Rodolfo Brenes
925 ราย หายโรคในอิตาลีใน 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา
ติดตามสถานะการณ์
ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.
หน้า 3734 ของ 11171
-
-
Rodolfo Brenes
เมฆ lenricular ใน Bournemouth, สหราชอาณาจักร
-
ต้องการความชัดเจน
• บริษัท MP Med Group หรือ MP Group (Thailand) ขอยกเลิกใบอนุญาตนำเข้าชุดตรวจหาเชื้อ COVID-19 จากจีน 'หลังพบปัญหาในสเปน'
• นาย 'อนุทิน ชาญวีรกูล' รองนายกรัฐมนตรี และ 'รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข' สั่งสอบทำไมผ่านการประเมินมาตรฐานจาก 'กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์' รวมทั้ง 'สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา' (อย.) อนุญาตให้เข้ามาใช้ในประเทศไทย
-
#ข่าวด่วน #ข่าวสั้น (29 มีนา 06:37 น.) พี่คิมส่ง Morning call มาด้วยขีปนาวุธ (Ballistic Missile) แต่เช้าตรู่ประมาณ 6 โมงนิด ๆ แต่เข้ามาไม่ถึงพื้นที่ญี่ปุ่นและคาดว่าไม่ตกในพื้นที่ EEZ ในทะเล
หรือ พี่คิมอยากให้โลกไปสนใจแกบ้าง? งอน??
#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #เกาหลีเหนือ
ภาพ: NHK
-
#ข่าวด่วน (28 มีนา 20:44 น.) พบผู้ติดเชื้อ 57 ราย รวมติดทั้งหมด 58 รายแล้ว
(20:05 น.) พบผู้ติดเชื้อถึง 56 ราย ในสถานดูแลผู้ทุพพลภาพที่เมืองโทโนะโช (มาจิ) จ. ชิบะ
ชื่อ 北総育成園: โฮคุโซอิคุเซเอ็น
ผู้ติดเชื้อ 57 ราย : พนักงาน 31 ราย คนในศูนย์ 26 ราย
↓
(ก่อนหน้านั้น)
28 มีนา บ่าย: พบพนักงานประกอบอาหาร วัย 40s อาศัยเมืองคะโทริ
↓
จากนั้น ตรวจผู้สัมผัสใกล้ชิด พบอีก 57 ราย
#กิ๊ฟจังนั่งเล่า #ข่าวญี่ปุ่น #เกาะติดไวรัสโคโรนา
#เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #อู่ฮั่น #COVID-19 #โควิด19
障害者福祉施設で57人感染確認 千葉 東庄町 新型コロナ https://www3.nhk.or.jp/news/html/20200328/k10012355661000.html
-
#สถิติ จำนวนตรวจ PCR ในญี่ปุ่น : ความแตกต่างที่ชัดเจนของวาคายามะโมเดล
จ. วาคายามะพบติดเชื้อในรพ. จังหวัดแรก ๆ และติดอย่างรวดเร็ว แต่สามารถควบคุมเอาไว้ได้ที่ 17 ราย สาเหตุนอกจากผู้ว่าฯ เก่งแล้ว ทางรายการทีวียังเอา “จำนวนเคสของคนที่ได้รับการตรวจ หลังโทรไปปรึกษาอนามัยจังหวัด” มาเปรียบเทียบด้วย
โตเกียว: 1.5% (100 คนโทรไปปรึกษา 1.5 คนได้ตรวจ)
โอซาก้า: 3.5%
เฮียวโกะ (โกเบ): 1.8%
วาคายามะ: 35% !!!!!!!!!
