตรวจสอบถูกต้องแล้ว จึงจะดำเนินการต่อไปได้ ส่วนประการที่ 3 ได้แก่ เนื่องจากสถานที่ในการแยกกักตัวเพื่อสังเกตอาการเป็นเวลา 14 วัน หลังเดินทางกลับไต้หวันมีอยู่อย่างจำกัด ดังนั้น ก่อนดำเนินการใด ๆ จึงต้องมีการเตรียมการทุกอย่างให้พร้อม เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่การดูแลที่เหมาะสมแก่ผู้ที่เดินทางกลับมายังไต้หวัน การแยกกักตัวเพื่อสังเกตอาการจะต้องมีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    นายชิวฯ ระบุว่า "มาตรการดังกล่าวทั้ง 3 ประการ ต้องทำได้จริง ทำแบบลวก ๆ ไม่ได้ การประสานงานเรื่องรับคนไต้หวันกลับมาต่อไป จะต้องมีการเตรียมการอย่างเต็มที่ ตอนนี้กำลังทำความเข้าใจกับฝ่ายจีนอยู่ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงจะดำเนินการขั้นตอนต่อไป"

    https://th.rti.org.tw/news/view/id/2002173
     
  7. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อย.เตือนอย่าหลงเชื่อโฆษณาขายยาต้านไวรัสทางเว็บเพจอ้างช่วยรักษา #ไวรัสโคโรนา ชี้แอบขายมีความผิดจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท เตือนซื้อมาใช้เองอาจทำให้เกิดเชื้อดื้อยา และเสี่ยงได้รับยาปลอม #ThaiPBSnews
     
  8. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รู้ไหม? แพทย์สู้ศึกไวรัสโคโรนาต้องใส่เสื้อผ้ากี่ชั้น
    เพื่อเป็นการปกป้องเจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินการรักษาผู้ป่วย ทีมแพทย์จึงศึกษาและฝึกซ้อมวิธีการใส่และถอดชุดป้องกันอย่างรัดกุมที่สุด ซึ่งเริ่มตั้งแต่การใส่เสื้อกาวน์ทีละชั้น ใส่หมวกและหน้ากากอนามัยจากข้างใน แล้วจึงใส่เสื้อคลุมตัวนอกและถุงมือ โดยพื้นฐานแล้วต้องใส่ชุดป้องกัน 3-4 ชั้น
    #mgronline #ชุดแพทย์ #โคโรนา
     
  9. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ทารกแรกเกิดในหวู่ฮั่นได้ทดสอบพบผลบวกของเชื้อ coronavirus
    A newborn baby in Wuhan has tested positive for the novel coronavirus.
     
  10. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักระบาดวิทยาจีน พบยา 2 ชนิด ใช้ได้ผลยับยั้งไวรัสโคโรน่าฯ-ยอดดับพุ่งใกล้ 500
    เขียนวันที่วันพุธ ที่ 05 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 10:20 น.เขียนโดยthaireform

    ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ในจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ที่ 24,324 ราย - ผู้เสียชีวิต 490 ราย ขณะที่ทีมนักวิจัย จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง เปิดผลการทดลองเบื้องต้นยา 2 ชนิด คือ Abidol และ Darunavir ที่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าฯ ในห้องปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมแนะนำให้ใช้รักษาโรคปอดบวมอู่ฮั่น ภายใต้คำแนะนำของแพทย์



    วันที่ 5 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์ China Daily รายงาน ตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ในประเทศจีนอยู่ที่ 24,324 ราย และยอดผู้เสียชีวิต 490 ราย

    ด้าน China Global TV Network (CGTN) รายงานว่า ทีมนักวิจัยของ Li Lijuanjuan นักระบาดวิทยาที่มีชื่อเสียง จากมหาวิทยาลัยเจ้อเจียงของจีน ได้ประกาศผลการทดลองเบื้องต้นของยา 2 ชนิด คือ Abidol และ Darunavir ที่สามารถยับยั้งเชื้อไวรัสโคโรน่าฯ ในห้องปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ขณะที่การใช้ยาต้านเชื้อเอชไอวี Kelizhi ซึ่งกำลังใช้งานอยู่นั้น นักระบาดวิทยา ระบุว่า ใช้ไม่ได้ผลมากนัก และมีผลข้างเคียง พร้อมกับ แนะนำยาใหม่สองตัวนี้ให้รวมอยู่ในโปรแกรมการรักษาโรคปอดบวมโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

    ส่วนเว็บไซต์ The Center for Systems Science and Engineering (CSSE) มหาวิทยาลัยจอนส์ ฮอปกินส์ (Johns Hopkins) ซึ่งสร้างแผนที่ข้อมูลการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า ณ เวลา 8.00 น. โชว์ลำดับประเทศที่พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรน่าฯ ซึ่งยืนยันแล้ว อันดับ 1 สาธารณรัฐประชาชนจีน อันดับ 2 ประเทศไทย (25 คน) อันดับ 3 สิงคโปร์ อันดับ 4 ญี่ปุ่น และอันดับ 5 ฮ่องกง

    ที่มาภาพ:China Global TV Network (CGTN)

    ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง:https://m.thepaper.cn/newsDetail_fo...d9ZwhfFToF-DW5jM76NOfKLKFOrEAks1-8DM2Aw4z1wl4


    https://www.isranews.org/isranews/85248-corona-85248.html
     
  11. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศ.นพ.ยง แนะไทยป้องกันการระบาดไวรัสอู่ฮั่น ยืดให้เต็มที่ - นานสุด จะสูญเสียน้อย
    เขียนวันที่วันอังคาร ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 18:27 น.เขียนโดย thaireform


    ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญไวรัสวิทยา ชี้สถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าฯ ในไทยยังไม่เริ่ม รวมถึงหลาย ๆ ประเทศ ระบุ หากไม่ทำอะไรเลย หวั่นระบบสาธารณสุขไทยรับไม่ไหว ย้ำชัดหนทางเดียววันนี้ ป้องกันให้เต็มที่ ยึดเวลาการระบาดให้ยาวขึ้น คนไข้ต้องไม่เยอะ ค่อย ๆ รักษาไป แทนที่หมอต้องทำงาน "สั้น เยอะ หนัก" ขณะที่รศ.ยืน ห่วงการติดตามข่าวสารของคนไทย ที่แยกแยะไม่ออก ระหว่างอะไรคือความจริง ความเห็น ข่าวลวง



    วันที่ 4 กุมภาพันธ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเวที "มุมมองใหม่ โรคปอมบวมอู่ฮั่น ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านโค้ดดิ้ง" ณ อาคาร อปร.ชั้น 3

    ตอนหนึ่ง ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก รพ.จุฬาฯ กล่าวถึงความวิตกกังวลของประชาชนเกี่ยวกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า วันนี้ในโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง คนป่วยหลายคนเป็นไข้มักจะร้องขอให้ตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ทำให้บางแห่งฉวยโอกาส เก็บเงินเพิ่มขึ้น ขณะที่ทางการให้คิดราคามาตรฐานอยู่ที่ 2 พันบาท สำหรับการหาเชื้อ ความตื่นตระหนกนี้ กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องออกมากำหนดว่า จะตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรน่าให้ฟรี ก็ต่อเมื่อมีเหตุผล เป็นคนไข้ที่อยู่ภายใต้การวินิจฉัยเท่านั้น นอกเหนือจากนี้กระทรวงฯ ไม่ออกค่าใช้จ่ายให้

    สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่าฯ ในบ้านเรา ศ.นพ.ยง กล่าวว่า การระบาดยังไม่เริ่ม รวมถึงหลาย ๆ ประเทศด้วย ขณะที่ในจีนเอง มีแนวโน้มเริ่มลดลง

    "วันนี้ หากประเทศไทยไม่ทำอะไรเลย ระบบสาธารณสุขจะรองรับไม่ได้ มีทางเดียว คือ การป้องกันโรคระบาดให้เต็มที่ จำนวนคนไข้ต้องไม่เยอะ โดยยึดเวลาการระบาดให้ยาวขึ้น แทนการที่หมอต้องทำงาน "สั้น เยอะ หนัก" และหากสามารถยืดการระบาดได้ เป็นปีก็ไม่ว่า เราจะสูญเสียน้อยที่สุด "คนไข้ไม่เยอะค่อย ๆ รักษาไป"