หลายคนมองว่า การตรวจเป็นสิ่งที่ดีแต่ก็ยังมีเสียงต่อต้านมากมายว่าจะทำให้ระบบการแพทย์ล่มสลาย
———(ภาพที่ 2)———-
สถิติค่ะ ว่าง่าย ๆ คือประมาณ 70 วันที่ผ่านมา
ญี่ปุ่นตรวจไป 24,663 ราย // ค่าเฉลี่ยวันละประมาณ 350 ราย
ไอจิตรวจเยอะที่สุด 2,204 ราย
โตเกียว 2,182 ราย
เฮียวโกะ 2,031 ราย
วาคายามะนั้น 1,405 ราย
ย้อนกลับไปดู % คนได้ตรวจด้านบน เทียบจำนวนประชากร......(โตเกียวประมาณ 10 ล้านคน)
———(ภาพที่ 3)———-
ความสามารถในการตรวจ PCR ตอนนี้อยู่ที่วันละ 4,352 ราย (ทั่วประเทศรวมกัน)
อันโตเกียวของเรานั้น....อยู่ที่ Max 220 รายต่อวัน
✒️คงไม่ต้องกลัวเลขพุ่งเป็นพันนะคะ .. โตเกียวเต็มที่ก็เท่านี้แหละค่ะ
อาจจะส่งไปให้ชิบะช่วยด้วยเพราะมากสุดเลยได้ถึง 504
————
✒️จนถึงตอนนี้คนก็ยังเถียงว่า ตกลงควรหรือไม่ควรตรวจ มีการสรุปความเห็นฝ่ายต่อต้านการตรวจเยอะ ได้ด้งนี้ค่ะ
-> ตรวจเยอะ เลขเยอะ ประเทศโดนมองไม่ดี คนบุกไปรพ. เยอะ ห้องล้น ระบบการแพทย์ล้มเหลว มองที่จำนวนคนตายสิ เราน้อยกว่าเกาหลีใต้ จีน อิตาลี
—> ตรวจน้อย เลขน้อย ประเทศอิมเมจโอเค รพ. ไม่ล้น แต่เดี๋ยวพอเจอคลัสเตอร์ระเบิดทีเดียว อาจเจ๊งหมู่..... ดังนั้นต้องคุมคลัสเตอร์ให้ดี <—- รัฐบาลญี่ปุ่นทำแบบนี้อยู่ คือ เน้นการควบคุมคลัสเตอร์ค่ะ
✒มารอชมกันนะคะว่าวิธีไหนดีกว่ากัน วันนี้นายกอาเบะกำลังจะแถลงด่วน ไว้จะมาสรุปให้ฟังนะคะ
ข้อมูลจาก : กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น / เว็บเมืองโตเกียว/ toyokeisai
https://www.mhlw.go.jp/content/10900000/000614570.pdf
https://www.mhlw.go.jp/content/10900000/000614564.pdf
https://stopcovid19.metro.tokyo.lg.jp
-
#น้ำตาลูกบ้าน
สุดยอดน้ำใจคนไทยในยามวิกฤต น้ำตาไหล เมื่อเจ้าของบ้านเช่าให้คนงานที่หาเช้ากินค่ำ 400 คน ที่เช่าอยู่ 80 ห้อง อยู่ฟรี โดยไม่เก็บค่าเช่าเป็นเวลา 2 เดือน
-
ไขคำตอบ โควิด 19 ติดต่อผ่านทางดวงตา ได้หรือไม่
ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยคุกคามทางสาธารณสุขครั้งใหญ่ในขณะนี้จากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือ โควิด 19 จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ภาครัฐได้บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนในการคัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคอย่างเข้มข้น
แพทย์หญิงสายจินต์ อิสีประดิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง) กล่าวว่า โรคที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ที่กำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ มีอาการเหมือนไข้หวัดใหญ่ มีการศึกษาวิจัยในประเทศจีน พบว่าผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 จะมีอาการตาแดงร่วมด้วยประมาณ 0.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีรายงานการตรวจพบเชื้อไวรัสนี้ในน้ำตา และสารคัดหลั่งเยื่อบุตาอีกด้วย ซึ่งเชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้ผ่านสารคัดหลั่งเช่นน้ำมูก น้ำลายที่มีเชื้อโรคผ่านทางระบบทางเดินหายใจจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้
มีคำถามที่ประชาชนให้ความสนใจว่า ไวรัส โควิด 19 จะติดต่อทางตาได้หรือไม่?
แพทย์หญิงดวงดาว ทัศณรงค์ จักษุแพทย์เชี่ยวชาญโรงพยาบาลเมตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ชี้แจงว่า เนื่องจากดวงตามีทางติดต่อกับโพรงจมูกโดยมีการระบายน้ำตา และสารคัดหลั่งเยื่อบุตาผ่านท่อระบายน้ำตาเข้าสู่โพรงจมูก ดังนั้น ถ้าได้รับเชื้อเข้าสู่ดวงตาในปริมาณที่มากพอ เช่น ถูกไอหรือจามใส่หน้าโดยตรงและมีสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าสู่ดวงตา ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่ สารคัดหลั่งเหล่านี้จะถูกระบายเข้าสู่โพรงจมูก