    ศ.นพ.ยง กล่าวอีกว่า เราไม่อยากเห็นภาพแบบที่เกิดขึ้นที่จีน ที่ต้องสร้างรพ.สนาม บุคลากรทางแพทย์ทำงานหนัก อย่าลืมว่า ชุดป้องกันของบุคลากรทางการแพทย์แบบจีนนั้น ใช้ซ้ำไม่ได้ ต้องใช้ตัวใหม่ ถามว่า หากมีเหตุฉุกเฉินแบบนี้ ประเทศเรามีชุดเพียงพอใส่หรือไม่ ฉะนั้นเราต้องใช้มาตรการเร่งรัด เพื่อยืดการระบาดของโรค หากเกิดขึ้นในประเทศไทย

    "ผมอยากจะบอกถึงความรุนแรงโรคปอดบวมอู่ฮั่น ความรุนแรงน้อยกว่า โรคซาร์ส (Severe Acute Respiratory Syndrome - SARS) และโรคไข้เลือดออกอีโบลา (EVD) ฉะนั้นการระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ไปกว้างทั่วโลก เพราะความไม่รุนแรงของมันนั่นเอง "




    ด้านรศ.ยืน ภู่วรวรรณ อดีตรองอธิการบดีฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และที่ปรึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงการติดตามข่าวสถานการณ์ไวรัสโคโรน่า ว่า วันนี้คนไทยยังแยกแยะไม่ออก ระหว่างอะไรคือความจริง อะไรคือความเห็น และอะไรคือข่าวลวง โดยเฉพาะปัญหาของข้อมูลโรคปอดบวมอู่ฮั่น เราอย่านึกว่าสิ่งที่เขาเขียนมานั้นเป็นความจริงทั้งหมด เพราะยุคสื่อใหม่ มีคนโพสหลายสิบล้านเรื่องต่อวัน มีวิดีโอ คลิป ที่อัพโหลดหลายแสนเรื่องต่อวัน และมีการใช้ เรียกดู หลายร้อยล้านต่อวัน โดยมีผู้บริโภคสื่อหลายสิบล้านคนสร้างเนื้อหา

    "ข่าววันนี้ ความจริงนิดเดียว แต่เมื่อมีการวิจารณ์ แชร์กันต่อจนมีคนเชื่อเยอะแยะ"

    ช่วงท้ายรศ.ยืน ยังระบุถึงวิทยาการคำนวนทางคอมพิวเตอร์กับเรื่องระบาดวิทยา เช่น การดูปริมาณการเดินทางด้วยสายการบินของคนอู่ฮั่นไปไหนบ้าง มาประเทศไทย ญี่ปุ่น กี่หมื่นคน ทำให้เราสามารถทำนายออกมาเป็นแบบจำลองจำนวนผู้ป่วยใหม่ การแพร่เชื้อได้ หรืออัตราการระบาดของโรคได้

    https://www.isranews.org/isranews/85240-corona85038-85240.html
     
  12. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ‘สภาเภสัชกรรม’ เตือนอย่าหลงเชื่อซื้อยารักษาผู้ป่วย ‘ไวรัสโคโรน่า’ ผ่านออนไลน์
    เขียนวันที่ วันอังคาร ที่ 04 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 14:13 น.เขียนโดยThaireform

    สภาเภสัชกรรมห่วงคนไทยตื่นตระหนก ‘ไวรัสโคโรน่า’ ซื้อขนานยาตามรายงานแพทย์ รพ.ราชวิถี ‘LPV/r- Oseltamivir’มาใช้เอง หวั่นถูกหลอกผ่านออนไลน์ ย้ำชัดไม่ใช่สูตรใหม่



    วันที่ 4 ก.พ. 2563 รศ.ดร.ภญ.จิราพร ลิ้มปานานนท์ นายกสภาเภสัชกรรม เปิดเผยถึงกรณียาโลพินาเวียร์/ลิโทนาเวียร์ (lopinavir/ritonavir : LPV/r) และยาโอเซลทามิเวียร์ (Oseltamivir) เพื่อรักษาอาการป่วยจากเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ใหม่ 2019 ในงานแถลงข่าวเรื่อง LPV/r และ Oseltamivir ยารักษาโคโรน่า ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ :กรณีศึกษาพัฒนาคุณภาพระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการเข้าถึงยา ณ ห้องประชุมสภาเภสัชกรรม ชั้น 10 อาคารที่ทำการสภาวิชาชีพด้านสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข

    รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าวว่า สภาเภสัชกรรมให้ความสำคัญในเรื่องการเข้าถึงยาของผู้ป่วย โอกาสผู้ป่วยที่จะได้รับการรักษา ดังนั้น ในกรณีผู้ป่วยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ทำให้เห็นความสำคัญของยา เมื่อเกิดโรคระบาด ไม่ว่าจะเป็น โรคระบาดอุบัติใหม่ หรือโรคระบาดอื่นใดก็ตาม ยาเป็นหัวใจในการรักษา เพราะฉะนั้นในเรื่องของระบบอาจมีปัญหาทำให้ผู้ป่วยเข้าไม่ถึงยา นั่นคือ ทรัพย์สินทางปัญญาหรือสิทธิบัตร

    สิทธิบัตรจึงเป็นเรื่องที่เราต้องเคารพในทรัพย์สินทางปัญญาได้คิดค้นหรือวิจัยสิ่งประดิษฐ์นั้น แต่การวิจัยคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใด ๆ ก็ตาม ต้องได้รับผลตอบแทนเหมาะสม ไม่ใช่การค้ากำไรเกินควร โดยเฉพาะยาที่เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ผู้ป่วยไม่สามารถต่อรองราคาหรือแพทย์ไม่สามารถต่อรองราคา เพราะชีวิตของผู้ป่วยมีความสำคัญ ฉะนั้นระบบทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับสิทธิบัตรต้องเหมาะสม และให้ความยุติธรรม ทั้งผู้ใช้ยาและผู้คิดค้น

    นายกสภาเภสัชกรรม กล่าวยกตัวอย่างกรณีการใช้ยาโลพินาเวียร์/ลิโทนาเวียร์ และยาโอเซลทามิเวียร์ ไม่ว่าจากการรายงานของแพทย์ในประเทศจีนหรือจากแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี พวกเราชื่นชมการทำงานของทีมแพทย์ เภสัชกรและบุคลากรทางสาธารณสุข ช่วยกันดูแลผู้ป่วยติดเชื้อ โดยเฉพาะโรคอุบัติใหม่ เพราะฉะนั้นการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ จึงเป็นโรคอุบัติใหม่ เนื่องจากยังไม่มีแนวทางรักษาหรือยาที่มีผลหรือได้ผ่านการวิจัยค้นคว้าพบว่าใช้ในการรักษา

    จึงเห็นว่า การรายงานจากทีมแพทย์จีน หรือรายงานทีมแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี เป็นความพยายามของทีมแพทย์ เภสัชกร และบุคลากรทางสาธารณสุข ที่ดูแลผู้ป่วยของตนเอง โดยใช้ประสบการณ์ความรู้ของยาที่ใช้ในการติดเชื้อไวรัสที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ซึ่งการใช้ยาต้าน HIV หรือไวรัสไข้หวัดใหม่หรือไข้หวัดรุนแรง เพราะฉะนั้นการใช้ยาดังกล่าวถือเป็นความพยายามในการรักษา และเมื่อได้ผลดี พวกเราชื่นชม แต่ในการรักษาหรือค้นพบ ไม่ใช่การวิจัยหรือพัฒนาตัวยาใหม่ จึงไม่สามารถจดสิทธิบัตรได้ แต่เป็นการค้นพบที่เป็นประโยชน์ในการควบคุมโรค ดังนั้น การรายงานถือเป็นประโยชน์