แต่โดยทั่วไปแล้ว ไวรัสที่ก่อให้เกิดโรค COVID-19 ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ด้วยตัวมันเอง แต่จะอยู่ในน้ำมูก หรือ น้ำลายของผู้ป่วยที่ถูกไอหรือจามออกมา ดังนั้น ถ้าเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมปกติโดยทั่วไป โอกาสที่จะมีไวรัสลอยเข้ามาสู่ดวงตา และระบายเข้าสู่เยื่อบุโพรงจมูกนั้นเป็นไปได้ต่ำมาก และปัจจุบันยังไม่มีรายงานการติดเชื้อผ่านทางดวงตา ส่วนการติดเชื้อจากการได้รับเชื้อจากน้ำตาหรือสารคัดหลั่งเยื่อบุตาของผู้ป่วยนั้น เนื่องจากมีรายงานการพบเชื้อ COVID-19 ในน้ำตาและสารคัดหลั่งเยื่อบุตา
ดังนั้น ถ้ามีการสัมผัสของสารคัดหลั่งดังกล่าวจากตาผู้ติดเชื้อ และนำเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ ก็อาจมีโอกาสที่จะติดเชื้อได้ ถ้าในสารคัดหลั่งดังกล่าวมีเชื้อไวรัสนี้อยู่
ข้อมูลเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2563 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าการะบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่ยังไม่ประกาศจำกัดการเดินทางสำหรับประเทศไทยได้ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 ประกาศ ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2563 และประกาศให้ประเทศจีน เกาหลีใต้อิตาลี และอิหร่าน เป็นเขตโรคติดต่ออันตราย เมื่อวันที่ 5 มีนาคุม 2563 แนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเขตโรคติดต่ออันตราย หากไม่มีความจำเป็นกรณีที่จำเป็นต้องเดินทางไปพื้นที่ที่มีการระบาด ควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำวิธีป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างเคร่งครัด คือ
หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ
ไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอ จาม
เลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุก ทั้งเนื้อสัตว์ไข่ และผักสด ผลไม้
หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำและสบู่นานอย่างน้อย 20 วินาที หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือลูบมือจนกว่าจะแห้ง
ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า, แก้วน้ำ, ผ้าเช็ดตัว เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หากมีความจำเป็นต้องเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง หลังเดินทาง แนะนำให้สังเกตอาการ ภายใน 14 วัน หากมีไข้ ร่วมกับอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอมีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย แล้วล้างมือ และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ปอดบวม และอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
Source : #Springnews #สปริงนิวส์
-
เหตุเกิดที่ ‘วิสคอนซิน’ เหยียดเชื้อชาติ กรณี‘ไวรัส โควิด-19’ ลามเข้าสถาบันการศึกษา
.
โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยวิสคอนซินประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องเกิดตั้งแต่เกิดเหตุระบาดของไวรัสโคโรนาทำให้เกิดการเหยียดและมีการกล่าวถ้อยคำเหยียดคนจีนและคนเอเชียโดยอ้างอิงถึงไวรัสบ่อยครั้งใน social network แล้วประจวบจากประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์เรียกเชื้อนี้ว่าไวรัสจีน การเหยียดยิ่งชัดเจนและรุนแรงมากขึ้น จนเกิดเหตุล่าสุดมีการเอาชอล์กเขียนเป็นถนนด้วยถ้อยคำเหยียดคนเอเชีย และเป็นข่าวไปสู่ภายนอกจนทางมหาวิทยาลัยได้รับคำวิจารณ์และออกมาแถลงว่าจะสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดครั้งนี้
ซึ่งในสหรัฐอเมริกานั้นการเหยียดเชื้อชาติ เพศ สีผิวถือเป็นอาชญากรรมอย่างหนึ่ง ปกติแล้วเรื่องราวที่เกิดในสังคมมหาวิทยาลัยมักถือเป็นเป็นเรื่องภายในและมีการจัดการกันเอง แต่เมื่อมันได้ถูกเปิดออกและได้รับการวิจารณ์จากสังคมภายนอกอย่างรุนแรง