    รศ.ดร.ภญ.จิราพร กล่าวต่อว่า สิ่งที่สภาเภสัชกรรมกังวล คือ การตื่นตระหนกโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของประชาชนหรือสังคมที่พยายามหาซื้อยา แล้วใช้เพื่อป้องกัน เพราะจะทำให้เกิดเชื้อดื้อยา ที่เราพยายามรณรงค์ให้ใช้ยาสมเหตุผล ทั้งนี้ ยาดังกล่าวมีความจำเป็นที่สำคัญแพทย์พยายามรักษาผู้ป่วย รักษาชีวิต ของผู้ติดเชื้อ เพื่อไม่ให้แพร่ระบาดมาสู่พวกเรา และให้ชีวิตผู้ติดเชื้อ จึงไม่ควรตื่นตระหนกมากเกินไป แล้วนำยามาลองใช้เอง เพื่อป้องกันหรือเข้าใจว่าเป็นไข้หวัดหรือติดเชื้อ แต่หากมีอาการไข้สูงให้รีบพบแพทย์รักษาทันที ทั้งนี้ ไม่สามารถหาซื้อได้ตามออนไลน์ เพราะเป็นยาควบคุมพิเศษ ต้องรับจากสถานบริการเท่านั้น .

    https://www.isranews.org/isranews/85223-news-85223.html
     
  13. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    คนไทย 138 คนจากอู่ฮั่น เดินทางถึงไทยแล้วเมื่อช่วงค่ำวันที่ 4 ก.พ. ซึ่งคนไทยทั้งหมดจะถูกกักตัวไว้ 14 วัน เพื่อเฝ้าดูอาการ ที่บ้านพักรับรองภายในฐานทัพเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019
     
  14. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ยืนยันข่าวกรมการขนส่งทางบกเปิดตรวจสุขภาพคนขับแท็กซี่ฟรีเป็นข่าวจริง โดยจะตรวจในวันที่ 12-13 ก.พ.นี้ ขณะที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา กรมการขนส่งทางบก จัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา #ไวรัสโคโรนา #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
     
  15. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    "ไวรัสโคโรน่าแมว" มีจริงคนละสายพันธุ์ "ไวรัสอู่ฮั่น"
    5 กุมภาพันธ์ 2563 - 17:05 น.




    จากกรณีสำนักข่าว เดลีเมล์ รายงานว่า กระแสหวาดผวาไวรัสอู่ฮั่น ทำให้ทางการจีนสั่งให้ประชาชนทิ้งสัตว์เลี้ยงในบ้าน อ้างว่าอาจเป็นพาหะแพร่เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทั้งที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า ไม่เคยมีหลักฐานว่าไวรัสโคโรน่าจะติดต่อผ่านแมวหรือสุนัขได้

    ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรินทร์ ธีระวัฒนศิริกุล นักวิจัย ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ยืนยันข้อมูลเช่นเดียวกันว่า ไวรัสโคโรน่า เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดโรคในแมวได้เช่นกัน แต่เป็นคนละสายพันธุ์กับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือไวรัสอู่ฮั่น (nCoV-2019) ในทางการแพทย์ได้ตรวจพบไวรัสโคโรน่าในสัตว์มานานแล้ว ซึ่งไวรัสโคโรน่าในสัตว์นั้นเป็นไวรัสที่จำเพาะเจาะจงในแต่ละสายพันธุ์ จะไม่แพร่เชื้อข้ามสายพันธุ์สัตว์ โดยในสุนัขจะมีไวรัสโคโรน่าเฉพาะสายพันธุ์ คือ Canine coronavirus ส่วนในแมวไวรัสโคโรน่าเฉพาะสายพันธุ์ คือ Feline coronavirus (FCoV) ทั้งนี้ ไวรัสโคโรน่าในสุนัขและแมวนั้นคนละสายพันธุ์กัน ดังนั้น เมื่อติดเชื้อจึงจะแสดงอาการต่างกัน