#isranews #สำนักข่าวอิศรา #โควิด19
-
ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานลาว พบว่า แรงงานลาวกลับบ้าน 7 หมื่นคน เป็นแรงงานถูกกฎหมาย 10% ที่เหลืออีก 90% เป็นประชาชนลาวที่ลักลอบเข้าไปทำงานในไทย #ลาว #เป็นเรื่องเป็นลาว
-
... "ใช้ไวรัสเพื่อปล้นทองคำทั่วโลก? "
... ในช่วงสงครามโลกการจะซื้อของหรือกู้เงินนั้นหลายกรณีจะต้องจ่ายเป็นทองคำ โดยเฉพาะถ้าสกุลเงินประเทศผู้กู้นั้นอ่อนค่าหรือเฟ้อมาก เช่นเยอรมันก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ฮิตเล่อร์มีแผนจะบุกทั่วยุโรปเพื่อปล้นทองคำจากธนาคารชาติ มาสร้างกองทัพแทนเงินมาร์คที่เป็นอัมพาต
... "ช่วงใกล้จบสงครามWW2 และก่อนBretton woods สกุลเงินทั่วโลกไม่เสถียรแกว่งไปมา จึงเกิดเป็นข้ออ้างให้ดอลล่าร์เป็นสกุลเงินชายเดี่ยว, เอาเงินดอลล่าร์เป็นสกุลหลักหลายประเทศในยุโรปส่วนใหญ่จะเอาทองคำมาซื้อดอลล่าร์ที่เป็นสกุลเดียวในการผูกกับทองคำที่35ดอลลาร์ต่อออนส์ แล้วเอาดอลลาร์มาจับจ่ายรวมทั้งการกู้เงินก็เป็นเงินดอลล่าร์เพื่อไปฟื้นฟูประเทศหลังสงครามที่ย่อยยับ " ทองคำ" จึงไหลไปอยู่ที่อเมริกา
... ก่อนการยกเลิกระบบ Bretton woods ในปี1971 นั้นอเมริกาควบคุมการไหลเวียนของทองคำประมาณ 2 ใน3 ส่วนของโลกทั้งหมด
... ในภายหลังปี1971 ก็เคยมีแนวคิดที่จะจ่ายหนี้ "ไอเอ็มเอฟ" เป็นทองคำ จากประเทศผู้ต้องการกู้หรือลูกหนี้ ทั้งๆที่ช่วงหลังปีนั้น เป็น "ระบบเงินเฟียต" ที่พิมพ์เงินจากกระดาษและอากาศ
... ถ้าวิกฤติไวรัสครั้งนี้โดมิโนเป็นวิกฤติการเงินเพื่อต้องกู้มาเยียวยา พยุงการเงิน เศรษฐกิจและประชาชนในประเทศต้องถูกบีบให้เดินลงหลุมกับดักเพื่อกู้เงินไอเอ็มเอฟหรือธนาคารโลกหรือสถาบันการเงินโลกอีกครั้ง
... หลายประเทศที่เป็นเหยื่อทั้งการแพทย์และการเงิน เริ่มมองหาสถาบันการเงินเพื่อกู้แล้ว เช่นอิตาลี และไทยเรา ( ลุงนักการเมืองจากประเทศหนึ่งในเอเชียประกาศมาอยากให้กู้ไอเอ็มเอฟ เพื่อมาสู้ไวรัส... ขายรถได้ก็มีค่าคอมมิชชั่น? )
... มันจะเสมือน" การอพยพทะลักทองคำจากทั่วโลก" ไหลบ่าไปจากประเทศผู้ถูกล่า ผู้กู้ไปสู่ประเทศนักล่าครั้งใหญ่เหมือนสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่2 ซึ่งก็คืออเมริกาและยุโรป โดยที่ไม่ต้องใช้เรือปืนเลย มีแค่ไวรัสช่วยเหลือ? ผ่านไอเอ็มเอฟหรือสถาบันการเงินในเครือข่ายนักล่า
... หรือมันคือ "แผนการปล้นทองคำอย่างแนบเนียนครั้งใหญ่" โดยใช้ไวรัสแบบที่เกิดในอดีต? ก่อนการรีเซ็ตระบบการเงินโลกใหม่เหมือนปี1944?"
.
... https://www.gold.org/about-gold/history-of-gold/bretton-woods-system
https://ahvalnews.com/imf-turkey/imf-loans-should-be-paid-gold-not-dollars-erdogan#
-
ช็อก สหรัฐฯ ติดเชื้อโควิด-19 ทะยาน 120,000 รายตายเกิน 2,000 คน
สหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสโควิด-19 มากกว่า 2,000 คนแล้วรวมถึงเด็กทารกในรัฐอิลลินอยส์ ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมพุ่งไปถึง 120,000 ราย
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline
-
โควิด-19 คร่าแล้ว 30,000 ศพทั่วโลก ติดเชื้อสะสม 659,000 ราย
ผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกมีมากกว่า 30,000 คนแล้ว โดยเกินครึ่งอยู่ในทวีปยุโรป ขณะที่มีผู้ติดเชื้อสะสมเกือบ 660,000 ราย
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline
-
John Traczyk
28, 29 มีนาคม, 2563 การรบกวนในmagnetotailของสนามแม่เหล็กโลกยังคงดำเนินต่อไป 12:56 / 16:24 / 21:42 / 02:42
March 28, 29, 2020. Disturbances in the magnetotail of earth's magnetosphere continue. 12:56 / 16:24 / 21:42 / 02:42
-
หลังจากนี้เงินจะไหลไปที่สินทรัพย์ไหน..?
อันนี้เป็นความคิดเร็วๆ แบบยังไม่ได้กลั่นกรองอะไรมากนัก
และตั้งอยู่บนสมมติฐานว่า สถานการณ์โรคระบาดจะถูกควบคุมได้ และไม่เลวร้ายถึงระดับขีดสุดนะครับ
คือเราเห็นว่า เงินดอลล่าร์แข็งค่าหนัก จากการที่คนแห่เข้าไปถือพันธบัตรสหรัฐ รวมถึงการดึงเงินสดกลับของสถาบันการเงินสหรัฐเพื่อเตรียมความพร้อมรับแรงกระแทก
ผลที่ตามมาคือ ดอลล่าร์แข็งค่าพรวด ทั้งๆ ที่สหรัฐจัดเต็มทั้งนโยบายการเงินและการคลัง อัดฉีดเต็มที่ ทั้ง QE ไม่อั้น เงินมหาศาลที่พยายามจะอัดฉีดให้ถึงรากหญ้าและ SME ให้ได้
ภาพนี้เกิดตามมาทั้งโลก คือ การอัดฉีดเงินเพื่อยื้อชีวิตให้กับประชาชน ที่ตกงาน ธุรกิจหยุดชะงัก ฯลฯ
คำถามสำคัญคือ ถ้าเป็นแบบนั้น หลังจากนี้ เงินจะฝืดหรือจะเฟ้อ..?
ถ้าการอัดฉีดได้ผล เงินส่งตรงถึงรากหญ้าจริง เงินจะเริ่มหมุน velocity of money จะเพิ่มขึ้น และจะช่วยให้เศรษฐกิจไม่ล่มสลาย
แต่ถ้าการอัดฉีดไม่ได้ผล คนยังคงไม่มีเงิน ท้ายที่สุดแล้วเงินไม่หมุน เศรษฐกิจพังเบ็ดเสร็จทั้งโลก
แต่ไม่ว่าเงินจะหมุนได้ดีหรือไม่หมุน สิ่งหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ คือ เงินฝืดอาจจะมาพร้อมๆ กับเงินเฟ้อ
คำถามมีมาตลอดว่า สินทรัพย์แทบทุกชนิดบนโลกตกลงหมด ไม่เว้นแม้กระทั่ง commodity, ทองคำ, น้ำมัน แล้วเงินไปที่ไหน
ปัจจุบันเงินส่วนใหญ่เป็นเงินสด ถูกสำรองไว้เพื่อปัญหาวิกฤติสภาพคล่อง และจำนวนมากอยู่ในตลาดพันธบัตรสหรัฐ
แต่หลังจากนี้ล่ะ เมื่อภาพของสถานการณ์เริ่มชัดแล้ว เงินจะไหลไปที่ไหนนะ
1. ผมคิดว่าอัตราดอกเบี้ยแต่ละประเทศลดลงไปอีกไม่ได้มากนัก อาจจะกล้าๆ ลดดอกเบี้ยลงไประดับติดลบได้บ้าง แต่ room ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นผมเชื่อว่าหลังจากนี้ในระยะ 3-6 เดือน เงินน่าจะเริ่มไหลเข้าพันธบัตรลดลง
2. ถ้าวิกฤติสภาพคล่องเริ่มชัดเจน คาดการณ์อนาคตได้บ้าง เงินสดน่าจะไหลกลับสินทรัพย์อื่นๆ การถือเงินสดอาจจะลดลง (แต่ก็น่าจะยังเยอะมากอยู่)
3. การอัดฉีดเงินจำนวนมาก ระยะยาวน่าจะ impact กับค่าเงิน เมื่อการเข้าซื้อพันธบัตรลดลง การถือเงินดอลล่าร์ลดลง ดอลล่าร์น่าจะไม่แข็งไปมากกว่านี้
4. ทองคำ/Bitcoin ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นแหล่งพักเงินแหล่งหนึ่ง
5. ตลาดหุ้น อันนี้ปัจจัยพื้นฐานน่าจะแย่ลงมาก จากวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น ตลาดหุ้นไม่น่าจะเป็นตลาดกระทิงได้ แม้หุ้นจะขึ้น ก็น่าจะเป็นการขึ้นอย่างเปราะบาง ถ้าเราเข้าสู่ recession จริงๆ
6. แต่ผมคิดว่า สินทรัพย์หนึ่งที่อาจจะกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้ง สินทรัพย์ที่ฝืดเคืองและวิ่งเป็นขาลงมาตลอด 10 ปี นั่นคือ ตลาด commodity ครับ
ทั้งๆ ที่ตามทฤษฏีแล้ว ช่วง recession น่าจะเงินฝืด และ commodity น่าจะตกลง แต่รอบนี้ผมคิดว่าเกมมันแตกต่างไปจากเดิม จากการพยายามฝืนอัดฉีดของภาครัฐที่สร้างหนี้แบบไม่อั้น เงินตรงนี้ (น่าจะ) ส่งตรงถึงประชาชน (ย้ำว่า แนวคิดนี้อาจจะเป็นจริง ก็ต่อเมื่อเงินถูกอัดฉีดตรงจุด ถึงมือประชาชนและพวกเค้ามีชีวิตต่อได้ไม่อดตายนะครับ)
การบริโภค โดยเฉพาะสิ่งจำเป็นต่อชีวิตอย่างสินค้าโภคภัณฑ์ ไม่น่าจะเลวร้าย (อันนี้ความเชื่อส่วนตัว สุดท้ายจะจริงไหม คงต้องขอดูอนาคตที่จะถึง ถึงจะเห็นคำตอบนะครับ)