    สำหรับไวรัสโคโรน่าในแมว (Feline coronavirus หรือ FCoV) เป็นไวรัสที่สามารถพบได้ในลำไส้ของแมว โดยมักจะพบการแพร่ของเชื้อไวรัสนี้ได้ในการเลี้ยงแมวร่วมกันหลายตัว และใช้กระบะทรายขับถ่ายร่วมกัน เนื่องจากมีการแพร่เชื้อผ่านการกินอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระที่มีเชื้อ ไวรัสตัวนี้จะก่อให้เกิดโรคทางเดินอาหารในแมว แมวอาจไม่แสดงอาการใดๆ เลย หรือมีอาการลำไส้อักเสบและท้องเสียไม่รุนแรง ไปจนถึงพัฒนาเป็นโรค “เยื่อบุช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว” (FIP) ที่แมวจะมีอาการซึม เบื่ออาหาร หายใจผิดปกติ ไปจนถึงมีอาการที่รุนแรงขึ้นคือ พบของเหลวขังตามช่องอกหรือช่องท้อง และอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด

    ปัจจุบันยังไม่มียารักษาให้หาย หรือวัคซีนที่ป้องกันไวรัสตัวนี้ให้ได้ผลจริงๆ ในการรักษาในปัจจุบันจึงเป็นการรักษาแบบพยุงหรือประคับประคองอาการเท่านั้น สำหรับคำถามที่ว่า “มีโอกาสแพร่จากแมวสู่คนได้หรือไม่ ?” นั้น ปัจจุบันยังไม่มีรายงานใดว่ามีการแพร่กระจายของไวรัสโคโรน่าในแมวมาสู่คน ทั้งจากการคลุกคลีกับแมวหรือการกินแมว แต่คำแนะนำคือ “เราไม่ควรกินสัตว์ที่ไม่ได้มาจากปศุสัตว์เพื่อการบริโภค ให้กินอาหารปรุงสุกใหม่ ๆ สะอาด ใช้ช้อนกลางจะดีที่สุด”

    ทั้งนี้ ในช่วง ปี 2560 - 2562 ที่ผ่านมา ตนและทีมได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่อง “การตรวจคัดกรองโมเลกุลขนาดเล็กที่ยับยั้งโปรติเอสหลักของไวรัสโคโรน่าในแมวโดยใช้แบบจำลองทางคอมพิวเตอร์” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เพื่อศึกษายาหรือสารที่มีโมเลกุลเล็กที่สามารถต้านไวรัสโคโรน่าในแมว ชนิดที่ก่อโรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบติดต่อในแมว ที่มีความรุนแรงมากในแมวอายุน้อย หรือแมวที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำ และมีอัตราการตายสูง



    โดยผลงานวิจัย พบสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กที่ต้านการติดเชื้อของไวรัสและต้านการทำงานโปรตีนของไวรัสโคโรน่าที่ชื่อ 3C - like protease ได้โดยตรง จำนวน 3 สาร ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาต่อเป็นยารักษาโรคในกลุ่มไวรัสโคโรน่าในแมว และโรคไวรัสโคโรน่าอื่นๆ ต่อไป

    ผศ.สพ.ญ.ดร.ศิรินทร์ กล่าวแสดงทัศนะถึงความสำคัญของงานวิจัยที่มีต่อสังคมว่า “งานวิจัยทุกชิ้นมีความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (Basic science) ที่ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่จะศึกษาได้อย่างลึกซึ้ง จากจุดเล็กๆ ทีละส่วนขององค์ความรู้ จะสามารถพัฒนาหรือต่อยอดสมบูรณ์มากขึ้น และทำให้เรารู้เท่าทันและรับมือปัญหาปัจจุบันทันที เช่น สภาวการณ์ที่มีโรคระบาด หรือโรคอุบัติใหม่ เป็นต้น สามารถนำความรู้ที่ได้จากผลงานวิจัยมาต่อยอด ตอบโจทย์ปัญหาในสังคม และช่วยทำให้สื่อสารสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนสังคมได้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ องค์ความรู้ที่เป็นจุดเล็กๆ จากผลงานวิจัยจะสามารถมาพัฒนาให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล ภาคเอกชน ในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในภาวะวิกฤตอย่างกรณีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ เป็นต้น”
    --------------------