ด้วยเหตุผลพื้นฐานที่ผมเชื่อว่า commodity คือของจริง ที่คนยังต้องบริโภค ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่ยังไง สินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะ soft commodity คือของจำเป็นที่ส่วนใหญ่คนต้องกินต้องใช้ (ต่างจากช่วง QE ตอน subprime ที่เงินไหลออกจาก commodity เพราะช่วงนั้นเงิน QE ไหลเข้าตลาดทุนอย่างหนัก เพราะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงฟื้นตัว หรือถ้าเทียบกับช่วง the great depression ตอน 1929 ที่ราคา commodity พังเพราะ oversupply แต่อย่าลืมว่ายุคนั้นยังไม่มี keynesian อัดฉีดเงินถึงมือรากหญ้าแบบปัจจุบัน)
ผมคิดว่าหลังจากนี้ ในระยะ 6 เดือนถึง 1 ปี เงินอาจจะเริ่มไหลเข้าสู่ตลาด commodity ราคา commodity อาจจะเริ่มสูงขึ้น (แม้ดอลล่าร์จะยังแข็งโป๊กก็ตาม)
PS. อันนี้คิดเล่นๆ เร็วๆ โดยที่ยังไม่มีข้อมูลมา back up นะครับ ถ้ามีข้อมูลในมือเพิ่มขึ้น ความคิดนี้อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้
-
QE และดอกเบี้ยติดลบ ก็คือภาษีประเภทหนึ่ง
การอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจโลกอย่าง QE ที่หลายๆ ประเทศทำกัน ในอนาคต ไทยก็อาจจะเลี่ยงไม่ได้ (แม้ผมจะยังเชื่อว่า ไทยและประเทศเล็กๆ อื่นๆ ไม่ควรทำ QE ก็ตาม)
อยากให้คิดในมุมนี้ครับ ว่า QE และดอกเบี้ยติดลบ คือภาษีประเภทหนึ่ง
ในอนาคตมนุษย์อย่างเราๆ จะโดนภาษีกันจากอะไรบ้าง..?
1. Income Tax
หรือ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (tax on income)” นั่นคือ เมื่อคุณมีรายได้ คุณจะต้องแบ่งส่วนหนึ่งของรายได้ที่คุณหามาได้ให้กับรัฐบาล เฉพาะคนที่มีรายได้เท่านั้นที่จะเสียภาษีตรงนี้
2. VAT
ก็คือ “ภาษีจากการบริโภค (tax on consumption)” ทุกครั้งที่คุณควักกระเป๋าใช้จ่าย รัฐบาลจะดึงเงินส่วนนึงไปจากคุณ (VAT นี้โหดกว่าภาษีบุคคลธรรมดาอีก เพราะมันเก็บกับทุกคนที่มีรายจ่าย โดยไม่สนใจว่าเค้าจะมีรายได้หรือไม่ เด็ก 5 ขวบซื้อไอติมก็ไม่เว้น)
3. QE
ก็คือ “ภาษีจากการมีเงิน (tax on money)” ใครก็ตามที่มีเงินในกระเป๋า เงินของคุณจะเจือจางลงจากปริมาณเงินที่ถูกธนาคารกลางพิมพ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าคุณจะบริโภคหรือไม่ มีงานทำหรือไม่ (อันนี้โหดกว่า VAT นะ เพราะ แม้แต่เด็ก 5 ขวบที่มีเงินในกระเป๋า แม้ไม่ซื้อไอติม เก็บเงินไว้เฉยๆ ก็จะโดนภาษีจาก QE)
4. Negative interest rate
และเมื่อคนยังไม่ยอมไม่ใช้เงิน Negative interest rates จึงเกิดขึ้น ซึ่งมันก็คือ “ภาษีจากเวลา (tax on time)” ใครก็ตามที่ถือเงินไว้นานๆ เงินคุณจะลดลงจากดอกเบี้ยที่ติดลบ (อันนี้โหดกว่า QE เพราะนอกจากมูลค่าของเงินจะจะเจือจางลงจาก QE แล้ว จำนวนเงินก็ยังลดลงจากอัตราดอกเบี้ยติดลบอีกด้วย)
ลองจินตนาการภาพรัฐ "พิมพ์เงิน" ออกมาจำนวนมากแล้วเอามาแจกเงินคนที่ไม่มีเงินนะครับ (ขอตั้งสมมติฐานว่าเป็นการแจกอย่างโปร่งใสและยุติธรรม)
- เงินที่พิมพ์ออกมาจะไหลไปยังกระเป๋าคนจน
- ในขณะที่คนที่มีเงิน จะโดนภาษี QE และ Negative Interest Rate ตลอดเวลา
คิดอีกแง่ มันคือการ rebalance เงินในกระเป๋า โดยโยกเงินจากกระเป๋าคนมีตังค์ ไหลไปยังกระเป๋าคนไม่มีตังค์นั่นแหละ
ถ้าคิดตามแนวคิดนี้ ใครที่มีเงินยิ่งมาก คุณก็จะยิ่งโดนภาษีมากขึ้นจากการ QE และ Negative interest rate ใครที่มีเงินน้อย คุณก็จะยิ่งโดนภาษีน้อยลง
มันอาจจะเป็นวิธีการลดความเหลื่อมล้ำของทุนนิยมที่ดีวิธีนึงเลยก็เป็นได้นะครับ (based on right execution นะครับ)