    ที่มา : hfocus.org


    https://www.komchadluek.net/news/regional/414993?st=
     
  16. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำรวจจีนสอบสวน ผู้ป่วยติดเชื้อ #ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2 คน เหตุกระทำการที่เป็นอันตรายต่อความปลอดภัยสาธารณะ
     
  17. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โหดกว่าโคโรน่า! ไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ
    5 เดือนตายแล้วกว่า 10,000 ราย
    ในระหว่างที่ผู้คนทั่วโลกต่างกำลังหวาดกลัวกับเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ 2019 ในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งทำให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกือบ 18,000 ราย และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 400 ราย ในสหรัฐอเมริกากลับมีโรคระบาดที่รุนแรงและคร่าชีวิตชาวอเมริกันไปแล้วกว่า 10,000 รายภายในระยะเวลา 5 เดือนเท่านั้น!
    โรคที่ว่าก็คือ “ไข้หวัดใหญ่” โดยข้อมูลของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐอเมริกา ระบุว่าฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ปี 2019-2020 (ซึ่งนับตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2019 ถึงพฤษภาคมของปี 2020) ได้มีชาวอเมริกันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่จำนวนกว่า 19 ล้านราย โดยที่ 180,000 รายมีอาการหนักขนาดต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และมีผู้เสียชีวิตไปแล้วกว่า 10,000 ราย
    “ในสหรัฐอเมริกา ความหวาดกลัวมันเกิดขึ้นจากการให้ข้อมูลของสื่อและความแปลกใหม่ของโรค” ดร.เจนนิเฟอร์ ไลท์เตอร์ นักระบาดวิทยาประจำศูนย์สุขภาพ NYU Langone Health พูดถึงเชื้อโคโรนาไวรัส
    “ในความเป็นจริง ผู้คนควรให้ความใส่ใจในการดูแลป้องกันตัวเองจากไข้หวัดใหญ่ ซึ่งได้คร่าชีวิตชาวสหรัฐฯ ไปแล้วกว่า 10,000 ในเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา” ดร.ไลท์เตอร์กล่าวถึงสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ
    ถึงอย่างไรก็ตาม จากตัวเลขทางสถิติระบุว่า เชื้อไวรัสโคโรนาก็ยังมีความน่ากลัวกว่าไข้หวัดใหญ่ตรงที่สัดส่วนผู้เสียชีวิตต่อผู้ป่วยซึ่งอยู่ที่ราว 2% ในขณะที่ผู้เสียชีวิตจากไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐฯ นั้นคิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.095% เท่านั้น
    ทั้งนี้จากตัวเลขทางสถิติพบว่าในฤดูกาล 2018-2019 มีชาวอเมริกันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่กว่า 35.5 ล้านราย และเสียชีวิตไปกว่า 34,147 ราย ในขณะที่ฤดูกาล 2017-2018 มีชาวอเมริกันป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ถึง 45 ล้านรายและเสียชีวิตไปกว่า 61,000 ราย
    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา:
    - https://edition.cnn.com/2020/01/30/health/flu-deadly-virus-15-million-infected-trnd/index.html
    - https://www.cnbc.com/2020/02/03/the...cross-us-as-world-frets-over-coronavirus.html
    - https://www.medscape.com/viewarticle/924728
     
  18. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ประเทศไทยประเทศแรก ลดดอกเบี้ยสู้พิษโคโรน่าเหลือ 1% ต่ำสุดใประวัติการณ์และต่ำสุดในภูมิภาค อีกทั้งยังขอความร่วมมือแบงก์ให้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบเพื่อหวังอุ้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
    แถลงข่าวผลการประชุม กนง. วันนี้ กนง. แสดงความกังวลเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวต่ำกว่าคาด หลังหลายปัจจัยรุมเร้าทั้ง การระบาดของไวรัสโคโรน่า ความล่าช้าของงบประมาณ และปัญหาภัยแล้งที่รุมเร้าเข้ามา
    คณะกรรมการ กนง. ทั้ง 7 คนเห็นพ้องกัน ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจาก 1.25% เหลือ 1% ต่ำสุดในประวัติการณ์ ระบุมาตรการการเงินการคลังต้องสอดรับกัน
    หวังช่วยพยุงเศรษฐกิจ ลดภาระดอกเบี้ยภาคธุรกิจและประชาชน
    โดยก่อนหน้านี้ แบงก์ชาติได้ออกมาขอความร่วมมือให้ทั้งแบงก์พาณิชย์ และ non-banks หาแนวทางช่วยเหลือกลุ่มลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า ทั้งการเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน พักหรือขยายเวลาชำระหนี้
    #แบงก์ชาติแอคชั่นเร็ว #กนง #ธปท #ลดดอกเบี้ย #Alltimelow #ดอกเบี้ยไทยต่ำสุดละ #โคโรน่าไวรัส #ภัยแล้ง #เสียบบัตรสกัดงบ #ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ #นโยบายการคลังที่เป็นอดีตไป #ต่ำกว่าgrowthก็ดอกเบี้ยนี่แหละ
    เพิ่มเติม
    - ผลการประชุม กนง. https://www.bot.or.th/Thai/PressandSpeeches/Press/2020/Pages/n0563.aspx
    - หนังสือเวียน เรื่อง การขอความร่วมมือให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
    Source: F/X insight
    https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2563/ThaiPDF/25630022.pdf
     
  19. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การเข้าสู่สภาพจำศีลอาจช่วยให้นักบินอวกาศเดินทางไปดวงดาวที่อยู่ห่างไกลได้ วิทยาศาสตร์ได้ก้าวไปไกลถึงไหนที่จะทำให้การจำศีลในอวกาศเป็นจริงขึ้นมา และดอร์เมาส์หรือที่คนไทยเรียกกันว่ากระรอกจิ๋ว เป็นกุญแจสำคัญในเรื่องนี้อย่างไร
     
  20. สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,303
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เดือนมกราคมที่ร้อนที่สุดของโลกและยุโรป ยุโรปประสบลมร้อน อุณหภูมิสูงถึง 20+C
    เดือนมกราคมที่ผ่านมา เป็นมกราคมที่ร้อนที่สุดของโลก สูงกว่าปกติ 0.77 C จากค่าเฉลี่ยปี 1980-2010 ( ชนะปี 2016 ที่มี El Nino สถิติเดิม ) แต่ถ้านับเฉพาะยุโรป ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปี 1980-2010 ถึง 3C แถมในบางพื้นที่ของยุโรป สูงกว่าปกติถึง 6C หลายคนอาจจะคุ้นๆว่าต้นปีนี้ รัสเซียไม่มีหิมะตก และอุณหภูมิที่ Scandinavia สูงถึง 6 C ( ซึ่งปกติติดลบ)
    ปีนี้อากาศร้อนไม่ได้จำกัดอยู่ที่ยุโรปเท่านั้น แต่ครอบคลุมไปถึง อเมริกา แคนาดาฝั่งตะวันออก ญี่ปุ่น บางส่วนของจีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งออสเตรเลีย
    จากรายงาน IPCC ที่ระบุว่าโลกต้องคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงเกิน 1.5 C เทียบกับยุคpreindustrial แต่จากข้อมูลของสถาบัน Copernicus ช่วง12 เดือน ที่ผ่านมา อุณหภูมิโลกสูงขึ้นไปแล้ว 1.25 C
    ต้นกุมภาพันธ์ล่าสุด ลมร้อนแผ่ทั่วยุโรปตอนใต้ สเปน ตอนใต้ฝรั่งเศส และอิตาลี อุณหภูมิสูงถึง 26-28C , Turin และ Cuneo อุณหภูมิสูงถึง 27 C ร้อนที่สุดเท่าที่เคยวัดมาของฤดูหนาว , ตอนใต้ Switzerland วัดได้ 24C ในขณะที่ Valencia สูงถึง 28.4 คาดว่าคลื่นความร้อนนี้จะปกคลุมยุโรปตอนใต้ในสัปดาห์นี้ จะมีอากาศหนาวกลับมาปกคลุมอีกครั้ง
    https://climate.copernicus.eu/surface-air-temperature-january-2020
    https://www.severe-weather.eu/recent-events/27c-nw-italy-extreme-warmth-mk/
     

แชร์หน้านี้