PS. เคลียร์กันอีกนิดตรงนี้ ผมเคยโจมตี QE มาตลอด ด้วยเหตุผลที่ QE ครั้งก่อนๆ ของมหาอำนาจนั้น เงินไม่ได้ไหลเข้าสู่รากหญ้า แต่กลับไปไปสู่มือนายแบงค์และนายทุน ทำให้ความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันจะต่างจากการ QE เพื่อส่งตรงถึงรากหญ้าแบบนโยบายของหลายๆ ประเทศในปัจจุบันนะครับ
-
อัดฉีด อัดฉีด อัดฉีด..!!
วินัยการคลัง กับภาวะฉุกเฉินของชาติ อันไหนสำคัญกว่ากัน..?
ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับเศรษฐศาสตร์แนว neo-keynesian มาตลอด กล่าวคือ รัฐใช้นโยบายการคลังอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจโดยไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นตอ กลับทำให้ทุนนิยมเกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นๆ
การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยใช้นโยบายการคลังตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์ของเคนส์จริงๆ แล้วคือ เมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย รัฐควรต้องยื่นมือเข้ามาแทรกแซงด้วยการลงทุนเพื่อเพิ่มการจ้างงาน และทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบ (เพราะเครื่องจักรฝั่งเอกชนเริ่มหมดแรงแล้ว)
การลงทุนนั้นจะเพิ่มหนี้สาธารณะของรัฐสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่ว่าจะแลกมาด้วยการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศในระยะยาว เช่น การลงทุนเรื่องการศึกษา, ชลประทาน, ระบบขนส่งมวลชน, ฯลฯ เพื่อเอื้อให้ภาคเอกชนมีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่ง
วิธีการวัดว่าการอัดฉีดแบบเคนส์นั้นเป็นการอัดฉีดที่ดีหรือไม่ดี ผมคิดว่าเราดูได้ง่ายๆ จากสัดส่วน หนี้สินต่อจีดีพี (Debt/GDP) ว่าในระยะยาวแล้ว GDP ของประเทศโตเร็วแซงหนี้ที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า
แต่แนวคิดดังกล่าว คงจะสมเหตุสมผลเฉพาะในช่วงเวลาปกติ แต่ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติโรคระบาดแบบปัจจุบัน เราคงไม่สามารถยึดแนวคิดดังกล่าวได้
ในช่วงภาวะฉุกเฉิกแบบในปัจจุบัน สิ่งที่ลามมาเป็นลูกโซ่ จากการแพร่ของโรคระบาด คือภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักแบบกระทันหัน โดยเฉพาะประเทศไทยที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวมากเป็นอันดับต้นๆ และเป็นเครื่องยนต์สุดท้ายที่ยังคงขับเคลื่อนประเทศมาได้ในช่วงปีก่อน
ตอนนี้ เรียกได้ว่าเครื่องยนต์ดับสนิท..
นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่ เผลอๆ จะหนักกว่า subprime หรือวิกฤติต้มยำกุ้งที่ไทยเคยเจอ เพราะรอบนี้ ปัญหากระทบรุนแรงไปถึงประชาชนรากหญ้าแบบทั่วถึง
ธุรกิจส่วนใหญ่หยุดสนิท อัตราว่างงานน่าจะพุ่งพรวดตามสหรัฐอเมริกาไปติดๆ
ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ วินัยการคลังจึงเป็นเรื่องรอง ในขณะที่เรื่องหลักที่เราควรให้ความสนใจคือ การยืด และต่อชีวิต คนในประเทศให้ได้ยาวนานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ปัจจุบันไทยมีสัดส่วนหนี้ต่อ GDP สูงประมาณ 41% เรายังมีช่องในการก่อหนี้เพิ่มขึ้นได้อีกมากพอสมควร (แม้ปีนี้ GDP จะตกฮวบ และเลข 41% จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ยวก็ตาม)
เราจำเป็นจะต้องสร้างหนี้อัดฉีดงบเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนรากหญ้า จะต้องมีช่องทางที่จะอยู่รอดในช่วงเวลาแบบนี้
บางคนอาจจะบอกว่า อ้าว กู้ๆๆ อัดฉีดๆๆ แจกเงินๆๆ แล้ววินัยการคลังไม่เสียหรือ..?
บางคนจะบอกว่า รัฐจะสร้างหนี้ ให้ลูกหลานต้องมาแบกรับกรรมไปถึงไหน
ตอนนี้ถ้าไม่สร้างหนี้ เราอาจจะไม่เหลือลูกหลานที่จะอยู่ต่อไปในอนาคตด้วยซ้ำครับ
Ray Dalio เพิ่งบอกเมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนว่า "ต้นทุนของการไม่ช่วยประชาชน จะหนักมากกว่าหนี้ที่เกิดจากการช่วยให้พวกเค้ารอด แบบเทียบกันไม่ได้..!!"
แม้การอัดฉีดครั้งนี้ จะผิดไปจากแนวคิด good keynesian ที่ผมเชื่อมั่นมาตลอด แต่มันก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อไม่ใช่ลมหายใจสุดท้ายของเศรษฐกิจไทยดับอย่างถาวร
พรก.กู้เงิน 2 แสนล้านของคุณสมคิด ด้วยความเคารพ.. เอาจริงๆ ผมไม่คิดว่ามันจะเพียงพอกับวิกฤติที่เราเผชิญหน้ากันอยู่ครับ
วิกฤติ Covid-19 รอบนี้ สร้างภาระเรื่องหนี้สาธารณะให้กับแทบทุกประเทศบนโลก และวิกฤติหนี้นี้จะกลายเป็นปัญหาสำคัญของระบบเศรษฐกิจโลกในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งคิดไปไกล คนไข้โรคมะเร็ง จะรีบอัดคีโมก่อน แม้รู้ทั้งรู้ว่าคีโมคือสารพิษ ที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอในระยะยาว แต่ก็เป็นเรื่องที่เราเลี่ยงไม่ได้จริงๆ
-
ถ้าเป็นจริงตามนึ้ก็น่าจะยุ่ง?
คนเห็นแก่ตัวแห่ง 2020
นี่ก็บอกว่า ถ้าไม่สบายให้อยู่บ้านนน
แต่เอาเชื้อไปติดถึงไหนแล้ว
อ่านไป กรี้ดไป รัวๆๆ ตระเวณทั่วมากๆ
International Public Endangerment มาก
ป.ล. กรณีนี้ การต้องขอ Fit2fly มันไม่ได้ป้องกันอะไรได้เลย แถมยังให้คนเอาโรคไปติดกันเพิ่มอีกก
ช่วยกันแชร์ไปหน่อยน้าเพราะคนไทยที่ไปสถานทูตวันที่ 19 มีนาคม ที่ไปแออัดกันเยอะๆวันนั้น กำลังทยอยถึงไทยแล้ว
ต้องกักตัวด้วยน้าาา
ไหนจะ flight วันที่ 21 มีนานั้นอีก...
โอ้ย เยอะมากกก
งือออ ทางนี้ไม่รู้จะเริ่มประสานงานตรงไหนก่อนเลย
Update
1. รู้เลข Flight แล้วนะคะ TG917 วันที่ 21 มีนา, 46J (แต่ย้ายที่เลยไม่รู้ว่าจริงๆนั่งตรงไหน)
2. วันที่ 19 สถานทูตมีคนมาติดต่อเรื่อง Fit2fly และเรื่องอื่นๆ ประมาณ 400 คน
ttps://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10157238372173137&id=516023136 -
บิ๊กตู่ เข้าทำเนียบฯ คาด หารือมาตรการรับคนไทย กลับจากอิตาลี 7 พันคน
นายกฯ เข้าทำเนียบรัฐบาล ติดตามสถานการณ์โควิด-19 ขอประชาชนมั่นใจรัฐบาลดูแลประชาชน 24 ชม. ย้ำ ประชาชนให้ความร่วมมือมาตรการรัฐ คาดเตรียมหารือมาตรการรองรับคนไทย 7 พันคน กลับจากอิตาลี
Source : #ไทยรัฐ #ไทยรัฐทีวี #Thairath #ThairathOnline
-
Rodolfo Brenes
เห็นได้ชัดว่าคนส่งของอเมซอนถุยน้ำลายบนมือของเขาและน้ำลายเปื้อนบนบรรจุภัณฑ์ท่ามกลางการระบาดของโรค coronavirus
หน้า 3734 ของ 11171